วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 04:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2013, 20:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2013, 11:46
โพสต์: 137


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเรายังไม่รู้ว่าอะไรคือกองทุกข์ เรามีแนวโน้ม
ที่จะสั่งสม "ความทุกข์" มากกว่าที่จะหาทาง "ดับทุกข์"


อนุสนธิจากการที่ผมพยายามศึกษาพระกรุโบราณ เพื่อ
•พัฒนาความเข้าใจเชิงประวัติศาสตร์ ศิลปะ สังคม และวัฒนธรรม ผ่านพุทธศิลป์ที่ปรากฏอยู่ที่องค์พระ
•เชิงที่ตั้ง ขนาด การกระจายตัว
•ความเหมือน ความต่างและความเชื่อมโยงเชิงวิวัฒนาการและพัฒนาการนั้น

ทำให้ผมต้องก้าวเข้าไปในค่ายกลของ "พระโรงงาน" ที่ผลิตมาเพื่อดักจับมือใหม่ใจสะอาด ให้เป็นเหยื่อกิเลสของเขา

ในค่ายกลนี้
•มีวิชามารทุกรูปแบบ
•ระดับฝีมือมากมาย
•เพราะเป็นแหล่งผลประโยชน์กองโตของ "รุ่นพี่" ที่ในวงการเรียกว่า "เซียน"
•ที่มีหลากหลายระดับ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับภาค และระดับประเทศ

นอกจากนี้ยังมีระดับสาขา หรือสายตรงแต่ละประเภทอีกด้วย ที่น่าจะเป็นธุรกิจระดับร้อยล้านขึ้นไป

การก้าวผ่านค่ายกลเหล่านี้ไม่ใช่ของง่ายเลย
•เพราะคนส่วนใหญ่ในวงการ มีความคิดเชิงการค้าอยู่ในใจ
•ซื้อถูกขายแพง ทำกำไรสูงสุด
•มีน้อยมากที่จะมีคุณธรรม เผื่อแผ่ ช่วยเหลือ หรือเห็นอกเห็นใจกัน

ผมพบว่าในค่ายกลนี้ มีความคล้ายคลึงกับ "โลกใบใหญ่" แต่มีความซับซ้อนน้อยกว่า

จึงอาจถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะเรียนรู้ชีวิตจริงๆของเราได้อย่างง่ายขึ้นกว่าโลกใบใหญ่ ที่มีความซับซ้อนมากกว่า

ถ้าเราอุปมาว่า "พระเก๊" ที่มาจากโรงงาน เป็นของไม่จริง แม้จะคล้ายคลึงอย่างไรขนาดไหน ก็ยังไม่จริงแล้ว เราจะเริ่มเห็นสัจจธรรมของการดำรงชีวิตของเราแบบ "หลงกองทุกข์" ได้ง่ายขึ้น

และถ้าอุปมา "พระเก๊" เป็นกองทุกข์ คนที่ยังแยก "พระเก๊" ออกจาก "พระแท้" ไม่ได้ก็คือ คนที่ยังมองไม่เห็นกองทุกข์

พระเก๊นั้นก็มีหลายระดับฝีมือ ก็อุปมาความละเอียดของกิเลสระดับต่างๆ ที่มีอยู่ในกองทุกข์

ถ้าเรายังไม่เห็นพระเก๊ ดูออก และเข้าใจ แบบ "ครบทุกฝีมือ" เราย่อมไม่มั่นใจว่าพระแท้คืออย่างไรกันแน่ ยังจะปลอมปนมาหรือไม่

เสมือนหนึ่งเรายังแยกกิเลสแบบและระดับต่างๆ ออกจาก "สิ่งจริงแท้" ไม่ได้นั่นเอง

ที่ต้องอาศัยการศึกษา (ที่แปลว่า การพัฒนาตนเอง) อย่างจริงจัง จึงจะก้าวผ่านจุดนี้ได้เร็วขึ้น

และท้ายสุดของเรื่องนี้ แม้พระกรุหรือพระเครื่องต่างๆที่ว่า "แท้" นั้น ก็เป็นเพียงสิ่งสมมติขึ้นมา ที่เราไป "ยอมรับ" ตามคำเขาว่า ให้เป็นของจริง ทั้งๆ ที่อาจจะจริงหรือไม่ก็ได้

ที่ต้องย้อนกลับไปน้อมนำหลัก "กาลามสูตร" มาช่วยในการพิจารณา จึงจะบรรเทาลงได้บ้าง

ดังนั้น โดยสรุปบทเรียนที่ผมได้รับคือ

ถ้าเรายังไม่รู้ว่าอะไรคือกองทุกข์ เรามีแนวโน้มที่จะสั่งสม "ความทุกข์" มากกว่าที่จะหาทาง "ดับทุกข์"
•ทั้งความทุกข์แบบหยาบๆ ตื้นๆ และความทุกข์แบบละเอียด
•ทั้งความทุกข์จากการมีมากไป หรือทุกข์จากการมีน้อยไป

ผมจึงมาสรุปบทเรียน และขมวดปมตรงที่

ต้องมองเห็น "กองทุกข์" จึงจะเริ่มดับทุกข์ได้

ประมาณนี้ครับ

ดร.แสวง รวยสูงเนิน

.....................................................
อันความกรุณาปราณี จักมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ จากฟากฟ้าสุลาลัยสู่แดนดิน
มอง...ข้างหน้า ให้เป็นความหวัง มอง...ข้างหลัง ให้เป็นบทเรียน มอง...สิ่งที่มัน หมุนเวียน เพื่อยอมรับ...การเปลี่ยนไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 21:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์....ต้องเห็นก่อนจริง ๆ ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2013, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุเกิดของทุกข์ ก็ต้องกำหนดรู้ จึงจะหาทางดับทุกข์ ทุกข์นั้นทุกคนล้วนประสบกันทั้งกายใจ เราหลงตั้งแต่พยายามแยกพระเก๊ กับ พระจริง เพราะมีเหตุคืออุปาทาน คือ ตัญหาและอุปาทาน มีความปราถนาอยากได้พระกรุโบราณ โดยไม่เข้าไปเห็นความเป็นสัจจธรรม ความประกอบกันของธาตุว่าเป็นดินเหมือนกัน ดินจึงไม่มีเก๊ มีจริง ทุกข์นั้นไม่มีเก๊ มีแต่จริง

ถ้าเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ เรามีแนวโน้มว่าจะไม่เห็นเหตุเกิดของทุกข์

ทุกข์นั้นไม่มีสะสมครับ มีแต่เกิดและดับลง เพราะเรายังยึดมั่น เราจึงไม่เห็นเหตุเกิดของทุกข์

จึงต้องกำหนดรู้ทุกข์ด้วยวิปัสสนาภาวนา จึงจะเห็นเหตุเกิดของทุกข์ครับ เพราะน้อมเอามรรคมีองค์มาปฏิบัติ จึงจะดับทุกข์ได้ครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เปรียบยังกะรู้แต่แท้จริงหารู้ไม่. คำว่าพระโรงงาน หน่ะ. จะบอกให้รู้ ว่า หลายๆเกจิท่่ท่านสร้าง นั้น เช่นงานหล่อโบราณ ต่างๆ เช่น เบ้าทุบ เป็นต้น ถึงจะหล่อเองในวัด โดยเกจินั้นๆใดๆ ท่านก็ต้อง ให้ช่างหล่อโรงงานเขามาช่วยทำด้วย. จำไว้ ประการต่อมา......คนเขียนข้ออุปมา ในหัวกระทู้ ยังไม่มีความละเอียดพอที่อธิบาย เรื่องงานโรงงาน. ดังนี้ข้างต้นที่ ผมกล่าว ในส่วน รูปหล่อจำลองขนาดห้อยคอ. นั้น ยังมี การหล่อ แบบฉีดเหวี่ยง ด้วยเทคโลยีสมัยปัจจุบัน งานหล่อเหวี่ยงนี้ จะทำให้รูปเหมือน จะออกมาใกล้เคียง พระนั้นๆ ได้มากกว่าการหล่อแบบโบราณ. นี่ขนาดยังไม่อธิบายเรื่อง เหรียญปั้ม เหรียญหล่อ ต่างๆ อีก นะเนี่ย.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2013, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


หากกล่าวถึงงานเก๊ นั้น ของเก็ มันมี อยู่ ดังนี้. เก๊ด้วยการ ถอดพิมพ์ มีหลายแบบ คือมันจะเอา ของแท้ๆ นี่แหละ มาถอด. 2 มันจะ ทำแบบบล๊อก ทำขึ้นใหม่. 3 พวกที่รับงานจากวัดแล้ว มันทำเสริมขึ้นมาเอง โดยไม่ผ่านการพิธีกรรม (เสก). อยากรู้ จะเหลาให้ฟัง. แบบมหากาพย์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2013, 12:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2013, 11:46
โพสต์: 137


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
เปรียบยังกะรู้แต่แท้จริงหารู้ไม่. คำว่าพระโรงงาน หน่ะ. จะบอกให้รู้ ว่า หลายๆเกจิท่่ท่านสร้าง นั้น เช่นงานหล่อโบราณ ต่างๆ เช่น เบ้าทุบ เป็นต้น ถึงจะหล่อเองในวัด โดยเกจินั้นๆใดๆ ท่านก็ต้อง ให้ช่างหล่อโรงงานเขามาช่วยทำด้วย. จำไว้ ประการต่อมา......คนเขียนข้ออุปมา ในหัวกระทู้ ยังไม่มีความละเอียดพอที่อธิบาย เรื่องงานโรงงาน. ดังนี้ข้างต้นที่ ผมกล่าว ในส่วน รูปหล่อจำลองขนาดห้อยคอ. นั้น ยังมี การหล่อ แบบฉีดเหวี่ยง ด้วยเทคโลยีสมัยปัจจุบัน งานหล่อเหวี่ยงนี้ จะทำให้รูปเหมือน จะออกมาใกล้เคียง พระนั้นๆ ได้มากกว่าการหล่อแบบโบราณ. นี่ขนาดยังไม่อธิบายเรื่อง เหรียญปั้ม เหรียญหล่อ ต่างๆ อีก นะเนี่ย.


แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงคะว่าคุณรู้จริง คนเขลามักพูดจาโอ้อวด ดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่นแบบคุณดิฉันเห็นมามากแล้วล่ะค่ะ แต่ก็ไม่รู้จริงสักราย ที่จริงจะพูดกันดีๆก็ได้นะคะ รู้มากรู้น้อยไม่มีใครตำหนิแต่ไม่น่าดูหมิ่นความคิดของผู้อื่นเลยนะคะ แบบนี้ไม่เรียกว่าบัณฑิต เป็นแค่เพียงคนเขลาที่โอ้อวดตริด้วยความเขลาเบาปัญญา การจะให้คำแนะนำผู้อื่นเราควรใช้คำพูดดีๆ จริงใจ คนอื่นจึงจะน้อมรับฟังด้วยความขอบคุญ ไม่ใช่เหน็บแนมนะคะ แบบนี้นอกจากจะไม่ฟังแล้วยังจะไล่ไปไกลๆด้วยล่ะค่ะ

.....................................................
อันความกรุณาปราณี จักมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ จากฟากฟ้าสุลาลัยสู่แดนดิน
มอง...ข้างหน้า ให้เป็นความหวัง มอง...ข้างหลัง ให้เป็นบทเรียน มอง...สิ่งที่มัน หมุนเวียน เพื่อยอมรับ...การเปลี่ยนไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2013, 12:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2013, 11:46
โพสต์: 137


 ข้อมูลส่วนตัว


ดร.แสวงเป็นคนชอบพระเครื่อง ท่านก็เอาพระเครื่องมาอุปมาเปรียบเปรย ในความหมายของท่าน
คงหมายถึงคนที่ยังแยกความทุกข์ไม่ออกว่าอะไรคือทุกข์จึงสะสมความทุกข์ไปเรื่อยๆ บางคนคิดว่า
มีเงินมากๆแล้วมีความสุข บางคนคิดว่ามีอำนาจแล้วมีความสุข บางคนคิดว่าประสพความสำเร็จใน
หน้าที่การงานแล้วมีความสุข แท้จริงแล้วนั่นคือทุกข์อย่างหนึ่ง ใครที่มองไม่ออกแยกไม่เป็นก็จะ
สะสมทุกข์ไปเรื่อยๆ หากให้ดิฉันอุปมา ดิฉันก็จะเปรียบว่าใครที่ยังแยกสัจธรรมกับความต้องการ
ไม่ออกคนนั้นก็จะสะสมกองทุกข์ไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อวันนั้นมาถึงเขาผู้นั้นก็จะรู้สึกโดดเดี่ยว ไร้ที่ยึดเหนี่ยว
วังเวง เพราะดวงจิตยึดติดกับสิ่งที่ตนเองเคยปรุงแต่งไว้เรื่อยมา ปล่อยวางไม่ได้ นั่นแหละค่ะ
คือการสะสมของทุกข์ คือความทุกข์

.....................................................
อันความกรุณาปราณี จักมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ จากฟากฟ้าสุลาลัยสู่แดนดิน
มอง...ข้างหน้า ให้เป็นความหวัง มอง...ข้างหลัง ให้เป็นบทเรียน มอง...สิ่งที่มัน หมุนเวียน เพื่อยอมรับ...การเปลี่ยนไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2013, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นความคิดที่ประกอบด้วยมรรคครับ เพราะคิดว่าเมื่อได้ทรัพย์มาครอบครอง ก็ยังไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เพราะเจือปนด้วยกิเลส แต่ การอุปมาทุกข์ด้วยพระเครื่องนั้น เป็นการเสนอมุมมองที่มีความศรัทธาเข้ามาเกี่ยวข้องครับ เพราะพระเครื่องเป็นเครื่องหมายของความศรัทธา ระลึกถึง น้อมเคารพบูชา แม้คนที่มีพระเก๊อยู่กับตัว(อาจจะไม่รู้ว่าเป็นพระเก๊) ก็สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ตามปกติ ไม่ได้ถูกห้ามให้ปฏิบัติธรรม และอาจบรรลุธรรมได้ เพราะการปฏิบัติธรรมนั้น อาศัยความศรัทธาเป็นที่ตั้ง ดังนั้น การอุปมาทุกข์นั้น คำสอนของพระศาสดาก็มีหลายแบบให้กำหนดรู้ เช่น การเกิดเป็นทุกข์ การเจ็บป่วยเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ อุปมาว่าเมื่อยังหนุมสาว ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ก็ดำรงตนเพราะคิดว่า เรานี้ยังอายุน้อย ควรแสวงหาความสุขในตอนนี้ เลยไม่เห็นทุกข์ มีความประมาทเพราะวัย

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2013, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


แบบงามตา คงเห็นผมไม่จริงหรอก นะ และจำไว้ ดอกเตอร มันก้อมั่วได้ :b32: เบสิกพื้นๆ ย่อๆ คร่าวๆของการผลิตพระเครื่อง เลยนะนั่น ที่เขารู้ๆกัน เลย ที่ผม บอก :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2013, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ง่ายๆ นะ. เดาได้ว่าหลายๆคนในนี้ เคยไปกราบพระเกจิต่างๆ แล้วพระอาจารยท่านนั้นๆ บางท่านมีเหรียญท่านก็ให้เหรียญ. เหรียญนั้นแล ปั๊มจากโรงงานครับ(เว้นกรณีพระที่ฤทธิ์ที่สามารถล้วงออกมาจากอังสะหรือย่ามที่ว่างเปล่าได้) แล้วท่านก็นำมาอธิฐาน รับจากมือท่านแบบนี้ จะ เก๊ได้อย่างไร :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2013, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
เหตุเกิดของทุกข์ ก็ต้องกำหนดรู้ จึงจะหาทางดับทุกข์ ทุกข์นั้นทุกคนล้วนประสบกันทั้งกายใจ เราหลงตั้งแต่พยายามแยกพระเก๊ กับ พระจริง เพราะมีเหตุคืออุปาทาน คือ ตัญหาและอุปาทาน มีความปราถนาอยากได้พระกรุโบราณ โดยไม่เข้าไปเห็นความเป็นสัจจธรรม ความประกอบกันของธาตุว่าเป็นดินเหมือนกัน ดินจึงไม่มีเก๊ มีจริง ทุกข์นั้นไม่มีเก๊ มีแต่จริง

ถ้าเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ เรามีแนวโน้มว่าจะไม่เห็นเหตุเกิดของทุกข์

ทุกข์นั้นไม่มีสะสมครับ มีแต่เกิดและดับลง เพราะเรายังยึดมั่น เราจึงไม่เห็นเหตุเกิดของทุกข์

จึงต้องกำหนดรู้ทุกข์ด้วยวิปัสสนาภาวนา จึงจะเห็นเหตุเกิดของทุกข์ครับ เพราะน้อมเอามรรคมีองค์มาปฏิบัติ จึงจะดับทุกข์ได้ครับ

ขอโทษนะค่ะที่้เสียมารยาทถามเรื่องส่วนตัว ภรรยามีน้องรึยังค่ะ และตอนนี้ยังพยายามอยากมีอยู่รึเปล่า :b10: แล้วความรู้สึกอยากมี ทั้งที่พยายามมีก็ไม่มี ทุกข์รึเปล่าค่ะ :b10: เห็นคุยเรื่องทุกข์ คุนน้องเลยยกประเด็นขึ้นมาน่ะค่ะ คุนน้องถามเพื่อเป็นความรู้ว่าท่านปฏิบัติยังงัย เผื่อคุนน้องจะได้แนวทางนั้นไปปฏิบัติบ้างน่ะค่ะ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2013, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
student เขียน:
เหตุเกิดของทุกข์ ก็ต้องกำหนดรู้ จึงจะหาทางดับทุกข์ ทุกข์นั้นทุกคนล้วนประสบกันทั้งกายใจ เราหลงตั้งแต่พยายามแยกพระเก๊ กับ พระจริง เพราะมีเหตุคืออุปาทาน คือ ตัญหาและอุปาทาน มีความปราถนาอยากได้พระกรุโบราณ โดยไม่เข้าไปเห็นความเป็นสัจจธรรม ความประกอบกันของธาตุว่าเป็นดินเหมือนกัน ดินจึงไม่มีเก๊ มีจริง ทุกข์นั้นไม่มีเก๊ มีแต่จริง

ถ้าเราไม่กำหนดรู้ทุกข์ เรามีแนวโน้มว่าจะไม่เห็นเหตุเกิดของทุกข์

ทุกข์นั้นไม่มีสะสมครับ มีแต่เกิดและดับลง เพราะเรายังยึดมั่น เราจึงไม่เห็นเหตุเกิดของทุกข์

จึงต้องกำหนดรู้ทุกข์ด้วยวิปัสสนาภาวนา จึงจะเห็นเหตุเกิดของทุกข์ครับ เพราะน้อมเอามรรคมีองค์มาปฏิบัติ จึงจะดับทุกข์ได้ครับ

ขอโทษนะค่ะที่้เสียมารยาทถามเรื่องส่วนตัว ภรรยามีน้องรึยังค่ะ และตอนนี้ยังพยายามอยากมีอยู่รึเปล่า :b10: แล้วความรู้สึกอยากมี ทั้งที่พยายามมีก็ไม่มี ทุกข์รึเปล่าค่ะ :b10: เห็นคุยเรื่องทุกข์ คุนน้องเลยยกประเด็นขึ้นมาน่ะค่ะ คุนน้องถามเพื่อเป็นความรู้ว่าท่านปฏิบัติยังงัย เผื่อคุนน้องจะได้แนวทางนั้นไปปฏิบัติบ้างน่ะค่ะ :b9:


ยังไม่มีครับ ท้อง2ครั้ง แต่หลุดทั้ง2ครั้ง และพยายามจะมีอยู่ครับ ทุกข์ใจครับ เพราะพอท้องแล้วหลุดภรรยาก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพ แต่ภรรยาทุกข์ทั้งกาย และ ใจ(ทั้งเจ็บตัว ทั้งเศร้าใจ) เหตุเกิดของทุกข์ก็ คือ อารมณ์ที่กระทบ (เรื่องสุขภาพภรรยามากกว่า) ตอนท้องก็ลุ้นมากกว่าครับให้ผ่านช่วง2 3 เดือนแรกให้ได้ (แต่ก็ไม่ผ่าน) ความรู้สึกอยากมีแล้วยังไม่มี ไม่ทุกข์ครับ เพราะคิดไม่ออกว่าเป็นอย่างไร (ไม่เคยจินตนาการว่าลูกออกมาหน้าตาจะเป็นอย่างไร หรือ แม้แต่ ภรรยาท้องจะดูรูปร่างเป็นอย่างไร เหมือนภาพไม่ปรากฏออกมาให้เราเห็น)ตอนนี้หลักปฏิบัติก็มีเรื่องของการกำหนดรู้ปัจจุบันอารมณ์ครับ อันนี้เป็นการฝึกของตนเองที่ไม่เอาเรื่องอื่นเข้ามา ถ้าระหว่างวันก็มีเรื่องสติ ทบทวนกาย (ดูตำแหน่งของกายตั้งแต่หัวจดเท้าครับ แล้วก็ปรับให้เป็นธรรมชาติ เช่น เผลอกระดิกขา มีสติดูตำแหน่งไปเจอก็หยุดการกระทำ)แล้วก็มีเรื่องอายตนะ จะพิจารณาการมอง เช่น ระยะห่างของวัตถุ ตาเราจะโฟกัส ก็จะเข้าไปกำหนดรู้อาการโพกัสของสายตาครับ(ภายในจักษุ)แสงของวัตุถุที่เห็นจึงเป็นแค่การถูกโฟกัส เพราะไม่ได้ไปคิดอะไรกับภาพที่เห็นเท่าไหร่ (มัวแต่สนใจเรื่องโฟกัส)แม้กระทั่งมองจอคอมยังกำหนดโพกัสครับ การได้ยิน ถ้าโสตเกิดการกระทบจากเสียงใดเสียงหนึ่ง ก็จะตามเสียงนั้นจนตามไม่ได้(ไม่ได้ยินเสียงนั้นอีกต่อไป เสียงจึงไม่มีสะสมไว้ ตามคำสอนของพระศาสดา) หลักปฏิบัติเหล่านี้ทำให้เป็นคนที่ไม่ได้เอาความทุกข์มาเป็นอารมณ์ ทำให้เหมือนว่าเราไม่ได้สนใจในความทุกข์ใจทั้งของตนเอง และภรรยา (มัวแต่ยุ่งกับการกำหนดอย่างที่บอกตอนต้น) ก็มีเรื่องสนใจในการกำหนดรู้ทั้งวัน (จริงๆครับ) เบื่อเรื่องจักษุ ก็เป็นเรื่องลมหายใจ เบื่อเรื่องลมหายใจก็ไปเรื่องเสียง เบื่อเรื่องเสียงก็ไปเรื่องการก้าว สลับกันไปครับ จึงเป็นคนที่สนใจเรื่องวิญญาณขันธ์เป็นหลักใหญ่

ตอนกลางคืนก็นั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าออก นั่งไปก็จะพบกับความมืด จักษุธาตุไม่ได้กระทบแสง ก็ตัดจักษุธาตุออกไป มาเป็นเรื่องลมหายใจเข้าออก มีสัญญาขันธ์เข้ามา คือ มองแขนขาลำตัวให้เป็นกระดูก แล้ว มีการกำหนดธาตุไฟ ดูว่าเราตัวอุ่น ตัวเย็น มีการกำหนดเวทนาทางกาย สักพักหนึ่งจิตก็เป็นสมาธิ ก็นั่งต่อไปเรื่อยๆ อย่างเมื่อคืน นั่งจนคันตามใบหน้า เหมือนมีอะไรไต่ ก็คันหนอๆ จนยุบยิบๆ ไม่ไหวก็ถอนจากสมาธิ ก็คร่าวๆอย่างนี้ครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2013, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


กฎกติกา มารยาท ในการแสดงความคิดเห็น
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=11&t=39777

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2013, 10:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องครอบครัว...นี้...มันไม่ใช่เรื่องของคน..คนเดียว...มันมีเรา..กะคู่ของเรา...หากมี..ทาน..ศีล...ภาวนา...เสมอกัน...จะทำอะไร...ต้องการอะไร..ก็ไม่มีปัญหาขัดแย้ง

แต่หาก...ไม่เสมอกัน...อีกคนไม่ต้องการมีลูก...แต่อีกคนต้องการมี....หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง..ยึดสิ่งที่ตนต้องการมากเท่าไร...ปัญหาย่อมตามมาแน่..

..ผู้ที่คลายความยึดของตัวได้ก่อนนั้น..ควรจะเป็นใคร?...ผู้ที่มีคุณธรรมสูง...ย่อมปล่อยความยึดของตัวได้ก่อน

ปฏิบัติธรรมแล้ว...แต่จะเอาแบบนั้นแบบนี้ท่าเดียว...เอาแต่ใจตนท่าเดียว...แบบอื่นไม่ดี..ไม่ถูก...นั้นให้รู้ตัวใว้ซะว่า...ยังอีกไกล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2013, 10:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เรื่องครอบครัว...นี้...มันไม่ใช่เรื่องของคน..คนเดียว...มันมีเรา..กะคู่ของเรา...หากมี..ทาน..ศีล...ภาวนา...เสมอกัน...จะทำอะไร...ต้องการอะไร..ก็ไม่มีปัญหาขัดแย้ง

แต่หาก...ไม่เสมอกัน...อีกคนไม่ต้องการมีลูก...แต่อีกคนต้องการมี....หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง..ยึดสิ่งที่ตนต้องการมากเท่าไร...ปัญหาย่อมตามมาแน่..

..ผู้ที่คลายความยึดของตัวได้ก่อนนั้น..ควรจะเป็นใคร?...ผู้ที่มีคุณธรรมสูง...ย่อมปล่อยความยึดของตัวได้ก่อน

ปฏิบัติธรรมแล้ว...แต่จะเอาแบบนั้นแบบนี้ท่าเดียว...เอาแต่ใจตนท่าเดียว...แบบอื่นไม่ดี..ไม่ถูก...นั้นให้รู้ตัวใว้ซะว่า...ยังอีกไกล


:b8: :b8: :b8:

เออ...เฮ้ย
การเป็นผู้ทรงคุณวุฒินี่ มีผลแฮะ...

:b32: :b32: :b32:

:b8: :b8: :b8:

ได้โปรด สิ่งนี้อย่าได้กร้ำกรายมาครอบงำเอกอนเรย... :b32: :b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 65 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร