วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 05:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2012, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
อ้างคำพูด:
แล้วคุณมาบอกได้ไงว่า..การเจริญสติคือการกำหนดพิจารณา(คิด,ทำ)

ขอตอบด้วยคำถามกลับนะครับว่า...วิธีเจริญสติตามแบบหลวงปู่เทียนท่านทำอย่างไร ถ้าไม่ได้ทำโดยการกำหนดทำการเคลื่อนไหวร่างกายพร้อมๆกับกำหนดสติรู้ถึงการเคลื่อนไหวนั้นๆ[/color]...วิธีเจริญพุทธานุสติทำกันแบบไหน...วิธีเจิญธรรมานุสติ,สังฆานุสติ,สีลานุสติ...ทำกันแบบไหนครับ...ถ้าไม่ได้ทำโดยการกำหนดพิจารณาระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า,พระธรรม,พระสงฆ์,คุณของการรักษาศีล...ผมทำผมปฏิบัติตามแบบแผนวิธีการที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนมาจนได้รับความรู้เป็นที่แน่ใจแล้ว และผลที่เกิดขึ้นก็ปรากฏจนประจักษ์ใจผมแล้วเช่นกันครับ
ขอบคุณครับ :b8:

ก็ใช่ไงวิธีการของหลวงพ่อเทียนเป็นการกำหนดทำ
แต่มันไม่ใช่การกำหนดสติ
วิธีของหลวงพ่อเทียน
เป็นการเอาสติ ไปกำหนดกาย ไปบังคับกายให้เคลื่อนไหว

มันก็เหมือนกับที่ผมบอกคุณในตอนแรกว่า เป็นการบังคับให้อยู่ในผัสสะเดียว
อารมณ์ที่เกิดจึงเป็นอารมณ์ตามผัสสะนั้นๆ

สิ่งที่คุณกล่าวมามันคลาดเคลื่อนแต่ต้นแล้ว ที่คุณบอกให้เจริญมรณานุสติเนื่องๆ
แถมบอกว่ามันช่วยให้ไม่กลัวความตาย
ไอ้มรณานุสติเป็นเพียง หนึ่งในสี่สิบของวิธีการทำกรรมฐาน ซึ่งมันมีทั้งหมดสี่สิบกอง

การจะใช้อะไรอย่างไร เขาต้องดูอารมณ์กิเลสที่มาขัดขวางการทำวิปัสนา
จึงต้องอาศัยอารมณ์กรรมฐานต่างๆเหล่านี้ มาดับกิเลสหรือนิวรณ์ เพื่อให้จิตมีกำลังเดินวิปัสสนา
เคยได้ยินมั้ยที่ว่า ให้ทำสมภะควบคู่ไปกับวิปัสสนา

จะยกตัวอย่างให้ดูครับ ในการทำกรรมฐาน ถ้าจิตของผู้ทำเกิดกิเลสหรือนิวรณ์ในเรื่องกามราคะ
อาจจะคิดเรื่องผู้หญิง มันก็ต้องใช้ ฐานของอสุภะ
ถ้าจิตเกิดอาการกลัวภูติผีปีศาจ มันก็ต้องใช้ เทวดานุสติ
ที่ยกตัวอย่างมาจะให้รู้ว่า มันไม่ใช่จะระลึกแต่มรณานุสติ
มรณานุสติจะใช้ก็ต่อเมื่อจิต ไปคิดถึงคนรัก ครอบครัวฯลฯ
จึงจะระลึกถึงมรณานุสติ เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่จิตกำลังคิดเป็นเรื่องธรรมดา
สุดท้ายก็ต้องจากกันด้วยเหตุแห่งมรณะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2012, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
จะยกตัวอย่างให้ดูครับ ในการทำกรรมฐาน ถ้าจิตของผู้ทำเกิดกิเลสหรือนิวรณ์ในเรื่องกามราคะ
อาจจะคิดเรื่องผู้หญิง มันก็ต้องใช้ ฐานของอสุภะ
ถ้าจิตเกิดอาการกลัวภูติผีปีศาจ มันก็ต้องใช้ เทวดานุสติ
ที่ยกตัวอย่างมาจะให้รู้ว่า มันไม่ใช่จะระลึกแต่มรณานุสติ
มรณานุสติจะใช้ก็ต่อเมื่อจิต ไปคิดถึงคนรัก ครอบครัวฯลฯ
จึงจะระลึกถึงมรณานุสติ เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่จิตกำลังคิดเป็นเรื่องธรรมดา
สุดท้ายก็ต้องจากกันด้วยเหตุแห่งมรณะ


ถ้าไม่มีพื้นฐานของการปฏิบัติ คงไม่สามารถอธิบายสภาะวะธรรมได้ :b8: ที่บอกว่าพี่โฮฮับปฏิบัติไม่เข้าถึง คงเข้าใจผิดแล้วกระมัง อุปมาคล้ายดั่ง พระสังข์ทองมิยอมถอดรูป :b27: (แต่น้องคิงคองก็มองเห็นตัวตนภายใน :b13: )
:b43: :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2012, 19:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
อ้างคำพูด:
อ้างคำพูด:
อยากเปรียบครับ คุณพระป่าครับ ที่คุณบอกให้เจริญมรณสติเนื่อง
เลยอยากถามว่า ที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราดับทุกข์ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน
อยากถามครับ สติตัวนี้ เรียกว่าอะไรครับ


ขอตอบว่า...การเจริญสตินี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 อาการคือ 1 การเจริญสติโดยการกำหนดพิจารณา(คิด,ทำ) และ 2. การเจริญสติโดยการกำหนดดูกำหนดรู้อย่างเดียว(ไม่คิด,ไม่ทำ)....ในการเจริญสติปัฏฐานสี่ก็เดินสติโดยอาการทั้ง 2 อย่างนี้เช่นกันครับ...ลองนึกถึงคติที่หลวงปู่ดูลย์กล่าวว่า"คิดเท่าไหร่ๆก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้...แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้" แล้วพี่จะเข้าใจว่าการเจริญสตินั้นทำไมต้องทำทั้ง 2 อาการควบคู่กันไปครับ ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ
ขอบคุณครับ


สาเหตุที่ผมยกเอาวิธีการเจริญสติของครูบาอาจารย์หลายๆท่านมาเป็นตัวอย่างให้พี่ดูในที่นี้นั้นเพื่อที่จะให้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผมได้ตอบไปก่อนหน้านี้ว่า "การเจริญสตินี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 อาการคือ 1 การเจริญสติโดยการกำหนดพิจารณา(คิด,ทำ) และ 2. การเจริญสติโดยการกำหนดดูกำหนดรู้อย่างเดียว(ไม่คิด,ไม่ทำ)...." ไม่ได้มีแต่อาการกำหนดรู้อย่างเดียว อย่างที่พี่เข้าใจครับ...

ส่วนที่ขอให้ลองนึกถึงคติของหลวงปู่ดูลย์ก็เพราะคติธรรมที่ครอบการเจริญสติและการเจริญสมถะวิปัสสนาไว้ทั้งหมด...คิดเท่าไหร่ๆก็ไม่รู้ อันนี้อธิบายได้ว่า คือความคิด(สังขาร,อุบายธรรม)ที่เราปรุงขึ้น(กำหนดพิจารณา)มาเพื่ออบรมขัดเกลาจิตที่เต็มไปด้วยความหลง ให้ค่อยๆซึมซาบและเห็นธรรมตามจริงยิ่งขึ้นๆ แต่ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าจิตนั้นเกิดญาณความรู้แจ้งขึ้นมา...ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ อันนี้อธิบายได้ว่า ต่อเมื่อจิตนี้เห็นธรรมตามจริงที่เราอบรมใส่เข้าไปจนอิ่มพอแล้ว จิตนั้นมันจะแสดงความรู้อันนั้นของมันขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ได้คิดปรุงให้มัน ความรู้ที่จิตจะแสดงออกมานั้นจะออกมาในรูปของนิมิตบ้าง ข้อธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนในชาตินี้บ้าง เพราะจิตเรานี้มันไม่ใช่ไม่เคยรู้มาก่อนเพียงแค่มันโดนกิเลสพาให้หลงไปเท่านั้น เมื่อมันหายหลงแล้วมันจะแสดงธรรมด้วยตัวมันเองออกมาให้เรารู้...จึงเป็นที่มาของท่อนสุดท้ายที่ว่า"แต่ต้องอาศัยความคิดนั้นแหละถึงรู้"ครับ...เพื่อให้เห็นชัดเจนขึ้นขออุปมากับการทำสมถะแบบนี้นะครับ...

คิดเท่าไหร่ๆก็ไม่รู้ เปรียบเหมือน ช่วงเริ่มทำสมาธิที่อาศัยการบริกรรมหรือธรรมบทใดบทหนึ่งขึ้นมาพิจารณา
ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ เปรียบเหมือน ช่วงที่คำบริกรรมหยุดไปลมหายใจหายไปรวมลงสู่สมาธิเป็นเอกัคคตาจิต
แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้ เปรียบได้กับ การทำสมาธิที่ต้องอาศัยคำบริกรรมให้จิตยึดอยู่ในอารมณ์เดียวครับ

ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2012, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
อ้างคำพูด:
อ้างคำพูด:
อยากเปรียบครับ คุณพระป่าครับ ที่คุณบอกให้เจริญมรณสติเนื่อง
เลยอยากถามว่า ที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราดับทุกข์ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน
อยากถามครับ สติตัวนี้ เรียกว่าอะไรครับ
ขอตอบว่า...การเจริญสตินี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 อาการคือ 1 การเจริญสติโดยการกำหนดพิจารณา(คิด,ทำ) และ 2. การเจริญสติโดยการกำหนดดูกำหนดรู้อย่างเดียว(ไม่คิด,ไม่ทำ)....ในการเจริญสติปัฏฐานสี่ก็เดินสติโดยอาการทั้ง 2 อย่างนี้เช่นกันครับ...ลองนึกถึงคติที่หลวงปู่ดูลย์กล่าวว่า"คิดเท่าไหร่ๆก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้...แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้" แล้วพี่จะเข้าใจว่าการเจริญสตินั้นทำไมต้องทำทั้ง 2 อาการควบคู่กันไปครับ ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ
ขอบคุณครับ

สาเหตุที่ผมยกเอาวิธีการเจริญสติของครูบาอาจารย์หลายๆท่านมาเป็นตัวอย่างให้พี่ดูในที่นี้นั้นเพื่อที่จะให้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผมได้ตอบไปก่อนหน้านี้ว่า "การเจริญสตินี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 อาการคือ 1 การเจริญสติโดยการกำหนดพิจารณา(คิด,ทำ) และ 2. การเจริญสติโดยการกำหนดดูกำหนดรู้อย่างเดียว(ไม่คิด,ไม่ทำ)...." ไม่ได้มีแต่อาการกำหนดรู้อย่างเดียว อย่างที่พี่เข้าใจครับ...

การยกคำครูบาอาจารย์ในลักษณะอุปมาอุปไมยมาอ้าง มันไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง
เพราะในคำอุปมาอุปไมยนั้น ผู้ที่จะอธิบายได้ต้องเป็นเจ้าของคำอุปมานั้นเอง

ดังนั้นผู้ใดจะเอาครับอุปมาอุปไมยของท่านผู้ใดมาอ้างอิง จะต้องเอาคำอธิบายความ
ของท่านผู้นั้นมาด้วย ไม่ใช่ไปเอาคำอุปมาอุปไมยของตนอื่นมาอ้างโดดๆ เพื่อมาสนับสนุน
ความคิดตัวเองที่มีอยู่ก่อน แล้วใส่ความคิดตัวเองลงไปในคำอุปมาอุปไมยที่เอามาอ้างอิงนั้น

ในกรณีที่มีผู้เอาคำอุปมา ของครูบาอาจารย์มาตั้งประเด็นถาม
ผู้ที่จะตอบต้องพิจารณาให้ผลการตอบ สรุปลงที่คำสอนของพระพุทธเจ้า
เพราะไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์หรือตัวเรา ล้วนปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

และถ้ามีผู้ใดเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาถาม
ผู้ตอบต้องพิจารณาให้ผลสรุปไปลงที่กายใจตัวเอง เพราะคำตอบหรือสิ่งที่
พระพุทธเจ้าค้นพบมันก็เป็นเรื่อง ..ธรรมชาติของกายใจมนุษย์นั้นเอง


ที่คุณพระป่าอ้างถึงการเจริญสติแล้วบอกว่า มีสองอาการมันผิดตั้งแต่ต้นแล้ว
แถมยังมีเรื่องการคิดการทำมาเกี่ยวข้อง มันยิ่งไปกันใหญ่

คุณสมบัติของสติ นั้นก็คือสิ่งที่มาดับความคิดความปรุงแต่ง
เมื่อเกิดความคิดขึ้นมาเมื่อใดแสดงว่า จิตของผู้นั้นขาดซึ่งสติ
แล้วจะมาบอกว่า เป็นการเจริญสติได้อย่างไร

ที่ว่าให้มั่นเจริญสติ นั้นเป็นเพราะต้องการค้นหาตัวปัญญา
และสิ่งที่มาขัดขวางการเห็นตัวปัญญาก็คือความคิด การปรุงแต่ง
การหมั่นมีสติบ่อยๆเพื่อดับตัวความคิดการปรุงแต่ง

แล้วที่คุณบอกว่า การเจริญสติมีสองอาการ มันก็ไม่ใช่แต่ต้นเหมือนกัน
การเจริญสติมีอย่างเดียวก็คือการทำให้สติรู้ผัสสะหรือการรับรู้ทวารทั้งหกได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ไปจมแช่หลงอยู่กับผัสสะหรือทวารใดทวารหนึ่ง

แท้ที่จริงแล้วที่คุณอ้างว่ามีสองอาการนั้น
มันคือ การทำกรรมฐานมีสองอย่าง ไม่ใช่การเจริญสติมีสองอย่าง
กรรมฐานที่ว่าก็คือ สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน


ถ้าจะยกเอาไปเปรียบกับคำของหลวงปู่ดุลย์ก็คือ..
คิดเท่าไรไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้
การทำสมถกรรมฐาน เป็นการดับนิวรณ์ดับความคิด เพื่อให้เกิดตัวปัญญา

ต้องอาศัยความคิดนั้นแหล่ะจึงรู้
การทำวิปัสสนากรรมฐาน นั้นคือการเอาปัญญาอันเกิดจากผลของ
สมถกรรมฐาน หรือการรู้ครั้งแรก รู้ตัวนี้คือปัญญาวิมุตติการดับทุกข์

ไม่คิดเพื่อรู้ปัญญาสัมมาทิฐิ คิดเพื่อให้รู้ปัญญาวิมุตติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2012, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โฮฮับ เขียน:
จะยกตัวอย่างให้ดูครับ ในการทำกรรมฐาน ถ้าจิตของผู้ทำเกิดกิเลสหรือนิวรณ์ในเรื่องกามราคะ
อาจจะคิดเรื่องผู้หญิง มันก็ต้องใช้ ฐานของอสุภะ
ถ้าจิตเกิดอาการกลัวภูติผีปีศาจ มันก็ต้องใช้ เทวดานุสติ
ที่ยกตัวอย่างมาจะให้รู้ว่า มันไม่ใช่จะระลึกแต่มรณานุสติ
มรณานุสติจะใช้ก็ต่อเมื่อจิต ไปคิดถึงคนรัก ครอบครัวฯลฯ
จึงจะระลึกถึงมรณานุสติ เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่จิตกำลังคิดเป็นเรื่องธรรมดา
สุดท้ายก็ต้องจากกันด้วยเหตุแห่งมรณะ


คุณน้องคองขียน
อ้างคำพูด:
ถ้าไม่มีพื้นฐานของการปฏิบัติ คงไม่สามารถอธิบายสภาะวะธรรมได้ :b8: ที่บอกว่าพี่โฮฮับปฏิบัติไม่เข้าถึง คงเข้าใจผิดแล้วกระมัง อุปมาคล้ายดั่ง พระสังข์ทองมิยอมถอดรูป :b27: (แต่น้องคิงคองก็มองเห็นตัวตนภายใน :b13: )
:b43: :b43:


หวานจังเลยน่ะจ๊ะ น้ำผึ้งป่าหรือน้ำผึ้งเลี้ยงจ๊ะ :b12: :b32:
postรูป เจ้าตัวเล็กมาให้ป้าๆลุงๆได้ดูบ้างสิจ๊ะ :b41: :b55: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2012, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
อ้างคำพูด:
โฮฮับ เขียน:
จะยกตัวอย่างให้ดูครับ ในการทำกรรมฐาน ถ้าจิตของผู้ทำเกิดกิเลสหรือนิวรณ์ในเรื่องกามราคะ
อาจจะคิดเรื่องผู้หญิง มันก็ต้องใช้ ฐานของอสุภะ
ถ้าจิตเกิดอาการกลัวภูติผีปีศาจ มันก็ต้องใช้ เทวดานุสติ
ที่ยกตัวอย่างมาจะให้รู้ว่า มันไม่ใช่จะระลึกแต่มรณานุสติ
มรณานุสติจะใช้ก็ต่อเมื่อจิต ไปคิดถึงคนรัก ครอบครัวฯลฯ
จึงจะระลึกถึงมรณานุสติ เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่จิตกำลังคิดเป็นเรื่องธรรมดา
สุดท้ายก็ต้องจากกันด้วยเหตุแห่งมรณะ


คุณน้องคองขียน
อ้างคำพูด:
ถ้าไม่มีพื้นฐานของการปฏิบัติ คงไม่สามารถอธิบายสภาะวะธรรมได้ :b8: ที่บอกว่าพี่โฮฮับปฏิบัติไม่เข้าถึง คงเข้าใจผิดแล้วกระมัง อุปมาคล้ายดั่ง พระสังข์ทองมิยอมถอดรูป :b27: (แต่น้องคิงคองก็มองเห็นตัวตนภายใน :b13: )
:b43: :b43:


หวานจังเลยน่ะจ๊ะ น้ำผึ้งป่าหรือน้ำผึ้งเลี้ยงจ๊ะ :b12: :b32:
postรูป เจ้าตัวเล็กมาให้ป้าๆลุงๆได้ดูบ้างสิจ๊ะ :b41: :b55: :b48:

5555 เขิล :b9: เด่วนี้เจ้าตัวเล็กยิ่งโตยิ่งหล่อ555 แถมดื้อมากปวดตับ :b23: เวลาคุนน้องโกรธคุนน้องจะเดินหนี เจ้าตัวเล็กมันก็จะวิ่งมาง้อ มาจุ๊บมาหอมเราทั้งแก้มซ้ายแก้มขวา หน้าผาก ถ้าคุนน้องยังทำหน้าโกรธอยู่ มันก็จะยกมือไหว้"ทุค๊าฟๆ"(แปลว่าขอโทษ) :b13:
:b32: :b32:
ไม่ได้อัพเดดรูปใหม่เลย เอาคลิปตอน 3เดือนไปดูเล่นๆ เจ้าตัวเล็กพูดคำว่า ok ได้แล้วนะ สังเกตุตอนช่วง 0.12 นาทีแรก :b13: http://www.youtube.com/watch?v=-U4p4zLBvXs


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2012, 18:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:

ขอบคุณมากครับที่เข้ามาร่วมสนทนากับผมในเรื่องของการเจริญสติ ซึ่งทั้งผมและพี่โฮฮับ เราทั้งสองก็ต่างได้แสดงเหตุและผลตลอดจนอุบายและวิธีการเจริญสติตามที่แต่ละคนได้ศึกษาและฝึกปฏิบัติมาอย่างละเอียดพอสมควรแล้ว...ในส่วนตัวตัวของผมก็ไม่มีข้อข้องใจอะไรตรงนี้แล้ว เพราะถือว่าผมได้แสดงอุบายวิธีการ เหตุและผล ของการเจริญสติตามที่ได้ศึกษาจากครูบาอาจารย์ ในที่นี้อย่างละเอียดพอสมควรแล้วจากการที่ได้สนทนาธรรมกับพี่ 2-3 ครั้งในนี้ และพอเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ผู้ที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ได้ ส่วนใครจะพิจารณาเห็นชอบเช่นไรก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนไป...

ขอบคุณครับ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 105 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร