วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 07:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2013, 22:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สุข...ที่เหนือไตรลักษณ์..นี้..ถ้าอนัตตาสาวกเห็นเข้า...ท่าจะรับไม่ได้...อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2013, 03:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แรกเริ่มเดิมที...ห้องมันว่าง....(สบายก็ไม่รู้ว่าสบาย....นี้แหละมั้งอวิชชา...)

ทุกวันนี้....ของเต็มห้องไปหมด....(ก็ให้เห็นความไม่สบายที่ต้องดูแลของ....ทุกข์พึงกำหนดรู้)

งานที่ต้องทำ....ทำความสะอาดห้อง....(มรรค 8)

จุดหมายปลายทาง.....ห้องว่าง...

สุขที่แท้จริง....มันน่าจะอยู่ตรงห้องว่าง ๆ....ไม่ต้องมีอะไรให้รักษา

เราต้องกลับไปเป็นห้องว่าง ๆ อีกครา....กลับไปพร้อมประสพการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาว


ว่างจากอะไร? ไม่ว่างจากอะไร?

ไม่อยากให้มีใครกลายเป็นหินโดยไม่ตั้งใจ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2013, 11:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ว่างจากอะไร....ไม่ว่างจากอะไร???

น่าคิดนะ...

จิตเดิมแท้....สมมุติว่าเป็นอะไรสักอย่างที่เราไม่รู้...
แต่...จิตปัจจุบัน....เรารู้ว่ามี...มีเสียใจ...มีโกรธ...มีน้อยใจ...มีบ่นกระปอดกระแปด...พิไรรำพัน
แล้วอาการพวกนี้..มี...เพราะอะไร..เพื่ออะไร?..ใช่เพราะ..มีลาภเสื่อมลาภ...มียศแล้วก็เสื่อมยศ..มีสรรเสริฐกลับได้นินทา
แสดงว่า..เพราะจิตมี..ลาภ...ยศ..สรรเสริฐอยู่แล้วในใจ...จิตจึงมีเสียใจ..ทุกข์ใจ..มีโกรธ...มีพิไรรำพัน.ฯลฯ

ที่จิต...มีลาภ...มียศ...ต้องการสรรเสริฐ...ใช่เพราะความต้องการมีความมั่นคงในปัจจัย 4 ใช่หรือไม่?
มีลาภยศสรรเสริฐ...ก็เพราะมีปัจจัย 4

ปัจจัย 4 มีความจำเป็นในการรักษารูปกายสังขารนี้
ต้องมีปัจจัย4 เพราะมีร่างกาย

จิต...ต้องการปัจจัย4..มั้ย?...ไม่...ที่ต้องการปัจจัย4จริง ๆ คือร่างกาย

ที่จิตว้าวุ่นกับปัจจัย4 เพราะในหัวใจมีร่างกาย...รักร่างกาย

เพราะจิต..มีร่างกาย..จึงต้องการปัจจัย4...เพราะต้องการปัจจัย4..มาก ๆ จึงอยากมีลาภยศสรรเสริฐ
เพราะมีลาภยศสรรเสริฐสุข...จึงมีโกรธ..มีน้อยใจ..เสียใจ...พิไรรำพัน

เพราะจิตมีร่างกาย.รักร่างกาย..ทุกข์ทั้งหลายจึงมี

ห้องไม่ว่างซะอย่างนี้...ภาระหน้าที่รักษาจึงตามมา
ผู้ไม่พบพระสัทธรรม...ก็ยังจะหลงว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งดีมีความสุข...คิดว่าห้องรก..รก...มันดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2013, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


:b45:

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2013, 08:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b8: :b8: :b8:

สุข...ที่เหนือไตรลักษณ์..นี้..ถ้าอนัตตาสาวกเห็นเข้า...ท่าจะรับไม่ได้...อิอิ
ท่านก็กินมันให้อร่ิอยเถอะท่านเป้นเพศฆราวาส เพียงรู้ว่ามันอร่อย แล้วเห็นโทษมัน และก็รู้วิธีที่จะสลัดมัน เท่านั้นเอง อัสสาทะ(รสอร่อย) อาทีนวะ(เหนโทษะ) นิสสรณะ(ออกไป ไม่ติด) ท่านก็จะเป็นเหมือนเนื้อที่ติดจมอยู่กับบ่วง แต่ไม่ติดบ่วงกระโดดออกได้ทัน

สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งไม่ใฝ่ฝัน ไม่ลุ่มหลง ไม่ติดพัน เห็นโทษ มีปัญญาที่จะคิดนำตน
ออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้ สมณพราหมณ์พวกนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้ไม่ถึงความ
เสื่อมความพินาศไม่ถูกมารผู้ใจบาปกระทำได้ตามต้องการ. เหมือนอย่างว่า เนื้อป่าที่ไม่ติดบ่วง นอน
ทับกองบ่วง พึงทราบว่า เป็นสัตว์ไม่ถึงความเสื่อมความพินาศ ไม่ถูกพรานกระทำได้ตามต้องการ
เมื่อพรานเดินเข้ามา ก็หนีไปตามปรารถนา ฉันใด สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งไม่ใฝ่ฝัน
ไม่ลุ่มหลง ไม่ติดพัน เห็นโทษ มีปัญญาที่จะคิดนำตนออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้
__________________


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2013, 09:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องกิน...นี้....ใครใช้เป็น...ใช้บ่อย ๆ...ได้...แสดงว่าสติดีมากเลย

กินอร่อย...เห็นโทษ...สลัดทิ้ง....นี้....ดูแล้วดี....ถ้าขยายความ...แจงแต่ละขั้นได้....ก็ยิ่งจะดีใหญ่..
Kiss Kiss

แชร์หน่อยดิ... :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2013, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


บังเอิญจังพี่กบพูดถึงเรื่องกินพอดี มะวานนี้คุนน้องเจอสดๆร้อนๆโทษของความอยากกินเพราะมันรสชาติอร่อย s002
แต่เมื่อคืนวันพฤหัสฝันเป็นลางบอกเหตุแล้ว ที่เค้าเรียกว่าเทพสังหรณ์(ความฝันแบบว่ามีคนมาเตือน)เล่าความฝันก่อน
ฝันว่าดูดน้ำหวานสีแดง ในฝันรู้ว่าเป็นน้ำหวานที่เราไม่เคยกินมาก่อน รสมันหอมหวานอร่อยจนบรรยายไม่ถูก :b22: :b23: แต่อยู่ๆก็ได้ยินเสียงคนมาพูดในจิตตอนที่เราดูดน้ำหวานว่า ให้มีจิตใคร่ครวญตอนขณะที่ดูดน้ำหวานนั้น :b14: พอเราตื่นก็ระลึกถึงความฝัน และเหมือนจะเข้าใจดีทุกอย่าง แต่หนีกรรมการกระทำของตนไม่พ้นเพราะความอยากกินเป็นเหตุ
มีลูกค้าเคยซื้อชาบ้วยผสมไข่มุกขาวที่เซนทรัลมาฝาก พอเรากินแค่นั้นแหละ วันไหนร้อนๆอยากกินมากและจะกินให้ได้แก้วละ70บาทยังกล้าจ่าย :b5: ปกติไม่กล้ากินนะถ้ามันแพง :b6: บังเอิญวันนั้นยุ่งมากเลยไม่ได้เดินไปซื้อที่ห้าง ซื้อชาบ้วยร้านข้างทางของอาแป๊ะที่ขายกาแฟ ปกติเค้าขายกาแฟ ชานมอะไรพวกนี้ ดันมีชาบ้วยเฉยเลยลองซื้อกินเพราะความอยาก ตอนดูดรสชาติไม่เหมืินที่ซื้อในห้างแฮะแต่ไม่เป็นไร กินได้หมดมันก็ชาบ้วยเหมือนกัน ปรากฏว่ากินไปครึ่งแก้ว แสบปากคันยิกๆ เฮ้ยแพ้น้ำบ้วย cry ปากเริ่มบวมเหมือนมีมดมากัด555 ต้องรีบกินยาแก้แพ้ เพราะบ้วยมันของหมักดองคุนน้องแพ้ของหมักดองที่ไม่สะอาด แต่ไม่ยักกะแพ้ส้มตำปลาร้าเหอๆ
จากเหตุการณ์นั้นก็เลยทำให้คิดได้ว่า อยากกินอะไรก็จงมีสติ จะได้ไม่มีโทษตามมา อย่าหลงไปกับ รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัสให้มันมาก เด่วโดนกิเลสลากไปอีก :b34:
ปล.รึว่าจะเป็นเพราะวจีกรรม :b14: ที่พูดแขวะพี่กรัชกายเมื่อวานปากเลยบวมตอนนี้ยังไม่หายเลย :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2013, 09:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ.....อาจต้องระวังให้มากขึ้น...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2013, 19:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เรื่องกิน...นี้....ใครใช้เป็น...ใช้บ่อย ๆ...ได้...แสดงว่าสติดีมากเลย

กินอร่อย...เห็นโทษ...สลัดทิ้ง....นี้....ดูแล้วดี....ถ้าขยายความ...แจงแต่ละขั้นได้....ก็ยิ่งจะดีใหญ่..
Kiss Kiss

แชร์หน่อยดิ... :b16: :b16:
รูปสวย รสอร่อย กลิ่นที่น่ายินดี เสียงที่ไฟเราะ สัมผัสที่น่ายินดี มิใช่กาม กามคือเราไปกำหนัด เราไปแสวงหา เราไปติดในรส นั้นคือกาม เราสามารถบริโภคทุกอย่างไดตามเหตุปัจจัยเพียวรับรู้ว่าเป็นอย่างนั้น ไม่ใฝ่หา ไม่กำหนัด ไม่ยินดี เมื่อเราได้สัมผัสกับสิ่งทั้งหลายเราต้องเห็นโทษในสิ่งนั้นว่าถ้าเรายึดติด แสวงหา กำหนัด มันจะทำให้ราตกอยู่ในกองทุกข์ ฉะนั้นในการเสพ รูปเสียงกลิ่นรส ก็ควรเห็นการเกิดดับของสิ่งเหล่านั้นไปด้วย เมื่อคราวเราจะตองจากสิ่งเหล่านันเราก็ไม่ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น สามารถจากมันไปอย่างไม่ใยดีกับมัน

ดูกรวัจฉะ พวกอุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเรา ฝ่ายคฤหัสถ์นุ่งผ้าขาว บริโภคกาม
ทำตามคำสอนผู้ทำเฉพาะโอวาท มีวิจิกิจฉาอันข้ามได้แล้ว ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความ
เป็นผู้แกล้วกล้า ไม่เชื่อต่อผู้อื่นในคำสอนของศาสดาอยู่นั้น มีไม่ใช่แต่ร้อยเดียว ไม่ใช่สองร้อย
ไม่ใช่สามร้อย ไม่ใช่สี่ร้อย ไม่ใช่ห้าร้อย ที่แท้มีอยู่มากทีเดียว.

จะเห็นได้ว่าบริโภคกามก็ข้ามวิจิกิจฉาได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 17:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็มันเป็นสังโยชน์คนละตัวนี้ครับ

วิจิกิจฉาจะละได้ก่อนกามราคะอยู่แล้วไม่ใช่รึ

:b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 18:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ก็มันเป็นสังโยชน์คนละตัวนี้ครับ

วิจิกิจฉาจะละได้ก่อนกามราคะอยู่แล้วไม่ใช่รึ

:b1: :b1:
เอาแค่โสดาบันก่อนพี่กบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 19:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:

เอาแค่โสดาบันก่อนพี่กบ


วิจิกิจฉาถ้าละได้แล้ว.. คิดว่ามีอะไร.ที่พอจะสังเกตได้บ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 19:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


วิจิกิจฉา ที่ละได้ เมื่อรู้เห็นวิธีที่ปฎิบัติมา ที่ทำให้กิเลสขาดจากจิตอย่างถาวร จึงเกิดอจลศรัทธาต่อผู้นำพา
ที่เป็นกัลยาณมิตร(ครู อาจารย์)ที่บอกทางให้ พระพุทธองค์ผู้ค้นพบทาง และจะทราบว่าผู้นั้นเข้าถึงโดย
การสนทนา ผู้เข้าถึงเมื่อสนทนากับผู้เข้าถึงย่อมรู้กัน สภาวะนั้นถึงแม้จะไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้ แต่มีสภาวะธรรมบางอย่างที่ต้องพบเหมือนกัน เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งของชีวิตที่มิอาจลืมได้
และมีอีกสิ่งที่พอสังเกตได้แต่มิใช่ใช้เป็นเครื่องยืนยัน นั่นคือ คลื่นจิต ผู้ที่ละกิเลสบางส่วนได้แล้ว ย่อมมีคลื่นจิตที่โปร่งเบากว่าปุถุชน ผู้ละกเลสได้มากกว่าย่อมรู้ถึงผู้มีภูมิธรรมต่ำกว่า :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2013, 07:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
amazing เขียน:

เอาแค่โสดาบันก่อนพี่กบ


วิจิกิจฉาถ้าละได้แล้ว.. คิดว่ามีอะไร.ที่พอจะสังเกตได้บ้าง
มือท่านจะต้องชุ่มไปด้วยการให้ กิเลสหยาบๆจะถูกทำลายลง ความตระหนี่อันเป็นมลทิลจะถูกทำลายลง เป็นผู้สมควรแก่การขอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2013, 14:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อื่มม....มันอาจอันตรายไปนิด...ถ้าจะบอกให้ชัดเจนไปเลย...เพราะมันอาจเป็นเฉพาะบุคคล
..และ...ผู้รู้ไม่เท่ามันอาจตั้งสัญญาใว้ล่วงหน้าเสียก่อน...

ที่ผมถามก็ไม่ใช่อะไรหรอก...เพราะเห็นบางคนมีปัญหา...สงสัยในพระสงฆ์บ้าง...พระองค์นี้บ้าง...บางคนถึงขนาดเกิดความคิดลามกผุดขึ้นมา...ทั้งที่ตัวเองก็เคารพพระ...ศรัทธาพระศาสนา...เข้าวัดทำบุญปฏิบัติธรรม...แต่ก็ห้ามความคิดอกุศลไม่ได้....มันเหมือนยังกะเป็นอิสระจากเรา....

ก็เลยสงสัยว่า....ความเชื่อมั่นศรัทธาขนาดไหนจึงจะเรียกว่า..ไม่สงสัยในพระรัตนตรัยแล้ว?

เชื่อ..ระดับ...ความคิด
เชื่อ..ระดับ...สามัญสำนึก
เชื่อ...ในระดับ..จิตใต้สำนึก
หรือ..เชื่อ...ลึกขนาดจิตไร้สำนึก

คิดว่า...ที่ระดับ..จิตใต้สำนึก...เป็นนิวรณ์..ไม่รู้ว่าเก็บใว้แต่ชาติปางไหน...อยู่ ๆก็ผุดขึ้นมาเป็นธรรมารมณ์
ส่วน..จิตไร้สำนึก...อาจลึกถึงที่อยู่ของอวิชชา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 135 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร