วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 15:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 145 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2012, 21:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ตั้งเผื่อเอาไว้เพื่อจะสนทนาธรรม ต่อจากในห้อง Chat ครับ
เพราะถ้าสนทนากันในห้อง Chat นั้น
จะยกเอาคำที่อีกคนได้พูดเอาไว้มาอ้างอิงไม่สะดวก
เหมือนกับในแบบที่สนทนากันในกระทู้อย่างนี้

ในห้อง Chat พูดกันไม่กี่นาที ข้อความก็หล่นหายไปจากหน้า Chat แล้ว
จะไปเก็บเอาจากใน หน้าข้อความย้อนหลังก็ไม่สะดวก
ก็เลยต้องมาเปิดกระทู้นี้ขึ้น
เพื่อเอาไว้คุยกันได้อย่างเต็มที่


แก้ไขล่าสุดโดย <ตะวัน> เมื่อ 04 ส.ค. 2012, 22:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2012, 22:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ที่จะเข้ามาคุยกัน
ผมก็จะแวะเข้ามาดูเรื่อยๆ ถ้ามีอะไรจะคุยด้วยก็เข้ามา โพสต์ ข้อความเอาไว้เลยครับ
ส่วนมาก ผมจะเข้าไปคุยที่ห้อง Chat สนทนาธรรม(ลาน1)
ช่วงประมาณ 3 - 4 ทุ่ม
โดยใช้นามว่า
ตะวัน


แก้ไขล่าสุดโดย <ตะวัน> เมื่อ 04 ส.ค. 2012, 22:13, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2012, 22:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2012, 23:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ...ท่านกบฯ.........
ขอบคุณนะครับ ที่เข้ามาเยี่ยมเยียน
โอกาสหน้าคงได้มีโอกาสสนทนาธรรมกันนะท่าน
ผมประจำที่ลาน 1 นะครับ ช่วงดึกประมาณ 3-4ทุ่ม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 04:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อความข้างล่างนี้ยกมาจาก กระทู้........... ผมยกย่องภิกษุณีท่านนี้มาก...........
viewtopic.php?f=1&t=42780&start=15

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


<ตะวัน> เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แสงแห่งพระธรรม เขียน:

ใช่ๆๆๆๆๆๆเดียวนี้ต้องนั่งสมาธิในห้องแอร์.


อิจฉาละซี้.... :b32:

ต้องเข้าใจว่า....บุญกรรมทำมาไม่เหมือนกัน...นะคราบบ... อิ....อิ..... :b12:

เคยได้ยินเรื่อง...อรหันต์ทานข้าวไม่อิ่มในสมัยพุทธกาล..มั้ยครับ?

เป็นอรหันต์...นะนั้นนะ...ใช่เล็กน้อย...แค่กรรมที่เคยสั่งคนใช้ขุดเอาเม็ดข้าวที่มดขนลงรูคืน...มาสนองเข้าเท่านั้นเอง....แต่ก็เป็นอรหันต์นะ...กลับกินข้าวไม่เคยอิ่ม....อ่ออิ่มวันเดียว...คือวันนิพพาน...

คนที่เขานั่งกรรมฐานในห้องแอร์...ก็บุญกรรมที่เขาทำมาทั้งนั้น...แหละครับ....ไม่มีอะไรไม่เกิดแต่เหตุ

แต่ก็สงสารคนที่ยึดแต่รูปลักษณ์ภายนอก....ว่าต้องกันดารบ้าง...ลำบากบ้าง...มืด ๆ อยู่ในป่าบ้าง...วัดเก่า ๆ โทรม ๆ ก็คิดว่าแบบนี้จึงเรียกว่าอยู่อย่างสมถะบ้าง.....เรียกว่ามีอุปาทานในรูป....แต่กลับไม่รู้ตัว...

เอิ๊ก...เอิ๊ก....เอิ๊ก...



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
<ตะวัน> เขียน:

ผมว่า ความกันดาร ความลำบาก จะเป็นตัวช่วยให้

ฝึกทรมานจิตให้มันไม่ดื้อมากได้ง่ายขึ้นต่างหาก
ไม่ได้เป็นการติดรูปลักษณ์ภายนอกนะ
และไม่ได้เป็นอุปาทานในรูปอะไรทั้งสิ้น

แต่เป็นตัวช่วยให้สามารถควบคุมจิตไม่ให้ดิ้นรนแส่ส่าย
ช่วยให้จิตเข้าถึงความสงบเย็นได้เร็วขึ้นต่างหาก
ไม่งั้น...พระพุทธองค์ท่านจะทรงบัญญัติธุดงค์ข้ออยู่ป่า
เป็นวัตร อยู่ป่าช้าเป็นวัตร ไว้ใน ธุดงควัตร 13 หรอกเหรอ

ธุดงควัตร ก็คือ ข้อปฏิบัติเพื่อปราบทำลายกิเลสอย่างเยี่ยม
หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่าย จะเรียกว่าเป็น...อาวุธหนัก...
ระดับนิวเคลียร์
ก็ได้ ไม่ใช่อาวุธเบาแบบ ปืนแก๊ป
ถ้าเอาไปใช้ถล่มกิเลสเมื่อไร กิเลสต้องกระเจิงเมื่อนั้น

แต่กลับไม่ค่อยมีคนจะกล้าเอาไปใช้เท่าไร
เพราะ....ใจไม่ถึง....ใจไม่เด็ด...
ก็เลย ไม่กล้าเอาไปใช้ฆ่ากิเลส
ชอบเอาแต่อาวุธเบาๆ อย่าง...มีดปอกผลไม้...(ศีลห้า)

จะเอาไปฆ่ากิเลสซึ่งเปรียบเหมือนกับยักษ์ใหญ่ แล้ว

เมื่อไหร่จะฆ่ามันได้สักทีหนอ??????


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 09:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


คุยได้ยัง?... :b12:
อะไรคืออาวุธหนักหรือ...

ธุดงควัตรของตะวัน....ทำอะไรบ้าง...

โมทนาสาธุ...ที่ทำดี..ครับ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คุยได้ยัง?... :b12:
อะไรคืออาวุธหนักหรือ...

ธุดงควัตรของตะวัน....ทำอะไรบ้าง...

โมทนาสาธุ...ที่ทำดี..ครับ..
พี่กบสนใจอาวุธหนักเหรอ.... เดี๋ยวรอคุณตะวันก่อน...ผมก็อยากรู้เหมือนกัน....แต่ผมคิดว่าหนักพอตัวเลยล่ะมั้ง!" :b19: ผมชอบอิๆๆ :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 20:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมชอบ..ท่าดรรชนีไฉไล...ไม่ชอบขนอาวุธไปให้ไหนมาไหน...ให้เมื่อยตุ้ม...

คือเป็นคนขี้เกียจนะ...นี้ก็จวนจะขี้เกียจจนจะไม่เป็นท่า...อยู่แล้ว :b32:

ก็เลยไม่เคยเห็นอาวุธหนัก กะเขาเสียที...คงโชคดีตอนนี้แหละ..

และ...ขออะไร Bigtoo อย่างหนึ่งดิ...

อย่าเรียกพี่...

ทั้งวัยวุฒิ....และ..คุณวุฒิ...ผมอาจต้องเรียก Bigttoo ว่าอาจารย์...ซะมากกว่า.. :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กระผมชอบ..ท่าดรรชนีไฉไล...ไม่ชอบขนอาวุธไปให้ไหนมาไหน...ให้เมื่อยตุ้ม...

คือเป็นคนขี้เกียจนะ...นี้ก็จวนจะขี้เกียจจนจะไม่เป็นท่า...อยู่แล้ว :b32:

ก็เลยไม่เคยเห็นอาวุธหนัก กะเขาเสียที...คงโชคดีตอนนี้แหละ..

และ...ขออะไร Bigtoo อย่างหนึ่งดิ...

อย่าเรียกพี่...

ทั้งวัยวุฒิ....และ..คุณวุฒิ...ผมอาจต้องเรียก Bigttoo ว่าอาจารย์...ซะมากกว่า.. :b12: :b12:
ถ้าทางโลกพอรับเป็นติวเตอร์ได้ ....เพราะบาดแผลเต็มหลังเลย....แต่ทางธรรมมิบังอาจครับ.....ให้เรียกพี่กบนะดีแล้วผมชอบอิๆๆๆ :b12: :b12:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2012, 21:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


คนอาราย....ขี้เหนียว

ขอ...อย่างเดียว....ก็ยังไม่ได้...
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2012, 22:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


<ตะวัน> เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แสงแห่งพระธรรม เขียน:

ใช่ๆๆๆๆๆๆเดียวนี้ต้องนั่งสมาธิในห้องแอร์.


อิจฉาละซี้.... :b32:

ต้องเข้าใจว่า....บุญกรรมทำมาไม่เหมือนกัน...นะคราบบ... อิ....อิ..... :b12:

เคยได้ยินเรื่อง...อรหันต์ทานข้าวไม่อิ่มในสมัยพุทธกาล..มั้ยครับ?

เป็นอรหันต์...นะนั้นนะ...ใช่เล็กน้อย...แค่กรรมที่เคยสั่งคนใช้ขุดเอาเม็ดข้าวที่มดขนลงรูคืน...มาสนองเข้าเท่านั้นเอง....แต่ก็เป็นอรหันต์นะ...กลับกินข้าวไม่เคยอิ่ม....อ่ออิ่มวันเดียว...คือวันนิพพาน...

คนที่เขานั่งกรรมฐานในห้องแอร์...ก็บุญกรรมที่เขาทำมาทั้งนั้น...แหละครับ....ไม่มีอะไรไม่เกิดแต่เหตุ

แต่ก็สงสารคนที่ยึดแต่รูปลักษณ์ภายนอก....ว่าต้องกันดารบ้าง...ลำบากบ้าง...มืด ๆ อยู่ในป่าบ้าง...วัดเก่า ๆ โทรม ๆ ก็คิดว่าแบบนี้จึงเรียกว่าอยู่อย่างสมถะบ้าง.....เรียกว่ามีอุปาทานในรูป....แต่กลับไม่รู้ตัว...

เอิ๊ก...เอิ๊ก....เอิ๊ก...



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
<ตะวัน> เขียน:

ผมว่า ความกันดาร ความลำบาก จะเป็นตัวช่วยให้

ฝึกทรมานจิตให้มันไม่ดื้อมากได้ง่ายขึ้นต่างหาก
ไม่ได้เป็นการติดรูปลักษณ์ภายนอกนะ
และไม่ได้เป็นอุปาทานในรูปอะไรทั้งสิ้น

แต่เป็นตัวช่วยให้สามารถควบคุมจิตไม่ให้ดิ้นรนแส่ส่าย
ช่วยให้จิตเข้าถึงความสงบเย็นได้เร็วขึ้นต่างหาก
ไม่งั้น...พระพุทธองค์ท่านจะทรงบัญญัติธุดงค์ข้ออยู่ป่า
เป็นวัตร อยู่ป่าช้าเป็นวัตร ไว้ใน ธุดงควัตร 13 หรอกเหรอ

ธุดงควัตร ก็คือ ข้อปฏิบัติเพื่อปราบทำลายกิเลสอย่างเยี่ยม
หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่าย จะเรียกว่าเป็น...อาวุธหนัก...
ระดับนิวเคลียร์
ก็ได้ ไม่ใช่อาวุธเบาแบบ ปืนแก๊ป
ถ้าเอาไปใช้ถล่มกิเลสเมื่อไร กิเลสต้องกระเจิงเมื่อนั้น

แต่กลับไม่ค่อยมีคนจะกล้าเอาไปใช้เท่าไร
เพราะ....ใจไม่ถึง....ใจไม่เด็ด...
ก็เลย ไม่กล้าเอาไปใช้ฆ่ากิเลส
ชอบเอาแต่อาวุธเบาๆ อย่าง...มีดปอกผลไม้...(ศีลห้า)

จะเอาไปฆ่ากิเลสซึ่งเปรียบเหมือนกับยักษ์ใหญ่ แล้ว

เมื่อไหร่จะฆ่ามันได้สักทีหนอ??????



.................+++++++++++++++++++++++++....................

กบนอกกะลา เขียน :


ผมว่าคนที่ยึด...นะ...คุณตะวัน...ไม่ได้ไปว่าธุดงควัตร ไม่ดี

เห็นกันเยอะ...มาก...คิดแต่ต้องไปวัดที่ห่างไกล..จึงจะเข้าท่า...วัดวาเต็มกรุงเทพ..ว่าไม่ดี

ยังไม่เคยไปเลย....วัดในกรุงเทพ....ได้แต่คิดนึกเอง...ไปมาแล้วก็ว่าไปอย่าง

ถ้าไม่ยึด...มีหรือจะออกอาการเพ่งโทษคนอื่น...(ว่าดี...ว่าไม่ดี)

จะทำดีทั้งทีดันคิดมาก...ต้องอย่านั้น...ต้องอย่านี้...ทีตอนกิเลสตัญหามันเกิด...ไม่หยักกะเลือกให้มันเกิดตามสถานที่

นักปฏิบัติ...ต้องฉลาด...

ต้องฉลาดรู้ว่านิสัยของตน....ต้องดัดด้วยอะไร...เราก็ทำไปตามเหตุปัจจัยของเรา...

ตอนไหนต้องเตะ...ก็เตะ
ตอนไหนต้องถีบ..ก็ต้องถีบ
ตอนไหนต้องปลอบ...ก็ปลอบ
ตอนไหนต้องฟัน...มันก็ต้องฟัน

ฟันไม่ถูกที่...ปลอบไม่ถูกเวลา...มันก็คนบ้าเท่านั้นเอง :b12:


...........................++++++++++++++++................................


<ตะวัน> เขียน :




[size=150]***.....จะทำดีทั้งทีดันคิดมาก...ต้องอย่านั้น...ต้องอย่านี้...ทีตอนกิเลสตัญหามันเกิด...
ไม่หยักกะเลือกให้มันเกิดตามสถานที่.......***(ยกเอาที่ท่านกบฯเขียนมาอ้างอิง)


จะทำดีทั้งที จะรอแต่ว่าต้องไปปฏิบัติในป่าหรือที่ทุรกันดารก่อนถึงจะค่อยปฏิบัติ
มันก็ไม่ทันกับกิเลสที่เกิดขึ้น ก็ฆ่ามันไม่ทันกันพอดีใช่ไหม??ท่านกบฯ
เข้าใจแล้วเน้อ... ที่ท่านกบฯ ต้องการสื่อ

แต่ผมอ่านตอนแรกแล้ว ความหมายไม่เคลียร์อย่างนี้
ก็เลยเขียนแย้งไปอย่างนั้น กลัวคนอื่นมาอ่านแล้วจะหลงผิดไปว่า
การปฏิบัติไม่จำเป็นต้องหาที่ลำบากทุรกันดารมาช่วยตัวเอง
มาฝึกตัวเองให้ตั้งสติได้ดียิ่งขึ้น ให้ตั้งสติได้ง่ายขึ้น
เพราะในป่าในเขา หรือที่ทุรกันดาร จะไม่ค่อยมีสิ่งที่ส่งเสริมให้กิเลสตัณหามันเกิดได้มากและเร็ว
เหมือนกับในบ้านในเมือง ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ส่งเสริมให้กิเลสตัณหาเกิดได้ง่ายและเร็ว
ถ้าเลือกได้ก็ไปปฏิบัติในป่าในเขาจะดีกว่าในบ้านในเมืองเยอะเลย
ไม่งั้นพระพุทธองค์ก็คงจะไม่ ขี่ม้ากัณฐกะเสด็จหนีไปปฏิบัติอยู่ในป่าในเขาหรอก
ปฏิบัติอยู่ในเมือง มีพระนางพิมพากับเหล่านางสนมมาคอยอุปฐากดูแลจะไม่สบายกว่าไปปฏิบัติในป่าหรอกหรือ ถ้าหากว่าได้ผลดีเหมือนกันนั่นน่ะ แต่พระองค์เห็นว่าในป่าจะีปฏิบัติได้ผลดีกว่า
พระองค์ก็เลยไปอยู่ในป่า ในตอนปฏิบัติทีแรก พอได้สำเร็จแล้วพ้นทุกข์แล้ว ก็จึงออกมาสอนผู้คนในบ้านในเมืองทีหลัง

ลำพังแต่ที่เราต้องสู้ด้วยมือเปล่า ไม่ใช้อาวุธหนัก มาช่วย จะสู้ไหวหรือ???
เพราะกำลังสติยังไม่แข็ง ก็เหมือนกับการสู้เสือด้วยมือเปล่า

ส่วนท่านที่เก่งแล้วสติแก่กล้าแล้วไม่ต้อง ใช้อาวุธหนักก็ได้
เช่นไม่ต้องถือธุดงค์ฯ ก็ได้ แต่ผู้ที่ยังสติไม่แก่กล้า ต้องหาเครื่องมือที่จะช่วยในการตั้งสติ
ให้ตั้งสติได้ดี เช่นไปอยู่ในสถานที่น่ากลัว เช่น ป่าช้า หรือ ที่มีผีดุ หรือ ที่มีช้างมีเสือ
มาช่วยปราบกิเลสไม่ให้มันดึงจิตให้คิดออกจาก พุทโธ

หรือเอาทุกขเวทนาจากการนั่งนานๆ หรือเดินนานๆ มามัดจิตให้อยู่กับตัวเอง
ไม่ให้คิดฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปภายนอก จะทำให้ภาวนา
ทำจิตสงบได้เร็ว กว่าการภาวนาไปตามสบายๆ อยากนั่งอยากนอนเมื่อไหร่ก็หยุด
ไม่มีข้อกำหนดผูกมัดจิตตัวเองให้อยู่กับสติ (ไฟต์บังคับ) ว่าต้องทำให้สงบให้ได้
ถ้าไม่สงบก็เจ็บตัวแน่ (ถ้ามีไฟต์บังคับจิตมันแบบนี้มันจะไม่ดื้อ มันจะยอมเรา)
ทำให้จิตสงบเย็นได้ง่าย

***....นักปฏิบัติ...ต้องฉลาด...***
ใช่ครับ นักปฏิบัติต้องฉลาด ที่จะหาเครื่องมือมาช่วยในการปฏิบัติของตัวเองให้ก้าวหน้าได้เร็ว
โดยนำ อาวุธหนัก ที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้ไว้แล้วเข้ามาช่วย ทำลายกิเลส
ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วรู้เฉยๆ แต่ไม่นำมาใช้สักที ก็เลยทำให้ ปราบกิเลสไม่ได้สักที
แพ้แต่กิเลสอยู่วันยังค่ำ โดนมันดึงมันลากให้ไปดูหนัง ดูละคร เล่นเกม เข้าเว็บโป๊
แพ้มันจนต้องไปสำเร็จความหื่นความใคร่เพราะต้านอำนาจราคะตัณหาไม่ได้
สารพัดที่มันจะลากเราไปฆ่า ไปต้มยำทำแกง ปู้ยี่ปู้ยำเราสารพัด จนทำให้จิตเราพินาศฉิบหาย
จากสมาธิความสงบร่มเย็น จากปัญญาญาณความรู้อันวิเศษต่างๆ อีกมากมาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2012, 22:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


<ตะวัน> เขียน:
<ตะวัน> เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แสงแห่งพระธรรม เขียน:

ใช่ๆๆๆๆๆๆเดียวนี้ต้องนั่งสมาธิในห้องแอร์.


อิจฉาละซี้.... :b32:

ต้องเข้าใจว่า....บุญกรรมทำมาไม่เหมือนกัน...นะคราบบ... อิ....อิ..... :b12:

เคยได้ยินเรื่อง...อรหันต์ทานข้าวไม่อิ่มในสมัยพุทธกาล..มั้ยครับ?

เป็นอรหันต์...นะนั้นนะ...ใช่เล็กน้อย...แค่กรรมที่เคยสั่งคนใช้ขุดเอาเม็ดข้าวที่มดขนลงรูคืน...มาสนองเข้าเท่านั้นเอง....แต่ก็เป็นอรหันต์นะ...กลับกินข้าวไม่เคยอิ่ม....อ่ออิ่มวันเดียว...คือวันนิพพาน...

คนที่เขานั่งกรรมฐานในห้องแอร์...ก็บุญกรรมที่เขาทำมาทั้งนั้น...แหละครับ....ไม่มีอะไรไม่เกิดแต่เหตุ

แต่ก็สงสารคนที่ยึดแต่รูปลักษณ์ภายนอก....ว่าต้องกันดารบ้าง...ลำบากบ้าง...มืด ๆ อยู่ในป่าบ้าง...วัดเก่า ๆ โทรม ๆ ก็คิดว่าแบบนี้จึงเรียกว่าอยู่อย่างสมถะบ้าง.....เรียกว่ามีอุปาทานในรูป....แต่กลับไม่รู้ตัว...

เอิ๊ก...เอิ๊ก....เอิ๊ก...



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
<ตะวัน> เขียน:

ผมว่า ความกันดาร ความลำบาก จะเป็นตัวช่วยให้

ฝึกทรมานจิตให้มันไม่ดื้อมากได้ง่ายขึ้นต่างหาก
ไม่ได้เป็นการติดรูปลักษณ์ภายนอกนะ
และไม่ได้เป็นอุปาทานในรูปอะไรทั้งสิ้น

แต่เป็นตัวช่วยให้สามารถควบคุมจิตไม่ให้ดิ้นรนแส่ส่าย
ช่วยให้จิตเข้าถึงความสงบเย็นได้เร็วขึ้นต่างหาก
ไม่งั้น...พระพุทธองค์ท่านจะทรงบัญญัติธุดงค์ข้ออยู่ป่า
เป็นวัตร อยู่ป่าช้าเป็นวัตร ไว้ใน ธุดงควัตร 13 หรอกเหรอ

ธุดงควัตร ก็คือ ข้อปฏิบัติเพื่อปราบทำลายกิเลสอย่างเยี่ยม
หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่าย จะเรียกว่าเป็น...อาวุธหนัก...
ระดับนิวเคลียร์
ก็ได้ ไม่ใช่อาวุธเบาแบบ ปืนแก๊ป
ถ้าเอาไปใช้ถล่มกิเลสเมื่อไร กิเลสต้องกระเจิงเมื่อนั้น

แต่กลับไม่ค่อยมีคนจะกล้าเอาไปใช้เท่าไร
เพราะ....ใจไม่ถึง....ใจไม่เด็ด...
ก็เลย ไม่กล้าเอาไปใช้ฆ่ากิเลส
ชอบเอาแต่อาวุธเบาๆ อย่าง...มีดปอกผลไม้...(ศีลห้า)

จะเอาไปฆ่ากิเลสซึ่งเปรียบเหมือนกับยักษ์ใหญ่ แล้ว

เมื่อไหร่จะฆ่ามันได้สักทีหนอ??????



.................+++++++++++++++++++++++++....................

กบนอกกะลา เขียน :


ผมว่าคนที่ยึด...นะ...คุณตะวัน...ไม่ได้ไปว่าธุดงควัตร ไม่ดี

เห็นกันเยอะ...มาก...คิดแต่ต้องไปวัดที่ห่างไกล..จึงจะเข้าท่า...วัดวาเต็มกรุงเทพ..ว่าไม่ดี

ยังไม่เคยไปเลย....วัดในกรุงเทพ....ได้แต่คิดนึกเอง...ไปมาแล้วก็ว่าไปอย่าง

ถ้าไม่ยึด...มีหรือจะออกอาการเพ่งโทษคนอื่น...(ว่าดี...ว่าไม่ดี)

จะทำดีทั้งทีดันคิดมาก...ต้องอย่านั้น...ต้องอย่านี้...ทีตอนกิเลสตัญหามันเกิด...ไม่หยักกะเลือกให้มันเกิดตามสถานที่

นักปฏิบัติ...ต้องฉลาด...

ต้องฉลาดรู้ว่านิสัยของตน....ต้องดัดด้วยอะไร...เราก็ทำไปตามเหตุปัจจัยของเรา...

ตอนไหนต้องเตะ...ก็เตะ
ตอนไหนต้องถีบ..ก็ต้องถีบ
ตอนไหนต้องปลอบ...ก็ปลอบ
ตอนไหนต้องฟัน...มันก็ต้องฟัน

ฟันไม่ถูกที่...ปลอบไม่ถูกเวลา...มันก็คนบ้าเท่านั้นเอง :b12:


...........................++++++++++++++++................................


<ตะวัน> เขียน :




[size=150]***.....จะทำดีทั้งทีดันคิดมาก...ต้องอย่านั้น...ต้องอย่านี้...ทีตอนกิเลสตัญหามันเกิด...
ไม่หยักกะเลือกให้มันเกิดตามสถานที่.......***(ยกเอาที่ท่านกบฯเขียนมาอ้างอิง)


จะทำดีทั้งที จะรอแต่ว่าต้องไปปฏิบัติในป่าหรือที่ทุรกันดารก่อนถึงจะค่อยปฏิบัติ
มันก็ไม่ทันกับกิเลสที่เกิดขึ้น ก็ฆ่ามันไม่ทันกันพอดีใช่ไหม??ท่านกบฯ
เข้าใจแล้วเน้อ... ที่ท่านกบฯ ต้องการสื่อ

แต่ผมอ่านตอนแรกแล้ว ความหมายไม่เคลียร์อย่างนี้
ก็เลยเขียนแย้งไปอย่างนั้น กลัวคนอื่นมาอ่านแล้วจะหลงผิดไปว่า
การปฏิบัติไม่จำเป็นต้องหาที่ลำบากทุรกันดารมาช่วยตัวเอง
มาฝึกตัวเองให้ตั้งสติได้ดียิ่งขึ้น ให้ตั้งสติได้ง่ายขึ้น
เพราะในป่าในเขา หรือที่ทุรกันดาร จะไม่ค่อยมีสิ่งที่ส่งเสริมให้กิเลสตัณหามันเกิดได้มากและเร็ว
เหมือนกับในบ้านในเมือง ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ส่งเสริมให้กิเลสตัณหาเกิดได้ง่ายและเร็ว
ถ้าเลือกได้ก็ไปปฏิบัติในป่าในเขาจะดีกว่าในบ้านในเมืองเยอะเลย
ไม่งั้นพระพุทธองค์ก็คงจะไม่ ขี่ม้ากัณฐกะเสด็จหนีไปปฏิบัติอยู่ในป่าในเขาหรอก
ปฏิบัติอยู่ในเมือง มีพระนางพิมพากับเหล่านางสนมมาคอยอุปฐากดูแลจะไม่สบายกว่าไปปฏิบัติในป่าหรอกหรือ ถ้าหากว่าได้ผลดีเหมือนกันนั่นน่ะ แต่พระองค์เห็นว่าในป่าจะีปฏิบัติได้ผลดีกว่า
พระองค์ก็เลยไปอยู่ในป่า ในตอนปฏิบัติทีแรก พอได้สำเร็จแล้วพ้นทุกข์แล้ว ก็จึงออกมาสอนผู้คนในบ้านในเมืองทีหลัง

ลำพังแต่ที่เราต้องสู้ด้วยมือเปล่า ไม่ใช้อาวุธหนัก มาช่วย จะสู้ไหวหรือ???
เพราะกำลังสติยังไม่แข็ง ก็เหมือนกับการสู้เสือด้วยมือเปล่า

ส่วนท่านที่เก่งแล้วสติแก่กล้าแล้วไม่ต้อง ใช้อาวุธหนักก็ได้
เช่นไม่ต้องถือธุดงค์ฯ ก็ได้ แต่ผู้ที่ยังสติไม่แก่กล้า ต้องหาเครื่องมือที่จะช่วยในการตั้งสติ
ให้ตั้งสติได้ดี เช่นไปอยู่ในสถานที่น่ากลัว เช่น ป่าช้า หรือ ที่มีผีดุ หรือ ที่มีช้างมีเสือ
มาช่วยปราบกิเลสไม่ให้มันดึงจิตให้คิดออกจาก พุทโธ

หรือเอาทุกขเวทนาจากการนั่งนานๆ หรือเดินนานๆ มามัดจิตให้อยู่กับตัวเอง
ไม่ให้คิดฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปภายนอก จะทำให้ภาวนา
ทำจิตสงบได้เร็ว กว่าการภาวนาไปตามสบายๆ อยากนั่งอยากนอนเมื่อไหร่ก็หยุด
ไม่มีข้อกำหนดผูกมัดจิตตัวเองให้อยู่กับสติ (ไฟต์บังคับ) ว่าต้องทำให้สงบให้ได้
ถ้าไม่สงบก็เจ็บตัวแน่ (ถ้ามีไฟต์บังคับจิตมันแบบนี้มันจะไม่ดื้อ มันจะยอมเรา)
ทำให้จิตสงบเย็นได้ง่าย

***....นักปฏิบัติ...ต้องฉลาด...***
ใช่ครับ นักปฏิบัติต้องฉลาด ที่จะหาเครื่องมือมาช่วยในการปฏิบัติของตัวเองให้ก้าวหน้าได้เร็ว
โดยนำ อาวุธหนัก ที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้ไว้แล้วเข้ามาช่วย ทำลายกิเลส
ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วรู้เฉยๆ แต่ไม่นำมาใช้สักที ก็เลยทำให้ ปราบกิเลสไม่ได้สักที
แพ้แต่กิเลสอยู่วันยังค่ำ โดนมันดึงมันลากให้ไปดูหนัง ดูละคร เล่นเกม เข้าเว็บโป๊
แพ้มันจนต้องไปสำเร็จความหื่นความใคร่เพราะต้านอำนาจราคะตัณหาไม่ได้
สารพัดที่มันจะลากเราไปฆ่า ไปต้มยำทำแกง ปู้ยี่ปู้ยำเราสารพัด จนทำให้จิตเราพินาศฉิบหาย
จากสมาธิความสงบร่มเย็น จากปัญญาญาณความรู้อันวิเศษต่างๆ อีกมากมาย
:b35: :b35: :b35:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2012, 22:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


แห่ม...คุณตะวัน...นี้ก็ร้อนแรงสมชื่อ.. :b12:

อย่างเรา ๆ ที่เป็นฆารวาส...อาวุธหนักแบบไหนบ้างที่คุณตะวันคิดว่า..ควรทำที่สุด?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2012, 22:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คุยได้ยัง?... :b12:
อะไรคืออาวุธหนักหรือ...

ธุดงควัตรของตะวัน....ทำอะไรบ้าง...

โมทนาสาธุ...ที่ทำดี..ครับ..




.......................+++++++++++++++..................................


ตะวัน เขียน :



อาวุธหนัก ก็คือ ข้อปฏิบัติที่ ขัดกับกิเลสอย่างยิ่งเน้อ
ถ้าเอามาปฏิบัติแล้วกิเลสต้องร้องเอะอะโวยวาย หรือต้องร้องไห้ไปเลย เพราะกลัวโดนฆ่า
คือมันจะร้องเอะอะโวยวาย ว่า เอาข้อปฏิบัติที่ทำให้ต้อง ทุกข์ยากลำบาก อย่างนี้มาปฏิบัติ
ให้ต้องเหนื่อยยากลำบากเปล่าๆ ไปทำไม ทำไมไม่ไปปฏิบัติธรรมหัดตั้งสติกัน แถวๆ ผับ แถวๆบาร์ ฟังคาราโอเกะ ไปด้วยจะไม่เวิร์กกว่าหรือ

ส่วนอาวุธเบา ถ้าเอามาใช้กับมัน มันก็คงจะหัวเราะใส่หน้าเราว่า
อะไรพรรคพวก...จะเอาไม้จิ้มฟัน แค่นี้มาฆ่าเราเหรอ??? 555555555

อาวุธหนักสุด ก็ ธุดงควัตร 13 นั่นล่ะครับ พระพุทธองค์ประทานมาให้พวกเราเอาไปใช้แล้ว
แต่ว่าพวกเราส่วนมากไม่ค่อยสนใจจะนำมาใช้ ฆ่าทำลายกิเลสกัน

ธุดงควัตรที่ผม น้อมนำมาปฏิบัติตอนนี้ ก็เป็นข้อเกี่ยวกับเรื่องอาหารครับ
คือได้ประยุกต์ธุดงค์ข้อ ทำลายรสอาหาร(รวมอาหารหวานคาวใส่รวมกันในภาชนะใบเดียว)
เช่นเอาใส่ในถ้วยใหญ่ๆ ใบเดียว หรือในกะละมังเล็กๆใบเดียว

ไม่แยกใส่หลายถ้วยหลายจานว่า นี่ถ้วยของหวาน นี่ถ้วยแกง ไม่กินโดยใช้ถ้วยใช้จานหลายใบ
เอาอาหารหวานคาวจากถ้วยต่างๆมารวมใส่ในภาชนะเดียวกันไปเลย
ตอนนี้ก็เทนมรวมใส่ไปด้วย บางทีก็เทน้ำแกงเทใส่ผสมกันกับนมรวมไปด้วยกัน
แต่ไม่ค่อยบ่อย เหมือนเทแต่นมอย่างเดียว

แต่ธุดงฯข้อนี้ผมก็ทำไม่ได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มหรอก ได้ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์
เพราะในภาชนะที่ผมใช้รวมอาหารทั้งหมดอยู่นั้น ผมไม่ได้เอาคนรวมกันเป็นเนื้อเดียวกัน
ยังแยกกันอยู่ กินแบบไม่อร่อยประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์

ถ้ารู้สึกเอียนมากๆ ก็หยิบเอาอาหารอร่อยๆ มากินพอให้คล่องคอ สักหน่อย แล้วก็กินแบบไม่อร่อยต่อ ทีแรกยังหิวอยู่ก็กินแบบ
ไม่อร่อยไปก่อน คือกินข้าวกับนมกับน้ำแกงกับผักไปก่อน พอฝืดคอก็หยิบเนื้อหยิบอะไรที่
มันอร่อยมากินพอให้คล่องคอบ้างแล้วก็กินข้าวผสมนมกับน้ำแกงต่อไปจนอาหารที่เป็นน้ำหมด
ทีนี้ก็ กินแบบอร่อยล่ะในช่วงตอนท้ายๆ คือผมกินข้าวจ้าวนะ
ก็เลยเล่นขี้โกงได้หน่อย เอาข้าวจ้าวมาปั้นให้แน่นๆ
ทำให้น้ำแกงกับน้ำนมที่เทใส่ลงไปมันจะไม่ซึมเข้าไปในเนื้อข้าวเจ้าที่ปั้นเป็นก้อนอยู่
ตอนแรกก็ใช้ช้อนตัดแบ่งก้อนข้าวเจ้าที่ปั้นนั้นมากินกับน้ำนมที่ผสมกับน้ำแกงกินในทีแรก
พอกินนมกับน้ำแกงหมด ถึงจะเอาข้าวเจ้าที่เหลือมากินกับพวกกับข้าวอื่นๆ ในตอนท้ายๆ แบบมีรสอร่อยบ้าง
ก็ยอมรับว่า ธุดงค์ข้อนี้ทำได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์นัก ได้แค่ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์เอง

อาวุธหนักอีกข้อที่ผมน้อมนำมาใช้ก็ ศีลแปด ครับ เพราะยังโสด ทำได้สบาย ส่วนใคร
ที่มีเมียแล้วก็เสียใจด้วยนะ อดใช้ไปเลย 5555555555555 แต่ถ้าเมียอนุญาติก็โชคดีไปเน้อ
เพราะถ้าใช้เพียงศีลห้า จะไม่เห็นการต่อสู้กันอย่างชัดเจนระหว่าง...กิเลส...กับ...ธรรม...
ถ้าใช้ศีลแปดแล้วจะเห็น กิเลสปรากฎขึ้นได้ชัดเจนมาก ถ้าเห็นมันถึงจะฆ่ามันได้เน้อ
ถ้าไม่เห็นมันจะ...ไปฆ่า...มันได้ยังไง อันดับแรกถึงยังฆ่ามันยังไม่ได้ ให้เห็นก่อนก็ยังดีนะ

อาวุธหนักที่ใช้อีกอย่างตอนนี้ก็คือ ถ้ากินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็จะไม่กินเครื่องดื่ม หรือ
ของกินอะไรอีก เช่น พวกน้ำผลไม้ ชากาแฟ โกโก้ ลูกอม พวกนี้ก็จะไม่กินอีกทั้งนั้น
ให้กินหลังอาหารเช้าได้อย่างเดียว คือ น้ำเปล่าเท่านั้น ตอนนี้ก็เพิ่งจะทำแบบนี้ได้แค่ 20 กว่าวันเอง
ก็ตั้งใจว่าจะพยายามทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ให้ได้นานที่สุด

ส่วนธุดงค์ข้ออยู่ป่า ถึงไปอยู่ป่าจริงๆ ไม่ได้ แต่ก็ พยายามเอามาประยุกต์เอาว่า
ทำไมท่านถึงให้ไปอยู่ป่า ก็คิดเอาว่า เพื่อให้เราอยู่ห่างจาก รูป รส กลิ่น เสียง และสิ่งภายนอก
อื่นๆ ทั้งหลายที่จะส่งเสริมกิเลส ก็เลยทำตัวเหมือนกับอยู่ป่า คือ ไม่ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม
อ้อลืมบอกไปอีกอย่าง คือ ไม่เข้าเว็บโป๊ เว็บหื่นด้วยเน้อ และพยายามสำรวมตา ไม่ไปมองสาวๆสวยๆ
แต่คนเฒ่าคนแก่ไม่เป็นไร ดูได้สบาย แต่พวกสาวๆ นั้นไปดูไม่ได้ถ้าดูแล้ว ความหื่น มันเกิดน่ะ

พยายามที่จะไม่ไปหาความเพลิดเพลินจากการคุยเล่นกับเพื่อนๆ พยายามอยู่คนเดียว
คุยเล่นให้น้อยลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่ก็เป็นการประยุกต์เอาธุดงค์ข้ออยู่ป่า มาใช้
ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ของผมนะ

ส่วนธุดงค์ข้อ เนสัชชิก ก็พยายามเอามาปฏิบัติอยู่ แต่ทำไม่ค่อยจะได้เท่าไร
ยอมรับเลยว่าธุดงค์ฯ ข้อนี้ หินจริงๆ ทำได้ยากมาก
ส่วนธุดงค์ข้อไปป่าช้า อันนี้ก็ ประยุกต์โดยการไปเอารูปอสุภะมาดู มาพิจารณาเน้อ
และพิจารณาถึงความตายอยู่เนืองๆ

สรุปแล้วในธุดงค์แต่ละข้อจะช่วยสนับสนุนให้การปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้าเห็นผลได้เร็วมากครับ
เอาเท่านี้ก่อนแล้วกันนะครับ
โทษทีที่เมื่อวานไม่ได้เข้ามา แถมวันนี้ก็เข้ามาช้าอีกต่างหาก อย่าว่ากันอู้เน้อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2012, 23:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2012, 21:02
โพสต์: 127


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตัวไปห้อง Chat ลาน 1 ก่อนนะท่านกบฯ ท่านฺ Bigtoo
มีไรจะคุยต่ออีก ก็โพสต์ทิ้งไว้แล้วกันเน้อ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 145 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร