วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 18:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 09:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
"อนัตตา" เป็นคำปฏิเสธ "อัตตา" น+อัตตา = อนัตตา

อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา ไม่เป็นอัตตา ก็เท่านี้ :b1:

ย้อนขึ้นไปดูความหมาย อัตตา ก่อนหน้าอีกที

:b8:
บางที...ของมันก็ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนอะไร...เพียงแต่พอดูง่าย ๆ แล้วคนกลับคิด..จะจริงหรอ?
เหมือนคนเห็นของแพง...ก็คิดว่าต้องดีกว่าของถูก..งั้นแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"อนัตตา" เป็นคำปฏิเสธ "อัตตา" น+อัตตา = อนัตตา

อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา ไม่เป็นอัตตา ก็เท่านี้ :b1:

ย้อนขึ้นไปดูความหมาย อัตตา ก่อนหน้าอีกที

:b8:
บางที...ของมันก็ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนอะไร...เพียงแต่พอดูง่าย ๆ แล้วคนกลับคิด..จะจริงหรอ?
เหมือนคนเห็นของแพง...ก็คิดว่าต้องดีกว่าของถูก..งั้นแหละ

:b8:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 10:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
[๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓
ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ

[๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓
ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความ
เสื่อม ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะ
ของอสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ
พุทธพจน์ แสดงไว้ชัดเจน ลักษณะ 3 ประการ ของแต่ธรรมทั้ง สองประการ

พระสูตรนี่เป็นธรรมที่สัมพันธ์กัน จะเอาธรรมบทที่(๔๗๘)ไปกล่าวลอยๆแล้วบอกว่า
เป็นลักษณะของ อสังขตธรรมไม่ได้ เพราะเนื้อหาในนั้นเป็นการบอกให้รู้ว่า
ไม่มีสภาวะในธรรมที่กล่าวถึง



ธรรมใน(๔๘๗)เป็นกล่าวต่อจากธรรมที่(๔๘๖) เป็นการขยายความของธรรมบทที่(๔๘๖)
เนื้อหาเป็นการบอกว่า .........
เมื่อสังขตธรรมมีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ แต่ต่อมาธรรมที่เรียกว่า สังขตะหมดไป
สภาวะไตรลักษณ์ที่เป็นลักษณะของสังขตธรรมย่อมหมดไปตามสังขตธรรมนั้นด้วย
การหมดไปแห่งสภาวะไตรลักษณ์ย่อมเกิดธรรมใหม่ขึ้น นั้นก็คือ อสังขตธรรม

ก็ในเมื่อสภาวะไตรลักษร์หมดไป ทำให้เกิดอสังขตธรรมมาแทนสังขตธรรม
ยังจะมาทู่ซี้บอกอีกว่า อสังขตเป็นไตรลักษณ์(รั้นจริงๆเลย)


เช่นนั้น เขียน:
แถมด้วยการแสดงต่ออีกว่า ธรรมนิยามต่างๆ
เพราะ นิยามในที่นี้ไม่ใช่การกำหนด นิยามความหมายของธรรม
สิ่งที่โฮฮับแสดงออกมา เพราะไม่รู้จัก อนัตตา ว่าเป็นสังขตะ หรืออสังขตะ
พระพุทธองค์แสดงธรรม ไม่ขัดแย้งกัน ชัดเจน ไม่ก้ำกึ่งกำกวม
อนัตตา ต้องรู้จักว่า เป็นสังขตะ หรืออสังขตะ
ถ้าโฮฮับ ยังโลไปเลมา ตีขลุมลงไปในธรรมทั้งสอง ย่อมไม่รูู้จัก ธรรมฐิตตา ธรรมนิยามตา อิทัปัจจยตา
ปฏิจจสมุปบาท

พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม ในลักษณะให้รู้สภาวะของกายใจ พระองค์ไม่ได้สอนสิ่งที่เป็น
ตัวหนังสือหรือคำศัพท์ คำสอนของพระพุทธองค์ย่อมไม่ขัดแย้งกันเองอยู่แล้ว
แต่ที่เช่นนั้นดูว่ามันขัดแย้งกัน เป็นเพราะเช่นนั้นไปดูแต่คำศัพท์ เช่นนั้นไม่เข้าใจ
ไม่มีปัญญาดูสภาวะธรรม เช่นนั้นเองคิดไปเองว่ามันขัดแย้งกัน

ธรรมต่างๆที่เช่นนั้นยกมาเช่น ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม อิทัปฯ ปฏิจจ์ฯ ผมย่อมต้องรู้จัก
เพราะธรรมเหล่านั้นล้วนเป็นหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงเน้นให้เอาไปปฏิบัติ

ผมถึงได้พร่ำพูดให้เช่นนั้นฟังบ่อยๆว่า อย่าอ้างพระสูตรพร่ำเพื่อ
พระสูตรไม่ได้มีไว้ปฏิบัติ หลักธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เอาไว้ปฏิบัติ
เช่นนั้นกลับไปคิดใหม่น่ะว่า ใครกันแน่ที่ไม่รู้จักหลักธรรมที่เป็นพุทธพจน์แท้ๆของพระพุทธเจ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เช่นนั้นไม่ "งง" หรอก แต่โฮฮับโลเลไปมา เปลี่ยนถ้อยคำอธิบายไม่อยู่ในร่องในรอย
โฮฮับ กำลังพยายามอธิบายสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้แสดง คือไตรลักษณ์ ที่มีองค์ประกอบ
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
และปฏิเสธสิ่งที่พระพุทธองค์แสดง ว่า ไตรลักษณ์ ต้องแบ่งแยกว่า ไตรลักษณ์ของสังขตะธรรม หรือไตรลักษณ์ของอสังขตะธรรม

เช่นนั้นจะยังไม่อธิบายอะไรเพิ่มแก่โฮฮับ จนกว่าโฮฮับจะแยกแยะได้ชัดเจนว่า
อนัตตา เป็นสังขตะ หรืออสังขตะ
และเมื่อโฮฮับ ทำความรู้จักไตรลักษณ์ตามพุทธดำรัส ไม่ใช่ตามความรู้ความเห็นที่ยกมาลอยๆ

ที่เช่นนั้นกำลังรั้นเถียง แถมมาเปลี่ยนแนวอ้างหลักธรรมของพระพุทธองค์
ทั้งๆที่ไม่เข้าใจในหลักธรรม

คนที่โลเลก็คือ เช่นนั้นไม่ใช่ผม ชอบเอาพระสูตรมาอ้าง แล้วก็ข่มด้วยคำว่าเป็นพุทธพจน์
แถมยังบอกอีกแน่ะว่าต้องเชื่อ แบบนี้เขาว่าพูดไปเรื่อยเปื่อย โลเลกับคำพูดตัวเอง
กระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

นี่ก็มาอีกแล้วเอาพระสูตรมาอ้าง โดยขาดความเข้าใจ ก็บอกไปแล้วว่าพระสูตร
เป็นเรื่องที่พระพุทธองค์ตรัสตามกาล ตามจริตของบุคคล จะยึดเอาเนื้อหาในพระสูตร
ไม่ได้ ต้องเอาหลักธรรมเป็นหลัก ก็ในเมื่อพระสูตรบทนี้ไม่ได้กล่าวไว้ เราก็ต้องเอาพระสูตร
ที่มีหลักธรรมเดียวกันมาพิจารณาร่วม การพิจารณาธรรมก็ต้อง อาศัยหลักธรรมของ..
ธัมมวิจยะในโพชฌงค์๗


อุตสาห์หาพระสูตรมาเปรียบให้ดู แทนที่จะเก็บไว้พิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญา
ยังทู่ซี้ดันทุรัง พูดแต่คำพูดเดิม คำศัพท์เดิมๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์แสดงธรรม ไม่ขัดแย้งกัน ชัดเจน ไม่ก้ำกึ่งกำกวม
อนัตตา ต้องรู้จักว่า เป็นสังขตะ หรืออสังขตะ
ถ้าโฮฮับ ยังโลไปเลมา ตีขลุมลงไปในธรรมทั้งสอง ย่อมไม่รูู้จัก ธรรมฐิตตา ธรรมนิยามตา อิทัปัจจยตา
ปฏิจจสมุปบาท

อันนี้ก็พูดมั่ว ดันบอกมาได้ว่า"อนัตตา ต้องรู้จักว่าเป็นสังขตะหรืออสังขตะ"
อนัตตาเป็นลักษณะของธรรม มันต้องพูดว่า..".สังขตหรืออสังขตเป็นอนัตตา"
นี้แสดงว่าไม่เข้าใจสภาวะธรรมเอาซะเลย
เช่นนั้น เขียน:
ส่วนที่โฮฮับ อธิบายมา ใน[๔๘๗] ที่โฮฮับใช้สรรพนามว่า "ท่าน"
จะบอกไรอย่างนะ ท่านที่ท่านพูดถึง มีน้ำหนัก เพราะ คือพระพุทธองค์ ตรัสไว้
ถ้าเช่นนั้นขาดสติในการพิจารณาธรรมข้อนี้ ก็หมายถึงพระพุทธองค์ตรัสไว้ผิด
ว่า อสังขตะธรรม มีลักษณะ 3 ประการ นี้ผิด
พระพุทธองค์แสดงไว้ผิด หรือโฮฮับแสดงไว้ภายหลังถูกต้อง?????

คำว่าท"ท่าน"ในที่นี้ผมหมายถึงพระพุทธเจ้า คนมันเล่นแต่คำศัพท์ พอเห็นคำศัพท์
มันเพี้ยนไปหน่อยก็หยิบมาเล่น

แล้วกลับไปอ่านซะหลายๆเที่ยวว่า อสังขตธรรมมีลักษณะ๓ที่คุณกล่าวอ้าง
มันเป็นความมีอยู่หรือไม่มีในลักษณะ๓ประการที่ว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
"อนัตตา" เป็นคำปฏิเสธ "อัตตา" น+อัตตา = อนัตตา

อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา ไม่เป็นอัตตา ก็เท่านี้ :b1:

ย้อนขึ้นไปดูความหมาย อัตตา ก่อนหน้าอีกที

:b8:
บางที...ของมันก็ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนอะไร...เพียงแต่พอดูง่าย ๆ แล้วคนกลับคิด..จะจริงหรอ?
เหมือนคนเห็นของแพง...ก็คิดว่าต้องดีกว่าของถูก..งั้นแหละ

มันง่ายไปมั้ยแบบนี้ พระธรรมไม่ใช่เกมต่อคำ หรือยี่สิบคำถาม
อย่ามักง่ายซิจ๊ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
[๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓
ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ

[๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓
ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความ
เสื่อม ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะ
ของอสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ
พุทธพจน์ แสดงไว้ชัดเจน ลักษณะ 3 ประการ ของแต่ธรรมทั้ง สองประการ


พระสูตรนี่เป็นธรรมที่สัมพันธ์กัน จะเอาธรรมบทที่(๔๗๘)ไปกล่าวลอยๆแล้วบอกว่า
เป็นลักษณะของ อสังขตธรรมไม่ได้ เพราะเนื้อหาในนั้นเป็นการบอกให้รู้ว่า
ไม่มีสภาวะในธรรมที่กล่าวถึง



ธรรมใน(๔๘๗)เป็นกล่าวต่อจากธรรมที่(๔๘๖) เป็นการขยายความของธรรมบทที่(๔๘๖)
เนื้อหาเป็นการบอกว่า .........
เมื่อสังขตธรรมมีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ แต่ต่อมาธรรมที่เรียกว่า สังขตะหมดไป
สภาวะไตรลักษณ์ที่เป็นลักษณะของสังขตธรรมย่อมหมดไปตามสังขตธรรมนั้นด้วย
การหมดไปแห่งสภาวะไตรลักษณ์ย่อมเกิดธรรมใหม่ขึ้น นั้นก็คือ อสังขตธรรม

ก็ในเมื่อสภาวะไตรลักษร์หมดไป ทำให้เกิดอสังขตธรรมมาแทนสังขตธรรม
ยังจะมาทู่ซี้บอกอีกว่า อสังขตเป็นไตรลักษณ์(รั้นจริงๆเลย)

โฮฮับ ก็เข้าใจเอาเองว่า [๔๘๗] เป็นการขยายความ [๔๗๖]
และยังแสดงต่ออีกว่า เพราะสังขตธรรม เป็นเหตุปัจจัย ในการเกิดขึ้น ของอสังขตธรรม
และยังแสดงการเกิดอีกกรณีหนึ่งคือ อสังขตธรรมมาเกิดแทนสังขตธรรมที่หมดไป

อย่าปฏิเสธพุทธวจนะต่อไปเลยโฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 24 เม.ย. 2013, 10:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

“อัตตา” เป็นคำบาลี รูปสันสกฤตเป็น “อาตมัน” แปลว่า ตน ตัว หรือตัวตน พุทธธรรมสอนว่า ตัวตนหรืออัตตานี้ ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อสะดวกในการสื่อสาร เพื่อความหมายรู้ร่วมกันของมนุษย์ในความเป็นอยู่ประจำวัน กำหนดตามชื่อที่บัญญัติขึ้น สำหรับเรียกหน่วยรวมหรือภาพรวมหนึ่งๆ

อัตตาหรืออัตมันที่กรัชกายว่า มันเป็นความเชื่อในศาสนาอื่น คำว่าอัตตาของศาสนาพุทธ
ไม่ได้มีความหมายแบบนั้น อัตตามันเป็นสมมุติบัญญัติของศาสนาอื่น ก็เป็นเรื่องของคนอื่น
แต่ในศาสนาพุทธ อัตตาเป็นสมมุติบัญญัติที่ใช้เรียกสภาวะอันเป็นปรมัตถ์ธรรม

ในปรมัตถ์ธรรม จิต เจตสิก รูป เป็นเหตุปัจจัยของ อัตตา
มีสิ่งเดียวในปรมัตถ์ธรรมที่ไม่ใช่อัตตาก็คือ นิพพาน
กรัชกาย เขียน:
ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับอัตตานี้ พึงทราบว่า อัตตาไม่ใช่เป็นกิเลส มิใช่สิ่งที่จะต้องละ เพราะอัตตาไม่มีอยู่จริง ไม่มีอัตตา หรือไม่เป็นอัตตา อย่างที่เรียกว่า รู้ทันสมมติเท่านั้น พูดอีกนัยหนึ่งว่า ละความยึดถือในอัตตา ละความยึดถือว่าเป็นอัตตา หรือถอนความหลงผิดในภาพของอัตตา หรือในบัญญัติแห่งอัตตาเสียเท่านั้น เรื่องอัตตาและการปฏิบัติต่ออัตตาในความหมายที่ใช้ทั่วไป มีเพียงเท่านี้

ก่อนอื่นแนะนำกรัชกายว่า อย่าหลงเพราะสิ่งที่กรัชกายกำลังพูด มันเป็นเรื่องของศาสนาอื่น
กรัชกายไปเอามามั่วกับศาสนาพุทธ กรัชกายกำลังทำพระธรรมซะเละเป็นโจ๊ก

อัตตาในศาสนาพุทธ ก็คือสภาวะอันมีสาเหตุมาจากกิเลสมาปรุงแต่งจิต ให้เกิดขันธ์ห้า
นี่แหล่ะเขาเรียกอัตตา การจะละอัตตาได้ก็ต้องดับที่กิเลสเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 11:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
[๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓
ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ

[๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓
ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ปรากฏความเกิด ๑ ไม่ปรากฏความ
เสื่อม ๑ เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะ
ของอสังขตธรรม ๓ ประการนี้แล ฯ
พุทธพจน์ แสดงไว้ชัดเจน ลักษณะ 3 ประการ ของแต่ธรรมทั้ง สองประการ


พระสูตรนี่เป็นธรรมที่สัมพันธ์กัน จะเอาธรรมบทที่(๔๗๘)ไปกล่าวลอยๆแล้วบอกว่า
เป็นลักษณะของ อสังขตธรรมไม่ได้ เพราะเนื้อหาในนั้นเป็นการบอกให้รู้ว่า
ไม่มีสภาวะในธรรมที่กล่าวถึง



ธรรมใน(๔๘๗)เป็นกล่าวต่อจากธรรมที่(๔๘๖) เป็นการขยายความของธรรมบทที่(๔๘๖)
เนื้อหาเป็นการบอกว่า .........
เมื่อสังขตธรรมมีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ แต่ต่อมาธรรมที่เรียกว่า สังขตะหมดไป
สภาวะไตรลักษณ์ที่เป็นลักษณะของสังขตธรรมย่อมหมดไปตามสังขตธรรมนั้นด้วย
การหมดไปแห่งสภาวะไตรลักษณ์ย่อมเกิดธรรมใหม่ขึ้น นั้นก็คือ อสังขตธรรม

ก็ในเมื่อสภาวะไตรลักษร์หมดไป ทำให้เกิดอสังขตธรรมมาแทนสังขตธรรม
ยังจะมาทู่ซี้บอกอีกว่า อสังขตเป็นไตรลักษณ์(รั้นจริงๆเลย)

โฮฮับ ก็เข้าใจเอาเองว่า [๔๘๗] เป็นการขยายความ [๔๗๖]
และยังแสดงต่ออีกว่า เพราะสังขตธรรม เป็นเหตุปัจจัย ในการเกิดขึ้น ของอสังขตธรรม
และยังแสดงการเกิดอีกกรณีหนึ่งคือ อสังขตธรรมมาเกิดแทนสังขตธรรมที่หมดไป

อย่าปฏิเสธพุทธวจนะต่อไปเลยโฮฮับ

เอาแล้ว! เช่นนั้นเกิดอาการตีรวนแล้ว เอาหลักธรรมกับพระสูตรมาอ้างมั่วโลเล
ยังไม่รู้ตัวอีก :b32:

ผมบอกหรือว่า สังขตธรรมเป็นเหตุปัจจัยของอสังขตธรรม
สังขตธรรมมันหมดไปแล้วมันจะมาเป็นเหตุได้ไงหา :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 11:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

ธรรมใน(๔๘๗)เป็นกล่าวต่อจากธรรมที่(๔๘๖) เป็นการขยายความของธรรมบทที่(๔๘๖)
เนื้อหาเป็นการบอกว่า .........
เมื่อสังขตธรรมมีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ แต่ต่อมาธรรมที่เรียกว่า สังขตะหมดไป
สภาวะไตรลักษณ์ที่เป็นลักษณะของสังขตธรรมย่อมหมดไปตามสังขตธรรมนั้นด้วย
การหมดไปแห่งสภาวะไตรลักษณ์ย่อมเกิดธรรมใหม่ขึ้น นั้นก็คือ อสังขตธรรม

ก็ในเมื่อสภาวะไตรลักษร์หมดไป ทำให้เกิดอสังขตธรรมมาแทนสังขตธรรม


โฮฮับ เขียน:
ผมบอกหรือว่า สังขตธรรมเป็นเหตุปัจจัยของอสังขตธรรม
สังขตธรรมมันหมดไปแล้วมันจะมาเป็นเหตุได้ไงหา :b13:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อไม่รู้ ว่าอนัตตา เป็นสังขตะธรรม หรืออสังขตะธรรม
ก็ยอมรับมาตรงๆ ก็ได้นะโฮฮับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:

ธรรมใน(๔๘๗)เป็นกล่าวต่อจากธรรมที่(๔๘๖) เป็นการขยายความของธรรมบทที่(๔๘๖)
เนื้อหาเป็นการบอกว่า .........
เมื่อสังขตธรรมมีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ แต่ต่อมาธรรมที่เรียกว่า สังขตะหมดไป
สภาวะไตรลักษณ์ที่เป็นลักษณะของสังขตธรรมย่อมหมดไปตามสังขตธรรมนั้นด้วย
การหมดไปแห่งสภาวะไตรลักษณ์ย่อมเกิดธรรมใหม่ขึ้น นั้นก็คือ อสังขตธรรม

ก็ในเมื่อสภาวะไตรลักษร์หมดไป ทำให้เกิดอสังขตธรรมมาแทนสังขตธรรม


โฮฮับ เขียน:
ผมบอกหรือว่า สังขตธรรมเป็นเหตุปัจจัยของอสังขตธรรม
สังขตธรรมมันหมดไปแล้วมันจะมาเป็นเหตุได้ไงหา :b13:

ยังทู่ซี้ดันทุรัง แกล้งมั่วนิ่มมองไม่เห็นคำอธิบายตอนต้น ที่ผมบอกไว้ว่า

สังขตะธรรมมีเหตุปัจจัยให้เกิด อสังขตะไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 13:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เมื่อไม่รู้ ว่าอนัตตา เป็นสังขตะธรรม หรืออสังขตะธรรม
ก็ยอมรับมาตรงๆ ก็ได้นะโฮฮับ

ตีเนียน ไอ้ที่ไม่รู้มันเป็นคุณ ไม่รู้แล้วยังแกล้งมึน
อธิบายให้ฟังไปแล้วว่า อนัตตาคืออะไร ตัวเองนั้นแหล่ะที่ไม่รู้
แถมไม่มีปัญญาที่จะรับความรู้ซะด้วย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ก็ในเมื่อสภาวะไตรลักษร์หมดไป ทำให้เกิดอสังขตธรรมมาแทนสังขตธรรม


โฮฮับ เขียน:
สังขตะธรรมมีเหตุปัจจัยให้เกิด อสังขตะไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิด

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2013, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะบอกให้นะ โฮฮับ

อนัตตา เป็นสังขตะธรรม ประการเดียว

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 116 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 59 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร