วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 04:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
เจ้าโฮฮับ...ผู้ด้อยปัญญา อย่าคิดว่าข้าพเจ้าดูแคลนเจ้าเลยนะ อย่าทำเป็นอวดรู้อวดฉลาด แสดงความโง่เขลาให้เห็น เจ้าจงทำความเข้าใจเอาไว้ว่า

อารมณ์ของฌาน(ชาน)ที่เกิดขึ้น โดยรวมแล้วล้วนเป็น กิเลส นั่นหมายถึง วิตก วิจาร ปีติ สุข อุเบกขา โดยรวม คือ กิเลส โดยแยก คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข อุเบกขา
กิเลส เกิดจากการได้รับการสัมผัสทางอายตนะทั้งภายในและภายนอก
อารมณ์ คือ ความรู้สึกในรูปแบบต่างๆ ฯลฯ


กิเลส ทำให้ เกิด อารมณ์ ในที่นี้ไม่ต้องทำเป็นอวดรู้ ไปนับเอาระบบการทำงานของร่างกาย มันของแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าไม่มีระบบการทำงานของร่างกาย กิเลส ย่อมไม่เกิด อารมณ์ย่อมไม่เกิด
ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าพเจ้าไม่อยากจะโต้แย้งกับคนไม่รู้จริง ไม่รู้แจ้ง แต่ทำเป็นอวดรู้อวดฉลาด สมองระดับอนุบาลทำตัวเป็นอาจารย์ใหญ๋ ขี้ฝุ่นใต้ตีนขอรับ

คุณลุงจ่าเทวฤทธิ์ครับ ขอโปรดเมตตาช่วยอธิบาย ให้ผมผู้ด้อยปัญญาฟังหน่อยครับว่า

อุเบกขาที่ลุงเทวฤทธิ์บอกนะ ทำอย่างไรให้มันเกิดในฌาณ(ชาน)ครับ
และลุงแน่ใจแล้วหรือครับว่า ...อุเบกขาที่ลุงว่ามันเป็นกิเลส รบกวนให้ธรรมะเป็นทานครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุขใน สุขประณีต จนสุขสูงสุด

พึงทราบความสุขประณีตในระดับตั้งแต่ฌานสุขขึ้นไป ว่ามีเค้าความรู้สึกอย่างไร ดังที่ท่านแสดงไว้โดยอุปมา สรุปมาพิจารณากันดูต่อไปนี้

ก้าวสุดท้าย ก่อนจะบรรลุฌาน ก็คือการละนิวรณ์ 5 (กามฉันท์=อภิชฌา พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา) ได้

ผู้ละนิวรณ์แล้ว จะมีความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งเบาสบาย และอิ่มใจเกิดขึ้นเป็นพื้นนำของการจะได้ความสุขในฌานต่อไป ดังที่ท่านอุปมาไว้ 5 ประการ

1. เปรียบเหมือนการเกิดความปราโมทย์มีโสมนัสชื่นฉ่ำใจของคนที่เคยกู้ยืมเงินคนอื่นมาประกอบการงาน แล้วประสบความสำเร็จ ใช้หนี้สินได้หมดแล้วและยังมีเงินเหลือไว้เลี้ยงครอบครัว

2. เปรียบเหมือนการเกิดความปราโมทย์มีโสมนัสชื่นฉ่ำใจของคนที่ฟื้นหายจากความเจ็บป่วยเป็นไข้หนักกินข้าวกินปลาได้ มีกำลังกายแข็งแรง

3. เปรียบเหมือนการเกิดความปราโมทย์มีโสมนัสชื่นฉ่ำใจของคนที่พ้นจากการถูกจองจำไปได้โดยสวัสดี ไม่มีภัย และไม่ต้องเสียทรัพย์สิน

4. เปรียบเหมือนการเกิดความปราโมทย์มีโสมนัสชื่นฉ่ำใจของคนที่หลุดพ้นจากความเป็นทาส อาศัยตนเองได้ ไม่ขึ้นกับคนอื่น เป็นไทแก่ตัว จะไปไหนก็ไปได้ตามใจปรารถนา

5. เปรียบเหมือนการเกิดความปราโมทย์มีโสมนัสชื่นฉ่ำใจของคนมั่งมีทรัพย์ ผู้เดินทางข้ามพ้นหนทางไกลกันดาร ที่หาอาหารได้ยากและเต็มไปด้วยภยันตราย มาถึงถิ่นบ้านอันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อแต่นั้น ก็จะได้ประสบความสุขสบายในฌาน 4 ที่ประณีตดียิ่งกว่านั้นขึ้นไปอีกตามลำดับ
กล่าวคือ

ในฌานที่ 1 ซึ่งประกอบด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตา
ผู้ปฏิบัติทำกายของตนให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและความสุข ไม่มีส่วนใดของกายทั่วทั้งตัว ที่ปีติและความสุขจะไม่ถูกต้อง เปรียบเหมือนแป้งสีกายที่เขาเทใส่ภาชนะสำริด เอาน้ำพรมปล่อยไว้ พอถึงเวลาเย็น ก็มียางซึมไปจับติดถึงกันทั่วทั้งหมด ไม่กระจายออก

ในฌานที่ 2 ซึ่งประกอบด้วยปีติ สุข และเอกัคคตา
ผู้ปฏิบัติทำกายให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและความสุขที่เกิดจากสมาธิ อย่างทั่วไปหมดทั้งตัว เปรียบเหมือนห้วงน้ำลึก ที่น้ำผุดขึ้นภายใน ไม่มีน้ำไหลจากที่อื่นหรือแม้แต่น้ำฝนไหลเข้ามาปน กระแสน้ำเย็นผุดพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้น ทำให้ห้วงน้ำนั้นเองชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมเยือกเย็นทั่วไปหมดทุกส่วน

ในฌานที่ 3 ซึ่งประกอบด้วยสุข และเอกัคคตา
ผู้ปฏิบัติทำกายให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยความสุขที่ปราศจากปีติทั่วไปหมดทุกส่วน เปรียบเหมือนกอบัวเหล่าต่างๆ ที่เติบโตขึ้นมาในน้ำ แช่อยู่ในน้ำและน้ำหล่อเลี้ยงไว้ ย่อมชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็นทั่วไปหมดทุกส่วน ตั้งแต่ยอดตลอดเหง้า

ในฌานที่ 4 ซึ่งประกอบด้วยอุเบกขาและเอกัคคตา
ผู้ปฏิบัติแผ่จิตอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไปทั่วทั้งกาย เหมือนเอาผ้าขาวล้วนบริสุทธิ์มานุ่งห่มตัวตลอดหมดทั้งศีรษะ

ต่อจากความสุขในฌาน 4 นี้ไป ก็มีความสุขในอรูปฌานอีก 4 ขั้น ซึ่งประณีตยิ่งขึ้นไปตามแนวเดียวกันนี้โดยลำดับ

แม้ว่าฌานสุขทั้งหลาย จะประณีตลึกซึ้งดีเยี่ยมกว่ากามสุข แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องหลายอย่าง มิใช่ความสุขที่สมบูรณ์ มีพุทธพจน์ตรัสว่า ในอริยวินัยเรียกกามคุณ 5 ว่าเป็นโลก หรือว่าโลกก็คือกามคุณ 5 นั่นเอง

ผู้ยังติดอยู่ในกามสุข ก็คือติดข้องอยู่ในโลก ผู้ใดเข้าถึงฌาน จะเป็นรูปฌานหรืออรูปฌานก็ตาม ท่านเรียกผู้นั้นว่า ได้มาถึงที่สุดโลกแล้ว และอยู่ ณ ที่สุดแห่งโลก แต่ยังเป็นผู้เนื่องอยู่ในโลก ยังสลัดตัวไม่พ้นจากโลก

ส่วนผู้ใดก้าวล่วงอรูปฌานขั้นสุดท้ายไปได้แล้ว เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ และเป็นผู้หมดอาสวะ เพราะเห็นสัจธรรมด้วยปัญญา

ผู้นี้จึงจะเรียกได้ว่า ได้มาถึงที่สุดแห่งโลกแล้ว อยู่ ณ ที่สุดแห่งโลก และทั้งได้ข้ามพ้นโยงใยที่เหนี่ยวพันให้ติดอยู่ในโลกไปได้แล้ว นี้คือการมาถึงความสุขขั้นสุดท้าย หรือสุขที่สมบูรณ์ของผู้มีจิตใจเป็นอิสระ ได้แก่ สุขของผู้บรรลุนิพพานแล้ว ซึ่งรวมถึงสุขเนื่องด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ อันเป็นสุขขั้นที่ 10 ในบรรดาสุข 10 ขั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสุขเหล่านั้น สัมผัสทางใจของประสบเอง เรามองด้วยตาไม่เห็น เป็นนามธรรม คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
sriariya เขียน:
เจ้าโฮฮับ...ผู้ด้อยปัญญา อย่าคิดว่าข้าพเจ้าดูแคลนเจ้าเลยนะ อย่าทำเป็นอวดรู้อวดฉลาด แสดงความโง่เขลาให้เห็น เจ้าจงทำความเข้าใจเอาไว้ว่า

อารมณ์ของฌาน(ชาน)ที่เกิดขึ้น โดยรวมแล้วล้วนเป็น กิเลส นั่นหมายถึง วิตก วิจาร ปีติ สุข อุเบกขา โดยรวม คือ กิเลส โดยแยก คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข อุเบกขา
กิเลส เกิดจากการได้รับการสัมผัสทางอายตนะทั้งภายในและภายนอก
อารมณ์ คือ ความรู้สึกในรูปแบบต่างๆ ฯลฯ


กิเลส ทำให้ เกิด อารมณ์ ในที่นี้ไม่ต้องทำเป็นอวดรู้ ไปนับเอาระบบการทำงานของร่างกาย มันของแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าไม่มีระบบการทำงานของร่างกาย กิเลส ย่อมไม่เกิด อารมณ์ย่อมไม่เกิด
ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าพเจ้าไม่อยากจะโต้แย้งกับคนไม่รู้จริง ไม่รู้แจ้ง แต่ทำเป็นอวดรู้อวดฉลาด สมองระดับอนุบาลทำตัวเป็นอาจารย์ใหญ๋ ขี้ฝุ่นใต้ตีนขอรับ

คุณลุงจ่าเทวฤทธิ์ครับ ขอโปรดเมตตาช่วยอธิบาย ให้ผมผู้ด้อยปัญญาฟังหน่อยครับว่า

อุเบกขาที่ลุงเทวฤทธิ์บอกนะ ทำอย่างไรให้มันเกิดในฌาณ(ชาน)ครับ
และลุงแน่ใจแล้วหรือครับว่า ...อุเบกขาที่ลุงว่ามันเป็นกิเลส รบกวนให้ธรรมะเป็นทานครับ


ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า...เจ้าโฮฮับ..ความจริงแล้ว เจ้ากรัชกาย ได้สอนเจ้าไปบ้างแล้วนะ คำถามของเจ้า มันเป็นคำถามแบบลองภูมิ ความจริงแล้ว ถ้าเอ็งมีความรู้ความเข้าใจหรือได้ศึกษาในเรื่องของ ฌาน(ชาน) เอ็งคงไม่ถามดอกขอรับ แต่เอ็งไม่รู้ ข้าพเจ้าจึงบอกว่า เอ็งมันชอบอวดรู้ อวดฉลาด แสดงความโง่ประจานตัวเอง เอ็งคิดว่า ข้าพเจ้ารู้เพียงผิวเผิน แล้วมาเขียนโอ้อวดความรู้กระมัง ข้าพเจ้าจะโปรดสัตว์โลกอย่างเจ้าเอาไว้ว่า
คำว่า อารมณ์แห่งฌาน(ชาน) นั้น โดยรวม เกิดขึ้นจากกิเลส นั่นก็หมายความว่า กิเลสภายในจิตใจของเจ้า ย่อมเป็นเหตุทำให้เกิด อารมณ์แห่ง ฌาน(ชาน) อันได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ สุข อุเบกขา
วิตก ,วิจารณ์ ก็คือ ความคิดชนิดหนึ่ง ที่เมื่อก่อนจะปฏิบัติสมาธิ ได้รับการสัมผัสจากอายตนะทั้งหลาย แล้วเก็บไว้ในสมองและจิตใจ(หัวใจ) ต่อเมื่อปฏิบัติสมาธิ หรือฝึกสมาธิอยู่ เลือดและระบบประสาท ก็จะไหลเวียนต่อเนื่องทำให้ข้อมูลที่ได้จดจำมาส่งกระแสคลื่นจากสมองไปสู่หัวใจ ทำให้เกิดอาการที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่า "ยกจิตเข้าสู่อารมณ์" อันหมายถึงคลื่นกิเลสตัณหาในตัวเอง ต้องการที่จะ คิด พิจารณา หรือ วิตก วิจารณ์ ในเหตุการณ์ที่ได้ประสบมา ทั้งในทางที่เป็น กุศล และในทางที่เป็น อกุศล เมื่อเจ้า วิตก วิจารณ์ จนจบ เป็นเรื่องๆไปแล้ว (ธรรมชาติของมนุษย์ที่มีจิตปกติจะ วิตก วิจารณ์ หรือ คิดพิจารณา เป็นเรื่องๆ) ก็จะเกิด ปีติ คือ ความสมใจ ความภูมิใจ ความสะใจ ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่อง คือ เกิดอารมณ์เป็น สูข เกิดขึ้น
เมื่อเอ็งเกิด อารมณ์เป็นสุข แล้ว จิคใจของเจ้า ก็จะว่างเปล่าไม่คิดอะไร อุเบกขา คือ ความวางเฉยแห่ง อารมณ์ "สุข"นั้น ก็จะเกิดตามมา และพร้อมกันนั้น อารมณ์ที่เป็นอารมณ์เดียว จิตใจแน่วแน่ อันเรียกว่า "เอกัคคตา"ก็เกิดตามมาอย่างชนิดที่เรียกว่า เจ้าไม่รู้สึกตัว
ถ้าเอ็งคิดว่าข้าพเจ้าตอบไม่ตรงกับคำถามของเอ็ง ก็ให้เอ็งอ่านหลายๆรอบ ย่อความให้เหลือสั้นที่สุด เอ็งก็จะได้คำตอบที่เอ็งถามมาว่า "อุเบกขาที่ลุงเทวฤทธิ์บอกนะ ทำอย่างไรให้มันเกิดในฌาณ(ชาน)ครับ"
ส่วนอีกคำถามหนึ่ง ที่เอ็งถามว่า อุเบกขา เป็น กิเลสหรือไม่ ระดับเอ็ง ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจ ในระดับที่ลึกซึ้ง เอ็งจึงเข้าใจว่า อุเบกขา ไม่ใช่ กิเลส
กิเลส มี หลายชั้น หลายต่อ เอ็งไป คิดพิจารณา โดยการศึกษาจากตัวของเอ็งนั่นแหละว่า เวลาเอ็งมี อุเบกขา หรือ วางอารมณ์อุเบกขา มันเป็นกิเลสหรือไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2012, 05:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า...เจ้าโฮฮับ..ความจริงแล้ว เจ้ากรัชกาย ได้สอนเจ้าไปบ้างแล้วนะ คำถามของเจ้า มันเป็นคำถามแบบลองภูมิ ความจริงแล้ว ถ้าเอ็งมีความรู้ความเข้าใจหรือได้ศึกษาในเรื่องของ ฌาน(ชาน) เอ็งคงไม่ถามดอกขอรับ แต่เอ็งไม่รู้ ข้าพเจ้าจึงบอกว่า เอ็งมันชอบอวดรู้ อวดฉลาด แสดงความโง่ประจานตัวเอง เอ็งคิดว่า ข้าพเจ้ารู้เพียงผิวเผิน แล้วมาเขียนโอ้อวดความรู้กระมัง ข้าพเจ้าจะโปรดสัตว์โลกอย่างเจ้าเอาไว้ว่า

แฮ่....แฮ่...แฮ่ อันที่จริงตัวข้าน้อย ไม่คิดจะลองภูมิท่านเจ้าโลกเทวฤทธิ์
เพียงแต่ช่วงนี้ข้าน้อยต้องทำตัวให้เรียบร้อย ต้องทำตัวให้ผู้ใหญ่มองเห็นข้าน้อยว่า
เป็นไม้ที่ยังพอดัดได้ ไม่ใช่พวกตรงเป็นไม้บรรทัด เพราะมันจะทำให้ข้าน้อยหักกลางท่อนได้
ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยจึงต้องทำตัวเป็นกิ่งหลิ่วลู่ตามลม ก็ด้วยหวังว่า ผู้ใหญ่จะให้ความเมตตา
เอาใบเหลืองที่ได้นำมาฝากไว้คืนไป

ส่วนตัวท่านเจ้าโลกเทวฤทธิ์นั้น ตัวข้าน้อยก็หวังเพียงว่า คงจะไม่มองข้าเป็นแค่หญ้าแพรก
นึกเหยียบก็เหยียบตามอำเภอใจ คิดว่าความมีบารมีทิพย์จักษุของท่านเจ้าโลก จะเพ่งมอง
เห็นตัวข้าน้อยนั้นแท้จริงแล้วเป็นไม้ใหญ่ ที่ถูกพายุฝนพัดกระหน่ำจนทำให้ล้มลง แต่รากอัน
แข็งแกร่งมั่นคงยังยีดเกาะปฐพีไว้อย่างเหนี่ยวแน่น รอซักวันเกิดลมแห่งความเมตตาพัดหวลกลับ
ดันลำต้นหรือพยุงให้มันตั้งตรงได้อีกครั้ง นั้นแหล่ะจะเกิดบารมีทานอันยิ่งใหญ่
ที่ท่านเจ้าโลกเทวฤทธิ์ให้ความเมตตาแก่ข้าน้อย

ฮ่า...ฮ่า....ฮ่า แล้วซักวันข้าจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม
ข้าคือ เห้งเจีย ผู้ที่ทำให้โลกสั่นสะเทือนมาแล้ว ข้ารอพระอาจารย์ถังซ่ำจั๋ง
มาปล่อยข้า ถึงวันนั้นแหล่ะ ข้าจะทำให้โลกรู้ว่า ไม้ใหญ่ล้มห้ามข้าม ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2012, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


โดยส่วนตัวแล้วไม่สงสัยในปัญญาของท่านโฮฮับ

หนังสือชื่อ ลิงจอมโจก เขียนโดยท่านเขมานันทะ อาจช่วยขัดเกลาปัญญาให้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น

:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2012, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ...เขียนแฮ่....แฮ่...แฮ่ อันที่จริงตัวข้าน้อย ไม่คิดจะลองภูมิท่านเจ้าโลกเทวฤทธิ์
เพียงแต่ช่วงนี้ข้าน้อยต้องทำตัวให้เรียบร้อย ต้องทำตัวให้ผู้ใหญ่มองเห็นข้าน้อยว่า
เป็นไม้ที่ยังพอดัดได้ ไม่ใช่พวกตรงเป็นไม้บรรทัด เพราะมันจะทำให้ข้าน้อยหักกลางท่อนได้
ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยจึงต้องทำตัวเป็นกิ่งหลิ่วลู่ตามลม ก็ด้วยหวังว่า ผู้ใหญ่จะให้ความเมตตา
เอาใบเหลืองที่ได้นำมาฝากไว้คืนไป

ส่วนตัวท่านเจ้าโลกเทวฤทธิ์นั้น ตัวข้าน้อยก็หวังเพียงว่า คงจะไม่มองข้าเป็นแค่หญ้าแพรก
นึกเหยียบก็เหยียบตามอำเภอใจ คิดว่าความมีบารมีทิพย์จักษุของท่านเจ้าโลก จะเพ่งมอง
เห็นตัวข้าน้อยนั้นแท้จริงแล้วเป็นไม้ใหญ่ ที่ถูกพายุฝนพัดกระหน่ำจนทำให้ล้มลง แต่รากอัน
แข็งแกร่งมั่นคงยังยีดเกาะปฐพีไว้อย่างเหนี่ยวแน่น รอซักวันเกิดลมแห่งความเมตตาพัดหวลกลับ
ดันลำต้นหรือพยุงให้มันตั้งตรงได้อีกครั้ง นั้นแหล่ะจะเกิดบารมีทานอันยิ่งใหญ่
ที่ท่านเจ้าโลกเทวฤทธิ์ให้ความเมตตาแก่ข้าน้อย

sriariya...ตอบ
เจ้าโฮฮับ... ข้าพเจ้าไม่ใช่เจ้าโลก และในที่นี้ก็ไม่ได้ใช้ชื่อว่า "เทวฤทธิ์" แล้วเจ้ารู้สำนึกหรือไม่ว่า เจ้าเป็นไม้ชนิดไหน
ข้าพเจ้าไม่ชอบดูหมิ่นดูถูกใคร เพราะบิดามารดา ครูอาจารย์ สั่งสอนข้าพเจ้ามาเป็นอย่างดี


แต่ ข้าพเจ้าจำเป็นต้องแสดงบางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนการดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่น เพราะบุคคลผู้นั้น ไร้ซึ่งสามัญสำนึก หลงตัวเอง คิดว่าตัวมันนั้น รู้จริงรู้แจ้ง แถมยังมีหน้าเขียนก่อกวน ในกระทู้ข้าพเจ้า
ไม่เชื่อ ในความที่ข้าพเจ้าเขียนไม่เป็นไร จะค้ดค้านก็ไม่ว่า แต่ต้องคัดค้านด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความรู้ที่เหนือกว่าข้าพเจ้า ถ้าคัดค้านแบบก่อกวน ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจอะไรเลย แต่ยังดันทุรังเขียนแสดงความโง่เขลา ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างความไม่รู้ของ เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "โฮฮับ" แล้วยังมีหน้าย้อนถามกลับ โอ้อวดคิดว่าตัวเองมีความรู้ความเข้าใจดีกว่า เช่น
"อุเบกขาที่ลุงเทวฤทธิ์บอกนะ ทำอย่างไรให้มันเกิดในฌาณ(ชาน)ครับ
และลุงแน่ใจแล้วหรือครับว่า ...อุเบกขาที่ลุงว่ามันเป็นกิเลส รบกวนให้ธรรมะเป็นทานครับ" ถึงแม้ว่าจะเขียนแบบสวยงามตอนท้าย แต่ที่เจ้าผู้ใช้ชื่อว่าโฮฮับ ได้คัดค้านไว้ก่อนนั้น แสดงให้รู้ได้ว่า ไม่รู้ คิดว่าตัวมันรู้ แลยังคิดว่าข้าพเจ้าไม่รู้

เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ เอ๋ย อย่างเอ็งอย่าเอาไปเปรียบเทียบกับ เห้งเจีย เลย เห้งเจ้ย นะเขาเป็น "อรหันต์ ผ่านพ้นนิพพาน สำเร็จชั้นเซียน" อย่างเอ็ง เอาแค่ปุถุชน ที่ไม่มีวันบรรลุธรรมก็พอแล้วนะขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 05:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โกเมศวร์ เขียน:
โดยส่วนตัวแล้วไม่สงสัยในปัญญาของท่านโฮฮับ

หนังสือชื่อ ลิงจอมโจก เขียนโดยท่านเขมานันทะ อาจช่วยขัดเกลาปัญญาให้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น
:b8:

เล่าแจ้งแถลงไขครับ ที่ผมเปรียบเทียบตัวเองเป็นเห้งเจีย แค่อยากจะสื่อ
หรืออยากเปรียบเทียบ ให้เห็นถึงเรื่องโทสะ บางท่านอาจเปรียบศิษย์ทั้งสามของท่าน
พระถังซ่ำจั๋งเป็น ศีล สมาธิและปัญญา แต่ผมเปรียบศิษย์ทั้งสามเป็น โทสะ โมหะและโลภะ

และที่ยกเอาเห้งเจียขึ้นมาก็เพื่อ ให้จขกทแกระลีกนึกถึงเรื่องนี้
บางท่านเปรียบเอาเห้งเจียเป็นปัญญา แต่ทำไมเห้งเจียถึงได้มีแต่โทสะ
เมื่อไม่พอใจหรือเห็นปีศาจก็ลงมือฆ่าทันที

ก็เปรียบเหมือนจขกทนั้นแหล่ะครับ ใครๆก็รู้ว่าจขกทแก ประกาศตนเป็นพระศรีอาริย์
แต่ทำไม อารมณ์แกถึงได้พุ่งพร่านเกิดโทสะได้ตลอดเวลา ไม่พอใจอะไรก็แสดงออก
ทางวาจา ใครแสดงความเห็นขัดหูก็ด่าสาดเสียเทเสีย

ผมอุตสาห์เกริ่นนำถึงเรื่องเหล่านี้ แทนที่จะมีเมตตา
กลับทำเรื่องตรงกันข้าม เขาแสดงความเห็นเพื่อผ่อนคลาย
กลับเอาไป เป็นฟืนเข้าไปสุ่มไฟโทสะตัวเองให้ลุกโพร่งกว่าเก่า :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
โกเมศวร์ เขียน:
โดยส่วนตัวแล้วไม่สงสัยในปัญญาของท่านโฮฮับ

หนังสือชื่อ ลิงจอมโจก เขียนโดยท่านเขมานันทะ อาจช่วยขัดเกลาปัญญาให้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น
:b8:

เล่าแจ้งแถลงไขครับ ที่ผมเปรียบเทียบตัวเองเป็นเห้งเจีย แค่อยากจะสื่อ
หรืออยากเปรียบเทียบ ให้เห็นถึงเรื่องโทสะ บางท่านอาจเปรียบศิษย์ทั้งสามของท่าน
พระถังซ่ำจั๋งเป็น ศีล สมาธิและปัญญา แต่ผมเปรียบศิษย์ทั้งสามเป็น โทสะ โมหะและโลภะ

และที่ยกเอาเห้งเจียขึ้นมาก็เพื่อ ให้จขกทแกระลีกนึกถึงเรื่องนี้
บางท่านเปรียบเอาเห้งเจียเป็นปัญญา แต่ทำไมเห้งเจียถึงได้มีแต่โทสะ
เมื่อไม่พอใจหรือเห็นปีศาจก็ลงมือฆ่าทันที

ก็เปรียบเหมือนจขกทนั้นแหล่ะครับ ใครๆก็รู้ว่าจขกทแก ประกาศตนเป็นพระศรีอาริย์
แต่ทำไม อารมณ์แกถึงได้พุ่งพร่านเกิดโทสะได้ตลอดเวลา ไม่พอใจอะไรก็แสดงออก
ทางวาจา ใครแสดงความเห็นขัดหูก็ด่าสาดเสียเทเสีย

ผมอุตสาห์เกริ่นนำถึงเรื่องเหล่านี้ แทนที่จะมีเมตตา
กลับทำเรื่องตรงกันข้าม เขาแสดงความเห็นเพื่อผ่อนคลาย
กลับเอาไป เป็นฟืนเข้าไปสุ่มไฟโทสะตัวเองให้ลุกโพร่งกว่าเก่า :b13:


เจ้าโฮฮับ...เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าพเจ้ามีโทสะ เจ้ามันไม่รู้จักอะไร แถมยังอวดรู้อวดฉลาดไม่ยอมเลิก ข้าพเจ้าสามารถขจัดอาสวะได้ และยังเกิดฉัพพรรณรังสีขณะขจัดอาสวะอีกด้วย เจ้าคิดว่าข้าพเจ้ามาโอ้อวด ประกาศตัวโดยไม่มีหลักฐานอย่างนั้นหรึอ เจ้าคิดของเจ้าเอง แถมยังคิดใส่ร้ายผู้อื่น พิจารณาตัวเองซะบ้าง สอนตัวเจ้าเองเถอะ อย่าทำเป็นอวดรุ้อวดฉลาด ทำเป็นวางฟอร์ม ข้าพเจ้าไปถึงขอบจักรวาลโน่นแล้ว เขียนไปก็เท่านั้นไม่ได้อะไรดอกขอรับ ได้แต่ความคิด ข้าพเจ้าไม่อยากเสวนากับเจ้าดอกนะ เจ้าผู้ใช้ชื่อโฮฮับ เพราะใครๆที่เข้ามาอ่าน เขาก็รู้กันทั้งนั้น ว่า ระดับสมองสติปัญญา และสภาพจิตใจของเจ้าอยู่ในระดับไหน เพราะพวกเขา อ่านภาษาไทยเป็น และรู้ความหมายของภาษาไทยดีกว่าเอ็งเป็นร้อยเท่า...ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
โฮฮับ เขียน:
โกเมศวร์ เขียน:
โดยส่วนตัวแล้วไม่สงสัยในปัญญาของท่านโฮฮับ

หนังสือชื่อ ลิงจอมโจก เขียนโดยท่านเขมานันทะ อาจช่วยขัดเกลาปัญญาให้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น
:b8:

เล่าแจ้งแถลงไขครับ ที่ผมเปรียบเทียบตัวเองเป็นเห้งเจีย แค่อยากจะสื่อ
หรืออยากเปรียบเทียบ ให้เห็นถึงเรื่องโทสะ บางท่านอาจเปรียบศิษย์ทั้งสามของท่าน
พระถังซ่ำจั๋งเป็น ศีล สมาธิและปัญญา แต่ผมเปรียบศิษย์ทั้งสามเป็น โทสะ โมหะและโลภะ

และที่ยกเอาเห้งเจียขึ้นมาก็เพื่อ ให้จขกทแกระลีกนึกถึงเรื่องนี้
บางท่านเปรียบเอาเห้งเจียเป็นปัญญา แต่ทำไมเห้งเจียถึงได้มีแต่โทสะ
เมื่อไม่พอใจหรือเห็นปีศาจก็ลงมือฆ่าทันที

ก็เปรียบเหมือนจขกทนั้นแหล่ะครับ ใครๆก็รู้ว่าจขกทแก ประกาศตนเป็นพระศรีอาริย์
แต่ทำไม อารมณ์แกถึงได้พุ่งพร่านเกิดโทสะได้ตลอดเวลา ไม่พอใจอะไรก็แสดงออก
ทางวาจา ใครแสดงความเห็นขัดหูก็ด่าสาดเสียเทเสีย

ผมอุตสาห์เกริ่นนำถึงเรื่องเหล่านี้ แทนที่จะมีเมตตา
กลับทำเรื่องตรงกันข้าม เขาแสดงความเห็นเพื่อผ่อนคลาย
กลับเอาไป เป็นฟืนเข้าไปสุ่มไฟโทสะตัวเองให้ลุกโพร่งกว่าเก่า :b13:


เจ้าโฮฮับ...เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าพเจ้ามีโทสะ เจ้ามันไม่รู้จักอะไร แถมยังอวดรู้อวดฉลาดไม่ยอมเลิก ข้าพเจ้าสามารถขจัดอาสวะได้ และยังเกิดฉัพพรรณรังสีขณะขจัดอาสวะอีกด้วย เจ้าคิดว่าข้าพเจ้ามาโอ้อวด ประกาศตัวโดยไม่มีหลักฐานอย่างนั้นหรึอ เจ้าคิดของเจ้าเอง แถมยังคิดใส่ร้ายผู้อื่น พิจารณาตัวเองซะบ้าง สอนตัวเจ้าเองเถอะ อย่าทำเป็นอวดรุ้อวดฉลาด ทำเป็นวางฟอร์ม ข้าพเจ้าไปถึงขอบจักรวาลโน่นแล้ว เขียนไปก็เท่านั้นไม่ได้อะไรดอกขอรับ ได้แต่ความคิด ข้าพเจ้าไม่อยากเสวนากับเจ้าดอกนะ เจ้าผู้ใช้ชื่อโฮฮับ เพราะใครๆที่เข้ามาอ่าน เขาก็รู้กันทั้งนั้น ว่า ระดับสมองสติปัญญา และสภาพจิตใจของเจ้าอยู่ในระดับไหน เพราะพวกเขา อ่านภาษาไทยเป็น และรู้ความหมายของภาษาไทยดีกว่าเอ็งเป็นร้อยเท่า...ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า....
อันนี้ขอถามนะครับ นั่งสมาธิเพ่งเอาจิตอยู่กลางหน้าผาก เพ่งจนปวดหัวมากแต่ไม่ยอมถอยเพราะอยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร อีกใจก็กลัวว่าเส้นเลือดจะแตก แต่ด้วยการสงสัยอีกก็เลยต้องเพ่งต่อจนมันทะลุเลยก็ว่าได้ครับ จิตมันสว่างนื่งอยู่กายไม่มีแล้วมีแต่จิตลอยตัวอยู่คิดอะไรไม่ออก ได้แต่รู้อยู่อย่างเดียว

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 04:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
เจ้าโฮฮับ...เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าพเจ้ามีโทสะ เจ้ามันไม่รู้จักอะไร

ท่านผู้มีฉัพรังสี ถามข้าฯว่า รู้ได้อย่างไรว่าท่านมีโทสะ ก็ขอบอกเลยว่า
อันตัวข้าฯผู้ไร้ซึ่งฉัพรังสีและทิพย์จักขุ รู้ว่าท่านมีโทสะก็เพราะ
ข้าฯใช้สติสัมปัญชัญญะอันน้อยนิดของข้าฯ มองไปที่อาการของท่าน
ซื่งข้าฯเข้าใจดีว่ามันเป็นอายตนะหรือกิเลสภายนอก เมื่อไปกระทบมันเข้า
มันก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัยเป็นธรรมดาของมัน เมื่อรู้แล้วก็ดับไป กิเลสที่เข้ามาในใจเรา
ก็ย่อมเป็นกิเลสของคนอื่นไม่ใช่ของเรา เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ ท่านผู้ยิ่งใหญ่
sriariya เขียน:
แถมยังอวดรู้อวดฉลาดไม่ยอมเลิก ...

ตัวข้าฯ มิบังอาจอวดรู้อวดฉลาด สิ่งที่ข้าฯแสดงออกไปเป็นเพียงความเข้าใจ
เปรียบแล้วก็เหมือนก้อนกรวดเม็ดเล็กๆเม็ดเดียว ที่อยู่บนสนามหญ้าบ้านท่าน
เพียงท่านไม่ต้องสนใจหรือหยิบแล้วโยนลงถังขยะ ปัญหาในใจท่านก็จะไม่มี
แทนที่ท่านจะทำตามอย่างที่กล่าวข้างต้น ท่านไม่ทำกลับยกบาทาของท่าน
กระทืบลงไปบนก้อนกรวดนั้น ถามครับผลเสียจะเกิดกับก้อนกรวดหรือเท้าของท่านครับ

sriariya เขียน:
ข้าพเจ้าสามารถขจัดอาสวะได้ และยังเกิดฉัพพรรณรังสีขณะขจัดอาสวะอีกด้วย เจ้าคิดว่าข้าพเจ้ามาโอ้อวด ประกาศตัวโดยไม่มีหลักฐานอย่างนั้นหรึอ เจ้าคิดของเจ้าเอง แถมยังคิดใส่ร้ายผู้อื่น พิจารณาตัวเองซะบ้าง สอนตัวเจ้าเองเถอะ อย่าทำเป็นอวดรุ้อวดฉลาด ทำเป็นวางฟอร์ม ข้าพเจ้าไปถึงขอบจักรวาลโน่นแล้ว เขียนไปก็เท่านั้นไม่ได้อะไรดอกขอรับ ได้แต่ความคิด .

ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้ ทำไมผมกลายเป็นแพะรับบาปครับ ทำไมผมเป็นผู้โอ่อวดไปได้
ผมก็แค่เป็นผู้น้อยที่ติดในข้อสงสัย อันเกิดจากการที่ท่าน ประกาสว่าเป็นพระศรีอาริย์
เป็นผู้มีฉัพรังสี เคยไปเดินเล่นบนขอบจักวาลมาแล้ว
ผมยังไม่มองท่านว่า ขี้โม้ ขี้อวดเลย แต่เป็นเพราะข้าฯไม่เคยประสบพบเจอในสิ่งที่ท่ากล่าว
ก็เลยต้องถามต้องแย้ง ถ้าท่านเป็นแบบที่ท่านคุย ท่านก็ต้องแสดงให้คนอื่นเข้าใจ อย่างนี้จึงจะ
เรียกว่า ผู้มีเมตตา แต่แล้วเรื่องมันกลับตาลปัตร ผมกลายเป็นแพะ เป็นคนขี้โม้ ขี้อวด แฮ่ะๆๆ
sriariya เขียน:
ข้าพเจ้าไม่อยากเสวนากับเจ้าดอกนะ เจ้าผู้ใช้ชื่อโฮฮับ เพราะใครๆที่เข้ามาอ่าน เขาก็รู้กันทั้งนั้น ว่า ระดับสมองสติปัญญา และสภาพจิตใจของเจ้าอยู่ในระดับไหน เพราะพวกเขา อ่านภาษาไทยเป็น และรู้ความหมายของภาษาไทยดีกว่าเอ็งเป็นร้อยเท่า...ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า....

ไม่อยากเสวนากับข้า จริงหรือ? แล้วท่านผู้มีแสงเฮ้ากวง ไยต้องอ้างอิงความเห็นของข้าฯ
แล้วก็ฉอดๆๆๆๆๆๆๆๆ
ความเห็นที่ท่านไปอ้างอิงมา เป็นเรื่องที่ผมคุยกับคุณ.โกเมศวร์น่ะ
ผมไม่ได้คุยกับท่านผู้ยิ่งใหญ่ ไม่เชื่อก็กลับไปดูใหม่ ใช้ทิพย์จักขุส่องดูก็ได้.. :b13:
sriariya เขียน:
โฮฮับ เขียน:
โกเมศวร์ เขียน:
โดยส่วนตัวแล้วไม่สงสัยในปัญญาของท่านโฮฮับ

หนังสือชื่อ ลิงจอมโจก เขียนโดยท่านเขมานันทะ อาจช่วยขัดเกลาปัญญาให้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น
:b8:

เล่าแจ้งแถลงไขครับ ที่ผมเปรียบเทียบตัวเองเป็นเห้งเจีย แค่อยากจะสื่อ
หรืออยากเปรียบเทียบ ให้เห็นถึงเรื่องโทสะ บางท่านอาจเปรียบศิษย์ทั้งสามของท่าน
พระถังซ่ำจั๋งเป็น ศีล สมาธิและปัญญา แต่ผมเปรียบศิษย์ทั้งสามเป็น โทสะ โมหะและโลภะ

และที่ยกเอาเห้งเจียขึ้นมาก็เพื่อ ให้จขกทแกระลีกนึกถึงเรื่องนี้
บางท่านเปรียบเอาเห้งเจียเป็นปัญญา แต่ทำไมเห้งเจียถึงได้มีแต่โทสะ
เมื่อไม่พอใจหรือเห็นปีศาจก็ลงมือฆ่าทันที

ก็เปรียบเหมือนจขกทนั้นแหล่ะครับ ใครๆก็รู้ว่าจขกทแก ประกาศตนเป็นพระศรีอาริย์
แต่ทำไม อารมณ์แกถึงได้พุ่งพร่านเกิดโทสะได้ตลอดเวลา ไม่พอใจอะไรก็แสดงออก
ทางวาจา ใครแสดงความเห็นขัดหูก็ด่าสาดเสียเทเสีย

ผมอุตสาห์เกริ่นนำถึงเรื่องเหล่านี้ แทนที่จะมีเมตตา
กลับทำเรื่องตรงกันข้าม เขาแสดงความเห็นเพื่อผ่อนคลาย
กลับเอาไป เป็นฟืนเข้าไปสุ่มไฟโทสะตัวเองให้ลุกโพร่งกว่าเก่า :b13:



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 20:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 15:30
โพสต์: 36

งานอดิเรก: เล่นแมว
สิ่งที่ชื่นชอบ: นอน
ชื่อเล่น: มู่
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


http://board.palungjit.com/f4/%E0%B9%80 ... 54714.html

เขาไปศึกษาในนี้เพิ่มเติมนะ จะได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกจากประสบการณ์หลายๆประสบการณ์

.....................................................
ใช้ดาบฟาดน้ำน้ำยิ่งไหลโชก ยกแก้วกับโศกโศกยิ่งทุกข์หนัก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร