วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 13:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 05:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
คุณเคยได้ยินเรื่องผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปติเตียนภิกษุณีมั้ยที่ต้องเกิดเป็นหญิงโสเภณีตั้งหลายร้อยชาติมั้ย มันเกิดแต่แรงกรรมทั้งนั้น

จะสอนให้วันหน้าวันหลัง จะเอาเรื่องมาถาม จะต้องแน่ใจว่าผู้ที่ถูกถาม
เคยได้ยินหรือผ่านตามาก่อน ถ้าไม่แน่ใจต้องเอาเนื้อหาที่แท้จริงมาโพสให้เขาดู
ไม่งั้นชาวบ้านเขาจะหาว่า คุณแต่งเรื่องขึ้นมาเองทั้งๆที่เป็นเรื่องจริง
เหมือนกับที่ชอบอ้างพุทธพจน์แล้วหาพระไตรปิฎกมาอ้างอิงไม่ได้ทำนองนั้น

จะอธิบายเรื่องที่คุณเอามาอ้างให้ฟัง แรงกรรมที่ว่า มันไม่ใช่อยู่ตรงที่
การใช้วาจาไปว่ากล่าวอะไรกับภิกษุณี แต่มันอยู่ที่จิตไปยึดอะไรไว้

ตัวอย่าง ถ้าผู้หญิงคนนั้นเข้าใจผิดในสาระ อย่างเช่นคิดว่าภิกษุณี
ทำผิดพระวินัย แล้วไปว่ากล่าวตักเตือน ด้วยใจที่ศรัทธาในพุทธศาสนา
คุณว่าจิตของผู้หญิงเป็นกุศลมั้ยครับ จิตของผู้หญิงจะยึดอะไรครับ
ระว่างคำสอนพระวินัย(ดี)กับสิ่งที่ว่ากล่าว (ชั่ว)

แรงกรรมมันไม่เกี่ยวว่า จะไปทำอะไรกับใครไว้
มันขึ้นอยู่กับจิตไปยึดอะไรไว้ การที่จิตมีอาการยึดเขาเรียกว่าเกิดกรรมหรือการกระทำแล้ว
ผลที่ตามตามเรียกวิบาก ผลของกรรมไม่ว่าจะดีจะชั่วเขาเรียก....วิบาก

การกระทำที่คนอื่นมองว่าชั่ว แต่จิตผู้กระทำเป็นกุศล
วิบากย่อมเป็นกุศล การกระทำที่คนอื่นมองว่าดีแต่จิตผู้กระทำเป็นอกุศล
วิบากย่อมเป็นอกุศล

bigtoo เขียน:
แต่เรื่องกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอะไรที่คุณว่านั้นมันเป็นสัขขารขันต์ที่ปรุงแต่งตามเหตุปัจจัยในปัจจุบันที่จะเป็นผลสืบต่อไปในอนาคต ส่วนเรื่องทำกับข้าวอะไรนั้นไม่ต้องคุยให้ปวดหัวหรอก มนุษย์มันก็ทำทั้งนั้นนั้นแหล่ะไม่ทำอันนี้ก็ไปทำอันอื่น ไม่ต่างกัน

พูดกับบิกทู่แล้วเหนื่อย พยายามดึงเรื่องออกนอกประเด็นธรรม ฟุ้งบัญญัติ
เขาพยายามพูดธรรมให้แคบลง บิกทู่ก็พยายามขยายความให้กว้างขี้น
เป็นแบบนี้เมื่อไรจะเข้าใจธรรมเสียทีหา..บิกทู่
bigtoo เขียน:
ส่วนเรื่องความรักยังไม่เข้าใจอีกเหรอ รักแท้ในปุถุชนไม่มี สิ่งที่พ่อ แม่ทำให้ลูกนั้นก็ไม่ใช่คำว่ารักเพราะลูกฉัน ลูกของฉัน ฉันทำได้ และลูกคนอื่นทำได้มั้ยล่ะ มันก็ไม่ใช่รักแท้อยู่ดี มันแค่เป็นการปรารถนาเพื่อของตนเองแอบแฝงด้วยโมหะ คุณกลับไปตีความหมายใหม่ดีกว่า ความเมตตา กรุณานั้นแหล่ะคือความบริสุทธิ์ที่แท้จริงเข้าใจบ่

เขากำลังพูดเรื่องธรรม เรื่องกิเลสสาเหตุแห่งทุกข์ ดันไปเอาสคริปลครทีวีมาคุย
ความรักมันเป็นสมมุติบัญญัติ ที่ใช้แทนธรรมปรมัตถ์ที่เรียกว่า กรุณาและมุทิตา
คือปรารถณาให้เขาพ้นทุกข์ และพลอยยินดีเมื่อเขาพ้นทุกข์
ที่น่าสังเกตุคือ มันเป็นส่วนหนื่งในพรหมวิหารธรรม
แต่ขาดเมตตาและอุเบกขาไป เป็นเพราะเมตตาเมตตาเกิดไม่ได้กับจิตผู้ปรารถนาให้ผู้อื่น
มันเกิดได้แต่จิตที่อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ และยินดีในความสุขของเขา
อาการของจิตเป็นอย่างนี้ มันขึ้นอยู่กับผัสสะ

ส่วนอุเบกขาเกิดได้แต่จิตของพระอรหันต์


แล้วที่ยกให้ดูเรื่องพ่อแม่ลูก เป็นเพราะความรักมันเป็นกิเลสชั้นสูงเป็นกุศล
มันดับยากกว่ากิเลสเบื้องต่ำ
และเนื่องด้วยมันเป็นกิเลสเบื้องสูงนี้ มันจึงเกิดได้อยากต่อบุคคลทั่วไป

ที่ยกพ่อแม่ลูกให้ดูเพื่อเปรียบเทียบให้ดูว่า
กิเลสเบี้องสูงดับได้ยากกว่าเบื้องต่ำ และกิเลสเบื้องสูงเกิดกับผู้ใด
ไม่ใช่จะเกิดได้ง่ายๆ มันจะแสดงตัวต่อเมื่อ จิตมองผ่านกิเลสเบื้องต่ำไปแล้ว

ความรู้สึกต่อผู้อื่นมันเป็นความรู้สึกที่เกิดจาก ทวารทั้งห้า(ผัสสะทางกาย)
เมื่อเราไม่ได้รับผัสสะนี้มันก็ไม่มีความรู้สึก

แต่ความรู้สึกต่อพ่อแม่ลูกเมียหรือคนที่รัก มันเกิดที่ใจต่อให้ไม่ได้เห็น
หรือคนที่เรารักตายไปแล้วความรู้สึกหรือความรักก็ยังคงอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ทำความเข้าใจเพิ่มเติม เดี๋ยวจะหาว่าBigtooเป็นคนพิกลพิการวิปริตผิดมนุษย์ ผมก็มีความรักเหมือนกับทุกๆท่านนั้นแหละครับ แต่ความรักของผมก็ยังไม่ถือว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่แท้จริง ความรักพ่อของของแม่นั้นดูเหมือนจะยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดๆในโลก แต่มันก้เป็นได้เฉพาะลูกของตนเองเท่านั้น

ซึ่งยังถือว่าเป็นโมหะที่ละเอียดอ่อนมากอยากที่จะเข้าใจได้ จนเป็นความโง่ที่มองเห็นยากมากๆจึงเป็นสิ่งที่แน่นเหนียวเกี่ยวดึงมนุษย์ให้หลุดออกจากวัฎฎะสงสารได้ยาก แม้กระทั้งผมเองก็ยังไม่สามารถแกะสิ่งนี้ได้ในขณะนี้ เพราะสภาวธรรมนั้นยังไม่ถึง แต่ก็พิจารณาเรื่องอย่างนี้มากทีเดียว สถานะทางครอบครัวยังมีแต่หวงใย แต่ความผูกพันมีกันน้อยมากเพราะต้องการฝึกกันทั้งหมด ไม่ให้เกี่ยวพันพูกพันกันมากนัก เพียงทำหน้าที่ให้สมบูรณ์เท่านั้น

แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ก็ยังมือบอดกันอยู่ยังตีความรักแบบนี้เป็นสิ่งที่ดี มันอาจจะดีบ้างแต่มองในแง่วัฎฎะแล้วมันโหดร้ายที่สุด ไม่ต่างจาก ยาพิษปนน้ำผึ้งเพียงหยดช่างรุนแรงเหมือนกรดลดราดบนดวงชีวี :b12:



ที่พูดออกมาแบบนี้เป็นเพราะไม่เข้าใจไง ไม่เข้าใจแล้วยังอยากพูดเนื้อหามันเลย
ออกมาเป็นสภาพแบบนี้ ดืงธรรมที่มีหลักมีเกณท์ไปละเลงเล่นเป็นโวหารขี้เมา
ตอนแรกผมคิดว่า มันเป็นความผิดของผมเองที่เอาธรรมชั้นสูงมาคุย เลยทำให้คุณเป็น
สภาพแบบนี้

แต่ผมมาคิดอีกที มันไม่น่าใช่ความผิดของผม เพราะที่คุณเป็นแบบนี้
มันเกิดจากการไม่ประมาณตนของตัวเอง เห็นอะไรที่ตัวยังไม่เข้าใจ
แต่ด้วยการอวดดีถือตน เลยรีบแสดงความเห็นทั้งๆที่ไม่เข้าใจ

สิ่งแรกที่อยากแนะนำบิกทู่นะครับ ธรรมมะหรือธรรมชาติมันมีมากมาย
กว้างใหญ่ไพศาล การสนทนาธรรมจะต้องยีดหลักทำให้เนื้อหาแคบลงให้มากที่สุด
พยายามอย่าดึงเนื้อธรรมออกนอกประเด็น แล้วต้องเพียรคิดอยู่เสมอว่า...
ตัวเองกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ จึงควรมีสติสัมปชัญญะอยู่แต่ในเนื้อหาของธรรมที่กำลังคุย
แบบนี้มันจะทำให้เกิดสมาธิ รู้เห็นประเด็นปัญหาข้อโต้แย้งและสามารถ
แก้ปัญหาที่อีกฝ่ายถามมาได้

ฉะนั้นสิ่งแรกที่บิกทู่สมควรทำที่สุดก็คือ...
อย่าหยิบเรื่องราวที่ไม่ใช่ประเด็นปัญหามาขยายความ ยิ่งเป็นในลักษณะขี้โม้
ขี้คุย ยิ่งไม่เหมาะที่จะกระทำ เข้าใจมั้ย :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 06:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
คุณเคยได้ยินเรื่องผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปติเตียนภิกษุณีมั้ยที่ต้องเกิดเป็นหญิงโสเภณีตั้งหลายร้อยชาติมั้ย มันเกิดแต่แรงกรรมทั้งนั้น

จะสอนให้วันหน้าวันหลัง จะเอาเรื่องมาถาม จะต้องแน่ใจว่าผู้ที่ถูกถาม
เคยได้ยินหรือผ่านตามาก่อน ถ้าไม่แน่ใจต้องเอาเนื้อหาที่แท้จริงมาโพสให้เขาดู
ไม่งั้นชาวบ้านเขาจะหาว่า คุณแต่งเรื่องขึ้นมาเองทั้งๆที่เป็นเรื่องจริง
เหมือนกับที่ชอบอ้างพุทธพจน์แล้วหาพระไตรปิฎกมาอ้างอิงไม่ได้ทำนองนั้น

จะอธิบายเรื่องที่คุณเอามาอ้างให้ฟัง แรงกรรมที่ว่า มันไม่ใช่อยู่ตรงที่
การใช้วาจาไปว่ากล่าวอะไรกับภิกษุณี แต่มันอยู่ที่จิตไปยึดอะไรไว้

ตัวอย่าง ถ้าผู้หญิงคนนั้นเข้าใจผิดในสาระ อย่างเช่นคิดว่าภิกษุณี
ทำผิดพระวินัย แล้วไปว่ากล่าวตักเตือน ด้วยใจที่ศรัทธาในพุทธศาสนา
คุณว่าจิตของผู้หญิงเป็นกุศลมั้ยครับ จิตของผู้หญิงจะยึดอะไรครับ
ระว่างคำสอนพระวินัย(ดี)กับสิ่งที่ว่ากล่าว (ชั่ว)

แรงกรรมมันไม่เกี่ยวว่า จะไปทำอะไรกับใครไว้
มันขึ้นอยู่กับจิตไปยึดอะไรไว้ การที่จิตมีอาการยึดเขาเรียกว่าเกิดกรรมหรือการกระทำแล้ว
ผลที่ตามตามเรียกวิบาก ผลของกรรมไม่ว่าจะดีจะชั่วเขาเรียก....วิบาก

การกระทำที่คนอื่นมองว่าชั่ว แต่จิตผู้กระทำเป็นกุศล
วิบากย่อมเป็นกุศล การกระทำที่คนอื่นมองว่าดีแต่จิตผู้กระทำเป็นอกุศล
วิบากย่อมเป็นอกุศล

bigtoo เขียน:
แต่เรื่องกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอะไรที่คุณว่านั้นมันเป็นสัขขารขันต์ที่ปรุงแต่งตามเหตุปัจจัยในปัจจุบันที่จะเป็นผลสืบต่อไปในอนาคต ส่วนเรื่องทำกับข้าวอะไรนั้นไม่ต้องคุยให้ปวดหัวหรอก มนุษย์มันก็ทำทั้งนั้นนั้นแหล่ะไม่ทำอันนี้ก็ไปทำอันอื่น ไม่ต่างกัน

พูดกับบิกทู่แล้วเหนื่อย พยายามดึงเรื่องออกนอกประเด็นธรรม ฟุ้งบัญญัติ
เขาพยายามพูดธรรมให้แคบลง บิกทู่ก็พยายามขยายความให้กว้างขี้น
เป็นแบบนี้เมื่อไรจะเข้าใจธรรมเสียทีหา..บิกทู่
bigtoo เขียน:
ส่วนเรื่องความรักยังไม่เข้าใจอีกเหรอ รักแท้ในปุถุชนไม่มี สิ่งที่พ่อ แม่ทำให้ลูกนั้นก็ไม่ใช่คำว่ารักเพราะลูกฉัน ลูกของฉัน ฉันทำได้ และลูกคนอื่นทำได้มั้ยล่ะ มันก็ไม่ใช่รักแท้อยู่ดี มันแค่เป็นการปรารถนาเพื่อของตนเองแอบแฝงด้วยโมหะ คุณกลับไปตีความหมายใหม่ดีกว่า ความเมตตา กรุณานั้นแหล่ะคือความบริสุทธิ์ที่แท้จริงเข้าใจบ่

เขากำลังพูดเรื่องธรรม เรื่องกิเลสสาเหตุแห่งทุกข์ ดันไปเอาสคริปลครทีวีมาคุย
ความรักมันเป็นสมมุติบัญญัติ ที่ใช้แทนธรรมปรมัตถ์ที่เรียกว่า กรุณาและมุทิตา
คือปรารถณาให้เขาพ้นทุกข์ และพลอยยินดีเมื่อเขาพ้นทุกข์
ที่น่าสังเกตุคือ มันเป็นส่วนหนื่งในพรหมวิหารธรรม
แต่ขาดเมตตาและอุเบกขาไป เป็นเพราะเมตตาเมตตาเกิดไม่ได้กับจิตผู้ปรารถนาให้ผู้อื่น
มันเกิดได้แต่จิตที่อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ และยินดีในความสุขของเขา
อาการของจิตเป็นอย่างนี้ มันขึ้นอยู่กับผัสสะ

ส่วนอุเบกขาเกิดได้แต่จิตของพระอรหันต์


แล้วที่ยกให้ดูเรื่องพ่อแม่ลูก เป็นเพราะความรักมันเป็นกิเลสชั้นสูงเป็นกุศล
มันดับยากกว่ากิเลสเบื้องต่ำ
และเนื่องด้วยมันเป็นกิเลสเบื้องสูงนี้ มันจึงเกิดได้อยากต่อบุคคลทั่วไป

ที่ยกพ่อแม่ลูกให้ดูเพื่อเปรียบเทียบให้ดูว่า
กิเลสเบี้องสูงดับได้ยากกว่าเบื้องต่ำ และกิเลสเบื้องสูงเกิดกับผู้ใด
ไม่ใช่จะเกิดได้ง่ายๆ มันจะแสดงตัวต่อเมื่อ จิตมองผ่านกิเลสเบื้องต่ำไปแล้ว

ความรู้สึกต่อผู้อื่นมันเป็นความรู้สึกที่เกิดจาก ทวารทั้งห้า(ผัสสะทางกาย)
เมื่อเราไม่ได้รับผัสสะนี้มันก็ไม่มีความรู้สึก

แต่ความรู้สึกต่อพ่อแม่ลูกเมียหรือคนที่รัก มันเกิดที่ใจต่อให้ไม่ได้เห็น
หรือคนที่เรารักตายไปแล้วความรู้สึกหรือความรักก็ยังคงอยู่
แหมๆไปว่าผู้หญิงหากินเขายังมาแก้ตัว มันก็ชัดๆอยู่แล้วเรื่องไปเกิดเป็นผู้หญิงหากินตั้งหลายร้อยชาติก็เพราะอกุศลชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบายให้มากความหรอกอวดตนทำเป็นรู้ดีว่าข้าละเอียดเรืาองธรรม แค่นี้ยังไม่เข้าใจ อธิบายซะสวยหรู สั้นๆนะครับ ความรักบริสุทะิิ์สำหรับปุถุชนแล้วไม่มี มันหลง กิเลสเบื้องสูงมันก็หลงหลงๆๆๆๆๆๆๆ ไปตีความเอาเอง นี่แหล่ะครับ ธรรมะที่แคบลงที่สุดแล้ว ส่วนที่เข้าใจว่าส่วนอุเบกขาเกิดได้แต่จิตของพระอรหันต์ ไปศึกษาเรื่อง ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 10 ก.ย. 2012, 06:33, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 06:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว




images.jpg
images.jpg [ 20.26 KiB | เปิดดู 1822 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ทำความเข้าใจเพิ่มเติม เดี๋ยวจะหาว่าBigtooเป็นคนพิกลพิการวิปริตผิดมนุษย์ ผมก็มีความรักเหมือนกับทุกๆท่านนั้นแหละครับ แต่ความรักของผมก็ยังไม่ถือว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่แท้จริง ความรักพ่อของของแม่นั้นดูเหมือนจะยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดๆในโลก แต่มันก้เป็นได้เฉพาะลูกของตนเองเท่านั้น

ซึ่งยังถือว่าเป็นโมหะที่ละเอียดอ่อนมากอยากที่จะเข้าใจได้ จนเป็นความโง่ที่มองเห็นยากมากๆจึงเป็นสิ่งที่แน่นเหนียวเกี่ยวดึงมนุษย์ให้หลุดออกจากวัฎฎะสงสารได้ยาก แม้กระทั้งผมเองก็ยังไม่สามารถแกะสิ่งนี้ได้ในขณะนี้ เพราะสภาวธรรมนั้นยังไม่ถึง แต่ก็พิจารณาเรื่องอย่างนี้มากทีเดียว สถานะทางครอบครัวยังมีแต่หวงใย แต่ความผูกพันมีกันน้อยมากเพราะต้องการฝึกกันทั้งหมด ไม่ให้เกี่ยวพันพูกพันกันมากนัก เพียงทำหน้าที่ให้สมบูรณ์เท่านั้น

แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ก็ยังมือบอดกันอยู่ยังตีความรักแบบนี้เป็นสิ่งที่ดี มันอาจจะดีบ้างแต่มองในแง่วัฎฎะแล้วมันโหดร้ายที่สุด ไม่ต่างจาก ยาพิษปนน้ำผึ้งเพียงหยดช่างรุนแรงเหมือนกรดลดราดบนดวงชีวี :b12:



ที่พูดออกมาแบบนี้เป็นเพราะไม่เข้าใจไง ไม่เข้าใจแล้วยังอยากพูดเนื้อหามันเลย
ออกมาเป็นสภาพแบบนี้ ดืงธรรมที่มีหลักมีเกณท์ไปละเลงเล่นเป็นโวหารขี้เมา
ตอนแรกผมคิดว่า มันเป็นความผิดของผมเองที่เอาธรรมชั้นสูงมาคุย เลยทำให้คุณเป็น
สภาพแบบนี้

แต่ผมมาคิดอีกที มันไม่น่าใช่ความผิดของผม เพราะที่คุณเป็นแบบนี้
มันเกิดจากการไม่ประมาณตนของตัวเอง เห็นอะไรที่ตัวยังไม่เข้าใจ
แต่ด้วยการอวดดีถือตน เลยรีบแสดงความเห็นทั้งๆที่ไม่เข้าใจ

สิ่งแรกที่อยากแนะนำบิกทู่นะครับ ธรรมมะหรือธรรมชาติมันมีมากมาย
กว้างใหญ่ไพศาล การสนทนาธรรมจะต้องยีดหลักทำให้เนื้อหาแคบลงให้มากที่สุด
พยายามอย่าดึงเนื้อธรรมออกนอกประเด็น แล้วต้องเพียรคิดอยู่เสมอว่า...
ตัวเองกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ จึงควรมีสติสัมปชัญญะอยู่แต่ในเนื้อหาของธรรมที่กำลังคุย
แบบนี้มันจะทำให้เกิดสมาธิ รู้เห็นประเด็นปัญหาข้อโต้แย้งและสามารถ
แก้ปัญหาที่อีกฝ่ายถามมาได้

ฉะนั้นสิ่งแรกที่บิกทู่สมควรทำที่สุดก็คือ...
อย่าหยิบเรื่องราวที่ไม่ใช่ประเด็นปัญหามาขยายความ ยิ่งเป็นในลักษณะขี้โม้
ขี้คุย ยิ่งไม่เหมาะที่จะกระทำ เข้าใจมั้ย :b13:
ยังยังงงอีกเหรอ บัวสี่เหล่าจริงๆ กลับไปดูซิอะไรทำให้เกิดสังขาร ความโง่ไม่ใช่เหรอ และความรักที่คุณว่ามันมาจากอะไร มันไม่ได้มาจากความโง่เหรอ และใครเล่าที่หายโง่ เริ่มจากโสดาบันที่เริ่มหายโง่นิดหน่อย ตรงนี่แหล่ะครับ์ เริ่มมีความรักที่แท้จริงแล้ว แต่ยังไม่บริบูรณ์ จะบริบูรณืก็ต้องอรหัต์เข้าใจบ่

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
แหมๆไปว่าผู้หญิงหากินเขายังมาแก้ตัว มันก็ชัดๆอยู่แล้วเรื่องไปเกิดเป็นผู้หญิงหากินตั้งหลายร้อยชาติก็เพราะอกุศลชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบายให้มากความหรอกอวดตนทำเป็นรู้ดีว่าข้าละเอียดเรืาองธรรม แค่นี้ยังไม่เข้าใจ อธิบายซะสวยหรู สั้นๆนะครับ ความรักบริสุทะิิ์สำหรับปุถุชนแล้วไม่มี มันหลง กิเลสเบื้องสูงมันก็หลงหลงๆๆๆๆๆๆๆ ไปตีความเอาเอง นี่แหล่ะครับ ธรรมะที่แคบลงที่สุดแล้ว ส่วนที่เข้าใจว่าส่วนอุเบกขาเกิดได้แต่จิตของพระอรหันต์ ไปศึกษาเรื่อง ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก

ว่าแล้วยังไม่สำนึก สอนแล้วยังไม่สำเหนียก
ไม่ให้อธิบายแล้วจะมาพูดซ้ำซากทำไม ถามหน่อยพูดอะไรไป เข้ารูหูหรือเปล่า
บอกว่า จะพูดอะไรที่เกียวกับพระไตรปิฎกให้เอาหลักฐานมาโพสด้วย ทำเป็นหูทวนลม
มาพูดซ้ำซากเรื่องเก่า พูดเองเออเอง ไร้จุดยืน

พูดทำไมหลงๆๆ พูดแล้วไม่เข้าใจความหมาย สักแต่ว่าจำมาจากหนังนิยายรัก
ก็บอกว่าความรักมันเป็นกิเลส มันก็ต้องเกิดอาการของจิตที่เรียกว่าหลง
ถ้าไม่หลงมันจะเป็นกิเลสหรือ
bigtoo เขียน:
ธรรมะที่แคบลงที่สุดแล้ว ส่วนที่เข้าใจว่าส่วนอุเบกขาเกิดได้แต่จิตของพระอรหันต์ ไปศึกษาเรื่อง ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก


ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก เอาคำนี้มาพูดกับผมถามจริงรู้เรื่องหรือ
สงสัยไปเจอในกรูเกิล ถ้ารู้จริงมันต้องอธิบายความได้

พุทโธ่เอ๋ย! ธรรมที่ต้องอธิบายขยายความกลับไม่ทำ แต่เรื่องไม่เกี่ยวกับธรรม
ดันขยายความพร่ำบ่นเป็นขี้เมารันทดชีวิต

ทู่เราจะบอกให้ ไอ้"ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก" เป็นอาการของจิตที่เกิดจาก
การปล่อยวาง พรหมวิหารสี่ การปล่อยวางนี่เขาเรียกอุเบกขา
อุเบกขาในพรหมวิหารสี่ก็คือ..ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก มันเป็นตัวเดียวกัน...เข้าใจมั้ยทู่
ที่กล่าวนี้เฉพาะ อุเบกขาในพรหมวิหารเท่านั้นน่ะ

และที่ว่า อุเบกขาเป็นจิตของอรหันต์ เพราะว่า พระอรหันต์วางธรรมวางอารมณ์ได้ทุกต้วแล้ว
แม้กระทั้งความรักหรือพรหมวิหาร พรหมวิหารนี้แม้กระทั้งพระอนาคายังไม่สามารถ
วางอุเบกขาได้ ดังนั้นพรหมวิหารสี่จึงเป็นธรรมของพระอรหันต์

bigtoo เขียน:
ยังยังงงอีกเหรอ บัวสี่เหล่าจริงๆ กลับไปดูซิอะไรทำให้เกิดสังขาร ความโง่ไม่ใช่เหรอ และความรักที่คุณว่ามันมาจากอะไร มันไม่ได้มาจากความโง่เหรอ และใครเล่าที่หายโง่ เริ่มจากโสดาบันที่เริ่มหายโง่นิดหน่อย ตรงนี่แหล่ะครับ์ เริ่มมีความรักที่แท้จริงแล้ว แต่ยังไม่บริบูรณ์ จะบริบูรณืก็ต้องอรหัต์เข้าใจบ่

บัวใต้ตมจริงๆครับ ฟังดีๆอีกทีน่ะบิกทู่ ความรักเป็นกิเลสสังโยชน์ เป็นกิเลสชั้นสูง
ผู้ที่จะก้าวพ้นกิเลสตัวนี้ได้คือพระอรหันต์ บุคคลตั้งปุถุชนจนถึงพระอนาคา ล้วนแล้วแต่มี
กิเลสตัวนี้ กิเลสตัวนี้เรียกโดยสังโยชน์แล้วมันคือ"รูปราคะ" ความรักหรือรูปราคะ เมื่อเข้าไป
ยีดแล้วจะมีอาการของจิตที่เรียกว่า กรุณาและมุทิตา เนื่องจากเกิดอาการของจิตที่ว่า จึงเกิดการ
หลงไปปรุงแต่งทางจิต บ้างที่ก็ล้นออกทางวาจาและกาย ตัวอย่างเช่นการร้องไห้หรือหัวเราะ

ส่วนพระอรหันต์ ท่านก็มี อาการที่เรียกว่ากรุณาและมุทิตาเหมือนกัน แต่ไม่ได้เกิดจาก
กิเลส เกิดจากกริยาจิตที่เป็นกุศล พระอรหันจะไม่มีอาการหลงแล้วเพราะท่านมีการวางอุเบกขา
อาการจิตที่มีการวางอุเบกขา ในตัวกรุณาหรือมุทิตาเรียกว่า..ตัตรมัชฌัตตตา(เป็นกลางในอารมณ์)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
แหมๆไปว่าผู้หญิงหากินเขายังมาแก้ตัว มันก็ชัดๆอยู่แล้วเรื่องไปเกิดเป็นผู้หญิงหากินตั้งหลายร้อยชาติก็เพราะอกุศลชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบายให้มากความหรอกอวดตนทำเป็นรู้ดีว่าข้าละเอียดเรืาองธรรม แค่นี้ยังไม่เข้าใจ อธิบายซะสวยหรู สั้นๆนะครับ ความรักบริสุทะิิ์สำหรับปุถุชนแล้วไม่มี มันหลง กิเลสเบื้องสูงมันก็หลงหลงๆๆๆๆๆๆๆ ไปตีความเอาเอง นี่แหล่ะครับ ธรรมะที่แคบลงที่สุดแล้ว ส่วนที่เข้าใจว่าส่วนอุเบกขาเกิดได้แต่จิตของพระอรหันต์ ไปศึกษาเรื่อง ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก

ว่าแล้วยังไม่สำนึก สอนแล้วยังไม่สำเหนียก
ไม่ให้อธิบายแล้วจะมาพูดซ้ำซากทำไม ถามหน่อยพูดอะไรไป เข้ารูหูหรือเปล่า
บอกว่า จะพูดอะไรที่เกียวกับพระไตรปิฎกให้เอาหลักฐานมาโพสด้วย ทำเป็นหูทวนลม
มาพูดซ้ำซากเรื่องเก่า พูดเองเออเอง ไร้จุดยืน

พูดทำไมหลงๆๆ พูดแล้วไม่เข้าใจความหมาย สักแต่ว่าจำมาจากหนังนิยายรัก
ก็บอกว่าความรักมันเป็นกิเลส มันก็ต้องเกิดอาการของจิตที่เรียกว่าหลง
ถ้าไม่หลงมันจะเป็นกิเลสหรือ
bigtoo เขียน:
ธรรมะที่แคบลงที่สุดแล้ว ส่วนที่เข้าใจว่าส่วนอุเบกขาเกิดได้แต่จิตของพระอรหันต์ ไปศึกษาเรื่อง ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก


ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก เอาคำนี้มาพูดกับผมถามจริงรู้เรื่องหรือ
สงสัยไปเจอในกรูเกิล ถ้ารู้จริงมันต้องอธิบายความได้

พุทโธ่เอ๋ย! ธรรมที่ต้องอธิบายขยายความกลับไม่ทำ แต่เรื่องไม่เกี่ยวกับธรรม
ดันขยายความพร่ำบ่นเป็นขี้เมารันทดชีวิต

ทู่เราจะบอกให้ ไอ้"ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก" เป็นอาการของจิตที่เกิดจาก
การปล่อยวาง พรหมวิหารสี่ การปล่อยวางนี่เขาเรียกอุเบกขา
อุเบกขาในพรหมวิหารสี่ก็คือ..ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก มันเป็นตัวเดียวกัน...เข้าใจมั้ยทู่
ที่กล่าวนี้เฉพาะ อุเบกขาในพรหมวิหารเท่านั้นน่ะ

และที่ว่า อุเบกขาเป็นจิตของอรหันต์ เพราะว่า พระอรหันต์วางธรรมวางอารมณ์ได้ทุกต้วแล้ว
แม้กระทั้งความรักหรือพรหมวิหาร พรหมวิหารนี้แม้กระทั้งพระอนาคายังไม่สามารถ
วางอุเบกขาได้ ดังนั้นพรหมวิหารสี่จึงเป็นธรรมของพระอรหันต์

bigtoo เขียน:
ยังยังงงอีกเหรอ บัวสี่เหล่าจริงๆ กลับไปดูซิอะไรทำให้เกิดสังขาร ความโง่ไม่ใช่เหรอ และความรักที่คุณว่ามันมาจากอะไร มันไม่ได้มาจากความโง่เหรอ และใครเล่าที่หายโง่ เริ่มจากโสดาบันที่เริ่มหายโง่นิดหน่อย ตรงนี่แหล่ะครับ์ เริ่มมีความรักที่แท้จริงแล้ว แต่ยังไม่บริบูรณ์ จะบริบูรณืก็ต้องอรหัต์เข้าใจบ่

บัวใต้ตมจริงๆครับ ฟังดีๆอีกทีน่ะบิกทู่ ความรักเป็นกิเลสสังโยชน์ เป็นกิเลสชั้นสูง
ผู้ที่จะก้าวพ้นกิเลสตัวนี้ได้คือพระอรหันต์ บุคคลตั้งปุถุชนจนถึงพระอนาคา ล้วนแล้วแต่มี
กิเลสตัวนี้ กิเลสตัวนี้เรียกโดยสังโยชน์แล้วมันคือ"รูปราคะ" ความรักหรือรูปราคะ เมื่อเข้าไป
ยีดแล้วจะมีอาการของจิตที่เรียกว่า กรุณาและมุทิตา เนื่องจากเกิดอาการของจิตที่ว่า จึงเกิดการ
หลงไปปรุงแต่งทางจิต บ้างที่ก็ล้นออกทางวาจาและกาย ตัวอย่างเช่นการร้องไห้หรือหัวเราะ

ส่วนพระอรหันต์ ท่านก็มี อาการที่เรียกว่ากรุณาและมุทิตาเหมือนกัน แต่ไม่ได้เกิดจาก
กิเลส เกิดจากกริยาจิตที่เป็นกุศล พระอรหันจะไม่มีอาการหลงแล้วเพราะท่านมีการวางอุเบกขา
อาการจิตที่มีการวางอุเบกขา ในตัวกรุณาหรือมุทิตาเรียกว่า..ตัตรมัชฌัตตตา(เป็นกลางในอารมณ์)
ก็บอกแล้วไงว่ารักมันไม่มีกับปุถุชนแล้วมันจริงมั้ยล่ะอิๆ(ผมบอกไปตั้งแต่แรกแล้วๆ ยกตัวอย่างมาซะสวยหรู)ต่อให้เป็นกิเลสที่เป็นกุศล มันก็เป็นความหลง แล้วมันบริสุทธิ์ตรงไหนบอกแล้วบ่ฟัง อิๆๆะเอาประเด็นนี้ "ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก มันเกิดตั้งแต่โสดาบันแล้วพี่โฮ แต่มันขั่วขณะ เพราะโสดาบันยังมีกิเลสอีกมาก แต่เริ่มเกิดตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ผมนะรู้เรื่องนี้มานานแย๊วรู้บ่ แล้วอยากเอาพุทธพจน์อะไรไปหาเองบ้างบาง อย่างผมอ่านหนังสือมา10กว่าปี จะไปเอาที่ไนมาพ่อหนุ่มธะรรมทั้งหลายที่ผมอธิบายไปมันไม่ผิดความจริงหรอก ดูไม่ออกเหรอของแท้หรือของปลอม

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย นายฏีกาน้อย เมื่อ 10 ก.ย. 2012, 15:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
นำเสนอรูปภาพผิดกฏหลายๆ ข้อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


- กฏกติกาบอร์ด
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=11&t=39777

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2012, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool 2 คนนี้ สงสัยในอดีตชาติอันนมนานกาแล จะเคยเป็นผัวเมียกันมาก่อน คิคิ :b32: :b32: :b32:

วันนี้โชคดี คลื่น wireless แหวกอากาศมาถึงนี่ เลยได้เล่นเน็ต แต่ก็ช้าประดุจเต่าใส่เฝือกลุยโคลน :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 133 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร