วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 10:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2012, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ในอริยสัจ หรือ ทุกขอริยสัจ ก็คือ สภาวะที่เป็นทุกข์ในไตรลักษณ์นั่นเอง ซึ่งมาเป็นที่ตั้งที่อาศัยที่ก่อเกิดเป็นปัญหาขึ้นแก่มนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ทำให้เป็นปัญหาขึ้นมา

ขยายความว่า สังขารทั้งหลายถูกบีบคั้นตามธรรมดาของมัน โดยเป็นทุกข์ในไตรลักษณ์ และสังขารเหล่านั้นนั่นแหละ เมื่อคนไม่รู้เท่าทันและปฏิบัติจัดการไม่ถูก มันก็ก่อความบีบคั้นขึ้นแก่คน โดยเป็นทุกข์ในอริยสัจ (แต่การที่มันจะกลายเป็นของบีบคั้นคนขึ้นมาได้ ก็เพราะมันเองเป็นสภาวะที่ถูกบีบคั้น โดยเป็นทุกข์ในไตรลักษณ์ จึงไม่อาจเป็นไปได้ที่มันจะให้ความสมอยากเต็มแท้แน่จริงแก่คน)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2012, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ 3 เป็นหลักธรรมที่แสดงความหมายของทุกข์ในไตรลักษณ์ โดยคลุมความเป็นทุกข์ของเวทนาทั้ง 3 และโยงเข้าสู่ความเข้าใจทุกข์ในอริยสัจ มีดังนี้

๑) ทุกขทุกขตา หรือ ทุกขทุกข์ ทุกข์ที่เป็นความรู้สึกทุกข์ ได้แก่ ความทุกข์ทางกายและความทุกข์ทางใจ อย่างที่เข้าใจกันโดยสามัญ ตรงตามชื่อและตามสภาพ เช่น ความเจ็บปวด ไม่สบาย เมื่อยขบ เป็นต้น หมายถึง ทุกขเวทนานั่นเอง


๒) วิปริณามทุกขตา หรือ วิปริณามทุกข์ ทุกข์เนื่องด้วยความผันแปร หรือทุกข์ที่แฝงอยู่ในความแปรปรวน ได้แก่ ความรู้สึกสุขหรือสุขเวทนา ซึ่งเมื่อว่าโดยสภาวะที่แท้จริง ก็เป็นเพียงทุกข์ในระดับหนึ่งหรือในอัตราส่วนหนึ่ง สุขเวทนานั้น จึงเท่ากับเป็นทุกข์แฝง หรือมีทุกข์ตามแฝงอยู่ด้วยตลอดเวลา ซึ่งจะกลายเป็นความรู้สึกทุกข์ หรือก่อให้เกิดทุกข์ได้ในทันทีที่เมือใดก็ตามสุขเวทนานั้นแปรปรวนไป
พูดอีกนัยหนึ่งว่า สุขเวทนานั้น ก่อให้เกิดทุกข์เพราะความไม่จริงจังไม่คงเส้นคงวาของมันเอง


๓) สังขารทุกขตา หรือ สังขารทุกข์ ทุกข์ตามสภาพสังขาร คือ สภาวะของสังขารทุกสิ่งทุกอย่าง หรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดจากเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ 5 ทั้งหมด เป็นทุกข์ คือ เป็นสภาพที่ถูกบีบคั้นกดดันด้วยการเกิดขึ้น และการเสื่อมสลายของปัจจัยต่างๆ ที่ขัดแย้ง ทำให้คงอยู่ในสภาพเดิมมิได้ ไม่คงตัว

ทุกข์ข้อที่สามนี้ คลุมความของทุกข์ในไตรลักษณ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2012, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ nong พี่กุ้งพูดต้องมีตัวอย่างประกอบ

อ้างคำพูด:
เมื่อคืนนั่งสมาธิแล้วมีอาการแบบมีเสียงเหมือนแหลม ยาวๆ ตอนนี้ก็ยังไม่หายครับ อยากสอบถามผู้รู้ว่ามันคืออะไร แล้วมันจะหายไปมั้ยครับ

http://board.palungjit.com/f4/มีเสียงในหู-เหมือนจั๊กจั่นร้อง-395704.html


นี่ก็ทุกข์ "สังขิตเตน ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา" ถึงว่าถ้ามันง่ายเหมือนใจต้องการคงดี แต่มันไม่ง่ายเหมือนปากพูดดิ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2012, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


โค้ด:
เมื่อจิตเห็นทุกข์กำหนดรู้ แล้วละมันเสีย


กำหนดรู้แล้วละได้ น่ายินดีอยู่ แต่คุณน้องอย่าเพิ่งคิดไปเลยว่านี่คือดีที่สุดแล้ว ที่ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ก็ยังมีอยู่

ทุกข์ที่ละไปแบบนั้นหายไปก็จริง แต่หายไปแค่ชั่วครั้งชั่วคราวไม่ใช่หรือ ถ้ามีสติทันก็อาจจะละได้บ่อยครั้งอยู่ แต่ถ้าเผลอไปพอเจอเรื่องเดิมทุกข์ก็เกิดขึ้นอีกทุกทีไม่ใช่หรือ ข้อนี้คุณน้องคงเห็นกับตัวเองอยู่บ้างแล้ว

เพราะละแบบนี้ดีก็จริง ก็เหมือนการรักษาโรค ถึงยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ การกินยาบรรเทาอาการเป็นครั้งๆไปก็นับว่าดีกว่าการปล่อยไปตามยถากรรมอยู่มาก แต่ถามว่าโรคหายไปจริงๆหรือยัง ไม่หรอก โรคยังอยู่เหมือนเดิม แต่ยาของเรากดอาการของมันไว้ พอฤทธิ์ยาหมด โรคก็กลับกำเริบใหม่ได้

หายแบบไม่สนใจก็มี หายเป็นขณะๆแบบตทังคปหานก็มี หายถาวรแบบสมุทเฉทประหานก็มี เราทุกข์ หากทำให้ทุกข์หายไปชั่วครู่ชั่วคราวได้ก็ควรคว้าไว้ก่อน แต่ควรหรือจะเผลอเพลินหรือพอใจอยู่แค่นี้กับการหายทุกข์ชั่วครู่ชั่วคราว เพราะนี่ยังไม่ใช่ที่สุด สิ่งที่เหนือกว่านั้นยังมีอยู่

จะละทุกข์ให้หายขาดต้องใช้ยาที่มุ่งเป้าไปที่ตัวเชื้อโรค ตัวต้นเหตุ ตัวสมุทัย กำหนดรู้ทุกข์แล้ว เป็นโอกาสดีแล้ว อย่าลืมใช้โอกาสนี้พิจารณาสาวลึกเข้าไปเพื่อหาต้นเหตุ คุณน้องอย่าลืมข้อนี้นะ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 03:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
คุณน้องครับ อ่านตำราเข้าใจตำราก็มีประโยชน์มากอยู่ แต่ความเข้าใจอริยสัจ 4 จากตำรา กับความเข้าใจอริยสัจ 4 จากภายในตัวเราไม่เหมือนกัน เหมือนคนจะหัดทำกับข้าว อ่านตำราเข้าใจ สอนคนอื่นได้ พูดมีเหตุผลตรงตามตำราทุกประการ คนที่เก่งมากๆ อาจจะพูดสอนคนอื่นได้วิจิตรพิศดารน่าฟังกว่าสุดยอดแม่ครัวอีกด้วยซ้ำ ลองคิดถึงคนที่จบเอกด้านการทำอาหารจากต่างประเทศ กับแม่ครัวร้านข้าวแกงที่เราชอบกินดูก็ได้ ใครพูดสาธยายเรื่องการทำกับข้าวเก่งกว่า และใครทำกับข้าวถูกปากเรามากกว่า ความเข้าใจจากตำราเป็นอย่างนี้ ซึ่งก็นับว่าดีไม่เบาอยู่ แต่ถามว่าเอาไปใช้งานใช้การได้หรือยัง อาจจะยังได้ไม่เต็มที่นัก เพราะคนๆนี้จะทำกับข้าวออกมาให้เหมือนตำราในทันทียังไม่ได้หรอก เพราะว่าความชำนาญไม่มี ยังไม่เคยฝึกทำดูจริงๆเลย พอต้องเริ่มทำจริงๆ เขาโยนผักโยนปลามาให้อาจจะงง ไปไม่เป็น จะหยิบจะทำอะไรรู้สึกเก้ๆกังๆ ติดขัดไปหมด แบบนี้คือขาดความรู้ในขั้นภาวนา คือขาดความชำนาญในการลงมือทำงาน

คุณคนธรรมดา พูดจาเหมือนคนไม่มีสมาธินะครับ พูดสับสนวุ่นวายกับคำพูดของตัวเอง
ไม่แยกแยะบุคคลกับคำพูดออกจากกัน เอาคำพูดตัวเองไปใส่คำพูดของบุคคลที่ตัวกล่าวอ้าง
พูดถึงตำรา พูดถึงแม่ค้าแล้วก็เอามาผสมกันวุ่นวายไปหมดครับ

มันต้องแยกกันก่อนซิครับระหว่างผู้สอน ตำราและผู้รับคำสอนหรือผู้ปฏิบัติ
คุณธรรมดาคุณตั้งสติฟังผมนะครับ อย่าเอาคนสอนกับคนฟังไปผสมปนเปกัน
คนสอนก็คือคนสอน คนฟังก็คือคนที่ต้องฟังที่ต้องเอาคำสอนไปปฏิบัติอีกทีหนึ่ง

ฉะนั้นคุณสมบัติของคนสอน จะต้องมีความสามารถในการถ่ายทอด
พุทธพจน์เพี่อให้ผู้อื่นเข้าใจ ยังไม่ต้องไปพูดถึงการปฏิบัติ
โสดาบันสามารถถ่ายทอดคำสอนหรือพุทธพจน์ ให้ปุถุชนเข้าใจและบรรลุธรรมเกินหน้าตนก็ได้
สมมุติสงฆ์ก็สามารถสอนให้เณรบรรลุอรหันก่อนตนก็ได้


ประเด็นที่ทำให้คุณธรรมดาสับสนก็คือ ไม่แยกแยะปริยัติกับปฏิบัติออกจากกัน
โปรดจำไว้เสมอว่า ที่ต้องมี ตำรา ผู้สอนหรือพระสงฆ์ก็เพราะ พระพุทธองค์ไม่มีแล้ว
มีแต่พระธรรม ตำราพุทธพจน์จึงมีความสำคัญ เราไม่ใช่พระพุทธเจ้าถึงจะรู้เองได้
มันต้องอาศัยความเข้าใจในปริยัติเสียก่อน


ถ้าเราเอาประเด็นนี้ไปประมวลกับการตั้งกระทู้ของลุงหมาน ลุงหมานตั้งกระทู้โดยมี
เจตนาจะสอนคนครับ แต่แกไม่มีคุณสมบัติ ที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจในสิ่งที่แกกำลังพูด
ลุงหมานไม่มีนิสัยแห่งความเป็นครู ดูได้จากแกจะโกรธเมื่อมีผู้มาซักไซ้ในสิ่งที่แกพูด

ผมพูดผิดมั้ยครับลุงหมาน :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 04:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


เชิญคุณโฮฮับตามสบายเลยครับ ที่ผมตอบไปในนี้ ผมตั้งใจให้คุณน้อง ผมให้ได้แค่นี้ผมก็ให้แค่นี้ คุณน้องเขาจะรับไปหรือไม่รับ หรือใครคนอื่นจะมาเก็บใจความไปได้หรือไม่ได้ ใครจะบอกว่าดีหรือไม่ดี เอาไปคิดไตร่ตรองดูหรือไม่เอา สุดวิสัยของผมที่จะทำอะไรได้ ดังนั้นก็ขอเชิญต่อตามสบายหากท่านไหนต้องการจะต่อ

ของมันก็เป็นของมันแบบนี้ ใครจะมองว่าเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้มอง แต่ไม่ว่าจะมีใครมองหรือไม่มองยังไงของชั้นนั้นก็จะยังคงเป็นแบบนั้นของมันเหมือนเดิม

ผมก็เพียงแค่คนๆหนึ่ง ที่แสดงความคิดเห็นตามที่ตัวเองคิดเห็น เหมือนที่คุณโฮฮับพุดอยู่เสมอว่าทุกคนในเวบบอร์ดนี้มีสิทธิ์ที่จะทำได้เท่านั้นเอง

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 04:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
ตัววัดมีอยู่ เราปฎิบัติเพื่อไม่ให้ทุกข์เกิดไม่ใช่หรือ ก็เอาทุกข์วัดใจตัวเองดูสิ ถ้าเรามาถูกต้องจนถึงขั้นปฎิเวธแล้ว ทุกข์เนื่องจากเรื่องที่เราพิจารณาจนขาดทะลุไปแล้วก็ต้องหายไป ไม่ใช่หายชั่วคราวด้วย ต้องหายแบบเกิดขึ้นไม่ได้อีกเลย เจอเรื่องเดิมใจไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือน ไม่ทุกข์เลยแม้สักเล็กน้อย
แล้วจริงๆแล้วทุกข์ของเราต่อเรื่องพวกนั้นหายไปแน่แล้วหรือยัง

ถามหน่อยครับ เห็นพวกคุณพูด ทุกข์อริยสัจจ์ แล้วก็จ้อไปต่างๆนา
ไอ้ที่พวกคุณกำลังพูดกันอยู่น่ะมันเป็น....ทุกข์ของโยคี ทุกข์ของฤษี

ทุกข์ของพระพุทธเจ้า คือการ เกิด แก่ เจ็บและตาย...เข้าใจมั้ย :b13:
คนธรรมดาๆ เขียน:
อริยสัจ 4 เริ่มต้นจากความทุกข์ ขณะนี้คุณทุกข์กับเรื่องอะไร คุณก็ตามความทุกข์อันนั้นไป นี่แหละทางที่ครูบาอาจารย์ท่านชี้ พิจารณาหาเหตุผลของความทุกข์ ทำไมทุกข์ อะไรทำให้ทุกข์ ถ้าทำแบบนี้ได้ถูกต้อง คุณก็จะเข้าใจกลไลการเกิดของความทุกข์ คิดในมุมกลับคุณก็จะเข้าใจกลไกการดับของทุกข์

ทุกข์อริยสัจจ์ ไม่ใช่ตัวทุกข์ แต่เป็นวิชชาหรือการรู้ทุกข์ รู้ว่าทุกข์คืออะไรเพื่อที่จะดับมันเสีย
ทุกข์ที่แท้จริงมันเป็น อวิชาในวงปฏิจสมุบาท
คนธรรมดาๆ เขียน:
ในเกมส์โดมิโน ถ้าผลักถูกตัวแล้ว โดมิโนล้มตัวเดียว ตัวอื่นๆก็จะล้มตามเป็นทอดๆจนล้มหมดทุกตัว นี่คือการทำเหตุให้ถูกต้อง หรือปฎิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ในอริยสัจ 4 เราเริ่มที่อริยสัจแรก ต้องสนใจพิจารณาทุกข์ให้มาก เพราะนี้ละเป็นเหตุเริ่มแรก ถ้าทำถูกทางเดี๋ยวอีก 3 อริยสัจที่เหลือก็จะเกิดตามมาเอง ถึงจะไม่เคยรู้จักอีก 3 อริยสัจที่เหลือเลยก็ตาม

โดมิโน่อะไรของคุณครับ อริยสัจสี่คือ การทำสิ่งที่ไม่มีให้มันมีหรือเกิดขึ้น
นั้นก็คือทำอริยสัจจ์สี่ให้เกิดขึ้นนั้นเอง ดังนั้นทุกข์ในอริยสัจจ์ ไม่ได้มีไว้ให้ดับหรือผลัก
เป็นตัวโดมิโน :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 04:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
เชิญคุณโฮฮับตามสบายเลยครับ ที่ผมตอบไปในนี้ ผมตั้งใจให้คุณน้อง ผมให้ได้แค่นี้ผมก็ให้แค่นี้ คุณน้องเขาจะรับไปหรือไม่รับ หรือใครคนอื่นจะมาเก็บใจความไปได้หรือไม่ได้ ใครจะบอกว่าดีหรือไม่ดี เอาไปคิดไตร่ตรองดูหรือไม่เอา สุดวิสัยของผมที่จะทำอะไรได้ ดังนั้นก็ขอเชิญต่อตามสบายหากท่านไหนต้องการจะต่อ

ของมันก็เป็นของมันแบบนี้ ใครจะมองว่าเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้มอง แต่ไม่ว่าจะมีใครมองหรือไม่มองยังไงของชั้นนั้นก็จะยังคงเป็นแบบนั้นของมันเหมือนเดิม

ผมก็เพียงแค่คนๆหนึ่ง ที่แสดงความคิดเห็นตามที่ตัวเองคิดเห็น เหมือนที่คุณโฮฮับพุดอยู่เสมอว่าทุกคนในเวบบอร์ดนี้มีสิทธิ์ที่จะทำได้เท่านั้นเอง

ความเห็นของคุณถ้ามองผ่านๆ มันเหมือนคำพูดที่แฟร์ๆ ประเภทไม่ถือสาหาความ
แต่ดูให้ดีแล้ว มันเป็นการกระทบกระเทียบและแก้เกี่ยวเพราะไปไม่ถูก ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาพูด

คุณธรรมดาครับ ถ้าคุณคิดอย่างผมว่าทุกคนมีสิทธิ์ แล้วคุณจะมาพูดจากระทบกระเทียบผมทำไมครับ
จะพูดจาแก้เกี่ยวทำไมแทนที่จะหาเหตุผลมาคุยกับเขา หรือถ้าหาเหตุผลไม่ได้ ก็ยอมรับ
หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ใช่มาแสดงความเห็นที่ประจานตัวเองแบบนี้ครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 04:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




380970_255696507893321_1037505004_n.jpg
380970_255696507893321_1037505004_n.jpg [ 39.4 KiB | เปิดดู 2413 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
รีบๆเข้าเถอะเดี๋ยวเวลาจะหมด จะไปทางไหนก็ไป

ผมก็อยู่ลานธรรมแห่งนี้ที่เดียว ลานธรรมนี้ก็เหมือนบ้านผม
ลุงถืออภิสิทธิอะไรมาไล่ผมครับ

จะแนะนำให้ครับ ถ้าลุงอยากให้ผมไปเสียให้พ้นหูพ้นตา
ลุงต้องเอาความรู้ทางธรรมมาใช้กับผม ต้องทำให้ผมอาย
ที่ไปปรามาสลุงว่าไม่ได้มีอะไรในธรรมเลย .........
ต้องเอาความรู้ทางธรรมมาปราบพยศผม
ไม่ใช่เอะอะใส่อารมณ์พาลแบบนี้ครับ :b13:

เราไม่สามารถสอนให้มันทำตามได้
http://vclub.fix.gs/index.php?topic=188 ... een#msg386

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงหมาน เมื่อ 10 ธ.ค. 2012, 06:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 05:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโฮฮับ ผมรู้สึกอย่างไรผมรู้ของผม คุณรู้สึกอย่างไรคุณย่อมรู้ของคุณ

คุณจะเขียนตอบผมกี่ครั้ง ถ้ายังเป็นไปในลักษณะเดิมแบบนี้ คำตอบของผมก็จะยังคงเป็นอันนี้เหมือนเดิม

โค้ด:
เชิญคุณโฮฮับตามสบายเลยครับ ที่ผมตอบไปในนี้ ผมตั้งใจให้คุณน้อง ผมให้ได้แค่นี้ผมก็ให้แค่นี้ คุณน้องเขาจะรับไปหรือไม่รับ หรือใครคนอื่นจะมาเก็บใจความไปได้หรือไม่ได้ ใครจะบอกว่าดีหรือไม่ดี เอาไปคิดไตร่ตรองดูหรือไม่เอา สุดวิสัยของผมที่จะทำอะไรได้ ดังนั้นก็ขอเชิญต่อตามสบายหากท่านไหนต้องการจะต่อ

ของมันก็เป็นของมันแบบนี้ ใครจะมองว่าเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้มอง แต่ไม่ว่าจะมีใครมองหรือไม่มองยังไงของชั้นนั้นก็จะยังคงเป็นแบบนั้นของมันเหมือนเดิม

ผมก็เพียงแค่คนๆหนึ่ง ที่แสดงความคิดเห็นตามที่ตัวเองคิดเห็น เหมือนที่คุณโฮฮับพุดอยู่เสมอว่าทุกคนในเวบบอร์ดนี้มีสิทธิ์ที่จะทำได้เท่านั้นเอง


เหตุผมก็บอกก็อยู่ในนี้ ผลผมก็บอกก็อยู่ในนี้ คุณจะคิดว่าเป็นยังไง ดีไม่ดี แก้เกี้ยวไม่แก้เกี้ยว ประจานตัวเองไม่ประจานตัวเอง มีเหตุผลไม่มีเหตุผล คำตอบของผมก็ยังคงเป็นแบบนี้ คุณแก้ให้เป็นไปตามที่คุณอยากไม่ได้หรอก เหมือนที่ผมทำให้คุณเห็นด้วยตามที่ผมอยากไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นนี่คงเป็นการตอบครั้งสุดท้ายของผม ครั้งอื่นๆถ้าผมไม่ได้ตอบยังไงก็ขอให้ถือว่านี่คือคำตอบของผมเสมอไปก็แล้วกัน

สวัสดีครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


แก้ไขล่าสุดโดย คนธรรมดาๆ เมื่อ 10 ธ.ค. 2012, 08:37, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 06:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




pk_smt541128_05.jpg
pk_smt541128_05.jpg [ 151.6 KiB | เปิดดู 2404 ครั้ง ]
pk_smt541128_03.jpg
pk_smt541128_03.jpg [ 147.14 KiB | เปิดดู 2404 ครั้ง ]
pk_smt550625_03.jpg
pk_smt550625_03.jpg [ 140.23 KiB | เปิดดู 2404 ครั้ง ]
การศึกษาธรรมะจะให้ดีได้ต้องศึกษาอย่างเป็นระบบ ต้องศึกษาในห้องเรียน


http://www.baanaree.net/index.php?optio ... itstart=20

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงหมาน เมื่อ 10 ธ.ค. 2012, 07:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 07:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Y11481587-31.gif
Y11481587-31.gif [ 21.34 KiB | เปิดดู 2402 ครั้ง ]
imagesCAOXAREB.jpg
imagesCAOXAREB.jpg [ 12.71 KiB | เปิดดู 2402 ครั้ง ]
"ผมก็อยู่ลานธรรมแห่งนี้ที่เดียว ลานธรรมนี้ก็เหมือนบ้านผม
ลุงถืออภิสิทธิอะไรมาไล่ผมครับ"

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
คุณโฮฮับ ผมรู้สึกอย่างไรผมรู้ของผม คุณรู้สึกอย่างไรคุณย่อมรู้ของคุณ

คุณจะเขียนตอบผมกี่ครั้ง ถ้ายังเป็นไปในลักษณะเดิมแบบนี้ คำตอบของผมก็จะยังคงเป็นอันนี้เหมือนเดิม

โค้ด:
เชิญคุณโฮฮับตามสบายเลยครับ ที่ผมตอบไปในนี้ ผมตั้งใจให้คุณน้อง ผมให้ได้แค่นี้ผมก็ให้แค่นี้ คุณน้องเขาจะรับไปหรือไม่รับ หรือใครคนอื่นจะมาเก็บใจความไปได้หรือไม่ได้ ใครจะบอกว่าดีหรือไม่ดี เอาไปคิดไตร่ตรองดูหรือไม่เอา สุดวิสัยของผมที่จะทำอะไรได้ ดังนั้นก็ขอเชิญต่อตามสบายหากท่านไหนต้องการจะต่อ

ของมันก็เป็นของมันแบบนี้ ใครจะมองว่าเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้มอง แต่ไม่ว่าจะมีใครมองหรือไม่มองยังไงของชั้นนั้นก็จะยังคงเป็นแบบนั้นของมันเหมือนเดิม

ผมก็เพียงแค่คนๆหนึ่ง ที่แสดงความคิดเห็นตามที่ตัวเองคิดเห็น เหมือนที่คุณโฮฮับพุดอยู่เสมอว่าทุกคนในเวบบอร์ดนี้มีสิทธิ์ที่จะทำได้เท่านั้นเอง


เหตุผมก็บอกก็อยู่ในนี้ ผลผมก็บอกก็อยู่ในนี้ คุณจะคิดว่าเป็นยังไง ดีไม่ดี แก้เกี้ยวไม่แก้เกี้ยว ประจานตัวเองไม่ประจานตัวเอง มีเหตุผลไม่มีเหตุผล คำตอบของผมก็ยังคงเป็นแบบนี้ คุณแก้ให้เป็นไปตามที่คุณอยากไม่ได้หรอก เหมือนที่ผมทำให้คุณเห็นด้วยตามที่ผมอยากไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นนี่คงเป็นการตอบครั้งสุดท้ายของผม ครั้งอื่นๆถ้าผมไม่ได้ตอบยังไงก็ขอให้ถือว่านี่คือคำตอบของผมเสมอไปก็แล้วกัน

สวัสดีครับ

คุณจะตอบหรือไม่ มันไม่ใช่ปัญหาเลยครับ ผมถึงได้บอกคุณไงว่า.......
"ถ้าหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ก็ควรจะเงียบหรือทำไม่รู้ไม่ชี้
ไม่ใช่มาทนทู่ซี้ประจานตัวเอง"


อย่างคุณคนธรรมดายังไม่ถีงกับน่าเกลียด เพราะอายุยังไม่มาก
แต่ไอ้ที่น่าเกลียดน่าอายแทน มันเป็นพวกคนที่ใช้คำนำหน้านามว่า....ลุง

คนใช้คำนำหน้านามว่า..ลุง แสดงว่าอายุอานามคงไม่น้อยแล้ว
เรียกได้ว่าเป็นผู้มีวัยวุฒิ แต่แปลกใจทำไมนายหมาน ผู้ใช้คำนำหน้าว่า..ลุง
ถึงแสดงอาการเหมือนเด็กวัยรุ่น เอะอะโวยวาย บางครั้งก็เป็นเด็กอนุบาลชอบ
เล่นรูปภาพ เอารูปภาพมาจินตนาการไปต่างๆนา :b32:


ลุงหมานอยากได้ดินสอสีซักกล่องมั้ย
ผมจะส่งไปให้ จะได้เอาไว้ระบายรูป :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
การศึกษาธรรมะจะให้ดีได้ต้องศึกษาอย่างเป็นระบบ ต้องศึกษาในห้องเรียน

ลุงหมานนี่มันเพี้ยนไปกันใหญ่ ผมว่าลุงๆป้าๆในรูปกลับบ้านไปนั่งเลี้ยงหลานไม่ดีกว่าหรือ
อรหันต์ไม่ใช่ ด็อกเตอร์น่ะ
และนิพพานก็ไม่ใช่ปฏิญาเอกด้วย


"เล็กๆไม่เรียนหนังสือ แก่ขึ้นมา เลยไม่ยอมเลี้ยงหลาน" :b35:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ทุกข์ในอริยสัจ หรือ ทุกขอริยสัจ ก็คือ สภาวะที่เป็นทุกข์ในไตรลักษณ์นั่นเอง ซึ่งมาเป็นที่ตั้งที่อาศัยที่ก่อเกิดเป็นปัญหาขึ้นแก่มนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ทำให้เป็นปัญหาขึ้นมา

มันใช่ซะที่ไหนกันเล่า ทุกข์ในไตรลักษณ์ มันไม่ใช่สภาวะที่เป็นทุกข์
ทุกข์ในไตรลักษณ์เป็นการรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่สภาวะที่เป็นทุกข์

อนิจจัง ทุกข์ขัง หมายความว่า....ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์
เพราะปุถุชน ไม่รู้ว่าสังขารไม่เที่ยง จึงไม่รู้ทุกข์ แบบนี้ถึงเรียกว่า...เป็นทุกข์ เป็นอวิชา

ไตรลักษณ์ เป็นวิชชา เป็นผู้รู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์
คนไม่มีไตรลักษณ์ เป็นปุถุชนผู้เป็นอวิชา ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ จึงเป็นทุกข์
เข้าใจมั้ย
กรัชกาย เขียน:
ขยายความว่า สังขารทั้งหลายถูกบีบคั้นตามธรรมดาของมัน โดยเป็นทุกข์ในไตรลักษณ์ และสังขารเหล่านั้นนั่นแหละ เมื่อคนไม่รู้เท่าทันและปฏิบัติจัดการไม่ถูก มันก็ก่อความบีบคั้นขึ้นแก่คน โดยเป็นทุกข์ในอริยสัจ (แต่การที่มันจะกลายเป็นของบีบคั้นคนขึ้นมาได้ ก็เพราะมันเองเป็นสภาวะที่ถูกบีบคั้น โดยเป็นทุกข์ในไตรลักษณ์ จึงไม่อาจเป็นไปได้ที่มันจะให้ความสมอยากเต็มแท้แน่จริงแก่คน)

เละแล้ว สังขารมันเป็นอนิจจัง มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปตามธรรมชาติ มันไม่ต้องมีใครไปบีบ
ไปคั้นมันหรอก
ไอ้ที่ถูกบีบคั้นมันเป็นใจของเรา ที่พยายามยึดมั่นสังขารนั้น ความอยากให้มัน
คงทน ไม่อยากให้ไปไปจากจิตใจ แบบนี้เขาเรียกสภาวะบีบคั้น :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 58 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร