วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 12:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 60 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2013, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
SOAMUSA เขียน:

งานสมถะ กับงานวิปัสสนา เป็นคนละงานกัน
หากจะกล่าวก็ต้องกล่าวให้ชัดเจน


พอจะอธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อย
เพื่อเป็นธรรมทานได้หรือเปล่าครับ ..


:b1:

สมถะ ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก หรือสมาธิ คือทำให้จิตสงบตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว
เป็นการบังคับจิตไม่สัดส่ายไปในอารมณ์ใดๆ เมื่อตั้งมั่นนานๆจะทำให้เกิด ฌาน อภิญญา

วิปัสสนา ได้แก่ ปัญญา เป็นการทำงานของปัญญารู้เห็น ตามสภาพหรือสภาวะปัจจุบัน ไม่ได้บังคับจิต
เมื่อเห็นความเป็นจริง วิปัสสนาญานเกิดเพื่อประหานกิเลสโดยองค์มรรค ๘

รายละเอียดนั้นมีอธิบายมีมากมายหาอ่านเองได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2013, 15:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลสแก้ได้ด้วยการเข้าใจ แก้ด้วยการบังคับไม่ได้ ปัญญาคือความรู้จริง ถ้ารู้จริงแล้วกิเลสกลัว สติเท่านั้นที่จะนำพาความรู้จริงให้กิเลสหมดกำลัง แล้วประหารด้วยปัญญาในขั้นโลกุตระจิตมรรคญาณชั้นต่างๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2013, 15:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กายคตานุสติ....ขน...ผม..เล็บ...ฟัน...หนัง...ในกรรมฐาน40 ..เป็นสมถะ....ที่สามารถเป็นวิปัสนาได้ในตัว...ครูบาอาจารย์ว่ามา..

พิจารณาแล้วก็เห็นด้วย...

:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2013, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.ค. 2010, 15:02
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมถะกับวิปัสสนา อยู่ด้วยกัน ไปด้วยกัน เรียกว่าอุดหนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แยกกันไม่ค่อยออก อย่างการพิจารณาขันธ์ห้าว่า เป็นไตรลักษณะนั้น เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา :b16: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2013, 20:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ธ.ค. 2010, 18:22
โพสต์: 70


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
การแก้กิเลสทำไมจึงยาก ?

ไม่ยากหรอกครับ ถ้าเดินตามมรรคแปด :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2013, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมแสดงความคิดเห็น สาธุ .. :b8:

:b1: :b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2013, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
นั้นงั้ย....กิเลสถึงแก้ได้ยาก..อิอิ..
:b12: :b12:

สมาธิ...ถูกวาดภาพใว้แค่...นิ่ง..บื้อ..ใบ้...อย่างเดียวเลย..

มรรค..คงเหลือแค่.7..แล้วมั้ง..?

cry cry


ทำ 7 จะครบ 8
:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2013, 06:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:25
โพสต์: 59

แนวปฏิบัติ: รักษาศีลให้แน่นหนามั่นคง
ชื่อเล่น: Soduku
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจเกิดจากเหตุผลทางนิเวศน์ธรรมชาติที่ต้องการให้ยังคงมีมนุษย์อยู่ดูแลโลกพอสมควรไม่ให้สูญพันธุ์ไปหมด ธรรมชาติจึงทำโปรแกรมการแก้กิเลสให้เป็นสิ่งท้าทายและไม่ให้ง่ายเกินไปแก่มนุษย์ :b10:

ผู้ที่แก้ได้ดีแก้ได้มากก็จะไปสู่แดนสุขคติเช่นมนุษย์ สวรรค์ พรหม และนิพพาน ผู้แก้ได้ไม่ดีหรือต่ำกว่าเกณฑ์ก็จะเข้าสู่แดนทุกขคติ เช่น อสุรกาย เปรต สัตวเดรัจฉาน นรก เป็นต้น

ครูบาอาจารย์ท่านสรุปแยกชั้นของกิเลส ให้เห็นพอเป็นสังเขปตามชั้นความละเอียด ในการปฏิบัติไว้ 3 ประเภทบุคคล ที่ทำความเพียรได้* ดังนี้
ชั้นหยาบ – ได้แก่ อุปกิเลส 16 (สุภาพชนคนสามัญธรรมดาอย่างเราก็พอจะเอาชนะได้)
1. อภิชญาฯ 2. พยาบาท 3. โกธะ 4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)
5. มักขะ 6. ปลาสะ 7. อิสสา 8. มัจฉริยะ
9. มายา 10. สาเถยยะ 11.ถัมภะ 12. สารัมภะ
13. มานะ 14. อติมานะ 15. มทะ 16. ปมาทะ
ชั้นกลาง - ละเอียดเข้าไปที่นอนนิ่งอยู่ในใจ (เป็นวิสัย ของกัลยาณชน) ได้แก่ อนุสัย 7
1. กามราคะ 2. ปฏิฆะ 3. ทิฎฐิ 4. วิจิกิจฉา
5. มานะ 6 ภวราคะ 7. อวิชชา
ชั้นละเอียด - เป็นกิเลสชั้นสังโยชน์ 10 (ต้องเป็นพระอริยบุคคลจึงจะตัดขาด และหากละได้หมดทุกข้อก็จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์)
1. สักกายฯ 2. วิจิกิจฉา 3. สีลพพตฯ 4. กามราคะ 5. ปฏิฆะ
6. รูปราคะ 7. อรูปราคะ 8. มานะ 9. อุทธัจจะ 10. อวิชชา

*ที่มา: ปิ่น มุทกันต์, สนิมในใจ - กทม. (บ.สร้างสรรค์บุ๊คส์ พิมพ์ครั้งแรก: ก.พ. 2549) ISBN 974-341-356-1 :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2013, 15:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...แก้ง่ายได้ไงกันล่ะ...ขนาดพระสมณโคดมพุทธเจ้า...ยังบำเพ็ญบารมีมาตั้งกว่า 20 อสงไขย...
...กว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์นั้นก็เป็นของยาก...ไม่ง่ายที่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์...
...คนส่วนใหญ่ต่างบ่นว่าทุกข์ แล้วก็โทษคนอื่น โทษดิน ฟ้า อากาศ แม่น้ำ ป่าไม้ ภูเขา ว่าผิด ไม่ดี...
...มองไม่เห็นโทษตน ใช้กิเลสตนเองตัดสิน ซึ่งพระพุทธเจ้าบอกว่าให้สำรวมกาย วาจา ใจตนแต่ทำไม่ได้...
...ก็เพ่งโทษแต่สิ่งภายนอกตนเอง แล้วก็กระทำไปตามที่ใจตนเองต้องการ มันก็แก้กิเลสได้ยากตรงนี้เอง...
:b12: :b13:
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2013, 01:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 พ.ค. 2013, 13:08
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กลับมามองที่ตนเองเมื่อไหร่ ก็แก้ไขสิ่งไม่ดีได้ โดยไม่ยาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bool เขียน:
กลับมามองที่ตนเองเมื่อไหร่ ก็แก้ไขสิ่งไม่ดีได้ โดยไม่ยาก
:b20: :b4:
ถูกต้องครับ แต่ส่วนใหญ่มักเห็นแต่คนอื่นแหละ ที่บกพร่อง ควรแก้ไข
ส่วนตัวเองดีที่ซู๊ดดด ..


:b32:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณน้องก็เป็นค่ะ ชอบสอดส่องยุ่งเรื่องของผู้อื่น สมัยก่อน แต่แปลกคุณน้องไม่เคยวิพากวิจารณ์พระสงฆ์องค์เจ้า ถึงจะรู้ว่าเกิดอะไรคุณน้องจะพิจารณาไว้ในใจให้แยบคาย บางครั้งเราเห็นใครทำอะไรขัดความรู้สึกตนก็อดไม่ได้ จริงมั้ย อิอิ ประมาณว่าเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้ผู้อื่น :b32: ทั้งที่จิตของตนเตลิดไปถึงไหนต่อไหนก็ยังไม่รู้ รวมถึงตัวคุณน้องเองด้วยนะ :b32: คุณน้องกลัวว่าจะเกิดฌานอกุศลจิตโดยไม่รู้ตัว เพราะชอบเพ่งออกไปแต่ภายนอกยิ่งนึกคิดเรื่องอะไรไม่ดีแล้วละก็ :b14:(คล้ายๆพวกสไนเปอร์นักแม่นปืน สมาธิสูงมากพวกนี้ลั่นไกนัดเดียว จบเห่ :b32: ) แต่คุณน้องจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดในใจตนขณะนั้นเป็นเป็นมิจฉาหรือสัมมาสติ ถ้าเป็นมิจฉาสติคุณน้องจะไม่โพล่งออกไปแต่จะระลึกรู้ว่าตอนนี้จิตเราเป็นโทสะหรือโมหะ ต้องหยุดเพ่งออกไปภายนอกต้องเอาสติมารู้อยู่ในกายของตน เพราะถ้าเพ่งออกไปข้างนอกตอนอารมณ์กับจิตปนกันเหมือนข้าวเหนียวมูน :b32: แม่เจ้า ยิ่งกับผู้มีศีลมีบารมีเหนือกว่าตนไม่ค่อยอยากจะลองของ s002 เลยไม่กล้าเสี่ยง ไม่ใช่จะได้กำไรมีแต่ขาดทุนกับขาดทุน แบบว่า จิตใต้สำนึกมันจะย้ำเตือนว่า นรกไม่เอาแล้วกลัวแล้วชาตินี้ตูจะไม่ยอมลงนรกพอกันทีตูลงนรกบ่อยแล้ว55(แต่พวกยังไม่เคยลงมันมะคิดงั้นหรอกมันต้องลงไปลิ้มรสชาติก่อนเหมือนพวกบอกไม่ฟังต้องเจอไม้เรียว :b32: ) :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 18:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



นั่นแหละ สำหรับผู้ที่ฝึกสมาธิจนได้รูปฌาน อรูปฌาน ท่านจึงห้ามสาปแช่งผู้อื่น
หากเขาเป็นไปตามที่เราพูด บาปกรรมก็ตกแก่เรา .. ถ้าผู้ถูกแช่งไม่ได้มีภัยกับเรา
หรือมีคุณธรรมเหนือเรา กรรมนั้นจะย้อนเข้ามาหาเราเอง ..

ดั่งชาดกเรื่องนี้ ..

พราหมณ์โพธิสัตว์ สร้างอาศรมเหนือน้ำ พราหมณ์อีกคนสร้างท้ายน้ำมาเห็นเข้า
เกิดความไม่พอใจ โกรธ จึงสาปแช่งพระโพธิสัตว์ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้เช้า
ให้ศรีษะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ปรากฎว่ารุ่งเช้าพระอาทิตย์ไม่ยอมขึ้น ..

หลายวันเข้าชาวบ้านเดือดร้อน พระราชาให้ไต่สวน ได้ความว่า หากพระอาทิตย์ขึ้น
ศรีษะของพรามณ์ที่อยู่ท้ายน้ำจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง พราหมณ์โพธิสัตว์จึงหยุดพระอาทิตย์ไว้

เพื่อรักษาชีวิตของพราหมณ์ พระโพธิสัตว์จึงให้เอาขี้วัวโป๊ะหัวพราหมณ์ไว้แล้วให้ลงไปลอย
คอในน้ำโผล่มาเฉพาะหัว แล้วจึงคลายมนต์ ให้พระอาทิตย์ขึ้น พอแสงพระอาทิตย์โดนหัวพราหมณ์
ขี้วัวก็แตกเป็นเจ็ดเสี่ยง พราหมณ์จึงรอดตาย .. ฉะนี้แล

:b32: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 18:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สงสัย....คำแช่ง....ตาไม่ดี..เห็นอะไรตะคุ้ม ๆ...กลม ๆ..ก็นึกว่าเป็นศรีษะ...

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 20:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ยากจะเรียกกิเลสเหรอครัย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 60 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 60 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร