วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๑ บรรดาศิษยานุศิษย์ได้จัดงานวันคล้ายวันเกิดให้เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงอย่างสมเกียรติที่สุด หลายคนรู้ว่าการจัดงานครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยอีกสองเดือนข้างหน้า ท่านจะต้องประสบอุบัติเหตุถึงแก่มรณภาพ ผู้ที่ยังตัดไม่ลงปลงไม่ตก พากันแอบร้องไห้ไว้ล่วงหน้า พระบัวเฮียวนั้นแม้จะตัดใจได้ หากก็ยังรู้สึกเสียดายอาลัยอาวรณ์
ในความคิดของภิกษุหนุ่ม ปูชนียบุคคลเช่นท่านพระครูคงหายากนักในโลกอันแสนวุ่นวายนี้
แจกันสีครามบรรจุดอกดาวเรืองสีเหลืองอร่ามตัดกับสีเขียวของใบเตยดูสวยแปลกตา ภิกษุเชื้อสายญวนตั้งใจตกแต่งอย่างประณีตที่สุด ด้วยรู้ว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้แสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อพระอุปัชฌายาจารย์ วงมโหรีปี่พาทย์ที่มาบรรเลงในงานเป็นวงเดียวกับที่เคยมาเล่นทุกปี ทว่าครั้งนี้คนฟังกลับรู้สึกว่าแต่ละเพลงที่บรรเลงนั้นฟังเศร้าสร้อยเสียดลึกเข้าไปถึงหัวใจหัวจิต ไม่ผิดกับบรรเลงในงานศพ!
หอประชุมหลังใหญ่ขนาด ๗ x ๒๐ วา สิ้นเงินค่าก่อสร้างหนึ่งล้านห้าแสนบาท เสร็จทันเวลา และ ได้ใช้เป็นสถานที่จัดงานวันเกิดครั้งสุดท้ายของท่านสมภารผู้ซึ่งสั่งเสียพระบัวเฮียวไว้ว่า ให้ใช้หอประชุมแห่งนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรมของบรรดาพุทธศาสนิกชนผู้สนใจใคร่ธรรม ตลอดจนญาติโยมผู้มีความทุกข์ เพราะต่อแต่นี้ไปจะไม่มีผู้ใดมาช่วยไขปัญหาหรือขจัดปัดเป่าทุกข์ให้เหมือนเช่นแต่ก่อน พวกเขาจะต้องแก้ปัญหาแก้ทุกข์ด้วยตัวเองโดยการมาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
สำหรับมูลนิธิ "ทุนเสริมสมอง" นั้นมีเงินอยู่ในบัญชีธนาคารกว่าหนึ่งล้านบาท เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงมอบหมายให้พระมหาบุญเป็นผู้ดำเนินการร่วมกับคณะกรรมการ นำดอกผลมาใช้เป็นทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ยากจน ส่วนหนังสือคู่มือการสอบอารมณ์วิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเถ้าแก่เส็งและเถ้าแก่บ๊กได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์ขึ้นนั้น พระบัวเฮียวจะเป็นผู้เก็บรักษาและนำมาแจกญาติโยมที่สนใจในด้านการปฏิบัติ กิจการงานทุกอย่างสำเร็จเสร็จสิ้นลงด้วยดี ไม่มีอะไรติดขัดหรือคั่งค้าง ท่านพระครูเจริญคิดว่าท่านเตรียมตัวตายได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด และคงจะยังไม่มีผู้ใดทำได้เช่นนี้มาก่อน
เวลา ๙ นาฬิกา บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งพระและฆราวาสพากันทยอยเข้ามาถวายดอกไม้สด และ กราบคารวะท่านพระครูผู้ซึ่งนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนตั่งไม้สักสลักลายนกอ่อนช้อยงดงาม เบื้องหน้ามีแจกันและกระเช้าดอกไม้ตั้งเรียงรายจนล้นออกไปทางด้านข้างทั้งซ้ายและขวา รับประเคนดอกไม้จากศิษย์แล้ว ท่านจึงนำสิ่งของไปมอบให้โยมมารดาวัยเจ็ดสิบที่นั่งพับเพียบอยู่หน้าอาสนะสงฆ์ ของที่นำไปมอบมีผ้าโจงกระเบนลายไทยหนึ่งผืน เสื้อตัดด้วยผ้าลูกไม้อย่างดีหนึ่งตัว และปัจจัยอีกสองร้อยบาท ท่านประคองห่อของขวัญเดินเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าโยมมารดา วางของไว้ทางด้านขวามือ แล้วก้มกราบมารดาสามครั้งแบบเดียวกับกราบพระ ด้วยถือว่ามารดาบิดาเป็นพระอรหันต์ของบุตร กราบเสร็จจึงหยิบห่อของขวัญมอบให้
"โยมแม่ อาตมาขอกราบลา ขอให้โยมแม่จึงมีอายุยืนยาว มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคาพยาธิ" ท่านอวยพรมารดา
"ท่านจะลาไปไหน" โยมมารดาถาม
"อาตมาจะไปบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีต่อในปรโลก วันที่ ๑๔ ตุลาคม อาตมาจะออกเดินทาง" พระลูกชายตอบคำถามโยมมารดา
"ขอให้ท่านโชคดี ขอให้บรรลุมรรค ผล สมดังความตั้งใจนะท่านนะ ไม่ต้องเป็นห่วงโยม พี่ ๆ น้อง ๆ ของท่านเขาคงจะดูแลโยมอย่างดี"
"อาตมาขอกราบขอบพระคุณ พร้อมกันนี้อาตมาก็ขออโหสิกรรมจากโยมแม่ หากอาตมาได้พลาดพลั้งล่วงเกินโยมแม่ ไม่ว่าจะด้วยกายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรม ขอโยมแม่โปรดอโหสิกรรมให้อาตมาด้วย"
"โยมอโหสิให้ท่านทุกอย่าง และโยมก็ขออโหสิกรรมจากท่านเช่นกัน"
"อาตมาอโหสิให้โยมแม่" ท่านก้มลงกราบโยมมารดาอีกสามครั้ง แล้วจึงลุกขึ้นกลับไปนั่งพับเพียบบนตั่งไม้สัก
เวลาสิบนาฬิกา พระสงฆ์ ๙ รูปซึ่งนิมนต์มาจากวัดต่าง ๆ ในจังหวัด เริ่มเจริญพระพุทธมนต์และสวดธรรมจักรไปจนถึงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกายี่สิบเก้านาที จากนั้นญาติโยมช่วยกันประเคนภัตตาหารแด่พระสงฆ์ทั้ง ๙ รูป และพระภิกษุ สามเณรแห่งวัดป่ามะม่วงซึ่งมีทั้งสิ้น ๙๐ รูป รวมทั้งท่านเจ้าของวันเกิด เป็นปีที่มีพระเณรจำพรรษามากที่สุดนับตั้งแต่ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดแห่งนี้
ภิกษุวัยห้าสิบเศษมีทีท่าว่าจะไม่ฉันภัตตาหารเหมือนเช่นเคย นายสมชายจึงไปกระซิบอาจารย์ชิตให้ช่วยคะยั้นคะยอให้ท่านฉัน บุรุษวัยหกสิบสี่จึงคลานเข้าไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าตั่ง ประนมมือแล้วกล่าว "นิมนต์หลวงพ่อฉันสักนิดเถิดครับ ลูกศิษย์ลูกหารู้สึกไม่สบายใจที่เห็นท่านไม่ฉัน"
ท่านพระครูมองอาหารคาวหวานที่ลูกศิษย์จัดใส่พานกระไหล่ทองมาถวาย แล้วจึงฉันไปสองสามคำเพื่อไม่ให้พวกเขาเสียน้ำใจ เสร็จแล้วจึงรวบช้อน ยกถ้วยบรรจุ "น้ำชา" ขึ้นดื่ม ตลอดชีวิตของท่าน มิเคยที่จะติดใจหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง หรือสัมผัสที่น่าใคร่น่าพอใจ กามคุณ ๕ ไม่เคยมามีอิทธิพลเหนือความรู้สึกนึกคิดของท่าน
เมื่อภิกษุและสามเณรทั้ง ๙๙ รูปเสร็จจากฉันภัตตาหาร บรรดาญาติโยมช่วยกันประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม
"ปัจจัย" ที่พวกเขาถวายท่านพระครู มีจำนวนกว่าสองแสนบาท ซึ่งท่านตั้งใจจะนำไปสมทบทุนมูลนิธิ "ทุนเสริมสมอง" ต่อไป จากนั้นอาจารย์ชิตประกาศทางไมโครโฟนว่า ท่านพระครูจะแสดงธรรมเทศนาโปรดโยมมารดาและญาติโยม เพื่อให้คนฟังได้บุญอันเกิดจากการฟังธรรม หรือที่เรียกเป็นภาษาบาลีว่า "ธัมมัสสวนมัย"
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงอารัมภบทก่อนแสดงธรรมว่า "กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพและขอเจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนที่รักและนับถือทุกท่าน อาตมารู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บรรดาญาติโยมและศิษยานุศิษย์ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานฉลองวันคล้ายวันเกิดให้อาตมา เพื่อเปิดโอกาสให้ได้ทำบุญสร้างกุศลร่วมกัน กิจกรรมดังกล่าวนี้ แม้จะมิได้มีบัญญัติไว้ในหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากพุทธศาสนิกชนก็ได้ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านานจนกลายเป็นประเพณี คือประเพณีทำบุญวันเกิด
อย่างไรก็ตาม การจัดการวันเกิดที่อาตมาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ก็คือการร่วมวงสรวลเสเฮฮาดื่มสุรายาเมากัน เพราะการกระทำเช่นนั้น นอกจากจะไม่ได้บุญแล้วยังได้บาปอีกด้วย บางคนดื่มสุราเสียเมามายในวันเกิดแล้วขับรถไปชนกันถึงแก่ความตายก็มี ญาติโยมลองพิจารณาดู การตายแบบนั้นมันดีหรือไม่ อาตมารับรองได้ว่าเขาจะต้องไปทุคติ เพราะคนที่ตายขณะขาดสติเช่นนั้นไม่มีทางที่จะไปสุคติได้ อาตมาขอบิณฑบาตอย่าไปจัดฉลองวันเกิดกันแบบนั้นเลย เพราะนอกจากจะหาประโยชน์มิได้แล้วยังสื้นเปลืองเงินทองอีกด้วย" บรรดาญาติโยมที่ฟังอยู่ ไม่มีผู้ใดคิดโต้แย้งหรือคัดค้านในสิ่งที่ท่านพูด บางคนที่เคยทำเช่นนั้นก็ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่ทำอีก
"เอาละ ในโอกาสที่ญาติโยมได้พร้อมใจกันจัดงานวันเกิดให้อาตมาในวันนี้ อาตมาก็จะตอบแทนบุญคุณด้วยการแสดงพระธรรมเทศนาให้ญาติโยมฟัง โดยจะเทศน์เรื่อง "พระคุณแม่" และก็คงจะเป็นการเทศน์ครั้งสุดท้าย เพราะปีต่อ ๆ ไปคงจะไม่มีการจัดงานวันเกิดของอาตมาอีก" ท่านบอกเป็นนัย ๆ ซึ่งหลายคนรู้ว่าท่านหมายถึงอะไร
"ที่อาตมาเลือกเทศน์เรื่องพระคุณแม่ เพราะรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของท่าน ถ้าไม่มีแม่เราทุกคนก็ไม่ได้เกิด อันนี้เป็นความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ ผู้ใดก็ตามที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อฟังเทศน์แล้วให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอศีลขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ได้ไว้กับท่านก็นำธูปแพเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ
บางคนไปรังเกียจคุณแม่ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้วก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการมาเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุดทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ"
คนฟังซึ่งมีทั้งพระภิกษุ สามเณร และฆราวาสต่างพากันรำลึกนึกถึงมารดาตน คนที่เคยเถียงพ่อเถียงแม่คำไม่ตกฟาก ก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าได้สร้างกรรมทำเข็ญไว้กับผู้บังเกิดเกล้า จึงคิดที่จะกลับไปทำตามที่ท่านพระครูแนะนำ
"ญาติโยมโปรดจำไว้ วันเกิดของลูกคือวันตายของแม่ เพราะวันที่ลูกเกิดนั้นแม่อาจต้องเสียชีวิต การออกศึกสงครามเป็นการเสี่ยงชีวิตสำหรับคนเป็นพ่อฉันใด การคลอดลูกก็เป็นการเสี่ยงตายสำหรับคนเป็นแม่ฉันนั้น
ในสมัยโบราณที่วิทยาการต่าง ๆ ยังไม่เจริญก้าวหน้าเหมือนสมัยนี้ อัตราการตายเพราะการคลอดมีสูงมาก คนโบราณเขาจึงกล่าววันเกิดของลูกคือวันตายของแม่
เมื่อคลอดลูกแล้ว แม่ก็ยังต้องประคบประหงมเลี้ยงดู ให้ดื่มเลือดในอกเป็นอาหาร ยามที่ลูกเจ็บป่วยก็อมยาพ่นฝนยาทารักษากันไปตามมีตามเกิด แม้เฝ้ากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่กระทั่งลูกแต่งงานมีเหย้ามีเรือนไปแล้ว แม่ก็ยังเฝ้าห่วงใยรักใคร่ไม่จืดจาง" ท่านหยุดจิบ "น้ำชา" จากถ้วย แล้วจึงเทศนาต่อ
"อาตมาเห็นความทุกข์อย่างแสนสาหัสของคนเป็นแม่ก็ตอนที่เป็นหมอตำแยทำคลอดให้พี่สาว แม้ว่าเรื่องราวจะผ่านพ้นมาเกือบสี่สิบปีก็ยังจำภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ติดตาติดใจมากระทั่งทุกวันนี้ อาตมาจะเล่าให้ญาติโยมฟัง" ท่านหยุดทบทวนเรื่องราวแต่หนหลังแล้วเล่าว่า
"สมัยนั้นอาตมาอายุสิบหาแต่ยังไม่ประสีประสาอะไร ยังเปลือยกายโดดน้ำตูม ๆ กับเพื่อนอย่างสนุกสนาน แต่เด็กสมัยนี้อายุสิบหกเป็นหนุ่มกันแล้ว" ท่านเล่าถึงชีวิตแสนลำเค็ญในครั้งนั้นว่า "อาตมาอาศัยอยู่กับยาย ลำบากลำบนมาก ต้องหาเงินเรียนเอง ตื่นตั้งแต่ตีสาม หาบของไปขายในตลาดบางขาม ห่างจากบ้านไป ๑๔ กิโลเมตร ถึงตลาดตี ๔ กว่า ๆ ก็นั่งขายของซึ่งเป็นพวกผักสวนครัวที่ช่วยกันปลูกกับยาย พอตีห้าก็ขายหมด บางวันขายไม่ค่อยดี ก็ไปหมดเอา ๗ โมง จากนั้นก็หาบกระจาดเปล่ากลับบ้าน หิวข้าวก็ต้องทนเอาเพราะยายสั่งไม่ให้ซื้อเขากิน ให้กลับมากินบ้านเรา ยายว่าซื้อเขากินมันแพง จานละตั้งสามสตางค์ สู้กลับมากินข้าวที่บ้านไม่ได้ อาตมาก็จำเป็นต้องเชื่อยาย บางทีกว่าจะถึงบ้านหิวแทบลมจับ
อยู่มาวันหนึ่งขณะที่อาตมาหาบกระจาดเปล่ากลับบ้านพบกับพี่สาวกลางทาง เขากำลังท้องแก่จะเดินทางไปคลอดลูกที่บ้านแม่ของเขาซึ่งเป็นป้าของอาตมา ที่ต้องเดินทางไปคลอดบ้านแม่เพราะเขาอยู่กับพ่อผัว แม่ผัว ซึ่งรังเกียจว่าเขาจนและไม่ยอมช่วยเหลือเกื้อกูลแต่ประการใด เดินไปได้ครึ่งทางก็เกิดปวดท้องนอนร้องครวญครางอยู่ใต้ต้นไทร พอเห็นอาตมาเดินผ่านมา เขาก็ดีใจพูดกับอาตมาว่า
"น้องเอ๋ยช่วยพี่ด้วย พี่ปวดท้องใจจะขาดอยู่แล้ว ช่วยเอาลูกออกให้พี่ที" อาตมาถึงจะอายุสิบหกแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเขาออกลูกกันยังไง ผู้ใหญ่เขาเคยพูดให้ฟังว่าเขาออกลูกทางปาก บางคนก็บอกออกทางสะดือ บางคนก็ว่าออกทางก้น อาตมาก็เชื่อ นึกว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ที่แท้ก็ถูกผู้ใหญ่หลอก เพิ่งมารู้ความจริงตอนทำคลอดให้พี่สาวนี่แหละ
พี่สาวเขาก็ร้องใหญ่ เขาบอกปวดมาก แล้วก็เป็นลูกท้องแรกจึงยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องการคลอดลูกมาก่อน ได้ยินพี่สาวร้องโอย ๆ อาตมาก็ทำอะไรไม่ถูก เลยถามเขาว่าจะให้ช่วยยังไง เขาก็บอกช่วยดึงเด็กออกจากท้องให้เขาที มันกำลังจะออกแล้ว อาตมาก็ยังงงอยู่เลยนึกถึงเทวดา ก็นึกตามประสาเด็ก ๆ ไม่รู้ว่าเทวดามีจริงหรือเปล่า แต่ยายเคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ก็คิดว่าคงจะมีมั้ง เลยประนมมือบอกรุกขเทวดาประจำต้นไทรให้ช่วย แล้วก็ร่ายคาถาชุมนุมเทวดาที่ยายเคยสอนจนจำได้ขึ้นใจ" แล้วท่านจึงร่ายบทชุมนุมเทวดาด้วยเสียงที่ไพเราะเพราะพริ้งว่า...
สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะ ระตะเฎ จันตะลิกเข วิมาเน ทีเป รัฎเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะ วัตถุมหิ เขตเต ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา ติฎฐันตา สันติเก ยัง มุนิวะระจะนัง สาธะโว เม สุณันตุฯ
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตาฯ
คนฟังพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ รู้สึกว่าหูของตนมีบุญที่ได้ฟังท่านร่ายพระคาถา
"พอว่าคาถาจบ เทวดาเข้าสิงอาตมาเลย ที่รู้ว่าเทวดาเข้าสิงเพราะท่านมากระซิบข้างหูว่า "ดึงเด็กออกมา ดึงเด็กออกมา" อาตมาถาม "ดึงยังไง เด็กอยู่ที่ไหน" เทวดาบอก "อยู่ในท้อง เอามือล้วงเข้าไปในผ้านุ่งก็จะเจอหัวเด็ก" อาตมาก็ทำตาม ดึงพรวดสุดแรงเลย เสียงพี่สาวร้องกรี๊ดแล้วสลบเหมือดไปเลย อาตมาก็ตกใจ เพราะเห็นไส้ยาว ๆ ติดตัวเด็กออกมา คิดว่าเราคงดึงไส้พี่สาวออกมาหมดท้องแล้วมัง พี่สาวคงต้องตายแน่ ๆ จะทำยังไงดีหนอ เสียงเทวดากระซิบข้างหูว่า
"ไม่ตายหรอก แค่สลบไปเท่านั้น ไปจัดการตัดสายรกให้เด็กก่อน ที่เธอเห็นนั่นเรียกว่าสายรก ไม่ใช่ใส้ของพี่สาวเธอหรอก" อาตมาก็ถามว่า "เอาอะไรตัดล่ะ มีดพร้าก็ไม่มี" เทวดาบอก "เอาเล็บของเธอนั่นแหละ จิกแน่น ๆ แล้วดึงมันจะขาดเอง" สมัยนั้นพวกหนุ่มรุ่น ๆ เขานิยมไว้เล็บยาวกัน เรียกว่าเป็นแฟชั่น อาตมาก็ไว้กับเขา คือเขาจะไว้เล็บข้างละสองนิ้ว นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วก้อย อาตมาก็ทำตามที่เทวดาบอก พอรกขาดเลือดพุ่งเลย เด็กส่งเสียงร้องอุแว้ ๆ ลั่นป่า เทวดาบอกอีกว่า "ไปเอาฝุ่นมาโรงตรงแผล" อาตมาก็กอบฝุ่นโรงลงไปปรากฏว่าเลือดหยุดไหลแต่เด็กไม่หยุดร้อง เทวดาก็บอกอีกว่า "เอากระบอกไม้ไผ่อันหนึ่งที่แขวนอยู่ที่กิ่งไทร ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครนำไปแขวนไว้ อาจเป็นเทวดาก็ได้นะ" ท่านพูดยิ้ม ๆ คนฟังยิ้มตาม
"ข้าง ๆ ต้นไทรมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง อาตมาจึงหยิบกระบอกเดินไปตักน้ำมาหยอดใส่ปากเด็ก เจ้าหนูหยุดร้องไห้เลย ดูดหยดน้ำจากนิ้วมืออาตมา เสียงดังจุ๊บ ๆ เป็นภาพที่ซึ้งใจอาตมามาจนทุกวันนี้ ได้เห็นสัญชาตญาณการดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของชีวิตก็ตอนที่เจ้าหนูดูดน้ำจากนิ้วมือนี่แหละ พอได้น้ำเจ้าหนูก็หยุดร้อง
เทวดาก็กระซิบข้างหูอีกว่า "ช่วยพี่สาวด่วน ดูดปากเอาเลือดที่คั่งออก" อาตมาก็เอามือง้างปากพี่สาว ดูดเลือดและเสมหะของพี่สาวแล้วบ้วนทิ้ง ไม่ได้นึกรังเกียจเพราะกลัวเขาจะตาย สักพักพี่สาวก็ฟื้น ถามว่า "น้องเอ๋ย ลูกพี่ผู้หญิงหรือผู้ชาย" พอรู้ว่าได้ลูกชายเขาก็ดีใจ อาตมาก็เลยช่วยพากลับบ้านทั้งแม่ทั้งลูก ปัจจุบันพี่สาวอายุเกือบ ๆ จะหกสิบ ส่วนหลานชายที่อาตมาทำคลอดอายุเกือบสี่สิบแล้ว นี่แหละที่ทำให้อาตมาเห็นใจคนเป็นแม่ แล้วก็รักแม่มาตั้งแต่บัดนั้น" เมื่อท่านเทศน์จบ หลายคนแอบเช็ดน้ำตารวมทั้งโยมมารดาของผู้เทศน์ด้วย
เช้าตรู่ของวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ ขณะที่ท่านพระครูกำหนดจิตออกจากผลสมาบัติ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นใกล้หู "วันนี้ใช้หนี้นกเป็ดน้ำ" ท่านตอบในใจว่า "รู้แล้ว" เมื่อหกเดือนก่อนก็มาเตือนครั้งหนึ่งแล้ว" และยังไม่ทันจะลืมตา เสียงเดิมบอกอีกว่า "ใช้หนีเต่าด้วย"
"ก็ใช้ไปแล้วไง ใช้ไปเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๔ ทำไมถึงมาทวงอีก" ท่านยังจำได้แม้เหตุการณ์จะผ่านมาจึงเจ็ดปีเต็ม ๆ "วันนั้นใช้แค่เงินต้น แต่วันนี้จะคิดดอกเบี้ย"
"เป็นอันว่า วันนี้ใช้สองงานเลยก็ดีจะได้หมดหนี้หมดสิน" จากนั้นท่านจึงตั้งจิตแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์และเจ้ากรรมนายเวร โดยเฉพาะนกเป็ดน้ำฝูงนั้นกับเต่าอีกเจ็ดตัวที่รับจ้างเขาต้ม เสร็จกิจดังกล่าว จึงลงไปสรงน้ำ แปรงฟัน แล้วออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ โดยมีนายสมชายหิ้วปิ่นโตเดินตามหลัง
"โยม อาตมาขอขอบใจที่ใส่บาตรให้ฉันมานาน วันนี้จะเป็นวัดสุดท้าย เพราะเวลาเที่ยงสี่สิบห้า อาตมาจะได้รับอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักตาย มาบิณฑบาตไม่ได้อีก ขอให้โยมจงมีความสุขความเจริญนะโยมนะ" ท่านจะพูดเช่นนี้กับผู้มาใส่บาตรทุกคน หลายคนเชื่อและรู้สึกเสียใจที่จะไม่ได้พบเห็นท่านอีก แต่บางคนก็คิดว่า "หลวงพ่อวัดป่ามะม่วงท่าจะเพี้ยนเสียแล้ว มีอย่างที่ไหน มาบอกว่าจะตายวันนี้ ใครเล่าจะรู้วันตายของตัวเอง พิกลแท้ ๆ"
กลับจากบิณฑบาตโปรดสัตว์ ท่านฉันภัตตาหารแล้วจึงจดบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนเช้า เสียงที่มาเตือนนั้นถูกท่านบันทึกไว้ทุกถ้อยคำ เสร็จแล้วจึงลงมารับแขกยังกุฏิชั้นล่าง ประโยคแรกที่พูดกับพวกเขาคือ "ต่อไปนี้ญาติโยมต้องช่วยตัวเองแล้วนะ พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปะโร สิยา - ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้" อาตมาเองก็จะไปในวันนี้แล้ว"
"หลวงพ่อจะไปไหนคะ" สตรีผู้หนึ่งถาม
"ไปตาย" ท่านเจ้าของกุฏิตอบยิ้ม ๆ
"หลวงพ่อพูดอย่างนี้ ลูกศิษย์ลูกหาใจฝ่อหมด อย่าพูดเล่นอย่างนั้นเลยครับ ผมขอร้อง" บุรุษผู้มาถึงเป็นคนแรกที่เข้าใจว่าท่านพูดเล่น
"อาตมาพูดจริง ๆ นะ เมื่อเช้ามืด เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงแล้ว อาตมาเคยหักคอนกเป็นสิบ ๆ ตัว แล้วก็รับจ้างต้มเต่า วันนี้เที่ยงสี่สิบห้าต้องรถคว่ำคอหักตาย" คนฟังพากันตระหนก สตรีวัยกลางคนแนะนำว่า
"ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อก็อย่าออกไปไหนซีคะ อย่าไปขึ้นรถ จะได้ไม่ต้องรถคว่ำ"
ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกโยม นี่จะมาแนะนำให้อาตมาโกงเสียแล้ว โกงใครไม่โกง จะให้โกงกฎแห่งกรรม อาตมาทำไม่ได้หรอกโยม"
"แล้วหลวงพ่อไม่เสียใจ ไม่เสียดายชีวิตหรือครับ" บุรุษอีกผู้หนึ่งถาม
"เสียดายทำไมเล่าโยม คนที่เสียดายชีวิต แสดงว่า เขายังไม่เข้าใจคติแห่งความตาย การตายก็เหมือนการย้ายบ้าน คนที่ทำกรรมดีไว้มากก็จะได้ย้ายไปอยู่บ้านที่ดีกว่าหลังเก่า คือสะดวกสบายกว่า แต่คนที่ทำชั่วอาจจะต้องย้ายไปอยู่บ้านในนรก สำหรับอาตมาคงจะได้ไปอยู่บ้านที่ดีกว่านี้ จะนอนตื่นสักเที่ยงวัน เพราะไม่ต้องลงรับแขก" คราวนี้คนฟังหัวเราะ
"แล้วกัน มาหัวเราะเยาะกันเสียแล้ว นี่อาตมาพูดจริง ๆ นะ บ้านนี้หาความสุขไม่ได้เลย ต้องทำงานหนักแสนหนัก จนแทบไม่มีเวลากินเวลานอน"
"หนูไม่เคยเห็นใครเป็นแบบหลวงพ่อเลยค่ะ" หญิงสาวอายุน้อยที่สุดพูด "ขนาดรู้ว่าจะต้องตาย แทนที่จะเศร้าโศกเสียใจ กลับทำหน้าที่ได้ตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
"นี่ พูดอย่างนี้แสดงว่ายังไม่เข้าใจ อุตส่าห์เปรียบเทียบให้ฟังก็แล้ว เอาอย่างนี้นะ สมมุติว่าหลวงพ่อเป็นข้าราชการชั้นโท แล้วอีกสองสามชั่วโมงข้างหน้า เขาจะเลื่อนให้เป็นชั้นเอก หลวงพ่อต้องมานั่งเศร้าโศกเสียใจหรือเปล่า หนูตอบมาซิ"
"หลวงพ่อจะแน่ใจได้อย่างไรล่ะคะ เขาอาจจะลดลงไปเป็นชั้นตรีก็ได้" หญิงสาวยังคลางแคลง
"ไม่ต้องห่วงหรอกหนู หลวงพ่อรับรองว่าจะไม่เป็นอย่างที่หนูคิด ถ้าหนูอยากรู้จริง ก็ต้องมาเข้ากรรมฐาน ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เมื่อใดเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เมื่อนั้นความลังเลสงสัยก็จะหมดไป"
"ก็หลวงพ่อจะไปแล้วใครจะมาสอนหนูล่ะคะ หลวงพ่อมีตัวแทนที่สามารถทำหน้าที่แทนหลวงพ่อได้ทุกอย่าง มีหรือเปล่าคะ"
"ไม่มีหรอกหนู ถ้าจะให้หาแบบนั้นหาไม่ได้แน่ เพราะไม่มีใครจะเหมือนกันไปหมดทุกอย่าง แม้แต่ฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกัน จิตใจยังต่างกัน"
"ถ้าเป็นอย่างนั้น คนคงไม่มาวัดนี้อีก ที่เขามาก็เพราะศรัทธาในหลวงพ่อ ไม่มีหลวงพ่อเสียแล้ว หนูเองก็คงไม่มา หนูพูดจริง ๆ นะคะ"
"หนูอย่าไปยึดที่ตัวบุคคลซีจ๊ะ การเข้าวัดก็เพื่อมาแสวงหาธรรมะ แต่บางคนเข้าวัดเพราะไปชอบสมภาร ยิ่งสมภารหนุ่ม ๆ โอ้โฮ สาวแก่แม่หม้ายติดกันเกรียวเลย แบบนี้รับรองไม่ได้บุญ เอาละ ถึงแม้จะไม่มีอาตมาอยู่ในวัดนี้อีกต่อไป ญาติโยมก็ควรจะมาเข้ากรรมฐาน หอประชุมมีพร้อมแล้ว คนสอนก็มีแล้ว คือพระบัวเฮียว แล้วท่านก็สามารถเข้าผลสมาบัติได้ ซึ่งแปลว่า ท่านมีคุณธรรมสูงพอที่จะสอนคนอื่น ๆ ได้" ท่านแจ้งให้ญาติโยมทราบเกี่ยวกับพระบัวเฮียว
"แสดงว่าท่านเป็นพระอริยบุคคลใช่ไหมครับหลวงพ่อ เพราะผู้ที่จะเข้าผลสมาบัติได้ จะต้องเป็นพระอริยบุคคล ผมว่าอย่างน้อย ๆ ท่านต้องเป็นพระโสดาบัน ใช่ไหมครับ" ชายหนุ่มถาม
"ก็คงจะเป็นอย่างนั้น"
"ถ้าเช่นนั้น ผมจะมาเรียนกรรมฐานกับท่าน ผมแสวงหาพระอริยบุคคลมานานแล้ว ขอกราบเรียนตามตรงว่า ผมเริ่มจะเบื่อพระ เพราะเจอแต่ประเภทที่สอนเก่ง แต่ปฏิบัติไม่ได้ อย่างเช่น พระรูปหนึ่งซึ่งผมเคยศรัทธาท่านมาก หากเอ่ยชื่อ ผมว่าใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก ท่านสอนเก่ง สอนออกวิทยุกระจายเสียงทุกวัน แต่เบื้องหลังชั่วร้ายอย่าบอกใคร เปรอะไปหมดทั้งเรื่องเหล้าเรื่องผู้หญิง เห็นว่าท่านมีเงินเป็นร้อย ๆ ล้าน แต่ผมเชื่อว่า เงินช่วยให้ท่านพ้นจากขุมนรกไม่ได้แน่ นับวันพระประเภทนี้จะมีมากขึ้นนะครับ" แม้จะรู้ว่าบุรุษนั้นพูดความจริง หากท่านพระครูก็จำต้องวางอุเบกขา ท่านพูดตัดบทว่า
"กรรมของเขาน่ะโยม อย่าไปสนใจเรื่องของคนอื่นเลย พระพุทธเจ้าสอนสติปัฏฐาน ๔ ให้พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งล้วนแต่อยู่ในตัวเราทั้งสิ้น อย่าเอาเรื่องนอกตัวเข้ามา แค่แบกขันธ์ ๕ ของตัวเอง ก็ทุกข์พอแล้ว อย่าเอาขันธ์ ๕ ของคนอื่นมาแบกอีกเลย ๕ ขันธ์หนักพอแล้ว อย่าไปเอา ๑๐ ขันธ์เลย" ท่านเปรียบเทียบตลก ยังผลให้คนฟังอมยิ้ม
"วันนี้หลวงพ่อจะไปไหนหรือคะ" สตรีวัยกลางคนถามขึ้น
"ไปบรรยายธรรมที่ วัดกวิศาวราราม จังหวัดลพบุรี เขาจะส่งรถมารับ" ท่านพระครูตอบ นายสมชายไม่ได้ทำกรรมมากับท่าน จึงไม่ต้องไปร่วมชะตากรรมในครั้งนี้
เวลาสิบเอ็ดนาฬิกา นายแพทย์สมมิ่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจำจังหวัด พาครอบครัวมาถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสามเณรวัดป่ามะม่วง เขามิได้มานิมนต์ไว้ล่วงหน้า ด้วยต้องการจะให้เป็น "สังฆทาน" อย่างสมบูรณ์แบบ
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงฉันภัตตาหารได้มากกว่าทุกครั้ง ยังผลให้ญาติโยมปลาบปลื้มใจ เพราะปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ฉันเสร็จท่านถือโอกาสแสดงพระธรรมเทศนา เพราะต้องการสงเคราะห์ญาติโยมเป็นครั้งสุดท้าย โยมผู้หญิงคนหนึ่งแอบนินทาท่านว่า "แหมหลวงพ่อท่านไม่ยอมหายใจทิ้งเลยนะ ทุกเวลานาทีของท่านช่างมีค่าเสียจริง" แม้จะกระซิบเบา ๆ หากผู้ถูกนินทาก็ได้ยิน ท่านพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า
"คนที่หายใจทิ้งเป็นคนไม่มีประโยชน์ ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่ เปลืองออกซิเจนเปล่า ๆ"
คนฟังพากันยิ้มทั้งที่ในอกสุดแสนเศร้า ด้วยรู้ว่า อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าพวกเขาจะต้องสูญเสียปูชนียบุคคล เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด
แม้จะเป็นการเทศน์ครั้งสุดท้าย หากคนฟังก็มิได้ตั้งใจฟังเท่าที่ควร ด้วยมัวกังวลกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เทศน์จบ ท่านพระครูบอกญาติโยมว่า "เดี๋ยวอาตมาจะต้องไปบรรยายธรรมที่วัดกวิศ แต่จะไปไม่ถึง เพราะจะเกิดอุบัติเหตุรถชนคอหักตายเวลาเที่ยงสี่สิบห้า อาตมาตั้งใจจะออกจากวัดเที่ยงครึ่ง จะได้ไม่ต้องไปตายไกลวัด เขาจะได้เอาศพกลับได้สะดวก" ท่านพูดด้วยสีหน้าท่าทางปกติ
"อยากรู้ไหมว่า ทำไมอาตมาถึงต้องตายในวันนี้" ท่านถาม ไม่มีผู้ใดให้คำตอบ ด้วยต่างก็ทำใจไม่ได้ ทั้งสงสารทั้งเสียดายปูชนียบุคคลเช่นท่าน
"เอาละ ไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไร แต่อาตมาอยากเล่า ญาติโยมจะได้เก็บไปคิดเป็นการบ้าน จะได้เชื่อว่าเวรกรรมนั้นมีจริง" เห็นคนฟังหน้าตาเศร้าสร้อย ท่านจึงพูดขึ้นว่า
"ญาติโยมที่รักทั้งหลาย คนที่กำลังจะตายคืออาตมานะ ไม่ใช่ญาติโยม ทำไมต้องทำหน้าหมดอาลัยตายอยากกันอย่างนั้น" สตรีวัยกลางคนถึงกับปล่อยโฮ พูดละล่ำละลักว่า
"ถ้าอีฉันตายแทนหลวงพ่อได้ อีฉันยอมตายจริง ๆ ชีวิตอีฉันหาประโยชน์มิได้ อยู่ไปก็เปลืองออกซีเจนอย่างหลวงพ่อว่า" ท่านพระครูยิ้มเพราะขำในถ้อยคำของหล่อน คนอื่น ๆ ก็ทำหน้าปั้นยาก จะยิ้มก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง
"เอาละ ๆ ขอบใจที่จะตายแทนอาตมา แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทำกรรมแทนกันไม่ได้หรอกโยม ที่อาตมาต้องตายในวันนี้ก็เพราะ กรรมที่เคยหักคอนกกับรับจ้างต้มเต่า ตอนยิงนกนั่นอยู่มัธยมสาม อยู่กับยาย เวลาไปโรงเรียนก็ไม่เข้าเรียน แต่หนีครูไปเที่ยวยิงนกตกปลา แอบขโมยปืนแก๊ปของตาไป แล้วอาตมาก็มีความสามารถในการก่อกรรมทำเข็ญมาก เรียกว่าทำบาปขึ้น ยิ่งปืนแม่น เปรี้ยงเดียวนกเป็ดน้ำร่วงมาเป็นร้อยเลย ใครอยากรู้เทคนิคการยิงก็มาถามได้ เดี๋ยวอาตมาตายแล้วจะไม่มีใครบอก" ท่านพูดยิ้ม ๆ ทว่าคนฟังกลับยิ้มไม่ออก
"ไม่มีใครถามหรือ งั้นอาตมาก็จะไม่บอก ให้วิชานี้มันตายตามอาตมาไปก็แล้วกัน" ท่านพูดเล่นเพราะหากมีผู้ถามขึ้นมาจริง ๆ ท่านก็จะไม่บอก เพราะสมณะย่อมไม่แนะนำบุคคลไปในทางชั่ว
"ก็รวบรัดตัดใจความได้ว่า อาตมาเป็นแชมป์ยิงปืน แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็หนีไปยิงนกอีก พอลั่นไกเปรี้ยงนกก็ร่วงลงมาทั้งฝูง แต่มีตัวหนึ่งมันไม่ยอมตาย แค่ปีกหักบินไม่ได้ ความรักชีวิตทำให้มันวิ่งหนี อาตมาก็วิ่งตาม พอจับตัวได้มันก็จิกมืออาตมาเลือดพุ่งเลย ด้วยความโกรธ อาตมาหักคอมันทันที แถมถลกหนังหัวมันอีกด้วย ตอนนั้นเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดมาก เสร็จแล้วก็โยนทิ้ง มันยังดิ้นกระแด่ว ๆ และคงจะอาฆาตพยาบาทอาตมากระทั่งมันสิ้นใจ
ส่วนเรื่องต้มเต่านั้น ทำตอนอยู่มัธยมหนึ่ง แล้วก็ใช้หนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๔ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาบอกตอนนั้นมันแค่เงินต้น วันนี้เขาจะคิดดอกเบี้ย แหมขนาดใช้หนี้กรรมก็ยังต้องใช้ทั้งต้นทั้งดอก นะโยมนะ" ท่านหันไปพยักพเยิดกับโยมคนหนึ่ง แล้วเล่าต่อ "เรื่องมีอยู่ว่า พวกขี้เมาเขาเกิดอยากจะกินเต่าแกล้มเหล้า ก็ไปซื่อเต่ามา ๗ ตัว แล้วจ้างอาตมาต้ม ให้ค่าจ้างหนึ่งบาท
"บาทเดียวเองหรือคะหลวงพ่อ" สตรีผู้หนึ่งถาม
"บาทเดียวน่ะมากแล้วนะโยม สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละสามสตางค์ เงินหนึ่งบาทซื้อก๋วยเตี๋ยวกินได้หนึ่งเดือนกับสามวัน อาตมาเอาเงินเขามา แล้วก็จัดการก่อไฟ เอาหม้อดินใบใหญ่ใส่น้ำขึ้นตั้งบนเตา พอน้ำเดือดก็เทเต่าเจ็ดตัวลงไป เต่ามันดิ้นใหญ่ คงจะสามัคคีกันดิ้น เพราะหม้อแตกเลย พอหม้อดินแตก มันก็พากันตะเกียกตะกายหนีเอาตัวรอดเข้ากอไผ่ไป โยมเชื่อไหม น้ำตามันไหลพราก ๆ แล้วมันก็ใช้สองขาหน้าปาดน้ำตา ที่โบราณเขาเปรียบเทียบว่า ร้องไห้น้ำตาเป็นเผ่าเต่า อาตมาก็เพิ่งประจักษ์ตอนนั้นแหละ เห็นแล้วรู้สึกทุเรศนัยน์ตา เลยปล่อยให้มันหนีไป พวกขี้เหล้าเขาก็โกรธ จะเอาค่าจ้างคืน อาตมาก็ไม่ยอมคืนให้ เลยไปลักปลาเค็มป้ามาปิ้งให้เขากินแทนเต่า โดนป้าด่าแหลกเลย นี่แหละกรรมที่อาตมาทำไว้ในวัยเด็ก แล้วก็กำลังจะไปใช้หนี้อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า" ขณะนั้นเวลาเที่ยงครึ่ง รถที่ทางวัดกวิศาวรารามส่งมารับนั้นรออยู่แล้ว
"เอาละ อาตมาเห็นจะต้องลา ขอให้ญาติโยมจงหมั่นเจริญกรรมฐาน ถ้าใครคิดถึงอาตมา ก็ให้ปฏิบัติมาก ๆ เอาละ ขอให้โชคดีมีความสุขทุก ๆ คนนะโยมนะ"
รถที่มารับท่านพระครูเป็นรถสองแถวเก่า ๆ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงนั่งหน้าคู่กับคนขับ ส่วนอุบาสกในชุดนุ่งขาวห่มขาวที่มาด้วย ได้ย้ายมานั่งข้างหลัง รถแล่นออกจากวัดตรงไปยังถนนสายเอเชีย เมื่อถึงทางแยกเข้าจังหวัดลพบุรี คนขับจึงชิดขวาเตรียมตัวเลี้ยว ถนนฝั่งตรงข้ามมีรถวิ่งมาหลายคัน จึงต้องหยุดรอจังหวะที่จะเลี้ยว
ขณะนั้น รถทัวร์ของบริษัททันจิตวิ่งแซงรถคันอื่นมาด้วยความเร็วสูงถึง ๑๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง คนขับมองไม่เห็นรถสองแถวที่เปิดไฟเลี้ยวขวาอยู่ข้างหน้า จึงชนโครมเสียงดังก้องราวกับฟ้าถล่ม ร่างของภิกษุวัยห้าสิบเศษ กระเด็นออกจากตัวรถในลักษณะถลาร่อนดุจเดียวกับนกที่ถูกยิง ลอยละลิ่วไปตกลงบนพื้นถนน ห่างจากตัวรถถึงยี่สิบวา คอหักพับลงมาถึงราวนม หนังศีรษะเปิดตั้งแต่หน้าผากถึงท้ายทอย ท่านพระครูเจริญได้ชดใช้กรรมของท่านอย่างกล้าหาญที่สุด เมื่อเวลาสิบสองนาฬิกาสี่สิบห้านาที ของวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑.




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ



ขอเชิญร่วมสมทบทุนสร้างกุฏีสงฆ์วัดบ้านไฮ
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่-
พระครูศรีรัตนาภิรักษ์ เจ้าคณะอำเภอศรีรัตนะ
โทร.๐๘๙-๘๔๘๔๓๓๕



ขอเชิญร่วมสร้างหลวงปูเทพโลกอุดร ณ วัดเขาอุทุมพรชัยภูมิ
โทร. 087-239-3444


ร่วมทำบุญสร้างถนนขึ้นนมัสการ ไหว้พระเจ้าทันใจ วัดผาเด็ง

เชิญร่วมบุญ หล่อพระประทานพร ประดิษฐานบนภูเขา
081-408-7825<O


ขอเชิญร่วมทำบุญเททองหล่อระฆัง ณ วัดล่องกระเบา
โทร. 086-8054133



ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพปิดทองและเพชรประดับ พระโมคคัลลาและพระสารีบุตร
โทร : ๐๘๔ ๘๑๗ ๕๒๔๘

28-29 กรกฎาคม 2555 ร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคปัจจัย สมทบทุน "สร้างวัด" ถวายเป็นพุทธบูชา
โทร: 02-7141975, 087-8076246


ขอเชิญลูกศิษย์ครูบาข่ายร่วมสร้างเจดีย์
โทร 083-5167918</O
<O </O


ขอเชิญผู้ใจบุญร่วมสร้างพระพุทธรูปและพระอุโบสถ วัดหนองแวง จ.ศรีสะเกษ
โทร.089-815-69-85


รับบริจาควัตถุมงคล บรรจุกรุบริเวณสะดือพระพุทธโพธิ์ศรีมหาเจดีย์ 49 เมตร
ส่งวัตถุมงคลเพื่อบรรจุกรุมาได้ที่
นายพลกฤษณ์ แข่งขัน
511/467 จรัญ 37 อพาร์ทเมนต์
ซ. จรัญฯ 37 ถ. จรัญสนิทวงศ์ บางขุนศรี บางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700




ด่วน....ขอเชิญร่วมบุญสร้างพระอุปคุตเถระ ปางจกบาตร ,ตู้พระไตรปิฏก,เครื่องอัฐบริขาร
หากท่านใดปราถนาร่วมบุญก็สามารถโอนปัจจัยมาร่วมสร้างได้ผ่านบัญชีธนาคาร ดังนี้<O </O
ธนาคารไทยพาณิชย์ <O </O
ชื่อบัญชี ธัญญ์พิชชา แพรสีเขียว <O </O
เลขที่บัญชี 370-202-15-62 <O </O
<O </O



ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพหล่อสมเด็จองค์ปฐม วัดเนินมะครึด อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก
โทร.084-6245007


ขอเชิญร่วมสร้างพระหลวงพ่อเพชร ขนาดศอกครึ่ง
081-8052466


ขอเชิญเป็นเจ้าภาพ สีทอง ฉัตรทอง สมเด็จพระพุทธชินเรศญาณบารมี นวราชเจริญชนม์
0856044849


ขอเชิญสร้างกุฏิต้นทุนต่ำ แก่พระสงฆ์ ในถิ่นทุรกันดาร
โทร ๐๙๐๔๙๓๕๔๙๙


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างซุ้มเรือนแก้วพระสมเด็จองค์ปฐม
โทร 08-3157-3242<O


ขอเชิญสร้าง ตู้กระจก องค์ปฐม หน้าตัก 4 ศอก วัดป่าน้อยบ้านหนองฟ้า

ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างถวายนกยูงคู่เงินทอง เสริมความมั่งคั่งร่ำรวย
โทร ๐๘๓-๑๑๔๓๖๘๑


ขอเชิญทอดผ้าป่ากับพระอาจารย์อนันต์ วัดสะพานศรี
0817015512


ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่า “สร้างอาคารสถานีวิทยุเสียงธรรมฯ และบูรณะสวนแสงธรรม”
ถนนพุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพมหานคร



เชิญร่วมทอดผ้าป่าการกุศลสบทบทุนจัดซื้อรถยนต์ตรวจการได้ยินเคลื่อนที่ รพ.หาดใหญ่
เบอร์โทรศัพท์ 074 - 273100


บอกบุญ ขอเชิญท่านผู้ใจบุญร่วมกันเป็นเจ้าภาพถวายน้ำปานะ เเก่พระภิกษุเเละสามเณร
0861574108


ทำบุญหนังสือห้องสมุดโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดนิโครธาราม
ท่านสามารถร่วมบุญโดยการส่งพัสดุทางไปรณีย์ ถึง.....
พระใบฎีกาไอศูรย์ ชยลงฺกโร<O ห้องสมุดโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดนิโครธาราม
<O ในโครงการตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
<O ต.ป่าคา อ.แม่ท่าวังผา จ.น่าน
55140<O



ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพพิมพ์หนังสือธรรมะ
โทร. 089-7939253


ขอเจริญพรร่วมสร้างพระไตรปิฎก ถวายวัดปางมดแดง จ.พะเยา
โทร.0869789561


บอกบุญ ร่วมบริจาคหนังสือเรียนของพระภิกษุสามเณรของมัธยมศึกษาปีที่ ๒
วัดอุดมธานี เเผนงสามัญศึกษา จ.นคนายก


ขอเชิญร่วมกองทุนเพื่อการศึกษาพระสงฆ์
โทร 0821004396


โรงเรียนดีศรีตำบลลำพูน
สามารถประสานงานเบื้องต้น ได้ที่ พระผู้ประสานงานประจำจังหวัด หรือ พระอิสรภาพ อาจรสมฺปนฺโน 0815301954


ด่วนร่วมบุญเป็นเจ้าภาพบวชพระเข้าพรรษา จำนวน๒รูป ไม่มีกำหนดลาสิกขา
________________________________________
๐๘๕-๖๐๔๔๘๔๙



บูชาพระเพื่อการกูศลช่วยเหลือผู้ป่วยโรคยากไร้
089-669-7869


พุทธชยันตี ขอเชิญทำบุญช่วยพระภิกษุอาพาธ
โรงพยาบาลสงฆ์ กรุงเทพฯ
โทร. ๐๒ - ๒๔๗๑๘๒๕-๖, ๐๒ – ๓๕๔๔๓๑๐



ท่านใดที่มี (คอมพิวเตอร์รุ่นเก่าหรืออุปกรณ์คอม) สามารถบริจาคได้ที่นี้
สามารถบริจาคด้วยตนเองหรือ ส่งของทางไปษณีย์มาได้ที่
พระทวีศักดิ์ (อินทญาโณ)
วัดเวฬุวนาราม (แช่ไห) ต.ดอนไผ่ อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี 70130


ช่วยเหลือพระถูกตัดขา จากโรคเบาหวาน
เบอร์โทร. 082-330-3457


ขอเชิญร่วมกองทุนสมเด็จองค์ปฐมพระบรมคูร(ประดับเพชร)พิทักษ์รักษาพระเถรเจ้า
ติดต่อสอบถาม 087-614-6689


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 08:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว




invis.gif
invis.gif [ 43 ไบต์ | เปิดดู 4560 ครั้ง ]
.. :b8:
อนุโมทนาแล้วๆๆ..
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2012, 12:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


:b7:
:b2: : :b2: :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2012, 06:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ไฟไหนจะร้อนเท่าไฟนรก
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของหมู ยามที่มันถูกมีดปลายแหลมแทงคอนั้น ช่างบาดลึกเข้าไปในจิตใจของอาตงทุกครั้งที่ได้ยิน เด็กชายวัยสิบสามไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดบิดาจึงมายึดอาชีพที่แสนจะทารุณโหดร้ายเช่นนี้ แม้จะได้ยินมาตั้งแต่เกิด เพราะตาแป๊ะเตี๋ยวยึดอาชีพขายหมูชนิดเลี้ยงเองฆ่าเองเสร็จ หากเขาก็หดหู่หม่นหมองใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงมันร้องเหมือนจะข้อให้ไว้ชีวิต เด็กชายเคยฟังพวกผู้ใหญ่เขาพูดกันว่า คนที่ฆ่าสัตว์เมื่อตายไปจะต้องตกนรก เขาไม่อยากให้ผู้บังเกิดเกล้าตกนรก เพราะเคยเห็นภาพของนรกที่มีผู้วาดไว้ตามผนังโบสถ์มาแล้ว มันช่างน่าเกลียดน่ากลัวเสียเหลือเกิน
นับแต่มารดาจากโลกนี้ไปตั้งแต่ปี ๒๔๖๐ เขาก็เหลือบิดาเพียงผู้เดียว ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก เนื่องจากผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองพากันอพยพมาจากเมืองจีน ตั้งแต่เขายังไม่เกิด จำได้ว่าตอนนั้นเขาร้องไห้มากที่สุดในชีวิต บิดาของเขาก็โศกเศร้าอยู่นานกว่าจะทำใจได้ สามปีแล้วสินะที่มารดาจากเขาและบิดาไป ก็พวกผู้ใหญ่อีกนั่นแหละที่พูดเข้าหูเขาบ่อย ๆ ว่าที่มารดาเขาอายุสั้นก็เพราะบิดาของเขาชอบฆ่าสัตว์ ถ้าเรื่องที่พวกเขาพูดมานั้นเป็นความจริง ป่านฉะนี้มารดาก็คงถูกลงโทษอย่างสาหัสสากรรจ์อยู่ในนรก ช่างน่าสงสารมารดานัก เด็กชายวัยสิบสามออกสับสนว่า ก็ในเมื่อบิดาเป็นคนทำ แล้วใยกรรมจึงไปตกที่มารดา คนเราทำกรรมแทนกันได้กระนั้นหรือ อาตงเคยขอร้องไห้ตาแป๊ะเตี๋ยวเลิกอาชีพนี้ แต่กลับถูกตะคอกเอาว่า "ลื้อมังลูกนอกคอก สองให้ก็ไม่เอาว่าฆ่าหมูนั้งลีทำให้ลวยเล็ว อีกหน่อยลื้อต้องมาฝึกกะเตี่ย โตขึ้งจะล่ายยึกอาชีกนี้เลี้ยงตัว" บิดาของอาตงบอกอย่างนี้
"แต่มันบาปนะเตี่ย" เด็กชายท้วง
"บากเบิกชิกหายอาลาย อั๊วะเลี้ยงลื้อมาจงโตป่างนี้ไม่ใช่เพาะขายหมูเลอะ" ยามใดที่ตาแป๊ะใช้คำว่า "อั๊วะ" กับลูกแสดงว่าแกกำลังโกรธ
"เห็นเขาพูดกันว่า คนที่ฆ่าสัตว์เมื่อตายไปต้องตกนรกนะเตี่ย" ลูกชายบอกกล่าว
"แล้วลื้อไปเชื่อมังทำมายฮึอาตง เชื่อทำมาย ไอ้ชิกหายพวกนั้งมังอิกฉาอั๊วะ มังเห็งอั๊วะลวยกว่ามังน่ะ" ตาแป๊ะเตี๋ยวคิดไปอีกอย่าง
"ก็ไหน ๆ เตี่ยรวยแล้วก็น่าจะเลิกได้ หันไปขายผักขายหญ้าดีกว่าจะได้ไม่ต้องทำบาปทำกรรม เชื่อข้าเถอะ" อาตงพยายามเกลี้ยกล่อมผู้เป็นพ่อ
"เลื่องอาลายอั๊วะจาเลิก ก็อั๊วะทำมาตั้งแต่ลื้อยังไม่เกิกตั้งแต่มาจากเมืองจิง เลี้ยวมังก็ลวงขึ้ง ๆ ว่าแต่ลื้อเถอะ ต่อไปนี้ต้องมาฝึกงางกะเตี่ย" แกออกคำสั่ง
"ไม่เอาหรอกเตี่ย ข้ากลัวตกนรก" เด็กชายรีบปฏิเสธ
"นาลกนาแล้กอาลายโง่ตายห่า อ้ายพวกเชื่อนาลกมังพวกขี้เกียก คงเลาเกิกมาเลี้ยวก็ตาย ตายเลี้ยวก็เลี้ยวกัง นาลกซาหวังมีที่ไหน เลื่องโกหกทั้งน้าง อีเอาไว้หลอกคงโง่ต่างหาก" ตาแป๊ะเตี๋ยวพูดไปตามความเชื่อของตน แกไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ตรงข้ามกับลูกชายซึ่งแอบไปคุยกับหลวงตาที่วัดบ่อย ๆ จนเกิดศรัทธาปสาทะอยากจะบวชเป็นเณร จะได้ไม่ต้องมาฆ่าหมูขายอย่างบิดา
"เตี่ย ข้าขออะไรเตี่ยอย่างนึ่งได้ไหม" เด็กชายทำท่าประจบด้วยการเข้ามาโอบเอวบิดา ตาแป๊ะอารมณ์ดีขึ้น ตอบลูกไปว่า "ขออาลาย ลื้ออยากล่ายอาลายเตี่ยจาให้หมกทุกอย่าง แต่ลื้อต้องมาฝึกงางกะเตี่ย" แกตั้งเงื่อนไข
"แต่สิ่งที่ข้าขอเตี่ยนั้น หากเตี่ยให้ ข้าก็มาฝึกงานกับเตี่ยไม่ได้" ลูกชายชี้แจง
"ลื้อจะขออาลาย" ตาแป๊ะเตี๋ยวออกสงสัย อาตงรวบรวมความกล้าแล้วตอบว่า
"ขอบวชเณร นะเตี่ยนะ ข้าอยากบวชเณร อยากบวชมานานแล้ว"
"หา! เลื้อว่าอาลายนะ" บิดาถามเสียงดัง
"ข้าอยากบวชเณร" ลูกชายตอบเสียงดังไม่แพ้กัน
"บวกเนง" ตาแป๊ะเตี๋ยวทำตาโต คำพูดของลูกชายทำให้แกตระหนก
"ลื้อจาบวกทำชิกหายอาลาย นี่ลื้อเป็งบ้าไปเลี้ยวเหลอ" พูดอย่างฉุนเฉียว
"ข้าไม่ได้เป็นบ้า ข้าพูดจริง ๆ ให้ข้าบวชเณรเถอะนะเตี่ยนะ" อาตงวิงวอน
"อั๊วะไม่ให้บวก ข้าวบ้างเลามีกิง เลื่องอาลายจาไปเที่ยวขอข้าคงอื่งกิง" แกพูดโกรธ ๆ รู้สึกผิดหวังในลูกชายคนเดียวมาก ท่าทางอาตงคงจะเอาดีไม่ได้เสียแล้ว มีอย่างที่ไหน แทนที่จะยึดอาชีพดี ๆ อย่างที่แกทำอยู่ กลับจะไปบวชเณร ข้างฝ่ายลูกชายก็รู้สึกผิดหวังในบิดาเช่นกัน บิดาไม่เคยรับฟังความคิดเห็นของเขา ไม่เคยเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ตัวเขาเคยหนีไปคุยกับหลวงตาที่ วัดพุทธาราม บ่อย ๆ เคยชวนแกไปด้วยหากก็ได้รับการปฏิเสธไปเสียทุกครั้งด้วยเหตุผลที่ว่า "เสียเวลาทำมาหากิน" และที่เขาไม่ชอบบิดาอีกอย่างหนึ่งก็คือ แกด่าเก่ง พูดคำด่าคำ มาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะคำว่า "ฉิบหาย" นั้น แทบจะติดปากเลยทีเดียวตอนสายวันนั้น เด็กชายตงถือโอกาสตอนบิดาไปขายหมู แอบไปหาหลวงตาที่วัดพุทธารามด้วยดวงหน้าเศร้าสร้อย เด็กชายคลานเข้าไปหาท่านแล้วกราบเบญจางคประดิษฐ์อย่างที่ครูเคยสอน
"หลวงตาครับ ผมพูดกับเตี่ยเรื่องบวชเณรแล้ว แต่แกไม่อนุญาตครับ" อาตงรายงาน ขณะพูดมือทั้งสองยังคงอยู่ในท่าประนมอันแสดงถึงความเคารพนบนอบต่อภิกษุอาวุโส
"ไม่อนุญาตก็บวชไม่ได้" ท่านกล่าวเสียงเรียบ เด็กชายจึงต่อรองว่า "หลวงตาบวชให้ผมก่อนแล้วค่อยไปขออนุญาตทีหลังจะได้ไหมครับ"
"ไม่ได้หรอกอาตงเอ๊ย มันผิดวินัย ผู้จะบวชต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่ผู้ปกครองเสียก่อน ไม่งั้นบวชไม่ได้" ท่านอธิบาย เด็กชายตงครุ่นคิดอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถามอีกว่า "ถ้าขออนุญาตแม่คนเดียวจะได้ไหมครับ"
"คงได้มั้ง" ท่านผ่อนผัน ครั้นนึกได้ว่าเด็กชายเป็นกำพร้าจึงพูดขึ้นว่า "ก็แม่ของเจ้าเขาตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ"
"ผมจะบอกดวงวิญญาณของแกนะครับ จะไปจุดธูปบอกที่ฮวงซุ้ย" อาตงออกอุบาย ภิกษุสูงวัยซึ่งมีตำแหน่งเป็นสมภารวัด นึกชมในความเป็นคนเจ้าความคิดของเด็กอายุสิบสาม จึงตอบว่า
"ตามใจเจ้าก็แล้วกัน จะเอายังงั้นก็ได้" ท่านมองอาตงอย่างถูกชะตา ดูหน่วยก้านแล้วเด็กคนนี้มีทีท่าว่าจะเหมาะสมกับเพศบรรพชิต บางทีอาจจะทำให้กรรมของผู้ที่เป็นพ่อทุเลาเบาคลายลงได้บ้าง นับเป็นวาสนาของตาแป๊ะเตี๋ยว ซึ่งแม้แกจะเป็นมิจฉาทิฐิ หากก็มีลูกเป็นสัมมาทิฐิ
"เตี่ยของเจ้าคงไม่มาอาละวาดเอากะข้านา" ท่านพูดไปอย่างนั้นเอง รู้ว่าตาแป๊ะจะไม่ทำอย่างนั้น เด็กชายตงก็รับรองว่า "เตี่ยไม่ทำอย่างนั้นแน่ครับ ผมรู้" เขารู้ว่าบิดาเกลียดพระ เกลียดแบบจงเกลียดจงชังโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น บิดาเคยปรารภกับเขาบ่อย ๆ ว่า
"เตี่ยไม่อยากเห็งพะเลยอาตง เห็งเลี้ยวมังคื่งไส้อยากจะอ้วก ทำมายคงอื่งมังไม่เป็งอย่างเตี่ยก็ไม่ลู้" อาตงเคยเอาไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง เขาก็พูดให้อาตงไม่สบายใจว่า ที่เตี่ยเป็นเช่นนั้น เพราะเป็นบาปหนาสาหัสมาก อยากจะถามหลวงตาอยู่เหมือนกัน แต่ก็เกรงว่าจะได้รับคำตอบที่ทำให้ไม่สบายใจอีก สู้ไม่ถามเสียยังดีกว่า อาตงเองก็ไม่รู้ว่าเพราะบิดาเกลียดพระจึงทำให้บิดาคลื่นไส้เมื่อเห็นพระ หรือว่าคลื่นไส้เมื่อเห็นพระจึงทำให้บิดาเกลียดพระ มันอะไรกันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งงง เหมือนจะรู้ว่าเด็กชายกำลังคิดอะไรอยู่ ภิกษุสูงวัยจึงเอ่ยขึ้นว่า "เตี่ยของเจ้าน่ะกรรมหนัก ไม่งั้นก็คงไม่ถึงกับเกลียดพระเกลียดเจ้าหรอก แต่ก็ยังโชคดีที่ได้ลูกมีปัญญาอย่างเจ้า จำคำของข้าไว้นะอาตง บวชแล้วก็ขอให้ทำกรรมฐานให้เคร่งครัด แล้วจะช่วยเตี่ยของเจ้าได้บ้าง ไม่มากก็น้อย"
"ถ้าอย่างนั้น ผมจะไปจุดธูปบอกแม่แล้วหลวงตา บวชให้ผมเลยนะครับ" เด็กชายพูดอย่างปลาบปลื้ม บวชเสียวันนี้จะได้ไม่ต้องฟังเสียงหมูร้องให้ใจหม่นหมองอีก
"อย่าเพิ่งบวชวันนี้เลย ทางที่ดีเจ้ากลับบ้านไปก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยมา อย่าลืมเขียนหนังสือบอกเตี่ยเจ้าไว้เสียด้วย แกจะได้ไม่ห่วงว่าเจ้าหายไปไหน" ท่านสมภารแนะ
"เตี่ยอ่านหนังสือไม่ออกหรอกครับ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวแกก็คงเอาไปให้เพื่อนบ้านอ่านให้ฟัง ขอบพระคุณหลวงตามากครับที่กรุณา" เขาก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง แล้วคลานถอยหลังออกมา เมื่อได้ระยะห่างพอสมควรจึงลุกขึ้นเดินลงบันไดกุฏิมุ่งหน้ากลับบ้าน
อาตงรู้สึกใจหายที่จะต้องทิ้งตาแป๊ะเตี๋ยวผู้เป็นพ่อให้อยู่เพียงลำพัง รู้ว่าแกจะต้องเปล่าเปลี่ยวเดียวดายหากไม่มีเขา ถึงอย่างไร บิดาก็รักเขามาก เขาเองก็รักบิดามากไม่แพ้กัน ไม่อยากทิ้งแกไป แต่ก็นั่นแหละ วันหนึ่งบิดาคงบังคับให้เขาฆ่าหมูแล้วก็คงพากันตกนรกตามมารดาไป เด็กชายมีความเชื่อมั่นว่า การบวชของตนจะช่วยให้ผู้เป็นพ่อพ้นจากนรก มิฉะนั้นท่านสมภารคงไม่พูดว่าเขาจะช่วยบิดาได้ คืนนั้นเด็กชายตงนอนกระสับกระส่าย ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ พรุ่งนี้แล้วสินะที่เขาจะต้องจากบิดาไปอยู่วัด
ตาแป๊ะนอนกรนเสียงดังเช่นทุกคืน แกคงไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว "ไม่มีทั้งอาอี๊และอาตง" แกคงจะเหงามาก น่าสงสารเหลือเกิน คิดมาถึงตอนนี้น้ำตาเด็กชายไหลรินลงมาอาบแก้ม ลุกขึ้นจากที่นอน ค่อย ๆ คลานไปที่ปลายเท้าของบิดาแล้วก้มลงกราบขอขมาลาโทษ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเวลาที่บิดาตื่นขึ้นมาฆ่าหมู เพราะทำเช่นนี้ทุกวันเป็นกิจวัตร ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนาของเจ้าหมูเคราะห์ร้ายเหล่านั้น
เวลาตีสองเศษ ๆ ตาแป๊ะเตี๋ยวตื่นขึ้นมาปฏิบัติภารกิจประจำวันของแก ลำดับแรกคือการจุดตะเกียงเจ้าพายุซึ่งจะส่องแสงสว่างไสวไปทั่วบริเวณเล้าหมู วันนี้จิตใจแกไม่สดชื่นแจ่มใสเอาเสียเลย มันวาบ ๆ หวิว ๆ เหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง ความรู้สึกเช่นนี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งก่อนหน้าที่เมียรักของแกจะจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ หรือว่า ... อาตงกำลังจะจากแกไปอีกคน เป็นไปไม่ได้ อาตงร่างกายแข็งแรงออกอย่างนั้น คงไม่เจ็บไข้ได้ป่วยถึงกับเสียชีวิตเป็นแน่ "เป็งปายม่ายล่าย เป็งปายม่ายล่าย" ชายวัยห้าสิบเศษปลอบตัวเองพลางสะดัดศีรษะอย่างแรงเหมือนจะไล่ความคิดร้าย ๆ ออกไป แกรีบจุดไฟในเตาด้วยฟืนที่อาตงหาเตรียมไว้ให้ จากนั้นจึงเอากระทำใบใหญ่ตั้งบนเตา ตักน้ำใส่ลงไปจนเกือบถึงขอบ น้ำจะเดือดทันเวลากับที่แกแทงคอหมูเสร็จ นำมันลงไปลวกทั้งตัวก่อนลงมือชำแหละเจ้าหมูเคราะห์ร้ายตัวนั้น ถูกแกจับมัดขาทั้งสี่ข้างอย่างแน่นหนา แล้วจึงใช้มีดปลายแหลมแทงที่คอให้ทะลุไปถึงขั้วหัวใจ มิฉะนั้นมันไม่ยอมตายง่าย ๆ เลย เสียงร้องโหยหวนของมันนอกจากจะไม่สามารถเรียกความสงสารจากแกได้แล้ว ยังทำให้แกรำคาญอีกด้วย บิดาของเด็กชายตงไม่เคยเกิดความรู้สึกร่วมในความเจ็บปวดของเจ้าหมูตัวใดทั้งสิ้น
ชำแหละหมูเสร็จ ตาแป๊ะเตี๋ยวจึงนำมันมาจัดเรียงไว้ในเข่งเตี้ย มีใบบัวรองที่ก้นเข่ง แยกส่วนที่เป็นเนื้อ มัน กระดูก และเครื่องในไม่ให้ปะปนกัน จากนั้นจึงล้างหน้าใส่เสื้อเตรียมออกไปขาย อาตงลูกชายคนเดียวของแกลุกขึ้นหุงหาอาหารเช่นทุกวัน ดูเหมือนว่าวันนี้จะลุกเช้ากว่าปกติ ไม่รู้ว่าเกิดขยันอะไรขึ้นมา อีกหน่อยแกจะให้อาตงลุกขึ้นมาช่วยชำแหละหมูแล้วจึงค่อย ๆ สอนวิธีแทงให้ ถึงตอนแกแก่ทำไม่ไหวจะได้มีคนทำแทน
ใกล้เที่ยง ตาแป๊ะเตี๋ยวก็หาบเข่งซึ่งมีเพียงตาชั่งคันยาวกับมีดและเขียงกลับมา ส่วนหมูนั้นขายหมดไม่มีเหลือ
บ้านดูเงียบเหงาวังเวงผิดปกติ "หลืออาตงอีหลับ ก็ไม่เคยนองกางวังนี่นา หลือว่าอีไม่ซำบาย" แกคิดไปร้อยแปด เพื่อความแน่ใจแกจึงตะโกนเข้าไปในบ้าน "อาตง อาตง เตี่ยกลับมาเลี้ยว" ไม่มีเสียงตอบออกมาจากข้างใน แกตะโกนเรียกซ้ำ ๆ กันอีกสองสามครั้งแล้วจึงผลักประตูบานหนาเข้าไป ภายในบ้านว่างเปล่า ไม่มีวี่แววว่าอาตงจะอยู่ในนั้น บนโต๊ะกินข้าวมีกระดาษวางอยู่แผ่นหนึ่ง แกเดินไปใกล้ ๆ ก็จำได้ว่าเป็นลายมือของลูกชายเขียนไว้ด้วยตัวหนังสือภาษาไทย พอจะเดาออกว่าได้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น คว้ากระดาษแผ่นนั้น ได้ก็ตรงแน่วไปยังบ้านเพื่อนของลูกชาย "อาเปี๊ยก อาเปี๊ยกอยู่ละป่าว ออกมาหาอาแปะหน่อย" แกตะโกนเรียกเพื่อนของอาตงอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน เสียงตะโกนของแกทำให้สุนัขสี่ห้าตัววิ่งกรูเข้ามาพร้อมเสียงเห่าระงม หญิงสาวผู้หนึ่งรีบลงจากเรือนมาไล่ฝูงสุนัข ซึ่งวิ่งแตกกระจุยไปคนละทิศละทาง แล้วเชื้อเชิญแกขึ้นบ้าน
"อั๊วะจามาหาอาเปี๊ยก" แกบอกจุดประสงค์ของการมา
"เปี๊ยกไม่อยู่จ้ะ" เถ้าแก่มีอะไรหรือจ๊ะ ฉันเป็นพี่สาวเขาเอง" หล่อนแนะนำตัว
"อาเปี๊ยกอีไปหนาย"
"ไปนากับพ่อตั้งแต่เช้า ประเดี๋ยวก็คงกลับ เถ้าแก่ขึ้นไปรอบนบ้านก่อนก็ได้จ้ะ" หล่อนเชื้อเชิญอีก ตาแป๊ะมีท่าทางลังเล แต่แล้วก็พูดขึ้นว่า "อั๊วะจาให้อีอ่างไอ้นี่หน่อย" พูดพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้หญิงสาว หล่อนรับมาอ่าน ตาแป๊ะแอบสังเกตว่าคิ้วทั้งสองของหล่อนขมวดเข้าหากันขณะที่อ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้น
"อีเขียงว่ายังไง" ถามอย่างอยากรู้
"อาตงหนีไปบวชเณรแล้วละเถ้าแก่" หล่อนบอก ตาแป๊ะเตี๋ยวตบอกผางพูดอย่างโกรธกริ้วว่า "อั๊วะนึกเลี้ยวว่ามังต้องทำอักปียังงี้ หนายลื้อลองอ่างให้อั๊วะฟังหน่อยซิ" แกบอก หญิงสาวจึงอ่านตามตัวอักษรที่ปรากฏในแผ่นกระดาษนั้นให้แกฟัง
"กราบเท้าเตี่ยที่เคารพรักอย่างสูง เมื่อเตี่ยพบหนังสือฉบับนี้ อาตงของเตี่ยก็คงเป็นเณรเรียบร้อยแล้ว ที่อาตงต้องหนีมาบวชก็เพราะเคยขอจากเตี่ยแล้วเตี่ยไม่ยอม อาตงก็เลยต้องทำเช่นนี้ โปรดอโหสิให้อาตงด้วย ขณะเดียวกัน อาตงก็ให้หนังสือฉบับนี้เป็นเสมือนหลักฐานการขออนุญาตจากเตี่ย ขอเตี่ยอย่าได้คิดว่าลูกชายของเตี่ยเป็นคนเนรคุณ เพราะการบวชครั้งนี้ก็เพื่อจะช่วยเตี่ยโดยแท้ อยากขอร้องเป็นครั้งสุดท้ายให้เตี่ยเลิกขายหมู แล้วหันไปทำอย่างอื่นที่ไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หากเตี่ยเลิกได้ อาตงจะสึกออกมาช่วยเตี่ยค้าขาย แต่ถ้าเลิกไม่ได้ลูกชายของเตี่ยก็จะขอบวชไปจนตลอดชีวิต สุดท้านนี้ขอให้เตี่ยจงรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี อย่าคิดอะไรมากจะทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยไปเสียเปล่า ถึงอย่างไรอาตงคนนี้ก็ยังรักยังเคารพและอยากเห็นเตี่ยมีความสุข ขอกราบแทบเท้ามาด้วยความเคารพรักอย่างสูง...จากอาตงลูกชายของเตี่ย"
ระหว่างที่ฟังหญิงสาวอ่านหนังสือฉบับนั้น ตาแป๊ะเตี๋ยวใช้มือหยาบกร้านของแกลูกคลำเคราดำที่ยาวลงมาจนถึงราวนมเล่นอยู่ไปมาเพื่อคลายความเครียด ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าจะต้องมาพบกับความผิดหวังมากมายถึงเพียงนี้ ลูกหนอลูกช่างไม่รักดีเอาเสียเลย แกอุตส่าห์ทำให้เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการทำมาหากินหวังจะให้ลูกเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ลูกกลับเกลียดคร้านไม่เจริญรอยตาม ดีแต่จะไปเที่ยวขอทานเขากิน ช่างไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย จิตใจของตาแป๊ะเตี๋ยวกำลังหวั่นไหวปั่นป่วน ทั้งรักทั้งแค้นประดังแน่นอยู่ในอก จนมิรู้ที่จะจัดการกับชีวิตอย่างไร ทันทีที่หญิงสาวอ่านจบ แกรีบกล่าวคำของใจแล้วหันหลังกลับ เพื่อมิให้ฝ่ายนั้นได้เห็นน้ำตาแห่งความระทมทุกข์ที่กำลังไหลพ้นขอบตาลงมาอาบแก้ม
พี่สาวของเด็กชายเปี๊ยกเห็นตาแป๊ะเตี๋ยวเดินคอตกจากไป ก็ให้รู้สึกสงสารแกยิ่งนัก แม้จะไม่ค่อยชอบแกสักเท่าไหร่ เพราะน้องชายเคยมาเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ถึงความร้ายกาจของแก ในตำบลนี้ จะหาคนรักใคร่ชอบพอกับแกสักคนก็ทั้งยาก พวกชาวบ้านพากันลงความเห็นว่า แกเป็นคนบาปหนาเพราะนอกจากจะไม่เคยทำบุญสุนทานแล้ว ยังด่าเก่งอีกด้วย แกเที่ยวด่าเขาไปหมด แม้กระทั่งพระ เถร เณร ชี ก็ไม่มียกเว้น เขาว่าคนอย่างแกตายไปจะต้องตกนรกอเวจีไม่ได้ผุดได้เกิดเลยทีเดียว แต่ก็น่าแปลกที่อาตงลูกชายของแกกลับเป็นคนดี ไม่น่าเป็นไปได้ที่คนเลว ๆ อย่างแกจะมีลูกดี ๆ อย่างอาตง แสดงว่า นางเซาะกิม เมียของแกต้องเป็นคนดี แล้วอาตงมีนิสัยติดมาทางแม่ ทว่าหล่อนก็ยังสงสัยอยู่อีกนั่นแหละว่า ถ้าเมียของแกเป็นคนดีจริงแล้วทำไมจึงมาอยู่กับคนเลว ๆ อย่างแกได้ มันเหมือนน้ำกับน้ำมันที่ไม่มีวันจะผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันได้เลย แล้วหล่อนก็สรุปเอาเองว่า ที่นางเซาะกิม อายุสั้นก็เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกับคนเลว ๆ อย่างตาแป๊ะเตี๋ยวได้นั่นเอง
ความจริงคนเท้าทิฐิทำให้ตาแป๊ะเตี๋ยวไม่ไปตามลูกชายกลับ แกคิดเอาเองว่าเมื่ออาตงทนต่อความลำบากไม่ไหวก็คงจะสึกออกมาอยู่กับแกเอง เป็นนักบวชต้องเที่ยวขออาหารคนอื่นกิน ไหนเลยจะพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อีกไม่นานเมื่ออดอยากปากหมองหนักเข้าก็ต้องซมซานกลับมา ตาแป๊ะเตี๋ยวไม่ศรัทธาในพระสงฆ์องค์เจ้า แกดูถูกคนพวกนี้ว่าเกียจคร้านในการทำมาหากินและชอบเอาเปรียบผู้อื่น แกเกลียดพระเกลียดเณรมาแต่ไหนแต่ไร ไม่อยากพบ ไม่อยากเสวนาด้วย เพียงเห็นกันไกล ๆ ก็ยังรู้สึกคลื่นไส้ชวนให้อาเจียนเสียแล้ว ทำไมหนออาตงลูกชายของแกจึงคิดผิดด้วยการเที่ยวไปเบียดเบียนคนอื่นทั้งที่แกก็มีให้กินให้ใช้อย่างเหลือเฟือถึงปานนี้ การกระทำของอาตงถือเป็นความผิดใหญ่หลวงนัก ซมซานกลับมาเมื่อใดแกจะตีเสียให้เข็ด จะได้หลาบจำ
สามเดือนผ่านไป อาตงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาอยู่บ้าน ตาแป๊ะเตี๋ยวรู้สึกผิดหวังและว้าเหว่ระคนกัน แกคงจะต้องทำอะไรสักอย่าง นั่นคือต้องไปเอาตัวอาตงกลับมาก่อนที่อะไร ๆ มันจะสายเกินแก้
ข้างฝ่ายอาตงนั้นเมื่อได้เปลี่ยนจากเพศฆราวาสมาถือเพศบรรพชิตแล้ว ก็ได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างเคร่งครัด หลวงตาซึ่งเป็นสมภารวัดได้ให้ความเมตตาแก่เณรตงเป็นพิเศษด้วยเห็นว่าเป็นเด็กดีมีความกตัญญูสูง
"หลวงตาครับ ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ตอบแทนคุณของพ่อแม่ได้อย่างเลิศที่สุด" เณรตงถามท่านสมภารในเช้าวันหนึ่ง ทุกครั้งที่พูดกับภิกษุอาวุโสรูปนี้ มือทั้งสองจะอยู่ในท่าประนมเสมอ
"เออ! เข้าใจถามดีนี่นะ เอาละเมื่อเจ้าอยากรู้ข้าก็จะบอกให้เอาบุญ" พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปที่ตู้พระคัมภีร์ หยิบพระไตรปิฎกมาพลิกดูสี่ห้าเล่ม แล้วจึงหยิบติดมือมาเล่มหนึ่งพูดกับเณรตงว่า "นี่ หลักฐานอยู่ในเล่มนี้ ฟังให้ดีนะข้าจะอ่านให้ฟัง" ท่านเปิดคัมภีร์เล่มนั้นแล้วอ่าน
"...ภิกษุทั้งหลาย สำหรับบุคคลสองท่านเราไม่กล่าวว่าจะกระทำตอบแทนได้ง่ายเลย สองท่านคือใคร คือ มารดาและบิดา หากบุตรจะเอามารดาไว้บนบ่าข้างหนึ่ง เอาบิดาไว้บนบ่าข้างหนึ่ง ปรนนิบัติ ถึงเขาจะมีอายุยืนด้วยการขัดสี นวดฟั้น อาบน้ำให้ และแม้ว่าท่านทั้งสองจะพึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขา นั่นก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นอันได้กระทำคุณหรือได้ตอบแทนแก่มารดาบิดา ถึงบุตรจะพึงสถาปนามารดาบิดาไว้ในราชสมบัติ ทรงอิสราธิปัตย์บนมหาปฐพีอันมีสัตตรัตนะมากหลายนี้ ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นอันได้ทำคุณ หรือได้ตอบแทนมารดาบิดา ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก เป็นผู้บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย...ส่วนว่าบุตรคนใด ชักจูง ปลูกฝัง ประดิษฐานซึ่งมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาไว้ในศรัทธาสัมปทา...ซึ่งมารดาบิดาผู้ทุศีลไว้ในสีลสัมปทา...ผู้มีมัจฉริยะไว้ในจาคสัมปทา...ผู้ทรามปัญญาไว้ในสัญญาสัมปทา ด้วยการกระทำเพียงนี้จึงชื่อว่าเป็นอันได้แทนคุณ ได้ตอบแทนแก่มารดาบิดา...
เณรตงฟังท่านสมภารตั้งแต่ต้นจนจบอย่างตั้งอกตั้งใจ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามภูมิความรู้ระดับประถมสี่ของตน อ่านจบท่านสมภารถามผู้เป็นศิษย์ว่า "เป็นไง เข้าใจซาบซึ้งแล้วหรือยัง"
"ครับ หลวงตากรุณาสรุปอีกครั้งเถิดครับ ตอนท้าย ๆ ผมยังไม่เข้าใจนัก" เณรตงขอร้อง ท่านสมภารจึงสรุปให้ฟังว่า "กล่าวโดยย่อก็คือ พระพุทธองค์ทรงสอนว่า บุคคลจะทำการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ได้อย่างดีเลิศที่สุดก็คือการทำให้พ่อแม่เปลี่ยนจากความเห็นผิดมาเป็นความเห็นถูกต้อง เช่นถ้าพ่อแม่ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ แล้วบุตรสามารถทำให้ท่านเชื่อได้ อย่างนี้ถือว่าเป็นการตอบแทนอย่างสูงสุด"
"ถ้าอย่างนั้นผมจะต้องทำให้โยมเตี่ยหันมาเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษให้ได้" เณรตงพูดอย่างมั่นใจ
"ดี ขอให้สำเร็จเถอะ ข้าขออนุโมทนาด้วย คงต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเชียวละ เพราะตาแป๊ะเตี๋ยวแกมีความเห็นสุดโต่งออกอย่างนั้น แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้สำเร็จ อย่าท้อถอยเสียก่อนก็แล้วกัน" ท่านสมภารพูดให้กำลังใจ
"ผมจะพยายามจนสุดความสามารถเลยเชียวครับ" ตอบด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักและความกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้า
"หมั่นเจริญกรรมฐานแล้วแผ่เมตตาให้แกทุกวัน ไม่ช้าคงเห็นผล เอาละนะได้เวลาแล้ว แยกไปปฏิบัติที่กุฏิของเจ้าได้ ค่ำ ๆ ค่อยมาสอบอารมณ์กับข้า"
"กราบของพระคุณหลวงตามากครับ" พูดพร้อมกับก้มลงกราบท่านสมภารด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของท่าน จากนั้นจึงแยกตัวไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่กุฏิของตน
กุฏิที่ท่านสมภารให้เณรตงอยู่เป็นเรือนไม้หลังเล็กกะทัดรัด ตั้งอยู่ใกล้ป่าช้ามากกว่าหลังอื่น ๆ ภายในเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว่าสองวา ยาวสามวาสองศอก นอกจากใช้เป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ยังเป็นที่ปฏิบัติธรรมของเณรรูปนี้อีกด้วย เมื่อถึงกุฏิเณรตงเริ่มลงมือปฏิบัติกรรมฐานโดยสวดมนต์ทำวัตรเช้าอันถือเป็นขั้นเริ่มต้นของการปฏิบัติ เพราะการสวดมนต์เป็นการสำรวมจิตให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วจึงเดินจงกรม เริ่มตั้งแต่ระยะที่หนึ่งไปจนถึงระยะที่หก เดินจงกรมอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง จิตของท่านเริ่มจะตั้งมั่น จากนั้นจึงนั่งกรรมฐานในท่า "ขัดสมาธิเพชร" โดยยกขาซ้ายวางทับบนขาขวา แล้วจึงยกขาขวาวางทับบนขาซ้ายอีกทีหนึ่ง มือทั้งสองวางบนตักโดยให้มือขวาวางทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น แล้วเพ่งพิจารณาลมหายใจเข้าออกด้วยการบริกรรมว่า "พอง-หนอ" เมื่อท้องพองเพราะหายใจเข้า และ "ยุบ-หนอ" เมื่อท้องยุบเพราะหายใจออก พยายามให้สติจับอยู่กับอาการพองยุบอย่างนี้มิให้ซัดส่ายไปที่อื่นจนกว่าจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิซึ่งจะสามารถข่มนิวรณธรรมให้สงบระงับลงได้ จากนั้นจึงตั้งสติพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ตามแนวสติปัฏฐานสี่ พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของรูปนามตามสภาวธรรมและตามกฎของไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และปราศจากตัวตนที่เที่ยงแท้
อาศัยความเพียรอันยิ่งยวด การปฏิบัติของเณรตงจึงก้าวหน้าขึ้นทุกวัน แม้จะปฏิบัติมาเพียงสามเดือนเท่านั้น พระเณรหลายรูปที่บวชมาก่อนท่าน บางรูปก็ยังไม่สามารถแยกรูป แยกนามได้เพราะย่อหย่อนในความเพียร ด้วยจริยาวัตรอันดีงามนี้ทำให้ท่านเป็นที่โปรดปรานรักใคร่ของท่านสมภารยิ่งนัก
ออกจากกรรมฐานแล้ว เณรตงก็ตั้งจิตแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง ท่านสมภารสอนไว้ว่าบุญกุศลที่ได้จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นสามารถอุทิศไปได้ทุกภพภูมิ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ล่วงลับไปแล้วหรือผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นทั้งโยมบิดาและโยมมารดาจะต้องได้รับบุญกุศลที่ท่านอุทิศไปให้อย่างแน่นอน ส่วนบุญกุศลที่เกิดจากการทำบุญบริจาคทานจะอุทิศให้ได้เฉพาะผู้ที่ตายไปเกิดเป็นเปรตเท่านั้น หากไปเกิดเป็นสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์หรือเทวดา จะไม่ได้รับบุญกุศลอังกล่าว
เวลาสองยามของคืนวันหนึ่ง ขณะที่เณรตงกำลังหลับสนิทอยู่ในกุฏิของท่าน ก็ต้องตกใจตื่นเพราะเสียงเคาะประตูปัง ๆ อย่างไม่เกรงอกเกรงใจของผู้มาเยือนในยามวิกาล
"นั่นใคร มีธุระอะไรดึกดื่นป่านนี้" ท่านร้องถามออกไปและเสียงที่คนข้างนอกตะโกนตอบเข้ามาทำให้ท่านตระหนก
"เตี่ยเอง เปิดปาตูให้เตี่ยหน่อย" เป็นเสียงของตาแป๊ะเตี๋ยวบิดาของท่านนั่นเอง ทั้งดีใจทั้งหวั่นหวาดระคนกัน ดีใจเพราะจะได้พบบิดา หากก็หวั่นว่าฝ่ายนั้นจะบังคับให้สึก ท่านคลำหาไม้ขีดมาจุดเทียนไข ยังผลให้ห้องแคบ ๆ นั้นสว่างขึ้นแล้วจึงเดินไปเปิดประตู
"เจริญพร โยมเตี่ยทำไมถึงมาดึกดื่นอย่างนี้" ท่านทักพลางเชื้อเชิญให้บิดาเข้ามาข้างใน ตาแป๊ะเข้ามานั่งพลางกวาดสายตาสำรวจไปทั่วห้อง ไม่เห็นสมบัติมีค่าอันใดนอกจากของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงไม่กี่ชิ้น ไฟฉายที่แกถือติดมือมากระบอกหนึ่งนั้นยังดูมีค่ามากกว่าสมบัติที่ลูกชายมีอยู่ อาตงช่างมีความเป็นอยู่อย่างขัดสนเสียเหลือเกินในความคิดของผู้เป็นพ่อ
"อาตง เตี่ยมาลับลื้อกับบ้าน" แกเอื้อนเอ่ย มองหน้าลูกก็อุปาทานว่าทั้งผอมทั้งดำไม่อ้วนท้วนขาวผ่องเหมือนตอนที่อยู่กับแก
"โยมเตี่ยเลิกฆ่าหมูขายแล้วหรือ" ถามเพื่อทบทวนเงื่อนไขที่เคยให้ไว้กับบิดา
"เตี่ยจาเลิกทำมาย มังเป็งอาชีกสุกจาหลิกที่ถ่ายทอกมาจากบังพะบุหลุก" แกพยายามพูดให้ลูกชายเห็นความสำคัญของอาชีพที่ทำอยู่
"ทำไมโยมเตี่ยถึงมาดึกดื่นอย่างนี้" เณรตงเปลี่ยนเรื่องถามด้วยคร้านที่จะฟังบิดาพร่ำพรรณนาถึงสิ่งเป็นโทษว่าเป็นคุณ
"เตี่ยจามาทำมายกางวัง ม่ายอยากเห็งหน้าพะ พวกอีขี้เกียกชิกหาย ลีแต่ขอทางคงอื่งกิง" แกบอกเหตุผลแต่ไม่ได้บอกว่าเพราะคิดถึงลูก คิดถึงมากกว่าทุกวันจนนอนไม่หลับ
"ลื้อต้องสึกไปอยู่กะเตี่ย" คำว่า "สึก" ช่างบาดใจเณรตงเสียนัก ท่านรีบปฏิเสธทันควันว่า "อาตมาไม่สึก ตราบใดที่โยมเตี่ยไม่เลิกขายหมู อาตมาก็จะไม่สึก" นอกเหนือจากเงื่อนไขที่ให้ไว้กับบดาแล้วท่านเองก็ไม่อาจปฏิเสธว่า พึงพอใจกับความสงบแห่งจิตซึ่งจะหาไม่ได้นอกเสียจากการถือเพศบรรพชิต
"อั๊วะไม่เลิกเลี้ยวอั๊วะก็จาให้ลื้อสึกล่วย" ตาแป๊ะเตี๋ยวพูดเสียงดังด้วยความโกรธ
"โยมเตี่ยฟังอาตมพูดสักหน่อยเป็นไร ที่อาตมามาบวชนี่ก็เพื่อจะช่วยโยมเตี่ยหรอกนะ"
"ช่วยชิกหายอาลาย ลื้ออย่ามาพูกให้เสียเวลา ถ้าลื้อจาช่วยอั๊วะจิงก็ต้องสึกเหลียวนี้" แกพูดพร้อมกับลุกขึ้นฉุดมือเณรลูกชาย น่าแปลกที่ไม่รู้สึกคลื่นไส้เหมือนทุกครั้งที่เข้าใกล้ผ้าเหลือง ทว่าเณรตงรู้ว่านั่นเป็นอานิสงส์ของบุญกุศลที่ท่านอุทิศส่งมาให้ทุกค่ำคืน ช่างได้ผลทันตาเห็นดีเหลือเกิน
"อย่า...โยมเตี่ยจะทำอย่างนี้ไม่ได้ อาตมาเป็นเณรนะ" ท่านห้ามเสียงหลง
"เนง เนิงอั๊วะไม่สงใจ ลื้อต้องไปกะอั๊วะเหลียวนี้" แกเข้ายื้อยุดฉุดลากเป็นพัลวัน
"อาตมาไม่ไป ถึงจะเอาไปฆ่าให้ตายอาตมาก็จะไม่ยอมสึก" เณรลูกชายพูดเสียงหนักแน่นเฉียบขาดจนบิดานึกท้อ หากทิฐิมานะที่แนบเนื่องอยู่ในกมลสันดานมาตั้งแต่เกิดทำให้แกไม่ยอมแพ้
"ให้ลื้อลู้ไปซีว่าจะลีกว่าอั๊วะ" ว่าแล้วก็ลากลูกชายถูลู่พูกังออกมาจากห้อง เณรตงพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมหากก็ไม่สำเร็จ เพราะบิดาแข็งแรงกว่า
"ปล่อยอาตมาก่อน ไม่งั้นโยมเตี่ยจะต้องเสียใจ" ท่านขู่
"อั๊วะไม่ป่อย ลื้อต้องไปกะอั๊วะเหลียวนี้ ลู้ละป่าวอีกไม่กี่วังอายุลื้อก้อจาคบสิกสี่เลี้ยว ยังจามาเที่ยวขอทางเค้ากิง น่าอายชิกหายเลย" แกบ่นอุบ
"เอาละ ในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องเราก็อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย" พูดจบก็สะบัดแขนอย่างแรงจนหลุดจากการเกาะกุมแล้วกระโจนลงจากกุฏิวิ่งหายไปทางป่าช้าหลังวัด เมื่อหายตกตะลึงตาแป๊ะเตี๋ยววิ่งลงบันไดไล่ตามไป แสงจันทร์สลัวรางในคืนข้างแรมทำให้พอมองเห็นทางโดยไม่ต้องพึ่งไฟฉาย สุนัขในวัดพากันเห่าเสียงขรมและวิ่งกรูเข้ามา ความกลัวจะถูกสุนัขกัด ทำให้แกหันหลังกลับแล้ววิ่งอ้าวไปทางหน้าวัด ครั้นแน่ใจว่าสุนัขเหล่านั้นไม่ตามมาจึงเปลี่ยนเป็นเดินเร็ว ๆ แล้วค่อยช้าลง ๆ กระทั่งถึงบ้าน จิตใจของแกในยามนี้ช่างรันทดหดหู่เสียนัก น้ำตาไหลรินอาบแก้มโดยมิรู้ตัว
ความหวาดกลัวว่าบิดาจะติดตามมา ทำให้เณรตงวิ่งเตลิดไปอย่างไม่คิดชีวิต รู้สึกเจ็บระบมที่เท้าทั้งสองเพราะถูกหนามแหลมทิ่มแทง กระนั้นท่านก็มิยอมหยุดผ่านป่าช้าไปทะลุทุ่งกว้างหลังวัดแล้ววิ่งตัดทุ่งตรงไปศาลาท่าน้ำ นั่งหอบฮั่ก ๆ อยู่ที่นั่น อาศัยแสงสลัวจากพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวมองกลับไปยังทางที่วิ่งมาก็ไม่ปรากฏแม้เงาของผู้เป็นบิดาจึงค่อยเบาคลายหายหวาดกลัวลงได้บ้าง มองลงไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาที่นอนสงบนิ่งภายใต้แสงจันทร์เลือนสลัว คิดจะว่ายข้ามฟากไปยังวัดฝั่งโน้นก็เกรงจะหมดเรี่ยวแรงเสียก่อนที่จะถึงฝั่ง ครั้นจะกลับไปที่กุฏิก็เกรงว่าบิดาจะซุ่มรออยู่เพื่อเอาตัวกลับบ้าน เณรตงเริ่มว้าวุ่นใจกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ในที่สุดจึงใช้อุบายทำให้จิตสงบด้วยการเจริญกรรมฐาน ท่านเริ่มต้นเดินจงกรมตั้งแต่ระยะที่หนึ่งไปจนถึงระยะที่หกโดยปฏิโลม ไม่ยอมนั่งสมาธิด้วยต้องคอยระแวดระวังบิดา กลัวว่าขณะที่นั่งหลับตาอยู่ ฝ่ายนั้นอาจจู่โจมเข้ามาจับเอาตัวไปก็เป็นได้ เดินจงกรมอยู่ประมาณสองชั่วโมงจิตของท่านก็สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิเกิดปัญญาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ท่านรู้ว่าประมาณตีสองของทุกวันเป็นช่วงเวลาที่บิดาลงมือปฏิบัติภารกิจคือการฆ่าหมูเตรียมไปขายในตอนเช้า อย่างไรเสียบิดาจะต้องไม่รออยู่ที่กุฏิเพราะห่วงภารกิจที่บ้าน ท่านจะกลับไปที่กุฏิ รอจนฟ้าสางแล้วค่อยไปกราบลาท่านสมภารเพื่อขอไปอยู่วัดโบสถ์ทางฝั่งโน้น บิดาคงไม่ตามไปเซ้าซี้อีก เพราะยามค่ำคืนไม่มีเรือข้ามฟากประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งบิดาเป็นคนเกลียดพระเกลียดเณรถึงขนาดไม่ยอบพบปะพูดจาด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปตามท่านในตอนกลางวัน คิดได้ดังนี้ เณรตงจึงเดินกลับไปที่กุฏิ ปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนาแล้วจึงเก็บเครื่องบริขารต่าง ๆ มัดรวมกันไว้ เวลาที่เหลือท่านใช้ในการเจริญกรรมฐานโดยเดินจงกรมแล้วจึงนั่งสมาธิ ปฏิบัติอยู่อย่างนี้จนกระทั่งฟ้าสาง จากนั้นจึงเดินไปที่กุฏิท่านสมภาร เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง
"ผมคิดว่าจะขออนุญาตไปอยู่ วัดโบสถ์ ทางฝั่งโน้นครับ" เมื่อเล่าเสร็จ เณรตงจึงบอกความประสงค์
"วัดโบสถ์หรือ ได้สิ สมภารวัดนั้นใช่ใครที่ไหน ลูกศิษย์ข้าเอง" ท่านบอกง่าย ๆ ยังผลให้คนฟังใจชื้นขึ้นเป็นกอง
"ถ้าอย่างนั้นหลวงตากรุณาเขียนหนังสือให้ผมถือไปด้วยจะได้ไหมครับ"
"ไม่ต้อง ไม่ต้องถือหนังสือไป เดี๋ยวข้าไปส่งเอง"
"ไม่รบกวนหลวงตาเกินไปหรือครับ" พูดอย่างเกรงใจ
"รบกงรบกวนอะไรเล่า ข้าถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องดูแลเจ้าอยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่งข้ากับสมภารกรอด ก็ไม่ได้เจอกันเสียนาน จะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนกันเสียเลย"
"สมภารวัดโบสถ์ชื่อกรอดหรือครับ"
"งั้นสิ เป็นไงฟังดูแปลกหรือไง" "ครับ ผมไม่เคยได้ยินคนชื่อนี้มาก่อน"
"เขาว่าตอนเกิดใหม่ ๆ ไม่ได้ชื่อนี้ ตอนหลัง ๆ ชอบนอนกัดฟันกรอด ๆ ทุกคืน พ่อแม่ก็เลยพร้อมใจกันเรียกว่ากรอดมาตั้งแต่นั้น" ท่านสมภารเล่าถึงที่มาของชื่อลูกศิษย์แล้วก็เลยเล่าของท่านเองบ้างว่า "ส่วนข้าที่ชื่อ กร่าง เพราะโยมแม่คลอดที่ใต้ต้นกร่าง ไปทำไร่กับโยมพ่อแล้วเกิดปวดท้อง ยังไม่ทันกลับบ้านข้าก็คลอดออกมาเสียก่อน โยมแม่ว่าลูกทั้งท้องมีข้าคลอดง่ายที่สุด" เสียงที่พูดบอกความภูมิใจนิด ๆ
"หลวงตาจะไปวัดโบสถ์ตอนเช้าหรือตอนเพลครับ" เณรตงวกกลับมาถามเรื่องที่ยังพูดค้างอยู่
"ตอนเช้าสิ ฉันเช้าแล้วค่อยไป วันนี้เจ้าไม่ต้องตามข้าไปบิณฑบาตหรอกนะ รออยู่ที่นี่แหละ รับรองว่าเตี่ยเจ้าไม่มาที่กุฏิข้าแน่" สั่งเสร็จสมภารสูงอายุจึงมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเพื่อโปรดสัตว์ ระหว่างการรอคอย เณรตงมิได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ท่านจัดการกวาดถูทำความสะอาดกุฏิให้ท่านสมภาร จัดเก็บข้าวของเข้าที่ให้อย่างเรียบร้อย เนื่องจากเป็นคนจีนโดยกำเนิด อุปนิสัยที่ติดตัวมาจากชาติพันธุ์คือความขยันขันแข็ง ไม่เคยนิ่งดูดายไม่ว่าจะด้วยเรื่องอันใด ท่านขวนขวายทำกิจของตนและของผู้อื่นเท่าที่โอกาสจะอำนวย ท่านสมภารเคยพูดสัพยอกในความขยันขันแข็งของเณรตงว่า "เจ้าเณรรูปนี้ท่าจะไม่เคยหายใจทิ้งเลยกระมัง" ด้วยความขยันขันแข็งและชอบช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เณรตงเป็นที่รักใคร่ของพระเณรทั้งวัด จะมีผู้ใดเกลียดชังท่านแม้สักคนก็หาไม่
ฉันเช้าแล้วสมภารกร่างจึงพาเณรลูกศิษย์ออกทางหลังวัด เดินลัดเลาะไปตามคนนากลางทุ่งเพื่อตรงไปท่าน้ำ ต้นข้าวเขียวขจีกำลังตั้งท้องอ่อน ๆ รอวันที่จะผลิดอกออกรวงมาให้มนุษย์ได้เก็บเกี่ยวไว้เป็นอาหาร ภิกษุสูงอายุรู้สึกสงสารและเสียดายคนดี ๆ อย่างเณรตงที่จะต้องระเหระหนไปอยู่ที่อื่น มิใช่แต่วัดโบสถ์ที่กำลังจะไปนี่ดอก หากจะต้องเร่ร่อนต่อไปอีกเพราะดวงชะตาบ่งบอกไว้เช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรตาแป๊ะเตี๋ยวผู้เป็นพ่อก็ไม่สามารถจะทำให้ลูกชายสึกหาลาเพศได้ไม่ว่าจะโดยวิธีใด ข้างฝ่ายเณรตงผู้ซึ่งกำลังสาวเท้าตามภิกษุสูงอายุนั้นก็ให้รู้สึกสะท้านสะเทือนใจที่ต้องจำจากที่เคยอยู่อู่เคยนอน และผู้ที่เคยสอนสั่งชี้ทางสวรรค์นิพพานให้ ต่อแต่นี้จะมีผู้ใดมาอบรมสั่งสอนด้วยเมตตารักใคร่เช่นท่านสมภารผู้นี้อีก ความผูกพันที่มีต่อท่านสมภารนั้นนับวันก็จะยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น จู่ ๆ ก็ต้องมาพลัดพรากจากกันใครเลยจะไม่โศกศัลย์ห่วงหาอาวรณ์
"ไม่ต้องกังวลเรื่องที่อยู่ใหม่ สมภารกรอดจะดูแลเอาใจใส่เจ้าเหมือนอยู่กับข้าทุกอย่าง" ท่านสมภารพูดขึ้นเหมือนจะล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย
"หลวงตาไปเยี่ยมผมบ้างนะครับ" ไม่มีคำตอบจากผู้สูงอายุเพราะท่านรู้ดีว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ความหง่อมแห่งอินทรีย์ทำให้ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้คล่องแคล่วเช่นแต่ก่อน ครั้นจะให้เณรตงเป็นฝ่ายมาเยี่ยมก็เกรงความจะล่วงรู้ไปถึงตาแป๊ะเตี๋ยว ต่างเดินตามกันไปเงียบ ๆ กระทั่งถึงท่าน้ำ มีเรือแจวลำเล็กรอรับส่งผู้โดยสารข้ามฟากในอัตราคนละหนึ่งสตางค์ ท่านสมภารมาเณรลูกศิษย์นั่งเรือข้ามฟากไปฝั่งโน้นโดยคนแจวไม่ยอมรับค่าจ้าง ท่านจึงให้ศีลให้พรแล้วพาศิษย์เดินทางต่อไปยังวัดโบสถ์

วันเวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับติดปีกบิน เณรตงหลบเร้นบิดามาอยู่ที่วัดโบสถ์เป็นเวลาหลายปีกระทั่งอายุครบบวช วันหนึ่งสมภารกรอดได้มาที่วัดพุทธาราม และปรึกษากับสมภารกร่างเรื่องการอุปสมบทเป็นพระภิกษุให้เณรตง ภิกษุทั้งสองตกลงกันว่าจะไม่แจ้งให้ตาแป๊ะเตี๋ยวทราบ เพราะถึงอย่างไรแกจะต้องไม่ยินยอมและคงขัดขวางจนถึงที่สุด กำหนดวันเวลากันเรียบร้อย สมภารผู้เป็นศิษย์จึงกลับมาแจ้งให้เณรตงทราบ ตกค่ำเณรตงจึงขอแรงคนแจวเรือจ้างให้ช่วยมาส่งที่ฝั่งวัดพุทธาราม ให้เรือรออยู่แล้วท่านจึงแอบไปที่ฮวงซุ้ยของมารดา จุดธูปบอกกล่าวขออนุญาตอุปสมบท สามวันต่อมาท่านก็ได้เข้าพิธีอุปสมบทโดยสมภารวัดพุทธารามเป็นพระอุปัชฌาย์และสมภารวัดโบสถ์เป็นกรรมวาจาจารย์ บวชแล้วภิกษุตงคงเป็นคนเดิมที่ขยันหมั่นเพียรและอ่อนน้อมถ่อมตน ด้านการปฏิบัติธรรมก็ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เปี่ยมด้วยวิริยะอุตสาหะเป็นทีชื่นชอบของพระเณรในวัด ตลอดจนอุบาสกอุบาสิกาที่ได้ทราบข้อวัตรปฏิบัติของท่านต่างพากันอนุโมทนาสาธุการ
เวลาล่วงเลยไปอีกสามปี ภิกษุตงอายุย่างยี่สิบสาม เหตุการณ์ร้ายได้บังเกิดแก่ท่านอีกครั้ง กล่าวคือในตอนเย็นขณะที่ท่านกำลังกวาดลานวัดอยู่นั้น บิดาก็มาปรากฏตัวพร้อมชายฉกรรจ์ร่างกำยำสองคน ตาแป๊ะเตี๋ยวขู่ลูกชายทันทีที่พบหน้า
"อาตง ถ้าลื้อไม่ยอมสึก ลื้อต้องเจ็บตัวแหง ๆ" ภิกษุตงถึงกับตะลึงด้วยคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีก ครั้นได้สติจึงพูดขึ้นว่า
"โยมเตี่ยนี่หมายความว่าอย่างไรกัน" ตาแป๊ะเตี๋ยวไม่ตอบหากพยักหน้าให้ชายฉกรรจ์ทั้งสองเป็นการให้สัญญาณ ชายร่างกำยำจึงเดินเข้ามาขนาบข้างท่านไว้ข้างละคน เตรียมพร้อมที่จะทำตามคำสั่งของผู้ว่าจ้าง ภิกษุหนุ่มมิได้แสดงอาการหวดกลัวให้ปรากฏ ท่านหันไปสบตากับบุรุษนั้นทีละคนด้วยสายตาที่อ่อนโยนและเป็นมิตร คนทั้งสองก้มหน้าดูดิน ไม่กล้าสบตาท่าน กิริยาทะนงองอาจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นกริ่งเกรงระคนหวาดกลัว
"เอาเลย ลากคอมังกับบ้างเหลียวนี้" ผู้ว่าจ้างออกคำสั่ง สองบุรุษทำท่าละล้าละลัง ไม่กล้าเข้ายื้อยุดด้วยเกรงบารมีของผ้าเหลืองที่ห่อหุ้มกายของท่าน บิดาของภิกษุตงจึงกล่าวสำทับว่า
"ชักช้าอยู่ทำมาย เอาตัวมังไปเหลียวนี้ ถ้าลื้อไม่เอา อั๊วะไม่ให้ค่าจ้าง"
"ท่านสึกไปอยู่กับเตี่ยเถอะ" ชายที่อยู่ทางขวามือพูดขึ้น
"อย่าให้เราสองคนต้องทำบาปทำกรรมเลย" คนทางซ้ายเสริม
"เราไม่สึก เพราะตั้งใจแล้วว่าจะบวชตลอดชีวิต ถึงเจ้าสองคนจะเอาเราไปฆ่าเราก็จะขอยอมตาย" ภิกษุตงพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน ฟังคำพูดของท่านแล้วชายฉกรรจ์ทั้งสองก็หมดกำลังใจ ไม่นึกอยากได้ค่าจ้างแม้แต่น้อย ถ้าหากต้องแลกกับการฆ่าพระ หันไปพูดกันตาแป๊ะเตี๋ยวพร้อมกันราวกับนัดว่า
"เถ้าแก่ อั๊วะไม่เอาค่าจ้างแล้ว"
"โยมเตี่ยของเราจ้างเจ้ามาเท่าไหร่หรือ" ภิกษุตงถามชายที่ยืนขนาบอยู่ข้างซ้ายรีบตอบว่า
"คนละตำลึง ท่านสึกเถอะ ข้าอยากได้ค่าจ้าง ลูกชายข้าป่วย จะเอาเงินไปซื้อยาให้ลูก" บุรุษนั้นพูดน่าสงสาร
"งั้นก็ตามเรามาสิ เราจะไปหยิบเงินให้" พูดจบก็เดินนำชายทั้งสองไปที่กุฏิ เห็นผู้ที่ตนว่าจ้างมาเดินตามลูกชายต้อย ๆ ตาแป๊ะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
"อ้ายพวกจังไร มาหักหลังกูล่าย ขอให้พวกมึงชิกหายตายโหง" แก่ตะโกนไล่หลัง ชายฉกรรจ์ทั้งสองเอาหูทวนลมเสีย หากต่อกรด้วยก็เกรงใจพระลูกชายของแก ที่สำคัญคือกลัวไม่ได้ค่าจ้าง เงินที่กำลังจะได้นี้ไม่ต้องแลกกับการทำบาปกรรม ใครไม่รับก็เขลาเต็มที เมื่อได้เงินจากภิกษุตงแล้วคนทั้งสองก็บอกลาโดยไม่สนใจตาแป๊ะซึ่งโกรธจนตัวสั่น ลูกชายไม่ยอมสึกก็เสียใจพอแรงแล้ว ยังมาถูกคนต่ำต้อยหักหลังเสียอีก แกก่นด่าคนทั้งสามอย่างไม่ไว้หน้า คำด่าทั้งหลายถูกนำออกมาใช้ไม่มีหลงเหลือแม้แต่คำเดียว ภิกษุตงรู้สึกอับอายด้วยพระเณรในวัดตลอดจนชาวบ้านใกล้เคียงเริ่มทยอยกันมามุงดู ท่านอายที่มีบิดาปากจัดเช่นตาแป๊ะเตี๋ยว แต่ทั้ง ๆ อายก็อดที่จะสงสารผู้เป็นพ่อเสียมิได้ จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงวิงวอนว่า "โยมเตี่ย อาตมาขอบิณฑบาตเถอะ อย่าให้อาตมาสึกเลย"
"ไม่ล่าย ลื้อต้องสึกไปช่วยอ๊วะฆ่าหมูขาย ลู้ละป่าว เหลียวนี้อ๊วะสูงแลงมังไม่ไหวเลี้ยว อีดิ้งชิกหาย" แกหมายถึงหมูตอนจะถูกแทงคอซึ่งมันจะดิ้นจนสุดฤทธิ์
"โยมเตี่ยก็เลิกฆ่ามันเสียสิ อาชีพอื่นมีถมเถ หรือถ้าไม่อยากทำงาน มาอยู่กับอาตมาที่วัดก็ได้ อาตมาจะเลี้ยงดูโยมเตี่ยเอง" ตาแป๊ะเตี๋ยวมองลูกชายอย่างดูแคลน หากก็อารมณ์ดีขึ้นนิดหนึ่งเมื่อลูกชายบอกจะเลี้ยงดู กระนั้นก็พูดขึ้นว่า "น้ำหน้าอย่างลื้อน่ะเหลอจามาเลี้ยงเตี่ย ตัวลื้อเองก็ยังเที่ยวหาขอทางเขากิง ยังจามีหน้ามาพูกว่าจาเลี้ยงเตี่ย" เมื่อเห็นว่าไม่อาจเกลี้ยกล่อมบิดาได้ ภิกษุตงจึงบอกให้แกกลับ "โยมเตี่ยกลับบ้านเถอะ ค่ำแล้วเดี๋ยวจะไม่มีเรือข้ามฟาก"
"อั๊วะไม่กับ ถ้าลื้อไม่ยอมสึก อั๊วะก็จายืงหล่าอยู่อย่างนี้แหละ" แกยืนกราน อารมณ์ที่เย็นลงเล็กน้อยนั้นกลับคุกรุ่นขึ้นมาอีก
"โธ่! โยมเตี่ย อายคนอื่นเขาน่า เห็นไหมคนมามุงดูกันใหญ่แล้ว" แทนที่จะเชื่อ แกกลับด่ากราดทั้งพระเณรและชาวบ้าน
"เลื่องของพ่อลูก คงอื่งไม่เกี่ยวอย่ามาเสือกเลื่องชาวบ้าง ไป ไม่ให้หมก ไม่งั้งอั๊วะหล่ายกโคก" แกเริ่มพาล ภิกษุตงมิรู้จะทำประการใด ความอับอายทำให้ท่านเดินขึ้นกุฏิ ปิดประตูขังตัวเองอยู่ในนั้น ข้างฝ่ายบิดาก็ไม่ยอมแพ้ ตามไปนั่งด่าอยู่หน้าประตูโดยไม่ฟังคำทัดทานของพระรูปอื่นที่มาพูดห้ามปราม สมภารกรอดไม่ลงมายุ่งเกี่ยวด้วยรู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนความเห็นผิดของตาแป๊ะให้เป็นความเห็นชอบได้ ด่าจนลูกคอแห้ง ตาแป๊ะรู้สึกกระหายน้ำจึงเตรียมตัวกลับ ไม่นึกห่วงว่าคนแจวเรือจ้างจะรอ เพราะแกได้ว่าจ้างมาเป็นพิเศษก็ต้องใช้มันให้คุ้มค่า และเพื่อไม่ให้เสียเหลี่ยม แกตะโกนเข้าไปในห้องลูกชายว่า "พุ่งนี้อั๊วะจามาหล่าลื้ออีก มาหล่าทุกวันจงกว่าลื้อจาสึก" สั่งเสร็จจึงเดินอย่างเร่งรีบไปยังท่าน้ำที่คนแจวเรือกำลังรออยู่ มิใช่เพราะเกรงใจคนรอ หากเพราะอยากถึงบ้านโดยเร็วด้วยกระหายน้ำเป็นที่สุด
สามทุ่มคืนนั้น ท่านสมภารได้มาหาภิกษุตงและปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น สมภารกรอดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า "ไปอยู่บางกอกก็แล้วกัน รับรองคราวนี้เตี่ยของเจ้าตามไปไม่ได้แน่" ท่านพูดอย่างตัดสินใจดีแล้ว
"ผมไม่รู้จักใครที่นั่นเลยครับหลวงพ่อ แล้วอีกประการหนึ่งผมก็ไม่เคยไปบางกอก คงจะลำบากมากทีเดียว" ภิกษุตงแสดงความวิตก
"ลำบากเชียวละ ถ้าจะไปอย่างไร้จุดหมาย แต่ข้าจะไม่ให้เจ้าทำเช่นนั้นดอก ข้ามีคนรู้จักบวชอยู่ที่ วัดยานนาวา จะฝากเจ้าไปอยู่กับเขาที่นั่น" สมภารกรอดชี้แจง
"ถ้าอย่างนั้นผมก็ค่อยเบาใจ แต่ก็ยังวิตกเรื่องการเดินทาง เขาว่าบางกอกกว้างขวางนัก ผมกลัวจะไปไม่ถูก" ภิกษุหนุ่มยังกังวล
"เรื่องนั้นเย็นใจได้ พรุ่งนี้จะมีเรือโยงบรรทุกข้าวไปขายบางกอก เจ้าไปกับเรือโยงได้ สองผัวเมียที่คุมเรือรู้จักกับข้าดี จะให้ส่งเจ้าถึงวัดเลยแล้วข้าจะเขียนหนังสือให้ถือไปถึงพระรูปนั้น" ท่านสมภารจัดการให้เสร็จสรรพ
"ขอบพระคุณท่านมากครับ" ภิกษุหนุ่มกล่าวพร้อมกับก้มลงกราบอย่างซาบซึ้งในบุญคุณของท่าน
"ไปอยู่บางกอกก็เรียนบาลี เรียนปริยัติให้เชี่ยวชาญนะ หากมีโอกาสจะได้กลับมาสอนพระเณรทางบ้านเรา ส่วนด้านการปฏิบัติเจ้าก็ไปได้ไกลแล้ว มีเวลาก็ช่วยสอนให้พระเณรทางบางกอกบ้าง เพราะที่นั่นเขาหนักไปทางปริยัติ ที่จะปฏิบัติจริง ๆ จัง ๆ อย่างเจ้าหาได้ยาก" สมภารกรอดบอกกล่าว ท่านพึงพอใจในข้อวัตรปฏิบัติของภิกษุผู้นี้ยิ่งนัก
ภิกษุตงดีใจที่จะได้เรียนบาลีและปริยัติ คงจะทำให้มีความรู้ความเข้าใจในพระศาสนามากขึ้น ไม่มีอะไรน่าห่วงใยในส่วนที่เกี่ยวกับตัวท่าน จะห่วงก็แต่โยมบิดาเท่านั้น เพราะนับวันเรี่ยวแรงก็ลดน้อยถอยลง เนื่องจากความร่วงโรยแห่งสังขาร หากเจ็บไข้ได้ป่วยไปใครเล่าจะมาคอยดูแลรักษา ถ้าโยมมารดายังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะช่วยดูแลและเป็นเพื่อนคลายเหงาได้บ้าง แม้จะรักและห่วงใยในผู้บังเกิดเกล้าสักเพียงใด หากภิกษุหนุ่มก็รู้สึกอึดอัดขัดข้องในความเป็นมิจฉาทิฏฐิของฝ่ายนั้นจนมิอาจอยู่ร่วมบ้านเดียวกันได้ ภิกษุหนุ่มตั้งความหวังไว้ว่า สักวันหนึ่งบุญกุศลที่ท่านได้ก่อกอปรมาคงจะช่วยขจัดความมืดบอดในจิตใจของบิดาให้หมดไปได้
การไปบางกอกของภิกษุตงในครั้งนี้ถือเป็นความลับสุดยอด บุคคลที่จะรู้เรื่องนี้นอกจากสมภารกรอดแล้วก็มีสองผัวเมียที่คุมเรือโยงอีกสองคนเท่านั้น ท่านสมภารได้ไตร่ตรองดูอีกครั้งก็คิดว่าจะไม่ให้สองผัวเมียไปส่งภิกษุตงถึงที่วัดดังที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรก หากจะให้ส่งแค่สะพานพุทธ จากนั้นจึงให้ภิกษุหนุ่มหาทางไปวัดเอง ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าศิษย์ของท่านไปอยู่ที่วัดใด ตาแป๊ะเตี๋ยวก็จะหมดโอกาสตามไปรังควานลูก คิดดังนี้ท่านจึงพูดกับภิกษุตงว่า
"เรื่องที่จะให้เรือไปส่งเจ้าถึงวัดยานนาวานั้น ข้าเปลี่ยนใจแล้ว"
"ทำไมหรือครับ" ผู้เป็นศิษย์ถาม
"ข้าอยากให้เรื่องนี้เป็นความลับ"
"ผมก็คิดอย่างหลวงพ่อ กลัวโยมเตี่ยรู้จะตามไปอาละอาดอีก" ภิกษุหนุ่มเห็นพ้องด้วย
"ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้เขาส่งเจ้าที่สะพานพุทธ แล้วเจ้าหาทางไปวัดยานนาวาเองก็แล้วกัน คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงเจ้าหรอก เพราะวัดก็ตั้งอยู่ริมน้ำเจ้าพระยานั่นเอง"
"ถ้าอย่างนั้น ผมก็คงไม่หนักใจอะไร คงถามคนเขาได้ ต้องขอขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงที่ให้ความเมตตาต่อผมเป็นอันมาก" ภิกษุหนุ่มก้มลงกราบท่านสมภารอีกครั้งด้วยสำนึกในบุญคุณของท่าน
"ไม่ต้องห่วงโยมเตี่ยของเจ้าหรอก แล้วข้าจะส่งคนไปคอยสอดส่องดูแล ตาแป๊ะเตี๋ยวแกกระดูกเหล็ก คงไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก" ผู้อาวุโสกว่าพูดเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล
"เป็นพระคุณอย่างสูงครับ ที่ผมเป็นห่วงเพราะแกตัวคนเดียว ญาติพี่น้องก็ไม่มีเลยสักคน" ถึงตอนนี้เสียงของภิกษุหนุ่มสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้
"ข้าเข้าใจ บุคคลเช่นเจ้าสมกับเป็นผู้เจริญโดยแท้ ผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมเชื่อว่าเป็นผู้เจริญ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ไฟพิษทำอันตรายไม่ได้ ขอให้จำเร็ญ ๆ เถิด" ท่านอวยชัยให้พรแล้วหยุดเว้นระยะนิดหนึ่ง เพื่อสะกดกลั้นความรันทดหดหู่ที่เกิดขึ้นในจิตใจ จากนั้นจึงพูดกับภิกษุตงว่า
"นี่แน่ะอาตง" ท่านเรียกผู้เป็นศิษย์แบบเดียวกับที่ตาแป๊ะเตี๋ยวเรียก
"การจากกันของเราทั้งสองในครั้งนี้ คงจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก" น้ำเสียงนั้นเศร้าสร้อยจนคนฟังใจเสีย
"ทำไมหลวงพ่อพูดอย่างนั้นเล่าครับ อีกไม่นานผมก็กลับมา รอให้เรื่องสงบลงเสียก่อน ผมจะเพียรแผ่เมตตาให้โยมเตี่ยทุกวัน ไม่ช้าแก่ต้องใจอ่อน" ภิกษุหนุ่มพูดอย่างเชื่อมั่น
"มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซี ที่ข้าพูดว่าจะไม่ได้พบกันอีก หมายความว่าข้าจะไม่อยู่ให้เจ้าได้พบต่างหากล่ะ" สมภารกรอดอธิบาย
"หลวงพ่อจะไปไหนหรือครับ" ถามอย่างสงสัย
"กลับคืนสู่ธรรมชาติ ข้ามาจากที่ไหนก็จะกลับไปที่นั่น มันเป็นสัจธรรมของชีวิต"
"หมายความว่า..." ผู้อ่อนวัยกว่ามีอาการตระหนก
"ถูกแล้ว ข้าจะละสังขาร จำได้ไหมที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า...สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง...สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์...ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา...ตัวข้าจะละสังขารในอีกเจ็ดวันข้างหน้า" ภิกษุอาวุโสบอกกล่าว
"อีกเจ็ดวัน...อีกเจ็ดวันหลวงพ่อจะ...จะ..."
"มรณภาพ" ท่านสมภารต่อให้ ภิกษุหนุ่มยิ่งตระหนกมากขึ้น
"อย่าตกอกตกใจไปเลยอาตง เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดาโลก ไม่มีผู้ใดหลีกพ้น นี่คือสัจธรรมของชีวิต ของสังขารธรรมทั้งหลาย" สมภารกรอดพูดปลอบผู้เป็นศิษย์ แม้จะมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอว่ามิได้อยู่ในเพศฆราวาส หากภิกษุตงก็มิอาจกลั้นความโศกาดูรเอาไว้ได้ น้ำตาของท่านเอ่อล้นเต็มขอบตาทั้งสองข้าง
"อย่าร้องไห้อาตง อย่าร้องไห้" ท่านสมภารปรามทั้งที่ท่านเองก็ต้องกลั้นไว้อย่างยากเย็น อาศัยที่ปฏิบัติธรรมมาก่อน จึงสามารถหักห้ามความเศร้าโศกได้สุขุมคัมภีรภาพกว่าอีกฝ่าย
"ผมยังทำใจไม่ได้ครับ" ผู้อาวุโสน้อยกว่าสารภาพ
"อาตง ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมไม่เศร้าโศกเสียใจเมื่อความตายมาถึง อย่าให้เสียชื่อนักปฏิบัติเลยนะ" ท่านเตือนสติภิกษุหนุ่ม "ตั้งสติไว้ที่ลิ้นปี่แล้วกำหนดว่า เสียใจหนอ... เสียใจหนอ... จงพิจารณาตามหลักของเหตุผลว่ากำลังเสียใจเรื่องอะไร หาเหตุที่มาของมันแล้วดับเหตุนั้นเสีย เมื่อเหตุดับ ผลก็ดับ นี่เป็นวิธีดับทุกข์ตามแนวอริยสัจ เจ้าทำได้มิใช่หรือ"
"ครับ ผมจะทำเดี๋ยวนี้" แล้วภิกษุหนุ่มจึงนั่งขัดสมาธิหลับตาสำรวมจิต เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็ลืมตาแล้วรายงานท่านสมภารว่า "หลวงพ่อครับ ความเสียใจมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
"นั่นไง เห็นหรือยังล่ะ จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมตั้งมั่นได้เร็ว เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว เจ้าก็สามารถเรียกสัมปชัญญะกลับคืนมาได้ เห็นอานิสงส์ของการฝึกสติหรือยังล่ะ" สมภารกรอดพูดอย่างภูมิใจในผู้เป็นศิษย์
"เห็นแล้วครับ ผมเข้าใจแจ่มแจ้งเลยเทียวว่า สุขหรือทุกข์ ดีใจหรือเสียใจ ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ แล้วก็ปราศจากตัวตนที่เที่ยงแท้"
"ทีนี้เจ้าก็รู้เท่าทันธรรมชาติของชีวิตแล้วสินะ ดีแล้วข้าขออนุโมทนาด้วย"
"ผมขออโหสิกรรมต่อหลวงพ่อ กรรมใดที่ผมได้ล่วงเกินหลวงพ่อ ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ขอหลวงพ่อได้โปรดอโหสิกรรมนั้นให้ผมด้วย" ภิกษุตงก้มลงกราบที่เท้าของท่านสมภาร พร้อมกล่าวคำขอขมาลาโทษ
"เช่นเดียวกันอาตง หากข้าล่วงเกินเจ้า ก็ขอให้เจ้าอโหสิให้ข้าด้วย เราจะไม่มีเวรไม่มีภัยต่อกันและกันนะ อาตงนะ" เงียบกันไปครู่หนึ่ง ภิกษุหนุ่มก็กล่าวขึ้นว่า "หลวงพ่อครับ ผมขอเลื่อนเวลาไปบางกอกจะได้ไหมครับ ผมอยากจะอยู่ก่อนเพื่อจัดการเรื่อง..."
"ไม่ได้ ไม่ได้ เลื่อนไม่ได้เป็นอันขาด" ผู้สูงวัยกว่ารีบโบกมือห้ามทั้งที่อีกฝ่ายพูดยังไม่ทันจบ "เจ้าไปพรุ่งนี้ดีแล้ว เพราะนาน ๆ จึงจะมีเรือโยงล่องไปบางกอกสักที"
"ถ้าอย่างนั้น ผมก็เหมือนคนเนรคุณ หลวงพ่อเมตตาผมมาโดยตลอด แต่ผมไม่เคยตอบแทนบุญคุณ" น้ำเสียงที่พูดแสดงความน้อยใจ
"ทำไมจะไม่เคย การที่เจ้าปฏิบัติตนเป็นคนน่าเลื่อมใสอยู่จนทุกวันนี้ ก็ถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณข้าแล้ว อย่าไปคิดอะไรมาก แล้วก็ไม่ต้องห่วงซากศพของข้า มันก็เหมือนท่อนไม้และท่อนฟืนที่หาประโยชน์อะไรมิได้ ข้าทิ้งมันแล้ว ข้าก็ไม่สนใจว่าใครเขาจะทำอะไรกับมัน" ท่านสมภารพูดอย่างผู้ที่เข้าถึงธรรมโดยแท้
"แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังอยากอยู่ดูแลให้งานเรียบร้อยเสียก่อน โปรดให้โอกาสผมได้ทดแทนบุญคุณหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้ายเถิดครับ" เป็นครั้งแรกที่ผู้เป็นศิษย์แสดงอาการดื้อดึง
"อาตง ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี ความกตัญญูที่แนบเนื่องอยู่ในจิตใจ ทำให้เจ้าอยากอยู่ทำศพข้า และข้าก็จะไม่ขัดข้องเลยหากว่าพรุ่งนี้เตี่ยของเจ้าจะไม่มาอาละวาด เจ้าไปบางกอกพรุ่งนี้แหละดีแล้ว ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เชื่อข้าเถอะ" ภิกษุตงพิจารณาตามเหตุผลของท่านสมภารแล้วก็เห็นพ้องด้วย บิดาของท่านเป็นคนพูดจริงทำจริงมาแต่ไหนแต่ไร วันพรุ่งนี้หากท่านไม่ไปบางกอกในตอนเช้าเสียก่อน ตกเย็นก็ต้องพบกับเหตุการณ์เช่นวันนี้อีกเป็นแน่
"ถ้าเช่นนั้น ผมของฝากหลวงพ่อช่วยกราบเรียนหลวงตาแทนผมด้วย มันกะทันหันเสียจนผมตั้งตัวไม่ทัน"
"ข้าบอกแล้วไงว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นความลับ ข้าคิดว่าจะไม่เรียนให้ท่านทราบเพราะท่านแก่มากแล้ว เดี๋ยวจะคิดมากจนล้มเจ็บไปก็จะเป็นบาปกับข้าและเจ้าเปล่า ๆ" สมภารกรอดชี้แจง เมื่อพูดถึงสมภารกร่าง ภิกษุตงหน้าสลดลง ด้วยสมภารสูงอายุผู้นั้นเคยให้ความเมตตาเอ็นดูท่านมาตั้งแต่ก่อนบวชเณร ทั้งยังช่วยเหลือให้ได้มาอยู่ที่วัดโบสถ์แห่งนี้อีกด้วย
"อะไรก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องเตี่ยของเจ้า ข้าไม่อยากเห็นแกมาอาละวาดจ้วงจาบด่าพระสงฆ์องค์เจ้า การด่าพระบาปหนักยิ่งกว่าด่าคนธรรมดา เพราะพระท่านเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ฉะนั้นการไปของเจ้าจะช่วยให้แกไม่ต้องทำบาปมากขึ้น" แม้จะยอมจำนนต่อเหตุผลของท่านสมภาร กระนั้นภิกษุตงก็ยังรู้สึกห่วงหน้าพะวงหลัง ห่วงทั้งผู้บังเกิดเกล้าและผู้ให้แสงสว่างแก่ชีวิตอันได้แก่ท่านสมภารทั้งสอง แต่ด้วยจิตที่ฝึกดีแล้วนั้น ก็ทำให้ท่านตัดใจได้ในที่สุด
"เอาละ เจ้านอนได้แล้ว ข้าก็จะกลับไปนอนเช่นกัน พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปส่งเจ้าที่เรือ จะได้ฝากฝังเขาให้เรียบร้อย" สั่งเสร็จท่านสมภารจึงเดินกลับกุฏิของท่าน ภิกษุตงลุกตามไปส่งจนถึงหัวบันได เห็นท่านขึ้นกุฏิเรียบร้อยจึงเดินกลับกุฏิของตน
ภิกษุตงมาอยู่บางกอกเป็นเวลาถึงเจ็ดพรรษา ได้เรียนบาลีและปริยัติจนเชี่ยวชาญ ด้วยความรู้และความประพฤติอันหาข้อบกพร่องมิได้ ท่านจึงเป็นพระเถระที่ได้รับการยกย่องนับถือทั้งจากอุบาสกอุบาสิกา และจากเพื่อนบรรพชิตด้วยกัน
วันหนึ่งท่านได้ปรารภกับพระครูเชื้อ สมภารวัดยานนาวาว่า อยากจะกลับไปอยู่ที่วัดบ้านเกิด เพื่ออบรมสั่งสอนและเผยแพร่ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาแก่พระเณรในท้องถิ่นนั้น ท่านพระครูฟังแล้วพลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย จึงมิได้ขัดความประสงค์ของพระลูกวัด ออกพรรษาปีนั้นภิกษุตงจึงได้เดินทางกลับมาอยู่ที่วัดโบสถ์ ซึ่งสมภารคนใหม่ก็ให้การต้อนรับอย่างดี ด้วยคุ้นเคยกันมาก่อนที่ท่านจะไปอยู่บางกอก
วันรุ่งขึ้นภิกษุตง ได้นั่งเรือข้ามฟากไปวัดพุทธาราม เพื่อกราบเยี่ยมสมภารกร่าง ภาพที่เห็นเมื่อไปถึงทำให้ท่านถึงกับน้ำตาซึม ภิกษุชรานอนอาพาธอยู่บนเสื่อเก่า ๆ ผืนที่เคยใช้มานาน ร่างนั้นผอมซีดจนเห็นแต่หนังหุ้มกระดูก เรียกพระลูกวัดรูปหนึ่งมาสอบถามดูก็ได้ความว่า ท่านสมภารอาพาธมาร่วมปีด้วยโรคชรา ประกอบกับวัยกว่าเก้าสิบทำให้มดหมอไม่อาจเยียวยารักษาให้หายเป็นปกติได้ ภิกษุตงมองร่างนั้นด้วยใจรันทด เป็นเวลาเดียวกับที่ภิกษุอาพาธลืมตาขึ้นเหมือนจะรู้ว่ามีคนมา ภิกษุหนุ่มก้มลงกราบที่เท้าบอบบางของท่าน แล้วพูดขึ้นว่า "ทำไมเขาถึงปล่อยให้หลวงตานอนอยู่อย่างนี้โดยไม่มีใครมาคอยดูแลปรนนิบัติเล่าครับ"
"เจ้าหรอกหรือตง มาทันเวลาพอดี" เสียงแหบแห้งเอ่ยทักทาย
"ทำไมไม่มีใครมาดูแลหลวงตาเล่าครับ" ผู้มาเยือนถามซ้ำ
"ข้าบอกเขาเองว่าไม่ให้มายุ่งกะข้า นี่ข้ารอวันเจ้ากลับมานะตง" ตาฝ้าฟางจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าของภิกษุหนุ่ม รูปร่างใหญ่โตหน้าตาดูมีสง่าราศีนั้น ทำให้ท่านสบายใจขึ้น อาการเหนื่อยล้าดูเหมือนจะลดน้อยลงเมื่อได้พบบุคคลที่ท่านรอคอยมานาน
"หลวงตาป่วยมานานเท่าไหร่แล้วครับ"
"ก็กระเสาะกระแสะมาตั้งแต่รู้ว่าเจ้าไปอยู่บางกอกนั่นแหละ ทำไมถึงไม่บอกข้า" ถามเชิงตัดพ้อ
"เป็นความหวังดีของหลวงพ่อวัดโบสถ์ที่ไม่อยากให้หลวงตาไม่สบายใจ หลวงตารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ"
"ปีที่แล้วนี่เอง ไอ้เจ้าสมภารกรอดนี่มันร้ายกาจนัก ขนาดมันตายก็ไม่ยอมให้ข้ารู้ สั่งลูกศิษย์ลูกหาไว้ไม่ให้บอกข้า" ท่านพูดพาดพิงไปถึงศิษย์ผู้ล่วงลับ
"ท่านคงเกรงว่าจะทำความลำบากให้หลวงตากระมังครับ" ภิกษุตงกล่าวแก้และความจริงสมภารกรอดก็มีเจตนาเช่นว่านั้น
"แต่ข้าก็รู้จนได้" ภิกษุชราแย้ง
"ครับ แต่ก็ยังดีกว่าที่หลวงตารู้ในทันที อย่างน้อยก็ประวิงเวลามาได้ตั้งหกปี"
"เอาละ หยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว มีเรื่องสำคัญกว่านั้นที่จะบอกให้เจ้ารู้ ตั้งใจฟังให้ดีนะ เวลาของข้าเหลือน้อยเต็มทีแล้ว" หยุดหายใจแรง ๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า
"พรุ่งนี้เวลาตีสี่ข้าจะละสังขาร เรื่องศพของข้าไม่ต้องทำให้มันเอิกเกริก ที่สำคัญก็คือให้เจ้ารักษาการณ์แทนเจ้าอาวาสไปก่อน จนกว่าทางการเขาจะแต่งตั้งคนใหม่ขึ้นมา ใจข้าว่าเจ้าน่ะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ แต่ก็ต้องแล้วแต่ทางการเขาจะเห็นสมควร" ท่านพูดช้าหากชัดเจนทุกถ้อยคำ เพราะตั้งสติข่มทุกขเวทนาเอาไว้
"แล้วคนอื่น ๆ เขาจะยอมหรือครับ เพราะผมก็เหมือนเป็นคนใหม่ของที่นี่ อีกประการหนึ่งอายุพรรษาก็ยังน้อย เมื่อเทียบกับพระรูปอื่น" ภิกษุตงท้วงติง
"ข้อนั้นไม่ต้องห่วง ข้าคิดว่าคงไม่มีใครรังเกียจเจ้า จริงอยู่แม้พรรษาเจ้าจะน้อย แต่ข้อวัตรปฏิบัติของเจ้าก็เด่นกว่าคนอื่น ๆ ทั้งความรู้ด้านปริยัติเจ้าก็คงเล่าเรียนมาจากบางกอกใช่หรือไม่"
"ครับ ผมใช้เวลาเรียนเจ็ดปีเต็ม ๆ จนรู้สึกว่าออกจะย่อหย่อนในด้านปฏิบัติไปบ้าง กลับมาอยู่นี่เห็นจะต้องเร่งรัดทำความเพียรให้มากขึ้น"
"ดีแล้ว ข้าขออนุโมทนา เอาละเจ้าไปได้แล้ว ข้าขอนอนพักสักหน่อย อ้อ! อย่าลืมไปเยี่ยมเตี่ยเจ้าล่ะ" พูดจบภิกษุชราจึงหลับตาลง หายใจระรัวด้วยความอ่อนเพลีย ภิกษุหนุ่มคลี่ผ้าคลุมกายให้ท่านแล้วจึงลุกออกมา จากกุฏิของสมภารกร่างท่านเดินไปที่ฮวงซุ้ยของมารดาซึ่งอยู่หลังวัด ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าฮวงซุ้ยเป็นการคารวะ จากนั้นจึงเดินทางไปยังบ้านของบิดา
ตาแป๊ะเตี๋ยวถึงกับตะลึง เมื่อภาพของลูกชายในกาสาวพัสตร์มาปรากฏต่อหน้า แกขยี้ตาหลายครั้งด้วยคิดว่าฝันกลางวัน ครั้นลูกชายเอ่ยทักจึงรู้ว่าไม่ได้ฝัน
"เจริญพร โยมเตี่ยสบายดีหรือ" ตาแป๊ะแทบจะร้องไห้โฮด้วยความปีติ เจ็ดปีเต็ม ๆ ที่แกต้องอยู่อย่างอ้างว้างและว้าเหว่ คิดว่าชาตินี้คงจะไม่ได้พบลูกอีกแล้ว แกร้องไห้รำพันออกมาจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ "อาตงลื้อยังมีชีวิกอยู่เหลอ เตี่ยนึกว่าลื้อตายตามอาอี๊ไปเลี้ยว ลื้อใจลำกะเตี่ยเหลือเกิง ทิ้งเตี่ยไปล่าย เสียแลงที่เตี่ยลักลื้อแต่ลื้อไม่ล่ายลักเตี่ยเลย ไม่ลักเตี่ยเลย" ฟังคำรำพันของบิดา ภิกษุตงถึงกับนิ่งงัน หากมิได้อยู่ในเพศบรรพชิตก็คงจะเข้าไปกราบแทบเท้าของบิดาเพื่อขอลุแก่โทษ รู้ตัวเหมือนกันว่าออกจะโหดร้ายต่อผู้บังเกิดเกล้าไปสักหน่อยที่หลบลี้หนีหน้าไปนานถึงปานนั้น บิดาคงจะมีความทุกข์มากเพราะดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน เคราดำที่ยาวลงมาถึงราวนมเปลี่ยนมาเป็นสีเทา ร่างที่เคยแข็งแรงบึกบึนกลับดูร่วงโรย หลังงองุ้มเนื่องจากหาบของหนักทุกวี่วัน แทบไม่น่าเป็นไปได้ว่าเวลาเจ็ดปีได้เปลี่ยนแปลงสังขารของบิดาได้มากมายถึงปานนี้
"โยมเตี่ยสบายดีหรือ" ท่านถามอีกด้วยไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีไปกว่านี้
"เออ ซาบายลี ซาบายชิกหาย อาตงนะอาตง อั๊วะเสียใจที่มีลูกไม่ลักลีอย่างลื้อ นี่ถ้าอาอี๊ลื้อไม่ตายอั๊วะคงมีลูกลี ๆ ไว้ใช้มั่ง ลื้อมังลูกลียำ" หายตื่นเต้นแล้วตาแป๊ะก็เปิดฉากด่า ทั้งรักทั้งแค้นแน่นอกจนต้องระบายออกมาด้วยการด่า ด่าเสียให้หายแค้น
"โยมเตี่ย ด่าพระด่าเจ้าบาปกรรมนะ" ลูกชายเตือน
"บาปยังไงอั๊วะหล่าลูกอั๊วะ ลูกอั๊วะมังลียำชิกหาย ให้มังช่วยหากิงมังก็หนีไปบวก อั๊วะอูส่าห์ตั้งชื่อมังว่าตง ไม่นึกว่ามังจากายเป็นเฮงซวยไปล่ายไอ้ลูกเฮงซวย" ผู้เป็นพ่อด่าไม่ลดละ
"ถ้าอย่างนั้นอาตมากลับละนะ ขืนอยู่นานไปจะทำให้โยมเตี่ยบาปมากกว่านี้" ท่านลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับ คราวนี้ตาแป๊ะเสียงอ่อนลง พูดกับลูกว่า
"อาตงลื้อจาไม่ยอมสึกมาช่วยเตี่ยขายหมูจิง ๆ เหลอ"
"เรื่องนี้อาตมาพูดกับโยมเตี่ยมามากพอแล้ว เมื่อไหร่โยมเตี่ยจะยอมรับอะไร ๆ เสียทีนะ" ภิกษุตงพูดอย่างท้อแท้ แทบจะหมดกำลังใจในความดื้อรั้นของบิดา
"พูกลีก็เลี้ยว พูกล้ายก็เลี้ยวยังไม่ยอมสึก ไอ้ลูกชิกหาย ลีแต่หน้าล่านเที่ยวขอทางเค้ากิง ลื้อไม่คิกจาทำมาหากิงมั่งลึไง จาขอทางเค้ากิงตาหลอกชีวิกเหลอ" เมื่อไม่ได้ดังใจตะแป๊ะก็โวยวายลั่น
"อาตมาไม่โต้เถียงกับโยมเตี่ยดีกว่าเพราะถึงชนะก็เป็นชัยชนะที่ว่างเปล่า อาตมาขอบอกด้วยความหวังดีเป็นครั้งสุดท้ายว่า ที่อาตมาไม่สึกก็เพราะต้องการจะช่วยโยมเตี่ย" แล้วท่านก็หันหลังเดินกลับวัดพุทธาราม ตาแป๊ะทั้งด่าทั้งร้องไห้ฮือ ๆ เหมือนคนเสียสติ ภิกษุผู้เป็นบุตรรับรู้ด้วยความสังเวชใจยิ่งนัก
ตอนตีสี่ของวันรุ่งขึ้น ท่านสมภารก็มรณภาพดังที่ได้ลั่นวาจาไว้ ภิกษุตงอยู่ปรนนิบัติดูแลอาการของท่านตลอดคืน กระทั่งถึงเวลาที่ท่านจากไปอย่างสงบ หลังจากสวดพระอภิธรรมครบเจ็ดวันตามประเพณีนิยมแล้ว ก็มีพิธีบรรจุศพเพื่อรอการฌาปนกิจ ต่อเมื่อครบร้อยวันนับตั้งแต่วันที่ท่านมรณภาพ ภิกษุตงได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดงาน และท่านก็ตั้งใจทำอย่างดีที่สุดเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของท่านสมภารเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากการฌาปนกิจเสร็จสิ้นลงแล้ว บรรดาพระลูกวัดก็ได้นิมนต์ให้ท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพุทธารามในฐานะผู้รักษาการณ์แทนเจ้าอาวาส ดังที่ท่านสมภารได้สั่งไว้ก่อนมรณภาพ สมภารหนุ่มได้ปกครองพระลูกวัดด้วยความยุติธรรมและเปี่ยมด้วยเมตตาจนเป็นที่รักใคร่นับถือของพระเณรทั้งวัด ปีต่อมาท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ นับเป็นเจ้าอาวาสที่อายุน้อยที่สุดในสมัยนั้น
วันหนึ่งเป็นวันเข้าพรรษา นายอำเภอกับลูกสาวมาทำบุญที่วัด นายอำเภอผู้นี้ท่านเป็นคนใจบุญสุนทาน เพิ่งย้ายมาจากอำเภอทางภาคเหนือ ภรรยาของท่านเสียชีวิตตั้งแต่ลูกสาวอายุได้ ๓ ขวบ ความรักที่ท่านมีต่อภรรยาประกอบกับความห่วงใยในบุตรสาวคนเดียว ทำให้ท่านไม่มีภรรยาใหม่ สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูบุตรน้อยแต่เพียงผู้เดียว กระทั่งลูกโตเป็นสาว สายทองลูกสาวนายอำเภอนั้นมีเค้าสวยมาแต่เด็ก ครั้นย่างเข้าสู่วัยที่กำลังสดชื่นเปล่งปลั่ง ความสวยงามของหล่อนก็เบ่งบานเต็มที่ เสียงกล่าวขานเรื่องความงามของหล่อนขจรขจายไปทั่วทิศ ผู้ที่ได้พานพบต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าหล่อนช่างงามสมคำร่ำลือ
สมภารหนุ่มถึงกับตะลึงงันเมื่อนายอำเภอพาลูกสาวเข้าไปประเคนภัตตาหาร กามเทพได้แผลงศรรักมาปักกลางใจของท่านเข้าแล้ว ท่านงกเงิ่นจนทำอะไรไม่ถูก มือที่ถือผ้ารับประเคนสั่นไหวด้วยความประหม่า ข้างฝ่ายสาวงามนามสายทองนั้นเล่าก็เกิดอาการประหม่าไม่แพ้กัน ด้วยสายตาคมกริบของสมภารหนุ่มที่จ้องมองมายังหล่อนนั้นก่อให้เกิดความรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ สลับกัน เคยถูกเมียงมองด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อนนับครั้งไม่ถ้วน หากก็ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นเทพอุ้มสม หญิงสาวพยายามสลัดความคิดแปลกประหลาดนี้ออกไปด้วยเกรงจะเป็นบาปเป็นกรรมที่คิดอกุศลกับพระกับเจ้า
กิริยาของสมภารหนุ่มกับสีกาสาวมิได้รอดพ้นสายตาของนายอำเภอไปได้ อาศัยที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน ท่านจึงเข้าใจความรู้สึกของคนทั้งคู่ได้ดี นึกพึงใจในสมภารหนุ่มและคงจะไม่รังเกียจหากฝ่ายนั้นจะสึกหาลาเพศมาสมัครเป็นเขย ท่านคิดอย่างคนใจบุญใจกุศลว่า หากบุตรสาวได้แต่งงานกับคนที่เคยบวชเรียนมาแล้ว ชีวิตก็คงจะราบรื่นอยู่เย็นเป็นสุขไปจนตลอดอายุขัย
"ลูกสาวของผมเองครับ ชื่อสายทอง" ท่านแนะนำเมื่อสมภารหนุ่มมองบุตรสาวแทบไม่วางตา "เจริญพร แล้วคุณนายไม่มาด้วยหรือ" ถามแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง
"ภรรยาผมเสียชีวิตตั้งแต่ลูกสายทองยังเล็ก ๆ และผมก็ไม่ได้แต่งงานอีกครับ" นายอำเภออธิบาย สีหน้าสลดลงเมื่อเอ่ยถึงภรรยาผู้ล่วงลับ
"อย่างนั้นหรอกหรือ อาตมาขอแสดงความเสียใจด้วย ตัวอาตมาเองก็เป็นลูกกำพร้า โยมมารดาเสียชีวิตตั้งแต่อาตมาอายุได้สิบขวบ" ท่านเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อปลอบใจหญิงสาวว่ามิใช่แต่หล่อนดอกที่กำพร้ามารดา หากยังมีท่านอีกผู้หนึ่งที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน คุยกันได้ไม่กี่ประโยคก็ได้เวลาฉันภัตตาหารซึ่งแม้ว่ามีอาหารคาวหวานมากมายเพราะเป็นวันเข้าพรรษา หากสมภารหนุ่มกลับฉันไม่ใคร่ลง ดูมันขัดเขินขวยอายอย่างไรพิกล ท่านรอจนพระรูปอื่นฉันเสร็จแล้วจึงยถาสัพพีพร้อมกัน รับพรจากพระแล้วนายอำเภอและลูกสาวก็กราบลาท่านสมภารเพื่อกลับบ้าน เมื่อสองพ่อลูกลุกออกไป สมภารหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจของท่านมิได้อยู่กับตัวอีกต่อไป หากมันได้หลุดลอยตามสตรีที่ชื่อสายทองไปเสียแล้ว
ตกกลางคืนภิกษุตงมิเป็นอันได้ทำอะไร ด้วยจิตใจมัวพะวักพะวนถึงแต่สาวงามนามสายทองผู้นั้น เพื่อขจัดอกุศลธรรมที่ขึ้นในจิตใจ ท่านจึงเริ่มเดินจงกรมและนั่งสมาธิ แต่ไม่ว่าจะใช้ความพยายามในการเดินหรือนั่งอย่างไร ก็มิอาจทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เลย ทั้งนี้เพราะกามฉันทนิวรณ์ได้คุกคามท่านอย่างหนัก จนท่านมิอาจประคองจิตให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรมได้ ใบหน้างามผุดผ่องของสีกาผู้นั้นลอยมาวนเวียนอยู่ในห้องสำนึก ทั้งท่านก็พึงพอใจที่จะเพ่งพิศจนมิอาจข่มหรือระงับได้ ในที่สุดท่านจึงตัดสินใจที่จะลาสิกขา โยมบิดาคงดีใจไม่น้อยหากได้รับรู้การตัดสินใจของท่านในครั้งนี้
นับเป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลที่ยังติดข้องอยู่โลกียวิสัย ที่มิอาจละกามคุณห้าคือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสได้ แม้พระอริยบุคคลระดับต้น เช่นพระโสดาบันและพระสกิทาคามี ก็ยังละกามคุณห้าไม่ได้ ก็แล้วประสาอะไรกับพระหนุ่มอย่างท่าน ซึ่งแม้จะปฏิบัติได้ก้าวไกล หากก็ยังไม่ถึงขั้นเป็นพระอริยบุคคล ด้วยมิใช่เรื่องที่จะทำให้ได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตามท่านได้ตั้งปณิธานไว้แน่วแน่ว่า แม้จะหันไปถือเพศฆราวาส แต่ก็จะยังคงปฏิบัติธรรมแต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และหากบุญบารมีที่สะสมไว้มีมากพอก็คงจะมีโอกาสได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับต้นในปัจจุบันชาตินี้ ท่านจะตั้งตนอยู่ในศีลในธรรม จะทำชีวิตให้สมบูรณ์แบบที่สุดสมกับคำกล่าวที่ว่า "ทางโลกก็ไม่ให้ช้ำ ทางธรรมก็ไม่ให้เสื่อม" ตัดสินใจดังนี้แล้วจึงหยิบกระดาษดินสอขึ้นมาเขียนหนังสือ พรุ่งนี้เช้าจะให้ลูกศิษย์ถือไปให้สาวสายทอง
เช้าวันรุ่งขึ้น นางสาวสายทองก็ได้รับสารรักจากสมภารหนุ่ม เด็กที่ถือมาได้บอกหล่อนว่าท่านสมภารให้รอรับหนังสือตอบกลับไปด้วย เพราะท่านอยากรู้คำตอบในวันนี้ หญิงสาวเปิดออกอ่านด้วยความฉงน เดาเรื่องไม่ออกว่าท่านสมภารจะมีธุระปะปังอะไรกับตน
"เจริญพรสีกา... คงมิเป็นการสมควรเท่าใดนักที่อาตมภาพซึ่งเป็นบรรพชิตจะเขียนหนังสือฉบับนี้ถึงสีกา อาตมภาพได้ใคร่ครวญไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว จึงได้ตัดสินใจเขียนมาตามความเรียกร้องของหัวใจ ออกพรรษานี้อาตมภาพจะลาสิกขาและจะจัดผู้ใหญ่มาสู่ขอสีกาต่อท่านนายอำเภอ สีกามีความเห็นเป็นประการใด โปรดแจ้งให้อาตมภาพได้รับรู้ด้วย และหากสีกาไม่มีไมตรีตอบ อาตมภาพก็จะขอบวชอยู่อย่างนี้ไปจนตลอดชีวิต ท้ายที่สุดนี้ อาตมภาพขออวยพรให้สีกาและท่านนายอำเภอจงมีความสุขความเจริญตลอดกาลนานเทอญ ขอเจริญพร... จาก ภิกษุตง ปิยสีโล" ลายมือของท่านสมภารสวยงามและเป็นระเบียบทั้งข้อความที่เขียนมาก็ทำให้เลือดในกายของหล่อนฉีดแรงด้วยความปีติ หญิงสาวจึงมิรังเกียจที่จะอ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่ถึงสามเที่ยว กระทั่งศิษย์วัดผู้นำข่าวดีมาให้ต้องเตือนขึ้นว่า "ท่านสมภารสั่งผมให้รอเอาหนังสือตอบไปด้วยครับ"
"ถ้าอย่างนั้นหนูรอเดี๋ยวนะจ๊ะ น้าจะต้องเข้าไปเขียนก่อน" พูดจบก็หายเข้าไปข้างใน ประเดี๋ยวหนึ่งก็ออกมาพร้อมขนมแป้งสิบหนึ่งจานกับน้ำฝนใสสะอาดหนึ่งขัน
"หนูทานขนมไปพลางก่อนนะ" แล้วหล่อนก็กลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง ปล่อยให้เด็กชายได้มีโอกาสจัดการกับขนมรสโอชานั้นอย่างเพลิดเพลิน
ทันทีทีศิษย์วัดนำซองสีฟ้ามาให้ สมภารตงรีบฉีกออกอ่านอย่างรีบร้อน ปกติท่านเป็นคนใจเย็น แต่รักแรกพบเปลี่ยนท่านให้กลายเป็นคนใจร้อนไปเสียได้
"นมัสการท่านพระคุณเจ้าที่เคารพอย่างสูง ดิฉันได้อ่านหนังสือของพระคุณเจ้าแล้วก็ให้กระอักกระอ่วนใจมิรู้ที่จะตอบอย่างไรจึงจะเป็นการสมควร ดิฉันมิประสงค์จะให้คนเขาติฉินนินทาว่าเป็นสีกามาสึกพระ กลับบาปกลัวกรรมเจ้าค่ะ สำหรับเรื่องนั้นอยากให้พระคุณเจ้ามาพูดกับคุณพ่อหลังจากสึกออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดิฉันมิอาจจะตัดสินใจโดยพลการ จึงขอให้เป็นเรื่องของบิดาที่จะพิจารณาว่าสมควรหรือไม่อย่างไร หากพระคุณเจ้ากับดิฉันเคยอุปถัมภ์ค้ำชู้กันมาแต่ชาติปางก่อนก็คงจะเป็นไปตามประสงค์ของพระคุณเจ้า ขอจบเพียงนี้นะเจ้าคะ... นมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง จาก นางสาวสายทอง ฤทธิ..." อ่านจบสมภารหนุ่มให้ปีตินักด้วยถ้อยความในหนังสือนั้นบ่งบอกเป็นความนัยว่าสาวสายทองมิได้รังเกียจท่าน บิดาหล่อนคงไม่ขัดข้องหากท่านไปสู่ขอ เพราะถึงฝ่ายนั้นจะเรียกค่าสินสอดสักร้อยชั่งพันชั่งท่านก็ไม่เดือดร้อน ด้วยรู้ว่าโยมบิดามีเงินเป็นปี๊บ ๆ แอบฝังไว้ใต้ดิน กล่าวกันว่า คนที่กำลังมีความรักมักตาบอด ภิกษุตงก็เป็นเช่นนั้น แต่ก่อนแต่ไรท่านไม่เคยยินดียินร้ายกับทรัพย์สินเงินทองที่บิดามีอยู่ ด้วยรังเกียจว่ามันสกปรก เพราะได้มาจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอันถือเป็นมิจฉาอาชีวะ แต่บัดนี้.. ยามมีความรัก ท่านกลับมองเป็นคุณค่าอันมหาศาลของมัน ปรารถนาที่จะใช้มันเป็นสะพานทอดไปสู่ความสุขสมหวังในรัก ลืมเสียสิ้นว่าครั้งหนึ่งท่านเคยรังเกียจเดียดฉันท์มันเสียนัก ความปรารถนาในกามคุณ ๕ ได้เข้าครอบงำดวงจิตของท่านเสียแล้ว...
อารามดีใจสมภารหนุ่มจึงเดินไปยังบ้านของบิดาเพื่อแจ้งข่าวดี ผู้บังเกิดเกล้าจะได้สมหวังในตัวท่านเสียที เพราะอยากให้สึกมานานแล้ว แต่สำหรับเรื่องฆ่าหมูขายท่านยอมรับไม่ได้ เรื่องนี้ค่อยพูดกับบิดาในภายหลัง
"เจริญพรโยมเตี่ย อาตมามีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบ" ท่านบอกบิดาทันทีที่ไปถึง
"ข่าวลีห่าเหวอาลายอั๊วะไม่อยากฟังทั้งนั้ง ลื้อมังลูกเฮงซวย พาอั๊วะชิกหายหมก" ตาแป๊ะเตี๋ยวกำลังอารมณ์เสีย เพราะสินค้าเหลือเบะบานกลับมาบ้าน เป็นอย่างนี้ติด ๆ กันมาห้าวันเข้านี่แล้ว
"ข่าวดีจริง ๆ นะ โยมเตี่ยฟังอาตมาก่อนซี อาตมาจะสึกมาอยู่กับโยมเตี่ยแล้ว" พระลูกชายไม่รู้สึกหงุดหงิดกับคำด่าทอนั้น อยากจะคิดว่าเป็นเสียงจากสวรรค์เสียด้วยซ้ำไป ยามมีความรักอะไร ๆ ก็ดูดีไปหมด
"หา..ลื้อว่าอาลายนะ" ตาแป๊ะเตี๋ยวถามเสียงดังด้วยคิดว่าหูแกเฝื่อนไป
"อาตมาจะสึกมาช่วยโยมเตี่ยประกอบอาชีพ" สมภารตงย้ำ หากไม่บอกว่าอาชีพที่ว่านั้นจะต้องไม่ใช่การฆ่าหมูขาย
"เกิกบ้าอาลายขึ้งมาล่ะ หลือว่าขอทางเค้ากิงมังฝืดเคือง" ทั้งที่ดีใจแต่ยังไม่วายพูดถากถาง
"โยมเตี่ยพูดยังกับไม่อยากให้อาตมาสึก" คราวนี้ลูกชายแสร้างตัดพ้อ
"ทำมายลื้อจาสึกล่ะ" ผู้เป็นพ่อถามอย่างเป็นงานเป็นการ
"อาตมาจะแต่งงาน โยมเตี่ยต้องไปขอเขาให้อาตมาด้วยนะ" ดวงตาเป็นประกายวาววับเมื่อพูดเรื่องแต่งงาน
"ขอคาย อีเป็งลูกเต้าเหล่าคาย" ถามอย่างยินดี ลูกชายจะแต่งงานนั้นหมายความว่าไม่ช้าแกจะได้อุ้มหลาน คิดว่าชาตินี้ทั้งชาติจะไม่มีโอกาสเป็น "อากง" เสียแล้ว
"ลูกสาวนายอำเภอ สวยอย่าบอกใครจริง ๆ นะโยมเตี่ย" บอกย่างภาคภูมิ
"แล้วลื้อมาบอกอั๊วะทำมาย" บิดาเริ่มมีอารมณ์ขัน โลกไม่ได้โหดร้ายต่อแก่อย่างที่คิด
"ก็บอกโยมเตี่ยคนเดียวแหละ โยมเตี่ยอย่าไปบอกใครอีกก็แล้วกัน" ลูกชายต่อปากต่อคำ นานหนักหนาแล้วที่อารมณ์ขันหายไปจากชีวิตของผู้บังเกิดเกล้า เห็นบิดามีความสุขท่านก็พลอยยินดีด้วย
"แล้วอีจายอมแต่งงานกะลื้อเหลอ อีเป็งตั้งลูกเจ้าเมือง" ตาแป๊ะชักเป็นห่วงลูกชาย
"แหม.. โยมเตี่ยอย่างเพิ่งเลื่อนตำแหน่งให้เขาซี เขาเป็นลูกนายอำเภอยังไม่ถึงเจ้าเมือง" ลูกชายรีบชี้แจง
"ไอ๊หยา.. ทีนี้อั๊วะก็เลิกขายหมูล่ายเลี้ยวซี มีลูกตาใภ้เป็งตั้งลูกนายอังเภอ" ตาแป๊ะอุทานอย่างยินดี แกถือโอกาสละทิฐิ ความจริงก็คิดจะเลิกขายมานานแล้ว เพราะหมู่นี้ขายไม่ดีเอาเสียเลย แกมิรู้ดอกว่านั่นเป็นด้วยอำนาจบุญกุศลที่ลูกชายแผ่เมตตาให้ทุกวัน สมภารตกได้ยินเช่นนั้นก็ปีติเป็นทวีคูณ สิ่งที่ท่านตั้งความหวังเอาไว้ตั้งแต่ครั้งเป็นสามเณรได้บรรลุจุดมุ่งหมายแล้วในวันนี้

ก่อนออกพรรษาเพียงสามวัน ตาแป๊ะเตี๋ยวก็ถูกฆ่าตายอย่างอเนจอนาถ สันนิษฐานว่าพวกโจรคงรู้ระแคะระคายเรื่องที่แกซ่อนเงินไว้ใต้ดิน จึงพากันมาปล้น คืนนั้นตอนตีสองตาแป๊ะตื่นขึ้นปฏิบัติภารกิจดังเช่นเคย ขณะที่แกใช้มีดเล่มยาวแทงคอหมู พวกโจรก็จู่โจมเข้าถึงตัวและบังคับให้แกบอกที่ซ่อนเงิน นอกจากไม่ยอมบอกแล้วตาแป๊ะยังพยายามต่อสู้โดยใช้มีดปลายแหลมแทงโจรคนหนึ่งถึงแก่ความตาย หัวหน้าโจรโกรธจัดสั่งให้ลูกน้องช่วยกันจับแกไว้ ใช้มีดเล่มเดียวกันนั้นแทงคอหอยแกจนทะลุ
ก่อนสิ้นใจตาแป๊ะส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด แวบหนึ่งแกนึกถึงบรรดาหมูที่แกเคยฆ่าและดูเหมือนพวกมันพากันมาส่งเสียงเยาะเย้ยอยู่รอบ ๆ ตัวแก ภาพและเสียงเหล่านั้นเพิ่มความเจ็บปวดให้แกเป็นทวีคูณ แกดิ้นทุรนทุรายอยู่พักใหญ่ ๆ จึงสิ้นใจ
เสียงร้องของตาแป๊ะปลุกชาวบ้านแถบนั้นให้ตื่นและพากันมายังบ้านของแกโดยถือคบไต้เป็นไฟส่องทาง พวกโจรพากันหนีไปก่อนที่ชาวบ้านจะมาถึง เมื่อเห็นว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับตาแป๊ะ ใครคนหนึ่งจึงออกความเห็นให้ไปตามสมภารตง อึดใจใหญ่ ๆ สมภารหนุ่มก็มาถึง สภาพศพของบิดาทำให้ท่านต้องหลั่งน้ำตามากกว่าครั้งใด ๆ ในชีวิต ไม่มีแก่ใจที่จะตั้งสติกำหนดรู้ถึงความเสียใจดังที่สมภารกรอดเคยสอนเอาไว้ รู้ในทันทีว่ากรรมได้ตามสนองบิดาตั้งแต่ในชาตินี้ ท่านหมดโอกาสที่จะเลี้ยงดูผู้บังเกิดเกล้าให้เป็นสุขดังที่ได้ตั้งใจเอาไว้ ด้วยมาเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้นเสียก่อน
งานศพของตาแป๊ะถูกจัดขึ้นอย่างดีที่สุดเท่าที่สมภารหนุ่มจะทำให้ผู้บังเกิดเกล้าได้ ท่านคิดว่าจะได้เป็นการทดแทนบุญคุณบิดาเป็นครั้งสุดท้าย
การสวดพระอภิธรรมศพในคืนแรกผ่านไปด้วยดี ตะเกียงเจ้าพายุหลายดวงถูกจุดขึ้นจนสว่างไสวไปทั่วทั้งวัด ชาวบ้านมาร่วมฟังสวดกันคับคั่งด้วยความเคารพนับถือสมภารตง นายอำเภอกับลูกสาวก็มาร่วมงานด้วย
หลังสวดศพคืนนั้น สมภารหนุ่มใช้เวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนานกว่าทุกวัน ท่านแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้บิดาซึ่งท่านเชื่อว่าจะต้องไปเกิดในทุคติอย่างแน่นอนตามกรรมที่ได้ทำเอาไว้
ตกคืนที่สอง ขณะที่พระสี่รูปกำลังเริ่มจะสวดโดยมีสมภารตงและพระรูปอื่น ๆ นั่งฟังอยู่แถวหน้า ถัดไปเป็นนายอำเภอกับลูกสาวและพวกชาวบ้าน เสียงกุกกักดังมาจากโลงศพ เป็นเหตุให้พวกคนขวัญอ่อนมองหน้ากันเลิกลั่ก เพราะคิดว่าผีตาแป๊ะเตี๋ยวคงสำแดงฤทธิ์ ด้วยเชื่อกันว่าผีตายโหงนั้นดุอย่าบอกใคร
เสียงกุกกักดังขึ้นอีก คราวนี้ชัดเจนกว่าครั้งแรก หลายคนลุกยืนขึ้น เตรียมพร้อมที่จะวิ่งหากมีอะไรเกิดขึ้น
"ลองปีนขึ้นไปดูซิ เผื่อหนูหรือแมวมันตกลงไปในนั้นแล้วขึ้นไม่ได้" สมภารหนุ่มสั่งพระลูกวัดรูปที่นั่งติดกับท่าน พระรูปนั้นทำท่าลังเลเพราะเป็นคนกลัวผี จึงกระซิบรูปที่นั่งถัดจากตนให้ทำแทน พระหนุ่มอีกรูปหนึ่ง จึงปีนขึ้นไปยังที่ตั้งโลงศพ ยกฝาโลงออกแล้วมองลงไป
ภายใต้แสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุ ทำให้ท่านมองเห็นว่าผู้ตายกำลังใช้ข้อศอกกระทุ้งฝาโลงด้วยความลำบาก เพราะมือทั้งสองยังอยู่ในท่าประนมไว้หว่างอก มีผ้าตราสังข์และด้ายสายสิญจน์มัดไว้อย่างแน่นหนา ลองจับชีพจรดูเห็นยังเต้นอยู่ ทั้งตัวก็ยังอุ่น ๆ จึงแกะเทียนสีเหลืองที่ทำเป็นเบ้าปิดลูกตาทั้งสองข้างออก เห็นตาแป๊ะลืมตาโพลงทำหากขมุบขมิบ จึงตะโกนลงไปว่า "คนตายฟื้นแล้ว คนตายฟื้นแล้ว" สมภารตงรีบลุกจากอาสนะปีนขึ้นไปดูบ้าง ครั้นเห็นจริงตามที่พระรูปนั้นบอก จึงสั่งให้คนมาช่วยกันยกโลงลงมาข้างล่าง แล้วจึงช่วยกันหามตาแป๊ะออกมาวางบนเสื่อ แก้มัดผ้าตราสังข์และด้ายสายสิญจน์ออกจากมือ ตาแป๊ะมีท่าทางอิดโรยและหวาดกลัว กลอกตามองหน้าคนโน้นทีคนนี้ที แล้วมาหยุดนิ่งอยู่ที่ดวงหน้าของพระลูกชาย พยายามจะพูดอะไรด้วย ทว่าไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากซีดเซียวคู่นั้น
"ใครช่วยไปตามหมอมาหน่อยเร็วเข้า" นายอำเภอออกคำสั่งเมื่อเห็นท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงของตาแป๊ะ นางสาวสายทองนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างบิดา มิได้แสดงอาการหวาดกลัวเช่นคนอื่น ๆ โชคดีที่แพทย์ประจำตำบลก็มาร่วมฟังสวดด้วย เขาขอตัวกลับไปเอาล่วมยาที่บ้านซึ่งอยู่หน้าวัด อึดใจหนึ่งก็มาถึง ตรวจหัวใจตะแป๊ะด้วยเครื่องหูฟังแล้วพูดขึ้นว่า "หัวใจเต้นอ่อนมาก เดี๋ยวผมจะฉีดยาบำรุงหัวใจให้หนึ่งเข็ม อาการคงจะดีขึ้น" แล้วเขาก็จัดการฉีดยาให้ตาแป๊ะอย่างชำนิชำนาญ นางสาวสายทองลุกขึ้นเดินไปที่โรงครัวซึ่งอยูทางปีกซ้ายของศาลา สักครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามาพร้อมข้าวต้มร้อน ๆ บรรจุอยู่ในชามใบเขื่อง หล่อนใช้ช้อนคนข้าวต้มในชามให้เย็นลง แล้วจึงป้อนใส่ปากตาแป๊ะ ซึ่งฝ่ายนั้นก็กินอย่างหิวโหย
เมื่ออิ่มหมีพีมันดีแล้ว ตาแป๊ะเตี๋ยวจึงบอกให้คนช่วยพยุงนั่ง มองหน้าพระลูกชายแล้วพูดว่า "ท่านตง ท่านต้องช่วยเตี่ยนะ" สมภารตงรู้สึกแปลกใจที่บิดาเรียกตนว่า "ท่านตง" แทนที่จะเป็น "อาตง" อย่างแต่ก่อน รีบตอบบิดาว่า "ช่วยสิ อาตมาจะช่วยโยมเตี่ยทุกอย่างให้บอกมาเถอะ"
"ถ้าท่างตงจาช่วยเตี่ยจิงจาต้องไม่สึกนะ ต้องบวกอยู่อย่างนี้จงตาหลอกชีวิก ลับปากกับเตี่ยซี่ว่าท่างจาไม่สึก" แกขอคำมั่นสัญญา
"บวชตลอดชีวิต... นี่อาตมาไม่ได้ฟังผิดไปนะ โยมเตี่ยจะให้อาตมาบวชตลอดชีวิตจริงหรือ" ท่านถามอย่างไม่แน่ใจ
"ถูกเลี้ยวท่านตง ถ้าเห็งแก่เตี่ยท่างต้องบวกตาหลอกชีวิก" ถ้อยคำของบิดาทำให้สมภารตงรู้สึกสับสน ท่านคิดในใจว่า เอ.. โยมเตี่ยนี่เป็นยังไงนะ ตอนเราขอบวชก็ไม่ยอมให้บวช ครั้นเราจะสึกกลับมาขอร้องไม่ให้สึกเสียอีก พิกลจริง ๆ" เห็นลูกชายเงียบไปตาแป๊ะจึงย้ำอีกว่า
"อย่าสึกนะ ท่างตงต้องช่วยเตี่ยนะ เตี่ยจาเล่าให้ฟัง เหลียวนี้ว่าเตียไปเจออาลายมา" แล้วแกก็ตั้งต้นเล่าท่ามกลางผู้คนซึ่งต่างก็ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ
ตาแป๊ะเตี๋ยวเล่าว่า ตอนที่แกถูกมีดปลายแหลมแทงคอนั้น แกปวดเจ็บมากแล้วก็เห็นบรรดาหมูที่แกเคยฆ่ามาลอยวนเวียนอยู่ตรงหน้า พวกมันพากันมาเยาะเย้ยแก มีเสียง "สมน้ำหน้า สมน้ำหน้า" ดังก้องอยู่ริมหู แกดิ้นทุรนทุรายอยู่พักหนึ่ง ความรู้สึกก็ดับวูบลงเพราะวิญญาณออกจากร่าง แกเห็นตัวเองนอนแผ่หราอยู่ข้างเล้าหมู หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเก ที่คอมีมีดปลายแหลมเสียบอยู่ แกดูอยู่อย่างนั้นกระทั่งชาวบ้านมาถึงแล้วมีคนไปตามพระลูกชายมา แกพยายามจะปลอบสมภารตงไม่ให้ร้องไห้ แต่ฝ่ายนั้นไม่ได้ยินเพราะอยู่คนละภพภูมิกัน สักครู่ก็มีชายฉกรรจ์ร่างกำยำสองคน มีผ้าแดงคาดที่ศีรษะมาเอาตัวแกไปยังที่แห่งหนึ่ง เป็นที่ที่น่ากลัวมาก มีคนถูกทรมานทรกรรมด้วยวิธีต่าง ๆ บ้างถูกบังคับให้ปีนต้นไม้ที่มีหนามแหลมยาว มีแร้งกาปากเหล็กรุมจุกตามเนื้อตัวหน้าตา บ้างถูกจับโยนลงไปในกระทำทองแดงที่มีน้ำกำลังเดือดพล่าน บ้างถูกเลื่อยกลางลำตัวจนขาดเป็นสองท่อนแล้วมันก็กลับมาติดกันใหม่ให้ถูกเลื่อยอีก ด้วยจิตสำนึกบอกแกว่าสถานที่แห่งนั้นก็คือ นรก แล้วความหวาดกลัวก็ประดังขึ้นในจิตใจของแก เมื่อนึกถึงกรรมที่เคยทำไว้ตอนยังมีชีวิต แกนึกเสียใจที่ไม่เชื่อลูกชายเสียแต่แรกว่านรกมีจริง บุรุษทั้งสองพาแกมาหาบุรุษอีกผู้หนึ่ง และบอกว่าเป็นพญายมราชผู้เป็นใหญ่ในยมโลก แล้วแกก็ถูกพญายมราชไต่สวน ซึ่งแกเล่าอย่างละเอียดทุกขั้นตอน
"ตาแป๊ะเจ้าทำอะไร" พญายมราชถาม
"อั๊วะฆ่าหมูขาย" ตาแป๊ะตอบ
"แล้วเคยทำบุญบ้างไหม"
"ไม่เคย อั๊วะไม่เชื่อเลื่องบากเลื่องบุง"
"แล้วทีนี้เจ้าเชื่อหรือยังล่ะ เชื่อหรือยังว่า นรกสวรรค์มีจริง"
"อั๊วะเชื่อเลี้ยว เชื่อว่านาลกมีจิง แต่ซาหวังอั๊วะยังไม่เคยเห็ง"
"ก็ยังไม่เชื่องั้นสิ"
"ม่ายเชื่อ" พูดพร้อมกับสั่นหัว
"ก็ถ้าเจ้าทำความดี จะได้ไปสวรรค์ ไปอยู่กับเซาะกิม เมียของเจ้ายังไงล่ะ โน่นสวรรค์อยู่บนโน้น" พญายมราชชี้มือขึ้นฟ้า คราวนี้ตาแป๊ะเชื่อสนิทและให้นึกเสียดายว่า น่าจะทำความดีจะได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กับเซาะกิมเมียรัก แกรู้ว่าเมียแกเป็นคนดี เพราะใคร ๆ ก็พูดเช่นนั้น
"เจ้าทำบาปไว้มาก จะต้องถูกลงโทษรู้ไหม" ได้ยินคำว่าลงโทษ ตาแป๊ะกลัวจนตัวสั่น เพราะเพิ่งเห็นมาเมื่อตะกี้ แกยกมือไหว้ปะหลก ๆ พลางอ้อนวอน "อั๊วะกัวเลี้ยว อั๊วะกัวเลี้ยว อย่าทำอั๊วะเลย อั๊วะเข็กเลี้ยว ไม่ทำความชั่วเลี้ยว" แกละล่ำละลัก เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ๆ
"สายไปเสียแล้วตาแป๊ะเอ๋ย เจ้าต้องถูกลงโทษ ไม่มีใครช่วยเจ้าได้ ใครทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับกรรมนั้นด้วยตัวเอง ช่วยกันไม่ได้ รับกรรมแทนกันก็ไม่ได้ เอาละเตรียมตัวรับโทษได้แล้ว" ถ้อยคำของพญายมราชดุจดังมีดกรีดลงกลางใจตาแป๊ะ แกรีบบอกกับพญายมราชว่า
"อย่าทำอั๊วะ เลี้ยวอั๊วะจาให้เงิงลื้อสิกชั่ง" แกให้สินบน
"เสียใจ เงินทองไม่มีความหมายสำหรับสถานที่แห่งนี้ ถึงเจ้าจะให้เราสักร้อยชั่งพันช่างก็ไม่อาจช่วยเจ้าให้พ้นโทษได้ ที่เจ้าพูดมานั้นมันแสดงถึงความโง่เขลาเบาปัญญาของเจ้า รู้หรือเปล่า" ตาแป๊ะยืนคอตกด้วยมิรู้จะทำประการใด ยิ่งนึกถึงบาปกรรมของตนก็ยิ่งกลัวจนตัวสั่นงันงก
"เจ้าจงรับโทษตามกรรมที่ทำ" เสียงนั้นดังกังวานบาดลึกเข้าไปในหัวใจของตาแป๊ะ ทันใดนั้นไฟนรกก็ลุกพรึบขึ้นท่วมตัวตาแป๊ะเตี๋ยว แกส่งเสียงร้องลั่นด้วยความกลัวสุดขีด เปลวไฟร้อนแรงน้นแผดเผาเนื้อหนังมังสาของแกจนปวดแสบปวดร้อน
"ไอ้หยา ช่วยล่วย ช่วยล่วย อั๊วะซี้เลี้ยว อั๊วะซี้เลี้ยว" แกดิ้นทุรนทุรายปากก็ร้องให้ช่วย
บัดดลนั้นก็มีผ้าเหลืองลอยมาโบกพัดปัดเปลวเพลิงนั้นให้สงบลง เหลือแต่ควันพวยพุ่งอยู่รอบตัว ตาแป๊ะเอามือปัดป้องเป็นพัลวันด้วยสำลักควันไฟ พญายมราชรู้สึกฉงนในสิ่งที่ปรากฏ ผ้าเหลืองนั้นลอยมาจากที่ใด เกี่ยวข้องกับตาแป๊ะอย่างไร ด้วยความสงสัยจึงถามขึ้นว่า
"ตาแป๊ะเจ้าเคยบวชหรือเปล่า"
"อั๊วะไม่เคยบวก อั๊วะเกียกพะ" แกตอบตามจริง ทว่ามิได้บอกเรื่องที่เคยด่าพระด้วยเกรงจะถูกเพิ่มโทษ
"จริงสิ นอกจากเกลียดพระแล้วเจ้ายังเคยจ้วงจาบพระสงฆ์องค์เจ้าด้วยวาจาอีกด้วย เจ้านี่บาปมากรู้ไหม" ตาแป๊ะก้มหน้างุด รู้สึกแปลกใจที่พญายมราชล่วงรู้การกระทำของแก
"อั๊วะผิกไปเลี้ยว อั๊วะผิกไปเลี้ยว อย่าทำอั๊วะเลย" แกคร่ำครวญ สงสัยเหมือนกันว่าผ้าเหลือนั้นลอยมาจากไหน
"เจ้าไม่เคยบวชแล้วทำไมถึงมีผ้าเหลืองมาโบกให้ไฟดับ ลองนึกดูดี ๆ ซิ หรือว่าเจ้าเคยบวชให้ใครบ้าง"
"อั๊วะไม่เคยบวกให้คายทั้งนั้ง" ตาแป๊ะยืนกราน
"เอ.. แล้วผ้าเหลืองจะมาได้ยังไง" พญายมราชรำพึงอย่างเคลือบแคลง
"อั๊วะนึกล่ายเลี้ยว อั๊วะนึกล่ายเลี้ยว" ตาแป๊ะพูดอย่างยินดี
"ไหนว่าไปซิ เจ้าเคยบวชให้ใคร"
"อั๊วะไม่เคยบวกให้คาย แต่อาตง อาตงลูกอั๊วะอีหนีไปบวก อีมาขออั๊วะแต่อั๊วะไม่ให้ อีเลยหนีไปบวกตั้งแต่อายุสิกสาม เหลียวนี้อีอายุสามสิกสองเลี้ยว" แกบอกล่าว
"อ้อ.. อย่างนี้นี่เอง เห็นไหมล่ะ ขนาดเจ้าไม่มีศรัทธาปสาทะที่จะให้ลูกบวช ก็ยังได้รับอานิสงส์ถึงเพียงนี้ นี่แสดงว่าลูกของเจ้าต้องเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศมาให้เจ้า ถึงได้มีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เพื่อเห็นแก่ลูกของเจ้า ข้าจะให้โอกาสแก่เจ้าได้กลับไปแก้ตัวยังโลกมนุษย์อีกครั้ง เจ้าจะต้องเลิกฆ่าหมู เลิกด่าพระด่าเจ้า แล้วก็ต้องถือศีล ๘ อยู่ที่วัด รับใช้พระเณร โดยเฉพาะพระลูกชายของเจ้า เพื่อไถ่บาปที่เจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ เจ้าทำได้ไหม ถ้าได้ก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก"
"ทำล่าย ทำล่าย" ตาแป๊ะรีบรับคำ จะให้แกทำอะไรแกยอมทั้งนั้น ขออย่างเดียวอย่าให้มาตกนรกอีก แกเข็ดขยาดไฟนรกเสียยิ่งกว่าอะไร
"จำไว้นะ หากเจ้าผิดสัญญาจะต้องกลับมารับโทษยังสถานที่แห่งนี้และเราก็จะไม่อภัยให้เจ้าอีกเลย" พญายมราชกล่าวสำทับ
"จำล่าย จำล่าย อั๊วะไม่ผิกสังยา เข็กเลี้ยว เข็กจริง ๆ" แกรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ
"เอาละ เจ้าสองคนพาตาแป๊ะไปส่งที่เดิมได้" พญายมราชหันไปสั่งยมทูตทั้งสอง
ตาแป๊ะเตี๋ยว เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับแกจบลง ทุกคนในที่นั้นพากันนิ่งเงียบราบกับถูกมนต์สะกด เป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พวกที่ประพฤติตนไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเริ่มได้ข้อคิด โดยเฉพาะพวกผู้ชายซึ่งคิดว่าจะเลิกดื่มเหล้าเลิกเจ้าชู้เสียที จะได้ไม่ต้องไปตกนรก
"ท่างตง ท่างต้องช่วยเตี่ยนะ" ถ้าท่างสึกเตี่ยต้องไปตกนาลกแหง ๆ" ผู้เป็นพ่อวิงวอน สมภารหนุ่มหันไปสบตากับสาวสายทอง ในอกของท่านราวกับมีภูเขาทั้งลูกทับเอาไว้ อยากสึกนั้นอยากจนตัวสั่น หากก็เกรงบิดาจะต้องกลับไปตกนรก รักสาวก็รัก รักบิดาก็รัก ใจของท่านปั่นป่วนด้วยมิรู้จะตัดสินใจอย่างไร
นายอำเภอซึ่งรับฟังเรื่องราวมาตลอด สังเกตเห็นท่าทางลังเลของท่านแล้วให้รู้สึกสงสารเป็นกำลัง แต่ก็มิอาจพูดอะไรในตอนนี้ได้ อุตส่าห์รอจนคนอื่น ๆ ค่อยทยอยกันกลับหมดแล้วจึงพูดกับสมภารหนุ่มว่า
"นิมนต์ท่านบวชต่อเถิดครับ ไม่ต้องห่วงทางลูกสาวผม ความกตัญญูย่อมสำคัญกว่าความรัก คิดว่าผมตัดสินใจแทนท่านก็แล้วกัน" คำพูดของนายอำเภอทำให้สมภารตงได้คิด จริงดังที่นายอำเภอพูด ถ้าท่านไม่แต่งงานกับสายทอง หล่อนก็ยังมีโอกาสที่จะแต่งกับชายอื่นได้ แต่บิดาของท่านนั้นไม่มีผู้ใดจะช่วยได้นอกจากท่าน สบายใจขึ้นบ้างแล้ว จึงกล่าวกับนายอำเภอว่า "ขอบคุณท่านนายอำเภอมาก อาตมายอมรับว่าตัดสินใจไม่ถูก เมื่อท่านได้กรุณาช่วยแนะนำอาตมาก็ยินดี ว่าแต่ว่า สีกาจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด" ท่านหันไปถามสาวสายทอง รู้สึกปวดแปลบที่หัวใจราวกับถูกทิ่มแทงด้วยหนามแหลมสักร้อยอันพันอัน แสนเสียดายดวงหน้างดงามที่ท่านไม่มีโอกาสได้เชยชมแม้สักครั้งในชีวิต "ดิฉันเห็นด้วยกับคุณพ่อเจ้าค่ะ" หญิงสาวตอบด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกับสมภารหนุ่มเท่าใดนักด้วยว่า รักแรกพบต้องมามีอันเป็นไป ต่อเมื่อได้ไตร่ตรองใคร่ครวญดีแล้ว ก็เห็นชอบด้วยเหตุผลตามที่บิดากล่าวทุกประการ ท่านไม่สึกก็ยังดีกว่าที่สึกแล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่น ซึ่งหากเป็นประการหลังหล่อนคงต้องฆ่าตัวตายเป็นแน่แท้ พูดธุระกันเสร็จแล้ว นายอำเภอจึงลากลับพร้อมด้วยบุตรสาว นางสาวสายทองจากมาด้วยหัวใจรันทด ชาตินี้เห็นจะต้องอยู่เป็นโสดไปจนตาย จะรักชายใดได้อีกในเมื่อหัวใจทุกห้องได้มอบให้สมภารหนุ่มไปสิ้นแล้ว
เมื่อแขกชุดสุดท้ายลงจากศาลาไป สมภารตงจึงเชิญบิดาให้ไปพักยังกุฏิของท่าน ตาแป๊ะเตี๋ยวได้กำลังใจจากลูกชาย อาการป่วยก็หายเป็นปลิดทิ้ง เรี่ยวแรงกลับคืนมาดังเดิม แกเดินตามพระลูกชายต้อย ๆ พิษสงของไฟนรกที่แกเพิ่งประสบมา ประกอบกับภาพที่สัตว์นรกถูกทรมานทรกรรมยังติดตรึงเด่นชัดอยู่ในห้วงสำนึก แกขอยึดพระลูกชายเป็นสรณะและจะไม่ขอกลับไปยังที่แห่งนั้นอีก เดชะบุญที่เขาเชื่อในเรื่องราวที่แกเล่า เกิดเขาคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระและยังยืนยันที่จะสึก แกคงไม่อาจทัดทานได้ แล้วก็คงต้องกลับไปตกนรกอีกดังที่พญายมราชภาคทัณฑ์ไว้ เป็นครั้งแรกที่ตะแป๊ะรู้สึกซาบซึ้งในความกตัญญูของลูกที่มีต่อแก เขามิได้เป็นลูกเนรคุณตามที่แกปักใจเชื่อมาแต่ต้น
ข้างฝ่ายสมภารตงนั้นก็มิได้เคลือบแคลงสงสัยในสิ่งที่บิดาเล่าเลยแม้แต่น้อย ท่านกลับยินดีปรีดาที่อำนาจบุญกุศลที่ท่านประพฤติปฏิบัติได้ส่งผลให้บิดารอดพ้นจากไฟนรก และกลับมาแก้ตัวอีกครั้ง อย่างน้อยก็ทำให้บิดาและคนผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คืนนี้ได้รู้และเชื่ออย่างแน่นแฟ้นว่า บาปบุญมีจริง นรกสวรรค์มีจริง มิใช่เรื่องที่เอาไว้หลอกคนโง่ดังพวกมิจฉาทิฐิเชื่อกัน ท่านนึกลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบิดา ช่วงเวลาที่พญายมราชสอบสวนบิดาคงเป็นเวลาเดียวกับที่ท่านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และเมื่อท่านแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้ก็อยู่ในช่วงที่บิดากำลังถูกไฟนรกแผดเผา บุญกุศลนั้นจึงปรากฏออกมาในรูปของกาสาวพัสตร์มาดับไฟนรก อานิสงส์แห่งวิปัสสนากรรมฐานช่างมากมายน่าอัศจรรย์ใจนัก แล้วท่านก็นึกถึงถ้อยคำที่คนบางกอกพูดถากถางพระเณรที่บวชแล้วไม่ปฏิบัติกรรมฐานว่า "เช้าเอน เพลนอน เย็นพักผ่อน ค่ำจำวัด" ซึ่งคนประเภทนี้บวชเสียข้าวสุก แล้วก็ไม่ได้อานิสงส์อะไร และอย่าว่าแต่จะช่วยพ่อแม่ให้พ้นจากนรกไม่ได้เลย แม้ตัวของตัวเองก็ยังช่วยไม่ได้
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตาแป๊ะเตี๋ยวก็มาถือศีลกินเพลอยู่ที่วัดกับพระลูกชาย ความกลัวจะกลับไปตกนรกอีกทำให้แกปฏิบัติตามสัญญาอย่างเคร่งครัด ตราบจนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อเวลาล่วงไปอีกสิบปี สมภารตงก็เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธารามจนกระทั่งมรณภาพเมื่ออายุได้ ๘๐ ปี รวมเวลาที่ดำรงอยู่ในสมณเพศถึง ๖๗ พรรษา
ส่วนนางสาวสายทองนั้น ในเวลาต่อมาได้ติดตามบิดาไปอยู่ทางภาคอีสาน และได้สมรสกับปลัดอำเภอผู้หนึ่งซึ่งหล่อนมิได้รักใคร่ หากก็ยอมแต่งงานเพราะเห็นแก่บิดาที่ปรารถนาจะเห็นบุตรสาวคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝา ด้วยแรงกตัญญูกตเวทิตาธรรมที่นางสาวสายทองมีต่อบิดาผู้บังเกิดเกล้า ทำให้ชีวิตการแต่งงานของหล่อนดำเนินไปโดยราบรื่น หล่อนยังจำได้ว่า ครั้งหนึ่งสมภารตงหยิบยกพุทธวจนะมากล่าวให้หล่อนฟัง
"อโถ เปตฺเตยฺยตา สุขา - การเคารพรักบำรุงบิดา นำมาซึ่งความสุขในโลก"
จบบริบูรณ์




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2012, 10:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2012, 08:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8:

อนุโมทนาแล้วๆๆ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2012, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ทศชาติ

ทศชาติที่ ๑ พระเตมีย์ใบ้...

รายละเอียด : ครั้งเมื่อพระศาสดาเสด็จประทับ ณ เชตวันมหาวิหารนั้น

บรรดาพระภิกษุทั้งหลายที่มาประชุมสนทนาธรรมได้พากันกราบทูลอาราธนา
ให้พระพุทธองค์ทรงนำอดีตนิทานมาโปรดเป็นพระธรรมเทศนา
พระองค์จึงทรงตรัสเล่าถึงเมื่อปางก่อนที่ทรงเสวยพระชาติเป็น
พระเตมีย์กุมาร อันมีเรื่องราวเป็นมาดังนี้

เทพบุตรจุติจากดาวดึงส์

เมื่อสมัยอดีตกาลที่ลวงมาแล้ว องค์กษัตริย์แห่งเมืองพาราณสี
ผู้มีพระนามว่า "กาสิกราช" ทรงครองราชย์ด้วยทศพิธราชธรรมนานมา
หากทว่าพระองค์มิได้สุขสบายพระทัยเลย ด้วยว่าเกรงจะสูญสิ้นราชวงศ์
เพราะไร้ราชโอรส สืบราชสมบัติ ทั้ง ๆ ที่ทรงมีพระสนมถึงร่วม ๒ หมื่นคน

กระทั่งเหล่าไพรฟ้าประชาราษฎร์ก็ต่างพากันประหวั่นพรั่นใจว่า
ภายหน้าหากพระราชาไร้พระโอรสขึ้นเสวยราชสมบัติครองเมืองสืบต่อไปแล้ว
แผ่นดินคงจะวุ่นวายไร้หลักไร้มิ่งขวัญเป็นแน่แท้

พระนางจันทเทวี ผู้เป็นอัครมเหสีจึงทรงทำพิธีขอพระโอรสจากสรวงสวรรค์
โดยในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ทรงสมาทานอุโบสถศีลตามปรกติแล้ว
ก็ตั้งสัตย์อธิษฐานของพระราชโอรส
จากแรงศีลแรงบุญที่พระนางได้เพียรปฏิบัติมา

แลด้วยอำนาจอัศจรรย์แห่งแรงอธิษฐานกอปรกับผลบุญแห่งศีลภาวนานั้นเอง
ที่เป็นเหตุให้อาสน์ของพระอินทร์บนสรวงสวรรค์เกิดร้อนรุ่มจนองค์อินทร์
มิอาจเสวยสุขตามปกติได้ พระอินทร์จึงทรงเพ่งดูจนทราบได้ด้วยทิพยเนตร
พระองค์จึงทรงขอให้เทพบุตรผู้มากบุญญาธิการองค์หนึ่งซึ่งกำลังจะจุติใน
สวรรค์ชั้นสูงต่อไป ให้ทรงเสด็จลงมาจุติในพระครรภ์ของพระนางจันทเทวี
เทพบุตรพระองค์นั้นก็ปรารถนาจะบำเพ็ญบารมีอยู่แล้วจึงทรงตกลง
เสด็จจากดาวดึงส์มาจุติในมนุษย์โลก

เมื่อครบกำหนด ๑๐ เดือนล่วงไป พระนางจันทเทวีก็ประสูติพระกุมารผู้มี
ผิวพรรณผุดผ่องงดงามดั่งทองคำ และในวันนั้นก็มีนิมิตอัศจรรย์คือ
มีการกำเนิดบุตรอีก ๕๐๐ คน พร้อมกันซึ่งพระราชาได้
ทรงพระราชทานของกำนัลพร้อมแม่นมให้บุตรของอำมาตย์ในพระราชวังด้วย
และในวันนั้นทั่วทั้งพระนครเกิดฝนโปรยปรายชุ่มฉ่ำเป็นที่น่าอัศจรรย์นัก

พระกุมารจึงได้พระนามว่า
"เตมีย์" อันหมายถึง เหตุแห่งความปรีดาแก่ผู้คนทั้งปวง

และพระกุมารก็เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของพระราชานัก
ถึงกับคัดเลือก ๖๔ แม่นมผู้ถวายน้ำนม
โดยมีคุณสมบัติพิเศษ ๑๐ ประการตามตำรา ดังนี้คือ

๑ ไม่ให้นางนั้นมีผิวขาวจัดเกินไปนัก ด้วยเกรงว่าน้ำนมจะมีรสเปรี้ยวเกินไป

๒ ไม่ให้นางนั้นมีผิวดำคล้ำนักด้วยว่าจะมีน้ำนมที่เย็นจัดเกินไป

๓ ให้มีรูปร่างสมสัดส่วนดีไม่ผอมแห้งบอบบางจนกระดูกจะทิ่มตำพระกุมารได้

๔ ให้มีรูปร่างไม่อ้วนเจ้าเนื้อเกินไป เพราะจะพลอยทำให้พระกุมารอ้วนตามไปด้วย

๕ ไม่ให้มีรูปร่างสู่งเกินไปนัก เพราะพระกุมารจะสูงจนคอยาวไปด้วย

๖ ไม่ให้มีรูปร่างเตี้ยต่ำนัก เพราะจะทำให้พระกุมารคอหดและเตี้ยต่ำไปด้วย

๗ ให้คัดสรรแต่นางที่มีน้ำนมรสหวานกลมกล่อมสมบูรณ์ที่สุดเท่านั้น

๘ ให้คัดสรรแม่นมที่มีเต้านมเปล่งปลั่งไม่หย่อนยาน เพื่อจะได้มีน้ำนมบริบูรณ์

๙ ไม่ให้นางนั้นมีโรคหืดหอบ อันจะส่งผลให้น้ำนมไม่พิสุทธิ์สมบูรณ์

๑๐ ไม่ให้นางนั้นป่วยเป็นโรคไอเรื้อรัง เพราะราชกุมารจะพลอยขี้โรคไปด้วย
และน้ำนมจะออกรสเผ็ดเกินไป

มิปรารถนาสืบสันติวงศ์

ด้วยความโปรดปรานเมตตาพระกุมารนัก พระเจ้ากาสิกราชทรงอุ้ม
พระเตมีย์กุมารไว้บนตักขณะทรงออกว่าราชการด้วยเสมอ

วันหนึ่งอำมารย์ได้จับตัวโจร ๔ คน ซึ่งทำผิดในการลักขโมยเข้ามาถวาย
และพระราชาได้ตรัสสั่งลงอาญาโจรทั้ง ๔

โดยให้เสียบด้วยหลาวทั้งเป็นแล้วนำไปเสียบประจานจนตาย

คนที่ ๒ ให้นำไปโบยด้วยหนามหวาย ๑ พันครั้งจนตาย

คนที่ ๓ ให้จองจำไว้กับขื่อคาโซ่ตรวนจนตาย

คนที่ ๔ ให้ฆ่าด้วยคมดาบคมหอก

พระเตมีย์กุมารได้ทรงฟังรับสั่งของพระราชบิดาก็ทรงให้สลดพระทัยนัก
ทรงรำลึกได้ถึงกาลก่อนที่เคยเสวยทุกขเวทนาในนรก
จึงทรงดำริว่าถ้าวันหน้าพระองค์ต้องเสวยราชสมบัติสืบต่อพระราชบิดา
ก็คงไม่พ้นต้องทำกรรมทำบาปปลิดชีวิตฝูงคนจนต้องไปเกิดใน
นรกภูมิอีกเป็นแน่แท้

ต่อมาเทพธิดาซึ่งสถิตอยู่ ณ เศวตฉัตร เห็นพระเตมีย์กุมาร
บรรทมไม่หลับด้วยพระทัยสลดหดหู่เช่นนั้น จึงได้แนะนำให้พระเตมีย์
แกล้งประพฤติองค์เป็นบนใบ้ คนหูหนวก และคนง่อย
มิให้ประพฤติแสดงออกไปว่าเป็นปราชญ์อัจฉริยะ เพื่อให้เลี่ยงพ้นได้
จากการครองบัลลังก์ ซึ่งเป็นเหตุแห่งการทำบาปสร้างกรรม

นับแต่นั้นพระเตมีย์กุมารก็มิทรงตรัสและมิทรงขยับพระวรกายอีก
แม้แต่กุมาร ๕๐๐ คน ที่มาคอยเล่นด้วยก็ไม่ทรงสนใจเล่นด้วย
ยามกุมารเล่านั้นหิวนมร่ำไห้พระเตมีย์กุมารก็มิกันแสงด้วย
ทรงดำริว่า

"หิวนม ยังเป็นความทุกข์ที่ประเสริฐกว่าอยู่ในนรกภูมิ"

จึงทรงนิ่งเฉยอดทนผิดกับกุมารน้อยทั่วไป ไม่แย้มสรวล
ปฏิบัติดังว่ามิได้ยินเสียงพูดของผู้ใด พระราชาทรงร้อนพระทัย
ให้หมอหลวงวินิจฉัยว่า มีโรคภัยอันใดก็ปรากฏว่ามิอาจหาสาเหตุได้
เป็นที่งุนงงสงสัยกันยิ่งนัก

พระเตมีย์กุมารทรงเฉยนิ่งดังนี้เมื่อพระชนมายุครบ ๕ ปี
เหล่าอำมาตย์ก็หาวิธีทดลองนานาประการ ปีหนึ่งก็ลองเอาช้างตกมัน
มาปล่อยให้วิ่งเข้าหา พระเตมีย์กุมารก็ทรงนิ่งเฉย ไม่ร้องและไม่ขยับ
เขยื้อนหวาดกลัวแต่อย่างใด ในขณะที่กุมารอื่นวิ่งหนีร้องระงมกันด้วย
ความควาดกลัว

ปีต่อมาก็ทดลองด้วยการนำงูมาปล่อยให้เลื้อยเข้าใกล้
พระเตมีย์กุมารก็ทรงนิ่งเฉยมิหวาดกลัวถอยหนีหรือขยับโอษฐ์ร่ำร้อง
ปีต่อมาก็ทดลองด้วยไฟบ้าง ด้วยเสียงบ้าง คือก่อกองไฟไว้ใกล้ ๆให้กลัว
และให้คนแกล้งตีกลองเป่าแตรดัง ๆ ให้ตกใจ แต่ก็มิอาจกระตุ้นให้พระโอรส
ร้องหรือขยับพระวรกายสักนิดไม่ อีกปีหนึ่งทดลองโดยนำน้ำอ้อยปน
ข้าวยาคูผสมน้ำผึ้งมาทาทั่วองค์พระกุมาร
เพื่อล่อแมลงวันมาตอมมาดูดกินน้ำหวานนั้น
พระเตมีย์กุมารปีนั้นเจริญชันษาได้ ๑๓ ปีแล้ว
แต่ก็ยังทรงนิ่งเฉยแม้จะเจ็บปวดทรมานนัก
ปีต่อมาอำมาตย์ก็ทดลองด้วยมูตรสิ่งเหม็นเน่าต่าง ๆ
แต่พระเตมีย์ก็ทรงเฉยนิ่งเช่นเดิม
มิได้ทรงหวั่นไหวแม้ทรมานน่าเวทนานัก

เมื่อทดลองวิธีละ ๑ ปีเต็ม
มาจนถึงปีที่พระเตมีย์อายุครบ ๑๖ ปีเต็มแล้วก็มิบังเกิดผลใด
พระนางจันทเทวีทรงตรอมพระทัยร่ำกันแสงวิงวอนพระโอรสว่า
"ดูกร พ่อเตมีย์เอย เจ้าจงลุกขึ้นเถิด อย่าได้นิ่งเฉยเช่นนี้ให้แม่
แทบกลั้นใจตายด้วยอับอายราษฎรยิ่งนักแล้ว"

เมื่อเห็นพระมารดาร่ำให้ปิ่มใจจะขาด
พระเตมีย์ก็เกือบจะทรงตรัสวาจาออกไปด้วยความรักและเวทนานัก
แต่แล้วก็ทรงอดทนเฉยอยู่ตามเดิม

เหล่าอำมาตย์จึงทดลองด้วยสตรีเลอโฉม
ด้วยเพราะคิดว่าวัยแรกหนุ่มนี้ยังจะพึงพระทัยในเพศรส
ครั้นเมื่อบรรดาสาวงามพากันมาถวายปรนนิบัติ
เฝ้านวดเฟ้นและยั่วยวน พระเตมีย์ก็ทรงอธิษฐานขอบารมีช่วย
ให้พระองค์เอาชนะได้ ถ้าจะได้ออกบวชสมพระทัย
แล้วพระบารมีของพระองค์เองก็ได้บันดาลให้
สาวงามทั้งหลายต้องหวาดกลัวตกใจ
เมื่อพระวรกายพระองค์แข็งดั่งตอไม้
จึงพากันหนีไปทั้งสิ้น

พระเจ้ากาสิกราชทรงอับจนพระทัยนัก
ให้โหรหลวงมาถวายคำทำนาย โหรซึ่งเป็นพราหมณ์ก็ได้กราบทูลว่า
พระเตมีย์เป็นกาลกิณีเป็นเสนียดจัญไรแก่ราชวงศ์
หากเลี้ยงไว้ในร่มเศวตฉัตรต่อไปก็จะเกิดอาเพศและพิบัติภัยต่อแผ่นดินคือ
พระราชาจะต้องสวรรคตหนึ่ง
พระมเหสีจะต้องสวรรคตหนึ่ง
พระราชบัลลังก์จะถูกปองร้ายจนโค่นล้มหนึ่ง
จึงเห็นควรให้นำพระเตมีย์ไปฝังทั้งเป็นที่ป่าช้าผีดิบทางตะวันตกนอก
พระนครเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง

พระเจ้ากาสิกราชทรงยอมให้กระตามคำของโหรด้วยความทุกข์ตรมพระทัยนัก
พระมเหสีก็ทรงตกพระทัยถึงสิ้นสติ มิว่าจะทูลยับยั้งอย่างไร
พระราชาก็มิทรงเปลี่ยนพระราชดำรัส

แต่พระนางจันทเทวี อัครมเหสีได้กราบทูลขอร้อง
ขอให้พระราชโอรสได้มีโอกาสครองราชบัลลังก์สัก ๗ ปีก่อนค่อยคิดนำไปฝัง
หากทว่าพระราชาทรงปฏิเสธ

"เห็นจะไม่ได้หรอกพระมเหสี พระโอรสเตมีย์เป็นใบ้ หูหนวก
และยังไม่ขยับองค์เหมือนเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาอย่างนั้น
จะให้ครองบ้านเมืองได้อย่างตั้ง ๗ ปี"

"ถ้าเช่นนั้น พระราชทานบัลลังก์ให้พระเตมีย์สัก ๑ ปี ก็ได้นะเพคะ"

พระนางจันทเวีทรงกราบทูาลวิงวอน
แต่พระราชาก็มิอาจพระราชทานให้ได้
จนกระทั่งในที่สุดพระนางจันทเทวีทูลขอร้อง
จนเหลือเพียง ๗ วันเท่านั้นจึงได้รับพระราชานุญาต

พระเตมีย์จึงได้ถูกแต่งองค์ทรงเครื่องกษัตริย์
แล้วนำขึ้นประทับคอช้างเสด็จเลียบพระนคร
และประกาศแก่ไพร่ฟ้าว่าพระราชโอรสได้ครองบัลลังก์แล้ว

หากทว่าพระเตมีย์ก็ทรงไม่ตรัส ไม่ขยับองค์
ไม่ได้ยินเสียงผู้ใดเช่นเดิม จนครบกำหนด ๗ วัน
พระมารดาก็ได้แต่ทรงกันแสงน้ำตาหลั่งไหล
รำพันตัดพ้อพระเตมีย์และตรัสว่า
พระนางคงจะขาดใจตายตามไปด้วยเป็นแน่แท้
แล้วพระนางก็ทรงเกลือกกลิ้งร่ำไห้
จนสิ้นสติไปบนพื้นปราสาทนั้นเอง

พระราชบิดาให้ฝังพระเตมีย์

ครั้นพระราชามีรับสั่งให้นำพระราชโอรสออกไปฝัง
พระเตมีย์ก็ถูกนำใส่รถเทียม้า
โดยมีสารถีสุนันทะขับออกพระนครไปทางทิศตะวันออก
เมื่อถึงป่าแห่งหนึ่งสุนันทะก็เข้าใจผิดว่าเป็นป่าช้างผีดิบแล้ว
จึงลงจากรถปลดเครื่องประดับพระยศของพระราชโอรสออกวางไว้
แล้วก็หยิบจอบเสียมไปขุดหลุมเป็นรูปสี่เหลี่ยมลึก
ตามรับสั่งที่ให้ฆ่าพระโอรสก่อนเพื่อมิต้องฝังทั้งเป็น

ยามนั้นพระเตมีย์ได้ทรงเหยียดมือเท้า
และทรงกายลุกขึ้น เพื่อตั้งพระทัยจะลองเคลื่อนไหว
หลังจากที่ทรงไม่ขยับเขยื้อนมา ๑๖ ปีเต็มแล้วทีเดียว

แล้วก็ปรากฏปาฏิหาริย์บังเกิดขึ้น
พระเตมีย์ทรงเดินได้คล่องแคล่ว
แล้วยังยกรถขึ้นได้ด้วยพละกำลังอันเป็นพระบารมี
ครั้นแล้วทรงเสด็จไปดูสารถีก้มหน้าขุดหลุม แล้วทรงตรัสถามว่า

"ดูกร นายสารถีท่านกำลังขุดหลุมเพื่อการใดรึ"

"ก็ขุดหลุมเพื่อฝังพระราชโอรสของพระราชานะสิ
พระเตมีย์เป็นกาลกิณีแก่บ้านเมือง
เพราะทรงเป็นใบ้บ้าอ่อนเปลี้ยเสียขา
จะนำภัยพิบัติมาสู่ราชบัลลังก์"

สารถีสุนันทะตอบพลางก้มหน้าก้มตาขุดอย่างเช่นนั้น
พระเตมีย์จึงตรัสว่า

"เรามิได้เป็นง่อยเปลี้ยบ้าใบ้หรอกสารถีเอ๋ย เราคือเตมีย์กุมาร"

สารถีได้ฟังดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองดู
เห็นเตมีย์รูปร่างสง่างามราวเทพยดา
จึงคลางแคลงใจ พระเตมีย์จึงตรัสเล่าว่า
พระองค์แกล้งประพฤติกิริยาดั่งบ้าใบ้
ไม่เดินไม่ขยับเคลื่อนไหวเหมือนเป็นคนง่อย
ที่แท้นั้นเพราะมิอยากเสวยราชสมบัติ พระราชบิดาจึงให้ฝังเสีย

สุนันทะสารถีเพ่งพิจารณาดูพระเตมีย์ชัด ๆ จึงจดจำได้ว่าเป็นพระราชโอรส
และพระเตมีย์ราชโอรสจึงได้ตรัสสืบไปว่า
ตัวสารถีนั้นเลี้ยงชีพด้วยการเป็นราชบริพารของพระราชา
ซึ่งเป็นพระบิดาของพระองค์ ก็เปรียบดั่งว่าอาศัยอยู่ในร่มเงาต้นไม้ใหญ่
แล้วจะมาฆ่าพระองค์ผู้เป็นผลไม้ของต้นไม้เสียดังนี้
ก็จักเปรียบได้ว่าทำร้ายต่อมิตร การทำร้ายมิตรก็เท่ากับเป็นคนน่ารังเกียจ
ไปที่ใดก็มิเป็นที่น่าคบหา และการฆ่าคนก็บาปยิ่งกว่าฆ่าสัตว์ ๑๐๐ ชีวิต
เมื่อตายไปก็จะต้องรับผลกรรมที่ทำไว้
การไม่ทำร้ายมิตรไม่ฆ่าคนย่อมเป็นที่สรรเสริญไปทั่ว

สุนันทะสารถีได้ฟังดังนั้นก็รูสึกซาบซึ้งใจนัก
ก้มลงกราบถวายบังคมแล้วทูลเชิญเสด็จกลับพระราชวัง
แต่พระเตมีย์ตรัสว่าพระองค์อุตส่าห์พากเพียรนาน ๑๐ กว่าปี
ก็เพื่อจะหลุดพ้นจากพระราชสมบัติมาได้ออกบรรพชาตามพระประสงค์
สุนันทะทูลขอลาออกบวชตามไปด้วย
แต่พระเตมีย์ตรัสให้สารถีกลับไปทูลพระราชาก่อน
มิควรบวชโดยเป็นหนี้ผู้ใด

ยามนั้นองค์อินทร์ได้ทรงส่งพระวิสสุกรรมเทวบุตรให้ลงมาเนรมิตอาศรม
และเครื่องบริขารไว้พร้อมพรัก เมื่อพระเตมีย์เสด็จมาพบก็ทรงทราบว่า
เป็นเครื่องนิรมิตของเทพบนสรวงสวรรค์ จึงทรงอธิษฐานขอถือบวช
เปลี้องเครื่องกษัตริย์และครองผ้าเปลือกไม้สีแดง พาดบ่าด้วยหนังสือ
เกล้ามวยผม เสด็จประทับบนอาสนะใบไม้ในอาศรม
ตั้งพระทัยเจริญพรหมวิหารจนบรรลุฌานสมบัติในบัดนั้นเอง

ตระหนักในบุญญาธิการ

ทางฝ่ายพระนางจันทเทวีเมื่อเห็นสารถีกลับเข้าวังก็รีบไต่ถามด้วยน้ำพระเนตรหลั่งไหล
สารถีสุนันทะจึงกราบทูลว่า พระราชโอรสนั้นมิได้ง่อยเปลี้ยเสียขาเป็นบ้าใบ้
พระองค์ทรงแกล้งประพฤติดังนั้นเพราะมิปรารถนาครองราชย์
ด้วยทรงระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นพระราชาแล้วต้องกอกรรมกับชีวิตผู้คนไม่น้อย
เมื่อสวรรคตไปก็ต้องไปรับใช้กรรมในนรกอย่างทุกข์ทรมาน
แต่บัดนี้พระราชโอรสนั้นมีพระโฉมงดงาม มีสุรเสียงไพเราะนัก
พระองค์ทรงออกบรรพชาอยู่ในป่าทิศตะวันออกนอกพระนคร
และฝากถวายบังคมลาและถวายพระพรพระราชาและพระมารดาด้วย

พระเจ้ากาสิกราชและพระนางจันทเทวีได้ฟังดังนั้นก็รับสั่งให้เตรียมขบวนราชรถ
และเสด็จออกไปหาพระราชโอรสด้วยความปลื้มปีติยิ่งนักแล้ว

ครั้นไปถึงพระนางจันทเทวีก็ทรงกันแสงสวมกอดแทบบาทพระโอรส
แล้วพระราชาก็ทรงตรัสถามทุกข์สุขพระเตมีย์
และทรงประหลาดพระทัยที่พระเตมีย์เสวยเพียงผลไม้ป่า
แต่กลับมีพระวรกายผุดผ่องแจ่มใส

พระเตมีย์ทรงทูลตอบว่าร่างกายสดใสเนื่องเพราะพระองค์รักษาจิตใจให้สดใส
ไม่ยึดติดคิดกังวลในเรื่องอันเป็นทุกข์นั่นเอง

แล้วพระราชาก็ทรงมีดำรัสให้พระราชโอรสลาผนวชไปครองราชสมบัติ
อภิเษกกับพระธิดาเมืองใดก็ได้ และเมื่อมีราชบุตรราชกุมาร
เพื่อสืบราชวงศ์แล้วจึงค่อยออกบวชก็ได้

พระเตมีย์ทูลตอบว่า

"ข้าแต่พระบิดา การบวชแต่เมื่อยังหนุ่มนั้นจึงจะสมควรกว่า
และพระราชสมบัติกับฐานะกษัตริย์นั้นก็เป็นเหตุให้ก่ออกุศลกกรมมากมายนัก
อาตมานี้ก็เคยเป็นพระราชาในอดีตชาติ ครองราชย์เพียง ๒๐ ปี
แต่ต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกภูมินาน ๘ หมื่นปี"

ได้ฟังดังนั้นพระราชาก็ทรงเห็นธรรม ตัดสินพระทัยจะออกบรรพชาบ้าง
จึงรับสั่งให้ตีฆ้องร้องป่าวแก่อำมาตย์ราชมนตรี
และไพร่ฟ้าว่าผู้ใดใครบวชในสำนักพระเตมีย์ก็จงมาบวชเถิด

บรรดาอำมาตย์และข้าราชบริพารจึงพากันสละสมบัติมาบวชในสำนักพระเตมีย์กันมากมาย
แม้พระราชากาสิกราชและพระนางจันทเทวีก็ทรงผนวชเป็นดาบส
ดาบสินีอยู่ ณ คนละบรรณศาลา

ยามนั้นท้าวสามลราชที่ครองเมืองใกล้เคียง ได้ทราบเรื่อง
พระเจ้ากาสิกราชทรงออกผนวช บรรดาอำมาตย์ราชมนตรี
และพนกนิกรต่างก็ออกบวชทั้งสิ้น
จึงดำริว่าเมืองพาราณสียามนี้ไร้กษัตริย์ครองราชย์
จึงได้ยกกอกงทัพเข้ามาประชิดพระนครหมายจะเข้ายึดครองพาราณสี

เมื่อยกพหลพลโยธามาถึงเมือง
เห็นประกาศติดไว้เรื่องให้ออกบวชนั้น
ก็ให้ประหลาดพระทัยถึงเหตุที่ผู้คน
แม้ชั้นกษัตริย์ยังตัดละลาภสักการะไปออกบวชในป่าได้
จึงได้เสด็จตามไปในป่า

พระเตมีย์จึงทรงแสดงธรรมเทศนาเรื่องของบุญและบาป
จนท้าวสามลราชและไพร่พลเกิดซาบซึ้ง พากันละกองทัพและอาวุธ
พร้อมใจกันขอบวชอยู่ในสำนักพระเตมีย์กันทั้งสิ้น

ในบริเวณป่านั้นจึงเต็มไปด้วยเหล่าฤาษีบำเพ็ญฌาณสมาบัติ
และสัตว์ป่าช้างม้าที่ล้วนเชื่องโดยทั่วถ้วน ดาบส ดาบสินี
เหล่านี้เมื่อดับจิตไปก็ได้ไปจุติในเทวภูมิ
สถิตย์เป็นเทพยดาเป็นเทพธิดาเสวยสุขกันทั้งมวล

พระเตมีย์ชาดกนี้มีคติธรรมว่า
เมื่อมีประสงค์ในสิ่งใดก็สมควรมุ่งมั่น
ตั้งใจกระทำตามความมุ่งหมายนั้นอย่างหนักแน่น
อดทนอย่างเพียรพยายามเป็นที่สุด
และความพากเพียรอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นั้น
ย่อมจะนำบุคคลนั้นไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

ทศชาติที่ ๒ พระมหาชนก...

รายละเอียด : ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสเล่าอดีตชาติให้เหล่าพระภิกษุทั้งปวง
ซึ่งสนทนาถึงเรื่องการออกบวชของพระตถาคตเจ้า
ณ โรงธรรมสภา เชตวันวรวิหาร ในกรุงสาวัตถี มีความเป็นมาดังนี้

เมื่อครั้งอดีตกาลที่ผ่านมา ณ กรุงมิถิลาวิเทหรัฐ มีพระราชพระนามว่า
"มหาชนก" ครองราชสมบัติโดยมีพระราชโอรส ๒ พระองค์
ทรงพระนามว่าอริฏฐชนกและโปลชนก
พระมหาชนกทรงตั้งให้พระโอรสองค์โตเป็นพระอุปราช
และทรงตั้งพระโอรสองค์เล็กเป็นเสนาบดี

ครั้นเมื่อท้าวเธอทรงเสด็จสวรรคต
พระอุปราชอริฏฐชนกก็ได้ทรงเสวยราชสมบัติสืบต่อพระบิดา
และพระราชทานตำแหน่งอุปราชให้พระอนุชาโปลชนก

ชะตากรรมพระบิดา

เมื่อแรกนั้นพระเจ้าอริฏฐชนกก็ทรงปกครองบ้านเมืองโดยชอบธรรม
แต่มีพระอำมาตย์มนตรีผู้สอพลอคอยเพ็ดทูลให้ร้ายป้ายสีว่า
พระอุปราชโปลชนกคิดจะปลงพระชนม์เพื่อชิงบัลลังก์
พระเจ้าอริฎฐชนกได้รับฟังบ่อยครั้งเข้าก็ทรงหูเบาหลงเชื่อ
ทรงคลายความรักใคร่พระอนุชา
จนกระทั่งหวาดหวั่นพระทัยถึงกับ
มีรับสั่งให้จับพระอุปราชโปลชนกคุมขังไว้ในคฤหาสถ์หลังหนึ่ง

มหาอุปราชผู้เป็นน้องชายร่วมพระสายโลหิต
จึงตั้งสัตย์อธิษฐานต่อพระเสื้อเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ว่า
พระองค์มิได้เคยมีความคิดมุ่งร้ายต่อพระเชษฐาเลย
ขอให้ความสัตย์ซื่อนี้มีอานุภาพทำลายขื่อคา
และเครื่องจองจำพันธนาการให้มลายไปสิ้นด้วยเถิด

ด้วยพลานุภาพแห่งความสัตย์ซื่อนั้นก็ได้ทำให้เกิดปาฏิหาริย์
บรรดาโซ่ตรวนต่าง ๆ ก็หลุดหักออกทั้งสิ้น

พระมหาอุปราชจึงเสด็จหลบหนีไปยังปัจจันตคาม
บรรดาไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ยินเรื่องนี้
ต่างก็พากันมาเป็นพรรคพวกของพระองค์กันมากมาย
ด้วยเพราะมิเชื่อถือศรัทธาในพระราชาที่หูเบาอีกต่อไป
ครั้นต่อมาพระอุปราชโปลชนกจึงรวมไพร่พลยกทัพมาประชิดเมือง
และทรงส่งพระราชสารถึงพระเชษฐาความว่า

"หม่อมฉันมิเคยคิดปองร้ายเสด็จพี่ แต่กลับถูกเสด็จพี่ทำร้าย
เพียงเพราะหลงเชื่อคำคนสอพลอ บัดนี้หม่อมฉันจะคิดร้ายบ้าง
ขอให้เสด็จพี่พระราชทานบัลลังก์ให้หม่อมฉัน
หรือไม่ก็เตรียมทำศึกกับหม่อมฉัน"

พระเจ้าอริฏฐชนกทรงตกลงพระทัยทำสงครามกับอนุชา
จึงทรงรับสั่งพระอัครมเหสีให้รักษาพระครรภ์ให้จงดี
ด้วยทรงดำริสังหรณ์ว่าอาจจะแพ้ภัยในศึกนี้

เมื่อออกศึกชนช้างกับพระอนุชา พระเจ้าอริฏฐชนกก็ทรงสิ้นพระชนม์กับคอช้าง
ด้วยพระหัตถ์ของพระอุปราชโปลชนกผู้เป็นอนุชา

ตกยากกับพระมารดา

พระอัครมเหสีได้ทราบข่าวนั้นจึงทรงรวบรวมสิ่งของใส่กระเช้าแล้วปิดทับด้วยผ้าเก่า ๆ
นำเอาข้าวสารไว้ด้านบนแล้วยกขึ้นเทินศีรษะแต่งกายมอมแมมเสด็จปะปนกับชาวบ้าน
หนีออกจากมิถิลาด้วยน้ำพระเนตรนองพระพักตร์โดยมิมีผู้ใดสังเกตเห็น

ในระหว่างทางที่พระนางคิดมุ่งสู่เมืองกาลจัมปากะ พระนางทรงอิดโรยด้วยพระครรภ์แก่นักแล้ว
จึงทรงหยุดพักที่ศาลาแห่งหนึ่ง

ยามนั้นท้าวสักกเทวราชบนสรวงสวรรค์ได้ทรงทราบว่าทารกในพระครรภ์ของพระนางก็คือ
"พระโพธิสัตว์" ผู้เปี่ยมบุญญาธิการ ท้าวเธอจึงทรงเนรมิตองค์เป็นชายชราขับเกวียนผ่านไป
อาสารับพระนางให้เดินทางต่อไปได้ ซึ่งบนเกวียนนั้นก็มีแท่นบรรทมและพระกระยาหารพร้อมสรรพ
ในเวลาเพียงพริบตาก็มาถึงเมืองกาลจัมปากะพระนางให้สงสัยแคลงพระทัยว่าทำระยะทาง
๖๐ โยชน์จึงถึงได้รวดเร็วนัก ครั้นจะทรงรับสั่งไถ่ถาม ท้าวเธอในร่างชายชราก็หายวับไปทันที

ขณะนั้นพราหม์ผู้เป็นทิศาปาโมกข์ ผู้มีลูกศิษย์เป็นชาวเมืองกาลจัมปากะ ๕๐๐ คน
ได้พบพระนางผู้มีพระสิริโฉมงามสง่า จึงเข้าไต่ถามได้ความว่านางไร้ญาติขาดมิตร
หนีข้าศึกที่รุกเมืองแตกมาตามลำพังทั้ง ๆ ที่ครรภ์แก่ดังนี้
พราหม์ผู้นั้นจึงชักชวนให้ไปอยู่ด้วยและรับเป็นน้องสาวให้อยู่เรือนอุทิจจพราหมณ์
จนกระทั่งคลอดทารกออกมาเป็นพระกุมารผิดผุดผ่องดั่งทองคำ
พระนางทรงต้องพระนามว่า "มหาชนก" ตามพระนามของเสด็จปู่ผู้มีทศพิธราชธรรม

พระมหาชนกกุมารมีพระสหายเป็นเด็กชาวบ้านละแวกนั้น
ครั้นเล่นหัวกันตามประสาเด็ก ๆ ก็มีต่อสู้ขัดเคืองกันบ้าง
เด็กชาวบ้านที่สู้พระกุมารไม่ได้ก็มักไปฟ้องพ่อแม่ว่า เด็กไม่มีพ่อรังแกตน
พระมหาชนกจึงตรัสถามพระมารดาว่า

"พ่อของฉันคือใครกันนะ ท่านแม่"

"ท่านอาจารย์ไงเล่าที่เป็นบิดาของลูก"

พระนางโป้ปดออกไปให้พระกุมารเชื่อดังนั้น
แต่ต่อมาเมื่อเด็กชาวบ้านพูดกันบ่อย ๆ พระองค์ก็สงสัยนัก
วันหนึ่งเมื่อพระกุมารดื่มน้ำนมจากพระถันของพระมารดา
พระกุมารได้กัดพระถันของพระมารดาแล้วทูลถามว่า

"ท่านแม่ บอกลูกมาเถิดว่าใครเป็นพ่อของลูก ไม่เช่นนั้นลูกจะกัดนมท่านแม่ให้ขาดเลยด้วย"

พระมารดาถูกกัดพระถันจนเจ็บปวดจึงทรงตกลงตรัสความจริงว่า

"พ่อของลูกคือพระเจ้าอริฏฐชนก กษัตริย์แห่งเมืองมิถิลานแต่พระราชบิดาของลูก
ถูกพระอุปราชโบลชนกผู้มีศักดิ์เป็นอาของลูกปลงประชนม์และชิงราชสมบัติไป"

เมื่อได้ทราบความจริงดังนั้น
พระกุมารก็ทรงตั้งพระทัยร่ำเรียนศิลปวิชาทุกแขนงจนแตกฉาน
โดยไม่โกรธเครืองใครเมื่อยามถูกล้อเลียนว่าไม่มีพ่ออีก
จนกระทั่งมีพระชนม์ครบ ๑๖ พรรษา จึงได้ทูลขอทรัพย์มารดา
อันมีแก้ววิเชียรดวงหนึ่ง แก้วมณีดวงหนึ่ง แก้วมุกดาอีกดวงหนึ่ง
พระมหาชนกกุมารทรงขอเพียงครึ่งเดียวเพื่อนำไปขายเป็นทุนทำการค้า
แล้วจะมุ่งสู่นครมิถิลาเพื่อชิงบัลลังก์คืน



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2012, 01:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8:

อนุโมทนาแล้วๆๆ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2012, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้ามทะเลเด็ดเดี่ยว

ระหว่างที่พระมหาชนกแล่นสำเภาไปกลางทะเลนั้นเอง
เรือสำเภาก็อับปางลงเพราะลมมรสุมซัดกระหน่ำจนพ่อค้าและผู้คนเกือบพันคน
กลายเป็นเหยื่อของสัตว์ทะเลและจมน้ำตายกันไปสิ้น

ตลอด ๗ วัน พระมหาชนกก็พยายามว่ายน้ำอยู่กลางทะเลมุ่งสู่เมืองมิถิลา
โดยอธิษฐานอุโบสถไปด้วย นางมณีเมขลาเทพธิดารักษามหาสมุทรจึงมา
ปรากฎกายกลางอากาศ แล้วถามพระมหาชนกว่า

"ท่านอาจจะตายเสียแน่แท้ที่มัวว่ายน้ำในทะเลลึกทั้ง ๆ ที่มองไม่เห็นฝั่งอย่างนี้"

พระมหาชนิกตรัสว่า

"เราพากเพียรเช่นนี้ แม้ตายก็มิถูกติเตียนได้
การไม่รักษาชีวิตไว้อย่างพากเพียรก็เท่ากับว่าเป็นคนเกียจคร้าน"

นางมณีเมขลาจึงพาพระมหาชนกเหาะลอยไปยังอุทยานของพระเจ้าโปลชนก

เจ้าหญิงลองพระปัญญา

ในขณะนั้นพระเจ้าโปลชนกทรงพระประชวรและสวรรคตไปแล้ว ๗ วัน
พระราชธิดาทรงหาคู่ครองมาอภิเษก
เพื่อครองราชสมบัติตามคำรับสั่งของพระราชบิดา
โดยทรงปรึกษากับราชปุโรหิตแล้วให้เซ่นสรวงเทพยดา
เพื่อเสี่ยงราชรถตามพระประเพณีโบราณ หากราชรถไปเกยที่ผู้ใด
ผู้นั้นก็มีบุญพอจะขึ้นครองเมืองได้

ครั้นเมื่อเทียมรถม้ามงคลแล้ว
ม้าก็วิ่งออกจากพระราชวังไปยังอุทยานของนคร
รถม้าเข้าไปแล่นวนรอบพระมหาชนก ๓ รอบ
แล้วก็หยุดอยู่ที่ปลายเท้าของพระองค์ซึ่งบรรทมอยู่ ณ ที่นั้น

พระราชปุโรหิตจึงสั่งให้ประโคมดนตรีอึกทึก
พระมหาชนกตื่นบรรทมขึ้นมาดูจึงรู้ว่าคงถึงเวลาแห่งการครองบัลลังก์แล้ว
และมิได้ทรงแตกตื่นตกพระทัยแต่อย่างใด
พระราชปุโรหิตจึงทูลเชิญไปครองเมือง
พระมหาชนกจึงตรัสถามว่า
เหตุใดจึงมาให้พระองค์ไปครองเมืองแล้วพระราชาของนครไปไหนเสียแล้ว

"พระราชาได้เสด็จสวรรคตแล้วพระเจ้าข้า"

"แล้วพระราชาไม่มีราชโอรสเลยรึ"

"ขอเดชะ มีเพียงพระราชธิดาองค์เดียวพระเจ้าข้า"

เมื่อได้ฟังดังนั้น
พระมหาชนกจึงทรงรับสั่งว่าจะยินยอมรับราชสมบัติ
ราชปุโรหิตจึงถวายเครื่องทรงและทำพิธีเถลิงราชสมบัติ
ณ อุทยานนั้นเอง

ครั้นเข้าสู่พระราชมณเฑียรแล้ว พระราชธิดาคิดลองพระทัย
จึงทรงวางอุบายให้ราชบุรุษผู้หนึ่งทูลพระมหาชนกว่า
มีรับสั่งจากพระราชธิดาให้เข้าเฝ้า
พระมหาชนกก็ยังคงดำเนินชมปราสาทหาได้ใส่พระทัยไม่
จนเมื่อชมปราสาทพอพระทัยแล้วจึงเสด็จขึ้นตำหนักหลวง
พระราชธิดาถึงกับเสด็จออกมารับและยื่นพระหัตถ์ให้พระมหาชนก
ทรงสัมผัสอีกด้วยความเกรงพระบรมเดชานุภาพ
และพระบารมีอันสง่างามยิ่งนัก

เมื่อเข้าประทับแล้ว พระมหาชนกทรงตรัสถามราชปุโรหิตว่า
"ก่อนเสด็จสวรรคต พระราชาของท่านมีรับสั่งอย่างไรบ้าง"

"ขอเดชะ พระราชาทรงรับสั่งไว้ว่า
ถ้าผู้ใดสามารถทำให้เจ้าหญิงสวิลีปีติได้ก็ให้มอบนครให้คนผู้นั้น
ข้อต่อมาคือผู้ใดรู้จักด้านศีรษะและด้านเท้าของบัลลังก์ ๔ เหลี่ยม
จึงจะครองบัลลังก์ได้
ข้อต่อมาคือผู้นั้นต้องโก่งคันธนูของเมืองได้
และข้อสุดท้ายคือผู้นั้นต้องค้นหาขุมทรัพย์ ๑๖ แห่งให้จงได้"

ซึ่งรับสั่งเหล่านี้นั้น
เจ้าหญิงสิวลีพระราชธิดาได้ทรงคัดเลือกอำมาตย์
และเสนาบดีหนุ่มมาหลายคนแล้ว
เมื่อทรงตรัสให้ผู้ใดเข้าเฝ้า คนผู้นั้นก็ทำตาม
รับสั่งให้มานวดเท้า คนผู้นั้นก็มานวด
เจ้าหญิงจึงทรงขับไล่ออกไปจนสิ้นด้วยเคืองพิโรธว่า
คนเหล่านั้นไร้ปัญญาบารมีอันมิควรจะครองราชย์ได้

ราชปุโรหิตทูลต่อพระมหาชนกว่า
ข้อแรกนั้นพระราชธิดาทรงยื่นพระหัตถ์ให้พระมหาชนกแล้ว
ก็หมายความว่าทรงปิติยินดีแล้ว
แต่ยังมีข้อให้หาด้านศีรษะและเท้าของบัลลังก์อีกด้วย

พระมหาชนกจึงทรงถอดปิ่นทองคำจากพระเศียรส่งให้พระราชธิดา
ซึ่งพระนางก็ทรงเปี่ยมด้วยพระปัญญาจึงได้นำปิ่นทองคำไว้
ด้านหนึ่งของบัลลังก์

"ด้านนั้นแหละคือด้านศีรษะของบัลลังก์"

พระมหาชนกจึงทรงตรัสได้ถูกต้อง จากนั้นทรงยกธนูเมืองอันมีน้ำหนักถึง
๑ พันคนจึงจะยกได้ ทว่าพระองค์ทรงยกอย่างเบาราวกงดีดฝ้ายของสตรี
และก็ทรงโก่งคันธนูน้าวสายธนูได้ด้วยพละกำลังดั่งพญาคชสาร

ครั้งถึงข้อที่ให้ค้นหาขุมทรัพย์ ๑๖ แห่ง
พระมหาชนกจึงทรงตรัสถามถึงปริศนาของขุมทรัพย์แรก
ราชปุโรหิตทูลว่า

"ขอเดชะ ขุมทรัพย์ที่ ๑
อยู่ทางทิศตะวันขึ้นพระเจ้าข้า
พวกข้าพระองค์เคยลองขุดหาทางทิศตะวันออกที่ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว
แต่ไม่พบทรัพย์ใดเลย"

"พวกท่านจงไปขุดยังที่ที่ซึ่งพระราชาของท่านยืนประทับรอพระปัจเจกโพธิ
ที่พระราชานิมนต์มารับอาหารบิณฑบาตในทุก ๆ รุ่งเช้านั้นเถิด"

พวกอำมาตย์ราชวัลลภพากันไปขุด ณ จุดนั้น
ก็ปรากฎว่า พบขุมทรัพย์ที่หนึ่งสมจริงดั่งรับสั่งของพระมหาชนก
ยังความอัศจรรย์ใจแก่เหล่าอำมาตย์
จนพากันมาทูลถามพระมหาชนกถึงความนัยของปริศนานั้น

พระมหาชนกตรัสว่า พระปัจเจกโพธิเปรียบดั่งตะวัน
พระราชายืนคอย ณ ที่ใด ที่นั้นก็คือขุมทรัพย์ตะวันขึ้น
ดังนั้นปริศนาข้อต่อไปที่ว่าขุมทรัพย์ที่ตะวันอัศดง
ก็คือจุดที่พระปัจเจกโพธิรับทานแล้วจะเสด็จกลับทางนั้น

บรรดาอำมาตย์จึงพากันไปขุดหาทางท้ายพระราชมณเฑียร
ก็ปรากฎว่าพบขุมทรัพย์ที่ ๒ อีก

สำหรับปริศนาข้อต่อไปที่ว่า "ขุมทรัพย์ภายใน" นั้น
พระมหาชนกทรงรับสั่งให้ไปขุดที่ใต้ธรณีประตูพระราชฐาน

"ขุมทรัพย์ไม่ใช่ภายในไม่ใช่ภายนอก" ก็ให้ขุดที่ใต้ธรณีนอกประตูพระราชฐาน

"ขุมทรัพย์ไม่ใช่ภายในไม่ใช่ภายนอก" ก็ให้ขุดที่เกยทองสำหรับขึ้น-ลงประทับมงคลหัตถี

"ขุมทรัพย์ในที่ขึ้น" ก็ให้ขุดหน้าประตูพระนิเวศ

"ขุมทรัพย์ขาลง" ให้ขุดที่หน้าเกยยามพระราชาขึ้น-ลงคอช้างหน้าชาลา

"ขุมทรัพย์ระหว่างไม้รังทั้ง ๔" ก็ให้ขุดที่ทวารทั้ง ๔ ซึ่งพระแท่นทำด้วยไม้รัง

"ขุมทรัพย์รอบ ๑ โยชน์" ให้ขุดที่ห่างจากแท่นบรรทมช้างละ ๔ ศอกทั้ง ๔ ทิศ

"ขุมทรัพย์ที่ปลายงา" ให้ขุดที่โรงคชสารตรงที่งาของพญาเศวตกุญชรจรดปลายงาลงดิน

เสวยราชย์-พบสัจธรรมชีวิต

เมื่อทรงไขปริศนาได้ทั้งสิ้น บรรดาเสนาอำมาตย์และไพร่ฟ้า
ข้าแผ่นดินต่างก็พากันโห่ร้องกันกึกก้องทั่วพระนคร
คำสรรเสริญเอกเกริกต่างเทอดทูนพระปัญญาบารมีของพระมหาชนก
ที่ไขปริศนาจนพบขุมทรัพย์ทั้งปวงของพระราชา
ต่างก็ยินดีปรีดาแซ่ซ้องถึงพระราชาองค์ใหม่ผู้เป็นปราชญ์อัจฉริยะกันเลื่องลือไป

หลังจากนั้นพราหมณ์มหาชนกจึงทรงมีรับสั่งให้ตั้งโรงทาน ๖ แห่ง ที่กลางนคร
ประตูนคร และประตูรอบนคร ๔ ทิศเพื่อบริจาคทรัพย์ทรงโปรดให้เชิญพระมารดา
และพราหมณ์ทิศาปาโมกข์สู่นคร ทรงทำสักการะสมโภชน์และประกาศความจริงว่า
พระองค์คือพระราชโอรสของพระเจ้าอริฏฐชนกในพิธีเถลิงถวัลย์ราชย์นั้นเอง

ครั้งนี้พระมหาชนกทรงรำลึกถึงความพากเพียรของพระองค์
ที่ทรงพยายามว่ายน้ำกลางมหาสมุทรจึงได้พบความสำเร็จดังนี้
ทรงโสมนัสและตระหนักว่าคนเราพึงหมั่นเพียรพยายามโดยสุดกำลัง
เพื่อให้ลุล่วงสำเร็จดั่งมุ่งหวังไว้

จากนั้นพระมหาชนกทรงครองราชย์โดยทศพิธราชธรรม
เสนาและไพร่พลเมืองต่างก็เป็นสุขกันถ้วนหน้า
จนกระทั่งเจ้าหญิงสิวลีประสูติพระราชโอรสทรงพระนามว่า ทีฆาวุราชกุมาร
และพระมหาชนกทรงพระราชทานตำแหน่งอุปราชให้เมื่อพระโอรสเจริญวัยแล้ว

คราวหนึ่ง พระมหาชนกทรงช้างเสด็จประพาสอุทยาน ทรงเห็นต้นมะม่วง ๒ ต้น
ที่ประตูอุทยาน ต้นหนึ่งมีผลดกเต็มต้น อีกต้นหนึ่งไม่มีผล

พระมหาชนกทรงเก็บมะม่วงจากต้นผลดกมาเสวยแล้วเข้าไปในอุทยาน
ครั้นกลับออกมาก็พบว่ามะม่วงต้นดกนั้นกิ่งก้านหักโค่นใบร่วงหมดสิ้น
มะม่วงแม้แต่ผลเดียวก็มิเหลือ บรรดาอำมาตย์จึงกราบทูลว่า
พสกนิกรต่างก็มาเก็บมะม่วงจากต้นนี้ด้วยเพราะเป็นต้นที่พระราชาเก็บเสวย
จึงได้เข้ายื้อแย่งเก็บไปเป็นมงคลจนสภาพของต้นมะม่วงแหลกราญดังนี้เอง

พระมหาชนกทอดพระเนตรดูมะม่วงต้นที่ไม่มีผล
ซึ่งยังคงยืนตั้งอยู่อย่างมั่นคงดุจผาแก้วโดยมิบอบช้ำยับเยิน
บัดนั้นเองจึงทรงดำริว่า
ต้นมะม่วงที่มีผลก็เปรียบดั่งราชสมบัติซึ่งจะทำลายตัวเอง
หากไม่มีผลก็ไม่มีภัย การละสมบัติออกบวชก็เปรียบดั่งต้นไม้ที่ไร้ผลซึ่งย่อมไร้ภัย

ครั้นเสด็จกลับพระราชวัง พระมหาชนกจึงทรงมีดำรัสว่า
"เราจะเจริญสมณธรรมในตำหนักนับแต่นี้ไป
ขอให้พวกท่านรักษาราชกิจตามแต่เห็นควร
ผู้ใดจะเข้ามาในตำหนักเราก็เพื่อนำอาหารมาเท่านั้น"

ทรงละกิเลสกลางราชวัง

เวลาต่อมาพระมหาชนกก็ทรงบำเพ็ญสมณธรรมสงบอยู่ในปราสาท
มิได้ออกเสด็จมางานมหรสพใดอีกเลยจำนเป็นที่ร่ำลือกันทั่วไปทั้งนคร
พระมหาชนกมีพระทัยน้อมนำไปทางออกบรรพชา
ทรงครุ่นคิดอยู่ในพระทัยว่า

"เมื่อใดหนอ เราจึงจะได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงผู้ซึ่งตัดโลกละกิเลสได้แล้ว
เมื่อใดหนอเราจักได้ออกบวช อุ้มบาตร ถือเพศสมณแสวงธรรมอยู่ลำพังในป่า"

ด้วยพระทัยที่มุ่งในทางธรรมยิ่งนัก วันหนึ่งพระองค์ทรงรับสั่งให้กัลบกมาชำระ
พระเกศาและปลงพระมัสสุ ให้อำมาตย์จัดบาตรดินและผ้ากาสาวพัสตร์มาถวาย
จากนั้นพระองค์ก็ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ นุ่งห่มเกล้าผมดั่งนักบวช
เสด็จจงกรมในปราสาทด้วยพุทธลีลาแลเปล่งพระวาจาว่า

"การบวชนี้เป็นสุขจริงหนอ"

ยามนั้นอัครมเหสีเจ้าหญิงสิวลีได้รับสั่งให้สนม ๖๐๐ กว่านาง
จัดแต่งเครื่องประดับงดงามเพื่อพากันไปเข้าเฝ้า
พระราชาซึ่งจำศีลนานเกือบ ๖ เดือนแล้ว
ครั้นพบว่าพระราชามหาชนกเสด็จออกบวชก็ทรงกันแสงปิ่มจะวายชนม์
พระนางทรงวางอุบายจุดไฟเผาศาลาเก่า
แล้วให้อำมาตย์ไปทูลเชิญเสด็จกลับด้วยว่าพระราชวังไฟไหม้แล้ว

หากทว่าพระมหาชนกก็มิทรงเสด็จกลับ พระนางสิวลีและไพร่ฟ้า
เสนาอำมาตย์จึงพากันออกตามเสด็จ
พระมหาชนกจึงทรงเอาไม้ขีดเป็นเส้นบนพื้นแล้วตรัสว่า

"หากผู้ใดลบรอยเส้นนี้ได้ ก็จึงจะตามเราไปได้"

แต่เส้นนั้นมิอาจมีผู้ใดกล้าลบได้ ด้วยเกรงจะเป็นการละเมิดพระอาญาสิทธิ์
พระมเหสีก็ได้แต่กันแสงกลิ้งเกลือกด้วยอาดูรยิ่งนัก
เมื่อพระนางกลิ้งเกลือกร่ำไห้นั้น เส้นที่ขีดขวางอยู่ก็ลบหายไป
คนทั้งปวงจึงพากันติดตามไปอีก

ยามนั้นพระดาบสนาม นารทะ เห็นด้วยตาทิพย์ว่า
พระมหาชนกต้านแรงมหาชนไม่ได้
จึงมาปรากฏและปลอบให้พระองค์รักษาศีลและพรหมวิหารธรรม ๔ อย่างมุ่งมั่น
เพื่อให้การออกบวชลุล่วงดังประสงค์

พระฤาษีนาม มิคาชินะ ก็มาถวายโอวาทให้พระองค์ไม่ประมาทเพื่อความสำเร็จ
พระมหาชนกจึงทรงตั้งพระทัยมั่นไม่อ่อนไหวไปกับการยับยั้งของพระมเหสี

ข่มพระทัยตัดเยื่อใย มุ่งมั่นบรรพชา


เมื่อพระมหาชนกเสด็จถึงถุนันนคร
พบสุนัขที่คาบเนื้อมาจากแผงเร่ที่พ่อค้าขายเนื้อเผลอ
แต่สุนัขวิ่งหนีมาทางพระมหาชนกจึงตกใจทิ้งก้อนเนื้อไว้
พระมหาชนกจึงเก็บก้อนเนื้อชิ้นนั้นมาปัดทำความสะอาดแล้วใส่ลงในบาตร
ครั้นพระมเหสีทูลตำหนิด้วยความสังเวช พระองค์ก็ทรงตรัสว่า
เนื้อชิ้นนี้สุนัขละทิ้งแล้วถือว่าชอบธรรมแล้วที่จะทรงบริโภคสิ่งของที่ไร้เจ้าของ

ต่อมาพระมหาชนกทอดพระเนตรดูเด็กหญิงที่วิ่งเล่นกันอยู่ใกล้ประตูนคร
เด็กผู้หญิงตัวน้อยสวมกำไลมือ ๑ วง อีกมือหนึ่งสวมกำไล ๒ วงกระทบกันดังไพเราะ
ทรงตรัสถามว่าทำไมกำไลหนึ่งไม่มีเสียงแต่อีกข้างหนึ่งมีเสียง

กุมารีน้อยทูลตอบว่า
"ก็ข้างหนึ่งมีวงเดียวจึงไม่มีเสียง อีกข้าหนึ่งมี ๒ วงจึงกระทบกันเกิดเสียงไงเล่า"

พระมหาชนกสดับดังนั้นก็ทรงตรัสกับพระมเหสีว่า
"ดูกร น้องหญิง เราเป็นเพศบรรพาชิตแล้ว
หากมีท่านติดตามไปด้วยย่อมเป็นเหตุแห่งคำนินทาให้พรหมจรรย์มัวหมอง
ขอให้ท่านแยกเดินคนละทางเถิด และอย่าเรียกอาตมาเป็นพระสวามีอีกเลย"

พระอัครมเหสีทรงเสียพระทัยยอมแยกทางไป
แต่ไม่นานพระนางก็เสด็จตามอีกด้วยว่าตัดพระทัยไม่ได้

พระมหาชนกจึงทรงให้พระนางดูช่างทำลูกศรที่ข้างทาง
ช่างนั้นเล็งได้คัดลูกศรด้วยตาข้างเดียว
ด้วยเพราะถ้าเล็ง ๒ ตา ก็จะพร่ามัวมองไม่ชัดแจ้ง
หากเล็งตาเดียวจึงจะเห็นชัดแจ้ง ซึ่งเปรียบดั่งพระองค์กับพระนาง
ซึ่งประพฤติน่าครหายิ่งนัก ขอให้แยกทางกันบัดนี้เถิด

พระนางสิวลีโทมนัสจนร่ำไห้สิ้นสติไป
ครั้นบรรดาอำมาตย์และสนมดูแลพยาบาลให้พระนางฟื้นขึ้นมา
พระนางก็ทรงอาดูรเมื่อพระมหาชนกเสด็จจากไปแล้ว
จึงทรงโปรดให้สถาปนาพระเจดีย์
ณ ที่พระมหาชนกประทับยืนก่อนเสด็จจากไปนั้น
ให้บูชาด้วยเครื่องหอมนานาก่อนเสด็จกลับนครมิถิลา

จากนั้นพระนางทรงอภิเษกพระทีฆาวุให้ขึ้นครองราชย์
แล้วพระนางก็ทรงออกบวชบำเพ็ญตนเป็นดาบสินี
ประทับ ณ อุทยานจนทรงบรรลุฌาณ ด้วยดำริว่า
พระสวามียังมิอาลัยใยดีต่อราชสมบัติทั้งมวลแล้ว
พระนางยังจะอาลัยอยู่ใย
พระมเหสีทรงบำเพ็ญพรตตลอดพระชนมายุของพระนาง

มหาชนกชาดกนี้มีคติธรรมว่า
เกิดเป็นคนควรมีความพากเพียร
ให้ถึงที่สุด เพื่อให้ถึงแก่สิ่งที่มุ่งหวัง
เพียรสุดกำลังจนชีวิตหาไม่ก็จงเพียรแล้วความสำเร็จจะมาเยือน


ทศชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม...

รายละเอียด : พ่อแม่ในครอบครัวพราน

เมื่อครั้นอดีตกาลนานมาแล้ว
มีนายพรานผู้หนึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทางตอนใต้ของเมืองพาราณสี
ซึ่งเป็นละแวกหมู่บ้านนายพราน

ฝั่งตรงกันข้ามแม่น้ำก็มีนายพรานอีกหลัง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท
รักใคร่ชอบพอกันดีกับนายพรานฝั่งนี้
ทั้งสองสัญญากันว่าหากมีลูกสาวกับลูกชายก็จะให้แต่งงานกัน
ซึ่งในไม่ช้าภรรยาของทั้งสองนายพรานก็ตั้งครรภ์ในเวลาไล่เรี่ยกัน
นายพรานทั้งสองบ้านยิ่งปีตินักเมื่อนายพรานฝั่งนี้ได้บุตรชาย
และให้ชื่อว่า ทุกูลกุมาร ส่วนบ้านฝั่งโน้นได้บุตรีมีชื่อว่า ปาริกากุมารี

ทั้งสองลูกนายพรานนี้นับว่ามีนิสัยใจคอแตกต่างผิดจากบุพการียิ่งนัก
แม้เกิดในหมู่บ้านนายพราน หากทว่าเด็กทั้งคู่กลับมินำพาในการล่าสัตว์ล่าเนื้อ
ทุกูลและปาริกาต่างก็มีน้ำใจเมตตาปรานี มิยอมให้ผู้คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
เมื่อเห็นสภาพสัตว์ที่ถูกทำร้ายก็จะพากันสลดหดหู่ใจเป็นยิ่งนัก


ครั้นเมื่อเด็กทั้งสองเติบโตจนมีอายุได้ ๑๖ ปี บิดามารดาของทั้งสองก็จัดงาน
แต่งงานให้ทุกูลและปาริกา และก็อบรมสั่งสอนวิชาพรานให้แก่คนทั้งสอง
เพื่อจะได้ล่าสัตว์ยังชีพสืบต่อไปได้

"ท่านพ่อ ลูกไม่อยากเรียนวิชาฆ่าสัตว์ ยิงธนู ล่าเนื้อ
ลูกไม่อยากทำลายชีวิตอื่นแล้วเอามาเลี้ยงชีวิตเราขอรับ"
ทุกูลกุมารบอกกับพ่ออย่างมุ่งมั่นด้วยจิตใจอันอ่อนโยน
พรานผู้พ่อไม่เข้าใจจึงว่า

"แล้วเจ้าจะทำมาหากินอย่างไร ในเมื่อเจ้าก็เกิดมาอยู่ในบ้านพรานเช่นนี้
ถ้าคิดรังเกียจการล่าสัตว์ล่าเนื้อ ก็คงต้องไปเดินทางสายอื่นของเจ้า"

"ถ้าเช่นนั้น ลูกก็ขอไปออกบวชขอรับท่านพ่อ"

นับแต่นั้น ทุกูลและปาริกาก็ชวนกันออกจากบ้านนายพรานไปอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำมิคสัมมตา
บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าอย่างสงบสุข

กำเนิดในป่า เลี้ยงบิดามารดาฤาษี

ยามนั้นพระอินทร์บนสรวงสวรรค์คิดช่วยเหลือคนทั้งสอง
จึงให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตรบรรณศาลาให้
และพระอินทร์ยังทรงห่วงภายหน้าว่า
คนทั้งสองจะต้องเสียดวงตาด้วยผลกรรมเก่าแล้ว
ถ้าไม่มีผู้ปรนนิบัติดูแลคนทั้งสองจะอยู่ได้สะดวกสบายอย่างไร
ดังนั้นพระอินทร์จึงจำแลงกายไปหาทุกูลและปาริกา
แนะวิธีที่จะให้ทั้งสองมีบุตรได้โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันทางกามารมณ์

"เมื่อถึงวาระที่ภรรยาของท่านมีระดู
ท่านจงเอามือของท่านลูบท้องของนาง ๓ ครั้ง
แล้วนางก็จะตั้งครรภ์ได้"

เมื่อทุกูลกระทำตามเช่นนั้น ในไม่ช้าปาริกาก็ตั้งครรภ์
และคลอดบุตรชายผิพรรณงามดั่งทอง
จึงขนานนามว่า "สุวรรณสาม"
ซึ่งเป็นเด็กที่มีจิตใจอ่อนโยนอาทรและ
มีความประพฤติดีงามเหมือนบิดามารดา

ด้วยความที่มีบุญญาและความเมตตาปรานี
ยามบิดามารดาออกไปหาผลไม้ในป่า
เด็กชายสุวรรณสามก็จะมีเพื่อนเล่นเป็นพวกกินรี
และสัตว์ป่าทั้งหลายที่มาแวดล้อมชิดใกล้มิได้ทำอันตรายใด ๆ

เมื่อสุวรรณสามเจริญวัยได้ ๑๖ ปีแล้ว
ก็ไม่อยากให้บิดามารดาต้องลำบากออกไปเก็บผลหมากรากไม้ตามลำพัง
จึงแอบสะกดรอยตามไปจนล่วงรู้เส้นทางดีว่าจะต้องไปหายังหนแห่งใดบ้าง
จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่ทุกูลและปาริกาเข้าป่าไปหาผลหมากรากไม้
ก็ประสบพายุลมฝนพัดกระหน่ำจนต้องเข้าไปหลบพายุใต้ร่มไม้เหนือจอมปลวก
ซึ่งเป็นที่อยู่ของงูเห่ามีพิษร้าย

งูเห่านั้นเมื่อถูกบุกรุกก็โกรธ จึงพ่นพิษงูออกมาใส่ดวงตาของทุกูล
และปาริกาจนดวงตามืดบอดมองอะไรไม่เห็น

อันผลกรรมเก่านี้เนื่องเพราะในชาติปางก่อน
ทุกูลเป็นแพทย์ที่รักษาตาให้เศรษฐีแล้วมิได้ค่ารักษา
ปาริกาผู้ภรรยาจึงโกรธและให้เอายาป้ายตาให้บอดเสีย
บาปนี้จึงติดตามมาสนองในชาตินี้

ฝ่ายสุวรรณสามเห็นบิดามารดาหายไปนานจนเย็นย่ำแล้ว
จึงออกจากบรรณศาลาไปตามหา เมื่อพบว่าบิดามารดาถูกพิษงูตามืดบอด
สุวรรณสามก็ร้องไห้แล้วก็หัวเราะออกมา

"ลูกหัวเราะเรื่องนี้ทำไมรึ" บิดามารดาถามอย่างไม่เข้าใจ

"ก็ลูกจะได้ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่สักทีไงเล่า
ที่ร้องไห้นั้นด้วยเพราะเสียใจกับเคราะห์กรรมของพ่อแม่
แต่ดีใจยิ่งนักที่จะได้รับใช้พ่อแม่สืบไป"

ปรนนิบัติอย่างงดงาม


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2012, 10:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8:
อนุโมทนาแล้วๆๆ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2012, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


จากนั้นสุวรรณสามก็ให้บิดามารดาเกาะไม้เท้าเดินกลับบรรณศาลาอาศรม
แล้วสุวรรณสามก็ปฏิบัติบำรุงบิดามารดาอย่างดีเลิศ
นำเชือกมาผูกไว้เป็นราวยังที่เดินจงกรม และที่ต่าง ๆ
รอบอาศรมเพื่อให้บิดามารดาเกาะแล้วเดินไปได้สะดวก

ยามเช้าปัดกวาดจัดที่นั่งที่นอนให้เรียบร้อยออกไปตักน้ำที่แม่น้ำมิคสัมมตา
จากนั้นจึงออกไปขุดเผือกมันหาผลหมากรากไม้
ยามเย็นก่อไฟต้มน้ำล้างมือและเท้าให้บิดามารดา
ตัวเองก็กินผลไม้ที่เหลือจากบิดามารดาแล้ว
มีความสุขสงบด้วยกัน ๓ คน เป็นที่ตื้นตันแก่บิดามารดานัก

เคราะห์กรรม


ต่อมาได้มีพระเจ้ากบิลยักราช กษัตริย์กรุงพาราณสีได้เสด็จตามลำพัง
เพื่อมาล่าสัตว์ในป่าด้วยความโปรดปราน
ครั้นเมื่อพระราชาเสด็จประพาสผ่านมาทางแม่น้ำมิคสัมมตา
ทรงพบ เห็นรอยเท้ากวางมากมาย จึงหลบซุ่มในพุ่มไม้หวังยิงกวาง
ซึ่งในไม่ช้าหมู่เนื้อและกวางต่างก็ตามสุวรรณสาม
มาที่ริมแม่น้ำราวกับเป็นบริวารที่จงรัก

พระราชามิเคยเห็นว่าจะมีผู้คนอยู่ในป่าลึกแห่งนี้
อีกทั้งความสง่างามของสุวรรณสาม พระราชาจึงทรงดำริว่า

"เออหนอ คนผู้นี้เป็นคนหรือเทพยาแห่งป่าหิมวันต์กันหนอนี่
หรือว่าเป็นนาคป่า หากเราเข้าไปใกล้คงจะเหาะเหินหายไป
สู้เรายิงให้บาดเจ็บดีกว่าจะได้เข้าไปดูให้รู้แน่"

ดำริดังนั้นพระราชาจึงทรงธนูอาบพิษ
แล้วน้าวคันศรยิงลูกธนูเล็งไปทางสุวรรณสาม
ที่กำลังตักน้ำขึ้นแบกบ่าพอดี

ลูกธนูปักเข้าที่ร่างของสุวรรณสามหมู่ฝูงสัตว์ตกใจหนีกันไปสิ้น
สุวรรณสามยกหม้อน้ำจากบ่าลงวางบนทรายแล้วร้องออกไปว่า

"ผู้ใดยิงเราขอให้ออกมาเถิด เราไม่ใช่เนื้อใช่สัตว์
ท่านจะยิงเพื่อประโยชน์ใดกัน ท่านจงออกมาเถิด
เราไม่ทราบว่าท่านต้องการอะไรจากเรา"

พระราชาสดังฟังดังนั้นก็ประหลาดพระทัย
ที่เห็นบุรุษหนุ่มรูปงามถูกยิงแล้วยังไม่ก่นด่าเคืองแค้น
กลับร้องเรียกด้วยถ้อยคำอ่อนโยน
พระราชาจึงเสด็จออกมาและตรัสว่า

"เราคือพระราชาแห่งเมืองพาราณสีมีความชอบธรรมและช่ำชองในเชิงธนู
เจ้าละเป็นใครกันอยู่ในป่านี้กับใครบ้าง"

"ขอพระราชาทรงมีพระชนมายุยืนนานเถิด
ข้าพระองค์ชื่อสุวรรณสามเป็นบุตรของฤาษี
มิทราบว่าทำไมพระองค์จึงยิงข้าพระองค์เช่นนี้
ช้างถูกยิงเพื่อเอางา เสือถูกฆ่าเพื่อเอาหนัง
และพระองค์ทรงต้องการอะไรในตัวข้าพระองค์เล่า"

"ก็เพราะเจ้าเดินมา ฝูงเนื้อกวางจึงแตกตื่นอลหม่าน
เราตั้งใจจะยิงสัตว์" พระราชาทรงตรัสมุสา

"พระองค์มิอาจกล่าวนั้น ตั้งแต่ข้าพระองค์เกิดมา
ฝูงสัตว์ในป่าไม่เคยกลัวข้าพระองค์เลยแม้แต่น้อย
ไปไหนก็ยังตามไปด้วยกันดั่งเพื่อน
ข้าพระองค์ถูกยิงดังนี้สงสารก็แต่บิดามารดา
ซึ่งตาบอดอยู่ลำพังมิอาจตักน้ำเองได้"

พระราชาสดับฟังดังนั้นก็รีบถามความเป็นไป
สุวรรณสามจึงกราบทูลว่าตนมีบิดามารดาที่ดวงตามืดบอด
และตนเองต้องปรนนิบัติบำรุง แม้จะมีอาหารอยู่อีก ๗ วัน
แต่น้ำก็ไม่มีและคงจะเฝ้าห่วงเรียกหาตนผู้เป็นบุตรที่หายไปอย่างนี้

พระราชาทอดพระเนตรดูบุรุษกตัญญูที่นอนจมกองเลือดรำพันถึงแต่บิดามารดา
ก็ทรงสลดหดหู่ใจและสำนึกในผิดที่ทำร้ายบุตรผู้ประพฤติเลิศล้ำเพียงนี้
จึงทรงตรัสด้วยดำริจะเปลื้องบาปของพระองค์ว่า

"ดูกร พ่อหน่มที่น่าสงสาร เราผิดนักที่ยิงเจ้าเช่นนี้ เจ้าอย่าห่วงกังวลใดเลย
เราจะเลี้ยงดูบิดามารดาของเจ้าให้เหมือนกับที่เจ้าบำรุงเลี้ยง
เจ้าจงบอกทางไปอาศรมของบิดามารดาให้เราด้วยเถิด"

"เป็นพระคุณยิ่งนักแล้ว"

เมื่อสุวรรณสามชี้ทางบรรณศาลาแล้วก็แน่นิ่งไป
พระราชาทรงสลดใจยิ่งนักกับบาปที่พระองค์ก่อขึ้น
ทรงโปรยมวลดอกไม้ปะพรมน้ำและทำทักษิณา ๓ รอบ
ก่อนแบกหม้อน้ำกลับไปยังอาศรมฤาษี

แต่ฝีเท้าที่แตกต่างกันนั้น
ทำให้ดาบสและดาบสินีรู้ว่ามิใช่สุวรรณสามจึงเอ่ยว่า

"ท่านเป็นใครกันหนอ ท่านมิใช่บุตรเราเป็นแน่"

พระราชาคิดจะดูแลดาบสทั้งสองแทนสุวรรณสาม
แต่เมื่อถูกล่วงรู้เช่นนั้นจึงทรงยอมรัยว่า

"เราคือพระราชาแห่งพาราณสี มีวิชาธนูเป็นที่เลิศล้ำ"

"โอ พระราชาเสด็จป่า ขอพระองค์ทรงเสวยผลไม้เล็กน้อยนี้เถิด
และมีน้ำเย็นที่ลูกสามของข้าพระองค์ไปตักมาจากแม่น้ำด้วย
เดี๋ยวบุตรข้าพระองค์ก็คงจะกลับมาถึงแล้วพระเจ้าข้า"

พระราชาจึงตรัสความจริงว่า
พระองค์ยิงสุวรรณสามตายแล้ว
และพระองค์จะเป็นผู้บำรุงปฏิบัติแทนเองเพื่อไถ่บาปกรรมนี้

นางปาริกาได้ฟังดังนั้นก็ร่ำไห้คร่ำครวญ
แต่ทุกูลดาบสก็กล่าวต่อนางว่ามิให้ถือบาปต่อพระองค์อีกเลย
แล้วทั้งสองก็ขอให้พระราชาพาตนไปยังศพของสุวรรณสาม

ครั้นไปถึงริมฝั่งแม่น้ำ
นางปาริกาดาบสินีก็ยกเท้าของสุวรรณสามขึ้น
วางบนตักนางพรางทุกขเวทนา

"ลูกสามเอ๋ย ใครเลยจะดูแลปัดกวาดอาศรม ตักน้ำตักท่า
หาผลไม้มาให้พ่อแม่อีก ถ้าเจ้ามาจากไปอย่างนี้"

ขณะพร่ำอาดูรลูบคลำบุตรรัก
นางก็พบว่าอกของพระสุวรรณสามยังอุ่นอยู่
จึงตั้งจิตทำสัจกิริยาแก่บุตร
ขณะที่ตั้งสัตย์อธิฐานเทพธิดาซึ่งเป็นมารดาของสุวรรณสามปางก่อน
ก็มาร่วมผสานจิตใจด้วย ทุกูลดาบสและปาริกาดาบสินีก็อธิษฐานว่า

"เราผู้เป็นบิดามารดาของสุวรรณสาม มีความเศร้าโศกเป็นที่ยิ่งนัก
เราขอประกาศสัจจะว่า บุตรเราเลี้ยงดูบิดามารดาและประพฤติชอบธรรม
ขอให้อานุภาพบุญกุศลของบุตรเรา
ดลบันดาลให้พิษในตัวบุตรเราจงหายสิ้นไปด้วยเถิด"

ด้วยอำนาจอธิษฐานและแรงภาวนาแห่งสัจจวาจา
ในที่สุดสุวรรณสามก็ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

พร้อมกันนั้นดวงตาทั้งสองของบิดามารดาสุวรรณสาม
ก็พลอยสว่างไสวมองเห็นได้ดังเดิมอีกด้วย
พระราชาเห็นดังนั้นจึงทรงตรัสอย่างปิติว่า

"แม้เทวดาก็ยังมาคุ้มภัย
ให้แก่คนปฏิบัติต่อบิดามารดาอย่างชอบธรรมเช่นนี้
นับเป็นที่น่าสรรเสริญยิ่งนัก"

ฝ่ายสุวรรณสามก็กราบทูลกษัตริย์กบิลยักขราชว่า
การที่ตนฟื้นคืนสติมาได้นั้นด้วยเพราะอานิสงส์ผลบุญ
ในการที่ปรนนิบัติเลี้ยงดูมารดาบิดาให้เป็นอยู่สุขสบาย
แลตัวพระองค์ผู้เป็นราชานั้นก็เสมือนดั่งร่มไม้ใหญ่
ที่ต้องแผ่ร่มเงาแก่ผู้คนทั้งปวง
ดังนั้นพระองค์สมควรจะปฏิบัติอย่างดีต่อพระราชบิดาพระราชมารดา
รวมไปถึงเหล่าโอรสธิดาและไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งปวง
ให้พวกเขาเกิดความสงบสุขสบายทั่วหน้า

สุวรรณสามยังทูลขอให้พระองค์บำรุงเหล่าสมณพราหมณ์
มีเมตตาต่อสรรพสัตว์ ตั้งอยู่ในกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต คือ
การทำดี พูดดี และคิดดีนั่นเอง
หากประพฤติให้งดงามดั้งนี้พระองค์ก็ย่อมมีเทวดารักษาคุ้มครอง
และได้ไปเสวยสุขในภพสวรรค์ต่อไป

พระราชาสดับฟังแล้วเกิดศรัทธาและสำนึกในสัจธรรมนั้น
พระราชาทรงขออภัยสุวรรณสาม แล้วเสด็จกลับนคร
ทรงเลิกการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและบำเพ็ญกุศลอย่างมุ่งมั่นมิเคยขาดหาย

สุวรรณสามก็ได้บำรุงปรนนิบัติบิดามารดา
และบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์ตราบจนสู่ห้วงภพสุคติ


คติธรรมในชาดกนี้ว่าด้วยเรื่องของความมีเมตตาจิต
ซึ่งจะทำให้ชีวิตสุขสงบได้โดยไร้ภยันอันตรายใด ๆ
ธรรมนั้นคือเกราะแก้วมิให้ถูกผู้ใดทำร้ายได้เป็นแน่แท้


ทศชาติที่ ๔ พระเนมิราช...

รายละเอียด : ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงบิณฑบาตแล้วเสด็จประทับ
ณ อัมพวัน สวนมะม่วง กรุงมิถิลา และพระอานนท์กับ
พระภิกษุทั้งมวลได้กราบทูลอาราธนาให้พระองค์
ทรงโปรดปรานเล่าเรื่องอดีตชาติดังต่อไปนี้

เมื่อครั้งอดีตกาล พระพุทธเจ้าทรงเสวยพระชาติเป็นพระราชาครองมิถิลานคร
มีพระนามว่า "มะฆะเทวราช"

ซึ่งการครองบัลลังก์ของราชวงศ์นี้จะเป็นไปตามสัตย์อธิษฐานว่า
เมื่อเกศาหงอกเมื่อใดก็จะทรงออกผนวชและยกราชสมบัติให้พระราชโอรสต่อไป
ดังนั้นเวลาที่ช่างภูษามาลามาตบแต่งพระเกศาพระราชาก็จะทรงรับสั่งเสมอว่า
ถ้ามีพระเกศาหงอกก็จงทูลให้ทรงทราบด้วย

เทพบุตรจุติ

ยามนั้นเทพบุตรบนสวรรค์นาม "เนมิราช"
เล็งเห็นว่าราชวงศ์กษัตริย์นี้อาจจะมิมีผู้ใดสืบสันติวงศ์ต่อไป
จึงจุติลงมากำเนิดในครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้ามะฆะเทวราช
เมื่อประสูติออกมาก็ได้รับพระนามว่า "เนมิราช"
ด้วยว่าเหล่าพราหมณ์คิดว่าพระราชโอรสประสูติมาแล้ว
ก็ต้องกระทำตามกฎสัตย์อธิษฐานของราชวงศ์ที่ต้องขึ้นครองราชย์
และก็ต้องออกบรรพชาเมื่อพระเกศาหงอกแล้ว


พระเนมิราชเมื่อทรงเยาว์ก็มีพระทัยเปี่ยมด้วยเมตตาธรรมทรงตั้งโรงให้ทาน
และพระราชทานทรัพย์วันละหลายแสน พระองค์เองก็ทรงถือศีล ๕
ประพฤติปฏิบัติธรรมเคร่งครัด

ต่อมาพระเนมิราชทรงได้ขึ้นครองราชย์แทนพระบิดาซึ่งออกบรรพชาไปแล้ว
พระองค์ทรงสงสัยเรื่องการให้ทานกับการถือศีลว่าอานิสงส์สิ่งใดจะมากกว่ากัน
พระอินทร์จึงเสด็จจากทิพย์อาสน์ลงมายังห้องบรรทมของพระเนมิราช
แล้วตอบความคลางแคลงพระทัยนั้นว่า

"ดูกรสมมติเทพ ผลบุญของการถือศีลนั้นมากกว่าการให้ทานหลายร้อยเท่า
หากถือศีลเจริญสมาธิแล้วก็จะได้นิพพาน ไปเกิดในพรหมโลก
ดังนั้นขอให้ท่านจงอุตสาหะหมั่นถือศีลมิรู้เสื่อมสิ้น"

เมื่อพระเนมิราชสดับฟังดังนั้นก็นิมนต์สงฆ์มาเทศนาสั่งสอน
ไฟร่ฟ้าข้าแผ่นดินเนือง ๆ พระองค์เองก็รักษาศีล
และพร่ำอบรมให้เสนาอำมาตย์และพสกนิกรถือศีลให้เคร่งครัด

เสด็จชมสวรรค์-นรก


บรรดาไฟร่ฟ้าเมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดาในพรหมโลก
ต่างก็สำนักว่าเป็นเพราะพระเนมิราชสั่งสอนให้ตน
รักษาศีลรักษาธรรมนั่นเอง จึงอยากชมพระบารมีพระเนมิราช
พระอินทร์จึงให้พระมาตุลีเทพบุตรเทียมเวชยันต์ราชรถลงไปยังมิถิลาพระนคร
เพื่อเชิญเสด็จพระเนมิราชขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์

พระเนมิราชทรงลาเสนาอำมาตย์ขึ้นราชรถไป
ครั้นถึงระหว่างทางพระมาตุลีเทพบุตรจึงกราบทูลว่า

"พระองค์จะเสด็จสู่นรกภูมิก่อนหรือไม่ บรรดาสัตว์ที่กระทำบาป
หยาบช้าเมื่อพบพระองค์บำเพ็ญกุศลศีลทาน อาจได้ไปเกิดในสวรรค์บ้าง"

"ถ้าเช่นนั้น ท่านจงพาเราไปชมนรกก่อนเถิด จากนั้นค่อยไปทางสวรรค์"

เมื่อพระเนมิราชตกลงดังนั้น พระมาตุลีเทพก็นำเสด็จไปยังชั้นนรก
ในภูมินรกนั้นมีธารน้ำอันเดือดเป็นนิจ
มีเปลวรุ่งโรจน์แผดเผาให้เร่าร้อนมิมีวันดับ
นายนิรยบาลก็ยืนถือดาบใหญ่และหอกยาวคอยทิ่มแทง
สัตว์นรกทั้งปวงเมื่อเจ็บปวดก็กระโดดลงแม่น้ำเวคะตะระณีนัทที
ซึ่งมีแต่หนามหวายคมดั่งกรด
เมื่อถูกเนื้อตัวส่วนใดเนื้อก็ขาดแหว่งทันที
หากหนีจากหนามหวายก็เจอฉมวกหลาวเสียบเข้าร่างกาย
ตกลงไปสู่บัวเหล็กก็ถูกบาดให้ขาดเป็นท่อน
ตกลงไปในน้ำร้อนเดือดเป็นพวยพุ่ง หนีขึ้นฝั่งก็ถูกทิ่มแทงสกัดไว้
มีคีมคีบถ่านแดงใส่ปากให้แสบร้อนทุรนทุราย
เป็นนรกขุมที่คนผู้เคยรักแกคนที่อ่อนแอกว่าต้องมารับกรรม

อีกด้านหนึ่งมีสุนัขตัวดั่งช้างคอยไล่กัดกิน
มีนกแร้งคอยรุมแทะไส้พุงและกระดูก
เหล่าสัตว์นรกร่างกายฉีกขาด
ต่างก็ร่ำร้องคร่ำครวญโหยหวนไปทั่วทุกแห่ง

คนที่ฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์ก็จะถูกหิ้วคอด้วยพรนเหล็ก
ถูกกวัดแกว่งแล้วโยนใส่น้ำร้อนจนตายไป
ไม่นานก็ฟื้นใหม่มาถูกรัดคอจนตายแล้วตายอีก

คนที่เคยคดโกงเงินทาน
ก็จะถูกโยนลงไปในถ่านเพลิงให้ไฟไหม้ท่วมตัว

คนที่ใจบาปหยาบช้า ก็จะถูกทุบตีด้วยกระบองเหล็กจนตัวแหลกราญ
ร่างลุกเป็นเปลวไฟดิ้นพล่านอย่างปวดแสบเจ็บแสน

คนที่ฆ่าบุพการี ก็จะกลายเป็นสัตว์นรกเหม็นเน่า
ต้องดื่มกินเลือดหนองของตัวเองต่างน้ำยามหิวกระหาย

คนที่มีชู้ ก็ถูกไล่ทิ่มแทงให้ปีนต้นงิ้วที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคม
ตกลงมาก็ถูกฝังทับด้วยภูเขาเหล็กจนร่างปี้ป่น
เกิดเสียงดังกำปนาทน่าระทึกหวาดผวา

นรกขุมต่าง ๆ ๑๕ ขุมนั้นมีดังนี้คือ
เวตรณีนรก นรกสุนัข นรกทองแดง นรกหม้อทองแดง
นรกถ่านเพลิง นรกโซ่ทองแดง นรกแหลมหลาว นรกทุบตี
นรกแม่น้ำแกลบ นรกน้ำหนอง นรกคูถ นรกเป็ด
นรกสัตว์อุบาทว์ นรกบ่อไฟ นรกภูเขา-เหล็กไฟ

ภาพขุมต่าง ๆ ในนรกทั้ง ๑๕ ขุมทำให้พระเนมิราชสลดหดหู่พระทัย
และประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก ขณะนั้นองค์อินทร์ได้ส่งเทวบุตรมาเตือน
ให้พระมาตุลีเทพรีบเชิญเสด็จพระเนมิราชสู่ภพของสวรรค์
ด้วยเกรงว่าเวลาของพระชนมายุจะหมดลงเสียก่อน
หากใช้เวลาในนรกภูมินานเกินไป
พระมาตุลีเทพบุตรจึงขับรถเวชยันต์สู่สวรรค์

บนชั้นวิมานแมนนี้ มีเทพธิดาเทพบุตรมากมาย
คนบางคนเคยเป็นทาสรับใช้พราหมณ์
ได้รับทรัพย์จากพราหมณ์นำไปซื้อเครื่องไทยทานถวายภิกษุ
เมื่อตายก็ได้จุติเป็นนางฟ้านางสวรรค์

พระมาตุลีเทพบุตรได้นำราชรถเสด็จผ่านสวรรค์ทั้ง ๗ ขั้น
แต่ละชั้นวิมานนั้นมีแต่แสงรุ่งเรืองพราวพราย
ดั่งรัศมีทรงกลดของดวงอาทิตย์

ในวิมานแก้ววิมานทองนั้นมีเทวบุตร ๑ องค์
แวดล้อมพร้อมพรักด้วยเหล่านางอัปสร

เทวบุตรในวิมานหนึ่งเคยเป็นคหบดีนาม "โสณทินนะ"
อยู่ที่เมืองกาสักราช ได้หมั่นทำบุญสร้างอุโบสถ ๗ อุโบสถ
ถวายจตุปัจจัยทั้ง ๔ แก่ภิกษุสงฆ์
จิตใจยึดมั่นรักษาศีลประพฤติชอบด้วยธรรม
เมื่อดับจิตแล้วจึงมากำเนิดเป็นเทวบุตรอยู่ในวิมานแก้วดังนี้เอง

เมื่อเล่าความแต่ละหนทางที่เคลื่อนรถผ่านแล้ว
พระมาตุลีเทพก็นำเสด็จพระเนมิราชไปชมวิมานแก้วสูง ๒๕ โยชน์
ประดับ ๗ แก้วแวววาว ฉัตรเงินฉัตรทองส่องแสงรุ่งรัศมี
มีสระโบกขรณีที่ผนังล้วนเป็นผลึกแก้ว
มีเทพบุตรเทพธิดาเสพย์ทิพย์อยู่ทั่วสถาน

พระเนมิราชทรงตรัสถามว่า
เทพเหล่านั้นประพฤติชอบใดเมื่อยังเป็นมนุษย์

พระมาตุลีเทพบุตรกราบทูลว่า
เทพเหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์ได้รักษาศีลบำเพ็ญทานอยู่ตลอดชีวิต
เมื่อตายจึงได้มาเกิดเป็นเทพอยู่บนวิมานชั้นนี้

วิมานแก้วไพฑูรย์และวิมานแก้วผลึกก็เป็นของเทพที่เคยบริจาค
ถวายจีวรให้สงฆ์ในฤดูหนาว วิมานทองนั้นเป็นของเทพที่เคยรักษาศีล
ถวายทานบิณฑบาตให้ทานคนยากไร้อนาถา สร้างพระอารามถวายสงฆ์

ในแต่ละชั้นวิมานมีแต่เสียงมโหรีไพเราะ
และกลิ่นหอมฟุ้งขจรของมวลพฤกษาบุปผชาติสวรรค์
แต่มิทันจะครบถ้วนทุกวิมานพระอินทร์จึงให้มหาชวนะเทพบุตร
มาตามด้วยเกรงว่าจะหมดพระชนมายุพระเนมิราชเสียก่อน

พระมาตุลีเทพบุตรจึงขับราชรถผ่านภูเขาและแม่น้ำสีทันดร
ซึ่งมีสายน้ำลึกนักมิอาจมีสิ่งใดข้ามได้แม้แต่เรือ แพ
หรือเกล็ดแววนางนกยูง ริมน้ำมีเขา ๗ ชั้น
เรียงดั่งอัฒจันทร์ เป็นที่อยู่ของกินนร
วิทยาธร คนธรรพ์ และยักษ์

หน้าประตูชั้นดาวดึงส์มีรูปพระอินทร์ประดิษฐ์ไว้
ในเมืองกว้างกว่า ๑ หมื่นโยชน์ เหนือยอดเขาพระสุเมรุ
ล้อมรอบด้วยซุ้มทวารแก้วและกำแพงทองประดับแก้ว ๗ ประการ

พื้นทั่วไปนั้นมิมีฝุ่นผง มีแต่มวลบุปผานานาพันธุ์ออกดอกโต
และส่งกลิ่นหอมรวยรินทั่วทุกหน

พระเนมิราชถูกเชิญเสด็จสู่โรงสุธัมมาเทวสถาน
เหล่าทวยเทพยดาและเทพธิดาพากันนำดอกไม้
และเครื่องหอมทิพย์มาสักการะบูชาพระเนมิราช
และอันเชิญเสด็จให้เสวยสิริสุขอยู่บนสรวงสวรรค์
อันเป็นทิพย์นิรันดร์

หากทว่าพระเนมิราชทรงตรัสว่า

"เรามิมีประสงค์เช่นนั้น
เราได้เห็นผลกรรมของมนุษย์ที่น่าทุกขเวทนายิ่งนัก
ให้รู้สึกสลดหดหู่ใจเหลือเกิน และเราก็ปีตินัก
ที่ได้เห็นคนได้ผลบุญจนมาเสวยสุขในชั้นวิมาน
เราจึงปราถนาจะได้สั่งสอนคนให้รู้จักประกอบคุณงามความดีไว้
เพื่อมิต้องมาตกนรกหมกไหม้ดังนี้"

จากนั้นพระเนมิราชก็ทรงแสดงธรรมและสรรเสริญพระมาตุลีเทพบุตร
แล้วจึงร่ำลากลับมายังเมืองมนุษย์

พระเนมิราชทรงตรัสเล่าเรื่องราวที่ทรงทอดพระเนตรมาในเมืองนรก
และเมืองสวรรค์อย่างละเอียดให้แก่ข้าราชบริพารและชาวเมือง
เมื่อได้ฟังความน่ากลัวของนรกและความงดงามของสวรรค์แล้ว
เหล่าชาวเมืองก็ตื้นเต้นและตระหนักในเรืองบุญและกรรมกันยิ่งขึ้น

พระเนมิราชได้ทรงปฏิบัติมโนปณิธานของพระองค์
รักษาศีลส่งสอนไพร่ฟ้าเสนาอำมาตย์ให้หมั่นทำความดีทำการกุศลมิได้ขาด
แล้วจึงเสด็จออกบรรพชาอยู่ในอัมพวันอุทยานของมิถิลาพระนคร
และได้เสด็จจุติในสวรรค์ชั้นฟ้าเมื่อทรงสวรรคตแล้ว

เนมิราชชาดกเรื่องนี้มีคติธรรมสอนถึงการหมั่นรักษาความดี
ประพฤติชอบโดยตั้งใจ โดยมุ่งมั่น หากทำความดีแล้วย่อมได้ดี
ประพฤติชั่วย่อมได้ผลชั่วตอบแทน นี้เป็นเรื่องที่สมควรยึดมั่นโดยแท้


ทศชาติที่ ๕ พระมโหสถ...

รายละเอียด : บรรดาพระภิกษุที่มาประชุมสรรเสริญพระปัญญาบารมี
ของพระบรมศาสดา ณ เชตวันวนารามได้กราบทูล
ขอให้พระองค์ทรงประทานเล่าเรื่องอดีตชาติ
เมื่อครั้งพระองค์ทรงเสวยพระชาติ
เป็นผู้ประพฤติเพื่อประโยชน์โพธิญาณ
พระพุทธเจ้าทรงโปรดเป็นพระธรรมเทศนาดังนี้

เมื่อครั้งสมัยอดีตกาล
กรุงมิถิลามีพระราชาองค์หนึ่งพระนาม "วิเทหะ"
พระองค์ทรงมีราชบัณฑิต ๔ คน มีนามว่า
เสนกะ ปุตกุสะ กามินท์ และเทวินทะ
เป็นราชบัณฑิตประจำสำนักคอยถวายทางธรรมแก่พระราชานานมา

คืนหนึ่ง พระเจ้าวิเทหะทรงสุบินว่า
มีกองไฟกองใหญ่สุมโชนโชติช่วงอยู่ที่มุมพระลานมุมละ ๑ กอง
และตรงกลางพระลานมีกองไฟน้อย ๑ กอง ที่ลุกรุ่งโรจน์กว่าไฟกองใหญ่
บรรดาเทวะและผุ้คนต่างก็มาสักการบูชากองไฟนั้นด้วยบุปผชาติ
และเครื่องหอมนานา เมื่อสะดุ้งตื่นบรรทมขึ้นมาพระราชาจึงให้ ๔ บัณฑิต
แห่งสำนักทำนายพระสุบินนั้น

ราชบัณฑิตทั้ง ๔ ถวายคำทำนายว่า
ในมิถิลาจะมีคนมีบุญญาธิการมากำเนิด
คือกองไฟกองน้อยกลางลานนั้นเอง
และที่ลุกโชนรุ่งโรจน์ยิ่งกว่า ๔ กองไฟมุมพระลานนั้น
ก็หมายความว่าบัณฑิตผู้เปี่ยมบุญนั้นจะมีปัญญาเหนือกว่าพวกตน
คือบัณฑิตทั้ง ๔ แห่งพระนครนี้อีกด้วย

ในเวลานั้น ทางทิศตะวันออกของนคร
มีบ้านของเศรษฐีนาม "สิริวัฒกะ" และนางสุมนาเทวีผู้ภรรยา
ได้คลอดทารกชายที่มีผิวเปล่งปลั่งดั่งทองทา
อีกทั้งในมือทารกน้อยยังถือแท่งโอสถติดมา ๑ แท่ง
เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
อันตัวเศรษฐีสิริวัฒกะผู้มีโรคปวดศีรษะเรื้อรังมา ๗ ปีแล้ว
เมื่อได้แท่งยานั้นทาศีรษะก็ปรากฎว่าโรคหายขาดทันตาเห็น
อานุภาพของยานี้ทำให้ผู้คนต่างพากันมาขอยาวิเศษนี้กันทั่วถ้วน

กุมารน้อยสร้างศาลาธรรม

กุมารน้อยนี้จึงได้นามว่า "มโหสถ"
และในวันที่กำเนิดก็มีเด็กกำเนิดพร้อมกันอีก ๑ พันคนด้วย
เด็กทั้งพันคนต่างก็ได้ของกำนัลจากเศรษฐีสิริวัฒกะ
เพื่อเป็นมงคลโดยทั่วกัน

เมื่อพระมโหสถอายุ ๗ ปีเต็ม
พระมโหสถเล่นหัวกับเพื่อน ๆ ทุกวันก็เห็นว่าถูกแดดถูกฝน
จึงให้ทุกคนนำเงินมาคนละ ๑ ตำลึง รวบรวมได้ ๑๐๐๐ ตำลึง
จึงนำไปให้ช่างสร้างศาลาเป็นส่วน ๆ

ในศาลานั้นมีห้องสำหรับหญิงอนาถามาคลอดทารก
ห้องสำหรับสมณพราหมณ์มาพักพิง
ห้องสำหรับคนเดินทางแวะพักและห้องสำหรับเล่นกัน
รวมเป็น ๔ ห้องใหญ่

ภายในศาลาก็ให้มีภาพจิตรกรรมผนัง รอบศาลาให้ขุดสระบัว
ปลูกสวนไม้ดอกให้ชื่อว่า "สวนนันทวัน"

ฝ่ายพระราชานั้นก็ให้ราชบัณฑิตทั้ง ๔
ออกตามหาเด็กผู้มีบุญที่ทรงสุบินเมื่อ ๗ ปีก่อน
เสนกะบัณฑิตไปทางตะวันออก ก็พบบุตรเศรษฐีสร้างศาลา
และเปิดวินิจฉัยคดีความแก่ชาวบ้านอยู่เนือง ๆ
จึงไปกราบทูลพระราชาทราบ
พระราชาเชื่อมั่นว่าเด็กคนนี้แหละคือผู้มีบุญญาธิการแน่
แต่เสนกะบัณฑิตกลับทูลคัดค้าน
ด้วยเกรงจะมีบัณฑิตอื่นที่มาเป็นปราชญ์แทนที่หรือเหนือกว่าตน
จึงทูลว่ายังไม่อาจกล่าวได้ว่ามีปัญญาบารมีจริง

พระราชาจึงทรงยับยั้งไม่รับตัวพระมโหสถเข้าวัง
แต่ทรงให้เสนาอำมาตย์ไปเฝ้าดูปัญญาบารมีของพระมโหสถ
แล้วให้นำเรื่องราวมากราบทูลเพื่อความมั่นพระทัย
เรื่องราวต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2012, 09:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8:
อนุโมทนาแล้วๆๆ..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 35 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร