วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 07:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าทุกข์รายแรกของช่วงบ่ายเป็นสตรีสาวสวยซึ่งมาด้วยกันสามคน คนที่มีท่าทางเป็นผู้นำรายงานว่า "พวกหนูมาจากวิทยาลัยครู...ค่ะ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นั่น" หล่อนออกชื่อวิทยาลัยครูแห่งหนึ่ง
"อ้อ" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงมองหน้าหล่อนทีละคนแล้วถาม "ชื่ออะไรกันบ้างล่ะ อาจารย์อะไรจ๊ะ"
"หนูชื่อยุพาพร คนซ้ายมือชื่ออาจารย์กุลนที ส่วนคนขวามือชื่ออาจารย์กวิศญา คนนี้เพิ่งบรรจุค่ะ คนเป็นผู้นำพูดเสียงดังฟังชัด
แล้วรู้จักวัดนี้ได้ยังไง ทำไมถึงมาถูกล่ะจ๊ะ"
"คุณแม่หนูเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อค่ะ เคยมาเข้ากรรมฐานหลายครั้ง คุณแม่เป็นคนบอกทางให้ค่ะ ลูกสาวของลูกศิษย์ท่านพระครูตอบ
"ยังงั้นหรอกหรือ คุณแม่ชื่ออะไรล่ะจ๊ะ"
"ชื่อสอาดค่ะ หลวงพ่อจำได้หรือเปล่าคะ คุณแม่หนูสวย ผิวขาว ไม่ดำอย่างหนูหรอกค่ะ" คนชื่อกวิศญาพูดเสียงแจ๋ว ๆ
"แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่ขาวเหมือนคุณแม่ล่ะ หรือว่าคุณพ่อผิวคล้ำ" ท่านเลี่ยงมาใช้คำว่า "คล้ำ" แทน "ดำ"
"คุณพ่อก็ขาวค่ะ พี่น้องสามคนก็ผิวขาดหมด มีหนูดำอยู่คนเดียว เพราะตอนหนูอยู่ในท้องคุณแม่ คุณพ่อไปติเพื่อนบ้านคนนึง ชื่อนายหละ ติเขาได้ทุกวันว่า "ตาคนนี้ยิ้มเห็นแต่ฟัน" หนูออกมาก็เลยดำเหมือนตาหละค่ะ คุณแม่โกรธคุณพ่อมากเลย ทำไมคุณพ่อว่าคนอื่นแล้วกรรมต้องมาตกที่ลูกตัวด้วยล่ะคะ" หล่อนถาม
"เขาเรียกว่า "กรรมจัดสรร" คนโบราณเขาถึงได้สอนเอาไว้ว่า เวลาท้องอย่าเที่ยวไปติใคร เหมือนคนที่อาตมารู้จัก แกไปติลูกของเพื่อนบ้านว่าปากแหว่ง พอแกคลอดลูกออกมา โอ้โฮ ปากแหว่งเหมือนลูกของเพื่อนบ้านเปี๊ยบเลย"
"ถ้าอย่างนั้นเวลากำลังท้องต้องชมว่าเขาสวยใช่ไหมคะ" อาจารย์สาววัยยี่สิบเอ็ดบอกสองเรียนถาม
"ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ใช่หลับหูหลับตาชมนะ เดี๋ยวไปเห็นคนปากแหว่ง ตาเหล่ แล้วไปชมเขาว่าสวย ลูกออกมาก็เลยสวยอย่างนั้นบ้าง" คำพูดของท่านเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งกุฏิ "อ้าว นี่พูดจริง ๆ นา อย่าทำเป็นหัวเราะ"
"จริงค่ะหลวงพ่อ หนูก็เคยเห็นมาแล้ว ที่หน้าวิทยาลัยหนู มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาชีพขายถ่าน ตัวดำทั้งคู่ แต่ลูกสาวแกสวยมาก ผิวขาวยังกับหยวก คนเขาสงสัยก็พากันไปถามแก แกก็เล่าให้ฟังว่า ตอนแกตั้งท้อง แกเอารูปนางงามมาติดไว้ข้างฝา แล้วก็ดูทุกวันวันละ ๔ เวลาหลังอาหารและก่อนนอน พอลูกแกออกมาก็เลยหน้าตาเหมือนนางงามในรูป เมื่องานฤดูหนาวที่ผ่านมา เขามีการประกวดนางงามประจำจังหวัด ลูกสาวแกได้ที่หนึ่งค่ะ" อาจารย์กุลนทีเป็นคนเล่า ท่านเจ้าของกุฏิจึงสรุปให้ญาติโยมฟังว่า
"ที่พูดมานี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลไร้สาระนะ ญาติโยมโปรดจำไว้ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นั้นมีผล มีวิบาก กฎแห่งกรราทำหน้าที่ของมันตลอดเวลา เพียงแต่ว่ามันจะปรากฏให้เห็นเร็วหรือช้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าใครกลัวทุกข์ ก็จงทำ จงพูด จงคิด แต่ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เอาละ แล้วอาจารย์ทั้งสามมีอะไรจะให้อาตมาช่วยหรือเปล่า" ท่านเปิดโอกาสให้สตรีทั้งสาม
"อาจารย์กวิศญาเขามีปัญหาค่ะหลวงพ่อ" อาจารย์ยุพาพรช่วยเกริ่นให้
"ว่าไปเลยจ้ะ อาจารย์ว่าไปเลย" ท่านเจ้าของกุฏิกล่าวอนุญาต
"ให้พี่กุลนทีเล่าดีกว่าค่ะ เพราะเขาเป็นคนทำให้ปัญหาเกิดขึ้น" คนมีปัญหาเกี่ยงเพื่อน
"ไม่ต้องเกี่ยงกัน เอาละ อาตมาจะเป็นคนตัดสินเอง ในฐานะที่อาจารย์ยุพาพรไม่ใช่คู่กรณี อาจารย์ลองเล่าไปตามความเป็นจริงก็แล้วกัน" เมื่อท่านพูดมาอย่างนี้ อาจารย์สาวจึงจำต้องเล่า
"เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะหลวงพ่อ อาจารย์กวิศญาเขามาอยู่บ้านเดียวกับหนู เพราะยังไม่ได้บ้าน บ้านพักอาจารย์มีจำกัดค่ะ คนที่บรรจุใหม่จึงต้องรอ หากมีการโยกย้ายหรือมีการแต่งงานระหว่างอาจารย์ด้วยกัน คู่แต่งงานก็ต้องย้ายมาอยู่บ้านหลังเดียวกัน ก็จะมีบ้านว่างหนึ่งหลัง ทางวิทยาลัยก็จะจัดการว่าใครควรจะได้บ้านก่อนใคร
ระหว่างที่รอบ้าน หนูจึงชวนเขามาอยู่ด้วย ก็อยู่กันสบาย ๆ ไม่มีปัญหาอะไร มาเมื่อสองวันก่อน อาจารย์กวิศญาเขาอยากกินมะม่วงน้ำปลาหวาน เขาก็โขลกกุ้งแห้งเป็นการใหญ่ แล้วจะเป็นเพราะเขาหิวมากหรือเขาแรงมากก็ไม่ทราบ คุณเธอโขลกเสียครกบ้านหนูแตกออกเป็นสองกระบิเลยค่ะ หนูก็บอกเขาว่าไม่เป็นไร แตกก็ซื้อใหม่ได้ ที่ตลาดมีเป็นพะเรอเกวียน เขาก็บอกจะไปซื้อมาใช้ พอดีอาจารย์กุลนทีมาเห็นเข้าเธอตกใจใหญ่ บอกว่าคนทางบ้านเธอเขาถือกันมาก ใครตำน้ำพริกจนครกแตก แสดงว่าคน ๆ นั้นกำลังมีเคราะห์จะต้องสะเดาะเคราะห์ด้วยการอุ้มครกที่แตกนั้นวิ่งรอบบ้านเจ็ดรอบ" อาจารย์สาวพูดเสียงดังฟังชัด
"อ้อ ทางบ้านอาจารย์ คนเขาถือกันอย่างนี้หรือ" ท่านถามอาจารย์กุลนที
"ค่ะ"
"แล้วอาจารย์เชื่อเขาหรือเปล่า" ท่านถามคนทำครกแตก
"เชื่อเหมือนกันค่ะหลวงพ่อ ก็อยากจะสะเดาะเคราะห์อย่างที่เขาว่า แต่หนูไม่กล้าค่ะ"
"ทำไมถึงไม่กล้าล่ะ" อาจารย์ยุพาพรตอบแทนว่า
"เพราะไม่ได้อุ้มครกวิ่งอย่างเดียวค่ะ แต่ต้อง...ต้อง..."
"ต้องเปลือยกายวิ่งด้วยค่ะ คนเล่า เอามือปิดปากหัวเราะกิ๊ก ๆ คนฟังพากันหัวเราะครืน
"โอ้โฮ ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ" ท่านเจ้าของกุฏิถาม เจ้าของปัญหาจึงว่า
"นี่แหละค่ะ คือปัญหาของหนู หลวงพ่อช่วยหนูด้วยนะคะ คนมีเคราะห์อ้อนวอน ท่านพระครูส่ายหน้าช้า ๆ แล้ววิจารณ์ซึ่ง ๆ หน้า
"อาตมาฟังแล้วไม่รู้จะร้องเพลงอะไรดี"
"เป็นพระร้องเพลงได้หรือคะ" อาจารย์กุลนทีถามซื่อ ๆ คราวนี้ท่านพระครูรู้สึกอยากร้องไห้ นั่งปรับอารมณ์อยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านเจ้าของกุฏิจึงถามขึ้นว่า
"อาจารย์สอนวิชาอะไร"
"หนูสอนภาษาอังกฤษค่ะ ส่วนอาจารย์ยุพากับอาจารย์กุลนทีสอนภาษาไทย" อาจารย์กวิศญาตอบ
"แล้วเรียนจบจากที่ไหน"
หล่อนบอกชื่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
"แหม จบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงเสียด้วย เสียดายที่อุตส่าห์เป็นถึงบัณฑิตแต่แก้ปัญหาไม่ได้ แค่ทำครกแตกใบเดียวก็แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องวิ่งมาหาพระให้ช่วย" สตรีทั้งสามมองตากันปริบ ๆ เมื่อถูก "เทศน์" ต่อหน้าธารกำนัล
"แล้วเป็นอาจารย์มาได้ยังไง้ น่าสงสารคนที่เป็นลูกศิษย์" สตรีผู้หนึ่งวิจารณ์ในใจ
"อาจารย์เคยเข้าวัดกันบ้างไหม เคยไปฟังพระเทศน์หรือเปล่า" ท่านเจ้าของกุฏิถามอาจารย์สาว คนชื่อกุลนทีตอบว่า
"ไม่เคยค่ะ นี่เป็นวัดแรกที่หนูเข้า แล้วก็คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่หนูจะเข้าวัด" ตอบตรงไปตรงมา
"ทำไมล่ะอาจารย์ วัดนี้ไม่ดียังไง"
"ก็หนูอุตส่าห์พากันมารอคิวตั้งครึ่งวัน เสร็จแล้วยังมาถูกหลวงพ่อว่าเสียอีก หลวงพ่อไม่ช่วยแล้วยังซ้ำเติม" อาจารย์สาวตัดพ้อ
"จริงด้วย" เพื่อนสาวสองคนสนับสนุน
"อาจารย์อยากให้อาตมาช่วยหรือเปล่าล่ะ" ท่านถามอาจารย์กวิศญา
"อยากค่ะ หลวงพ่อช่วยหนูด้วยเถอะค่ะ ไหน ๆ หนูก็อุตส่าห์ดั้นด้นมาขอความเมตตา คุณแม่บอกว่าหลวงพ่อเป็นคนใจดี มีเมตตา หลวงพ่อต้องช่วยแน่ ๆ ค่ะ" หล่อนอ้างมารดา
"แล้วทำไมคุณแม่เขาไม่ช่วยล่ะ"
"ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ บอกแต่ว่าให้มาหาหลวงพ่อ" ท่านเจ้าของกุฏิให้สงสัยนัก เหตุใดคุณสอาดจึงไม่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูก ทำไมจะต้องส่งมาหาท่าน ด้วยความอยากรู้จึงใช้ "เห็นหนอ" เข้าตรวจสอบและก็ได้ทราบว่า เป็นอุบายของผู้เป็นแม่ที่จะชักจูงบุตรสาวให้เข้าวัดนั่นเอง
"เอาละ ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะช่วย อาจารย์สวดมนต์เป็นหรือเปล่า สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุงมหากา ได้ไหม"
"สวดได้สามอย่างแรกค่ะ อย่างหลังสวดไม่ได้ แต่คิดว่าคุณแม่คงสวดได้ค่ะ คำทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น คุณแม่ก็ท่องได้ค่ะ ท่องได้แล้วก็แปลได้ด้วย" น้ำเสียงที่พูดบ่งบอกว่าภาคภูมิใจในมารดายิ่งนัก "แต่หนูสวดไม่เป็นสักอย่างเดียวค่ะ" อาจารย์กุลนทีว่า
"ทำไมถึงไม่เป็นล่ะจ๊ะ"
"เพราะไม่เคยสวด แล้วหนูก็ไม่เห็นความจำเป็นของการสวดมนต์ด้วย คนเราถ้ามีความสุขอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด พวกที่เข้าวัดก็คือคนที่มีความทุกข์ มีปัญหา"
"พูดดี ๆ นะคะอาจารย์ ยังกับว่าตัวเองไม่เคยมีความทุกข์งั้นแหละ" สตรีวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างรู้สึกหมั่นไส้เสียเต็มประดา
"ฉันไม่เคยมีความทุกข์จริง ๆ นะน้า ตั้งแต่เกิดมานี่ยังไม่เคยรู้เลยว่าความทุกข์มันเป็นยังไง นี่ฉันพูดจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดยกตนข่มท่านแต่ประการใด" คนไม่รู้จักความทุกข์ว่า
"สงสัยคงจะมีคนเดียวในโลก" สตรีนั้นพูดประชด
"อันนั้นฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าตัวเองโชคดี พ่อดี แม่ดี ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงดีหมด แล้วฉันก็มีความสุขมาก"
"เอาเถอะ สักวันก็จะรู้ว่าความทุกข์มันเป็นยังไง คนอย่างอาจารย์นี่ต้องจัดอยู่ในประเภท "ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตา"
"ไม่จริงหรอกน้า บ้านฉันอยู่ติดกับร้ายขายโลงศพ ฉันเห็นโลกศพทุกวันแต่ไม่ยักกะหลั่งน้ำตา แล้วน้าจะมาว่าฉันเป็นคนประเภทนั้นได้ยังไง" อาจารย์สาวโต้ สตรีนั้นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หากก็มิรู้ที่จะโต้ตอบว่ากระไร จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า "อย่าไปเถียงกะเขาเลย เขานั้นจบปริญญา ส่วนตัวข้าแค่ ป.๔"
"แหม อาจารย์เห็นกุฏิอาตมาเป็นสนามโต้วาทีไปเสียแล้ว" ท่านเจ้าของกุฏิ ต่อว่าต่อขานด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ
"ก็ยังดีกว่าเห็นเป็นสนามมวยใช่ไหมคะ" อาจารย์สาวถามยิ้ม ๆ เช่นกัน
"ดูเถอะ กับพระกับเจ้ายังไม่ยอมลดละ แบบนี้เป็นอาจารย์ได้ยังไง้ น่าสงสารลูกศิษย์จริง" คนจบ ป.๔ พูดกระทบกระเทียบ
"ถึงว่าซี น้าน่าจะไปเป็นอาจารย์แทนฉันนะ พี่ยุพาพรว่าดีไหม ให้น้าคนนี้ไปเป็นอาจารย์แทนหนูดีไหม" คนจบปริญญาตั้งใจยั่วคนจบ ป.๔
"ขอโทษนะครับ คุณสามคนเสร็จธุระหรือยัง ถ้าเสร็จแล้วก็เปิดโอกาสให้คนอื่นเขาบ้าง" บุรุษหนึ่งพูดขึ้นอย่างเหลืออด นึกหมั่นไส้แม่สามสาวนี่ตั้งแต่แรกแล้ว ท่านพระครูเห็นว่าอาจารย์สาวสามคนนี้จะต้องถูกคนอื่น ๆ ว่าอีก หากพวกหล่อนยังขืนต่อปากต่อคำกับท่านอยู่ จึงบอกพวกหล่อนว่า
"เสร็จธุระแล้วใช่ไหม แล้วนี่จะกลับกันยังไง"
"หนูขับรถมาค่ะ" อาจารย์กุลนทีตอบ"
"หลวงพ่อยังไม่ได้ตอบปัญหาของหนูเลย" อาจารย์กวิศญาพ้อ
"ก็ให้ไปสวดมนต์ไง สวมมนต์มาก ๆ แล้วจะเกิดปัญญาแก้ปัญหาได้เอง เอาเถอะให้ลองไปทำดู ได้ผลยังไงค่อยมาบอกทีหลัง" ท่านออกอุบายให้อาจารย์สาวมาวัดอีก
"พี่ไม่มาเป็นเพื่อนอีกแล้วนะ" คนไม่ชอบเข้าวัดบอก
"ไม่เป็นไร มากับพี่ก็ได้" อาจารย์ยุพาพรเอื้อเฟื้อ คนทั้งสามจึงกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วลุกออกมาท่ามกลางความรู้สึกโล่งอกโล่งใจของบรรดาผู้มีความทุกข์ทั้งหลาย
"หลวงพ่อครับ ผมรู้สึกสงสารนักศึกษาวิทยาลัยครูแห่งนั้นเหลือเกินที่มีอาจารย์ปัญญานิ่ม ๆ อย่างนี้ แค่ทำครกแตกก็มีปัญหา ไม่รู้เป็นอาจารย์ได้ยังไง บุรุษผู้มีนิสัยชอบหมั่นไส้ผู้อื่นพูดขึ้น
"แต่ถึงอย่างไรโยมก็อย่าไปเหมาว่าอาจารย์วิทยาลัยครูเป็นอย่างนี้ทุกคนนะ เพราะคนที่เขาปฏิบัติกรรมฐานเขาก็ไม่เป็นอย่างนี้ พูดก็พูดเถอะ บางคนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เรียนจบด็อกเตอร์มาจากเมืองนอกเมืองนา ก็ยังมาให้ช่วยแก้ปัญหา ตัวเองจบถึงด็อกเตอร์ แต่แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องมาให้คนจบมัธยม ๔ แก้ให้ คนประเภทนี้เขาเรียกว่า "ความรู้ท่วมตัวเอาหัวไม่รอด"
"ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ครับหลวงพ่อ" บุรุษนั้นแย้ง ท่านพระครูจึงแก้ว่า
"มันก็เหมือนกันนั่นแหละโยม การศึกษาสมัยนี้ทำคนให้เป็นก้านไม้ขีด คือหัวโตแต่ตัวลีบ ก็เลยไปไม่ไหว โยมสังเกตไหม เดี๋ยวนี้โรงเรียนเขาไม่สอนเด็กสวดมนต์กันแล้ว สมัยที่อาตมาเป็นนักเรียนนะ ครูเขาให้สวดมนต์ทุกวัน เด็กสมัยก่อนจึงสวดมนต์เป็น สมัยนี้ครูเองยังสวดไม่เป็น นับประสาอะไรกับนักเรียน โยมว่าจริงไหม"
"จริงครับ ทั้งครูทั้งอาจารย์สวดมนต์ไม่เป็น นักเรียนนักศึกษาก็เลยดำเนินรอยตาม ผมว่าถ้าขืนปล่อยไว้ไม่รีบแก้ไข บ้านเมืองก็จะไปไม่รอดนะครับ" บุรุษนั้นแสดงความคิดเห็น
"อาตมาว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า เพราะยิ่งพูดมันก็ยิ่งเครียด เอาเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ขอให้เราทำหน้าที่ของตัวให้ดีที่สุดก็แล้วกันนะโยมนะ"
"ครับหลวงพ่อ ประเทศไทยไม่ใช่ของเราคนเดียวจริงไหมครับ"
"คงจริงมั้ง เอาเถอะโยมอยากจะคิดยังงั้นก็ตามใจ เรื่องความคิดมันห้ามกันไม่ได้ เอาละทีนี้ใครมีอะไรก็ว่าไป"
สตรีวัยกลางคนคลานเข้ามาหา กราบสามครั้งแล้วรายงานว่า "หลวงพ่อจ๊ะ ลูกสาวฉันมันหนีตามผู้ชายไป พ่อบ้านเขาโกรธมาก เขาวางแผนจะฆ่าลูกเขย ฉันห้ามก็ไม่เชื่อ จะทำยังไงดีจ๊ะ"
"ไปบอกเขาเลยว่า ถ้าฆ่าติดคุกแน่ หลวงพ่อบอกว่าติดคุกแน่นอน แล้วตายไปก็ต้องตกนรกอีกด้วย จะไปฆ่าเขาทำไม"
"ก็มันทำให้เสียชื่อ เสียศักดิ์ศรีน่ะจ้ะหลวงพ่อ เขาบอกมันเหยียบจมูกกันแบบนี้ เขายอมไม่ได้ ลูกสาวฉันไม่ก็ไม่ดี เถ้าแก่โรงสีเขามาขอ มันก็ไม่เอาเขา ไปเอาไอ้คนจน ๆ มาทำผัว" คนพูดเคียดแค้น
"อ้าว ก็เขามาสู่ขอแล้วไม่ให้เขานี่นา ไปดูถูกดูแคลน ว่าเขายากจนข้นแค้น เอาเถอะ อย่าไปรังเกียจรังงอนเขาเลย ถึงเขาจะจนเขาก็เป็นคนดี โยมเชื่ออาตมาสักครั้งนะ แล้วกลับไปบอกพ่อบ้านว่า ยังไง ๆ ก็อย่าไปคิดพรากผัวพรากเมียเขา บาปกรรมเปล่า ๆ เชื่อประเทศไทยเถอะ"
"แต่พ่อบ้านเขาอยากให้มันแต่งกับเถ้าแก่โรงสีจ้ะหลวงพ่อ"
"แต่งได้ยังไง ก็เขามีลูกมีเมียแล้ว โยมอยากให้ลูกไปเป็นเมียน้อยเขาหรือไง เป็นเมียหลวงดี ๆ อยู่แล้ว เรื่องอะไรจะให้เขาไปเป็นเมียน้อย" ท่านพูดไปตามที่ "เห็นหนอ" รายงาน
"แต่เมียเขาหนีตามชู้ไปนะจ๊ะหลวงพ่อ หนีไปกับชู้ซึ่งเป็นทนายความ" ท่านเจ้าของกุฏิช่วยพูดอีกว่า
"แล้วทนายความก็มีลูกมีเมียแล้ว น่าสมเพชนะโยม ผู้หญิงหลงตัวผู้ชาย ข้างผู้ชายก็หลงเงินของผู้หญิง อาตมาเห็นกฎแห่งกรรมของคนคู่นี้แล้ว น่าสงสารจริง ๆ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เขาทำของเขาเอง เอาละ เรื่องลูกสาวของโยมนั้น เขาได้คู่ดีแล้ว ถ้าไปได้กับเถ้าแก่ อยู่กันไม่ยืด แล้วก็ไม่ต้องไปดูถูกดูแคลนว่าลูกเขยจน อีกห้าปีเขาจะรวย รวยกว่าเถ้าแก่โรงสีเสียอีก โยมสบายใจได้ กลับไปบอกพ่อบ้านเขาอย่างนี้นะ"
"จ้ะหลวงพ่อ ฉันสบายใจขึ้นเป็นกอง ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์มาหา"
"โยมมาจากไหนล่ะ"
"จากโคกสำโรงจ้ะหลวงพ่อ"
"รู้จักคนชื่อจุกหรือเปล่า จุกที่อยู่ตลาดโคกสำโรงน่ะ เห็นเขาว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง" ท่านถามถึงคนเป็นหลานสะใภ้
"รู้จักดีจ้ะหลวงพ่อ อีนังนี่มันขี้เหนียวอย่าบอกใคร ขนาดถูกหวยตั้งห้าแสน มันซื้อรองเท้าไปฝากหลวงน้ามันคู่เดียวเอง"
"ยังงั้นหรือ" ท่านเจ้าของกุฏิรับทราบ คงไม่จำเป็นต้องบอกหรอกว่าหลวงน้าของ "อีนังนี่" ก็คือตัวท่านนั่นเอง
แขกคนสุดท้ายกลับไปเมื่อเวลาสองทุ่ม ท่านพระครูเรียกนายสมชาย มาสั่งการว่า
"พรุ่งนี้ตีสี่เธอไปตลาดกับแม่ครัวเขา ไปซื้อของมาทำบุญเลี้ยงพระ คุณหญิงเขาจะมาเลี้ยงเพล แล้วก็ช่วยชื้อผ้าไตรมาให้ฉันหนึ่งสำรับด้วย เลือกชนิดที่เนื้อดีที่สุดนะไปซี ไปบอกแม่ครัวเขาไว้ก่อน พรุ่งนี้จะได้ไม่ยุ่ง" นายสมชายลุกออกไปแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิจึงพูดกับอาจารย์ชิตว่า
"เจ้ากรรมนายเวรเขาตามมาทวงอีกรายแล้ว"
"คราวนี้หลวงพ่อจะเป็นอะไรอีกหรือครับ" คนสูงอายุถามอย่างเป็นห่วง
"ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ต้องเสียเงิน พรุ่งนี้คนขายก๋วยเตี๋ยวจะเอาลูกชายมาฝาก อาตมาจะให้เขาบวชเณรแล้วก็ปฏิบัติกรรมฐาน สักเดือนสองเดือนเขาก็จะรู้ดีรู้ชั่ว แล้วก็จะกลับไปเรียนหนังสืออย่างเดิม อาตมาก็ได้ใช้หนี้คนขายก๋วยเตี๋ยว โยมอยากรู้ไหมว่าหนี้อะไร"
"หนี้อะไรครับ" บุรุษวัยหกสิบถาม
"หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว อาตมาโกงค่าก๋วยเตี๋ยวแกทุกวัน วิธีโกงก็คือ ย่องไปขโมยเงินทางด้านหลังแก แล้วเอามาซื้อทางด้านหน้า แกยืนผัดก๋วยเตี๋ยวเหย็ง ๆ พอใครซื้อแกก็เอาเงินเหวี่ยงลงไปในตะกร้าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะด้านหลังแก อาตมาก็กินก๋วยเตี๋ยวฟรีทุกวัน แถมบางวันยังหยิบเกินมาเป็นค่าน้ำแข็งใสอีกด้วย" คนเล่าหัวเราะ
"เคยถูกจับได้บ้างไหมครับ" คนฟังถาม
"ไม่เคย" ตอบอย่างภาคภูมิใจในความเก่งกาจของตน
"มือชั้นนี้แล้ว ให้ถูกจับได้ ก๊อเสียชื่อหมด อาตมาเป็นคนดวงดีนะ ดวงทำบาปขึ้น เรื่องถูกจับได้นั้นไม่ต้องพูดถึง"
อาจารย์ชิตกับนายสมชายช่วยท่านพระครูตอบจดหมายอยู่ถึงห้าทุ่ม จากนั้นคนทั้งสองจึงได้รับอนุญาตให้ไปพักผ่านหลับนอน ส่วนท่านเจ้าของกุฏิทำงานคนเดียวต่อไปจนถึงตีหนึ่ง เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจำวัด สมภารวัยห้าสิบตั้งใจจะเขียนหนังสือคู่มือการสอบอารมณ์กรรมฐาน ท่านรู้สึกกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงเอื้อมมือไปหยิบกระติกน้ำร้อน เพื่อจะนำมาชง "ชา" ดื่ม
"ชา" ของท่านมิได้ทำจากใบชา หากทำมาจาก ต้นใต้ใบ กับ ต้นไมยราบ สับละเอียดตากแห้ง แล้วชงกับน้ำร้อน ใช้ดื่มต่างน้ำชา นายสมชายเพิ่งจะเติมน้ำร้อนลงไปเมื่อตอนสี่ทุ่ม เมื่อท่านเปิดฝาชั้นนอกของกระติก ก็มีเสียงระเบิดดัง "ฟุ" น้ำร้อนพุ่งออกมาลวกต้นขาท่านจนปวดแสบปวดร้อนทั้งสองขา
บัดดลท่านนึกถึงนังดำลาย เจ้าแมวเคราะห์ร้ายที่บังเอิญผ่านมาตอนที่ท่านสาดน้ำร้อนออกไปทางหน้าต่าง เมื่อตอนดึกของวันวาน มันส่งเสียงร้อง "แป๊ว" แล้ววิ่งหายไปทางศาลาการเปรียญ ท่าน "ตรวจสอบ" ดูก็รู้ว่า น้ำร้อนไปลวกขาทั้งสองข้างของมันจนเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน
เพียงชั่วคืนเดียว "กรรม" นั้น ก็กลับมาสนองท่านรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว "นังดำลายเอ๋ย ขอบใจเอ็งมากนะ ที่มาทวงแต่เนิ่น ๆ อย่างนี้ เป็นอันว่าข้าใช้เอ็งแล้ว หมดหนี้หมดสินกันเสียที ชาติหน้าข้าจะไม่เกิดในโลกมนุษย์อีกแล้ว" ท่านรำพึงกับตัวเอง
อันที่จริง ท่านมีคาถา "ดับพิษร้อน" เพียงแต่สำรวมจิตว่าคาถาแล้วเป่าพรวดลงไปตรงบริเวณที่เป็นอาการปวดแสบปวดร้อนก็จะหายไปในทันที แต่ท่านไม่ยอมทำเช่นนั้น เพราะจะเป็นการเอาเปรียบนังดำลายเกินไป มันทุกข์ทรมานแค่ไหนนานเพียงไร ท่านก็ควรจะ "ใช้คืน" ในอัตราที่เท่าเทียมกันแม้จะได้แผ่เมตตาให้มันไปแล้วเมื่อตอนเช้าก็ตาม
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงหยิบ "ชา" ใส่ถ้วยกระเบื้อง แล้วเทน้ำร้อนลงไป โชคยังดีที่กระติกไม่แตก แล้วก็ยังมีน้ำร้อนเหลืออยู่อีกตั้งเกือบครึ่ง ไม่มีเหตุผลอะไรที่มันจะระเบิด นอกจากว่า ต้องการให้ท่านชดใช้กรรม กรรมที่ทำกับนังดำลายโดยมิได้มีเจตนาแม้สักนิด!
ภิกษุสูงวัยยกถ้วยชาขึ้นดื่ม รสขมและเฝื่อนของต้นใต้ใบช่วยให้ท่านลืมความปวดแสบปวดร้อนที่ขาลงได้บ้าง ท่านดื่ม "ชา" ชนิดนี้มาได้หลายปีแล้ว และก็รู้ว่า มันเป็นยารักษาโรคมะเร็งได้อย่างวิเศษที่สุด
แม้จะมีทุกขเวทนาที่บริเวณต้นขาทั้งสองข้าง แต่เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงยังคงนั่งเขียนหนังสือต่อไป กระทั่งได้ยินเสียงยามเคาะแผ่นเหล็กสองครั้ง จึงเตรียมตัวจำวัด
ภิกษุวัยห้าสิบเอนกายลงอย่างมีสติ ครั้นศีรษะถึงหมอน จึงหลับตาลงช้า ๆ และแล้วภาพใบหน้าคมคายของอาจารย์สาว ผู้มีนามว่ากวิศญากลับลอยวนเวียนอยู่ในห้วงมโนนึก "มันจะต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่าง"
ท่านรำพึงกับตัวเอง วันหนึ่ง ๆ ท่านรับแขกหลายสิบคน และก็เมตตาช่วยเหลือเขาไปตามกำลังความสามารถ ช่วยแล้วก็แล้ว ไม่เคยเก็บปัญหาของใคร มาติดต่อเป็นการบ้าน เรื่องที่จะนึกโปรดปรานผู้หนึ่งผู้ใดเป็นพิเศษไม่เคยมี บางคนเห็นกันครั้งเดียวก็ไม่เคยเห็นกันอีก หรือบางคนแม้จะเห็นอีก ท่านก็จำไม่ได้เสียแล้ว เพราะเดือนหนึ่ง ๆ ปีหนึ่ง ๆ คนเข้าวัดเป็นพัน ๆ แต่เหตุใดภาพของอาจารย์คนนั้นจึงมาปรากฏในใจท่าน คงจะต้องมีความผูกพันเกี่ยวข้องกันมาอย่างแน่นอน
"อย่ากระนั้นเลย เราควรจะให้ "เห็นหนอ ช่วยตรวจสอบดู" แล้ว "เห็นหนอ" ก็ทำหน้าที่อย่างแคล่วคล่องว่องไวด้วยการรำลึกนึกย้อนกลับไปยังอดีต...ถอยจากชาติปัจจุบันไป ๓ ชาติ
เวลานั้น ท่านเกิดเป็นสะใภ้เขา ต้องถูกแม่ผัวกลั่นแกล้งทุกวี่ทุกวันจนหาความสุขไม่ได้ แล้วท่านก็มีลูกสาวถึง ๔ คน แม่ผัวอยากได้หลานผู้ชายก็หาเรื่องใส่ร้ายป้ายสี นางยุยงลูกชายว่า ท่านเป็นหญิงกาลกิณี จึงไม่สามารถมีลูกผู้ชายได้ แรก ๆ สามีท่านไม่เชื่อ ครั้นเมื่อถูกมารดายุยงหนักเข้าก็ชักจะหวั่นไหว บังเอิญท่านตั้งท้องลูกคนที่ ๕ แม่ผัวก็ตราหน้าว่าต้องเป็นลูกสาวอีก
ครั้นถ้วนกำหนดทศมาส ท่านคลอดลูกออกมาเป็นชาย แม่ผัวดีใจสุดขีดถึงกับช็อคตายไป ท่านจึงถือว่า ลูกชายนำโชคมาให้ ช่างโชคดีที่แม่ผัวตายเสียได้!
จากชาติลูกสะใภ้ ก็ไปเกิดเป็นแม่ทัพเอกสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จากชาติแม่ทัพก็มาเกิดเป็นลูกชายของผัวเมียคู่หนึ่ง ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ได้ตกน้ำตายเมื่ออายุยังไม่ครบ ๔ ขวบ ขณะนั้นมีน้องชายอายุสองขวบ และมาในชาตินี้น้องชายคนนั้นมาเกิดเป็นพระบัวเฮียว
ส่วนลูกคนที่ ๕ ในชาติที่ท่านเป็นสะใภ้เขานั้น มาเกิดเป็นอาจารย์กวิศญา เห็นการเวียนว่ายวกวนอยู่ในวัฏสงสารแล้วท่านก็นึกท้อแท้และเบื่อหน่าย ไม่ปรารถนาจะเกิดอีกแม้แต่ชาติเดียว
เมื่อภาพยนตร์แห่งภพชาติฉายจบลง เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงได้คำตอบว่า เหตุใดภาพของอาจารย์สาวจึงลอยวนเวียนอยู่ในห้องมโนนึก สมภารวัยห้าสิบ รำพึงกับตัวเองว่า "โธ่เอ๋ย ไอ้หนูลูกแม่ ทีแม่เกิดเป็นผู้หญิง เอ็งกลับเกิดเป็นผู้ชาย แต่พอแม่มาเกิดเป็นผู้ชาย เอ็งก็มากลายเป็นผู้หญิงเสียนี่ อนิจจัง วะตะสังขารา" ได้คำตอบเป็นที่พอใจแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็เข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ และพร้อมที่จะตื่นขึ้นมาทำความเพียรในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า
ฉันเช้าเสร็จ ท่านพระครูก็ลงรับแขก สายใสพาลูกชายมานั่งรอคิวแต่เช้า เห็นหน้าเด็กหนุ่มแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิก็รู้ได้ทันทีว่า เด็กคนนี้จะไปได้ดิบได้ดีในภายภาคหน้า แต่ที่เกเรอยู่ขณะนี้ก็เพื่อจะเปิดโอกาสให้ท่านได้ใช้หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยวนั่นเอง
"ลูกชายท่าทางดีนี่นา ไม่เกหรอก" ท่านพูดให้กำลังใจทั้งพ่อและลูก
"ไม่เกยังไงล่ะครับหลวงพ่อ ก็มันไม่ยอมเรียนหนังสือ" คนเป็นพ่อแย้ง ใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อได้ยินว่าลูกชายท่าทางดี
"ต่อไปก็เรียน เชื่อสิ มาบวชวัดนี้แล้วออกไปดีทุกคน อาตมาดูหน้าขาแล้ว ไม่ใช่คนเกรเรเกเสอะไร ถ้าแกจริงป่านนี้ติดยาเสพติดเรียบร้อยไปแล้ว จริงไหมไอ้หนู" ท่านถามคนอายุสิบแปด
"ก็ไม่แน่หรอกครับหลวงปู่ ตอนนี้ยังไม่ติด ต่อไปอาจจะติดก็ได้" คนอายุสิบแปดว่า ด้วยเจตนาจะแกล้งคนเป็นพ่อ
"อย่านาไอ้หนูนา ขืนเอ็งทำยังงั้นก็เท่ากับตกนรกทั้งเป็นเชียวนา แล้วใคร ๆ ก็ช่วยเอ็งไม่ได้ เชื่อหลวงปู่เหอะ"
"ตกลงหลวงพ่อจะให้มันบวชเมื่อไหร่ครับ" นายใสถาม ใจแป้วเมื่อฟังคำของคนเป็นลูก
"อีกสามวัน ระหว่างนี้จะให้พระมหาบุญท่านช่วยสอนช่วยฝึกไปก่อน ไม่ต้องห่วง อาตมาจะจัดการให้เรียบร้อย"
"แล้วผ้าไตรล่ะครับ จะให้ผมซื้อมา หรือว่าจะเอาเงินให้หลวงพ่อไปซื้อ"
"ไม่ต้องทั้งสองอย่าง อาตมาให้สมชายไปซื้อมาให้แล้ว โยมไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ไว้เป็นธุระของอาตมาเอง"
"ทำไมหลวงพ่อถึงได้เมตตาผมกับลูกมากมายถึงปานนี้ ผมนึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าในประเทศไทยยังมีคนดี ๆ เช่นท่านหลงเหลืออยู่ ขอให้หลวงพ่อจงมีอายุยืนยาวนะครับ" นายใสให้ศีลให้พร
"อาตมาก็ตั้งใจว่าจะอยู่ไปจนกว่าจะตายนั้นแหละโยม" ท่านพระครูตอบยิ้ม ๆ แล้วถามเขาว่า
"อยากรู้ไหมว่า ทำไมอาตมาถึงต้องดีกับโยมเป็นพิเศษ"
"อยากครับ ทำไมหรือครับ"
"เขถิบมาใกล้ๆ อาตมาไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน มันเป็นความลับ" บุรุษวัยหกสิบจึงคลานเข้าไปจนชิดอาสนะ ท่านเจ้าของกุฏิก้มลงมากระซิบที่ข้างหูเขาว่า
"รู้แล้วอย่าเที่ยวไปบอกใครนะ อาตมาต้องการใช้หนี้โยม หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว อาตมาขโมยเงินโยมมาซื้อก๋วยเตี๋ยวโยมกินทุกวัน แล้วจะช่วยอบรมลูกชายให้เป็นการใช้หนี้ ตกลงนะ ห้ามบอกใครนะ"
"ครับ ผมรับรองว่าจะไม่บอกใคร ถ้างั้นผมลาละครับ ฝากไอ้หนูมันด้วย แล้ววันบวชผมจะมาใหม่" นายใสกราบท่านพระครู แล้วหันไปสั่งลูกชายว่า "ไอ้หนู เอ็งเชื่อฟังหลวงปู่ท่านนะ ท่านใช้ให้ทำอะไรก็ทำ พ่อไปก่อนละ" คนเป็นพ่อลุกออกไปแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิจึงถามคนเป็นลูกว่า
"ไอ้หนู เอ็งกินข้าวเช้ามาหรือยัง"
"ยังเลยครับหลวงปู่ พ่อแกเร่งซะจนผมกินไม่ทัน" ไอ้หนูวัยสิบแปดตอบ
"แล้วหิวหรือเปล่าล่ะ"
"หิวซีครับหลวงปู่ หิวจนไส้กิ่วแล้ว" ลูกชายนายใสว่า
"งั้นเดี๋ยวให้เขาพาไปกินที่โรงครัว สมชายประเดี๋ยวเธอพาไอ้หนูไปกินข้าว แล้วเอาไปส่งให้พระมหาบุญ บอกช่วยจัดการให้หน่อย อีกสามวันเขาจะบวชเณร" ศิษย์วัดจึงจัดการตามที่ท่านสั่ง เขาเดินนำเด็กหนุ่มไปยังโรงครัว รอจนฝ่ายนั้นรับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญแล้วจึงพาไปหาพระมหาบุญ
สนทนาปราศรัยและแก้ไขปัญหาให้ญาติโยม จนถึงเวลาสิบนาฬิกา ท่านเจ้าของกุฏิจึงบอกพวกเขาว่า
"อาตมาต้องขึ้นศาลาก่อนนะ ได้เวลาแล้ว ใครไม่รีบกลับก็ขอเชิญไปฟังพระสวดธรรมจักรที่ศาลานะ วันนี้คุณหญิงเขามาเลี้ยงเพล อาตมาเลยนิมนต์พระสงฆ์สวดธรรมจักร เพื่อเป็นสิริมงคลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดคุณหญิง อาตมาไปละนะ ใครจะฟังก็ตามมา" ท่านลุกจากอาสนะ จัดเครื่องนุ่งห่มให้เรียบร้อยแล้วเดินไปยังศาลา ญาติโยมหลายคนเดินตามท่านไป บางคนก็กลับบ้านเพราะเสร็จธุระแล้ว
คุณหญิงและคณะมาถึงก่อนเวลาพระสวดเล็กน้อย คณะผู้ติดตามมีไม่มากเท่าครั้งที่แล้ว คงเป็นเพราะรัฐมนตรีไม่ได้มาด้วยนั่นเอง
"เจริญพร คุณหญิงสบายดีหรือ" ท่านทักทาย
"สบายดีค่ะ" คุณหญิงตอบ
"ท่านรัฐมนตรีไม่มาด้วยหรือ"
"ท่านไปราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ค่ะ"
"อ้าวยังไม่กลับอีกหรือ ไปนานจัง" ท่านนึกไปถึงสาวน้อยหน้าอ่อนที่คนเป็นรัฐมนตรีเอาซ่อนไว้ในรถ มีม่านปิดมิดชิด หากท่านก็ยังอุตส่าห์ "เห็น"
หากถามเกี่ยวกับรัฐมนตรี คุณหญิงอาจจะรู้ระแคะระคาย ท่านจึงเปลี่ยนเรื่องถาม
"วันนี้คุณหญิงอายุเท่าไหร่แล้ว"
"ห้าสิบห้าปีเต็มค่ะ" คนเป็นคุณหญิงตอบ พอดีกับได้เวลาพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงว่า
"ญาติโยมตั้งใจฟังพระเจริญพระพุทธมนต์นะ อย่าไปคุยกัน ผู้ใดได้ฟังพระสวดธรรมจักรถือว่าเป็นสิริมงคล บางคนฟังแล้วเกิดปัญญา แก้ปัญหาได้ก็มี" จากนั้นพระสงฆ์ก็เริ่มเจริญพระพุทธมนต์ และสวดธรรมจักรตามลำดับ คุณหญิงและคณะตั้งอกตั้งใจฟังเป็นอันดีเพราะต่างก็คิดว่าจะไม่ยอมให้เสียชื่อเหมือนคราวที่แล้ว
พิธีทำบุญเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของคุณหญิง เสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาใกล้เที่ยง พระภิกษุสามเณรกราบพระรัตนตรัยสามครั้งพร้อมกัน แล้วต่างแยกย้ายไปปฏิบัติกรรมฐานยังกุฏิของตน แต่ท่านพระครูยังไม่ลุกไปไหน
"ขอเชิญญาติโยมรับประทานอาหารกันให้อิ่มหนำสำราญเสียก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง" ท่านเชื้อเชิญบรรดาผู้มาร่วมพิธี
แม่ชีเจียนรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็คลานเข้ามานั่งตรงหน้าท่านพระครู กราบท่านสามครั้งแล้วรายงานว่า
"หลวงพ่อ เมื่อคืนฉันพยาบาลนังหนูส้มป่อยมันเกือบทั้งคืน แทบไม่ได้หลับได้นอนเลยจ้ะ"
"เขาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นเพชราแล้ว แม่ชีไม่รู้หรอกหรือ"
"ทราบจ้ะ แต่ฉันมันติดเรียกชื่อเดิม ปากมันเคยจ้ะ"
"เขาเป็นยังไงล่ะ ไหนลองเล่าไปซิ"
"คือตอนหัวค่ำ เขาก็ปฏิบัติกรรมฐานตามปกติ พอตกดึกเขาบอกว่าปวดที่ถัน ฉันก็ให้เขาอดทน เขาก็แข็งใจทน แล้วก็ไม่อาละวาดเหมือนก่อน พอปวดหนัก ๆ เข้า เขาเลยร้องไห้ เสร็จแล้วแผลมันแตกจ้ะหลวงพ่อ ทั้งหนองทั้งหนอนไหลออกมาเหละ ๆ จากปากแผล หนอตัวท่านิ้วก้อยฉันเลย ฉันก็เอากระโถนมารอง โอ้โฮ เต็มกระโถนเลย กลิ่นก็เหม็น ฉันก็กำหนด "กลิ่นหนอ กลิ่นหนอ" พอหนองหยุดไหล ฉันก็รินยาให้ดื่ม เขาก็ดื่มแล้วก็หลับไปเลย เช้ามาก็หายเป็นปกติ แผลก็หาย แต่เขายังเพลีย ลุกไม่ขึ้น"
"เขาหมดกรรมแล้ว เดี๋ยวช่วยไปบอกว่า อาตมาขออนุโมทนาด้วย อีกห้าหกวันก็ให้กลับไปอยู่บ้านได้ แต่ถ้าเขายังอยากจะอยู่ต่อก็ตามใจเขา"
"จ้ะ แล้วฉันจะบอกเขาให้" เสร็จธุระแล้ว แม่ชีก็กราบสามครั้งแล้วคลานออกมา คุณหญิงคลานเข้าไปแทน
"คุณหญิงอิ่มเร็วจัง กับข้าวไม่อร่อยหรือไง" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงถาม
"อร่อยมากค่ะหลวงพ่อ แต่ดิฉันปลื้มอกปลื้มใจเสียจนทานไม่ลง"
"ไม่ใช่เพราะท่านรัฐมนตรีไม่มา ก็เลยทานไม่ลงนะ" ท่านสัพยอก
"ก็คงมีส่วนค่ะ" คุณหญิงยอมรับ แล้วพูดต่ออีกว่า
"ทุกทีเคยไปไหนมาไหนด้วยกัน เพิ่งจะครั้งนี้แหละค่ะที่ท่านติดราชการมาไม่ได้" ฟังคนเป็นคุณหญิงพูดแล้วท่านพระครูให้รู้สึกสงสาร เพราะท่านรู้ว่าคุณหญิงไม่รู้ คุณหญิงไม่รู้หรอกว่า "ราชการ" ของผู้เป็นสามีนั้นคืออะไร นายขุนทองคลานเข้ามานั่งใกล้ ๆ คุณหญิง อยากจะดูเครื่องเพชรให้เต็มตาเพราะเห็นเม็ดเป้ง ๆ ทั้งนั้น
"ขอประทานโทษ คุณหญิงมีบุตรกี่คน" ท่านสมภารเปลี่ยนเรื่องถามเมื่อเห็น "คนปากโป้ง" เข้ามาร่วมวง
"สองค่ะ หญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง กำลังเรียนอยู่เมืองนอกทั้งคู่"
"อีกหน่อยก็คงจะมีตัวเล็ก ๆ มาให้อุ้มอีกนะฮะ" คนปากโป้งว่า
"โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ฉันแก่เกินไปแล้ว มีไม่ได้แล้ว" คนเป็นคุณหญิงรีบปฏิเสธ
"คุณหญิงมีไม่ได้ แต่ท่านรัฐมนตรียังมีได้นี่ฮะ"
"หา เธอว่าอะไรนะ" คุณหญิงฉุกใจกับคำพูดของชายหนุ่ม
"ขุนทอง" ท่านพระครูเรียกชื่อหลานชาย นายขุนทองมองหน้าหลวงลุงก็เห็นท่านขยิบหูขยิบตา แต่เข้าไม่เข้าใจจึง "พล่าม" ต่อ
"จริง ๆ นะฮะคุณหญิง หนูเห็นกะตาเลย"
"ขุนทอง" คราวนี้ท่านพระครูถอดแว่นออก เพราะคิดว่าหลานชาย คงไม่เห็นตอนท่านขยิบตา
"อ้าว หลวงลุงหลับตาปริ๊บ ๆ เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าจะเป็นลมเดี๋ยวนะ หนูจะไปชงยาหอมมาให้" พูดจบก็กุลีกุจอลุกออกไป
"หมายความว่ายังไงคะหลวงพ่อ" คุณหญิงหันมา "เล่นงาน" ท่านสมภารแทน
"ไม่มีอะไรหรอกคุณหญิง เจ้าหมอนี่มันธาตุไม่ค่อยจะดี เลยพูดจาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหน่อย ไม่มีอะไรหรอก"
"แต่ดิฉันว่า มันจะต้องมีอะไร หลวงพ่ออย่าปิดดิฉันเลยค่ะ" คนเป็นคุณหญิงพูดเสียงดังกว่าปกติ จนทำให้คนที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่หันมามอง
"เบา ๆ หน่อยคุณหญิง อาตมาขอร้องเถอะนะ วันนี้ก็เป็นวันมงคลของคุณหญิง จึงควรที่จะต้องทำจิตใจให้ผ่องใสเบิกบาน อะไรที่ไม่ดีไม่งาม ไม่ต้องเก็บเอามาคิด นะคุณหญิงนะ" ท่านพระครูพูดเตือนสติคนเป็นคุณหญิง คิดว่าเสร็จงานนี้แล้ว จะต้องพิจารณาโทษพ่อหลานชายตัวดีสักหน่อย โทษฐานที่นำความลับของผู้อื่นมาเปิดเผย
"ดิฉันขอโทษค่ะ เอาเถอะเมื่อหลวงพ่อไม่ให้คิด ดิฉันก็จะพยายามไม่คิด" ปากพูดอย่างนี้ หากใจนั้นคิดว่าเสร็จงานนี้แล้วจะต้อง "สัมภาษณ์" พ่อหนุ่มท่าทางกระตุ้งกระติ้งคนนั้นให้รู้ความจริงให้จงได้
นายขุนทองประคองถาดใบเล็กมีถ้วยกระเบื้องใส่ยาลมซึ่งละลายเรียบร้อยแล้ว มาประเคนท่านพระครู ปากก็ว่า
"หลวงลุงฉันยาลมหน่อย จะได้รู้สึกดีขึ้น" สมภารวัยห้าสิบจึงจำต้องรับถ้วยยาขึ้นมาดื่ม เพื่อไม่ให้คนเป็นคุณหญิงสงสัย ท่านพูดเบาๆให้หลานชายได้ยินแต่ผู้เดียวว่า "ความรู้สึกของข้าคงจะดีขึ้น ถ้าเอ็งไปให้พ้นหูพ้นตาข้า ไปเลย ไปเฝ้ากุฏิแทนสมชาย แล้วให้เขามาแทนเอ็งที่นี่" หลานชายทำตามคำสั่งผู้เป็นหลวงลุง เขาหายไปสักพัก นายสมชายก็ขึ้นมาบนศาลา ชายหนุ่มยกมือไหว้คุณหญิงแล้วมิได้พูดว่ากระไร ใจนั้นอยากจะถามว่าทำไมท่านรัฐมนตรีจึงไม่มาด้วย แต่ก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องอะไรของตน ท่านจะมาหรือไม่มา มันก็ไม่ใช่กงการอะไรของเขา
เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จสรรพแล้ว คณะของคุณหญิงก็ค่อย ๆ ทยอยกันมานั่งสนทนากับท่านพระครู คุณหญิงจึงถือโอกาสลุกออกมาทำทีว่าจะไปห้องสุขา ครั้นพ้นสายตาเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงแล้ว เธอก็เดินไปที่กุฏิ มีคนมารอพบท่านพระครูหลายคน เธอจึงกวักมือเรียกนายขุนทองมาหา
"คุณหญิงมีอะไรจะใช้หนูหรือฮะ" เขาถาม คุณหญิงยังไม่ตอบ เธอเปิดกระเป๋าถือ หยิบธนบัตรสีแดงออกมาจากกระเป๋าสตางค์สามใบ ส่งให้ชายหนุ่ม
"เอาไว้ซื้ออะไรที่เธออยากจะซื้อ" คุณหญิงว่า
หากเป็นนายสมชายจะต้องปฏิเสธ แต่นายขุนทองไม่ใช่นายสมชาย ชายหนุ่มรีบยกมือไหว้ พร้อมกล่าวคำขอบคุณ ใจนั้นกระหยิ่มยิ้มย่อง "คราวนี้อีขุนทองมีเงินดัดผมกะซื้อรองเท้าส้นสูงแล้ว"
ให้สินบนเรียบร้อยแล้ว คุณหญิงจึงเริ่มเรื่อง นายขุนทองกลัวใครจะมาได้ยิน จึงชวนไปคุยกันที่ศาลาท่าน้ำ แล้วเขาก็เล่าให้คุณหญิงฟังทุกอย่างทุกประการ เหมือนจะให้คุ้มกับค่าเงินค่าจ้างสามร้อยบาทที่คุณหญิงให้! คนเล่าเล่าจบ คนฟังก็เข่าอ่อน มือไม้อ่อนรู้สึกเหมือนใจจะขาดเสียให้ได้ เธอร้องไห้คร่ำครวญพร้อมก่นด่าคนเป็นสามี
ฮือ ๆ ไอ้แก่นะไอ้แก่ ทรยศกูจนได้ ไอ้งูเห่า เลี้ยงไม่เชื่อง กูอุตส่าห์ช่วยมันวิ่งเต้น เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ กูก็ทำ กว่าจะได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรี กูลำบากจนเลือดตาแทบกระเด็น พอได้ดิบได้ดีมึงก็มาทรยศกู ไอ้เวรห้าร้อย"
นายขุนทองรู้สึกเสียใจที่ทำให้คนเป็นคุณหญิงต้องร้องไห้ และคนเป็นรัฐมนตรีต้องถูกด่า ไม่รู้ที่จะแก้ตัวอย่างไร จึงส่งเงินสามร้อยบาทคืนให้คุณหญิงเป็นการไถ่โทษ คิดว่ายังไงเสียเธอคงไม่ยอมรับคืน แต่ก็ผิดคาด เพราะคนเป็นคุณหญิงเอื้อมมือมากระชากเงินนั้นไปใส่กระเป๋าของตน ได้เงินคืนแล้วก็ยังไม่หยุดร้องไห้ นายขุนทองจึงปลอบว่า "คุณหญิงอย่าคิดอะไรมากเลยฮะ อีกหน่อยเขาก็เลิกกัน ผู้หญิงที่ไหนเขาจะโง่เอาคนจวนเข้าโลงมาทำผัว"
"อ้อ นี่มึงว่ากูเหรอ มึงว่ากูโง่เหรอ" เธอแหวเข้าใส่ นายขุนทองตกใจจนอ้าปากค้าง นึกสมน้ำหน้าตัวเองที่อยู่ดีไม่ว่าดี คนเป็นคุณหญิงยังคงรำพันต่อไปว่า
"ฮือ ๆ กว่ามันจะเลิกกัน กูก็หมดตัวพอดี นี่เงินทองได้มา คงเอาไปบำรุงบำเรออีนั่นหมด คอยดูนะ กูจะต้องสืบให้รู้จนได้ จะถลกหนังมันเอาเกลือทาเชียวละ"
ค่ำคืนนั้น เมื่ออาคันตุกะกลับไปหมดแล้ว ท่านพระครูจึงเรียกตัวนายขุนทองมาซักฟอก
เอ็งนี่มันแย่มากนะเจ้าขุนทอง มีอย่างที่ไหน ไปพูดให้ผัวเมียเขาแตกกัน ระวังจะตกนรก คราวหน้าคราวหลังอย่าทำอย่างนี้อีก ได้ยินไหม ข้าอุตส่าห์ถอดแว่นขยิบตาให้ เอ็งก็ยังไม่รู้เรื่อง ยังดีนะที่ข้าไหวทัน จึงใช้ให้เอ็งมาเฝ้ากุฏิแทนเจ้าสมชาย ไม่งั้นความลับแตกแน่ ๆ" นายขุนทองร้องไห้โฮ ๆ ออกมา จนท่านพระครูตกใจ
"อะไร ว่าแค่นี่ก็ต้องร้องไห้ เกิดจะมีคุณธรรมสูงขึ้นมาเดี๋ยวนี้หรือไง" ท่านประชด
"มันไม่แค่นี้ซีฮะหลวงลุง มันไม่แค่นี้" คนพูดร้องไห้สะอึกสะอื้น
"แล้วมันแค่ไหนล่ะ"
"มันหมดเปลือกเลยฮะ หนูแอบเล่าให้คุณหญิงฟังหมดเปลือกเลย เขาจ้างหนูสามร้อย พอเล่าจบเขาก็เอาเงินคืน กรี๊ด!




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ



ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพ
เททองหล่อพระประธาน ปางลีลาประทานพร สูง ๔ เมตร (คล้าย พุทธมณฑล)
ประดิษฐานบนภูเขา ณ วัดป่ามงคลธรรม ต.ตะขบ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
โทร 081-408-7825<O


เชิญร่วมทำบุญ ซื้อที่ดินเพื่อทำสถานปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน
โทร.081-1279188


28-29 กรกฎาคม 2555 ร่วมเป็นเจ้าภาพบริจาคปัจจัย สมทบทุน "สร้างวัด" ถวายเป็นพุทธบูชา
โทร: 02-7141975


ร่วมสร้างพระเจดีย์บรรจุพระจักษุธาตุ-อรหันต์ธาตุ วัดป่าศรีคุณาราม จ.อุดรฯ (ปิดรับ 2 พ.ย.)
081-345-8656


ขอเชิญร่วมบุญสร้างถวายพระจักรพรรดิ์ทรงเครื่องขนาดหน้าตัก 30 นิ้ว
0896699699

ขอเชิญร่วมทำบุญเททองหล่อระฆัง ณ วัดล่องกระเบา
โทร. 086-8054133


ร่วมทำบุญทอดผ่าป่ามหาทาน
สำหรับท่านที่ประสงค์จะร่วมทำบุญ
แต่ไม่สะดวกในการเดินทางมาทำบุญ หรืออยู่ต่างประเทศ
สามารถทำบุญผ่าน
บัญชี วัดยานนาวา (เพื่อการศาสนศึกษา)
ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางรัก ประเภทบัญชี ออมทรัพย์
เลขที่บัญชี 242-0-12440-2



เชิญทอดผ้าป่าสร้างศาลาการเปรียญฯ
สมทบทุนยกช่อฟ้า สร้างประตู -บานหน้าต่างศาลา
ทอด ณ สำนักสงฆ์เขาเต่าสำเภาทอง
ต.ดอนตาเพชร อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี
กำหนดการ

พฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2555(วันอาสาฬหบูชา)

เวลา 09.00 น. ถวายผ้าป่าสามัคคี




งานบุญหนึ่งในสายหลวงปู่ใหญ่
http://www.watpatungkulachalermraj.com/ ... uage=th-TH



ขอเชิญร่วมป็นเจ้าภาพโครงการบวชพระ 99 รูป 99 วัน www.watnonggai.com

เชิญร่วมบวชเนกขัมมะ ปิดวาจา ณ.สำนักสงฆ์เขาสันติ หัวหิน
โทร. 086-8990642<O </O
<O </O


เชิญร่วมบวชเนกขัมมะ ถือศีล 8 ณ.วัดพิชัยพัฒนาราม (วัดเขาน้อยสามผาน) จ.จันทบุรี
086-8990642<O </O
<O </O



เชิญร่วมขับเคลื่อนพระธรรมจักรสู่ชาวเขา
โทร. ๐๘-๖๙๑๔-๖๕๔๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 10:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8:
อนุโมทนาแล้วๆๆ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 13:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2012, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงวันนี้เจ้าหมีก็โตเป็นหนุ่มเต็มตัวเช่นเดียวกับเจ้าโฮมและเจ้าขาว น้องร่วมท้องที่ลืมตาดูโลกในวันเดียวกันกับมัน กิจกรรมสำคัญของเจ้าหนุ่มสามตัวนี้ก็คือ การสอดส่ายสายตาเล็งแลหาคู่ชู้ชม
บรรดาสาว ๆ ที่นางบุญพาให้สมญาว่า "อีพวกแม่หม้ายผัวทิ้ง" จึงมักพากันมาป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ กุฏิเพื่อชม้อยชม้ายชายตาให้สามหนุ่มด้วยความสนิทเสน่หา
เจ้าโฮมกับเจ้าขาวพากันตกหลุมรักหม้ายสาวไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่สบตากัน ยังเหลือก็แต่เจ้าหมีที่ยังไม่พลาดท่าเสียที หรือ ยอมตกร่องปล่องชิ้นกับตัวใด มันคงไม่อยากเป็นมือสองรองใครอื่นให้ต้องเสียชั้นเชิงชาย หรือไม่ก็คงถือคติ "ข้าเป็นหนุ่มทั้งแท่ง ควรหรือจะมากินแตงเถาตาย" หรือว่ามันอาจจะคิดอะไรที่นอกเหนือไปจากนี้ก็ไม่มีใครรู้ได้ แต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือเจ้าหมียังคงครองตัวเป็นโสด ไม่ยุ่งยิ่งสุงสิงกับหม้ายสาวตัวใดให้ต้องเสียความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะเหตุนี้ที่ทำให้มันเป็นที่โปรดปรานรักใคร่ของนายขุนทอง ยิ่งกว่าน้องสองตัวของมัน
ข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ เจ้าหมีนั้นดูเหมือนเป็นหมาที่ถือเนื้อถือตัวเป็นพิเศษ ผิดแผกจากหมาทั่ว ๆ ไป กล่าวคือมันจะไม่ทำตัวสนิทสนมกับใครง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นหมาด้วยกันก็ตาม ยิ่งพวกเด็ก ๆ ด้วยแล้ว ดูจะไม่อยู่ในสายตาของมันเอาเสียเลย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยปรากฏว่ามันทำร้ายผู้ใด อย่างมากก็แค่แยกเขี้ยวใส่เท่านั้น
เป็นวันอาทิตย์ต้นเดือน ท่านพระครูลงรับแขกตามปกติตามตารางที่นายขุนทองเป็นผู้จัดให้ เจ้าหนุ่มสามตัวเหมือนกับจะรู้ล่วงหน้าว่าวันนี้พวกมันจะมี "แขก" มาหา แล้วก็เป็น "แขก" ตัวจริงเสียด้วย
ผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้ากุฏิที่เจ้าโฮม เจ้าขาว และเจ้าหมีนอนเรียงรายกันอยู่ คนที่หน้าตาเหมือนแขก หยุดจ้องเจ้าสามหนุ่มด้วยท่าทางเหมือนคนตกตะลึง เพื่อนที่มาด้วยต้องสะกิดให้หล่อนคลานเข้าไปนั่งยังข้างในกุฏิ นั่งลงแล้วหล่อนยังหันไปมองเจ้าสุนัขสามตัวตาไม่กระพริบ จ้องไปจ้องมาน้ำตาหล่อนก็ไหลพราก ๆ อย่างไม่อาจจะกลั้นได้
เมื่อถึง "คิว" เพื่อนที่มาด้วยกราบท่านพระครูสามครั้ง แต่ตัวหล่อนไม่กราบ ด้วยเหตุผลที่ว่า "หนูกราบหลวงพ่อไม่ได้หรอกค่ะ เพราะหนูเป็นมุสลิม ศาสนาอิสลามเขามีข้อห้ามไม่ให้ศาสนิกกราบไหว้พระหรือนักบวชศาสนาอื่น หลวงพ่อคงไม่ว่าหนูนะ"
"ไม่ว่าหรอกจ้ะ หลวงพ่อกลับจะชมเชยเสียอีกว่า หนูเป็นคนเคร่งศาสนา ดีกว่าชาวพุทธบางคนที่ไม่เคยเข้าวัดเลยด้วยซ้ำ แต่นี่หนูนับถือศาสนาอื่นก็ยังอุตส่าห์มาวัด"
"ที่จริงหนูก็ไม่ควรมาหรอกค่ะ เพราะคนที่เขาถือเคร่งจริง ๆ เขาจะไม่มาวัดของศาสนาอื่น แต่หนูไม่เคร่งถึงขนาดนั้น" หล่อนหันไปดูเจ้าหมี เจ้าโฮม และเจ้าขาว ปากก็ถามว่า "หลวงพ่อคะ สุนัขสีดำตัวใหญ่นั่นชื่อเจ้าหมีใช่ไหมคะ"
"ทำไมหนูรู้ล่ะ ถูกแล้วมันชื่อหมี" ท่านพระครูตอบ
"ก็เขาไปหาหนูค่ะ" สาวมุสลิมว่า
"ไปหาที่ไหน นี่หนูมาจากไหนกันจ๊ะ"
"มาจากบางมดค่ะ บางมดฝั่งธนบุรี" เพื่อนที่มาด้วยถือโอกาสพูดบ้าง
"แล้วเจ้าหมีไปหาหนูที่ไหนล่ะ หรือว่าไปหาถึงบางมดโน่น" ท่านเจ้าของกุฏิสงสัย
"ค่ะหลวงพ่อ แต่เขาไปหาในฝันนะคะ ไปกับอีกสองตัวนั่น เรื่องมันแปลกมากเลยค่ะหลวงพ่อ แปลกที่สุดในโลก คนเล่ามีท่าทางตื่นเต้น
"แปลกยังไงล่ะหนู เล่าให้หลวงพ่อฟังได้ไหม"
"ได้ค่ะ คือเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว หนูฝันเห็นเขาทั้งสามตัวเลยค่ะ" ผู้ที่นั่ง ณ ที่นั้นพากันหัวเราะและคิดในใจว่าหล่อนเพี้ยน แต่ท่านพระครูไม่คิดเช่นนั้น เพราะหากไม่ใช่เรื่องจริง หล่อนคงไม่ลงทุนมาถึงที่นี่ วัดนี้มักมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นเสมอ ๆ"
"เล่าต่อไปสิหนู หลวงพ่อกำลังฟัง" สาวมุสลิมจึงเล่าต่อว่า
"ในฝันหนูกำลังนั่งร้องไห้ คือ หนูปลูกบ้านให้คนเช่าค่ะหลวงพ่อ แล้วหนูก็ถูกเขาโกงค่าเช่า เขามาเช่าอยู่ พอใกล้จะสิ้นเดือนก็หนีโดยไม่จ่ายเงิน หนูก็ขาดทุนทุกเดือน จนเป็นหนี้เป็นสินเพราะต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟแทนคนเช่า หนูกลุ้มใจนอนร้องไห้ทุกคืน
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วหนูก็นอนร้องไห้จนหลับไป แล้วหนูก็ฝันเห็นเขาทั้งสามตัว เจ้าหมีถามหนูว่า "น้า ๆ ร้องไห้ทำไม" หนูก็ตอบว่าน้าถูกโกงค่าเช่า เขาก็บอก "น้าไม่ต้องร้องไห้หรอก ไปหาหลวงพ่อวัดป่ามะม่วงซี หลวงพ่อท่านช่วยได้" แล้วเขาก็บอกชื่อหลวงพ่อ ชื่อจังหวัด แล้วก็ชื่อเขา พอหนูตื่นขึ้นมา
ภาพในฝันยังแจ่มชัดอยู่ในความคิด แต่ว่าหนูลืมชื่อจังหวัด หนูจึงไปถามเพื่อน ๆ ที่นับถือศาสนาพุทธว่า มีใครรู้จักวัดป่ามะม่วงบ้าง ก็หาคนรู้จักไม่ได้ บังเอิญเพื่อนคนนี้เขามีญาติซึ่งเคยมาวัดนี้ เขาเลยบอกทางให้ หลวงพ่อต้องช่วยหนูนะคะ" คนเล่าสรุปลงท้ายด้วยการขอความช่วยเหลือ
ผู้ที่นั่งฟัง และคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไม่น่าเชื่อถือกลับพากันเปลี่ยนใจมาเชื่อ เพราะอย่างน้อยเจ้าหนุ่มสามตัวที่นอนเรียงรายอยู่หน้ากุฏิก็เป็นพยานหลักฐานได้เป็นอย่างดี
"แหม เจ้าหมีมันใจบุญจริง ๆ อุตส่าห์ไปช่วยเขาถึงบางมดโน่น" ท่านพูดกับญาติโยมที่นั่งอยู่เต็มกุฏิ
"สงสัยว่ามันคงกลัวอาตมาจะไม่มีงานทำ เลยไปช่วยหางานมาให้ เจ้านี่มันสำคัญนัก" ท่านพูดยิ้ม ๆ
"หลวงพ่อต้องช่วยหนูนะคะ" คนเป็นมุสลิมย้ำ
"จะให้ช่วยอะไรล่ะจ๊ะ"
"ช่วยให้คนดี ๆ มาเช่าบ้านหนูจะได้ไม่ถูกโกงค่าเช่าค่ะ"
"แต่คนดี ๆ นั้นหายากจังนะหนู หายากยิ่งกว่างมเขียงในมหาสมุทรเสียอีก" ท่านเจ้าของกุฏิเปรียบเทียบ
"งมเข็มค่ะหลวงพ่อ ถ้าเขียงไม่ต้องงม เพราะมันลอยน้ำได้" เพื่อของสาวมุสลิมแย้ง
"อ้อ ยังงั้นหรือ โอ้โฮ ถ้างมเข็มก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่เลยซีนะ หรือหนูว่ายังไง" ท่านถามคนนับถือศาสนาอิสลาม
"แต่ถึงจะยากยังไง หนูก็เชื่อว่าหลวงพ่อต้องช่วยได้ค่ะ ไม่งั้นเจ้าหมีเขาคงไม่ลงทุนไปเข้าฝันหนู หลวงพ่อช่วยหนูด้วยนะคะ ได้โปรดเถอะค่ะ" หล่อนวิงวอน
"เอาละ ช่วยก็ช่วย เจ้าหมีจะได้ไม่เสียหน้า หนูสวดมนต์เป็นไหมล่ะจ๊ะ สวดอิติปิโสได้หรือเปล่า"
"สวดไม่เป็นค่ะ แล้วก็สวดไม่ได้ด้วย เพราะศาสนาหนูเขาห้าม"
"แล้วศาสนาของหนูมีสวดมนต์หรือเปล่า"
"มีค่ะ ก่อนละหมาดเราต้องสวดมนต์"
"ถ้าอย่างนั้น ก็สวดไปตามที่ศาสนาของหนูสอนก็แล้วกัน พอสวดเสร็จ ก็ให้ตั้งใจแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร อ้อ ถ้าหลวงพ่อจะให้พระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ ๕ หนูไว้บูชาจะได้หรือเปล่า ศาสนาเขาห้ามไหม"
"ไม่ห้ามค่ะ ถ้าเป็นในหลวงเขาไม่ห้าม แต่ถ้าเป็นพระถึงจะห้ามค่ะ"
"งั้นก็ดีแล้ว หลวงพ่อจะให้หนูไปหนึ่งแผ่น หนูเอาไปใส่กรอบไว้บูชานะ แล้วก็อธิษฐานขอพระบารมีของพระองค์ให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อบอกมานี่นะ ไม่เกินสองเดือนรับรองรู้ผล หนูจะทำได้ไหมล่ะ"
"ได้ค่ะหลวงพ่อ หล่อนรับคำแข็งขัน แล้วดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้นกับท่านเจ้าของกุฏิว่า
"หลวงพ่อคะ หนูมีอะไรบางอย่างจะสารภาพกับหลวงพ่อค่ะ"
"มีอะไรล่ะจ๊ะ จะสารภาพอะไร"
"คือหนูยอมรับว่า ก่อนหน้านี้หนูไม่เคยนับถือพระเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าเพราะหนูนับถือศาสนาอิสลามหรอกนะคะ แต่เพราะหนูไม่เคยเห็นพระดี ๆ สักคนเดียว
เมื่อก่อนนี้บ้านหนูอยู่ติดกับวัดลุ่ม หนูเห็นพระวัดนั้นเปิดเพลงเต้นร็อคกันทุกวัน หนูเคยโผล่หน้าต่างไปจ้องดูหมายจะให้พวกเขาอาย แต่นอกจากจะไม่อายแล้วเขายักกวักมือเรียกหนู บอก "โยมมาเต้นด้วยกันไหมล่ะโยม" หนูก็ด่าไปว่า ขอโทษนะคะหลวงพ่อ อย่าหาว่าหนูหยาบคายนะคะ" หล่อนหยุดเล่า กล่าวคำขอโทษ แล้วจึงเล่าต่อ
"หนูก็ด่าไปว่า "ไอ้พระบ้า ไอ้พระลามก" หนูด่าอย่างนี้บาปไหมคะหลวงพ่อ" หล่อนถาม
"ถ้าจะบาปพระพวกนั้นท่านก็บาปกว่าหนูแหละ เป็นพระเป็นเจ้าไปทำงั้นได้ยังไง" ท่านพระครูตำหนิติเตียน
"นั่นสิคะ พอหนูด่า ป๊ะหนูได้ยินเลยมาช่วยด่าอีกคน แล้วป๊ะยังขู่ว่าจะบอกตำรวจ พวกเขาก็เลยเลิกเต้น วันต่อ ๆ มา เวลาเขาจะเต้นกันเขาก็จะปิดหน้าต่างมิดชิด ได้ยินแต่เสียงเพลงดังออกมา ป๊ะหนูเขาเกลียดพระมากเลยค่ะหลวงพ่อ ป๊ะว่า "พวกพระน่ะเก่งอยู่สองอย่างเท่านั้น คือดูหมดกับให้หวย นอกนั้นไม่ได้เรื่องซักอย่าง"
"แต่พระวัดนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ป๊ะหนูว่านะ เมื่อก่อนหลวงพ่อก็เคยดูหมอเหมือนกัน แต่เลิกไปร่วมยี่สิบปีแล้ว ส่วนเรื่องให้หวยหลวงพ่อไม่เคยทำ วันหลังหนูชวนป๊ะมาด้วยซีหนู บอกหลวงพ่อให้มาพิสูจน์ว่า พระวัดนี้ไม่เหมือนวัดอื่น นะหนูนะ"
"ป๊ะคงไม่มาหรอกค่ะ เพราะเขาเคร่งศาสนามาก ไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่เมืองมักกะฮ์ทุกปี นี่ถ้าป๊ะรู้ว่าหนูมาวัดคงโกรธน่าดูเลย" แล้วหันไปกำชับเพื่อนสาวว่า "นิด เธอต้องปิดเป็นความลับนะ ห้ามบอกป๊ะฉันเป็นอันขาด"
"ตกลง แต่เธอต้องให้สินบนฉันนะ" เพื่อนหล่อนว่า
"หลวงพ่อคะ คนที่นับถือศาสนาพุทธ เขาชอบเรียกสินบาท คาดสินบนอย่างนี้หรือคะ" สาวมุสลิมถามท่านพระครู
"ก็ไม่ทุกคนหรอกหนู ที่เขาดี ๆ ก็มี แต่หนูอาจจะโชคร้ายสักหน่อยที่มาเจอแบบนี้"
"แหม หลวงพ่อ หนูพูดเล่นต่างหากล่ะคะ" คนเป็นพุทธแก้ตัว
"แต่ถ้าได้จริง ๆ ก็ดีใช่ไหมล่ะ" ท่านพูดแทงใจดำ
"ก็ดีเหมือนกันค่ะ โธ่ หลวงพ่อคะ ใครบ้างไม่อยากได้เงิน" หญิงสาวพูดตรง ๆ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องพูดอ้อมค้อม
"เสร็จธุระแล้วหนูถือโอกาสลาหลวงพ่อละค่ะ" หล่อนเอ่ยปากลาหากมิได้กราบ ด้วยเกรงจะขัดต่อคำสอนในศาสนาของตน ส่วนเพื่อนหล่อนกราบท่านพระครูสามครั้งแต่มิได้เอ่ยปากลา ผู้หญิงสองคนลุกออกไปแล้วผู้ชายหนึ่งคนก็ถามขึ้นว่า
"เป็นไปได้หรือครับหลวงพ่อที่สุนัขจะไปเข้าฝันคน"
"โยมไม่เชื่อใช่ไหม" ท่านเจ้าของกุฏิย้อนถาม
"เชื่อครับ แต่ก็อยากได้รับคำยืนยันจากหลวงพ่อเพื่อความมั่นใจ" บุรุษนั้นตอบ
"ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็ขอยืนยันว่า เจ้าหมีมันไปเข้าฝันแม่หนูคนนั้นจริง ๆ โยมอาจจะสงสัยว่ามันเป็นหมาทำไม่ถึงทำได้ ที่มันทำได้เพราะชาติที่แล้วมันเกิดเป็นคน ญาติโยมอยากรู้เรื่องราวของเข้าหมีไหมล่ะ อาตมาจะเล่าให้ฟัง อยากฟังไหม"
"อยากฟังค่ะ"
"อยากฟังครับ" สตรีและบุรุษที่นั่ง ณ ที่นั้นตอบพร้อมกัน ท่านเจ้าของกุฏิจึงว่า
"ตกลง เมื่ออยากฟัง อาตมาก็จะเล่า แต่ก่อนอื่นญาติโยมจะต้องเชื่อเรื่องภพชาติ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดว่า เราต้องเวียนตายเวียนเกิดกันไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันชาติ เกิดเป็นมนุษย์บ้างเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเทพยดาบ้าง แล้วแต่กรรมที่ทำ เรื่องการเวียนว่ายนี้ มีหลักฐานปรากฏชัดเจนในคัมภีร์พระไตรปิฎก ญาติโยมคงจำกันได้ว่า ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธองค์ ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น ขณะทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ภายใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์
ในยามต้นทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือทรงระลกชาติแต่หนหลังได้ อันนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง เราไม่ได้เกิดหนเดียวตายหนเดียวอย่างที่พวกวัตถุนิยมเขาเชื่อกัน แต่ทีนี้ทำไมบางคนถึงระลึกชาติได้ ทำไมบางคนระลึกชาติไม่ได้ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เขาไปเกิด เช่น สมมุติว่า นาย ก. ตายไปตกนรก พอหมดกรรมจากนรก ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ถ้าเป็นอย่างนี้เขาจะระลึกชาติไม่ได้ คือจำชาติที่เคยเกิดเป็นนาย ก. ไม่ได้ เพราะระยะเวลาที่จะมาเป็นมนุษย์อีกนั้นมันถูกคั่นด้วยการไปเกิดในนรกกับไปเกิดเป็นเดรัจฉาน
ทีนี้สมมุติอีกคนหนึ่ง สมมุติว่านาย ข. เกิดเป็นมนุษย์ พออายุได้ยี่สิบปี ก็ตายเพราะอุบัติเหตุหรืออะไรก็แล้วแต่ เมื่อตายก็ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีก เมื่อเขาเริ่มรู้ประสา เขาจะจำชาติที่แล้วของตัวได้ เพราะช่วงของระยะเวลาที่เกิดเป็นมนุษย์มันสั้นและต่อเนื่องกัน จึงทำให้เขาจำอดีตได้ เปรียบเทียบให้ใกล้ตัวเข้ามาอีก เช่น อย่างกับตัวเรานี่นะ เหตุการณ์ที่เกิดกับตัวเราเมื่อวานนี้ กับเหตุการณ์ที่เกิดกับตัวเราเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว โยมคิดว่าโยมจะจะอันไหนได้ ที่เกิดเมื่อวาน หรือที่เกิดเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว"
"ที่เกิดเมื่อวานค่ะ" สุภาพสตรีผู้หนึ่งตอบ
"ถูกแล้ว เราจะจำสิ่งที่ใกล้ตัวได้ก่อนสิ่งที่ไกลตัว ทีนี้ในกรณีของเข้าหมีก็เหมือนกัน นี่อาตมาเคยสัมภาษณ์มันแล้วนะ มันรู้ภาษาคน เพราะชาติที่แล้วมันเคยเกิดเป็นคน เพียงแต่มันพูดไม่ได้เท่านั้น"
"ในเมื่อมันพูดไม่ได้ แล้วหลวงพ่อสัมภาษณ์มันได้ยังไงล่ะครับ" บุรุษหนึ่งสงสัย
"โยมอยากรู้จริง ๆ หรือว่าทำไมอาตมาถึงพูดกับมันรู้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่มันพูดไม่ได้
"อยากรู้ครับ" เขาตอบ
"ไม่ยากหรอกโยม เพราะถึงมันจะพูดไม่ได้ แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาพูด อาตมาใช้ภาษาจิตสัมภาษณ์มัน อย่าลืมนะ ภาษาจิตนี่เป็นภาษาสากล ถ้าต่างคนต่างฝึกจิตจนถึงขั้นสื่อสารกันได้ ถึงจะต่างชาติต่างภาษาก็คุยกันรู้เรื่อง ถ้าโยมอยากพิสูจน์เรื่องนี้ก็ต้องพยายามฝึกจิตด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าจิตถึงขั้นนะ โยมก็จะสามารถพูดกับคนต่างชาติได้"
"แบบนี้ก็แปลว่า เจ้าหมีมันต้องฝึกจิตด้วยใช่ไหมครับ มันถึงคุยกับหลวงพ่อรู้เรื่อง" บุรุษนั้นถามอีก
"เป็นเดรัจฉานทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกโยม เพราะการเกิดเป็นเดรัจฉาน ถือว่าเกิดในอบายภูมิ หมดโอกาสที่จะประกอบกุศลกรรม แต่ทีนี้ที่เจ้าหมีมันทำได้ เพราะมันมี "สัญญา" คือการจำได้หมายรู้ มันมีสัญญาติดตัวหลงเหลือมาจากชาติที่เป็นมนุษย์ จึงสามารถฟังภาษามนุษย์ได้รู้เรื่องทั้งที่พูดไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องแปลกนะ แปลกแต่จริง"
"แล้วมันเล่าให้หลวงพ่อฟังว่ายังไงบ้างครับ" คนถามอยากรู้
"มันเล่าว่า เมื่อชาติที่แล้วก่อนที่มันจะมาเกิดเป็นสุนัข มันเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นมรรคทายกของวัดนี้มาก่อน และที่ต้องมาเกิดเป็นสุนัข เพราะกรรมที่มันชอบไปเรี่ยไรเงินคนเขามาทำบุญ เรี่ยไรเก่งมาก แต่ตัวเองไม่เคยเรี่ยไรตัวเองเลย
แม้มันจะทำบุญแต่ก็เป็นเงินของคนอื่น ไม่ใช่เงินของตัวเอง ในที่สุดมันก็เลยต้องมาเกิดเป็นสุนัข แต่เรื่องกรรมมันซับซ้อนนะโยม มันซับซ้อนมาก เจ้าหมีมันจะต้องมีกรรมอื่นมาส่งผลด้วย บวกกับกรรมที่ไปเอาเงินคนอื่นมาทำบุญ จึงทำให้ต้องมาเกิดในอบายภูมิ คือมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันไม่ได้เกิดที่วัดนี้หรอก แต่หลานชายของอาตมาเอามันมาจากบ้านเขาซึ่งอยู่คนละอำเภอ พอมันมาอยู่ที่วัดนี้มันก็จำได้ เพราะเคยอยู่มาแต่ครั้งอดีตชาติ"
ท่านไม่ได้บอกพวกเขาว่าก่อนที่มันจะมาเกิดเป็นมรรคทายก ได้เกิดเป็นทหารคนสนิทของท่านในชาติที่ท่านเป็นแม่ทัพ ที่ไม่บอกเพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องบอก คนที่เขาไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้จะพากันคิดว่าท่านเพี้ยน



"เอาละ ยุติเรื่องเจ้าหมีกันได้แล้ว และอาตมาก็อยากจะบอกกับญาติโยมว่า ถ้าใครอยากระลึกชาติได้ก็ให้หมั่นเจริญกรรมฐาน ถ้าระลึกชาติได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นโยมจะรู้ว่า การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมันเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ทุกข์ทั้งนั้น อาตมาตั้งจิตอธิษฐานไว้เลยนะว่าขออย่าให้ต้องเกิดอีก จะเกิดเป็นมนษย์หรือเป็นเทวดาก็ไม่ต้องการทั้งนั้น แต่ก็นั่นแหละ ถ้ากรรมยังไม่สิ้นก็จำเป็นจะต้องเกิดอีก ไม่ว่าจะอยากเกิดหรือไม่อยากก็ตาม เอาละ ใครมีอะไรจะปรึกษาหารือก็เชิญ"....
วันเสาร์ที่ ๒๙ มิถุนายน ท่านพระครูได้รับนิมนต์จากนายแพทย์สมเจตนา ให้ไปทำพิธีเปิดป้ายร้านเสริมสวยที่ในตัวจังหวัด นายสมชายขับรถพาท่านออกจากวัดป่ามะม่วงตั้งแต่เจ็ดนาฬิกา รถแล่นออกประตูวัดมาแล้ว ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นคนขับก็ชวนคุย
"หมอสมแกนึกยังไงถึงหันมาเปิดกิจการร้านเสริมสวย อาชีพหมอก็รวยอยู่แล้ว จริงไหมครับ"
"ถ้าเธออยากรู้ก็ลองถามเขาดูสิ ไปถึงบ้านงานก็ถามเขาเลยนะ มาถามฉัน ฉันจะไปรู้อะไร"
"แต่ถ้าหลวงพ่อจะรู้ก็รู้ได้ หลวงพ่อรู้ได้ทุกอย่างที่อยากรู้" ศิษย์วัดว่า
"บังเอิญเรื่องนี้ฉันไม่อยากรู้ ก็เลยไม่รู้" สมภารวัยห้าสิบพูดขรึม ๆ
"หรือครับ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรครับ" ชายหนุ่มวางท่าขรึมบ้าง หากก็ทำได้ไม่นาน เพราะรู้สึกเหมือนท้องจะแตก จึงต้องพูดขึ้นว่า
"ไม่รู้หมอสมแกจะอยากรวยไปถึงไหน ทั้งทำงานโรงพยาบาล ทั้งเปิดคลินิค และยังจะมาเปิดร้านเสริมสวยอีก นี่แหละน้าคนโบราณเขาถึงว่า "คนรวยก็รวยเสียเหลือล้น คนจน ก็จนเสียเหลือหลาย" เช่นนายสมชายเป็นต้น จนเสียจนไม่มีเงินจะแต่งงาน" ชายหนุ่มพูดไปเรื่อย ๆ เห็นท่านพระครูไม่พูด เขาจึงพูดต่ออีกว่า
"ลูกเมียหรือก็ไม่มี ยังจะงกอีก ได้ยินเขาเล่ากันว่า แกเคยแต่งงานนะครับ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนโน้น แกเคยแต่งงานกับลูกสาวเจ้าของโรงสี แต่ยังไงไม่ทราบ อยู่กันแค่อาทิตย์เดียว ก็หย่ากันเสียแล้ว แกก็เลยครองตัวเป็นพ่อหม้ายเนื้อหอมมาจนบัดนี้" แม้ท่านพระครูจะไม่พูด หากท่านก็ฟัง และ "รู้" ว่านั่นเป็นเพราะ "กรรม" กรรมตัวเดียวเท่านั้นที่บันดาลให้เหล่าสัตว์ต้องมีอันเป็นไป
"ใจคอหลวงพ่อจะให้ผมพูดอยู่คนเดียวอย่างนี้หรือครับ" นายสมชายถามภิกษุวัยห้าสิบที่นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหลังเขา
"ชอบไม่ใช่หรือ"
"จะว่าชอบก็ไม่เชิง แต่ครั้นจะว่าไม่ชอบก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นผมก็เลยไม่ทราบจะตอบหลวงพ่อยังไงดี หรือว่าหลวงพ่อจะให้ผมตอบว่ายังไงดีครับ" ชายหนุ่มยั่ว
"งั้นก็ไม่ต้องตอบ" ท่านพระครูพูดตัดบท
"แต่ผมอยากตอบนี่ครับ อยากตอบ แต่ไม่รู้จะตอบยังไง" คราวนี้เขายวน
"ฉันก็ไม่รู้ว่า จะช่วยเธอยังไงเหมือนกัน" ท่านยวนบ้าง
"แต่ถ้าหลวงพ่อตั้งใจจะช่วย ถึงไม่รู้ก็ช่วยได้นี่ครับ คือช่วยทั้ง ๆ ที่ไม่รู้"
"รู้สึกว่าเธอจะพูดมากไปแล้วนะ พูดมากปากไม่ได้พักผ่อน"
"ไม่เป็นไรครับ ปากผมยังหนุ่มยังแน่น ถึงไม่ได้พักผ่อนก็ยังแข็งแรง หลวงพ่ออย่าห่วงมันเลย ห่วงผมดีกว่า"
"เธอมีอะไรให้ห่วงล่ะ"
"ก็เรื่องห่วงไงครับ ผมอยากได้ห่วงสักห่วงมาผูกคอ แต่ไม่มีเงินไปซื้อครับ หลวงพ่อสัญญาว่าจะช่วย ป่านนี้ยังไม่มีวี่แววเลย หลวงพ่อลืมหรือยังครับ ที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้กะผมน่ะครับ" คำพูดของศิษย์วัดทำให้ท่านพระครูนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้อธิษฐานจิต "ช่วย" ให้ชายหนุ่มได้แต่งงานสมความมุ่งมาดปรารถนาดังที่ได้สัญญาไว้กับเขา
"ถ้าเธอไม่เตือนก็คงจะลืมไปแล้ว เอาละ คืนนี้จะจัดการให้ ทีนี้ก็หยุดพูดได้แล้ว ฉันจะหลับละ" แล้วท่านจึงนั่งหลับตา กระทั่งรถแล่นมาถึงบ้านงาน
พิธีทำบุญเลี้ยงพระสิ้นลง เมื่อเวลา ๙.๑๙ นาฬิกา จากนั้นเป็นพิธีเปิดป้ายร้านเสริมสวย เมื่อพระสงฆ์ ๘ รูป ที่นิมนต์มาจากวัดอื่นขึ้นต้นสวด "ชะยันโต" เจ้าภาพคือ นายแพทย์สมเจตนา จึงนิมนต์ท่านพระครูไปช่วยเจิมหน้าห้องเสริมสวย
เขาถือขันจอกทองเหลืองใบจิ๋ว ซึ่งวางอยู่บนพานทองเหลือง มี "ลิ้นพาน" รอง ในขันบรรจุ "แป้งเจิม" ซึ่งทำจากดินสอพองบดละเอียด ผสมกันน้ำมันจันทน์ เดินนำท่านพระครูไปยังห้องเสริมสวย เจิมห้องแรกเสร็จ เขาก็นิมนต์ไปเจิมห้องอื่น ๆ อีก ทั้งหมดนับได้ถึง ๗ ห้อง
สมภารวัดป่ามะม่วงรู้สึกแปลกใจว่า เหตุใด "ห้องเสริมสวย" จึงมีหลายห้องนัก แถมมีเลขที่ห้องเรียงลำดับจากหนึ่งถึงเจ็ดติดไว้ที่หน้าประตูของห้องอีกด้วย เมื่อเจิมเสร็จท่านจึงเดินกลับมายังห้องโถงที่ใช้ทำพิธี พวกหนุ่ม ๆ หน้าตาดีหลายคนพากันมากระเซ้าพลางหัวเราะคิกคัก คนหนึ่งถามขึ้นว่า
"หลวงพ่อไปทำอะไรในที่นั่นครับ คนเป็นพระเขาไม่ไปตรงนั้นกันหรอก" เขาหมายถึง "ห้องเสริมสวย"
"เขาให้ไปเจิมห้องเสริมสวย" คำตอบของท่าน ทำให้พวกหนุ่ม ๆ หัวเราะครืน คนเดิมพูดอีกว่า
"หลวงพ่อถูกหลอกซะแล้ว"
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงนึกเอะใจ ท่าทางจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว ท่านจึงกำหนด "เห็นหนอ เห็นหนอ นั่นมันห้องอะไรหนอ" แล้วท่านก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร "ตายแล้วหนอ นั่นมันซ่องนี่หนอ ซ่องโสเภณีหนอ เราถูกหมอสมเจตนาหลอกให้มาเปิดป้ายสำนักโสเภณีเสียแล้วสิหนอ" ท่านมองหน้านายแพทย์สมเจตนาคล้ายจะถามว่า "นี่มันอะไรกัน" หากฝ่ายนั้นทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
เมื่อท่านกลับมานั่งที่เดิมแล้ว เจ้าภาพจึงถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ ๙ รูป และรับพร เสร็จแล้วพระ ๘ รูปก็พากันกลับวัด ท่านพระครูยังไม่ยอมกลับ เพราะต้องการจะ "ผ่าตัด" คนเป็นหมอผู้ซึ่งผ่าตัดคนอื่นเขามามากแล้ว ถึงคราวที่ตัวเองจะต้องถูกผ่าตัดบ้างละ
ส่งพระสงฆ์และแขกเหรื่อกลับไปแล้ว เจ้าภาพก็มานั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าท่านพระครู
"ไงคุณหมอ นึกยังไงถึงต้มอาตมาเสียเปื่อยเลย เห็นอาตมาเป็นไก่ไปแล้วหรือไง"
"โธ่หลวงพ่อครับ ก็เพราะผมเคารพนับถือหลวงพ่อ หลวงพ่อเป็นพระสุปะฏิปันโน เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ผมก็เลยอยากให้หลวงพ่อมาทำพิธีเปิด กิจการจะได้รุ่งโรจน์เรืองรองสืบไปในภายภาคหน้า" คนเป็นหมอสาธยาย
"แต่คุณหมอกำลังจะทำให้ "ศีลบริสุทธิ์" ของอาตมาต้องด่างพร้อย นี่โชคดีนะที่อาตมาไม่รู้เห็นเป็นใจด้วย ไม่งั้นต้องอาบัติแน่ ๆ คุณหมอนะคุณหมอ ไม่น่าทำอาตมาเลย" ท่านตัดพ้อต่อว่า
"ผมกราบขอโทษครับหลวงพ่อ ขอโทษมาก ๆ เลย" เขาก้มลงกราบหนึ่งครั้ง
"ยังไม่แค่นี้นะ โทษของคุณหมอยังมีอีก รู้หรือเปล่าคุณหมอกำลังประกอบ "มิจฉาอาชีวะ" การค้ามนุษย์ไม่จัดว่าเป็นสัมมาอาชีวะ อาตมาไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหมอต้องทำอย่างนี้ พูดกันตรง ๆ เลยนะ อาตมาขอตำหนิว่าคุณหมอช่างโลภมากเหลือเกิน เท่าที่มีอยู่ยังไม่พออีกหรือ ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดของจังหวัดนี้ยังไม่พอใจหรือ"
"พอใจครับหลวงพ่อ ตัวผมน่ะพอใจในสิ่งที่ผมมี ผมเป็น ไม่เคยทะเยอทะยานหรอกครับ แต่ที่ต้องทำอย่างที่หลวงพ่อเห็นก็เพราะมันจำเป็นต้องทำครับ"
"จำเป็นยังไง พอจะบอกอาตมาได้หรือเปล่า"
"ได้ครับ คือมันเป็นความประสงค์ของพวกเด็ก ๆ เขา เขามาอ้อนวอนก็เลยต้องตามใจเขา
"เด็ก ๆ ไหน"
"ก็พวกหนุ่ม ๆ ที่นั่งหน้าตาสลอนอยู่นี่ไงครับ ถ้าผมไม่ตามใจพวกเขา เขาก็จะพากันทิ้งผมไป" หมอ สบตากับท่านพระครูเหมือนจะขอความเห็นใจ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงเห็นแววตาที่บ่งบอกถึงความอ้างว้างว้าเหว่ ก็เข้าใจความรู้สึกของเขา ท่านนึกในใจว่า "ดูเอาเถอะ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก แต่ตาหมอคนนี้กลับมายึดพวกหนุ่ม ๆ ช่างน่าสังเวชใจเสียจริง" ต่อเมื่อเห็น "กฎแห่งกรรม" ของบุรุษตรงหน้าท่านแล้ว ท่านก็เข้าใจ ไม่นึกตำหนิติเตียนเขาอีก
"แล้วพวกสาว ๆ ที่จะมาบริการแขกล่ะ ตอนนี้ไปอยู่กันที่ไหน" ท่านหมายถึงบรรดา"คุณตัว" ทั้งหลาย
"ช่วยกันล้างถ้วยชามอยู่ในครัวบ้าง ต้อนรับแขกบ้างครับ" ท่านพระครูมองลงไปที่สนามหน้าบ้านซึ่งกางเต๊นท์ตั้งโต๊ะอาหารไว้บริการแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน มีสาวสวยสามสี่คนทำหน้าที่เป็นบริกร
"ตอนนี้มีทั้งหมดกี่คน"
"เจ็ดครับ มีห้องแค่เจ็ดห้อง เลยรับได้แค่เจ็ดคน ก็ผมเรียนหลวงพ่อตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจจะยึดเป็นอาชีพ แต่ทำเพื่อจะเอาใจพวกเด็ก ๆ เขา" คนเป็นหมอว่า
"อ้าว ก็เมื่อกี้คุณหมอพูดอยู่หยก ๆ ว่าที่เชิญอาตมามาทำพิธีเปิดก็เพื่อจะให้กิจการรุ่งโรจน์เรืองรอง เสร็จแล้วกลับมาว่าไม่ได้ตั้งใจจะยึดเป็นอาชีพ เอ๊ะ มันยังไงกันแน่ อาตมาชักงงแล้วนะ"
"ผมเองก็งงเหมือนกันครับ คือ ผมหมายความว่าผมไม่ได้หวังรวยจากกิจการนี้ แต่ก็อยากให้มันรุ่งโรจน์และอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้"
"พวกเด็ก ๆ เขาจะได้อยู่กับคุณหมอนาน ๆ" ท่านพระครูต่อให้
"ครับผม" ท่านพระครูมองเห็นทาง "แก้ลำ" คนเป็นหมอ จึงพูดขึ้นว่า
"ถ้าคุณหมออยากให้เขาอยู่ด้วยนาน ๆ กิจการก็ต้องเจริญด้วย เอาอย่างนี้ คุณหมอให้เด็ก ๆ ของคุณหมอไปทำงานแทนพวกสาว ๆ แล้วเรียกพวกสาว ๆ มาหาอาตมา อาตมาจะทำพิธีลงนะหน้าทองให้" นายแพทย์วัยสี่สิบเศษจึงจัดการตามความประสงค์ของท่าน พวกหนุ่ม ๆ หน้าตาดีลุกออกไปสักพัก สาว ๆ เจ็ดคนก็พากันเข้ามากราบท่านพระครู
"ขอประทานโทษ อาตมาต้องทำพิธีตามลำพังกับหนู ๆ พวกนี้ จึงขอความกรุณาคุณหมออย่าให้ใครเข้ามายุ่มย่าม และช่วยตามลูกศิษย์ที่มากับอาตมาให้มานั่งเป็นเพื่อนด้วย"
เมื่อนายสมชายเข้ามานั่งในที่นั้นแล้ว นายแพทย์สมเจตนาก็ปลีกตัวออกไปอย่างคนมีมารยาท ห้องโถงนั้นจึงเหลือเพียงท่านพระครู นายสมชาย กับ "คุณตัว" ทั้งเจ็ด
"ยังไงจ๊ะหนู คิดยังไงถึงได้มายึดอาชีพนี้" ท่าน "สัมภาษณ์" ทีละคน แล้วสรุปคำตอบได้ว่า ห้าคนทำด้วยความเต็มใจ มีสองคนเท่านั้นที่ถูกล่อลวงมา ท่านใช้ "เห็นหนอ" สำรวจดูกฎแห่งกรรมของคนทั้งเจ็ด ห้าคนที่มาด้วยความสมัครใจนั้น เพราะมี "กรรม" ที่จะต้องเป็นอย่างนี้ และจะต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกคนละ สามชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง และคนที่หน้าตาดีที่สุดนั้นจะต้องเป็นต่อไปอีกถึงเจ็ดชาติ! ส่วนอีกสองคนที่ถูกล่อลวงมานั้นเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องช่วยให้หล่อนพ้นจากขุมนรก
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจัดการรดน้ำมนต์ให้หญิงสาวทั้งห้า ให้ศีลให้พรเสร็จ จึงบอกให้พวกหล่อนลุกออกไปทำงานต่อ เหลืออีกสองคน ท่านพูดว่า "หนูอยากจะไปจากที่นี่ไหมล่ะ"
"อยากค่ะ" ตอบพร้อมกัน
"อยากไป แล้วทำไมถึงไม่ไปล่ะจ๊ะ"
"หนูกลัวถูกซ้อมค่ะ เจ้าพวกหนุ่ม ๆ ของคุณหมอขู่ว่า ถ้าใครคิดหนีจะซ้อมให้ตาย หนูกลัวค่ะ"
"อ้อ ยังงั้นหรือ แล้วถ้าหลวงพ่อจะช่วยให้ไปจากที่นี่ จะไปไหม"
"ไปค่ะ" ตอบพร้อมกันอีก
"บ้านหนูอยู่ที่ไหนล่ะ" คนหนึ่งตอบว่า
"อุตรดิตถ์ค่ะ อยู่อำเภอปาด"
"แล้วหนูล่ะ" ท่านถามอีกคน
"อยู่ที่เดียวกันค่ะ เราเป็นพี่น้องกัน ถูกคนหลอกมาขายที่นี่ เขาบอกจะพาไปทำงานที่กรุงเทพฯ งานสบายรายได้ดี เราสองคนพี่น้องก็เลยมากับเขา" คนเป็นพี่เล่า
"แล้วมาอยู่ที่นี่นานหรือยัง"
"เดือนนึงแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้รับแขกนะคะ เพราะหมอบอกว่าต้องรอให้เปิดเป็นเรื่องเป็นราวเสียก่อน จะนิมนต์หลวงพ่อที่ดังที่สุดของจังหวัดมาเปิด แต่ถึงจะยังไม่ได้รับแขกข้างนอก แต่แขกข้างในก็รับเรียบร้อยแล้วค่ะ ก็พวกเด็ก ๆ ของหมอเขานั่นแหละ"
"รวมทั้งหมอด้วยหรือเปล่า" นายสมชายเป็นคนถาม
"เปล่าค่ะ หมอไม่เคยมายุ่งกับพวกเรา" หล่อนตอบ
"สมภารย่อมไม่กินไก่วัด" ชายหนุ่มว่า
"ไม่จริงหรอกพี่ สมภารคนนี้กินไก่วัด แต่ไม่กินไก่ตัวเมีย กินแต่ไก่ตัวผู้" คนพูดมีเลศนัย
"หมายความว่ายังไง" ศิษย์วัดถาม
"ก็แกไม่ยุ่งกะพวกหนู แต่ไปยุ่งกะพวกหนุ่ม ๆ นั่น ที่เปิดซ่องก็เพื่อจะเอาใจคนพวกนั้น" หญิงสาวพูดอย่างดูแคลน
"หนูอย่าไปว่าเขาเลย มันเป็นกรรมนะหนู กรรมของเขา เขาทำมาอย่างนั้น เอาเถอะสำหรับหนูสองคนหลวงพ่อจะช่วย" ท่านพระครูหยิบเงินออกมาจากย่ามสองร้อย
"เอ้า นี่นะค่ารถ เดี๋ยวหลวงพ่อจะพูดกับหมอเขาให้" ท่านใช้นายสมชายไปตามนายแพทย์สมเจตนามา แล้วกล่าวว่า
"คุณหมอ อาตมาจัดการให้เป็นที่เรียบร้อยแล้วรับรองว่ารุ่งโรจน์เรืองรอง ถ้า..." ท่านหยุดไว้เพียงนั้นเพื่อเพิ่มความอยากรู้ให้คนเป็นหมอ
"ถ้าอะไรหรือครับหลวงพ่อ" คนอยากรู้ถาม
"ถ้าคุณหมอจะไม่เอาแม่หนูสองคนนี่ไว้"
"ทำไมหรือครับ สองคนนี้เป็นยังไง"
"ดวงเขาไม่สมพงษ์กับอาชีพนี้ ไปอยู่สำนักไหนก็ไม่เจริญ ทางที่ดีต้องเลิก"
"หรือครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะส่งเขาไปอยู่สำนักอื่น สำนักที่เป็นคู่แข่งของผม" คนเป็นหมอแสดงนิสัย "เจ้าเล่ห์"
"คุณหมอ อาตมาขอร้องเถอะ เท่าที่คุณหมอทำอยู่นี่ มันก็ไม่ใช่สิ่งดีนะ อย่าได้ไปสร้างบาปกรรมเพิ่มขึ้นอีกเลย อาตมารู้ คนที่จะจบหมอได้นั้นต้องเป็นคนเก่ง คนฉลาด และคุณหมอก็มีคุณสมบัติอย่างนั้นครบถ้วน คงจะน่าเสียดายมาก ถ้าคุณหมอจะเอาความฉลาดไปใช้ในทางทุจริต คิดดูก็แล้วกัน ถ้าคุณหมอทำอย่างที่พูด เท่ากับสร้างบาปขึ้นมาอีกสองอย่าง อย่างแรกคือ ไปก่อศัตรูไปทำให้เขาพินาศล่มจม ซึ่งคนที่จะทำอย่างนั้นจะต้องเป็นคนจิตอกุศล มีจิตริษยา
อย่างที่สองคือคุณหมอทำบาปกับเด็กสองคนนี้ เพราะเขาไม่สมัครใจ แต่ถูกบังคับ เปรียบเหมือนว่าคุณหมอถนัดในทางรักษาไข้ แต่พ่อแม่บังคับให้ไปชกมวย แล้วคุณหมอจะพอใจไหม คิดดูนะ ใจจริงแล้วอาตมาไม่สนับสนุนให้ใครทำผิดเลย แต่นี่อาตมาเห็นแล้วว่าเป็นกฎแห่งกรรม ที่จะต้องเป็นอย่างนั้น คือทั้งคุณหมอและทั้งแม่หนูทั้ง ๕ คนนั่นต่างก็มีกรรมร่วมกันมา อาตมาจึงไม่สามารถทัดทานได้
อาตมาขออัญเชิญพุทธพจน์มากล่าวให้คุณหมอฟัง เพื่อเป็นคติสอนใจ คุณหมอเก็บไว้คิด ไว้พิจารณาเองก็แล้วกัน พุทธพจน์นั้นมีว่า "บุคคลเข้าถึงกุศลธรรม จะอยู่เป็นสุข ไม่คับแค้น ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าบุคคลเข้าถึงอกุศลธรรม จะอยู่เป็นทุกข์ คับแค้น เดือดร้อน" อาตมาช่วยคุณหมอได้เท่านี้แหละ" คนจบ ม.๔ "เทศน์" โปรดคนจบปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต
"ตกลงครับหลวงพ่อ ตกลงผมจะให้สองคนนี่ออก" นายแพทย์สมเจตนาพูดกับท่านพระครู หลังจากถูก "เทศน์" เสียยืดยาว
"อาตมาขออนุโมทนา อย่างน้อยคุณหมอก็ได้ทำความดีให้แก่ตัวเอง และเด็กสองคนนี้ ไปสิหนู ไปเก็บเสื้อผ้า ประเดี๋ยวหลวงพ่อจะไปส่งที่ท่ารถ" ท่านสั่งสองศรีพี่น้อง ต้องจัด การพาไปเสียแต่วันนี้ ก่อนที่หมอสมเจตนาจะเปลี่ยนใจ เพราะคำยุยงของพวกหนุ่ม ๆ หน้าตาหล่อเหลาพวกนั้น
ขากลับท่านพระครูย้ายไปนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับ พี่น้องสองสาวนั่งข้างหลัง ขณะที่รถแล่นไปสู่สถานีขนส่งในตัวจังหวัด เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงแนะนำหญิงสาวทั้งสองว่า
"หนูไม่ต้องกลับไปบ้านอำเภอน้ำปาดหรอกนะ กลับไปก็จะถูกพ่อแม่พี่น้องเขารังเกียจ เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเขาก็จะติฉินนินทาด้วย"
"แล้วหลวงพ่อจะให้หนูกับน้องไปอยู่ที่ไหนล่ะคะ หนูไม่รู้จักใครที่ไหนเลย" คนเป็นพี่ว่า
"ไปสมัครงานที่ห้างขายทองนะหนู ห้างขายทองที่อยู่ในตลาดอุตรดิษถ์ ในตัวเมืองนั่นแหละ เขากำลังต้องการคนทำงานบ้าน อยู่กับเขาทั้งสองคน และช่วยกันทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อีกสองปีหนูจะร่ำรวย เชื่อหลวงพ่อเถอะ"
"ขอบคุณหลวงพ่อมากค่ะ ที่เมตตาหนูกับน้อง ชีวิตนี้จะไม่ลืมพระคุณของหลวงพ่อเลย" คนเป็นพี่พูดเสียงเครือ
ถึงท่ารถขนส่ง ท่านให้สองพี่น้องขึ้นรถ และรออยู่จนกระทั่งรถออก เพื่อแน่ใจว่าหล่อน "ปลอดภัย" ขณะนั่งรถกลับวัด ท่านพูดกับนายสมชายว่า "อีกสองปีคนพี่จะได้เป็นเถ้าแก่เนี้ย เพราะเมียเถ้าแก่จะตายด้วยโรคมะเร็ง เถ้าแก่ไม่อยากหาคนอื่นคนไกลมาเลี้ยงลูก ก็เลยยกฐานะลูกจ้างขึ้นเป็นเถ้าแก่เนี้ยแทน ส่วนคนน้องก็จะได้แต่งงานกับจ่าสิบตำรวจที่เฝ้าร้านทองนั่นแหละ แต่งงานแล้วก็จะได้เลื่อนเป็นนายร้อย เพราะคู่เขยของเขาสนับสนุนกัน เห็นไหมฉันแก้ลำหมอสมเจตนาได้เด็ดขาดไปเลย" ท่านพูดแล้วหัวเราะหึ ๆ
คืนนั้นก่อนจำวัด เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงได้สวดมนต์แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์ แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า "ด้วยอำนาจของทาน ศีล ภาวนา ที่ข้าพเจ้าได้ประพฤติปฏิบัติมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ขอให้ข้าพเจ้าสามารถอนุเคราะห์นายสมชาย ชื่นฉ่ำจิต ที่เขามีบุญคุณต่อข้าพเจ้าด้วยการรับใช้ช่วยเหลือมาเป็นเวลานาน
บัดนี้เขาได้พบเนื้อคู่และตกลงใจจะแต่งงานกัน แต่ยังขาดปัจจัยที่จะนำไปเป็นค่าสินสอดทองหมั้น ข้าพเจ้าอยากจะอนุเคราะห์ หากก็ไม่มีปัจจัย จึงขออำนาจบารมีของข้าพเจ้าช่วยให้สิ่งที่ปรารถนาจงสำเร็จด้วยเทอญ" ตั้งจิตอธิษฐานเสร็จ ท่านก็ล้มตัวลงนอน ไม่ลืมที่จะกำหนด "เอนหนอ ลงหนอ ลงหนอ ถึงหนอ" อย่างคล่องแคล่วว่องไว ก่อนที่จะเคลิ้มหลับ ก็มีเสียงกระซิบที่ข้างหูว่า "คำอธิษฐานวกวนไม่แจ่มแจ้ง ฉะนั้นต้องรออีกสิบห้าวันจึงจะสมปรารถนา"




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2012, 11:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8:

อนุโมทนาแล้วๆๆ..

.. :b36: .. :b37: .. :b27: .. :b4: .. :b29: ..ๆๆ ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2012, 07:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ ๑๕ สิงหาคม ที่จะถึงนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านพระครู พระมหาบุญเล่าให้พระบัวเฮียวฟังว่า ในวันนั้น บรรดาศิษยานุศิษย์ผู้มีความเลื่อมใสศรัทธาและเคารพนับถือในท่านพระครูจะแสดงมุทิตาจิต ด้วยการบำเพ็ญบุญถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรตลอดจนแม่ชีและผู้มาปฏิบัติกรรมฐาน ณ วัดป่ามะม่วง
พระบัวเฮียวกำลังกังวลว่าท่านจะถวายสิ่งใดแด่พระอุปัชฌาย์ เพื่อเป็นของขวัญวันเกิด จึงขอคำแนะนะจากพระมหาบุญ ผู้ซึ่งบังเอิญมาแวะเยี่ยม
"ผมเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องของขวัญวันเกิดพระ แล้วเรื่องอย่างนี้ก็ไม่มีระบุไว้ในคัมภีร์เสียด้วย เลยไม่รู้จะให้คำแนะนำแก่คุณว่าอย่างไร" ผู้อาวุโสกว่าพูดออกตัว
"แล้วทุกปีที่ผ่าน ๆ มา หลวงพี่ถวายอะไรเป็นของขวัญวันเกิดท่านครับ" ภิกษุวัยยี่สิบหกถาม
"ผมไม่ได้ถวายเป็นการส่วนตัว หากถวายในนามพระทั้งวัด" พระมหาบุญตอบไม่ตรงประเด็นนัก
"คือผมอยากทราบว่าหลวงพี่ถวายอะไรมากว่าที่จะอยากทราบว่าหลวงพี่ถวายในนามของใครน่ะครับ" ผู้อ่อนวัยกว่าท้วงอย่างสุภาพ
"แล้วคุณคิดว่าพวกผมถวายอะไรท่านล่ะ"
"อย่าให้ผมคิดเลยครับ เพราะผมมักจะคิดอะไรไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา" คนบวชได้เก้าเดือนว่า
"ก็หัดคิดให้เหมือนซีคุณ หัดบ่อย ๆ อีกหน่อยก็เก่งไปเอง"
"คงจะไม่หัดหรอกครับ เพราะใจจริงแล้วผมก็ไม่อยากจะเหมือนชาวบ้านเขา ก็เป็นพระนี่ครับ จะให้เหมือนชาวบ้านได้ยังไง" ภิกษุเชื้อสายญวนว่า
"งั้นมาถามผมทำไม" พระมหาบุญชักฉิว
"ผมอยากรู้น่ะซีครับ เพราะหากผมรู้ว่าคนอื่น ๆ เขาถวายอะไร ผมจะได้ไม่ถวายซ้ำกับเขา"
"อย่าไปคิดอย่างนั้นเลยคุณ อย่าไปคิดว่าจะไปซ้ำกับคนอื่นหรือไม่ ส่งที่คุณควรคิดก็คือ คุณจะต้องรู้ก่อนว่าหลวงพ่อท่านเป็นใคร แล้วคุณก็จะได้ถวายสิ่งที่คู่ควรกับท่าน"
"แล้วหลวงพ่อท่านเป็นใครล่ะครับ" พระบัวเฮียวถามซื่อ ๆ หากพระมหาบุญลงความเห็นว่าท่าน "เซ่อ"
"อะไรกัน คุณอยู่ที่นี่มาตั้งเกือบปีแล้ว ยังไม่รู้หรือว่าหลวงพ่อท่านเป็นใคร"
"แล้วหลวงพี่รู้หรือเปล่าครับ" แทนคำตอบ พระบัวเฮียวกับย้อนถาม
"ทำไมผมจะไม่รู้"
"กรุณาบอกผมเอาบุญเถิดครับ"
"ตกลง ผมจะบอกให้เอาบุญ ฟังให้ดีนะ"
"ครับ ผมกำลังตั้งใจฟัง"
"ตั้งใจอย่างเดียวไม่พอหรอกนะคุณ ถ้าจะให้ดีต้องกำหนด "ฟังหนอ" ด้วย" พระบัวเฮียวจึงกำหนด "ฟังหนอ" ตามคำแนะนำของพระมหาบุญ ผู้ซึ่งเฉลยว่า
"หลวงพ่อ ท่านเป็นพระสงฆ์ เพราะฉะนั้นคุณคิดว่าอะไรเล่าที่จะคู่ควรกับพระสงฆ์" คนฟังถูกถามอีก
"พระสงฆ์หรือครับ เอ พระสงฆ์คู่ควรกับอะไรหนอ" ภิกษุหนุ่มมีท่าทีครุ่นคิด คิดอยู่ค่อนข้างนานจึงตอบ
"รู้แล้ว นึกออกแล้วพระสงฆ์ก็ต้องคู่กับสีกา ใช่ไหมครับหลวงพี่ แต่เอ ถ้าผมถวายสีกาหลวงพ่อก็ต้องอาบัติน่ะซีครับ แล้วอีกอย่างน้ำหน้าอย่างผมจะไปหาสีกาที่ไหนมาถวายท่าน" พระบัวเฮียวยั่ว
"เลอะเทอะใหญ่แล้วคุณบัวเฮียว ธาตุไม่ปกติหรือยังไง หรือว่านอนไม่เต็มอิ่ม" ผู้อาวุโสกว่าทักท้วงเพราะทนฟังไม่ไหว
"ไม่ใช่ทั้งสองอย่างครับ"
"เอาละ ๆ ผมจะเฉลยให้คุณฟังเดี๋ยวนี้ จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว ฟังนะ"
"หลวงพี่อย่าเลียนแบบหลวงพ่อซีครับ"
"เลียนแบบยังไง"
"ก็หลวงพี่พูดว่า "เอาละ ๆ" น่ะครับ คำ ๆ นี้หลวงพ่อท่านผูกขาด" พระบัวเฮียวพาออกนอนเรื่องจนได้
"นี่คุณบัวเฮียว ผมชักจะหมดความอดทนแล้วนะ"
"หมดก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้นี่ครับ เอ๊ะ นี่หลวงพี่โกรธผมหรือ อย่านาครับ เขาพูดกันว่า "โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า" ฉะนั้นจึงไม่ควรโกรธ กำหนดซีครับหลวงพี่ "โกรธหนอ โกรธหนอ" พระมหาบุญเกิดความรู้สึกว่าไม่สามารถทนพูดคุยกับพระบัวเฮียวต่อไปได้ จึงลุกขึ้นเตรียมตัวกลับกุฏิของตน
"อ้าวหลวงพี่จะไปแล้วหรือครับ ยังพูดกันไม่ทันรู้เรื่องเลย"
"เพราะอย่างนั้นน่ะสิผมถึงจะกลับ ผมจะจำใส่ใจไว้ว่าหากจะพูดกับใคร ก็ต้องดูคนที่พอจะพูดกันรู้เรื่อง จะได้ไม่เสียเวลาและอารมณ์" ท่านประชด
"งั้นผมเลิกยั่วหลวงพี่แล้ว จะได้พูดกันรู้เรื่อง ให้ผมแก้ตัวอีกครั้งนะครับ" คนชอบยั่วยอมจำนน
"ก็ได้ ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้งเดียวเท่านั้นนะ เพราะผมเสียเวลามามากแล้ว"
"ครับ ผมให้สัญญา หลวงพี่ตอบผมหน่อยซีครับ ว่าอะไรทีคู่ควรกับพระสงฆ์"
"ก็ดอกไม้ยังไงล่ะ คุณไม่เห็นหรอกหรือ เวลาที่เราบูชาพระรัตนตรัย เราจะใช้ธูป เทียน และดอกไม้เป็นสัญญลักษณ์แทน พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ถึงแม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องสมมุติ หากก็เป็นการสมมุติที่มีเหตุผล
จากการอ่านคัมภีร์ ทำให้ผมทราบว่า ครั้งพุทธกาล เขานิยมใช้ดอกไม้และของหอมเป็นเครื่องสักการะองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่างเช่น พระจุนทเถระ ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตร เมื่อท่านจะเข้าเฝ้าพระตถาคตก็จะสั่งช่างให้นำดอกไม้สดมาประดิษฐ์ตกแต่งอย่างสวยงาม คลุมด้วยตาข่ายที่บรรจงร้อยด้วยดอกมะลิ จากนั้นจึงนำไปถวายองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์"
"ขอประทานโทษนะครับหลวงพี่ คือผมอยากทราบว่าองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ หมายถึงพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว พระพุทธเจ้าทรงมีหลายพระนาม เช่น "พระสมณโคดม" "พระบรมโลกเชษฐ์" "พระชินสีห์" "พระผู้พิชิตมาร" "พระสัพพัญญู" "พระตถาคต" ผมจำไม่ได้หมดหรอก ถ้าคุณอยากรู้วันหลังผมจะหาหนังสือมาให้"
"ขอบคุณครับ พระจุนทะเถระต่อเถิดครับ"
"ตกลง เล่าต่อก็ได้ คืออยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็นำดอกไม้ของหอมซึ่งตกแต่งแล้วอย่างประณีตสวยงาม มาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสบุพพกรรม ซึ่งหมายถึงการกระทำแต่ครั้งอดีตของพระจุนทเถระในท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ว่า
พระจุนทเถระมิใช่จะถวายดอกไม้ของหอมแด่พระพุทธเจ้าเฉพาะในชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น ในอดีตชาติท่านก็ได้เคยถวายดอกไม้ของหอมแด่พระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ มาแล้ว อานิสงส์แห่งการกระทำนั้น ๆ ทำให้ท่านได้สวรรค์สมบัติ ๗๔ ชาติ เป็นพระราชา ๓๐๐ ชาติ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๕ ชาติ จากนั้นจึงมาเป็นพระจุนทเถระ"
"แต่อานิสงส์ที่ถวายดอกไม้แด่พระพุทธเจ้าในชาติที่เป็นพระจุนทเถระคงจะไม่เหมือนเดิมแล้วนะครับ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว คงไม่ต้องการสวรรค์สมบัติอีก"
"แหม คุยกันมาตั้งนาน คุณเพิ่งจะมาแสดงความฉลาดปราดเปรื่องตอนนี้นี่เอง ผมนึกว่าคุณไม่มีสิ่งนี้อยู่ในตัวเสียอีก" พระบัวเฮียวไม่ทราบชัดว่าถูกชมหรือถูกตำหนิกันแน่ จึงถาม
"ที่ผมพูดมานี้ถูกหรือเปล่าครับ"
"ถูกซี ผมถึงว่าคุณฉลาดไงล่ะ จริงอย่างที่คุณว่า เมื่อพระจุนทเถระท่านได้โลกุตตระสมบัติเสียแล้ว โลกียสมบัติก็หมดความหมาย เปรียบเหมือนซากสัตว์เน่าเหม็นย่อมเป็นอาหารอันโอชะของนกแร้ง หากเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียนสำหรับพญาหงส์" พระมหาบุญเปรียบเทียบไม่ตรงประเด็นนัก หากพระบัวเฮียวผู้ซึ่งแน่ใจแล้วว่าท่านชม จึงชมตอบว่า
"โอ้โฮ หลวงพี่ก็คารมคมคายไม่เบาเหมือนกัน"
"ตกลงคุณตัดสินใจได้หรือยังว่า จะถวายอะไรเป็นของขวัญวันเกิดหลวงพ่อท่าน" คนถูกชมรู้สึกเขินจึงวกกลับมาพูดเรื่องเดิม
"ได้แล้วครับ ผมก็ต้องถวายดอกไม้ซีครับ แต่จะเป็นดอกอะไรนั้นต้องขออุบไว้ก่อน รับรองว่าไม่ใช่ดอกมะลิแน่ เพราะผมไม่ชอบทำอะไรเหมือนคนอื่น"
"ดีแล้วละคุณ แต่ก็หวังว่าคุณคงไม่อุตริเอาดอกอุตพิตถวายท่านนะ ต้องบอกไว้ก่อนเพราะคุณมักจะทำอะไรแผลง ๆ อยู่เรื่อย"
"รับรองครับ โถใครจะไปทำนอกเสียจากว่าสติฟั่นเฟือน"
"ถ้าอย่างนั้นผมก็ขออนุโมทนาล่วงหน้า หลวงพ่อท่านเคร่งนะ ไม่เคยติดในลาภสักการะอันทำให้เสียความเป็นผู้ทรงศีล เวลาที่ท่านได้รับนิมนต์ไปงานวันเกิดพระด้วยกัน ท่านก็มักจะนำแจกันดอกไม้สดไปถวาย ในทรรศนะของผมเห็นว่า ดอกไม้สดทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่น แล้วยังเป็นอุปกรณ์สอนไตรลักษณ์ได้อีกด้วย"
"ผมไม่เข้าใจครับ หลวงพี่กรุณาขยายความหน่อยเถิดครับ"
"ก็แสดงให้เห็นความไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ และปราศจากตัวตนที่เที่ยงแท้ อย่างที่พูดกันติดปากว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นยังไง"
"อ้อ งั้นผมก็เข้าใจแล้วครับ คือ ดอกไม้เมื่อมันยังสดก็ดูสวยงาม ครั้นเหี่ยวเฉาโรยราก็หาความสวยงามไม่ได้ เหมือนบุรุษและสตรีเมื่อยังอยู่ในวัยหนุ่มวัยสาวก็ดูสดชื่นเปล่งปลั่ง ครั้นพอแก่เฒ่าก็เฉาเหี่ยวดุจเดียวกับดอกไม้ แสดงให้เห็นความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร เพราะฉะนั้นบุคคลจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส อย่างนั้นใช่ไหมครับ"
"ก็คงใช่ เอาเถอะ คุยกันนานแล้ว ผมเห็นจะต้องกลับไปปฏิบัติที่กุฏิของผมละ" พระมหาบุญกลับไปแล้ว พระบัวเฮียวจึงเริ่มปฏิบัติบ้าง
วันอาทิตย์ แรมสิบค่ำ เดือนแปด เวลาประมาณยี่สิบสองนาฬิกา ขณะที่นายสมชายกำลังไขกุญแจประตูด้านหลังของกุฏิ ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขา "สมชายใช่ไหม หลวงพ่ออยู่หรือเปล่า" เมื่อชายหนุ่มเหลียวหลังไปดูก็พบว่าเป็นคหบดีมากับภรรยาและบุตรชายทั้งสาม แต่ละคนสวมชุดขาวราวกับจะมาเข้ากรรมฐาน เขายกมือไหว้สองสามีภรรยา ขณะที่เด็กหนุ่มสามคนยกมือไหว้เขา
"ทำไมมาเสียดึกเชียวครับ" ชายหนุ่มถาม
"มาแต่วันเกรงจะไม่พบหลวงพ่อ ได้ข่าวว่าท่านรับนิมนต์ไปข้างนอกแทบทุกวัน จริงหรือเปล่า"
"ครับ บางทีคนก็นิมนต์ไปในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง" เขาหมายถึงนายแพทย์สมเจตนา ที่หลอกนิมนต์ท่านไปเปิดป้ายสำนักโสเภณี!
"ต่อไปนี้ท่านบอกถ้าใครมานิมนต์ ท่านจะต้องสอบถามก่อนว่างานอะไร แล้วท่านก็จะพิจารณาว่าสมควรไปหรือไม่ เพราะงานท่านมากขึ้นทุกวัน แต่รับแขกอยู่ที่กุฏิก็รับแทนไม่หวาดไหว"
"นี่แหละ เหตุผลที่ผมไม่มาตอนกลางวันก็เพราะไม่อยากรอคิวด้วย เลยเสี่ยงมาตอนกลางคืน คิดว่ายังไง ๆ ก็ต้องพบท่าน ฤดูนี้เป็นฤดูเข้าพรรษา โอกาสที่ท่านจะไปค้างแรมที่อื่นก็ไม่มี นอกเสียจากว่าจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
"เชิญข้างในดีกว่าครับ" เขาเชิญคหบดีและครอบครัวเพราะยืนคุยกันข้างนอกมานาน เข้ามาแล้วชายหนุ่มจึงจัดการเปิดไฟภายในกุฏิ นำเครื่องดื่มร้อนมาบริการแขก เสร็จแล้วจึงขึ้นไปกราบเรียนท่านพระครู
"ลงไปบอกเขาว่าอีกหนึ่งชั่วโมงฉันจะลงไป" ท่านเจ้าของกุฏิบอกเขาโดยไม่ละสายตาจากงานที่ทำ
"ประเดี๋ยวเขาจะไม่กลับดึกเกินไปหรือครับ" ชายหนุ่มแสดงความห่วงใย
"ดึกแน่ละเธอ เพราะฉันต้องการให้เขากลับหลังเที่ยงคืนไปแล้ว"
"ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นครับ"
"เพราะถ้าไปก่อนเที่ยงคืนจะต้องตายหมดทั้งครอบครัว เอาละ เธอลงไปบอกเขาก็แล้วกันว่า ฉันสั่งให้ปฏิบัติกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง"
"แล้วหลวงพ่อจะให้ผมบอกเขาหรือเปล่าครับว่า หากกลับไปก่อนเที่ยงคืนจะต้องตายทั้งครอบครัว"
"หากเขาถามก็บอกไปตามนี้"
"ครับ" เมื่อชายหนุ่มลงมาแจ้งให้คนทั้งห้าทราบ พวกเขาก็มิได้ซักถามอะไร ต่างพากันปฏิบัติกรรมฐานตามที่ท่านสั่ง นายสมชายรู้สึกแปลกใจด้วยคิดว่าอย่างไรเสียก็จะต้องถูกซักถาม ชายหนุ่มมิรู้ดอกว่า "ผู้เข้าถึงธรรมย่อมเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย"
เวลายี่สิบสามนาฬิกา ท่านพระครูจึงลงรับแขกรอบดึกอันเป็นรอบที่ไม่มีในตาราง โชคยังดีที่คนจัดตารางหลับปุ๋ยไปนานแล้ว มิฉะนั้นก็คงมีเรื่องมีราวให้ท่านเจ้าของกุฏิต้องรับรู้อีก กราบท่านพระครูแล้วหนุ่มต้อมจึงเอ่ยขึ้นว่า "หลวงตาสบายดีหรือครับ ผมรู้สึกว่าหลวงตาดูซูบไป คงจะงานหนักมากใช่ไหมครับ"
"แต่หลวงตาชินกับมันแล้วละหนู ชีวิตนี้หาความสุขสบายไม่ได้เลย หลวงตาเกิดมาใช้กรรมนะ ใช้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมด" ภิกษุวัยห้าสิบเศษตอบ
"แล้วอีกนานไหมครับถึงจะหมด" หนุ่มต่อถามบ้าง
"ยังตอบไม่ได้หรอกหนู หลวงตาก็อยากจะใช้ให้มันหมด ๆ แต่กรรมของหลวงตามีมากเหลือเกิน ทยอยกันมาให้ชดใช้อยู่เรื่อย ๆ เมื่อปลายเดือนกุมภาก็ใช้หนี้ที่ไปหักขานก หลวงตาเลยมีอันต้องตกบันไดขาหัก ไปไหนมาไหนไม่ได้อยู่เดือนเต็ม ๆ ช่วงนั้นก็มีอาจารย์จากเชียงใหม่มาใช้กรรมที่นี่เหมือนกัน เพิ่งกลับไปก่อนเข้าพรรษาไม่กี่วัน ตอนนี้บวชเป็นพระอยู่วัดกู่คำ" ท่านหมายถึงอาจารย์ชิตผู้ซึ่งเปลี่ยนใจขอกลับไปบวชอยู่วัดใกล้บ้านหลังจากทราบว่าอีกสามปีภรรยาจะตายจาก
สนทนาปราศรัยกันพอสมควรแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงถามจุดประสงค์ของการมา คหบดีตอบว่า
"ผมพาครอบครัวมาทำบุญครับ คราวก่อนผมถวายปัจจัย แต่หลวงพ่อไม่ยอมรับ เพราะเงินที่ได้มาไม่บริสุทธิ์ แต่คราวนี้เรามีปัจจัยที่บริสุทธิ์มาถวายครับ"
"ไปได้มาจากไหนหรือ" ถามอย่างไม่ยินดียินร้ายตามวิสัยของสมณะ
"ถูกรางวัลที่หนึ่งครับ นายต่อเขาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดผม พอถูกเขาก็เสนอแนะว่าน่าจะถวายหลวงพ่อครึ่งหนึ่ง คนอื่น ๆ พลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย ผมจึงนำมาถวายหลวงพ่อสองแสนห้าหมื่นบาทครับ" บิดาของนายต่อกราบเรียนท่านพระครู เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงนึกย้อนไปถึงเสียงที่ได้ยิน ในวันอธิษฐานจิตช่วยนายสมชาย จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลาสิบห้าวันพอดี
"อาตมาขออนุโมทนาในกุศลจิตที่โยมและครอบครัวได้ร่วมใจกันมาบำเพ็ญบุญในครั้งนี้ แต่ว่าเงินจำนวนนี้ โยมระบุไปหรือเปล่าว่า จะให้อาตมานำไปใช้ทำอะไร"
"ไม่ได้ระบุค่ะ แล้วแต่หลวงพ่อจะนำไปใช้อะไรก็ได้ พวกเราขอถวายเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของหลวงพ่อค่ะ" นางกิมเอ็งกราบเรียน
"ถ้าอย่างนั้น อาตมาก็จะขออนุญาตนำเงินจำนวนนี้ไปใช้ในการอนุเคราะห์คนที่เขามีบุญคุณกับอาตมา เขากำลังต้องการเงินจำนวนห้าหมื่นบาท ส่วนที่เหลืออีกสองแสนอาตมาจะเก็บไว้เป็นกองทุนสร้างหอประชุมเพื่อให้ญาติโยมใช้เป็นที่ปฏิบัติกรรมฐาน เคยมีเศรษฐีสี่คนเขามาพบกันที่นี่โดยบังเอิญ และก็มีจุดประสงค์เดียวกัน คือจะมาสร้างหอประชุมถวายวัดนี้ เสร็จแล้วจะเป็นยังไงก็ไม่ทราบ เกิดเปลี่ยนใจไม่สร้างแล้ว" ท่านหมายถึงเศรษฐีสี่คนที่ท่านตั้งสมญาว่า "จตุรชัย"
"แบบนี้ก็บาปซีครับหลวงตา รับปากกับพระแล้วมากลับคำ" หนุ่มติ๋งว่า
"ก็ไม่เชิงกลับคำหรอกหนู แต่มันมีเหตุปัจจัยอื่นมาทำให้เขาลืม อาจจะมัวยุ่งอยู่กับเรื่องธุรกิจการค้า" ท่านพระครูพูดปกป้องคนทั้งสี่
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงสนทนาอยู่กับคหบดี และ ครอบครัวจนถึงยี่สิบสี่นาฬิกา จึงอนุญาตให้พวกเขากลับ
"วันนี้ดึกหน่อยนะ เอาละ แล้วโยมก็จะรู้เองว่า เหตุใดอาตมาจึงหน่วงเหนี่ยวโยมไว้ไม่ให้ไปก่อนเที่ยงคืน"
คหบดีและครอบครัวลุกออกไปแล้ว ท่านพระครูจึงมอบเงินให้นายสมชายห้าหมื่นบาทตามสัญญาที่เคยให้ไว้ ชายหนุ่มกราบท่านสามครั้งด้วยความซาบซึ้ง อดมิได้ที่จะเปรียบเปรยว่า
"หลานสะใภ้หลวงพ่อถูกรางวัลที่หนึ่ง ซื้อรองเท้ามาถวายแค่แปดสิบบาท นี่เขาเป็นคนอื่นกลับถวายตั้งครึ่ง" เขาหมายถึง ครึ่งของห้าแสน ท่านพระครูจำต้องพูดปกป้องภรรยาของหลานชายว่า
"มันไม่เหมือนกันหรอกนะสมชาย รายนั้นเขาจน แต่รายนี้เขามีเป็นร้อย ๆ ล้าน" ท่านมิได้พูดต่อถึงที่มาของเงินเหล่านั้น คนชั่วที่กลับตัวเป็นคนดีสมควรได้รับการสรรเสริญ ทว่าคนดีที่กลับกลายเป็นคนชั่วนี้สิน่าตำหนินัก
เมื่อคหบดีขับรถพาครอบครัวมาถึงทางแยกเข้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็พบรถตำรวจทางหลวงเปิดไฟฉุกเฉินอยู่กลางถนน รถหลายคนต้องจอดรอ นายต้อมอาสาลงไปสืบดูได้ความว่า เกิดอุบัติเหตุรถเก๋งชนกับรถบรรทุก คนที่อยู่ในรถเป็นผู้ชายสี่คน หญิงหนึ่งคน พากันเสียชีวิตทั้งหมด คนทั้งห้ามีความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ แล้วก็รู้เดี๋ยวนั้นว่า เหตุใดท่านพระครูจึงให้พวกเขาออกจากวัดหลังเที่ยงคืนไปแล้ว...
เวลาสิบเอ็ดนาฬิกา ท่านพระครูเชื้อเชิญบรรดา "ผู้มีใบหน้าอันเปื้อนทุกข์" ไปรับประทานอาหารที่โรงครัว ตัวท่านเองกำลังจะขึ้นไปตอบจดหมายยังกุฏิชั้นบน เถ้าแก่เส็งกับคนขับแท็กซี่ประคองชายสูงอายุร่างผอมบางเข้ามาในกุฏิ คนทั้งสามกราบท่านเจ้าของกุฏิสามครั้ง แล้วคนที่อาวุโสที่สุดในที่นั้นก็กล่าวขึ้นว่า
"หลวงพ่อครับ จำเถ้าแก่บ๊ก น้องชายผมที่ขายทองอยู่เยาวราชได้ไหมครับ หลวงพ่อเคยเล่าว่าเคยพาลูกศิษย์เข้าไปซื้อทอง" ท่านพระครูนึกอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งจึงตอบว่า
"จำได้สิ แต่อาตมาไม่พาพวกเขาเข้าไปซื้อนะ เขาพากันเข้าไปเอง อาตมายืนรออยู่หน้าร้าน แล้วเถ้าแก่เจ้าของร้านเขานิมนต์เข้าไปดื่มน้ำชาแถมถวายเงินมาสร้างโบสถ์อีกสองพันบาท" ท่านเล่าเหตุการณ์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนโน้น
"เป็นไง เดี๋ยวนี้โยมเตี่ยสบายดีหรือ" ท่านหมายถึงเถ้าแก่บ๊กผู้ซึ่งพูดกับท่าน ในสมัยที่ท่านเป็นเด็กว่า "วังนี้ลื้อเลียกอั๊วะไอ้เจ๊กบ้า วังหน้าลื้อต้องเลียกอั๊วะว่าเตี่ย" ยังจำเพลงโปรดที่ท่านแต่งขึ้นล้อเลียนฝ่ายนั้นได้ "เจ๊กบ๊กตกน้ำตาย เมียร้องไห้เสียดายเจ๊กบ๊ก"
"โยมเตี่ยไหนครับ" เถ้าแก่เส็งถามงง ๆ เพราะหากท่านจะหมายถึงบิดาของเขาก็คงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเตี่ยของเขาได้ลาจากโลกนี้ไปนานนับสิบปีแล้ว
"ก็โยมเตี่ยของอาตมาไงล่ะ โยมเตี่ยบ๊กน่ะ"
"อ๋อ นี่ไงครับ ผมพามากราบหลวงพ่อด้วย" ท่านเจ้าของกุฏิเพ่งพิศดูบุรุษร่างผอมบางตรงหน้า จึงพบว่าเขาไม่ได้ผอมอย่างเดียว หากซูบซีดไร้ชีวิตชีวา ไม่ต่างไปจากซากศพ ภาพผู้ชายวัยกลางคนร่างกำยำล่ำสันที่ท่านคุ้นหูคุ้นตาในวัยเด็กไม่มีหลงเหลืออยู่ในตัวบุรุษผู้นี้
"โยมเตี่ยทำไมถึงผอมอย่างนี้ล่ะ" ท่านทัก
"ท่างไม่ต้องเลียกอั๊วะว่าเตี่ยก็ล่าย เลียกไอ้เจ๊กบ๊กอย่างเลิมก็ล่าย" บุรุษร่างผอมบางพูดเสียงแหบเครือ
"หมอเขาบอกเป็นมะเร็งลำไส้ครับหลวงพ่อ เขาไม่รับรักษาแล้ว ผมก็เลยชวนมาหาหลวงพ่อ ยังไง ๆ ก็ยังดีกว่าอยู่กรุงเทพฯ หมอเขาให้เวลาอีกสามเดือน ผมก็เลยเกิดความคิดว่าในช่วงสามเดือน ถ้าเขามาอยู่วัดก็อาจจะได้บุญกุศลติดตัวไปภพหน้า ไม่มากก็น้อย" คนเป็นพี่ชายเล่า
"แล้วโยมเตี่ยไม่คิดถึงลูกหลานหรือ" ท่านเจ้าของกุฏิทดสอบสภาวะทางจิตใจคนป่วย
"คิกถึงก็ต้องตักใจ ทำไงล่ายล่ะท่าง คงเลาเกิกเลี้ยวก็ต้องตาย อั๊วะทำงางหนักมาตาหลอกชีวิก เหลือเวลาอีกแค่สามเลือนก็ขอมาอยู่กับพะ ขอยึกเอาพะรักตะนะตัยเป็งที่พึ่ง เวลาตายจะล่ายตายตาหลับ ห่วงลูกหลานเลี้ยวตายตาไม่หลับ" น้องชายเถ้าแก่เส็งว่า
"ดีจริงโยมเตี่ยคิดได้ยังงี้ดีมาก ๆ เลย เราต้องยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก เพราะนั่นเป็นที่พึ่งที่แท้จริง ดังพุทธวจนะว่า" ท่านอัญเชิญพุทธพจน์มากล่าวให้คนทั้งสามฟังดังนี้
มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อารามและรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ นั่นมิใช่สรณะอันเกษรมเลย นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะนั่นแล้วย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว เห็นอริยสัจจ์ คือความจริงอันประเสริฐสี่ ด้วยปัญญาอันชอบ คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้ และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐเครื่องถึงความระงับทุกข์
นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะนั้นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
"งั้งอั๊วะคิดถูกเลี้ยวใช่ไหมที่มาหาท่าง อั๊วะซำบายเลี้ยว ไม่กัวตายอีกต่อไปเลี้ยว" เถ้าแก่บ๊กกล่าวอย่างยินดี ท่านพระครูออกแปลกใจที่เห็นเขาไม่ทุรนทุรายเช่นคนที่เป็นมะเร็งโดยทั่ว ๆ ไป จึงถามขี้นว่า
"โยมเตี่ยไม่ปวดหรือ อาตมาเห็นคนเป็นมะเร็ง เขาปวดร้อง โอย ๆ กัน แทบทั้งนั้น"
"ปวกซีท่าง ทำไมจะไม่ปวก แต่ที่อั๊วะไม่แสดงอากางทุรงทุรายเพราะท่างช่วยอั๊วะ"
"อาตมาช่วยโยมเตี่ยอย่างไรหรือ" ท่านเจ้าของกุฏิไม่เข้าใจ
"ช่วยซี ท่านช่วยอัวะมากจริง ๆ อั๊วะถึงอยากมาตายกะท่าง เฮียเส็งลื้อช่วยอธิบายให้ท่างฟังหน่อย อั๊วะเหนื่อย.." เขายั้งปากไว้ท่าน ไม่เช่นนั้นคำว่า "ชิกหายเลย" ก็จะต้องเล็ดอดออกมา ตั้งแต่พี่ชายสอนกรรมฐานให้ เขาลดละ "ผรุสวาจา" ลงไปได้โขทีเดียว
"คืออย่างนี้ครับหลวงพ่อ" เถ้าแก่เส็งอธิบาย
"ตอนที่เขาป่วย ผมก็หมั่นไปเยี่ยมเขา ตอนนั้นเขามีอาการทุรนทุรายมากร้องโอดโอยจนถูกนางพยาบาลดุเอาบ่อย ๆ ลูกหลานไปเยี่ยมก็ด่าจนพวกเขาไม่ไปเยี่ยม พอพวกเขาไม่ไปก็ด่าอีก ผมก็เลยค่อย ๆ สอนกรรมฐานให้วันละเล็กละน้อย เริ่มตั้งแต่ให้ฝึกกำหนด "ปวดหนอ ปวดหนอ" เขาก็พยายามทำตาม พออาการปวดทุเลาลง ผมก็ให้เขาหัดกำหนด พอง-ยุบ เรียกว่าเรียนกรรมฐานบนเตียงคนไข้เลยแหละครับ เขาก็ทำตามและก็รู้สึกดีขึ้นเรื่อย ๆ ลูกหลานมาเยี่ยมก็เลิกด่า
เขาอยู่โรงพยาบาลสองเดือน หมอเจ้าของไข้ก็มากระซิบกับผมว่า ควรจะกลับไปอยู่บ้านเพราะถึงอย่างไรก็ไม่หาย ไส้เน่าแล้ว ผ่าตัดก็คงไม่ได้ผล ผมก็มาถามเขาว่าสมมุติว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อีกสามเดือน เขาอยากจะทำอะไร เขาตอบทันทีว่าอยากไปอยู่วัดป่ามะม่วง ผมก็เลยไปขอให้นายสุขเขาพามานี่แหละครับ"
"ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่อาตมาช่วยหรอก พี่ชายของโยมเตี่ยต่างหากที่ช่วย" ท่านเจ้าของกุฏิไม่ยอมรับความดีความชอบ
"ท่างนั่งแหละช่วย เพาะถ้าท่างไม่สองกำมะถางให้เฮียเส็ง เฮียเส็งเขาก็มาสองอั๊วะไม่ล่าย จริงล่ะป่าว" เถ้าแก่บ๊กพยายามยัดเยียดความดีให้ท่านพระครู
"เอาละ จริงก็จริง อาตมาขออนุโมทนากับโยมเตี่ยด้วย ยังไง ๆ โยมเตี่ยก็ไม่ไปอบายภูมิแล้ว" ท่านเจ้าของกุฏิแสดงมุทิตาจิตต่อเขา เพื่อความแน่ใจว่าน้องชายเถ้าแก่เส็งจะต้องตายในอีกสามเดือนข้างหน้าจริงดังที่แพทย์บอกหรือไม่ ท่านจึงใช้ "เห็นหนอ" เข้าตรวจสอบและก็ได้พบว่า บุรุษนี้มี "ทุนเดิม" อยู่หกสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เหลืออีกสี่สิบเปอร์เซ็นต์ ท่านจะจัดการให้เถ้าแก่เส็งช่วยสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ ส่วนอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ ท่านจะเข้า "ผลสมาบัติ" สามวันสามคืนช่วย "ดีเหมือนกัน เราจะได้ชดใช้กรรมที่เคยทำไว้กับแกสมัยที่เราเป็นเด็ก" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงคิดในใจ รู้สึกยินดีที่จะได้ชดใช้ "หนี้" ที่ทำไว้แต่ครั้งอดีต
"โยมเตี่ย อาตมาถามจริง ๆ เถอะ ว่ากลัวตายหรือเปล่า"
"ไม่กัว อั๊วะไม่กัวตาย แต่ก็ไม่อยากตาย" คนเป็นมะเร็งลำไส้ตอบ
"แล้วถ้าสมมุติว่าโยมเตี่ยจะมีอายุยืนต่อไปอีกห้าปี โยมเตี่ยจะทำอะไร"
"อั๊วะจาปะติบักกำมะถางเหมืองเฮียเส็งเขา จะปาติบักทุกวัง"
"แล้วสมมุตินะ สมมุติอีกว่ามีเทวดาจะมาต่ออายุให้เตี่ยอยู่ตอไปได้อีกห้าปี เตี่ยจะเอาไหม"
"เทวาลาหน้าไหนอีจามาต่อให้อั๊วะล่ะท่าง แต่ถ้ามีนะ อั๊วะจะให้เงิงอีห้าหมื่ง คิกชาเหลี่ยปีละหมึ่ง ถ้าอีกต่อล่ายสองปีก็ให้อีสองหมื่ง"
"แหม เตรียมให้สินบนเชียวนะโยมเตี่ย แต่เอาเถอะ อาตมาจะบอกเทวดาเขาว่าไม่ให้คิดเงิน ให้ต่อให้ฟรี อยากรู้ไหมว่าเทวดาองค์นั้นอยู่ที่ไหน"
"ไม่ลู้"
"นี่ไง เทวดาองค์นี้ไง" ท่านชี้เถ้าแก่เส็ง "วิธีการ" ตามที่ "เห็นหนอ" รายงาน เถ้าแก่บ๊กดีใจเสียนัก มีความรู้สึกเหมือนโรคภัยไข้เจ็บมลายหายไปในบัดดลนั้น เขาก้มกราบท่านเจ้าของกุฏิด้วยความซาบซึ้งใจ
"ตกลงโยมเถ้าแก่อยู่ที่นี่เจ็ดวันนะ อยู่เป็นเทวดาช่วยโยมเตี่ยเขาหน่อย" ท่านบอกเถ้าแก่เส็ง
"ยินดีครับหลวงพ่อ แต่ผมคงจะต้องไปเอาเสื้อผ้า ไม่ได้เอาชุดขาวมาเพราะคิดว่าส่งเถ้าแก่บ๊กเขาแล้วก็จะกลับ"
พี่ชายคนป่วยว่า
"ไม่มีปัญหาโยม ไม่มีปัญหา ประเดี๋ยวเบิกของวัดไปใช้ จะต้องกลับไปให้เสียเวลาทำไม แล้วพวกยาสีฟัน แปรงสีฟัน ประเดี๋ยวจะให้ลูกศิษย์เขาจัดการหามาให้"
"ครับ อย่างนั้นก็ได้ครับ งั้นผมจะฝากนายสุขไปบอกคุณกิมง้อ เขาจะได้ไม่ห่วง" เขาหมายถึงคนขับแทกซี่มาด้วย นายสุขจึงได้โอกาสกราบเรียนท่านว่า
"หลวงพ่อจำผมได้ไหมครับ ที่เคยมากับเถ้าแก่ครั้งที่แล้ว เดี๋ยวนี้ผมสบายแล้วครับหลวงพ่อ หนี้สินก็จัดการใช้คืนเถ้าแก่เขาหมดแล้ว รถแท็กซี่ที่ใช้ขับหาเงินทุกวันนี้ก็เป็นของตัวเอง ไม่ต้องเช่าเขาแล้ว ผมดีใจ ภูมิใจที่เป็นพลเมืองดี หากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ถ้าเถ้าแก่เอาผมเข้าคุกตั้งแต่ตอนนั้น ผมก็คงกลายเป็นไอ้มหาโจรไปแล้ว คุกไม่ได้ช่วยให้คนเป็นคนดีนะครับหลวงพ่อ เท่าที่ผมเคยเห็น คนดี ๆ ไปติดคุก ออกมา กลายเป็นคนชั่ว แล้วคนชั่วไปติดคุก ออกมายิ่งชั่วหนักเข้าไปอีก ผมว่ากิจการคุกนี่เลิกได้แล้วนะครับ สู้เอาคนชั่วมาเข้าวัดดีกว่า ยังพอจะมีโอกาสกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีได้บ้าง" คนขับแท็กซี่พูดเสียยืดยาวสมกับที่มีโอกาสได้พูด ท่านพระครูชอบอกชอบใจกับข้อเสนอแนะของเขา จึงชมว่า
"เอ้อ เข้าที ความคิดของโยมเข้าที ถ้าอาตมามีโอกาสได้คุยกับท่านนายก จะลองเสนอท่านดูนะ" ท่านพูดยิ้ม ๆ
"นี่ท่านข้าวกันมาหรือยัง คุยกันจนเพลิน ไปรับประทานอาหารกันเสียก่อนดีกว่านะ เชิญที่โรงครัวเลย สมชายมานี่หน่อย" ท่านเรียกหาศิษย์วัด
"พาโยมเขาไปรับประทานอาหาร เสร็จแล้วพาไปหาที่พัก ให้พักห้องเดียวกันนะ จะได้ช่วยดูแลคนป่วย ให้โยมเถ้าแก่ช่วยดูแลโยมเตี่ย" ท่านจำต้องอธิบายให้แจ่มแจ้ง มิฉะนั้นศิษย์วัดก็จะเข้าใจว่าตัวเขาจะต้องไปนอนกับบุรุษทั้งสองด้วย "ขาดเหลืออะไรก็บอกเด็กเขานะโยม" ท่านบอกสองพี่น้อง
"ขอบพระคุณครับหลวงพ่อ" เถ้าแก่เส็งพูดพร้อมกับยกมือไหว้หนึ่งครั้ง
"ผมเลยถือโอกาสกราบลาหลวงพ่อเลยนะครับ" คนขับแท็กซี่กล่าวลา หากเขาอิ่มข้าวแล้วมาลาก็จะต้องรอคิวอีกนาน
"เจริญพร แล้วเมื่อไหร่จะมาเข้ากรรมฐานล่ะ" ท่านเจ้าของกุฏิถาม
"ผมปฏิบัติทุกวันเลยครับ เรียนมาจากเถ้าแก่" เขาบอก
"ผมจะเปิดบ้านเป็นสำนักปฏิบัติแล้วนะครับหลวงพ่อ เดี๋ยวคนโน้นมาให้สอน เดี๋ยวคนนี้มาให้สอน" คนชื่อเส็งรายงาน
"ดี ถ้าทำอย่างนั้นได้ถือเป็นกุศลมหาศาลทีเดียว ไม่มีอะไรจะดีไปกว่ากรรมฐานอีกแล้ว สร้างโบสถ์เจ็ดหลังก็ยังได้บุญไม่เท่าการปฏิบัติกรรมฐาน แล้วก็ไม่ต้องเสียเงินเสียทองอีกด้วย"
คนทั้งสามลุกตามนายสมชายออกไปแล้ว บรรดาผู้มีใบหน้าอันเปื้อนทุกข์ก็พากันทยอยเข้ามา เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงไม่มีเวลาขึ้นไปตอบจดหมายช่วงเพล
เวลาตีสอง ท่านพระครูจำต้องพักการเขียนหนังสือเพราะต้องพักผ่อนหลับนอน ท่านรู้ว่าหากตรากตรำกับงานมากเกินไป สังขารร่างกายก็จะทรุดโทรมเร็วกว่าปกติ แม้เครื่องจักรก็ยังต้องหยุดพัก นับประสาอะไรกับคนซึ่งมีเลือดเนื้อและชีวิต
ยังไม่ทันที่ท่านจะหลับ เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นว่า "จะบอกยาแก้โรคมะเร็งลำไส้ให้เอาไหม มะเร็งกะเพาะ มะเร็งลำไส้ ใช้ยานี้ได้"
"ไปได้ตำรามาจากไหน" ท่านถามในใจ
"ผีบอก" เสียงนั้นตอบ
"ผีที่ไหน"
"ที่ไหนก็อย่ารู้เลย แต่รับรองว่าหาย บอกคนหายมาหลายรายแล้ว"
"แล้วรายนี้จะหายไหม ที่มาเมื่อตอนเพลน่ะ" ท่านทดสอบเสียงประหลาดว่าจะรู้จริงหรือไม่
"หายพันเปอร์เซ็นต์ ก็ท่านจะเข้าผลสมาบัติช่วยเขาไม่ใช่หรือ"
"ถ้ากินยาแล้วไม่ต้องช่วยไม่ได้หรือ"
"รายอื่นได้ แต่รายนี้ไม่ได้"
"ทำไมไม่ได้"
"ก็ท่านลั่นวาจาไปแล้ว ถ้าไม่ทำตามนั้น ท่านก็เสียสัจจะน่ะซี"
"งั้นก็บอกมา"
"บอกแล้วต้องลุกขึ้นจดไว้นะ ไม่งั้นตอนเช้าลืมหมดไม่รู้ด้วย"
"ต้องจดสิ อาตมาต้องจดไว้เป็นหลักฐานอยู่แล้ว ถ้าไม่เป็นอย่างที่บอกจะได้ปรับ จะให้ปรับที่ใครล่ะ"
"ปรับตัวเองนั่นแหละ เอาละนะ จะบอกละ จำให้แม่น ๆ นะ ยาแก้โรคมะเร็งที่ว่านี้ก็คือ ใช้กล้วยน้ำว้าดิบมาหั่นตามขวาง หั่นทั้งเปลือกนะ จำได้หรือเปล่า กล้วยน้ำว้านะ กล้วยอื่นไม่ได้ แล้วก็ต้องดิบ ๆ สุกไม่ได้อีกเหมือนกัน ไม่ต้องปอกเปลือก นำมาหั่นเป็นแว่นบาง ๆ แล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้ง จ้างร้ายขายยาบดให้ละเอียด เวลาจะกิน ให้ชงกับน้ำร้อนเหมือนชงชา ดื่มวันละหลาย ๆ ครั้ง ยิ่งมากครั้งเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี เอาละลุกขึ้นไปจดได้แล้ว"
"จะไปแล้วหรือ อยู่คุยกันก่อนซี" เมื่อไม่มีเสียงตอบ ท่านจึงลุกขึ้นมาจด เสร็จแล้วจึงจำวัด
วันรุ่งขึ้น หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงพูดกับนายสมชายและนายขุนทองว่า
"ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะงดรับแขกสามวัน"
"หลวงพ่อจะไปไหนหรือครับ" นายสมชายถาม
"จะเข้าผลสมาบัติ ให้เธอยายไปอยู่กับพระบัวเฮียวชั่วคราว แล้วใส่กุญแจขังฉันไว้ข้างบน ห้ามเยี่ยมห้ามประกัน จนกว่าจะครบสามวัน"
"แล้วถ้ามีแขกมาหาล่ะฮะ" หลานชายถาม
"ก็บอกไปตามนี้ อย่าลืมนะ ห้ามใครขึ้นไปรบกวนเป็นอันขาด ไม่ว่ากรณีใด"
"แล้วถ้าเกิดไฟไหม้ล่ะฮะหลวงลุง" หลานชายเป็นห่วง แต่กลับถูกนายสมชายตำหนิติเตียน
"นั่นปากหรือ ที่พูดน่ะปากหรือ"
"ถ้าไม่ใช่ปากแล้วจะเอาอะไรพูดล่ะ พี่นี่ถามแปลก หรือว่าพี่เอาตูดพูดได้" นายขุนทองย้อน
"นี่พอที ๆ อย่ามาทะเลาะกันต่อหน้าต่อตาข้า" ท่านพระครูปราม
"ก็เขามาว่าหนูก่อนนี่ฮะ" หลานชายยังไม่ยอมหยุด
"ก็ปากเอ็งมันดีนักนี่ พูดอะไรออกมาแต่ละทีฟังได้เสียเมื่อไหร่" นายสมชายก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
"เอาละ ๆ พอกันทั้งคู่นั่นแหละ ขุนทองเอ็งไม่ต้องห่วงข้าหรอก ถ้าไฟมันจะไหม้ก็ให้มันไหม้ เอ็งขนของของเอ็งออกไปก็แล้วกัน แล้วก็ไม่ใช่มัวแต่ขนของจนลืมขนตัวเองออกไปล่ะ" ท่านบอกหลานชาย
"แต่หนูห่วงหลวงลุงนี่ฮะ" ชายหนุ่มว่า
"เออน่า ไม่ต้องห่วงข้าหรอก รับรองข้าไม่ถูกไฟคลอกตายหรอกน่า ดวงข้าจะไม่ต้องตายด้วยไฟ อ้อ สมชายเธอจัดการปรุงยาให้โยมน้องชายเถ้าแก่ด้วยนะ" แล้วท่านจึงบอก "ยาผีบอก" แก่ศิษย์วัด
"เอาละ เดี๋ยวไปจัดการตามที่สั่งก็แล้วกัน สมชายเธอเป็นคนเก็บลูกกุญแจไว้ เก็บให้ดี ๆ นะ ใครขอไม่ต้องให้บอกว่าฉันสั่ง" ท่านไว้ใจนายสมชายมากกว่า เพราะหลานชายนั้นหากได้ "สินบน" ก็ใจอ่อนใจเปลี้ยตามนิสัยของคนที่งกมาตั้งแต่ก่อนเกิด
สังการเสร็จท่านก็ลงมือตอบจดหมาย คิดว่าตอบไปอีกสองสามฉบับก่อนลงรับแขกก็ยังดี เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงไม่เคยหายใจทิ้ง!





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2012, 10:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8:

อนุโมทนาแล้วๆๆ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 07:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


วันรุ่งขึ้น หลังจากฉันภัตตาหารเช้าแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็อธิษฐานจิต เข้าผลสมาบัติเป็นเวลาสามวันสามคืน และจะไปออกในวันอาทิตย์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๙ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๗
ที่กุฏิชั้นล่าง บรรดาผู้มีใบหน้าอันเปื้อนทุกข์ เมื่อได้รับการบอกเล่าจากนายขุนทองก็พากันกลับไปด้วยความผิดหวัง บางคนก็ตำหนิท่านในใจว่า "ไม่ทำหน้าที่ของพระ" ทั้งที่ความจริงแล้วพระก็มิได้มีหน้าที่รับแขกแต่ประการใด ในพระวินัยก็ไม่ได้บัญญัติไว้ว่าพระมีหน้าที่รับแขก
ส่วนคนที่ไม่มีความเกรงใจก็ถึงกับด่าให้นายขุนทองได้ยิน หลานชายท่านพระครูจึงต้องอดทนอดกลั้นอย่างที่สุด เขาได้เห็น "ธาตุแท้" ของคนบางคน ที่พอไม่ได้ดังใจก็แสดงความหยาบคายร้ายกาจออกมา นึกถึงถ้อยคำของหลวงลุงที่มักจะพูดเสมอ ๆ ว่า "ผู้หญิงที่น่าเกลียดคือ ผู้หญิงที่ตามใจตัว ผู้ชายที่น่ากลัวคือผู้ชายที่ไม่เกรงใจคน" วันนี้เขาต้องผจญกับหญิงชายประเภทนี้หลายราย ถึงกับต้องท่องไว้ในใจว่า "อดทน อดกลั้น อดทน อดกลั้น"
แต่ก็มิใช่ว่าจะมีแต่คนเลวร้ายไปเสียหมด เพราะคนดีมีคุณธรรมก็มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งเมื่อพวกเขาได้ทราบเรื่องที่นายขุนทองบอกกล่าวต่างพากันอนุโมทนาสาธุการ "สาธุหลวงพ่อท่านช่างมีเมตตาสูงเหลือเกิน ขอให้ท่านจงมีอายุยืนยาวเถิด เจ้าประคู้น"
วันต่อมานายขุนทองก็ต้องปวดหัวหนักขึ้น เพราะคนที่มาขอพบหลวงลุงคือคุณหญิงปทุมทิพย์ คนที่แอบแช่งในใจว่า "ให้แล้วเอาคืน มะรืนนี้ตาย" แต่ก็เป็นการแช่งที่ไม่จริงจังอะไร คือมิได้ประกอบด้วยความอาฆาตมาดร้าย เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง คุณหญิงก็น่าจะตายตามคำแช่งของเขาไปแล้ว
"นี่เธอ ฉันแอบสืบมาแล้ว ได้เรื่องแล้ว" คุณหญิงบอกเขาทันที่ที่พบหน้า
"ได้เรื่องว่ายังไงฮะ" คนถามอยากรู้
"ก็ได้เรื่องว่ามันแอบไปซื้อบ้านให้นังนั่นอยู่ แล้วตอนนี้ ตอนนี้..." คนเป็นคุณหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น
"ตอนนี้เป็นไงฮะ" คนอยากรู้ซัก คุณหญิงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา สั่งน้ำมูกอีกฟูดใหญ่ ๆ จึงตอบว่า
"มันออกลูกแล้ว เห็นว่าไปออกที่โรงพยาบาลเอกชน ตอนที่เธอเห็นมันคราวนั้นน่ะ มันท้องได้สามเดือนแล้ว" คนเล่าร้องไห้โฮ ๆ อย่างไม่อายผีสางเทวดา
"แล้วคุณหญิงจะทำยังไงล่ะฮะ" นายขุนทองถาม
"ฉันก็จะมาถามหลวงพอว่ามันอยู่โรงพยาบาลอะไร" คนพูดไม่ได้บอกหรือว่าได้เตรียมขวดน้ำกรดใส่มาในกระเป๋าถือด้วย ถ้ารู้ตำแหน่งแห่งที่จะตามไปเอาน้ำกรดสาดหน้ามันทั้งแม่ทั้งลูกให้สมแค้น
"หลวงลุงท่านเข้าผลสมาบัติสามวันครับ ช่วงนี้ห้ามไม่ให้ใครรบกวน มะรืนนี้ตอนเช้าจึงจะออก" หลานชายท่านพระครูรายงาน
"ให้ฉันพบเดี๋ยวเดียวเอง ฉันจะถามท่านนิดเดียวแล้วก็จะกลับ ไม่อยู่รบกวนนานหรอก" คนที่ตามใจตัวเสียจนชินว่า
"ไม่ได้หรอกฮะคุณหญิง หลวงลุงสั่งไว้แล้วว่าห้ามเยี่ยม ห้ามประกัน" ชายหนุ่มยืนกราน
"ทำไมท่านต้องเข้าสมาบัติด้วยล่ะ"
"เพื่อช่วยเถ้าแก่คนหนึ่งน่ะฮะ เถ้าแก่แกเป็นมะเร็งลำไส้ จะต้องตายภายในสามเดือน หลวงลุงเลยจะช่วยต่ออายุให้
"โอ๊ย เหลวไหลไร้สาระสิ้นดี เธอไปตามท่านแล้วกัน เพราะว่าเรื่องของฉันสำคัญกว่า ไปเรียนท่านว่า คุณหญิงปทุมทิพย์มาขอพบ"
"ไม่ได้หรอกฮะคุณหญิง ไม่ได้จริง ๆ ฮะ หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดยังคงปฏิเสธ คุณหญิงจึงเปิดกระเป๋าถือ หยิบธนบัตรใบละร้อยสองใบออกมาจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้ชายหนุ่ม นายขุนทองไม่ยอมรับเพราะกลัวคนให้จะเอาคืนเหมือนคราวที่แล้ว หากก็พูดเสียงอ่อนลงว่า "กุญแจไม่ได้อยู่ที่หนูหรอกฮะ"
"แล้วอยู่ที่ใครล่ะ" คุณหญิงถามอย่างหงุดหงิด
"อยู่ที่พี่สมชายฮะ"
"งั้นก็ไปเอามา บอกว่าคุณหญิงปทุมทิพย์สั่ง" คนเป็นคุณหญิงบัญชา ลืมไปว่าที่นี่เป็นวัด ไม่ใช่บ้านของเธอเอง
"เขาไม่ให้หรอกฮะ ยังไง ๆ ก็ไม่ให้" ชายหนุ่มบอกอย่างรู้นิสัยของ "ลูกพี่"
"ไม่ให้ก็ให้มันรู้ไป มันอยู่ที่ไหนไปตามมาพบฉันหน่อย" คนเป็นคุณหญิงแสดงอำนาจ และเรียกศิษย์วัดว่า "มัน"
"หนูตามให้ได้ฮะ แต่เขาจะมาหรือไม่มาหนูไม่ทราบ แล้วก็บังคับเขาไม่ได้ด้วยฮะ" ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปตามนายสมชายที่กุฏิพระบัวเฮียว เมื่อเขาลุกออกไป ที่กุฎิท่านพระครูจึงมีคุณหญิงนั่งอยู่เพียงผู้เดียว
"ท่านพระครูอยู่หรือเปล่าครับ" ชายผู้หนึ่งเข้ามาถาม เขามากับสตรีผู้หนึ่ง อายุประมาณยี่สิบเศษ
"อยู่ แต่ท่านไม่ลงรับแขก" คุณหญิงบอก รู้สึกขัดเคืองที่ชายหญิงคู่นี้ไม่รู้ว่าเธอเป็นคุณหญิง ความที่อยากจะแสดงตัวจึงถามเขาว่า
"เธอสองคนไม่เคยดูทีวีหรือไง หรือว่าที่บ้านไม่มีทีวี" ถามอย่างเหยียด ๆ บุรุษที่มากับคู่หมั้นสาวรู้สึกไม่พอใจกับหญิงสูงอายุคนนี้เรียกเขาว่า "เธอ" ราวกับว่าเขาเป็นคนขับรถของหล่อน ตัวเขาเพิ่งจบด็อกเตอร์มาจากอังกฤษแล้วก็เป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย คู่หมั้นของเขาก็จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ที่มาหาท่านพระครู ก็เพื่อจะให้ท่านหาฤกษ์แต่งงานให้
"มีครับ ที่บ้านผมมีทีวีสีด้วย ซื้อมาจากอังกฤษ" ด็อกเตอร์หนุ่มถือโอกาสคุยทับ จะมีสักกี่คนกันเชียวที่มีโทรทัศน์สีดู
"แล้วพวกเธอไม่เคยเห็นฉันในทีวีหรือไง" เธอถามอีก ก็พยายามติดตามรัฐมนตรีไปทุกงานเพื่อจะให้ใคร ๆ ได้รู้จัก โดยเฉพาะเวลาออกทีวี "ไม่เคยครับ ผมกับคู่หมั้นเพิ่งกลับจากอังกฤษ เมื่อเร็ว ๆ นี้ แล้วก็กำลังยุ่งเรื่องเตรียมการแต่งงาน เลยไม่มีเวลาดูทีวี"
"อ๋อ" ได้ยินว่าคนคู่นี้เพิ่งกลับจากอังกฤษ คุณหญิงจึงถือโอกาสคุยบ้าง" ฉันก็เคยไปอังกฤษหลายครั้ง ไปเยี่ยมลูก เคยได้ยินชื่อคุณหญิงปทุมทิพย์ ภรรยาท่านรัฐมนตรีผดุงเดชหรือเปล่า ฉันนี่แหละ" เธอคิดว่าคนทั้งสองจะต้อง ยินดีปรีดาที่ได้รู้จักคุณหญิง หากก็ต้องผิดหวัง เมื่อฝ่ายนั้นพูดว่า
"ผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยครับ โดยเฉพาะรัฐมนตรีเมืองไทย เราเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อยเสียจนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร" ฟังแล้วคุณหญิงอยากจะร้องกรี๊ด พอดีกับนายขุนทองเดินเข้ามา
"พี่สมชายไม่อยู่หรอกฮะคุณหญิง หลวงพี่บอกว่าไปซื้อของที่ตลาดกับแม่ครัวตั้งแต่เช้า หนูก็ลืมสังเกตว่ารถไม่อยู่"
"แล้วกุญแจล่ะ มันฝากกุญแจไว้หรือเปล่า"
"เปล่าครับ เขาเอาไปด้วย"
"แหม ร้ายจริง ๆ แล้วนี่ฉันจะต้องรออีกกี่ชั่วโมงกันนี่"
"คุณหญิงค่อยมาวันอื่นดีไหมฮะ มาวันที่ ๑๑ ก็ได้ ท่านกำหนดออกจากสมาบัติวันนั้น"
"โอ๊ย ฉันรออีกไม่ไหวแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน เธอรู้จักพระเกจิอาจารย์ดัง ๆ ของจังหวัดนี้หรือเปล่า ฉันจะได้ไปหา ให้ท่านช่วยดูให้ยิ่งเป็นพระอรหันต์ก็ยิ่งดี" นายขุนทองแอบเถียงในใจว่า
"โอ๊ย ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์จริง ท่านก็ไม่มาสนใจเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ อย่างนี้หรอกคุณหญิง" แต่ปากเขากลับพูดว่า "หนูไม่รู้จักหรอกฮะ"
"อะไร เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้ เธอนี่แย่จริง งั้นฉันไปถามคนขับรถของฉันก็ได้ ไม่น่าเสียเวลามาเลยกู" เธอบ่น คนเป็นด็อกเตอร์กับคนจบปริญญาโทรู้สึกสังเวชใจใน "กายกรรม" และ "วจีกรรม" ของคนเป็นคุณหญิง หากก็มิได้พูดอะไรออกมา นายขุนทองเสียอีกที่ด่าไล่หลังว่า "อีคนเป็นคุณหญิงเพราะผัว" แล้วอธิบายให้หญิงชายคู่นั้นฟังว่า
"พี่รู้ไหม ยายคุณหญิงนี่อาศัยบารมีผัวถึงได้เป็นคุณหญิง ถ้าผัวไม่เป็นรัฐมนตรีมีหรือจะได้เป็น จริงไหมพี่" คนฟังเพียงแต่ยิ้ม ๆ หากไม่ยอมออกความเห็น คนพูดจึงเปลี่ยนเรื่องถาม
"พี่มีธุระมาหาหลวงลุงหรือฮะ"
"ครับ ผมจะมาขอให้ท่านหาฤกษ์แต่งงาน" ฝ่ายชายบอก
"ท่านงดรับแขกสามวันฮะ วันที่ ๑๑ พี่มาใหม่ก็แล้วกัน" คนพูดคาดว่าคงจะได้รับการต่อว่าต่อขานอีก เช่นเดียวกับรายอื่น ๆ หากก็ต้องผิดคาดเพราะเขาพูดว่า
"งั้นวันที่ ๑๑ ผมจะมาใหม่นะครับ" พูดจบก็ลุกออกไป ไม่ถามเสียด้วยซ้ำว่าเหตุใดท่านพระครูจึงไม่ลงรับแขก
"สาธุ ขอให้คนที่มาหาหลวงลุงน่ารักเหมือนคนคู่นี้ทุก ๆ คนเถิด เจ้าประคู้น" นายขุนทองแอบตั้งจิตอธิษฐาน
ครู่หนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงร้องกรี๊ด ๆ ดังมาจากลานจอดรถ เสียงนั้นแหลมลึกอย่างประหลาด ชายหนุ่มจึงวิ่งไปยังที่มาของเสียง แล้วก็พบคุณหญิงปทุมทิพย์ยืนเต้นเร่า ๆ ส่งเสียงกรี๊ด ๆ อยู่ข้างรถเบ๊นซ์ ชายวัยกลางคนแต่งชุดทหารยศพันตรียืนงงงันอยู่
"เกิดอะไรขึ้นหรือฮะ" เขาถามนายทหาร
"ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เห็นคุณหญิงท่านเดินผ่านต้นปีบมา ผมก็เตรียมลงมาเปิดประตูให้ท่าน แล้วท่านก็มายืนร้องกรี๊ด ๆ อย่างที่คุณเห็นนี่แหละ"
"คุณหญิงฮะ คุณหญิง" ผู้ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง เข้าไปจับตัวคุณหญิงเขย่าแรง ๆ หมายจะให้เธอรู้สึกตัว
"ว้าย อย่ามาถูกต้องตัวข้านะ" เสียงแหลมกรี๊ดใส่ นายขุนทองรู้ทันทีว่านั่นมิใช่คุณหญิง แต่จะเป็นใครนั้นต้องถาม
"ข้าน่ะใครล่ะ แกเป็นใคร"
"เป็นใครก็ช่างข้า อยากรู้จริง ๆ ก็ไม่ถามหลวงพ่อซี "วิญญาณ" ในร่างของคุณหญิงปทุมทิพย์ตอบ
"บอกเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรือ ทำไมจะต้องถามหลวงพ่อ ท่านกำลังอยู่ในสมาบัติ จะถามได้ยังไง"
"ก็เพราะอย่างนี้ซี ข้าถึงมาเข้านังคุณหญิง หมั่นไส้มันตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ที่ไม่กล้าทำอะไรเพราะเกรงใจหลวงพ่อ" แขกเหรื่อที่ตั้งใจจะมาหาท่านพระครู เมื่อเดินผ่านลานจอดรถจึงพากันหยุดดู รวมทั้งด็อกเตอร์กับคู่หมั้นซึ่งกำลังจะเดินไปที่รถของตน ประเดี๋ยวหนึ่ง บรรดาแม่ครัวก็ยกขบวนกันมานำหน้าด้วยนางบุญพา นางสาวนางบุญรับ
"อะไรกันวะขุนทอง" นางถามหลานชายท่านพระครู
"ไม่รู้เหมือนกัน ป้าดูเอาเองสิ" ชายหนุ่มบอก นางบุญพาจึงเข้าไปเขย่าตัวคุณหญิง พลางถามเสียงอ่อนหวาน
"คุณหญิงเจ้าขา เป็นอะไรไปเจ้าคะ "ร่าง" ของคุณหญิงสะบัดอย่างแสนจะรังเกียจสัมผัสของฝ่ายนั้น
"อย่ามาจับข้านะ นังคนสกปรก"
"อิฉันอาบน้ำแล้วเจ้าค่ะ อาบเสร็จก็มานี่แหละ" นางบุญพาตอบ ครั้นสบตากับคุณหญิง ก็ถึงกับขนลุกซู่ เพราะคุณหญิงจ้องนางตาไม่กระพริบ รู้ได้ทันที่ว่านั่นมิใช่คุณหญิงแต่เป็น "ผี" จึงก้มกราบปะหลก ๆ "โอ๊ยกลัว...กลัวแล้วจ้ะ อย่าถือสาหาความอะไรกะฉันเลย ไปที่ชอบ ๆ เถอะ"
"ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ช่วยหลวงพ่อดูแลวัด แกนังคนสกปรก คนอย่างแกต่อให้อาบน้ำอีกสักสิบตุ่มก็ไม่สะอาด เพราความสกปรกมันอยู่ที่ใจแก มันแนบเนื่องอยู่ในกาย ในใจของแก ข้ารู้ข้าเห็นมานานแล้ว แต่ที่ไม่ทำอะไรเพราะเกรงใจหลวงพ่อ ขอให้รู้ไว้ว่าข้ารอโอกาสนี้มานานแล้ว"
"ได้โปรดเถอะจ้ะ อย่าทำฉันเลย ฉันไม่เคยทำผิดคิดร้ายใคร" คราวนี้ "วิญญาณ" ในร่างคุณหญิงเท้าสะเอวด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาชี้หน้าคนที่กำลังก้มกราบปะหลก ๆ กราบจนหยุดไม่ได้
"หนอยแน่ะ พูดออกมาได้ว่าไม่เคยทำผิดคิดร้าย คนอย่างแกมันชั่วแล้วก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองชั่ว ชั่วทั้งกาย วาจา ใจ นึกว่าข้าไม่รู้หรือ แกมาทำครัวช่วยหลวงพ่อน่ะ แกบริสุทธ์ใจหรือก็เปล่า เวลาพวกแม่ครัวเขาเผลอ แกก็แอบเอาหอมกระเทียมบ้าง มีดบ้าง หมูบ้าง ปลาเค็มบ้าง ใส่พกกลับไปบ้าน ถึงคนอื่น ๆ จะไม่เห็น แต่ข้าก็เห็น" บรรดาแม่ครัวพากันจ้องหน้านางบุญพา แล้วถามเป็นเสียงเดียวกัน
"จริงหรือ" นางกำลังจะปฏิเสธ "คุณหญิง" ก็ขู่ว่า
"ถ้าพูดไม่จริง แม่จะหักคอทิ้งเดี๋ยวนี้แหละ"
"โอ๊ย กลัวแล้วจ้ะกลัวแล้ว อย่าทำลูกช้างเลย หลวงพ่อช่วยลูกช้างด้วย" นางบุญพาร้องเสียงหลง นายสมชายกลับจากจ่ายตลาดกับหัวหน้าแม่ครัว เห็นคนยืนมุงอยู่ที่ลานจอดรถ จึงพูดกับหัวหน้าแม่คร้วว่า
"เกิดอะไรขึ้นไม่รู้นะป้านะ หลวงพ่อท่านก็มาตัดสินให้ไม่ได้เสียด้วย ยังไง ๆ ผมก็ต้องรักษาคำมั่นสัญญาจนถึงที่สุด" เขานำรถเข้ามาจอดใกล้ ๆ แล้วชวนหัวหน้าแม่ครัวลงไปดู นายขุนทองรีบวิ่งมารายงาน
"คุณหญิงถูกวิญญาณเข้าสิงแน่ะพี่ ด่ายายบุญพาใหญ่เลย" ศิษย์วัดดูประเดี๋ยวเดียวก็รู้ว่า นายขุนทองไม่ได้พูดเล่น จากประสบการณ์ที่เคยตามท่านพระครูไป "จับผี" หลายครั้ง จึงรู้ว่าผีที่มาเข้าคุณหญิงไม่ใช่ผีปลอม
"ไปตามหลวงพี่บัวเฮียวมาด่วน" นายขุนทองรีบวิ่งไปยังกุฏิของพระบัวเฮียว เห็นท่านกำลังเดินจงกรมอยู่จึงว่า
"ขออภัยนะฮะหลวงพี่ คุณหญิงถูกผีเข้าฮะ หลวงพี่ช่วยไปดูหน่อย" ภิกษุวัยเลยเบญจเพสพักการปฏิบัติไว้ชั่วคราว แล้วตามนายขุนทองไป
เมื่อท่านไปถึง คนที่มุงดูอยู่พากันหลีกทางให้ท่านเข้าไปในวง "คุณหญิง" ก้มลงกราบสามครั้ง กราบอย่างสวยงามที่สุดเท่าที่นายสมชายเคยเห็น "ผีกราบพระก็เป็นด้วย กราบได้สวยกว่าคนเสียอีกแน่ะ" ศิษย์วัดคิดในใจ กราบพระบัวเฮียวแล้ว "คุณหญิง" ก็รายงานด้วยเสียงที่แสนจะไพเราะ
"ดิฉันต้องขอกราบประทานโทษพระคุณเจ้านะเจ้าคะที่บังอาจมาก้าวก่ายเรื่องของมนุษย์ ดิฉันทนไม่ไหวจริง ๆ เจ้าค่ะ"
"โยมมาจากไหนล่ะ" ภิกษุเชื้อสายญวนถาม
"ดิฉันมากับเสานั่นเจ้าค่ะ เสาสีดำที่พิงอยู่ใต้ต้นปีบ"
"การมาของโยมมีจุดประสงค์อะไรหรือ"
"ดิฉันจะมาช่วยหลวงพ่อเจ้าค่ะ มาช่วยดูแลทำความสะอาดวัด"
"แล้วทำไมต้องมาเข้าคุณหญิงเขาด้วยล่ะ ไม่น่าจะทำอย่างนี้" ภิกษุหนุ่มพูดเสียงตำหนิ
"ก็อยากจะสั่งสอนเจ้าค่ะ สั่งสอนทั้งคุณหญิงและยายบุญพา"
"แล้วสั่งสอนเสร็จหรือยัง"
"เสร็จแล้วเจ้าค่ะ ดิฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ" พูดจบก็ก้มลงกราบสามครั้ง แต่ครั้งที่สามไม่ยอมเงย คุณหญิงปทุมทิพย์ฟุบอยู่ตรงนั้นในท่ากราบ
"เอ้าโยมแม่ครัวช่วยนำคุณหญิงไปกุฏิหลวงพ่อหน่อย" บรรดาแม่ครัวยกเว้นนางบุญพา ต่างช่วยกันหามคุณหญิงด้วยความทุลักทุเล เพราะคนถูกหามคงจะน้ำหนักเจ็ดสิบกิโลกรัมเป็นอย่างน้อย!
ช่วยกันเยียวยาอยู่สักครู่ คุณหญิงก็รู้สึกตัว
"นี่ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" นายทหารผู้ทำหน้าที่ขับรถพามา จึงเล่าเหตุการณ์ให้เธอฟัง เล่าจบผู้ที่นั่ง ณ ที่นั้น ต่างพากันเหลียวหาทางบุญพา หากไม่มีผู้ใด ได้เห็นแม้แต่เงาของนาง! ผู้หญิงคนนั้นหนีไปแล้ว นางจะไม่กลับมาที่วัดนี้อีก
เห็นหน้านายสมชาย คุณหญิงก็เริ่มแสดงอำนาจบารมี
"นี่เธอ ช่วยเปิดประตูให้ฉันหน่อย ฉันจะขึ้นไปพบหลวงพ่อ" เธอออกคำสั่ง
"ไม่ได้หรอกครับคุณหญิง ท่านสั่งผมไว้เลยว่าห้ามเยี่ยม ห้ามประกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น"
"นั่นเพราะท่านไม่ทราบว่าฉันจะมาน่ะซี เอาเถอะไม่ต้องพูดมาก เปิดประตูให้ฉันก็แล้วกัน อะไรเกิดขึ้นฉันขอรับผิดชอบเอง"
"ไม่ได้หรอกครับคุณหญิง ยังไง ๆ ผมก็เปิดให้ไม่ได้" ชายหนุ่มยืนกราน
"นี่เธอลืมไปแล้วหรือว่าฉันเป็นใคร" คุณหญิงปทุมทิพย์พูดเสียงกร้าว
"ผมไม่ลืมหรอกครับ ไม่ลืมว่าคุณหญิงเป็นภรรยาของท่านรัฐมนตรีผดุงเดช" ในใจนั้นอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย "อดีตภรรยา ส่วนภรรยาคนปัจจุบันเป็นเด็กอายุสิบหก"
"ก็ในเมื่อรู้แล้วทำไมจึงกล้าขัดคำสั่งของฉัน" นายสมชายรู้สึกสมเพชคนเป็นคุณหญิงเสียนัก ผู้หญิงที่หลงยึดหลงติดกับหัวโขน! ชายหนุ่มระงับความขัดข้องหมองใจเอาไว้ แล้วพูดด้วยเสียงที่เป็นปกติว่า
"ขอประทานโทษนะครับคุณหญิง ผมเปิดให้ไม่ได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภรรยารัฐมนตรีหรือ แม้กระทั่งภรรยานายกรัฐมนตรี ผมก็ไม่สามารถเปิดให้ได้ คุณหญิงค่อยมาวันอื่นเถิดครับ" คนเป็นคุณหญิงอยากจะร้องกรี๊ด หากก็ต้องระงับอารมณ์เอาไว้
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถจะทำให้ชายหนุ่มยินยอมได้ คุณหญิงจึงคิดจะขอยืมมือนายทหารวัยกลางคน จึงพูดขึ้นว่า
"อันที่จริงฉันไม่น่าลดตัวลงมาพูดกับเธอหรอกนะ ควรจะเป็นหน้าที่ของคนขับรถของฉันมากกว่า บุญช่วยเธอจัดการให้ฉันที จัดการให้เขาทำตามคำสั่งของฉันด้วย แม้จะต้องใช้กำลังเธอก็ต้องทำ" เธอยื่นคำขาด
"จะเอาผมไปฆ่าไปแกง ผมก็ไม่ยอมทำตามคำสั่งของคุณหญิง ถ้าผู้พันอยากได้ลูกกุญแจก็ข้ามศพผมไปก่อน" ศิษย์วัดพูดอย่างเด็ดเดี่ยว พันตรีบุญช่วยรู้สึกลำบากใจ เขายอมมาทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้คุณหญิงก็เพราะหวังจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพันโท พันเอก กระทั่งถึงนายพล นี่ก็ไต่เต้ามาตั้งแต่เป็นนายสิบ อุตส่าห์ตามใจผู้หญิงอ้วนที่เอาแต่ใจตัวเองไปเสียทุกเรื่อง เบื่อจนสุดเบื่อหน่ายจนสุดหน่าย คิดว่าไปรับอาสาเป็นคนขับรถให้เมียร้อยรัฐมนตรียังจะดีเสียกว่า มีทางก้าวหน้ามากกว่านี้แยะ เด็กสาวคนนั้นคงจะไม่จู้จี้ขี้บ่นเหมือนยายแก่หมูตอนคนนี้
"นั่งเซ่ออยู่ทำไม จัดการตามที่ฉันสั่งเดี๋ยวนี้"
"ถ้าผมไม่ทำล่ะครับ" คนไต่เต้ามาจากนายสิบตัดสินใจแล้ว "เป็นไงเป็นกัน"
"หา เธอพูดอะไรนะ" คุณหญิงแผดเสียงลั่นกุฏิ ดีที่ว่าพวกแม่ครัวพากันลุกออกไปทำหน้าที่ของตนแล้ว หลังจากที่มองหานางบุญพาไม่เห็น
"คุณหญิงฟังไม่ถนัดหรือครับ ถ้างั้นฟังอีกครั้งนะครับ ผมจะพูดช้า ๆ ชัด ๆ" เขารวบรวมความกล้าอีกครั้ง แล้วพูดด้วยเสียงที่สั่นนิด ๆ ว่า "ผมไม่สามารถทำตามคำที่คุณหญิงสั่งได้หรอกครับ"
"ดีละ งั้นฉันจะถอดยศเธอกลับไปเป็นนายสิบอย่างเก่า" คุณหญิงปทุมทิพย์ขู่
"ถอดก็ถอดซีครับ แล้วผมจะไปขอให้ท่านรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ใหม่ก็ได้ ไปรับอาสาขับรถให้เมียน้อยของท่าน ขี้คร้านจะได้เป็นถึงนายพล!"
เวลาหกนาฬิกา ของเช้าวันที่ ๑๑ สิงหาคม ท่านพระครูออกจากผลสมาบัติดังที่ได้อธิษฐานจิตไว้ตอนก่อนจะเข้า ที่ต้องอธิษฐานจิตให้ออกตอนเช้าก็เพื่อจะได้ฉันภัตตาหารหลังจากที่ไม่ได้ฉันมาสามวันเต็ม ๆ เพราะนั่งขัดสมาธิอยู่กับที่เป็นเวลา ๗๒ ชั่วโมงติดต่อกัน
เนื่องจากการเข้าสมาบัติในครั้งนี้มิได้เป็นไปอย่างปกติสามัญ หากต้องการจะต่ออายุให้เถ้าแก่บ๊ก ดังนั้นอาการที่ปรากฏหลังออกจากสมาบัติจึงผิดไปจากที่ได้เคยเป็น กล่าวคือแทนที่จะได้เสวยสุขเวทนาอันเกิดแต่สมาธิ กลับต้องมาเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ถึงกับต้องกำหนด "ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ" อยู่ชั่วขณะ แล้วจึงกำหนดรู้ว่าทุกขเวทนาที่กำลังได้รับอยู่นั้น เป็นการถ่ายเทโรคภัยไข้เจ็บในตัวเถ้าแก่บ๊กมาสู่ตัวท่าน
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงรู้สึกปวดท้องเป็นกำลัง ปวดท้องและคลื่นไส้อยากจะอาเจียน ท่านหยิบกระโถนมาวางใกล้ตัวและก้มหน้าอาเจียนโอ้ก ๆ สิ่งที่ออกจากปากมีทั้งเสมหะ น้ำลาย น้ำหนอง และตามด้วยโลหิตสด ๆ สีแดงฉาน ถ่ายเทของเสียออกมาแล้วรู้สึกสบายขึ้น หากก็เพียงชั่วขณะ หลังจากนั้นก็รู้สึกปั่นป่วนภายในท้องอีก คราวนี้ไม่มีทีท่าว่าจะพุ่งขึ้นทางลำคอแล้วออกทางปาก แต่กลับพุ่งลงไปทางเบื้องต่ำ
ภิกษุวัยห้าสิบค่อย ๆ พยุงกายลุกขึ้น ตั้งสติให้มั่นคง มือยึดราวบันได เท้าก้าวลงช้า ๆ อย่างมีสติ พยายามกลั้นสิ่งที่อยู่ภายในท้องมิให้ไหลเลอะออกมาก่อนที่จะถึงห้องน้ำ
ท่านใช้เวลาอยู่ในห้องสุขายี่สิบนาที เป็นยี่สิบนาทีแห่งความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เพราะไม่เพียงแต่จะถ่ายเป็นอุจจาระปะปนกับมูกเลือดออกมาเท่านั้น หากลมได้ตีกลับขึ้นเบื้องบน ผ่านลำคอออกมาทางปากอีกทางหนึ่ง
ท่านรู้สึกเหนื่อยอ่อน หมดเรี่ยวแรงเหมือนว่าจะต้องดับดิ้นสิ้นชีวิตอยู่ภายในห้องแคบ ๆ นั้น แต่แม้จะรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงสักปานใดก็มีสติระลึกรู้ รู้ว่าท่านจะต้องไม่สิ้นชีวิตอยู่ในห้องน้ำนี้ เพราะ "กฎแห่งกรรม" บอกว่าท่านจะต้องเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำ
เมื่อโรคภัยไข้เจ็บที่รับมาจากเถ้าแก่บ๊กถูกถ่ายเทออกมาภายนอกจนหมดสิ้นแล้ว ท่านรู้สึกเบาเนื้อเบาตัวและสบายขึ้นเป็นลำดับ จึงจัดการสรงน้ำชำระร่างกายจนสะอาดสะอ้าน เสร็จแล้วจึงเดินขึ้นชั้นบนเพื่อรอฉันภัตตาหาร เสียงท้องร้องจ๊อก ๆ เพราะไม่มีอาหารอยู่ในกระเพาะเลย "รู้แล้วน่าว่าเอ็งหิว ข้าเองก็อดมาสามวันสามคืนเท่ากับเอ็งนั่นแหละ" ท่านพูดกับท้อง
ครู่ใหญ่ ๆ นายสมชายกับนายขุนทอง ก็ช่วยกันลำเลียงอาหารและน้ำร้อนน้ำชาขึ้นมาถวาย เห็นท่าทางอิดโรยของท่านเจ้าของกุฏิ คนทั้งสองต่างพากันตกใจ
"ทำไมหลวงพ่อดูซีดเซียว ไม่เอิบอิ่มเหมือนทุกครั้งที่ออกจากสมาบัติเลยนะครับ" ศิษย์วัดว่า
"หลวงลุงไม่สบายหรือเปล่าฮะ" หลานชายถาม ท่านพระครูยอมรับว่า
"หนักที่สุดในชีวิต เธอรู้ไหมสมชาย การช่วยครั้งนี้ฉันเกือบจะต้องเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลก ถ้ากฎแห่งกรรมไม่บอกไว้ก่อนว่าฉันจะต้องตายเพราะอะไรแล้วละก็ ฉันคงจะตายไปแล้ว เธอจำไว้นะ เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่เหนือฟ้าขึ้นไปก็ยังมีกฎแห่งกรรม"
จัดอาหารเสร็จแล้วคนทั้งสองจึงช่วยกันประเคน ท่านเจ้าของกุฏิ ฉันได้สักสองสามช้อนก็อิ่ม เพราะรู้สึกอ่อนเพลียจนฉันไม่ลง จึงได้แต่ดื่ม "น้ำชา" ที่รสชาติทั้งเฝื่อนทั้งขม
"ฉันเสร็จ หลวงพ่อพักผ่อนสักหน่อยดีกว่าครับ อย่าเพิ่งลงรับแขกตอนนี้เลย" ศิษย์วัดขอร้อง วันนี้แขกมากันแน่นกุฏิ เพราะหยุดกิจการไปถึงสามวัน บางคนก็มารอตั้งแต่ตีสี่ นับวันคนก็ยิ่งมีทุกข์กันมากขึ้น ความเจริญทางวัตถุไม่ช่วยให้ความทุกข์ของพวกเขาลดลงแต่ประการใด
"ขืนฉันพักผ่อน คนจะต้องขึ้นมาพังกุฏิฉันแน่ เอาละ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ ยังไม่ถึงเวลาก็ไม่เป็นไร ถือเสียว่าเป็นการชดเชยช่วงที่หยุด"
คนที่มาตั้งแต่ตีสี่เป็นบุรุษวัยห้าสิบแปด เห็นท่านพระครูลงมาก็แทบจะวิ่งเข้าไปกอด "หลวงพ่อครับช่วยผมด้วย" ประโยคแรกที่เขาเอื้อนเอ่ยก็คล้าย ๆ กันกับของคนอื่น ๆ
"โยมจะให้ช่วยอะไรล่ะ" ประโยคแรกของท่านพระครูที่พูดกับเขา ก็เหมือนกับพูดกับคนอื่น ๆ เช่นกัน
"แม่เด็กหนีไปซะแล้ว หลวงพ่อช่วยตามให้หน่อย"
"หนีไปไหนล่ะ"
"ไม่ทราบครับ ถึงต้องมาถามหลวงพ่อไง"
"อ้าว ก็นอนอยู่ด้วยกันยังไม่ทราบ แล้วอาตมาไม่ได้ไปนอนกะแม่เด็กเขา จะไปทราบได้ยังไงล่ะ" ท่านย้อนคนเมียหนี
"แต่หลวงพ่อต้องทราบ เพราะใคร ๆ เขาก็มาหาหลวงพ่อกันทั้งนั้นเวลาที่เมียหนี หลวงพ่อตามกลับได้ทุกรายเลยด้วย" คนอายุห้าสิบแปดว่า
"แต่ตอไปนี้อาตมาว่า จะเลิกตามให้แล้ว พระไม่ได้มีหน้าที่มาตามเมียให้ชาวบ้าน เมียใครก็ตามกันเอาเอง" ท่านแกล้งปฏิเสธ
"โธ่หลวงพ่อ ช่วยผมสักครั้งเถอะครับ ผมกราบละ" เขาก้มลงกราบหนึ่งครั้ง
"ไปทำยังไงเข้าล่ะ เขาถึงได้หนี"
"ไม่ได้ทำอะไรครับ" คนตอบไม่พูดความจริง
"ไม่ทำแล้วเขาจะหนีทำไมล่ะ ก็อยู่กันมาจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร แล้วทำไมถึงมาหนีไปตอนแก่ล่ะ บอกมาตรง ๆ ดีกว่าว่าไปทำอะไรเขา ถ้าโกหกไม่ช่วยนะเอ้า" ท่านเจ้าของกุฏิขู่ คนถือไม้เท้ายอดทองจึงพูดเสียงอ่อย ๆ
"ก็แค่เอาฝาโอ่งทุบหัวทีเดียวเอง"
"ฝาโอ่งนั่นทำด้วยอะไร อะลูมิเนียม หรือไม้"
"ไม้ครับหลวงพ่อ ไม้ประดู่" รายนี้ท่านพระครูไม่จำเป็นต้องใช้ "เห็นหนอ" ช่วยตรวจสอบหรือช่วยตาม เพราะเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา สตรีวัยห้าสิบเศษร้องไห้ร้องห่มมาหาพร้อมก้มให้ดูศีรษะซึ่งโนเป็นลูกมะกรูด
"หลวงพ่อดูซีคะ พ่อบ้านเขาใช้ฝาโอ่งฟาดหัวอีฉัน ฝ่าโอ่งทำด้วยไม้ประดู่หนักห้ากิโล!"
"ไปทำอะไรให้เขาโกรธล่ะ"
"เขาหาว่าอีฉันทำกับข้าวไม่อร่อยค่ะ แหม! อยู่กันมาจนมีเขยมีสะใภ้แล้ว เกิดจะมาติว่ากับข้าวไม่อร่อย อีฉันไม่กลับไปอยู่กะมันแล้ว มาอยู่วัดป่ามะม่วงดีกว่า" แล้วนางก็อยู่ที่วัดนี้มาตั้งแต่วันนั้น
รู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว ท่านเจ้าของกุฏิจึงถามบุรุษวัยใกล้หกสิบว่า "เอายังงี้ไหมเล่า อาตมาจะตามให้ แต่โยมจะต้องกราบขอขมาเขา กราบงาม ๆ ตอหน้าอาตมาด้วย ทำได้ไหมเล่า ถ้าไม่ได้ก็ไม่ตามให้" คนเมียหนีตอบทันทีว่า
"ผมทำไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ เรื่องอะไรจะไปกราบผู้หญิง ขนาดแม่ผมแท้ ๆ ยังไม่เคยกราบ นี่หลวงพ่อจะให้มากราบเมีย" เขาต่อว่า
"ไม่เป็นไร กราบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เอาละ ใครมีปัญหาอะไรก็ว่าไป" ท่านถามรายต่อไปโดยไม่สนใจคนอายุห้าสิบแปดที่นั่งคอตกอยู่หน้าอาสนะ
ทหารยศพลตรีเข้ามากราบแล้วถามว่า "หลวงพ่อจำผมได้หรือเปล่าครับ ที่เคยมาบวชอยู่วัดนี้เมื่อปี ๒๕๐๐"
"จำไม่ได้หรอกโยม ตั้งเกือบยี่สิบปีแล้ว ใครจะไปจำได้" ท่านพระครูพูดตรง ๆ นายพลตรีจึงส่งซองจดหมายเก่า ๆ ให้ท่านหนึ่งซอง ท่านเจ้าของกุฏิเปิดซองออกก็พบข้อความที่เขียนด้วยลายมือของท่านเอง กระดาษที่ใช้เขียนออกสีเหลือง เพราะความล่วงไปแห่งกาลเวลา ข้อความที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษนั้นมีว่า
"อาตมาขอบิณฑบาตนะโยม ขอให้เลิกประพฤติผิดศีลข้อสาม ถ้าเลิกไม่ได้ เวรกรรมจะไปตกที่ลูกสาวทั้งสามคนของโยม ไม่เชื่อก็คอยดูกันต่อไป ลงชื่อ พระครูเจริญ ฐิตธัมโม วัดป่ามะม่วง วันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๐"
อ่านจบท่านเจ้าของกุฏิก็นึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังได้ สมัยนั้นนายพลตรี มียศเป็นร้อยเอก ภรรยาเป็นทหารยศร้อยตรี มีลูกสาวสามคน ปี ๒๕๐๐ เขาได้ลาราชการมาบวชที่วัดนี้หนึ่งพรรษา บวชโดยมิได้มีศรัทธาแต่ประการใด มารดาขอให้บวชก็บวชไปอย่างนั้นเอง
ระหว่างที่อยู่ในวัดก็ไม่ยอมปฏิบัติกรรมฐาน เพราะไม่เชื่อว่าบุญบาปมีจริง และเพราะไม่เชื่อจึงก่อกรรมทำชั่วอย่างไม่สะทกสะท้าน ท่านเคยเตือนให้เลิกผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน เพราะก่อนมาบวชก็มีเรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์อยู่เป็นประจำ ครั้นมาบวชท่านขอบิณฑบาต เขาก็ไม่ยอมยกให้ ท่านจึงต้องเขียนข้อความข้างต้นให้เขาไว้ เพื่อสอนใจ คนเป็นนายพลกล่าวทั้งน้ำตาว่า
"ผมเสียใจเหลือเกินครับ เสียใจที่ไม่เชื่อหลวงพ่อ สึกออกไปผมยังคงประพฤติระยำตำบอน เจ้าชู้ไม่เลือกลูกเขาเมียใคร เพราะไม่เชื่อหลวงพ่อ เพิ่งจะสำนึกเมื่อวานนี้เอง เลยชวนภรรยามาหาหลวงพ่อ คิดว่าหลวงพ่อต้องช่วยได้" ท่านเจ้าของกุฏิรู้ว่า เรื่องที่เขาจะพูดเป็นความลับจึงว่า
"เชิญไปคุยกันข้างบนดีกว่า" ท่านลุกขึ้นแล้วพูดกับผู้ที่นั่งรอว่า "ขอตัวประเดี๋ยวนะ เดี๋ยวจะลงมาใหม่" พลตรีและภรรยาซึ่งขณะนี้มียศเป็นพันโทหญิง ลุกตามท่านเจ้าของกุฏิไปยังชั้นบน
"เรื่องมันเป็นยังไง" ท่านพระครูถาม คนทั้งสองต่างกันร้องไห้ แล้วคนที่เป็นนายพลก็พูดขึ้นว่า
"เวรกรรมเล่นงานผมแล้วครับหลวงพ่อ ลูกสามผมหนีออกจากบ้านทั้งสามคน ต่อมามีคนไปพบว่า พากันไปขายตัวอยู่ที่หาดใหญ่ ผมอับอายเหลือเกินครับหลวงพ่อ เสียศักดิ์ศรี เสียเชื่อเสียงวงศ์ตระกูล พ่อเป็นนายพล แม่เป็นนายพัน แต่ลูกเป็นโสเภณี"
"เป็นความผิดของใครล่ะ ความผิดของลูกอย่างนั้นหรือ"
"ความผิดของผมเองครับ เพราะผมไม่เชื่อหลวงพ่อ"
"แล้วตอนนี้เชื่อหรือยัง"
"เชื่อแล้วครับ โปรดช่วยผมด้วยเถอะครับ ผมสงสารลูก ไม่อยากให้เขาต้องไปมีอาชีพอย่างนั้น"
"โยมทั้งสองอยากให้ลูกกลับมาหรือเปล่า"
"อยากครับ ภรรยาผมก็อยากแต่ก็กลัวจะอับอายขายหน้า ผมคิดไม่ตกเลยครับว่าจะทำยังไงดี หลวงพ่อโปรดชี้ทางให้ผมด้วย"
"ถ้าโยมอยากให้ลูกกลับก็ต้องยอมอายนะ ทำยังไงได้ ถึงเวลาที่ต้องอาย ก็ต้องยอม แต่ถึงอย่างไร อาตมาคิดว่ายังน่าอายน้อยกว่าที่เราทำความชั่ว ขออภัยนะที่อาตมาพูดตรง ๆ"
"ดิฉันจะยอมอายค่ะหลวงพ่อ คิดถึงลูกเหลือเกิน" พันโทหญิงรำพัน คนเป็นนายพลต้องตัดสินใจอย่างหนัก ในที่สุดจึงพูดขึ้นว่า
"ผมก็ยอมอายครับ ผมปลงตกเสียแล้ว ยังไง ๆ ลูกเขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ส่วนตำแหน่งหน้าที่เป็นเพียงหัวโขน อีกประการหนึ่ง ลูก ๆ ต้องมาเป็นอย่างนี้ เพราะผมเป็นคนสร้างกรรมให้เขา หลวงพ่อช่วยผมหน่อยเถิดครับ ช่วยตามลูกสาวผมกลับด้วย" เขาวิงวอน ท่านเจ้าของกุฏิจึงเปรยขึ้นว่า
"ไม่รู้อะไรกันนักหนา รายแรกจะให้ตามเมีย รายที่สองจะให้ตามลูก ทั้ง ๆ ที่อาตมาไม่มีทั้งลูกและเมีย" คนเป็นนายพลนายพันพากันยิ้มทั้งน้ำตา ท่านพระครูจึงบรรลุจุดประสงค์ในการทำให้คนทั้งสองคลายเครียด
"เอาละ เป็นอันว่าอาตมาจะช่วยแต่จะต้องมีข้อแม้ คือโยมจะต้องอนุญาตให้อาตมานำเรื่องนี้ไปสั่งสอนคนอื่น ๆ ได้ เพราะจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลสำหรับคนที่เขาไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ อย่างน้อยก็ทำให้เขาได้คิด โยมจะตกลงไหม"
"ตกลงค่ะหลวงพ่อ ถ้าเขาไม่เชื่อ ดิฉันยอมมาเป็นพยานให้อีกด้วย พร้อมกันนี้ดิฉันขอฝากหลวงพ่อให้ช่วยเตือนบรรดาพ่อแม่ที่ทำแต่งานโดยไม่เอาใจใส่ดูแลลูกเต้า ถึงเขาจะได้เป็นใหญ่เป็นโต แต่ถ้าลูกกลายเป็นคนติดยาหรือลูกสาวไปทำตัวเหลวแหลกอย่างลูกของดิฉัน มันก็ไม่คุ้มกันเลย ดิฉันพลาดไปแล้วจึงไม่อยากให้พ่อแม่คนอื่น ๆ ต้องเป็นอย่างดิฉันอีก" พันโทหญิงสาธยาย
"ผมด้วยครับหลวงพ่อ ผมขอฝากเตือนบรรดาเจ้าชู้ประตูดินทั้งหลายว่า อย่าได้ประพฤติผิดศีลธรรมอีกเลย บาปกรรมมันตามทันตาเห็นเชียวละ ผมเข็ดแล้วครับ เข็ดจริง ๆ" อดีตนักเลงหญิงว่า
"เอาละ ๆ อาตมาขออนุโมทนาในกุศลจิตของโยมทั้งสองที่ยังอุตส่าห์ห่วงคนอื่น คนบางคนนะ เมื่อเขาประสบความหายนะ เขาก็อยากจะให้คนอื่นหายนะเช่นตัวบ้าง แต่โยมสองคนมีจิตใจดีจริง ๆ ขอกุศลจิตนี้ จงดลบันดาลให้ลูกสาวของโยมกลับคืนสู่อ้อมอกพ่อแม่โดยเร็วนะโยมนะ อาตมาขอเอาใจช่วย เอาละ ทีนี้ก็จะบอกวิธีที่จะเรียกลูกกลับบ้านภายในเจ็ดวัน โยมต้องมาเข้ากรรมฐานทั้งสองคน ประเดี๋ยวกลับไปจัดการลางานซะ ลามาเจ็ดวันเลย"
"ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือครับหลวงพ่อ" คนเป็นนายพลถามเพราะห่วงงาน
"ไม่มี วิธีนี้ดีที่สุด อาตมาไม่ชอบให้ของปลอมใคร อย่างอื่นเป็นของปลอม แต่กรรมฐานเป็นของแท้และไม่มีวิธีใดที่จะแก้ปัญหาได้ดีเท่ากับการมาเข้ากรรมฐาน เอาละ โยมทำตามี่อาตมาบอกก็แล้วกัน มาอยู่วัดเจ็ดวัน กลับไปบ้านได้พบลูกแน่นอน แล้วก็ต้องสัญญากับอาตมานะว่าอย่าไปด่าเขา อย่าไปพูดถึงอดีตของเขา เรื่องเก่าอย่าเอามารื้อฟื้น ให้พูดกับเขาดี ๆ แล้วก็พามาหาอาตมานะ พามาทั้งสามคนนั่นแหละ อาตมาจะให้เขาเรียนกรรมฐานก่อน จากนั้นก็จะให้เรียนมหาวิทยาลัย"
"คงเรียนไม่ได้มังครับหลวงพ่อ รู้สึกอายุจะเกินแล้ว" คนพูดหมายถึงเรียนมหาวิทยาลัย
"ได้สิ ก็มหาวิทยาลัยเปิดมีไม่ใช่หรือ อาตมาจะให้เขาเรียนมหาวิทยาลัยเปิด รับรองว่าต้องจบแน่นอน เพราะเขามีดวงการศึกษาดีทั้งสามคน และต่อไปก็จะมีงานมีการทำเป็นหลักเป็นฐาน แล้วก็ได้สามีดีทุกคน โยมทำที่อาตมาแนะนำก็แล้วกัน ขอให้เชื่ออาตมาเถอะ เชื่อประเทศไทยสักครั้ง เอาละ รีบกลับไปขออนุญาตลางานกันได้แล้ว อาตมาจะลงไปรับแขกข้างล่างละ วันนี้แขกมากันแน่นกุฏิเลย"
รายที่สามเป็นหญิงสาวหน้าตาคมคายละม้ายคล้ายแขก แล้วหล่อนก็เป็นแขกจริง ๆ เสียด้วย
"หลวงพ่อจำหนูได้หรือเปล่าคะ" หล่อนถาม
"เอ ก็คลับคล้ายคลับคลา แต่ยังนึกไม่ออก หนูเคยมาที่นี่บ่อยไหมจ๊ะ"
"เคยมาครั้งเดียวค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง หนูนำธูปเทียนแพมากราบหลวงพ่อค่ะ" พูดจบหล่อนก็ประเคนพานใส่ธูปเทียนแพ แล้วกราบสามครั้ง
"หนูเป็นอิสลามไม่เคยกราบพระ หลวงพ่อเป็นพระคนแรกและคนสุดท้ายที่หนูจะกราบ"
"ทำไมหรือหนู" ท่านเจ้าของกุฏิสงสัย
"ก็หลวงพ่อช่วยให้หนูหายทุกข์ ตอนมาคราวที่แล้วหนูกำลังมีความทุกข์เพราะถูกโกงค่าเช่าบ้าน หลวงพ่อก็ช่วยจนหนูสามารถใช้หนี้ใช้สินเขาหมดแล้ว หนูจึงต้องมากราบหลวงพ่อ" ท่านพระครูจึงนึกออกว่า หญิงสาวผู้นี้คือคนที่เจ้าหมีไปเข้าฝันนั่นเอง
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงรับแขกอยู่จนถึงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา จึงบอกให้พวกเขาไปรับประทานอาหาร ตัวท่านก็กำลังจะขึ้นข้างบนเพื่อฉันเพลเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากร่างกายทรุดโทรมเพราะการต่ออายุให้เถ้าแก่บ๊ก คนอื่น ๆ พากันลุกเดินออกไปยังโรงครัว ยกเว้นบุรุษวัยห้าสิบแปดที่มาขอให้ท่านพระครูช่วยตามเมีย
บุรุษสูงวัยใช้ความคิดอย่างหนัก คิดแล้วคิดเล่าเฝ้าแต่คิด "หลวงพ่อนี่ประหลาดคนพิลึก มีอย่างรึ แค่เรามาขอให้ช่วยตามแม่อีหนูให้หน่อย กลับจะมาให้เรากราบเมีย หนอยแน่ขนาดแม่เรายังไม่เคยกราบ เรื่องอะไรจะต้องไปกราบเมีย"
ครั้นนึกเห็นภาพที่ตนใช้ฝาโอ่งฟาดหัวคนเป็นเมียก็นึกสงสารจนน้ำตาไหล
"เป็นไงเป็นกันวะ" เขาตัดสินใจ "ถึงจะไม่เคยกราบแม่ แต่วันนี้จะกราบเมียละวะ" พอคิดตกก็ปรากฏว่าท่านพระครูเดินขึ้นข้างบนไปแล้ว
"ไอ้หนูช่วยเรียกหลวงพ่อให้ลุงทีเหอะ" เขาบอกนายขุนทอง
"อย่ากวนท่านเลยลุง ท่านกำลังไม่สบาย" ชายหนุ่มว่า
"งั้นก็ช่วยขึ้นไปบอกท่านทีว่าลุงยอมกราบแม่อีหนูเขาแล้ว ให้ท่านช่วยตามให้ด้วย"
"เดี๋ยวลุงพูดกับท่านเอาเองก็แล้วกัน รอให้ท่านลงมาเสียก่อน" บุรุษวัยใกล้หกสิบรู้สึกหงุดหงิด หากก็ปักหลักรอต่อไป ความจริงแล้วท่านเจ้าของกุฏิได้ยินที่เขาพูด แต่ท่านต้องการจะทรมานคนรังแกเมีย!




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 23:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8:
กิเลส ตัณหานี้ น่ารังเกียจจริงหนอ..

อนุโมทนาแล้วๆๆ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อมาถึงกุฏิ คุณหญิงปทุมทิพย์ไม่พบนายขุนทอง จึงถามถึงบุรุษวัยห้าสิบเศษ ที่นั่งอยู่เพียงผู้เดียวตรงหน้าอาสนะ
"ไปไหนกันหมด หลวงพ่ออยู่หรือเปล่า"
"อยู่ครับ ท่านอยู่ข้างบน กำลังฉันเพล" เขาตอบ
"งั้นช่วยขึ้นไปเรียนท่านด้วยว่า เสร็จแล้วให้ลงมาพบคุณหญิงปทุมทิพย์หน่อย" คน "ใหญ่ผิดที่" บัญชา
"คงไม่ได้หรอกครับ ผมเองก็ยังต้องนั่งรอท่านอยู่ที่นี่" เขาปฏิเสธ เมื่อไม่ได้ดังใจ คนเป็นคุณหญิงก็ "แว้ด"
"โอ๊ย ไม่รู้อะไรกันนักหนา ไปวัดไหน ๆ เจ้าอาวาสท่านก็รับรองอย่างดี ไม่เห็นจะเรื่องมากเหมือนเจ้าอาวาสวัดนี้เลย"
"ก็ไปวัดอื่นซีครับ" คนกำลังหงุดหงิดเพราะเมียหนีพูดแดกดัน
คุณหญิงหันมาค้อนแล้วว่า "ก็ไปมาแล้ว แต่มันไม่สำเร็จ"
ฉันเสร็จท่านพระครูรีบลงมารับแขก ด้วยไม่อยากให้ญาติโยมต้องรอนาน ท่านสั่งให้นายขุนทองไปตามภรรยาของบุรุษผู้นั้นมา แล้วจัดการตามที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้
บุรุษวัยใกล้หกสิบก้มลงกราบขอขมาคนเป็นเมียต่อหน้าท่านพระครูและคุณหญิงปทุมทิพย์ ปลอบใจตัวเองว่า "ก็ยังดีกว่ากราบต่อหน้าคนทั้งกุฏิแหละวะ" จากนั้นจึงพากันกลับบ้าน
ผู้มีความทุกข์ทั้งหลาย เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้วก็พากันเดินกลับมาที่กุฏิ แล้วก็เลยต้องต่อคิวคุณหญิงผู้ซึ่งกำลังคุยอยู่กับท่านเจ้าอาวาส
"คุณหญิงจะอยากรู้ไปทำไม" ท่านพระครูถาม เมื่อคุณหญิงปทุมทิพย์บอกจุดประสงค์ของการมาพบท่าน
"ดิฉันจะได้ไปเยี่ยมเขาค่ะ เยี่ยมทั้งแม่ทั้งลูก" เธอไม่บอกความจริง
"แล้วก็เอาน้ำกรดใส่กระเป๋าถือไปฝากด้วยใช่ไหม ขวดน้ำกรดที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าถือของคุณหญิงน่ะ" ท่านพระครูเห็นเพราะ "เห็นหนอ" บอก
"ทำไมหลวงพ่อทราบคะ ดิฉันอุตส่าห์ซ่อนมาอย่างดี ดิฉันเจ็บใจค่ะ" คราวนี้เธอร้องไห้เพราะความคับแค้นใจ
"แล้วการทำอย่างนั้นจะช่วยให้คุณหญิงหายเจ็บใจหรือ" คนเป็นคุณหญิงไม่ต่อบ ได้แต่ก้มหน้าร้องไห้กระซิก ๆ
"อาตมาขอบิณฑบาตเถิดนะ อย่างได้สร้างเวรสร้างกรรมให้ตัวเองอีกเลย ที่คุณหญิงต้องมาเป็นเช่นนี้ก็เพราะกรรมเก่านะ ขอให้นึกเสียว่ากำลังใช้กรรม อาตมาสอนญาติโยมเสมอ ๆ ว่า "กรรมเก่าให้รีบใช้ กรรมใหม่อย่าไปสร้าง" คุณหญิงเชื่ออาตมาเถิดนะ"
"ดิฉันทำกรรมอะไรไว้หรือคะหลวงพ่อ ถึงต้องมาเป็นเช่นนี้ ก่อนที่จะมาแต่งงานกับรัฐมนตรี ดิฉันก็เคยมีสามีมาก่อน แล้วก็ถูกเพื่อนแย่งไป" ถามทั้งน้ำตา
"ถ้าคิดตามหลักของเหตุผลก็ต้องว่า เพราะคุณหญิงเคยไปแย่งของคนอื่นเขา ถ้าชาตินี้ไม่ได้ทำก็แสดงว่าต้องเคยทำมาแต่ครั้งอดีตชาติ แล้วกรรมนั้นมันติดตัวมาเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ อาตมาวิจัยไว้แล้วว่า ใครก็ตามที่ผิดศีลข้อสาม และบาปนั้นติดตัวมาเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ รับรองได้ว่ามีสามี สามีก็ต้องมีเมียน้อย มีภรรยา ภรรยาก็มีชู้ และถ้ามาในชาตินี้ยังเลิกไม่ได้ บาปกรรมก็จะไปตกกับลูกหลาน มีตัวอย่างแล้ว เพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง สามีเป็นพลตรี ภรรยาเป็นพันโท มีลูกสาวสามคน ไปเป็นโสเภณีหมด เพราะพ่อเจ้าชู้ ลูกก็เลยต้องรับกรรม มาร้องไห้กับอาตมาทั้งผัวและเมีย เพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่ อาตมาสั่งให้มาเข้ากรรมฐานเพื่อแก้กรรม ให้มาทั้งคู่เลย ไม่งั้นช่วยลูกให้เลิกอาชีพโสเภณีไม่ได้"
"แล้วรายของดิฉันล่ะคะ ทำยังไงเขาถึงจะเลิกกัน" เธอถามอย่างสนใจ
"ไม่ต้องทำอะไร เขาก็ต้องเลิกกันอยู่ดีนั่นแหละคุณหญิง ผู้หญิงอายุ ๑๖ ผู้ชายอายุ ๖๑ จะอยู่กันไปได้สักกี่น้ำ คุณหญิงไม่ต้องไปทำอะไรเขาหรอก ถ้าจะให้ดีก็สวดมนต์แผ่เมตตาให้เขามีความสุขความเจริญกัน" คุณหญิงปทุมทิพย์รีบค้านว่า
"ดิฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ มันฝืนกับความรู้สึกที่แท้จริง"
"ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ แต่อาตมาขอเตือนนะ อย่าไปทำร้ายเขาอย่างที่คิด ใคร ๆ ก็มีกรรมด้วยกันทั้งนั้น อาตมาเห็นกฎแห่งกรรมของท่านรัฐมนตรีแล้ว อีกห้าปีคุณหญิงก็จะรู้อย่างที่อาตมารู้และเห็นอย่างที่อาตมาเห็น ไปจดไว้ได้เลยนะว่าปี ๒๕๒๒ จะเกิดอะไรขึ้นกับท่านรัฐมนตรี และคุณหญิงก็จะต้องทนทรมานไปอีกสามปี จนถึงปี ๒๕๒๕ จึงจะหมดกรรม นี่เฉพาะกรรมเก่านะ ถ้าคุณหญิงจะสร้างกรรมใหม่อีกก็เชิญ แล้วอย่ามาหาว่าอาตมาไม่เตือนก็แล้วกัน"
"แต่ดิฉันเกลียดมันค่ะหลวงพ่อ ดิฉันเกลียดนังเด็กนั่น เกลียดลูกของมันด้วย"
"คุณหญิงเคยเห็นลูกเขาแล้วหรือถึงได้เกลียด"
"ยังไม่เคยค่ะ ตัวแม่มันดิฉันก็ยังไม่เคยเห็น"
"แล้วทำไมต้องไปเกลียดล่ะ เอาเถอะ ต่อไปข้างหน้าคุณหญิงจะรักเด็กคนนี้ จำคำของอาตมาไว้ก็แล้วกันว่า คุณหญิงจะรักลูกของเขา"
"เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ใครจะไปรักลูกของศัตรู" เธอเถียง
"รักหรือไม่รักก็คอยดูไปก็แล้วกัน อาตมาจะไม่เถียงกับคุณหญิงหรอก เถียงไปก็เปล่าประโยชน์ รอให้เวลานั้นมาถึงค่อยพูดกันใหม่"
"ตกลงหลวงพ่อจะไม่บอกดิฉันจริง ๆ หรือคะว่ามันอยู่โรงพยาบาลอะไร"
"บอกไม่ได้หรอกคุณหญิง ไว้คุณหญิงหายโกรธแค้น หายอาฆาตเขาเสียก่อน แล้วอาตมาจะบอก ตกลงไหม"
"ตกลงค่ะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันเลิกโกรธแค้น เลิกอาฆาตพยาบาทก็ได้ หลวงพ่อกรุณาบอกดิฉันเถิดค่ะ" เธออ้อนวอน
"อาตมาก็ขอยืนยันอยู่อย่างเดิมว่าบอกไม่ได้ เพราะคุณหญิงเลิกแต่ปาก ส่วนใจนั้นยังโกรธยังอาฆาตเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่ามาพูดปดกับอาตมาเลย อาตมารู้ทั้งนั้นแหละ เรื่องอย่างนี้ใครจะมาโกหกอาตมาไม่ได้
เอาอย่างนี้นะ อาตมาจะยกตัวอย่างโทษของความโกรธ ความริษยาอาฆาตให้คุณหญิงฟังสักเรื่อง เล่าย่อ ๆ นะ คือเรื่องของเจ้าหญิงโรหิณี ซึ่งเป็นขนิษฐาของ พระอนุรุทธเถระ และเป็นพระญาติของพระพุทธองค์
หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จเทศนาโปรดพระพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ได้เสด็จมายังกรุง กบิลพัสดุ์ เพื่อโปรดพระพุทธบิดาเป็นครังที่สอง พระอนุรุทธเถระก็ตามเสด็จด้วย บรรดาพระประยูรญาติต่งพากันมาเข้าเฝ้า ยกเว้นเจ้าหญิงโรหิณีผู้ซึ่งเป็นโรคผิวหนังพุพองทั่วพระวรกาย ดุน่าเกลียดมาก จึงไม่ยอมมาเข้าเฝ้า พระอนุรุทธเถระจึงเสด็จไปยังพระตำหนักของพระขนิษฐา
เจ้าหญิงโรหิณีกราบทูลพระเชษฐาถึงสาเหตุที่ไม่ยอมไปเข้าเฝ้า และทูลถามว่าพระนางเคยทำกรรมอะไรไว้จึงได้มีร่างกายพุพองน่าเกลียดเช่นนี้ พระอนุรุทธเถระ ตรัสเล่าปุพพกรรมแต่ครั้งอดีตชาติให้พระขนิษฐาฟังว่า
สมัยหนึ่งพระนางได้เกิดเป็นพระมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต แห่งเมืองพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตมีพระสนมหลายคน คนหนี่งเป็นนางรำรูปร่างหน้าตาสวยงามจึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพรหมทัตมากกว่าใคร ๆ พระมเหสีมีจิตริษยาในนางรำผู้นั้น วันหนึ่งจึงแอบนำผงเต่าร้างไปโรยไว้ในกระปุกใส่แป้งของนาง คุณหญิงรู้จัดผงเต่าร้างหรือเปล่า" ท่านเจ้าของกุฏิถามคนเป็นคุณหญิง
"ไม่ทราบค่ะ" เธอตอบ
"หมามุ่ยใช่ไหมคะหลวงพ่อ" สตรีผู้หนึ่งตอบและถามในประโยคเดียวกัน
"ถูกแล้ว คุณหญิงรู้จักหมามุ่ยหรือเปล่า" คุณหญิงปทุมทิพย์ถูกถามอีก
"ทราบค่ะ เห็นเขาว่าคันอย่าบอกใคร"
"นั่นแหละ ๆ พระมเหสีก็เอาผงเต่าร้างไปโรยไว้ในกระปุกแป้งของนางรำเพราะความริษยา เมื่อนางทาแป้งก็เกิดอาการคันและมีตุ่มผื่นคันพุพองทั่วร่าง ทำให้ได้รับทุกขเวทนาเป็นอันมาก จากผลกรรมนั้นทำให้เจ้าหญิงโรหิณีต้องมาเป็นโรคผิวหนัง ญาติโยมอย่าลืมนะว่าโรคกรรมนั้นไม่มีหมอที่ไหนรักษาได้ เหมือนอย่างเจ้าหญิงโรหิณีที่แพทย์หลวง กี่คน ๆ ก็ไม่สามารถรักษาได้ เมื่อพระนางได้ทราบกรรมครั้งอดีตชาติแล้ว จึงทูลถามพระอนุรุทธเถระว่าจะแก้กรรมได้อย่างไร"
"ต้องเข้ากรรมฐานใช่ไหมครับ" บุรุษผู้หนึ่งตอบ มาวัดนี้ท่านสมภารพูดแต่เรื่องกรรมฐาน ๆ ใครจะแก้กรรมก็ต้องมาเข้ากรรมฐาน
ท่านพระครูยิ้มด้วยนึกขำในคำตอบของบุรุษนั้น จึงสัพยอกเขาว่า
"ถ้าเจ้าหญิงโรหิณีมาที่วัดนี้ อาตมาก็คงจะต้องให้เข้ากรรมฐาน แต่บังเอิญพระนางไม่ได้มา"
"แล้วพระอนุรุทธเถระท่านทรงแนะนำให้พระขนิษฐาทำอย่างไรเพคะ" คุณหญิงถาม ผู้ที่นั่งฟังพากันหัวเราะคำถามของคนเป็นคุณหญิงซึ่งลงท้ายด้วย "เพคะ" ท่านเจ้าของกุฏิเองก็ขำ
"ท่านทรงแนะนำให้พระขนิษฐาขายเครื่องประดับทั้งหมดที่มีอยู่ แล้วนำทรัพย์ที่ได้ไปสร้างเป็นศาลาที่พักพระภิกษุที่เดินทางไกลผ่านมายังเมืองนี้ ให้ท่านได้รับความสะดวกมีทั้งที่พักและอาหาร ในยามค่ำคืนก็จุดประทีปโคมไฟให้แสงสว่างแก่ท่าน เจ้าหญิงโรหิณีทรงทำตามคำแนะนำของพระเชษฐา แผลพุพองนั้นก็ค่อย ๆ หายไป ๆ จนในที่สุดพระนางก็มีผิวพรรณผุดผ่องสวยงามเหมือนแต่ก่อน และในเวลาต่อมาก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบัน"
เล่าจบ ท่านเจ้าของกุฏิจึงถามคนเป็นคุณหญิงว่า "คุณหญิงเห็นโทษของความอาฆาตพยาบาทหรือยัง นี่ขนาดเอาผงเต่าร้างใส่ลงไปในแป้งก็ยังต้องมาเป็นโรคผิวหนังพุพองน่าเกลียด แล้วถ้าเอาน้ำกรดไปสาดเขา จะต้องรับกรรมสาหัสสากรรจ์สักเพียงใด อาตมาถึงต้องขอบิณฑบาตไงล่ะ"
"ตกลงค่ะ ดิฉันยกให้ ที่หลวงพ่อขอบิณฑบาต ดิฉันยินดียกให้" พูดจบก็เปิดกระเป๋าถือหยิบขวดน้ำกรดซึ่งห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลอย่างมิดชิดวางไว้บนอาสนะ กราบสามครั้งจึงรีบลุกออกไป ด้วยรู้สึกอับอายขายหน้าเหลือเกินแล้ว
"หลวงพ่อครับผมขอความกรุณาช่วยเปลี่ยนชื่อและนามสกุลให้ผมใหม่ด้วยครับ" ทหารยศพันเอกพูดขึ้น
"เปลี่ยนทำไมเล่า ชื่อเก่าก็ดีอยู่แล้ว พ่อแม่ตังให้ไม่ต้องเปลี่ยน ยิ่งนามสกุลด้วยแล้วห้ามเปลี่ยนเด็ดขาด คนเราจะดีจะเลวไม่ได้อยู่ที่ชื่อ แต่อยู่ที่การกระทำ ใครมาขอเปลี่ยนชื่อ อาตมาไม่เคยเปลี่ยนให้สักราย
บางคนเขาเชื่อหมอดู บอกหมอดูให้เปลี่ยน เพราะชื่อเดิมเป็นกาลกิณี เขาว่าคนเกิดวันจันทร์ ชือจะต้องไม่มีสระเพราะจะเป็นกาลกิณี อาตมาก็บอกไม่ต้องเปลี่ยน แล้วก็ยกตัวอย่างให้ฟังว่า คนชื่อรวยแต่จนก็มี คนที่ชื่อสวยแต่ขี้เหร่ก็มี นี่ที่วัดนี้ มีคนเขามาบอกอาตมาว่าพรุ่งนี้จะพาลูกสาวชื่อสวยมากราบอาตมา ตอนนั้นอาตมาก็ยังหนุ่ม อายุซักยี่สิบกว่า ๆ โอ้โฮ คืนนั้นนอนไม่หลับเลย นึกถึงแต่หน้าแม่คนที่ชื่อสวย แล้วก็วาดภาพไว้ว่าคงจะสวยหยาดเยิ้มเหมือนเพชรา พอรุ่งเช้าเขาก็มา..."
"สวยไหมคะหลวงพ่อ" สตรีผู้หนึ่งกระเซ้า ท่านตอบว่า
"สวยซี โอ้โฮ แม่สวยคนนี้สวยจริง ๆ แต่สวยน่าเกลียดพิลึก ตัวดำ ตาตี่ แถมฟันยื่น อาตมาจะเป็นลมเสียให้ได้ นี่ถ้าอาตมาเชื่อหมอดูก็คงจะแนะนำแม่เขาให้เปลี่ยนชื่อลูกสาวเสียใหม่แล้วละ"
"เปลี่ยนเป็นอะไรคะ" สตรีคนเดิมกระเซ้าอีก
"เปลี่ยนเป็น "สวยน่าเกลียด" อีกรายนะ รายนี้เป็นผู้ชาย มาแบบเดียวกัน อายุจะหกสิบแล้วมาบอก "หลวงพ่อช่วยเปลี่ยนชื่อให้ผมหน่อย เมียด่าไม่พักเลย หมอดูเขาบอกถ้าเปลี่ยนชื่อใหม่เมียจะเลิกด่า" อาตมาก็ถามว่าใครตั้งชื่อให้ล่ะ เขาบอกพ่อตั้งให้ แต่พ่อตายไปแล้ว รับรองว่าแกไม่รู้ว่าผมไม่ใช้ชื่อที่แกตั้ง
อาตมาก็ทักว่าอย่าเปลี่ยนเลย ถ้าเปลี่ยนรับรองเมียด่าคูณสอง ที่เคยด่าวันละสามชั่วโมงก็จะเพิ่มเป็นวันละหก เขาก็โกรธอาตมา เลยไปหาพระวัดอื่นเปลี่ยนให้ หลวงพ่อวัดนั้นก็ว่าต้องเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์ ชื่อบุญช่วยเป็นกาลกิณี ต้องเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์ รับรองผู้หญิงรัก เมียก็จะเลิกด่า แกก็เลยไปเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์ เสร็จแล้วกลับมาเล่าให้อาตมาฟังว่า
"หลวงพ่อ จริงอย่างที่หลวงพ่อพูด เมียผมด่าสามวันสามคืนเลย บอก ไอ้โง่ ชื่อบุญช่วยก็ดีอยู่แล้ว เสือกไปเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์สมบ้าอะไรก็ไม่รู้" นี่เห็นไหม อยากไม่เชื่ออาตมา" คนฟังพากันหัวเราะครื้นเครง เพราะขำในเรื่องที่ท่านเล่า
"แต่ของผมมันไม่เหมือนกับที่หลวงพ่อเล่านะครับ" นายพันว่า
"ไม่เหมือนยังไงล่ะผู้พัน"
"คือตัวผมเองไม่อยากเปลี่ยน แล้วผมก็เป็นคนไม่เชื่อหมอดู เมียก็ไม่ด่าผม แต่ที่ผมอยากเปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุล เพราะผมติดแหง่กอยู่แค่พันเอกพิเศษมาหลายปีแล้ว ขอเลื่อนขึ้นเป็นนายพล พอนายเขาเห็นชื่อก็ฉีกทิ้งทุกที เขาว่าผมปากเสีย ก็ผมมันคนตรง นายทำมิดีมิชอบ เช่นฉ้อราษฎร์บังหลวง ร่วมมือกับพวกพ่อค้าตัดไม้ทำลายป่า ผมก็ว่าเอาไม่เกรงใจ เขาก็เลยว่าผมปากเสีย แล้วก็ไม่ยอมเลื่อนให้ผมเป็นนายพล ทั้งที่ผลงานผมมีมาก ผมก็เลยจะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลเสียใหม่เพื่อตบตานาย ได้เป็นนายพลเมื่อไหร่จะเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมนามสกุลเดิมทันที หลวงพ่อกรุณาเปลี่ยนให้ผมด้วยเถิดครับ"
"ตกลง ตกลง กรณีนี้อนุโลมได้ เอาละ เดี๋ยวอาตมาจะเปลี่ยนให้แจ๋วไปเลย แล้วก็จะเสกให้ด้วย รับรองผู้พันได้เป็นนายพลแน่ อาตมารับรองพันเปอร์เซ็นต์"
"ขอบพระคุณครับ ได้เป็นนายพลเมื่อไหร่ ผมแก้แค้นไอ้นายเฮงซวยคนนี้แน่ ๆ ผมมันคนตรงครับ ใครดีก็ว่าดี ใครชั่วก็ว่าชั่ว ไม่เหมือนไอ้พวกที่ชอบเลียแข้งเลียขา นายเลวยังไงมันก็ยกยอว่าดี นายมีเมียน้อยไปแย่งเมียชาวบ้านมา มันก็ยกย่องเมียน้อยนาย
บางคนก็ถึงกับเกาะชายกระโปรงเมียน้อยนายขึ้นมาเป็นนายพันนายพล แต่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ มันละอายใจ แล้วผมก็ว่าด้วย ไม่กลัวใครทั้งนั้น นายเขาก็เลยไม่ชอบผม แล้วก็หาว่าผมปากหมา" คนเล่าหยุดหายใจ ท่านพระครูหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง เขียนชื่อและนามสกุลให้เขาใหม่ แล้วพับใส่ซองหลับตาทำปากขมุบขมิบ เป่าเพี้ยง ๆ สองครั้งแล้วส่งให้นายพันเอกพิเศษ
"เอ้า รับรองชื่อนี้ได้เป็นนายพลแน่ แล้วอย่าลืมเปลี่ยนกลับเสียเล่า กลับมาใช้ชื่อเดิมที่พ่อแม่ตั้งให้"
"ครับ ผมขอกราบของพระคุณมากครับ โอกาสนี้ผมขอถวายปัจจัยแด่หลวงพ่อไว้สำหรับใช้สอยส่วนตัว" เขาประเคนซองสีขาวแก่ท่าน
"อ้อ ค่าจ้างเปลี่ยนชื่อหรือ" ท่านถามยิ้ม ๆ
"หามิได้ครับ ผมตั้งใจจะทำบุญอยู่แล้วครับ" เขากราบสามครั้งแล้วจึงลุกออกไป
"หลวงพ่อคะ ก็ไหนหลวงพ่อเคยพูดว่าไม่ชอบทางเสกเป่า แล้วทำไมวันนี้ หลวงพ่อทั้งเสกทั้งเป่าให้ผู้พันคนนั้นล่ะคะ" สตรีผู้หนึ่งทักท้วง
"มันจำเป็นน่ะโยม กฎทุกกฎก็ยังต้องมีข้อยกเว้น แล้วทำไมกฎของอาตมาจะมีข้อยกเว้นบ้างไม่ได้ คืออย่างนี้นะโยม ใครที่มีทุนเดิมอยู่หกสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว อาตมาถึงจะช่วย ไม่ใช่ช่วยสุ่มสี่สุ่มห้า อย่างรายนี้เขาต้องได้เป็นนายพลแน่ ๆ อยู่แล้ว อาตมาก็เลยช่วยลุ้นเขาหน่อย เอาละ ใครมีอะไรก็ว่าไป
เวลาสามทุ่ม แขกคนสุดท้ายลุกออกไปแล้ว หากท่านพระครูยังไม่ยอมลุกจากอาสนะ นายสมชายจึงถามว่า "หลวงพ่อเหนื่อยจนลุกไม่ไหวหรือเปล่าครับ ผมจะช่วยประคองขึ้นไปข้างบนนะครับ"
"ไม่ต้องหรอก แขกกำลังจะมาอีกรายนึง เจ้าหมีมันวิ่งออกไปรับถึงหน้าประตูวัดแน่ะ" ท่าน "เห็น"
"เป็นไปได้หรือครับ ก็เจ้าหมีมันไม่เคยเป็นมิตรกับใคร ทำไมเกิดจะไปญาติดีกับรายนี้"
"ก็เหลนมัน มันมีศักดิ์เป็นปู่ทวดของแขกรายนี้ เห็นไหม พอเขาลงจากรถ มันก็เข้าไปเลียแข้งเลียขา เลียหมดทุกคน ทั้งลูก ๆ เขาด้วย"
"ผมไม่เห็นหรอกครับ เพราะผมมองทะลุฝาอย่างหลวงพ่อไม่ได้" ชายหนุ่มว่า
"ถ้าอยากทำได้ก็ต้องหมั่นปฏิบัติกรรมฐาน"
"ผมว่าผมอยู่อย่างนี้ดีแล้วครับ ขืนเก่งเหมือนหลวงพ่อ ผมคงทนไม่ได้ ทำงานทั้งวันทั้งคืน แถมได้นอนวันละแค่สองชั่วโมง" พอดีกับเจ้าหมีนำ "อาคันตุกะ" เข้ามาในกุฏิ เป็นชายวัยสามสิบเศษ มากับภรรยาวัยเดียวกัน พ่วงท้ายด้วยบุตรชายหญิงวัยไล่เลี่ยกันถึงห้าคน
"หลวงพ่อครับ ผมต้องขอโทษที่มารบกวนในยามวิกาล"
"โยมมาจากไหนล่ะ" ท่านถามเหลนเจ้าหมี คนเป็นปู่ทวดส่งเสียงงี้ดง้าด แล้วก็เดินเลียลูกของเหลนอย่างรักใคร่จนครบทั้งห้าคน
"ผมมาจากภูเก็ตครับ ทำเหมืองแร่อยู่ที่นั่น ผมกำลังจะพาครอบครัวไปเที่ยวเชียงใหม่ เพื่อนเขาสั่งมาว่า ให้แวะกราบหลวงพ่อที่วัดป่ามะม่วงให้ได้ เขาบอกว่าพอถึง ก.ม.ที่ ๑๓๐ ก็ให้เลี้ยวรถเข้าไป เขาพูดถึงหลวงพ่อให้ผมฟังบ่อย ๆ จนผมอยากจะมารู้จักหลวงพ่อ เพื่อนผมเขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ เขาชื่อจรินทร์ครับ"
"อ้อ โยมจรินทร์นั่นเอง แล้วโยมทานอาหารกันมาแล้วหรือยัง หิวหรือเปล่า"
"เรียบร้อยแล้วครับ หลวงพ่อครับ ผมขอถวายปัจจัยร่วมทำบุญกับหลวงพ่อครับ ถ้ามีนักเรียนยากจนขัดสน หลวงพ่อกรุณานำเงินจำนวนนี้ไปมอบเป็นทุนการศึกษาแก่เขาด้วย ผมขอถวายหนึ่งหมื่นบาทครับ" เขาประเคนซองสีขาวแด่ท่านเจ้าของกุฏิ
"อาตมาขออนุโมทนาในกุศลจิตของโยมและครอบครัว ตกลงอาตมาจะจัดการให้ตามความประสงค์ และจะตั้งชื่อทุนนี้ว่า "ทุนเสริมสมอง" ถ้าใครจะมาสมทบอีก อาตมาก็จะได้ตั้งเป็นมูลนิธิ การช่วยให้คนยากจนได้เรียนหนังสือ จะทำให้ได้อานิสงส์คือลูกหลานของเราก็จะเรียนหนังสือเก่งและได้เป็นเจ้าคนนายคน อาตมาขออนุโมทนา"
เมื่อเขาลากลับ เจ้าหมีก็กุลีกุจอไปส่งถึงรถ เลียแข้งเลียขาเหลนและลูก ๆ ของเหลน และวิ่งตามรถเบ๊นซ์คันนั้นไปจนถึงประตูหน้าวัด แล้วก็มิได้กลับเข้ามานอนที่กุฏิชั้นล่างเหมือนดังแต่ก่อน ท่านพระครู "รู้" ว่ามันจะลาโลกนี้ไปในวันรุ่งขึ้น เพราะหมดห่วงแล้ว เหลนของมันได้มาทำบุญที่วัดป่ามะม่วงตามที่มันคาดหวังและรอคอยมานาน
รุ่งเช้า หญิงชราที่เข้ามาปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในวัดป่ามะม่วงได้มาเล่าให้ท่านพระครูฟังว่า พบเจ้าหมีนอนหายใจระทดระทวยอยู่หน้ากุฏิกรรมฐาน จึงเรียกคนมาช่วยกันอุ้มมันไปอาบน้ำถูสบู่จนสะอาดสะอ้าน แล้วปูผ้าขาวให้มันนอน มันก็นอนตายอย่างสงบ เมื่อเวลาประมาณ ๙ นาฬิกา
ท่านพระครูรับทราบแล้วจึงให้นายสมชายไปนิมนต์เณร ๔ รูปมาบังสุกุลให้มันพร้อมกับนำเงินใส่ซองถวายเณรไปรูปละ ๕๐ บาท
บังสุกุลแล้ว นายสมชายก็จัดการขุดหลุมฝังศพเจ้าหมีไว้ที่ใต้ต้นปีบ เจ้าโฮมกับเจ้าขาวมาร่วมงานฝังศพพี่ชายของมันด้วย แต่มิได้ร้องไห้ คนที่ร้องไห้จะเป็นจะตายก็คือนายขุนทอง!
ก่อนเข้าสู่พิธีมงคลสมรสซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๘ นายสมชายก็เข้ากรรมฐานเป็นเวลา ๑๕ วัน ตามที่ได้สัญญาไว้กับท่านพระครู ชายหนุ่มตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อจะให้ได้บุญเท่ากับบวชหนึ่งพรรษา
ในวันสุดท้ายของการปฏิบัติ เขารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจนัก กลอนบทหนึ่งผุดขึ้นในความคิดและเขาก็จำได้แม่นยำทุกตัวอักษร
โลกวุ่นนักขัดข้องลองมานี่
เพราะเรามีธัมมะจะให้ท่าน
ป่ามะม่วงร่มเย็นให้เป็นทาน
อย่าได้ผ่านไปเปล่าเชิญเข้ามา
เมื่อตนได้ลิ้มรสแห่งความสุขอันเกิดจากความสงบแล้ว จึงอยากให้คนเป็นคู่หมั้นได้มาสัมผัสกับสภาวะเช่นนี้บ้าง จึงไปเรียนปรึกษาท่านพระครู เพื่อขออนุญาต เพราะเหลือเวลาอีกตั้ง ๒๐ วัน กว่าจะถึงวันแต่งงาน
"เป็นความคิดที่ดีทีเดียว ฉันอยากให้คู่สมรสทุกคู่เขาคิดอย่างเธอ เพราะจะทำให้ชีวิตแต่งงานเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยต่างฝ่ายต่างก็มีธรรมเสมอกัน" ท่านพระครูเห็นดีเห็นงามไปด้วย
"ให้เขาเข้าสักเจ็ดวันก็พอนะครับหลวงพ่อ เวลาที่เหลือจะได้เอาไว้เตรียมงาน" ชายหนุ่มออกความเห็น
"ก็ได้ เจ็ดวันก็ได้ ตามใจเขาก็แล้วกัน"
"แล้วผมจะรวยไหมครับหลวงพ่อ พากันมาเข้ากรรมฐานแล้วจะรวยอย่างทิดจ่อยกับพี่จุกเขาหรือเปล่า"
"แน่นอน ถึงไม่รวยโภคทรัพย์ ก็รวยอริยทรัพย์ หรือไม่ก็รวยทั้งสองอย่าง"
"อริยทรัพย์คืออะไรครับ" ชายหนุ่มไม่เข้าใจ
"คือทรัพย์อันประเสริฐ ทรัพย์ในที่นี้ก็คือคุณธรรมประจำใจอย่างประเสริฐ ๗ ประการ ได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ และ ปัญญา" ท่านพระครูอธิบาย ครั้นเห็นคนเป็นศิษย์ทำหน้าไม่เข้าใจ จึงขยายความต่อไปอีกว่า
"อริยทรัพย์เป็นทรัพย์ที่อยู่ภายในจิตใจ จึงดีกว่าทรัพย์ภายนอก เพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิง ทั้งยังไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่าง ๆ ทำใจให้ไม่อ้างว้างยากจน และเป็นทุนสร้างทรัพย์ภายนอกได้ด้วย"
"แต่ผมคิดว่าทรัพย์ภายนอกดีกว่านะครับ เพราะใช้ซื้ออะไรต่อมิอะไรที่ต้องการได้" ชายหนุ่มแย้ง
"เธอมันก็เป็นเสียอย่างนี้ ชอบตะแบงอยู่เรื่อย ๆ ฉันไม่อยากพูดกับเธอแล้ว พูดไปก็เหมือนเป่าปี่ให้ความฟัง" ท่านพระครูเปรียบเทียบค่อนข้างรุนแรง
"โธ่หลวงพ่อ อยู่ดีไม่ว่าดี มาด่าผมว่าเป็นความซะแล้ว คนอย่างผมออกฉลาดปราดเปรื่อง" ศิษย์วัดโวยวาย
"ใช่ซี คนอย่างเธอน่ะฉลาด แต่ฉลาดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ส่วนเรื่องที่เป็นเรื่องกลับไม่ฉลาด" ท่านหลีกเลี่ยงไม่ใช่คำว่า "โง่"
"ทำไมจะไม่เป็นเรื่องเล่าครับ หลวงพ่อให้ผมเข้ากรรมฐาน ผมก็เข้าแล้ว แถมยังจะให้คู่หมั้นมาเข้าอีกด้วย แล้วอย่างนี้ไม่ฉลาดหรือครับ นี่ผมชักน้อยใจแล้วนะ หลวงพ่อไม่เคยเห็นความดีของผมเลย" คนพูดรู้สึกน้อยใจจริงดังวาจา
"เข้าเค้าแล้ว" ท่านเจ้าของกุฏิพูดยิ้ม ๆ
"มีอะไรอีกหรือครับ" ถามงง ๆ
"เธอเคยได้ยินคนเขาพูดกันไหมว่า คนหัวล้านมักใจน้อย แสดงว่าใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว"
"เถอะครับ อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิด ผมไม่อยากจะคิดมากแล้ว" ชายหนุ่มพูดปลง ๆ
"ดี คิดอย่างนั้นได้ก็ดี จะได้ไม่มีทุกข์ ว่าแต่ว่าเรามาพูดเป็นงานเป็นการกันดีกว่า ฉันคิดว่าหลังจากเธอแต่งงานแล้ว เธอก็ต้องย้ายไปอยู่บ้านผู้หญิงเขา แล้วฉันก็จะต้องหาคนมาอยู่รับใช้แทนเธอ เจ้าขุนทองคนเดียวมันคงไม่ไหว แล้วฉันก็ไม่ค่อยจะไว้วางใจมันสักเท่าไหร่ เจ้านี่มันคุ้มดีคุ้มร้าย เอาแน่ไม่ได้ เธอคิดจะไปหางานอื่นทำหรือว่าจะยังมาขับรถให้ฉันล่ะ พูดมาตรง ๆ เลยไม่ต้องเกรงใจ"
"ผมจะมารับใช้หลวงพ่อเหมือนเดิมครับ แต่ขอมาเช้าเย็นกลับ หรือถ้าวันไหนหลวงพ่อจะต้องไปธุระตั้งแต่ตีสี่ ผมก็จะมานอนที่วัด รับรองว่าไม่ให้บกพร่องในหน้าที่เลยครับ" ชายหนุ่มให้คำมั่นสัญญา
"ดีแล้ว ขอบใจที่ยังเป็นห่วง แล้วฉันก็จะขึ้นเงินเดือนให้เธอจากเดือนละพันเป็นเดือนละพันสอง พอใจไหม"
"เป็นพระคุณอย่างสูงครับ ว่าแต่ว่าหลวงพ่อจะให้ใครมาอยู่แทนผมครับ" เขาถาม
"ฉันก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกัน เธอพอจะมองเห็นใครที่จะเข้ากับเจ้าขุนทองได้บ้าง คือมาอยู่แล้วจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันให้ฉันต้องปวดหัวน่ะ" ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งจึงตอบว่า
"เจ้าสมชาติน้องชายผมซีครับหลวงพ่อ เจ้าหมอนี่มันใจเย็นแล้วก็ไม่ขัดใจใคร เจ้าขุนทองต้องชอบแน่ ๆ เลย"
"แล้วตอนนี้เขาทำงานอะไร เธอคิดว่าเขาจะมาอยู่กับฉันหรือ"
"มาแน่ครับ เจ้านี่มันเชื่อผม แล้วมันก็เคยบ่นว่าขี้เกียจทำนา คงไม่มีปัญหารับ เรื่องนี้ผมจะจัดการให้เรียบร้อย" ศิษย์วัดรับคำแข็งขัน
"งั้นก็รีบไปจัดการเสียเลย ให้มาวันนี้พรุ่งนี้ได้ยิ่งดี"
แล้ววันสำคัญที่สุดในชีวิตของนายสมชายก็มาถึง เป็นวันที่เขาแต่งตัวอย่างหล่อเหลาที่สุด และเจ้าสาวของเขาก็สวยสะดุดตากว่าทุกวัน
แขกเหรื่อพากันมาร่วมงานอย่างคับคั่ง และส่วนมากก็เป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านพระครู โดยเฉพาะเถ้าแก่บ๊กนั้น "รับไหว้" คู่บ่าวสาวเป็นเงินถึงหนึ่งหมื่นบาท
เมื่อหายจากโรคร้าย บุรุษนั้นไม่ลืมวาจาที่เคยพูดไว้ ว่าจะให้เทวดาที่ต่ออายุให้ โดยคิดเฉลี่ยปีละหมื่นและเพราะเห็นว่านายสมชายมีบุญคุณ นำยามาให้อย่างสม่ำเสมอ จึงตั้งใจจะช่วยเหลือเขาจนสุดความสามารถ
หลังจากปฏิบัติกรรมฐานอยู่ที่วัดป่ามะม่วงครบสามเดือนแล้ว ชายชราจึงกลับบ้าน และนำเงินมาถวายท่านพระครูห้าหมื่นบาท เพื่อสมทบทุนสร้างหอประชุม และทุนเสริมสมอง รายการละสองหมื่นบาท ส่วนอีกหนึ่งหมื่นบาทเขาถวายท่านพระครูไว้สำหรับใช้จ่ายส่วนตัว ซึ่งเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็ได้นำเงินจำนวนนั้นมา "รับไหว้" คนเป็นศิษย์
เพียงสองรายแรก คู่บ่าวสาวก็ได้เงินก้นถุงเป็นจำนวนถึงสองหมื่นบาท แล้วก็ยังมีรายละห้าพันบาทอีกสามรายคือ เถ้าแก่เส็ง คหบดี และอาจารย์ชิต โดยเฉพาะอาจารย์ชิตนั้นได้กำชับนักกำชับหนาว่าหากนายสมชายจะแต่งงานให้ส่งการ์ดเชิญไปให้เขาด้วย เพราะต้องการจะตอบแทนบุญคุณที่ชายหนุ่มได้ดูแลช่วยเหลือเขาเป็นอย่างดีระหว่างที่ป่วยอยู่ที่วัดป่ามะม่วง
นอกจากรายใหญ่ ๆ ห้ารายแล้ว ก็มีรายละพัน รายละห้าร้อย ลดหลั่นลงมาเรื่อย ๆ และรายที่น้อยที่สุดก็คือห้าบาท ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดและส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงซึ่งจะยกกันมาทั้งครอบครัว แล้วพากันกินอย่างอิ่มหนำสำราญด้วยเงินช่วยเพียงห้าบาทเท่านั้น
สัปดาห์ต่อมานายสมชายก็พาภรรยามากราบท่านพระครูที่วัดป่ามะม่วงและนำเงินมาถวายห้าหมื่นบาท
"ผมขอถวายคืนหลวงพ่อ เพื่อสมทบทุนสร้างหอประชุมตามเจตนารมณ์ของคหบดีเขาครับ" เขาเรียนชี้แจง
"ไปเอาเงินมาจากไหน" ท่านเจ้าของกุฏิถาม
"เงินที่เขารับไหว้และเงินช่วยงานครับ เบ็ดเสร็จได้ถึงเจ็ดหมื่น เพราะบารมีของหลวงพ่อทีเดียว ผมถึงได้เงินช่วยมากมายถึงปานนี้ แถวบ้านผมไม่เคยมีใครได้มากเท่านี้มาก่อนเลยครับ" ชายหนุ่มพูดอย่างภูมิใจ
"แต่ถ้าเธอจะทำบุญก็ถือว่าเป็นเงินของเธอนะ เพราะคหบดีเขาให้เธอแล้ว เป็นอันว่างานนี้คหบดีได้บุญสองต่อ" ท่านเจ้าของกุฏิกล่าว
"ครับ งั้นผมก็โชคดีที่ได้ทำบุญเป็นเงินจำนวนมากมายอย่างนี้"
"แหม ถ้าหนูแต่งแล้วได้เงินช่วยมาก ๆ ยังงี้คงดีใจตายเลย" นายขุนทองว่า
"ถ้างั้นก็อย่าแต่งเลยวะ ข้ายังไม่อยากให้เอ็งตาย อยากให้อยู่รับใช้หลวงพ่อไปก่อน" คนมากวัยกว่าออกความเห็น
"แหม พี่ละก็ หนูแค่พูดเล่น ๆ เท่านั้นเอง อยู่กะหลวงลุง ขืนดีใจตายก๊อเสียชื่อหลวงลุงแย่ หนูรู้หรอกน่าเวลาดีใจมาก ๆ ต้องกำหนด "ดีใจหนอ ดีใจหนอ" รับรองว่าไม่ตาย" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดบวกอีกหนึ่งอธิบาย ท่านเจ้าของกุฏิจึงกล่าวเสริมอีกว่า
"เออ รู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว คนเราสมัยนี้ไม่ค่อยจะฝึกสติกัน ดีใจมากก็ช็อคตาย เพราะไม่รู้จักกำหนดสติ ไม่รู้จักวางเฉยในโลกธรรมทั้งฝ่ายอิฏฐารมณ์ และ อนิฏฐารมณ์ บางคนถูกรางวัลที่หนึ่งตั้งห้าแสนแต่กลับไม่ได้ใช้เงินแม้แต่บาทเดียว เพราะดีใจจนช็อคตายไปเสียก่อน"
"ก็เขาไม่ได้มาเรียนกรรมฐานกับหลวงลุง จึงไม่รู้จักกำหนด "ดีใจหนอ ดีใจหนอ" ถ้าเป็นขุนทองเรอะ ส.บ.ม."
"แต่พูดกับทำไม่เหมือนกันหรอกนะเจ้าขุนทอง ข้าว่าเอ็งน่าจะลองปฏิบัติดู ไม่ใช่รู้แต่ทฤษฎี คนที่เรียนว่ายน้ำจากทฤษฎี พอตกน้ำก็ตายเรียบร้อยทุกราย"ท่านเจ้าของกุฏิเปรียบเทียบ
"เอาไว้วันหนังหนูค่อยลอง รอให้ใจคอมันปลอดโปร่งกว่านี้อีกสักหน่อย" หลานชายผัดผ่อน
"มัวผัดวันประกันพรุ่งอยู่นั่นแหละ ระวังจะสายเกินไป" ท่านพระครูเตือน
"เถอะน่า รับรองว่าไม่สาย ไว้ใกล้ ๆ แต่งงานแล้วหนูค่อยเข้ากรรมฐาน แบบพี่สมชายไง" ชายหนุ่มให้เหตุผล
"แล้วตอนนี้จวนหรือยัง จวนแต่งหรือยังจ๊ะ" ภรรยานายสมชายกระเซ้า
"จวนแล้วฮ่ะ ยังขาดอีกอย่างเดียว" เขาตอบ
"ขาดอะไร เผื่อพี่พอจะหาให้ได้" หล่อนแสดงน้ำใจไมตรี
"ยังขาดเจ้าบ่าวฮะ นอกนั้นพร้อมแล้ว"
"มันจะมากไปเจ้าขุนทอง มันจะมากไป" ท่านพระครูว่าคนเป็นหลาน
"ไม่มากหรอกหลวงลุง ไม่เชื่อหลวงลุงจะลองดูก็ได้ ลองหาเจ้าบ่าวมาให้หนูซักคน แล้วดูซิว่าหนูจะยอมเข้ากรรมฐานหรือไม่"
"ข้าไม่รู้จะไปหาที่ไหนมาให้เอ็ง ถ้าหาเจ้าสาวละก็พอจะหาให้ได้" คนเป็นสมภารรู้สึกอ่อนใจ
"อุ๊ย หนูจะเอามาทำไมเจ้าสาวน่ะ ก็หนูเป็นเจ้าสาวอยู่แล้ว ขืนหามาอีกได้ฟ้าผ่าตายปะไร หลวงลุงนี่พิลึกจริง ๆ"
"ข้าว่าเอ็งนั่นแหละพิลึก สมชายเธอเห็นด้วยไหม" ท่านถามคนเป็นศิษย์
"อย่าไปเถียงกับมันเลยครับหลวงพ่อ ปวดหัวเปล่า ๆ มันจะว่ายังไงก็ปล่อยให้มันว่าไปคนเดียว อ้อหลวงพ่อครับ เจ้าสมชาติน้องชายผมไปไหนเสียล่ะครับ" ชายหนุ่มถามถึงน้องชายซึ่งได้มาอยู่รับใช้ท่านพระครูแทนเขาประมาณสิบวันแล้ว
ช่วงก่อนแต่งงานเขามีธุระยุ่งมาก ประกอบกับท่านเจ้าของกุฏิไม่ได้มีธุระไปไหน เขาจึงไม่ได้มาวัดและไม่เห็นน้องชายเสียหลายวัน ท่านพระครูยังไม่ทันตอบ คนถูกถามหาก็เดินเข้ามาพอดี
"อุ๊ยตาย พี่สมชาย พี่แป้งร่ำ มายังไงกันนี่ แหม ดีใจ๊ดีใจ" คนชื่อสมชาติทักทายดวยเสียงมีจริตจะก้าน นายสมชายมองหน้าท่านพระครู เหมือนจะถามว่าได้เกิดอะไรขึ้น
"ดูเอาเอง" ท่านเจ้าของกุฏิตอบโดยไม่รอให้ถาม
"สมชาติ เอ็งเป็นอะไรไป ก็เป็นผู้ชายอยู่ดี ๆ ไหงมากระตุ้งกระติ้งยังกะผู้หญิงล่ะ" คนเป็นพี่ชายสงกา
"ก็ถามขุนทองเขาดูซี นิขุนทองนิ" ชายหนุ่มหันไปพยักพเยิดกับนายขุนทอง หนุ่มวัยยี่สิบสองหมาด ๆ ยิ้มอย่างมีชัยแล้วว่า
"เขาเรียกออสโมซิสฮ่ะ คนเราจะอยู่ด้วยกันก็ต้องมีอะไร ๆ ที่คล้ายคลึงกัน ถึงจะอยู่ด้วยกันยืด"
"แล้วที่เองอยู่กับข้ามานาน ทำไมเอ็งถึงไม่ปรับตัวให้เหมือนข้าหือ"นายสมขายแย้ง
"พี่ไม่ปรับตัวเขาหาหนูต่างหากล่ะ สมชาติเขาฉลาดกว่าพี่เยอะตรงที่รู้จักปรับตัว." คนเป็นหลานท่านพระครูว่า
"เอาอีกแล้ว ว่าข้าโง่อีกแล้ว" สามีนางแป้งร่ำว่า
"พี่สองคนมาธุระอะไรหรือเปล่าฮะ" นายสมชาติถามขึ้น คนเป็นพี่ชายจึงว่า
"ก็จะมาดูเอ็งนั่นแหละว่าอยู่สุขสบายดีหรือเปล่า"
"แล้วพี่เห็นว่าหนูสบายหรือเปล่าล่ะฮะ คนเป็นน้องย้อนถาม"
"ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ที่รู้แน่ ๆ คือตัวข้านี่แหละยังไม่สบาย มาเห็นเอ็งเป็นแบบเจ้าขุนทองไปอีกคน บอกตามตรงว่าข้าไม่สบายใจเลย หลวงพ่อทำไมเลี้ยงผู้ชายให้กลายเป็นผู้หญิงล่ะครับ" เขาถือโอกาสต่อว่าท่านพระครู
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เลี้ยงมันเหมือนที่เลี้ยงเธอทุกอย่างนั่นแหละ แต่ทำไมมันถึงไม่เหมือนเธอก็ไม่รู้"
"ต้องยกให้เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม ใช่ไหมครับ"
"ก็คงต้องเป็นยังงั้น แต่ที่เธอเห็นนี่ยังไม่เท่าที่ฉันเห็นหรอก" ท่านโน้มตัวมากระซิบข้างหูคนเป็นศิษย์ว่า
"ที่ฉันเห็นนะ เจ้าสองคนนี่มันเพี้ยนหนักกว่านี้อีก เวลามีพวกเด็กหนุ่ม ๆ หล่อ ๆ มาเข้ากรรมฐาน มันจะแวะเวียนไปแถวกุฏิกรรมฐานวันละหลายเวลา ไปแอบดูเขาแล้วก็เอามาวิพากษ์วิจารณ์ว่าหล่อยังงั้นยังงี้ บางทีก็ย่างกันเสียด้วยซ้ำ ท่าทางมันจะกู่ไม่กลับทั้งคู่นั่นแหละ" ท่านพระครูแฉพฤติกรรมของคนทั้งสอง
"หลวงลุงนินทาอะไรหนู" หลานชายว่า
"ข้าเปล่านินทา ข้าพูดความจริงต่างหากล่ะ"
"ก็ถ้าพูดความจริงแล้วทำไมต้องกระซิบด้วยล่ะฮะ" นายขุนทองแย้ง
"นั่นเพราะเอ็งไม่ยอมรับความจริงต่างหากล่ะ ข้าก็เลยต้องกระซิบน่ะซี หรือเอ็งจะเถียง"
"ไม่เถียงก็ได้ฮะ ว่าแต่ว่าหลวงลุงลงรับแขกเถอะฮ่ะ หนูปล่อยให้พวกเขารอนานแล้ว" หลานชายเตือนนายสมชายและภรรยาจึงกราบลาท่านเจ้าของกุฏิ
"ถ้าหลวงพ่อจะมีธุระไปไหนก็ให้เจ้าสมชาติไปตามผมนะครับ แต่ถ้ายังไม่มี ผมก็จะขอพักอีกสักสองสามวันแล้วค่อยมาทำงาน"
"ไม่เป็นไร เชิญพักผ่อนตามสบายเถอะ ฉันยังไม่มีรายการไปไหนในช่วงนี้ ว่าจะสะสางให้เสร็จ ๆ เสียที โดยเฉพาะงานเขียนหนังสือ" ก่อนกลับชายหนุ่มยังสั่งนายขุนทองและนายสมชาติว่า
"เอ็งสองคนช่วยกันดูแลหลวงพ่อให้ดีนะ อย่ามัวแต่ไปเที่ยวแอบดูหนุ่ม ๆ ล่ะ"
"รับรองฮ่ะ ทีนี้ถ้าจะไปก็จะผลัดเวรกันไป จะไม่ไปพร้อมกัน ใช่ไหมขุนทอง" คนชื่อสมชาติพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
"ใช่แล้วสมชาติ" คนพูดตั้งใจลากเสียงยาวจนเกิดความจำเป็น
เมื่อท่านพระครูลงรับแขกที่กุฏิชั้นล่าง มีเจ้าทุกข์รออยู่แล้วประมาณยี่สิบคน สตรีวัยห้าสิบเศษเข้ามากราบ
"จะให้ช่วยอะไรหรือโยม" ท่านเอ่ยขึ้นก่อน
"คืออย่างนี้ค่ะ ลูกชายดิฉันมันหลงเมียเสียจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ดิฉันทนไม่ได้ค่ะ"
"ทำไมถึงทนไม่ได้ล่ะโยม"
"มันหมั่นไส้ค่ะ หมั่นไส้เหลือเกิน" คนเป็นแม่ผัวตอบ
"อย่าไปหมั่นไส้เขาเลย เราน่าจะดีใจเสียอีกที่เห็นเขารักใคร่ปรองดองกัน คนเป็นแม่จะต้องมีมุทิตาจิต ไม่ใช่ไปหมั่นไส้เขา นะโยมนะ"
"มันทำใจไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ ดิฉันไม่เคยพบเห็นผู้ชายที่ไหนหลงเมียถึงปานนี้ ขนาดพ่อเด็กเขาก็ยังไม่เคยหลงดิฉันอย่างนี้มาก่อน"
"โยมก็เลยอิจฉาลูกสะใภ้ใช่ไหมล่ะ" ยังไง ๆ ท่านก็เข้าข้างคนเป็นสะใภ้ เพราะยังจำฤทธิ์ร้ายของคนเป็นแม่ผัวในอดีตชาติได้ดี แม้ปัจจุบันจะไม่เคืองแค้น หากก็ยัง "จำ" ความร้ายกาจของฝ่ายนั้นได้
"มันก็ไม่เชิงอิจฉานะคะ ถ้าเขาจะทำตัวดีกว่านี้ ดิฉันจะไม่อิจฉาเขาเลยค่ะ"
"เขาทำตัวยังไงล่ะ"
"โอ๊ย อย่าให้พูดเลยค่ะหลวงพ่อ พูดแล้วมันช้ำใจ" ว่าแล้วก็ร้องไห้ด้วยเคียดแค้นชิงชังในคนเป็นสะใภ้
"ก็ถ้าไม่พูดแล้วอาตมาจะรู้ได้ยังไงล่ะ"
"จริงซีคะ แหม ดิฉันไม่น่าโง่เลย" นางว่าตัวเอง แล้วเริ่มต้นเล่าเป็นฉาก ๆ อย่างชำนิชำนาญ เพราะเคยเล่าให้เพื่อนบ้านฟังทุกบ้านและทุกวันจนหาคนฟังไม่ได้ จึงต้องมาวัดป่ามะม่วงเพื่อเล่าให้ท่านพระครูฟัง
"คืออย่างนี้นะคะหลวงพ่อ ลูกสะใภ้ของดิฉันน่ะ สวยก็ไม่สวยความรู้ก็ไม่สูง กิริยามารยาทหรือก็ไม่บ่งบอกว่าเป็นชาติผู้ดี แถมฐานะก็ยากจนข้นแค้น ดิฉันก็ไม่รู้ว่าไอ้ลูกชายของดิฉันมันไปหลงได้ยังไง ดิฉันจะไปขอลูกสาวเศรษฐีให้ เขาทั้งสวยทั้งรวยมันก็ไม่สนใจเขา ดันไปคว้าแม่นี่มาเป็นเมีย"
"ก็เขาชอบของเขานี่โยม เขาคงจะเป็นเนื้อคู่กัน ปล่อยเขาไปเถอะอย่าไปยุ่งกับเขาเลย" สมภารวัดป่ามะม่วงกล่าวเตือน
"ไม่ยุ่งได้ยังไงล่ะคะ หลวงพ่อดิฉันสงสารลูกชายค่ะ มันใช้ลูกชายฉันยังกะขี้ข้า หาเงินมาเลี้ยงมันแล้วยังต้องมานั่งหุงข้าวทำกับข้าวให้มันกิน ต้องซักผ้าให้ ซักแม้กระทั่งกางเกงในของมัน ขนาดดิฉันเป็นแม่แท้ ๆ ยังไม่เคยให้ลูกซักกางเกงใน" คนเป็นแม่ผัวพรรณนา
"มันจะมากไป มันจะมากไป ถ้าถึงขนาดให้ผัวซักผ้าให้แบบนั้นก็แย่น่ะซี คนอย่างนี้หากินไม่ขึ้น โบราณเข้าถือนักหนา ผู้ชายที่รักเมียถึงขนาดนี้ อาตมาไม่สรรเสริญแน่ ไม่น่าสรรเสริญเลย" เป็นครั้งแรกที่ท่านเข้าข้างแม่ผัว
"แล้วดิฉันจะทำยังไงคะหลวงพ่อ"
"พามาหาอาตมา แล้วจะช่วยอบรมให้ พามาทั้งสองคนนั่นแหละ"
"ค่ะ แล้วดิฉันจะพามา ของพระคุณหลวงพ่อมาก ดิฉันถือโอกาสกราบลาละค่ะ"
รายต่อมาเป็นบุรุษวัยห้าสิบเศษ หน้าตาเขาหมองคล้ำเหมือนคนที่กำลังมีทุกข์อย่างหนัก กราบท่านพระครูแล้วจึงเรียนว่า "เรื่องของผมเป็นความลับครับ ถ้าหลวงพ่อจะกรุณา ผมอยากปรึกษาตัวต่อตัวครับ"
"ไม่เป็นไร พูดเบา ๆ พอได้ยินกันสองคนก็ได้ โยมมีอะไรก็ว่าไปเลย" ท่านไม่อนุญาตให้ขึ้นข้างบน ด้วยเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น
"คืออย่างนี้ครับหลวงพ่อ คุณแม่ผมอายุแปดสิบ แล้วแกก็หลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่เจ็ดสิบ ผมไม่กล้าพาไปไหน เพราะอับอายขายหน้ามาก แกมีพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่ใคร ๆ เห็นเข้าก็ต้องตำหนิติเตียน ผมจะบาปไหมครับถ้าเอาความลับของผู้บังเกิดเกล้ามาเปิดเผยให้หลวงพ่อทราบ"
"โยมมีจุดประสงค์อะไรที่ต้องทำเช่นนั้นล่ะ คือหมายถึงว่าโยมมีเจตนาดีหรือเจตนาร้ายต่อท่าน"
"เจตนาดีครับ ที่ต้องเอามาเปิดเผยก็เพื่อจะช่วยแกน่ะครับ เมื่อหลวงพ่อฟังแล้วเผื่อจะแนะนำผมได้ว่าจะมีวิธีแก้อย่างไร" ท่านเจ้าของกุฏิตอบเขาว่า
"ถ้าอย่างนั้นก็ไม่บาป เพราะโยมทำด้วยเจตนาดี" เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาได้ยิน แล้วจึงเล่าด้วยเสียงที่เบาที่สุด
"คือแม่ผมแกชอบล้วงเข้าไปในผ้านุ่งครับ เอามือล้วงเข้าไปตรงนั้นแล้วก็ควักมาดม เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อายุยังไม่เจ็ดสิบ ผมไม่กล้าพาแกไปไหน เพราะอับอายชาวบ้าน ก่อนหน้าที่ผมไม่ทราบว่าแกมีพฤติกรรมอย่างนี้ ผมก็พาแกไปทอดกฐินที่วัดต่างจังหวัด ซึ่งผมเป็นประธานของงาน ความที่ผมอยากให้แม่ได้บุญเลยพาแกไปด้วย แล้วแกก็ไปทำอย่างนี้ ทำให้ผมกับภรรยาอับอายเขามาก เพราะกรรมอะไรครับ แล้วผมจะแก้ไขอย่างไร" ท่านพระครูรู้สึกสังเวชใจที่ได้ยินได้ฟัง และท่านก็เห็นกฎแห่งกรรมของสตรีวัยแปดสิบอย่างทะลุปรุโปร่ง
"มันเป็นกฎแห่งกรรมน่ะ โยมคุณแม่ของโยมทำกรรมไว้ตอนสาว แล้วกรรมนั้นก็มาให้ผลในตอนแก่ โดยอยากทราบไหมว่าท่านทำกรรมอะไรไว้"
"อยากทราบครับ กรุณาบอกผมด้วยเถิดครับ"
"โยมเชื่อเรื่องเสน่ห์ยาแฝดหรือเปล่า เรื่องผู้หญิงที่ชอบทำเสน่ห์ให้สามีหลง เคยได้ยินไหม"
"เคยได้ยินครับ แต่ไม่ค่อยจะเชื่อว่าจะเป็นไปได้ คือผมหมายถึงว่ามันจะได้ผลน่ะครับ" คนมีแม่อายุแปดสิบตอบ
"จะได้ผลหรือไม่ได้ผล มันก็ขึ้นอยู่กับคนถูกทำนะโยม ถ้าคนถูกทำจิตอ่อนก็ได้ผล แต่ถ้าเขาจิตแข็ง เสน่ห์ยาแฝดที่ว่าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ทีนี้ในกรณีของคุณแม่โยมนั้นได้ผล เพราะคนพ่อโยมเป็นคนจิตอ่อน ที่อาตมาพูดมานี้โยมอาจจะไม่เชื่อ เพราะฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระใช่ไหม แต่ถ้าโยมคิดและพิจารณาตามหลักของเหตุผลแล้ว พฤติกรรมของคุณแม่โยมเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีที่สุด"
คำพูดของท่านพระครู ทำให้บุรุษวัยห้าสิบเศษหวนระลึกถึงเหตุการณ์สมัยที่เขายังเด็ก และมารดามักจะนั่งคร่อมบนอาหารที่จะให้บิดารับประทาน และหากเป็นผักสดและผลไม้ นางก็จะเอาซุกเข้าไปในผ้านุ่งเช็ดถูกับบริเวณใต้ท้องน้อยแล้วจึงนำไปให้บิดารับประทาน ท่านเจ้าของกุฏิให้เวลาเขาในการรำลึกนึกย้อนกลับไปยังอดีต เสร็จแล้วจึงพูดขึ้นว่า
"เรื่องการทำเสน่ห์มันเป็นไสยศาสตร์ เป็นเดรัจฉานวิชา เมื่อคนถูกทำเสน่ห์ตายลง มันก็จะกลับมาหาตัวคนทำ โยมสังเกตหรือเปล่า คุณแม่โยมเริ่มมีพฤติกรรมแบบนี้หลังจากที่คุณพ่อเสียไปแล้ว"
"ครับ คงจะจริงอย่างที่หลวงพ่อว่า คุณพ่อผมเสียชีวิตตอนคุณแม่อายุหกสิบเศษ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน คุณแม่ก็มีพฤติกรรมแปลก ๆ อย่างที่เป็นอยู่" คนพูดรู้สึกร้อนอกร้อนใจที่มารดามามีอันเป็นเช่นนี้ได้
"ผมจะช่วยแกได้อย่างไรครับ" ถามเสียงละห้อย
"ช่วยไม่ได้หรอกโยม คนแก่จนหลงแล้วไม่มีทางแก้ได้ ต้องปล่อยไปตามกรรมของเขา สิ่งที่เกิดแล้วแก้ไม่ได้ ในกรณีนี้แก้ไม่ได้ โยมจำไว้เลย แล้วก็ไปสอนลูกหลานว่าอย่าไปทำเสน่ห์ สามีเขาจะรักหรือไม่รักก็ช่างเขา เพราะมันจิตใจของเขา เราไปห้ามไม่ได้ ถ้าไปทำเสน่ห์ให้เขามารัก บาปกรรมจะต้องตกอยู่ที่ตัวเรา เพียงแต่ว่ามันจะปรากฏผลให้เห็นเร็วหรือช้าเท่านั้น อาตมาเสียใจที่ไม่อาจช่วยคุณแม่ของโยมได้"
"แต่ถึงจะช่วยแม่ไม่ได้ แต่ก็ช่วยผมได้ครับ เพราะเมื่อผมรู้เช่นนี้แล้วก็ทำใจได้ แม่แกเป็นคนทำกรรม แกก็ต้องรับผลของมัน แล้วผมก็จะสอนลูกหลานไม่ให้เอาเยี่ยงอย่างแก ถึงอย่างไรผมก็ได้รับประโยชน์จากการมาครั้งนี้ครับ" เขากล่าวด้วยใบหน้าที่ดูดีขึ้นนิดหนึ่ง นิดเดียวจริง ๆ




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อมาถึงกุฏิ คุณหญิงปทุมทิพย์ไม่พบนายขุนทอง จึงถามถึงบุรุษวัยห้าสิบเศษ ที่นั่งอยู่เพียงผู้เดียวตรงหน้าอาสนะ
"ไปไหนกันหมด หลวงพ่ออยู่หรือเปล่า"
"อยู่ครับ ท่านอยู่ข้างบน กำลังฉันเพล" เขาตอบ
"งั้นช่วยขึ้นไปเรียนท่านด้วยว่า เสร็จแล้วให้ลงมาพบคุณหญิงปทุมทิพย์หน่อย" คน "ใหญ่ผิดที่" บัญชา
"คงไม่ได้หรอกครับ ผมเองก็ยังต้องนั่งรอท่านอยู่ที่นี่" เขาปฏิเสธ เมื่อไม่ได้ดังใจ คนเป็นคุณหญิงก็ "แว้ด"
"โอ๊ย ไม่รู้อะไรกันนักหนา ไปวัดไหน ๆ เจ้าอาวาสท่านก็รับรองอย่างดี ไม่เห็นจะเรื่องมากเหมือนเจ้าอาวาสวัดนี้เลย"
"ก็ไปวัดอื่นซีครับ" คนกำลังหงุดหงิดเพราะเมียหนีพูดแดกดัน
คุณหญิงหันมาค้อนแล้วว่า "ก็ไปมาแล้ว แต่มันไม่สำเร็จ"
ฉันเสร็จท่านพระครูรีบลงมารับแขก ด้วยไม่อยากให้ญาติโยมต้องรอนาน ท่านสั่งให้นายขุนทองไปตามภรรยาของบุรุษผู้นั้นมา แล้วจัดการตามที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้
บุรุษวัยใกล้หกสิบก้มลงกราบขอขมาคนเป็นเมียต่อหน้าท่านพระครูและคุณหญิงปทุมทิพย์ ปลอบใจตัวเองว่า "ก็ยังดีกว่ากราบต่อหน้าคนทั้งกุฏิแหละวะ" จากนั้นจึงพากันกลับบ้าน
ผู้มีความทุกข์ทั้งหลาย เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้วก็พากันเดินกลับมาที่กุฏิ แล้วก็เลยต้องต่อคิวคุณหญิงผู้ซึ่งกำลังคุยอยู่กับท่านเจ้าอาวาส
"คุณหญิงจะอยากรู้ไปทำไม" ท่านพระครูถาม เมื่อคุณหญิงปทุมทิพย์บอกจุดประสงค์ของการมาพบท่าน
"ดิฉันจะได้ไปเยี่ยมเขาค่ะ เยี่ยมทั้งแม่ทั้งลูก" เธอไม่บอกความจริง
"แล้วก็เอาน้ำกรดใส่กระเป๋าถือไปฝากด้วยใช่ไหม ขวดน้ำกรดที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าถือของคุณหญิงน่ะ" ท่านพระครูเห็นเพราะ "เห็นหนอ" บอก
"ทำไมหลวงพ่อทราบคะ ดิฉันอุตส่าห์ซ่อนมาอย่างดี ดิฉันเจ็บใจค่ะ" คราวนี้เธอร้องไห้เพราะความคับแค้นใจ
"แล้วการทำอย่างนั้นจะช่วยให้คุณหญิงหายเจ็บใจหรือ" คนเป็นคุณหญิงไม่ต่อบ ได้แต่ก้มหน้าร้องไห้กระซิก ๆ
"อาตมาขอบิณฑบาตเถิดนะ อย่างได้สร้างเวรสร้างกรรมให้ตัวเองอีกเลย ที่คุณหญิงต้องมาเป็นเช่นนี้ก็เพราะกรรมเก่านะ ขอให้นึกเสียว่ากำลังใช้กรรม อาตมาสอนญาติโยมเสมอ ๆ ว่า "กรรมเก่าให้รีบใช้ กรรมใหม่อย่าไปสร้าง" คุณหญิงเชื่ออาตมาเถิดนะ"
"ดิฉันทำกรรมอะไรไว้หรือคะหลวงพ่อ ถึงต้องมาเป็นเช่นนี้ ก่อนที่จะมาแต่งงานกับรัฐมนตรี ดิฉันก็เคยมีสามีมาก่อน แล้วก็ถูกเพื่อนแย่งไป" ถามทั้งน้ำตา
"ถ้าคิดตามหลักของเหตุผลก็ต้องว่า เพราะคุณหญิงเคยไปแย่งของคนอื่นเขา ถ้าชาตินี้ไม่ได้ทำก็แสดงว่าต้องเคยทำมาแต่ครั้งอดีตชาติ แล้วกรรมนั้นมันติดตัวมาเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ อาตมาวิจัยไว้แล้วว่า ใครก็ตามที่ผิดศีลข้อสาม และบาปนั้นติดตัวมาเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ รับรองได้ว่ามีสามี สามีก็ต้องมีเมียน้อย มีภรรยา ภรรยาก็มีชู้ และถ้ามาในชาตินี้ยังเลิกไม่ได้ บาปกรรมก็จะไปตกกับลูกหลาน มีตัวอย่างแล้ว เพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง สามีเป็นพลตรี ภรรยาเป็นพันโท มีลูกสาวสามคน ไปเป็นโสเภณีหมด เพราะพ่อเจ้าชู้ ลูกก็เลยต้องรับกรรม มาร้องไห้กับอาตมาทั้งผัวและเมีย เพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่ อาตมาสั่งให้มาเข้ากรรมฐานเพื่อแก้กรรม ให้มาทั้งคู่เลย ไม่งั้นช่วยลูกให้เลิกอาชีพโสเภณีไม่ได้"
"แล้วรายของดิฉันล่ะคะ ทำยังไงเขาถึงจะเลิกกัน" เธอถามอย่างสนใจ
"ไม่ต้องทำอะไร เขาก็ต้องเลิกกันอยู่ดีนั่นแหละคุณหญิง ผู้หญิงอายุ ๑๖ ผู้ชายอายุ ๖๑ จะอยู่กันไปได้สักกี่น้ำ คุณหญิงไม่ต้องไปทำอะไรเขาหรอก ถ้าจะให้ดีก็สวดมนต์แผ่เมตตาให้เขามีความสุขความเจริญกัน" คุณหญิงปทุมทิพย์รีบค้านว่า
"ดิฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ มันฝืนกับความรู้สึกที่แท้จริง"
"ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ แต่อาตมาขอเตือนนะ อย่าไปทำร้ายเขาอย่างที่คิด ใคร ๆ ก็มีกรรมด้วยกันทั้งนั้น อาตมาเห็นกฎแห่งกรรมของท่านรัฐมนตรีแล้ว อีกห้าปีคุณหญิงก็จะรู้อย่างที่อาตมารู้และเห็นอย่างที่อาตมาเห็น ไปจดไว้ได้เลยนะว่าปี ๒๕๒๒ จะเกิดอะไรขึ้นกับท่านรัฐมนตรี และคุณหญิงก็จะต้องทนทรมานไปอีกสามปี จนถึงปี ๒๕๒๕ จึงจะหมดกรรม นี่เฉพาะกรรมเก่านะ ถ้าคุณหญิงจะสร้างกรรมใหม่อีกก็เชิญ แล้วอย่ามาหาว่าอาตมาไม่เตือนก็แล้วกัน"
"แต่ดิฉันเกลียดมันค่ะหลวงพ่อ ดิฉันเกลียดนังเด็กนั่น เกลียดลูกของมันด้วย"
"คุณหญิงเคยเห็นลูกเขาแล้วหรือถึงได้เกลียด"
"ยังไม่เคยค่ะ ตัวแม่มันดิฉันก็ยังไม่เคยเห็น"
"แล้วทำไมต้องไปเกลียดล่ะ เอาเถอะ ต่อไปข้างหน้าคุณหญิงจะรักเด็กคนนี้ จำคำของอาตมาไว้ก็แล้วกันว่า คุณหญิงจะรักลูกของเขา"
"เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ใครจะไปรักลูกของศัตรู" เธอเถียง
"รักหรือไม่รักก็คอยดูไปก็แล้วกัน อาตมาจะไม่เถียงกับคุณหญิงหรอก เถียงไปก็เปล่าประโยชน์ รอให้เวลานั้นมาถึงค่อยพูดกันใหม่"
"ตกลงหลวงพ่อจะไม่บอกดิฉันจริง ๆ หรือคะว่ามันอยู่โรงพยาบาลอะไร"
"บอกไม่ได้หรอกคุณหญิง ไว้คุณหญิงหายโกรธแค้น หายอาฆาตเขาเสียก่อน แล้วอาตมาจะบอก ตกลงไหม"
"ตกลงค่ะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันเลิกโกรธแค้น เลิกอาฆาตพยาบาทก็ได้ หลวงพ่อกรุณาบอกดิฉันเถิดค่ะ" เธออ้อนวอน
"อาตมาก็ขอยืนยันอยู่อย่างเดิมว่าบอกไม่ได้ เพราะคุณหญิงเลิกแต่ปาก ส่วนใจนั้นยังโกรธยังอาฆาตเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่ามาพูดปดกับอาตมาเลย อาตมารู้ทั้งนั้นแหละ เรื่องอย่างนี้ใครจะมาโกหกอาตมาไม่ได้
เอาอย่างนี้นะ อาตมาจะยกตัวอย่างโทษของความโกรธ ความริษยาอาฆาตให้คุณหญิงฟังสักเรื่อง เล่าย่อ ๆ นะ คือเรื่องของเจ้าหญิงโรหิณี ซึ่งเป็นขนิษฐาของ พระอนุรุทธเถระ และเป็นพระญาติของพระพุทธองค์
หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จเทศนาโปรดพระพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ได้เสด็จมายังกรุง กบิลพัสดุ์ เพื่อโปรดพระพุทธบิดาเป็นครังที่สอง พระอนุรุทธเถระก็ตามเสด็จด้วย บรรดาพระประยูรญาติต่งพากันมาเข้าเฝ้า ยกเว้นเจ้าหญิงโรหิณีผู้ซึ่งเป็นโรคผิวหนังพุพองทั่วพระวรกาย ดุน่าเกลียดมาก จึงไม่ยอมมาเข้าเฝ้า พระอนุรุทธเถระจึงเสด็จไปยังพระตำหนักของพระขนิษฐา
เจ้าหญิงโรหิณีกราบทูลพระเชษฐาถึงสาเหตุที่ไม่ยอมไปเข้าเฝ้า และทูลถามว่าพระนางเคยทำกรรมอะไรไว้จึงได้มีร่างกายพุพองน่าเกลียดเช่นนี้ พระอนุรุทธเถระ ตรัสเล่าปุพพกรรมแต่ครั้งอดีตชาติให้พระขนิษฐาฟังว่า
สมัยหนึ่งพระนางได้เกิดเป็นพระมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต แห่งเมืองพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตมีพระสนมหลายคน คนหนี่งเป็นนางรำรูปร่างหน้าตาสวยงามจึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพรหมทัตมากกว่าใคร ๆ พระมเหสีมีจิตริษยาในนางรำผู้นั้น วันหนึ่งจึงแอบนำผงเต่าร้างไปโรยไว้ในกระปุกใส่แป้งของนาง คุณหญิงรู้จัดผงเต่าร้างหรือเปล่า" ท่านเจ้าของกุฏิถามคนเป็นคุณหญิง
"ไม่ทราบค่ะ" เธอตอบ
"หมามุ่ยใช่ไหมคะหลวงพ่อ" สตรีผู้หนึ่งตอบและถามในประโยคเดียวกัน
"ถูกแล้ว คุณหญิงรู้จักหมามุ่ยหรือเปล่า" คุณหญิงปทุมทิพย์ถูกถามอีก
"ทราบค่ะ เห็นเขาว่าคันอย่าบอกใคร"
"นั่นแหละ ๆ พระมเหสีก็เอาผงเต่าร้างไปโรยไว้ในกระปุกแป้งของนางรำเพราะความริษยา เมื่อนางทาแป้งก็เกิดอาการคันและมีตุ่มผื่นคันพุพองทั่วร่าง ทำให้ได้รับทุกขเวทนาเป็นอันมาก จากผลกรรมนั้นทำให้เจ้าหญิงโรหิณีต้องมาเป็นโรคผิวหนัง ญาติโยมอย่าลืมนะว่าโรคกรรมนั้นไม่มีหมอที่ไหนรักษาได้ เหมือนอย่างเจ้าหญิงโรหิณีที่แพทย์หลวง กี่คน ๆ ก็ไม่สามารถรักษาได้ เมื่อพระนางได้ทราบกรรมครั้งอดีตชาติแล้ว จึงทูลถามพระอนุรุทธเถระว่าจะแก้กรรมได้อย่างไร"
"ต้องเข้ากรรมฐานใช่ไหมครับ" บุรุษผู้หนึ่งตอบ มาวัดนี้ท่านสมภารพูดแต่เรื่องกรรมฐาน ๆ ใครจะแก้กรรมก็ต้องมาเข้ากรรมฐาน
ท่านพระครูยิ้มด้วยนึกขำในคำตอบของบุรุษนั้น จึงสัพยอกเขาว่า
"ถ้าเจ้าหญิงโรหิณีมาที่วัดนี้ อาตมาก็คงจะต้องให้เข้ากรรมฐาน แต่บังเอิญพระนางไม่ได้มา"
"แล้วพระอนุรุทธเถระท่านทรงแนะนำให้พระขนิษฐาทำอย่างไรเพคะ" คุณหญิงถาม ผู้ที่นั่งฟังพากันหัวเราะคำถามของคนเป็นคุณหญิงซึ่งลงท้ายด้วย "เพคะ" ท่านเจ้าของกุฏิเองก็ขำ
"ท่านทรงแนะนำให้พระขนิษฐาขายเครื่องประดับทั้งหมดที่มีอยู่ แล้วนำทรัพย์ที่ได้ไปสร้างเป็นศาลาที่พักพระภิกษุที่เดินทางไกลผ่านมายังเมืองนี้ ให้ท่านได้รับความสะดวกมีทั้งที่พักและอาหาร ในยามค่ำคืนก็จุดประทีปโคมไฟให้แสงสว่างแก่ท่าน เจ้าหญิงโรหิณีทรงทำตามคำแนะนำของพระเชษฐา แผลพุพองนั้นก็ค่อย ๆ หายไป ๆ จนในที่สุดพระนางก็มีผิวพรรณผุดผ่องสวยงามเหมือนแต่ก่อน และในเวลาต่อมาก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบัน"
เล่าจบ ท่านเจ้าของกุฏิจึงถามคนเป็นคุณหญิงว่า "คุณหญิงเห็นโทษของความอาฆาตพยาบาทหรือยัง นี่ขนาดเอาผงเต่าร้างใส่ลงไปในแป้งก็ยังต้องมาเป็นโรคผิวหนังพุพองน่าเกลียด แล้วถ้าเอาน้ำกรดไปสาดเขา จะต้องรับกรรมสาหัสสากรรจ์สักเพียงใด อาตมาถึงต้องขอบิณฑบาตไงล่ะ"
"ตกลงค่ะ ดิฉันยกให้ ที่หลวงพ่อขอบิณฑบาต ดิฉันยินดียกให้" พูดจบก็เปิดกระเป๋าถือหยิบขวดน้ำกรดซึ่งห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลอย่างมิดชิดวางไว้บนอาสนะ กราบสามครั้งจึงรีบลุกออกไป ด้วยรู้สึกอับอายขายหน้าเหลือเกินแล้ว
"หลวงพ่อครับผมขอความกรุณาช่วยเปลี่ยนชื่อและนามสกุลให้ผมใหม่ด้วยครับ" ทหารยศพันเอกพูดขึ้น
"เปลี่ยนทำไมเล่า ชื่อเก่าก็ดีอยู่แล้ว พ่อแม่ตังให้ไม่ต้องเปลี่ยน ยิ่งนามสกุลด้วยแล้วห้ามเปลี่ยนเด็ดขาด คนเราจะดีจะเลวไม่ได้อยู่ที่ชื่อ แต่อยู่ที่การกระทำ ใครมาขอเปลี่ยนชื่อ อาตมาไม่เคยเปลี่ยนให้สักราย
บางคนเขาเชื่อหมอดู บอกหมอดูให้เปลี่ยน เพราะชื่อเดิมเป็นกาลกิณี เขาว่าคนเกิดวันจันทร์ ชือจะต้องไม่มีสระเพราะจะเป็นกาลกิณี อาตมาก็บอกไม่ต้องเปลี่ยน แล้วก็ยกตัวอย่างให้ฟังว่า คนชื่อรวยแต่จนก็มี คนที่ชื่อสวยแต่ขี้เหร่ก็มี นี่ที่วัดนี้ มีคนเขามาบอกอาตมาว่าพรุ่งนี้จะพาลูกสาวชื่อสวยมากราบอาตมา ตอนนั้นอาตมาก็ยังหนุ่ม อายุซักยี่สิบกว่า ๆ โอ้โฮ คืนนั้นนอนไม่หลับเลย นึกถึงแต่หน้าแม่คนที่ชื่อสวย แล้วก็วาดภาพไว้ว่าคงจะสวยหยาดเยิ้มเหมือนเพชรา พอรุ่งเช้าเขาก็มา..."
"สวยไหมคะหลวงพ่อ" สตรีผู้หนึ่งกระเซ้า ท่านตอบว่า
"สวยซี โอ้โฮ แม่สวยคนนี้สวยจริง ๆ แต่สวยน่าเกลียดพิลึก ตัวดำ ตาตี่ แถมฟันยื่น อาตมาจะเป็นลมเสียให้ได้ นี่ถ้าอาตมาเชื่อหมอดูก็คงจะแนะนำแม่เขาให้เปลี่ยนชื่อลูกสาวเสียใหม่แล้วละ"
"เปลี่ยนเป็นอะไรคะ" สตรีคนเดิมกระเซ้าอีก
"เปลี่ยนเป็น "สวยน่าเกลียด" อีกรายนะ รายนี้เป็นผู้ชาย มาแบบเดียวกัน อายุจะหกสิบแล้วมาบอก "หลวงพ่อช่วยเปลี่ยนชื่อให้ผมหน่อย เมียด่าไม่พักเลย หมอดูเขาบอกถ้าเปลี่ยนชื่อใหม่เมียจะเลิกด่า" อาตมาก็ถามว่าใครตั้งชื่อให้ล่ะ เขาบอกพ่อตั้งให้ แต่พ่อตายไปแล้ว รับรองว่าแกไม่รู้ว่าผมไม่ใช้ชื่อที่แกตั้ง
อาตมาก็ทักว่าอย่าเปลี่ยนเลย ถ้าเปลี่ยนรับรองเมียด่าคูณสอง ที่เคยด่าวันละสามชั่วโมงก็จะเพิ่มเป็นวันละหก เขาก็โกรธอาตมา เลยไปหาพระวัดอื่นเปลี่ยนให้ หลวงพ่อวัดนั้นก็ว่าต้องเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์ ชื่อบุญช่วยเป็นกาลกิณี ต้องเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์ รับรองผู้หญิงรัก เมียก็จะเลิกด่า แกก็เลยไปเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์ เสร็จแล้วกลับมาเล่าให้อาตมาฟังว่า
"หลวงพ่อ จริงอย่างที่หลวงพ่อพูด เมียผมด่าสามวันสามคืนเลย บอก ไอ้โง่ ชื่อบุญช่วยก็ดีอยู่แล้ว เสือกไปเปลี่ยนเป็นสมศักดิ์สมบ้าอะไรก็ไม่รู้" นี่เห็นไหม อยากไม่เชื่ออาตมา" คนฟังพากันหัวเราะครื้นเครง เพราะขำในเรื่องที่ท่านเล่า
"แต่ของผมมันไม่เหมือนกับที่หลวงพ่อเล่านะครับ" นายพันว่า
"ไม่เหมือนยังไงล่ะผู้พัน"
"คือตัวผมเองไม่อยากเปลี่ยน แล้วผมก็เป็นคนไม่เชื่อหมอดู เมียก็ไม่ด่าผม แต่ที่ผมอยากเปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุล เพราะผมติดแหง่กอยู่แค่พันเอกพิเศษมาหลายปีแล้ว ขอเลื่อนขึ้นเป็นนายพล พอนายเขาเห็นชื่อก็ฉีกทิ้งทุกที เขาว่าผมปากเสีย ก็ผมมันคนตรง นายทำมิดีมิชอบ เช่นฉ้อราษฎร์บังหลวง ร่วมมือกับพวกพ่อค้าตัดไม้ทำลายป่า ผมก็ว่าเอาไม่เกรงใจ เขาก็เลยว่าผมปากเสีย แล้วก็ไม่ยอมเลื่อนให้ผมเป็นนายพล ทั้งที่ผลงานผมมีมาก ผมก็เลยจะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลเสียใหม่เพื่อตบตานาย ได้เป็นนายพลเมื่อไหร่จะเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมนามสกุลเดิมทันที หลวงพ่อกรุณาเปลี่ยนให้ผมด้วยเถิดครับ"
"ตกลง ตกลง กรณีนี้อนุโลมได้ เอาละ เดี๋ยวอาตมาจะเปลี่ยนให้แจ๋วไปเลย แล้วก็จะเสกให้ด้วย รับรองผู้พันได้เป็นนายพลแน่ อาตมารับรองพันเปอร์เซ็นต์"
"ขอบพระคุณครับ ได้เป็นนายพลเมื่อไหร่ ผมแก้แค้นไอ้นายเฮงซวยคนนี้แน่ ๆ ผมมันคนตรงครับ ใครดีก็ว่าดี ใครชั่วก็ว่าชั่ว ไม่เหมือนไอ้พวกที่ชอบเลียแข้งเลียขา นายเลวยังไงมันก็ยกยอว่าดี นายมีเมียน้อยไปแย่งเมียชาวบ้านมา มันก็ยกย่องเมียน้อยนาย
บางคนก็ถึงกับเกาะชายกระโปรงเมียน้อยนายขึ้นมาเป็นนายพันนายพล แต่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ มันละอายใจ แล้วผมก็ว่าด้วย ไม่กลัวใครทั้งนั้น นายเขาก็เลยไม่ชอบผม แล้วก็หาว่าผมปากหมา" คนเล่าหยุดหายใจ ท่านพระครูหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง เขียนชื่อและนามสกุลให้เขาใหม่ แล้วพับใส่ซองหลับตาทำปากขมุบขมิบ เป่าเพี้ยง ๆ สองครั้งแล้วส่งให้นายพันเอกพิเศษ
"เอ้า รับรองชื่อนี้ได้เป็นนายพลแน่ แล้วอย่าลืมเปลี่ยนกลับเสียเล่า กลับมาใช้ชื่อเดิมที่พ่อแม่ตั้งให้"
"ครับ ผมขอกราบของพระคุณมากครับ โอกาสนี้ผมขอถวายปัจจัยแด่หลวงพ่อไว้สำหรับใช้สอยส่วนตัว" เขาประเคนซองสีขาวแก่ท่าน
"อ้อ ค่าจ้างเปลี่ยนชื่อหรือ" ท่านถามยิ้ม ๆ
"หามิได้ครับ ผมตั้งใจจะทำบุญอยู่แล้วครับ" เขากราบสามครั้งแล้วจึงลุกออกไป
"หลวงพ่อคะ ก็ไหนหลวงพ่อเคยพูดว่าไม่ชอบทางเสกเป่า แล้วทำไมวันนี้ หลวงพ่อทั้งเสกทั้งเป่าให้ผู้พันคนนั้นล่ะคะ" สตรีผู้หนึ่งทักท้วง
"มันจำเป็นน่ะโยม กฎทุกกฎก็ยังต้องมีข้อยกเว้น แล้วทำไมกฎของอาตมาจะมีข้อยกเว้นบ้างไม่ได้ คืออย่างนี้นะโยม ใครที่มีทุนเดิมอยู่หกสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว อาตมาถึงจะช่วย ไม่ใช่ช่วยสุ่มสี่สุ่มห้า อย่างรายนี้เขาต้องได้เป็นนายพลแน่ ๆ อยู่แล้ว อาตมาก็เลยช่วยลุ้นเขาหน่อย เอาละ ใครมีอะไรก็ว่าไป
เวลาสามทุ่ม แขกคนสุดท้ายลุกออกไปแล้ว หากท่านพระครูยังไม่ยอมลุกจากอาสนะ นายสมชายจึงถามว่า "หลวงพ่อเหนื่อยจนลุกไม่ไหวหรือเปล่าครับ ผมจะช่วยประคองขึ้นไปข้างบนนะครับ"
"ไม่ต้องหรอก แขกกำลังจะมาอีกรายนึง เจ้าหมีมันวิ่งออกไปรับถึงหน้าประตูวัดแน่ะ" ท่าน "เห็น"
"เป็นไปได้หรือครับ ก็เจ้าหมีมันไม่เคยเป็นมิตรกับใคร ทำไมเกิดจะไปญาติดีกับรายนี้"
"ก็เหลนมัน มันมีศักดิ์เป็นปู่ทวดของแขกรายนี้ เห็นไหม พอเขาลงจากรถ มันก็เข้าไปเลียแข้งเลียขา เลียหมดทุกคน ทั้งลูก ๆ เขาด้วย"
"ผมไม่เห็นหรอกครับ เพราะผมมองทะลุฝาอย่างหลวงพ่อไม่ได้" ชายหนุ่มว่า
"ถ้าอยากทำได้ก็ต้องหมั่นปฏิบัติกรรมฐาน"
"ผมว่าผมอยู่อย่างนี้ดีแล้วครับ ขืนเก่งเหมือนหลวงพ่อ ผมคงทนไม่ได้ ทำงานทั้งวันทั้งคืน แถมได้นอนวันละแค่สองชั่วโมง" พอดีกับเจ้าหมีนำ "อาคันตุกะ" เข้ามาในกุฏิ เป็นชายวัยสามสิบเศษ มากับภรรยาวัยเดียวกัน พ่วงท้ายด้วยบุตรชายหญิงวัยไล่เลี่ยกันถึงห้าคน
"หลวงพ่อครับ ผมต้องขอโทษที่มารบกวนในยามวิกาล"
"โยมมาจากไหนล่ะ" ท่านถามเหลนเจ้าหมี คนเป็นปู่ทวดส่งเสียงงี้ดง้าด แล้วก็เดินเลียลูกของเหลนอย่างรักใคร่จนครบทั้งห้าคน
"ผมมาจากภูเก็ตครับ ทำเหมืองแร่อยู่ที่นั่น ผมกำลังจะพาครอบครัวไปเที่ยวเชียงใหม่ เพื่อนเขาสั่งมาว่า ให้แวะกราบหลวงพ่อที่วัดป่ามะม่วงให้ได้ เขาบอกว่าพอถึง ก.ม.ที่ ๑๓๐ ก็ให้เลี้ยวรถเข้าไป เขาพูดถึงหลวงพ่อให้ผมฟังบ่อย ๆ จนผมอยากจะมารู้จักหลวงพ่อ เพื่อนผมเขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ เขาชื่อจรินทร์ครับ"
"อ้อ โยมจรินทร์นั่นเอง แล้วโยมทานอาหารกันมาแล้วหรือยัง หิวหรือเปล่า"
"เรียบร้อยแล้วครับ หลวงพ่อครับ ผมขอถวายปัจจัยร่วมทำบุญกับหลวงพ่อครับ ถ้ามีนักเรียนยากจนขัดสน หลวงพ่อกรุณานำเงินจำนวนนี้ไปมอบเป็นทุนการศึกษาแก่เขาด้วย ผมขอถวายหนึ่งหมื่นบาทครับ" เขาประเคนซองสีขาวแด่ท่านเจ้าของกุฏิ
"อาตมาขออนุโมทนาในกุศลจิตของโยมและครอบครัว ตกลงอาตมาจะจัดการให้ตามความประสงค์ และจะตั้งชื่อทุนนี้ว่า "ทุนเสริมสมอง" ถ้าใครจะมาสมทบอีก อาตมาก็จะได้ตั้งเป็นมูลนิธิ การช่วยให้คนยากจนได้เรียนหนังสือ จะทำให้ได้อานิสงส์คือลูกหลานของเราก็จะเรียนหนังสือเก่งและได้เป็นเจ้าคนนายคน อาตมาขออนุโมทนา"
เมื่อเขาลากลับ เจ้าหมีก็กุลีกุจอไปส่งถึงรถ เลียแข้งเลียขาเหลนและลูก ๆ ของเหลน และวิ่งตามรถเบ๊นซ์คันนั้นไปจนถึงประตูหน้าวัด แล้วก็มิได้กลับเข้ามานอนที่กุฏิชั้นล่างเหมือนดังแต่ก่อน ท่านพระครู "รู้" ว่ามันจะลาโลกนี้ไปในวันรุ่งขึ้น เพราะหมดห่วงแล้ว เหลนของมันได้มาทำบุญที่วัดป่ามะม่วงตามที่มันคาดหวังและรอคอยมานาน
รุ่งเช้า หญิงชราที่เข้ามาปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในวัดป่ามะม่วงได้มาเล่าให้ท่านพระครูฟังว่า พบเจ้าหมีนอนหายใจระทดระทวยอยู่หน้ากุฏิกรรมฐาน จึงเรียกคนมาช่วยกันอุ้มมันไปอาบน้ำถูสบู่จนสะอาดสะอ้าน แล้วปูผ้าขาวให้มันนอน มันก็นอนตายอย่างสงบ เมื่อเวลาประมาณ ๙ นาฬิกา
ท่านพระครูรับทราบแล้วจึงให้นายสมชายไปนิมนต์เณร ๔ รูปมาบังสุกุลให้มันพร้อมกับนำเงินใส่ซองถวายเณรไปรูปละ ๕๐ บาท
บังสุกุลแล้ว นายสมชายก็จัดการขุดหลุมฝังศพเจ้าหมีไว้ที่ใต้ต้นปีบ เจ้าโฮมกับเจ้าขาวมาร่วมงานฝังศพพี่ชายของมันด้วย แต่มิได้ร้องไห้ คนที่ร้องไห้จะเป็นจะตายก็คือนายขุนทอง!
ก่อนเข้าสู่พิธีมงคลสมรสซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๘ นายสมชายก็เข้ากรรมฐานเป็นเวลา ๑๕ วัน ตามที่ได้สัญญาไว้กับท่านพระครู ชายหนุ่มตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อจะให้ได้บุญเท่ากับบวชหนึ่งพรรษา
ในวันสุดท้ายของการปฏิบัติ เขารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจนัก กลอนบทหนึ่งผุดขึ้นในความคิดและเขาก็จำได้แม่นยำทุกตัวอักษร
โลกวุ่นนักขัดข้องลองมานี่
เพราะเรามีธัมมะจะให้ท่าน
ป่ามะม่วงร่มเย็นให้เป็นทาน
อย่าได้ผ่านไปเปล่าเชิญเข้ามา
เมื่อตนได้ลิ้มรสแห่งความสุขอันเกิดจากความสงบแล้ว จึงอยากให้คนเป็นคู่หมั้นได้มาสัมผัสกับสภาวะเช่นนี้บ้าง จึงไปเรียนปรึกษาท่านพระครู เพื่อขออนุญาต เพราะเหลือเวลาอีกตั้ง ๒๐ วัน กว่าจะถึงวันแต่งงาน
"เป็นความคิดที่ดีทีเดียว ฉันอยากให้คู่สมรสทุกคู่เขาคิดอย่างเธอ เพราะจะทำให้ชีวิตแต่งงานเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยต่างฝ่ายต่างก็มีธรรมเสมอกัน" ท่านพระครูเห็นดีเห็นงามไปด้วย
"ให้เขาเข้าสักเจ็ดวันก็พอนะครับหลวงพ่อ เวลาที่เหลือจะได้เอาไว้เตรียมงาน" ชายหนุ่มออกความเห็น
"ก็ได้ เจ็ดวันก็ได้ ตามใจเขาก็แล้วกัน"
"แล้วผมจะรวยไหมครับหลวงพ่อ พากันมาเข้ากรรมฐานแล้วจะรวยอย่างทิดจ่อยกับพี่จุกเขาหรือเปล่า"
"แน่นอน ถึงไม่รวยโภคทรัพย์ ก็รวยอริยทรัพย์ หรือไม่ก็รวยทั้งสองอย่าง"
"อริยทรัพย์คืออะไรครับ" ชายหนุ่มไม่เข้าใจ
"คือทรัพย์อันประเสริฐ ทรัพย์ในที่นี้ก็คือคุณธรรมประจำใจอย่างประเสริฐ ๗ ประการ ได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ และ ปัญญา" ท่านพระครูอธิบาย ครั้นเห็นคนเป็นศิษย์ทำหน้าไม่เข้าใจ จึงขยายความต่อไปอีกว่า
"อริยทรัพย์เป็นทรัพย์ที่อยู่ภายในจิตใจ จึงดีกว่าทรัพย์ภายนอก เพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิง ทั้งยังไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่าง ๆ ทำใจให้ไม่อ้างว้างยากจน และเป็นทุนสร้างทรัพย์ภายนอกได้ด้วย"
"แต่ผมคิดว่าทรัพย์ภายนอกดีกว่านะครับ เพราะใช้ซื้ออะไรต่อมิอะไรที่ต้องการได้" ชายหนุ่มแย้ง
"เธอมันก็เป็นเสียอย่างนี้ ชอบตะแบงอยู่เรื่อย ๆ ฉันไม่อยากพูดกับเธอแล้ว พูดไปก็เหมือนเป่าปี่ให้ความฟัง" ท่านพระครูเปรียบเทียบค่อนข้างรุนแรง
"โธ่หลวงพ่อ อยู่ดีไม่ว่าดี มาด่าผมว่าเป็นความซะแล้ว คนอย่างผมออกฉลาดปราดเปรื่อง" ศิษย์วัดโวยวาย
"ใช่ซี คนอย่างเธอน่ะฉลาด แต่ฉลาดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ส่วนเรื่องที่เป็นเรื่องกลับไม่ฉลาด" ท่านหลีกเลี่ยงไม่ใช่คำว่า "โง่"
"ทำไมจะไม่เป็นเรื่องเล่าครับ หลวงพ่อให้ผมเข้ากรรมฐาน ผมก็เข้าแล้ว แถมยังจะให้คู่หมั้นมาเข้าอีกด้วย แล้วอย่างนี้ไม่ฉลาดหรือครับ นี่ผมชักน้อยใจแล้วนะ หลวงพ่อไม่เคยเห็นความดีของผมเลย" คนพูดรู้สึกน้อยใจจริงดังวาจา
"เข้าเค้าแล้ว" ท่านเจ้าของกุฏิพูดยิ้ม ๆ
"มีอะไรอีกหรือครับ" ถามงง ๆ
"เธอเคยได้ยินคนเขาพูดกันไหมว่า คนหัวล้านมักใจน้อย แสดงว่าใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว"
"เถอะครับ อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิด ผมไม่อยากจะคิดมากแล้ว" ชายหนุ่มพูดปลง ๆ
"ดี คิดอย่างนั้นได้ก็ดี จะได้ไม่มีทุกข์ ว่าแต่ว่าเรามาพูดเป็นงานเป็นการกันดีกว่า ฉันคิดว่าหลังจากเธอแต่งงานแล้ว เธอก็ต้องย้ายไปอยู่บ้านผู้หญิงเขา แล้วฉันก็จะต้องหาคนมาอยู่รับใช้แทนเธอ เจ้าขุนทองคนเดียวมันคงไม่ไหว แล้วฉันก็ไม่ค่อยจะไว้วางใจมันสักเท่าไหร่ เจ้านี่มันคุ้มดีคุ้มร้าย เอาแน่ไม่ได้ เธอคิดจะไปหางานอื่นทำหรือว่าจะยังมาขับรถให้ฉันล่ะ พูดมาตรง ๆ เลยไม่ต้องเกรงใจ"
"ผมจะมารับใช้หลวงพ่อเหมือนเดิมครับ แต่ขอมาเช้าเย็นกลับ หรือถ้าวันไหนหลวงพ่อจะต้องไปธุระตั้งแต่ตีสี่ ผมก็จะมานอนที่วัด รับรองว่าไม่ให้บกพร่องในหน้าที่เลยครับ" ชายหนุ่มให้คำมั่นสัญญา
"ดีแล้ว ขอบใจที่ยังเป็นห่วง แล้วฉันก็จะขึ้นเงินเดือนให้เธอจากเดือนละพันเป็นเดือนละพันสอง พอใจไหม"
"เป็นพระคุณอย่างสูงครับ ว่าแต่ว่าหลวงพ่อจะให้ใครมาอยู่แทนผมครับ" เขาถาม
"ฉันก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกัน เธอพอจะมองเห็นใครที่จะเข้ากับเจ้าขุนทองได้บ้าง คือมาอยู่แล้วจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันให้ฉันต้องปวดหัวน่ะ" ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งจึงตอบว่า
"เจ้าสมชาติน้องชายผมซีครับหลวงพ่อ เจ้าหมอนี่มันใจเย็นแล้วก็ไม่ขัดใจใคร เจ้าขุนทองต้องชอบแน่ ๆ เลย"
"แล้วตอนนี้เขาทำงานอะไร เธอคิดว่าเขาจะมาอยู่กับฉันหรือ"
"มาแน่ครับ เจ้านี่มันเชื่อผม แล้วมันก็เคยบ่นว่าขี้เกียจทำนา คงไม่มีปัญหารับ เรื่องนี้ผมจะจัดการให้เรียบร้อย" ศิษย์วัดรับคำแข็งขัน
"งั้นก็รีบไปจัดการเสียเลย ให้มาวันนี้พรุ่งนี้ได้ยิ่งดี"
แล้ววันสำคัญที่สุดในชีวิตของนายสมชายก็มาถึง เป็นวันที่เขาแต่งตัวอย่างหล่อเหลาที่สุด และเจ้าสาวของเขาก็สวยสะดุดตากว่าทุกวัน
แขกเหรื่อพากันมาร่วมงานอย่างคับคั่ง และส่วนมากก็เป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านพระครู โดยเฉพาะเถ้าแก่บ๊กนั้น "รับไหว้" คู่บ่าวสาวเป็นเงินถึงหนึ่งหมื่นบาท
เมื่อหายจากโรคร้าย บุรุษนั้นไม่ลืมวาจาที่เคยพูดไว้ ว่าจะให้เทวดาที่ต่ออายุให้ โดยคิดเฉลี่ยปีละหมื่นและเพราะเห็นว่านายสมชายมีบุญคุณ นำยามาให้อย่างสม่ำเสมอ จึงตั้งใจจะช่วยเหลือเขาจนสุดความสามารถ
หลังจากปฏิบัติกรรมฐานอยู่ที่วัดป่ามะม่วงครบสามเดือนแล้ว ชายชราจึงกลับบ้าน และนำเงินมาถวายท่านพระครูห้าหมื่นบาท เพื่อสมทบทุนสร้างหอประชุม และทุนเสริมสมอง รายการละสองหมื่นบาท ส่วนอีกหนึ่งหมื่นบาทเขาถวายท่านพระครูไว้สำหรับใช้จ่ายส่วนตัว ซึ่งเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็ได้นำเงินจำนวนนั้นมา "รับไหว้" คนเป็นศิษย์
เพียงสองรายแรก คู่บ่าวสาวก็ได้เงินก้นถุงเป็นจำนวนถึงสองหมื่นบาท แล้วก็ยังมีรายละห้าพันบาทอีกสามรายคือ เถ้าแก่เส็ง คหบดี และอาจารย์ชิต โดยเฉพาะอาจารย์ชิตนั้นได้กำชับนักกำชับหนาว่าหากนายสมชายจะแต่งงานให้ส่งการ์ดเชิญไปให้เขาด้วย เพราะต้องการจะตอบแทนบุญคุณที่ชายหนุ่มได้ดูแลช่วยเหลือเขาเป็นอย่างดีระหว่างที่ป่วยอยู่ที่วัดป่ามะม่วง
นอกจากรายใหญ่ ๆ ห้ารายแล้ว ก็มีรายละพัน รายละห้าร้อย ลดหลั่นลงมาเรื่อย ๆ และรายที่น้อยที่สุดก็คือห้าบาท ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดและส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงซึ่งจะยกกันมาทั้งครอบครัว แล้วพากันกินอย่างอิ่มหนำสำราญด้วยเงินช่วยเพียงห้าบาทเท่านั้น
สัปดาห์ต่อมานายสมชายก็พาภรรยามากราบท่านพระครูที่วัดป่ามะม่วงและนำเงินมาถวายห้าหมื่นบาท
"ผมขอถวายคืนหลวงพ่อ เพื่อสมทบทุนสร้างหอประชุมตามเจตนารมณ์ของคหบดีเขาครับ" เขาเรียนชี้แจง
"ไปเอาเงินมาจากไหน" ท่านเจ้าของกุฏิถาม
"เงินที่เขารับไหว้และเงินช่วยงานครับ เบ็ดเสร็จได้ถึงเจ็ดหมื่น เพราะบารมีของหลวงพ่อทีเดียว ผมถึงได้เงินช่วยมากมายถึงปานนี้ แถวบ้านผมไม่เคยมีใครได้มากเท่านี้มาก่อนเลยครับ" ชายหนุ่มพูดอย่างภูมิใจ
"แต่ถ้าเธอจะทำบุญก็ถือว่าเป็นเงินของเธอนะ เพราะคหบดีเขาให้เธอแล้ว เป็นอันว่างานนี้คหบดีได้บุญสองต่อ" ท่านเจ้าของกุฏิกล่าว
"ครับ งั้นผมก็โชคดีที่ได้ทำบุญเป็นเงินจำนวนมากมายอย่างนี้"
"แหม ถ้าหนูแต่งแล้วได้เงินช่วยมาก ๆ ยังงี้คงดีใจตายเลย" นายขุนทองว่า
"ถ้างั้นก็อย่าแต่งเลยวะ ข้ายังไม่อยากให้เอ็งตาย อยากให้อยู่รับใช้หลวงพ่อไปก่อน" คนมากวัยกว่าออกความเห็น
"แหม พี่ละก็ หนูแค่พูดเล่น ๆ เท่านั้นเอง อยู่กะหลวงลุง ขืนดีใจตายก๊อเสียชื่อหลวงลุงแย่ หนูรู้หรอกน่าเวลาดีใจมาก ๆ ต้องกำหนด "ดีใจหนอ ดีใจหนอ" รับรองว่าไม่ตาย" หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดบวกอีกหนึ่งอธิบาย ท่านเจ้าของกุฏิจึงกล่าวเสริมอีกว่า
"เออ รู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว คนเราสมัยนี้ไม่ค่อยจะฝึกสติกัน ดีใจมากก็ช็อคตาย เพราะไม่รู้จักกำหนดสติ ไม่รู้จักวางเฉยในโลกธรรมทั้งฝ่ายอิฏฐารมณ์ และ อนิฏฐารมณ์ บางคนถูกรางวัลที่หนึ่งตั้งห้าแสนแต่กลับไม่ได้ใช้เงินแม้แต่บาทเดียว เพราะดีใจจนช็อคตายไปเสียก่อน"
"ก็เขาไม่ได้มาเรียนกรรมฐานกับหลวงลุง จึงไม่รู้จักกำหนด "ดีใจหนอ ดีใจหนอ" ถ้าเป็นขุนทองเรอะ ส.บ.ม."
"แต่พูดกับทำไม่เหมือนกันหรอกนะเจ้าขุนทอง ข้าว่าเอ็งน่าจะลองปฏิบัติดู ไม่ใช่รู้แต่ทฤษฎี คนที่เรียนว่ายน้ำจากทฤษฎี พอตกน้ำก็ตายเรียบร้อยทุกราย"ท่านเจ้าของกุฏิเปรียบเทียบ
"เอาไว้วันหนังหนูค่อยลอง รอให้ใจคอมันปลอดโปร่งกว่านี้อีกสักหน่อย" หลานชายผัดผ่อน
"มัวผัดวันประกันพรุ่งอยู่นั่นแหละ ระวังจะสายเกินไป" ท่านพระครูเตือน
"เถอะน่า รับรองว่าไม่สาย ไว้ใกล้ ๆ แต่งงานแล้วหนูค่อยเข้ากรรมฐาน แบบพี่สมชายไง" ชายหนุ่มให้เหตุผล
"แล้วตอนนี้จวนหรือยัง จวนแต่งหรือยังจ๊ะ" ภรรยานายสมชายกระเซ้า
"จวนแล้วฮ่ะ ยังขาดอีกอย่างเดียว" เขาตอบ
"ขาดอะไร เผื่อพี่พอจะหาให้ได้" หล่อนแสดงน้ำใจไมตรี
"ยังขาดเจ้าบ่าวฮะ นอกนั้นพร้อมแล้ว"
"มันจะมากไปเจ้าขุนทอง มันจะมากไป" ท่านพระครูว่าคนเป็นหลาน
"ไม่มากหรอกหลวงลุง ไม่เชื่อหลวงลุงจะลองดูก็ได้ ลองหาเจ้าบ่าวมาให้หนูซักคน แล้วดูซิว่าหนูจะยอมเข้ากรรมฐานหรือไม่"
"ข้าไม่รู้จะไปหาที่ไหนมาให้เอ็ง ถ้าหาเจ้าสาวละก็พอจะหาให้ได้" คนเป็นสมภารรู้สึกอ่อนใจ
"อุ๊ย หนูจะเอามาทำไมเจ้าสาวน่ะ ก็หนูเป็นเจ้าสาวอยู่แล้ว ขืนหามาอีกได้ฟ้าผ่าตายปะไร หลวงลุงนี่พิลึกจริง ๆ"
"ข้าว่าเอ็งนั่นแหละพิลึก สมชายเธอเห็นด้วยไหม" ท่านถามคนเป็นศิษย์
"อย่าไปเถียงกับมันเลยครับหลวงพ่อ ปวดหัวเปล่า ๆ มันจะว่ายังไงก็ปล่อยให้มันว่าไปคนเดียว อ้อหลวงพ่อครับ เจ้าสมชาติน้องชายผมไปไหนเสียล่ะครับ" ชายหนุ่มถามถึงน้องชายซึ่งได้มาอยู่รับใช้ท่านพระครูแทนเขาประมาณสิบวันแล้ว
ช่วงก่อนแต่งงานเขามีธุระยุ่งมาก ประกอบกับท่านเจ้าของกุฏิไม่ได้มีธุระไปไหน เขาจึงไม่ได้มาวัดและไม่เห็นน้องชายเสียหลายวัน ท่านพระครูยังไม่ทันตอบ คนถูกถามหาก็เดินเข้ามาพอดี
"อุ๊ยตาย พี่สมชาย พี่แป้งร่ำ มายังไงกันนี่ แหม ดีใจ๊ดีใจ" คนชื่อสมชาติทักทายดวยเสียงมีจริตจะก้าน นายสมชายมองหน้าท่านพระครู เหมือนจะถามว่าได้เกิดอะไรขึ้น
"ดูเอาเอง" ท่านเจ้าของกุฏิตอบโดยไม่รอให้ถาม
"สมชาติ เอ็งเป็นอะไรไป ก็เป็นผู้ชายอยู่ดี ๆ ไหงมากระตุ้งกระติ้งยังกะผู้หญิงล่ะ" คนเป็นพี่ชายสงกา
"ก็ถามขุนทองเขาดูซี นิขุนทองนิ" ชายหนุ่มหันไปพยักพเยิดกับนายขุนทอง หนุ่มวัยยี่สิบสองหมาด ๆ ยิ้มอย่างมีชัยแล้วว่า
"เขาเรียกออสโมซิสฮ่ะ คนเราจะอยู่ด้วยกันก็ต้องมีอะไร ๆ ที่คล้ายคลึงกัน ถึงจะอยู่ด้วยกันยืด"
"แล้วที่เองอยู่กับข้ามานาน ทำไมเอ็งถึงไม่ปรับตัวให้เหมือนข้าหือ"นายสมขายแย้ง
"พี่ไม่ปรับตัวเขาหาหนูต่างหากล่ะ สมชาติเขาฉลาดกว่าพี่เยอะตรงที่รู้จักปรับตัว." คนเป็นหลานท่านพระครูว่า
"เอาอีกแล้ว ว่าข้าโง่อีกแล้ว" สามีนางแป้งร่ำว่า
"พี่สองคนมาธุระอะไรหรือเปล่าฮะ" นายสมชาติถามขึ้น คนเป็นพี่ชายจึงว่า
"ก็จะมาดูเอ็งนั่นแหละว่าอยู่สุขสบายดีหรือเปล่า"
"แล้วพี่เห็นว่าหนูสบายหรือเปล่าล่ะฮะ คนเป็นน้องย้อนถาม"
"ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ที่รู้แน่ ๆ คือตัวข้านี่แหละยังไม่สบาย มาเห็นเอ็งเป็นแบบเจ้าขุนทองไปอีกคน บอกตามตรงว่าข้าไม่สบายใจเลย หลวงพ่อทำไมเลี้ยงผู้ชายให้กลายเป็นผู้หญิงล่ะครับ" เขาถือโอกาสต่อว่าท่านพระครู
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เลี้ยงมันเหมือนที่เลี้ยงเธอทุกอย่างนั่นแหละ แต่ทำไมมันถึงไม่เหมือนเธอก็ไม่รู้"
"ต้องยกให้เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม ใช่ไหมครับ"
"ก็คงต้องเป็นยังงั้น แต่ที่เธอเห็นนี่ยังไม่เท่าที่ฉันเห็นหรอก" ท่านโน้มตัวมากระซิบข้างหูคนเป็นศิษย์ว่า
"ที่ฉันเห็นนะ เจ้าสองคนนี่มันเพี้ยนหนักกว่านี้อีก เวลามีพวกเด็กหนุ่ม ๆ หล่อ ๆ มาเข้ากรรมฐาน มันจะแวะเวียนไปแถวกุฏิกรรมฐานวันละหลายเวลา ไปแอบดูเขาแล้วก็เอามาวิพากษ์วิจารณ์ว่าหล่อยังงั้นยังงี้ บางทีก็ย่างกันเสียด้วยซ้ำ ท่าทางมันจะกู่ไม่กลับทั้งคู่นั่นแหละ" ท่านพระครูแฉพฤติกรรมของคนทั้งสอง
"หลวงลุงนินทาอะไรหนู" หลานชายว่า
"ข้าเปล่านินทา ข้าพูดความจริงต่างหากล่ะ"
"ก็ถ้าพูดความจริงแล้วทำไมต้องกระซิบด้วยล่ะฮะ" นายขุนทองแย้ง
"นั่นเพราะเอ็งไม่ยอมรับความจริงต่างหากล่ะ ข้าก็เลยต้องกระซิบน่ะซี หรือเอ็งจะเถียง"
"ไม่เถียงก็ได้ฮะ ว่าแต่ว่าหลวงลุงลงรับแขกเถอะฮ่ะ หนูปล่อยให้พวกเขารอนานแล้ว" หลานชายเตือนนายสมชายและภรรยาจึงกราบลาท่านเจ้าของกุฏิ
"ถ้าหลวงพ่อจะมีธุระไปไหนก็ให้เจ้าสมชาติไปตามผมนะครับ แต่ถ้ายังไม่มี ผมก็จะขอพักอีกสักสองสามวันแล้วค่อยมาทำงาน"
"ไม่เป็นไร เชิญพักผ่อนตามสบายเถอะ ฉันยังไม่มีรายการไปไหนในช่วงนี้ ว่าจะสะสางให้เสร็จ ๆ เสียที โดยเฉพาะงานเขียนหนังสือ" ก่อนกลับชายหนุ่มยังสั่งนายขุนทองและนายสมชาติว่า
"เอ็งสองคนช่วยกันดูแลหลวงพ่อให้ดีนะ อย่ามัวแต่ไปเที่ยวแอบดูหนุ่ม ๆ ล่ะ"
"รับรองฮ่ะ ทีนี้ถ้าจะไปก็จะผลัดเวรกันไป จะไม่ไปพร้อมกัน ใช่ไหมขุนทอง" คนชื่อสมชาติพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
"ใช่แล้วสมชาติ" คนพูดตั้งใจลากเสียงยาวจนเกิดความจำเป็น
เมื่อท่านพระครูลงรับแขกที่กุฏิชั้นล่าง มีเจ้าทุกข์รออยู่แล้วประมาณยี่สิบคน สตรีวัยห้าสิบเศษเข้ามากราบ
"จะให้ช่วยอะไรหรือโยม" ท่านเอ่ยขึ้นก่อน
"คืออย่างนี้ค่ะ ลูกชายดิฉันมันหลงเมียเสียจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ดิฉันทนไม่ได้ค่ะ"
"ทำไมถึงทนไม่ได้ล่ะโยม"
"มันหมั่นไส้ค่ะ หมั่นไส้เหลือเกิน" คนเป็นแม่ผัวตอบ
"อย่าไปหมั่นไส้เขาเลย เราน่าจะดีใจเสียอีกที่เห็นเขารักใคร่ปรองดองกัน คนเป็นแม่จะต้องมีมุทิตาจิต ไม่ใช่ไปหมั่นไส้เขา นะโยมนะ"
"มันทำใจไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ ดิฉันไม่เคยพบเห็นผู้ชายที่ไหนหลงเมียถึงปานนี้ ขนาดพ่อเด็กเขาก็ยังไม่เคยหลงดิฉันอย่างนี้มาก่อน"
"โยมก็เลยอิจฉาลูกสะใภ้ใช่ไหมล่ะ" ยังไง ๆ ท่านก็เข้าข้างคนเป็นสะใภ้ เพราะยังจำฤทธิ์ร้ายของคนเป็นแม่ผัวในอดีตชาติได้ดี แม้ปัจจุบันจะไม่เคืองแค้น หากก็ยัง "จำ" ความร้ายกาจของฝ่ายนั้นได้
"มันก็ไม่เชิงอิจฉานะคะ ถ้าเขาจะทำตัวดีกว่านี้ ดิฉันจะไม่อิจฉาเขาเลยค่ะ"
"เขาทำตัวยังไงล่ะ"
"โอ๊ย อย่าให้พูดเลยค่ะหลวงพ่อ พูดแล้วมันช้ำใจ" ว่าแล้วก็ร้องไห้ด้วยเคียดแค้นชิงชังในคนเป็นสะใภ้
"ก็ถ้าไม่พูดแล้วอาตมาจะรู้ได้ยังไงล่ะ"
"จริงซีคะ แหม ดิฉันไม่น่าโง่เลย" นางว่าตัวเอง แล้วเริ่มต้นเล่าเป็นฉาก ๆ อย่างชำนิชำนาญ เพราะเคยเล่าให้เพื่อนบ้านฟังทุกบ้านและทุกวันจนหาคนฟังไม่ได้ จึงต้องมาวัดป่ามะม่วงเพื่อเล่าให้ท่านพระครูฟัง
"คืออย่างนี้นะคะหลวงพ่อ ลูกสะใภ้ของดิฉันน่ะ สวยก็ไม่สวยความรู้ก็ไม่สูง กิริยามารยาทหรือก็ไม่บ่งบอกว่าเป็นชาติผู้ดี แถมฐานะก็ยากจนข้นแค้น ดิฉันก็ไม่รู้ว่าไอ้ลูกชายของดิฉันมันไปหลงได้ยังไง ดิฉันจะไปขอลูกสาวเศรษฐีให้ เขาทั้งสวยทั้งรวยมันก็ไม่สนใจเขา ดันไปคว้าแม่นี่มาเป็นเมีย"
"ก็เขาชอบของเขานี่โยม เขาคงจะเป็นเนื้อคู่กัน ปล่อยเขาไปเถอะอย่าไปยุ่งกับเขาเลย" สมภารวัดป่ามะม่วงกล่าวเตือน
"ไม่ยุ่งได้ยังไงล่ะคะ หลวงพ่อดิฉันสงสารลูกชายค่ะ มันใช้ลูกชายฉันยังกะขี้ข้า หาเงินมาเลี้ยงมันแล้วยังต้องมานั่งหุงข้าวทำกับข้าวให้มันกิน ต้องซักผ้าให้ ซักแม้กระทั่งกางเกงในของมัน ขนาดดิฉันเป็นแม่แท้ ๆ ยังไม่เคยให้ลูกซักกางเกงใน" คนเป็นแม่ผัวพรรณนา
"มันจะมากไป มันจะมากไป ถ้าถึงขนาดให้ผัวซักผ้าให้แบบนั้นก็แย่น่ะซี คนอย่างนี้หากินไม่ขึ้น โบราณเข้าถือนักหนา ผู้ชายที่รักเมียถึงขนาดนี้ อาตมาไม่สรรเสริญแน่ ไม่น่าสรรเสริญเลย" เป็นครั้งแรกที่ท่านเข้าข้างแม่ผัว
"แล้วดิฉันจะทำยังไงคะหลวงพ่อ"
"พามาหาอาตมา แล้วจะช่วยอบรมให้ พามาทั้งสองคนนั่นแหละ"
"ค่ะ แล้วดิฉันจะพามา ของพระคุณหลวงพ่อมาก ดิฉันถือโอกาสกราบลาละค่ะ"
รายต่อมาเป็นบุรุษวัยห้าสิบเศษ หน้าตาเขาหมองคล้ำเหมือนคนที่กำลังมีทุกข์อย่างหนัก กราบท่านพระครูแล้วจึงเรียนว่า "เรื่องของผมเป็นความลับครับ ถ้าหลวงพ่อจะกรุณา ผมอยากปรึกษาตัวต่อตัวครับ"
"ไม่เป็นไร พูดเบา ๆ พอได้ยินกันสองคนก็ได้ โยมมีอะไรก็ว่าไปเลย" ท่านไม่อนุญาตให้ขึ้นข้างบน ด้วยเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น
"คืออย่างนี้ครับหลวงพ่อ คุณแม่ผมอายุแปดสิบ แล้วแกก็หลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่เจ็ดสิบ ผมไม่กล้าพาไปไหน เพราะอับอายขายหน้ามาก แกมีพฤติกรรมอย่างหนึ่งที่ใคร ๆ เห็นเข้าก็ต้องตำหนิติเตียน ผมจะบาปไหมครับถ้าเอาความลับของผู้บังเกิดเกล้ามาเปิดเผยให้หลวงพ่อทราบ"
"โยมมีจุดประสงค์อะไรที่ต้องทำเช่นนั้นล่ะ คือหมายถึงว่าโยมมีเจตนาดีหรือเจตนาร้ายต่อท่าน"
"เจตนาดีครับ ที่ต้องเอามาเปิดเผยก็เพื่อจะช่วยแกน่ะครับ เมื่อหลวงพ่อฟังแล้วเผื่อจะแนะนำผมได้ว่าจะมีวิธีแก้อย่างไร" ท่านเจ้าของกุฏิตอบเขาว่า
"ถ้าอย่างนั้นก็ไม่บาป เพราะโยมทำด้วยเจตนาดี" เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาได้ยิน แล้วจึงเล่าด้วยเสียงที่เบาที่สุด
"คือแม่ผมแกชอบล้วงเข้าไปในผ้านุ่งครับ เอามือล้วงเข้าไปตรงนั้นแล้วก็ควักมาดม เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อายุยังไม่เจ็ดสิบ ผมไม่กล้าพาแกไปไหน เพราะอับอายชาวบ้าน ก่อนหน้าที่ผมไม่ทราบว่าแกมีพฤติกรรมอย่างนี้ ผมก็พาแกไปทอดกฐินที่วัดต่างจังหวัด ซึ่งผมเป็นประธานของงาน ความที่ผมอยากให้แม่ได้บุญเลยพาแกไปด้วย แล้วแกก็ไปทำอย่างนี้ ทำให้ผมกับภรรยาอับอายเขามาก เพราะกรรมอะไรครับ แล้วผมจะแก้ไขอย่างไร" ท่านพระครูรู้สึกสังเวชใจที่ได้ยินได้ฟัง และท่านก็เห็นกฎแห่งกรรมของสตรีวัยแปดสิบอย่างทะลุปรุโปร่ง
"มันเป็นกฎแห่งกรรมน่ะ โยมคุณแม่ของโยมทำกรรมไว้ตอนสาว แล้วกรรมนั้นก็มาให้ผลในตอนแก่ โดยอยากทราบไหมว่าท่านทำกรรมอะไรไว้"
"อยากทราบครับ กรุณาบอกผมด้วยเถิดครับ"
"โยมเชื่อเรื่องเสน่ห์ยาแฝดหรือเปล่า เรื่องผู้หญิงที่ชอบทำเสน่ห์ให้สามีหลง เคยได้ยินไหม"
"เคยได้ยินครับ แต่ไม่ค่อยจะเชื่อว่าจะเป็นไปได้ คือผมหมายถึงว่ามันจะได้ผลน่ะครับ" คนมีแม่อายุแปดสิบตอบ
"จะได้ผลหรือไม่ได้ผล มันก็ขึ้นอยู่กับคนถูกทำนะโยม ถ้าคนถูกทำจิตอ่อนก็ได้ผล แต่ถ้าเขาจิตแข็ง เสน่ห์ยาแฝดที่ว่าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ทีนี้ในกรณีของคุณแม่โยมนั้นได้ผล เพราะคนพ่อโยมเป็นคนจิตอ่อน ที่อาตมาพูดมานี้โยมอาจจะไม่เชื่อ เพราะฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระใช่ไหม แต่ถ้าโยมคิดและพิจารณาตามหลักของเหตุผลแล้ว พฤติกรรมของคุณแม่โยมเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีที่สุด"
คำพูดของท่านพระครู ทำให้บุรุษวัยห้าสิบเศษหวนระลึกถึงเหตุการณ์สมัยที่เขายังเด็ก และมารดามักจะนั่งคร่อมบนอาหารที่จะให้บิดารับประทาน และหากเป็นผักสดและผลไม้ นางก็จะเอาซุกเข้าไปในผ้านุ่งเช็ดถูกับบริเวณใต้ท้องน้อยแล้วจึงนำไปให้บิดารับประทาน ท่านเจ้าของกุฏิให้เวลาเขาในการรำลึกนึกย้อนกลับไปยังอดีต เสร็จแล้วจึงพูดขึ้นว่า
"เรื่องการทำเสน่ห์มันเป็นไสยศาสตร์ เป็นเดรัจฉานวิชา เมื่อคนถูกทำเสน่ห์ตายลง มันก็จะกลับมาหาตัวคนทำ โยมสังเกตหรือเปล่า คุณแม่โยมเริ่มมีพฤติกรรมแบบนี้หลังจากที่คุณพ่อเสียไปแล้ว"
"ครับ คงจะจริงอย่างที่หลวงพ่อว่า คุณพ่อผมเสียชีวิตตอนคุณแม่อายุหกสิบเศษ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน คุณแม่ก็มีพฤติกรรมแปลก ๆ อย่างที่เป็นอยู่" คนพูดรู้สึกร้อนอกร้อนใจที่มารดามามีอันเป็นเช่นนี้ได้
"ผมจะช่วยแกได้อย่างไรครับ" ถามเสียงละห้อย
"ช่วยไม่ได้หรอกโยม คนแก่จนหลงแล้วไม่มีทางแก้ได้ ต้องปล่อยไปตามกรรมของเขา สิ่งที่เกิดแล้วแก้ไม่ได้ ในกรณีนี้แก้ไม่ได้ โยมจำไว้เลย แล้วก็ไปสอนลูกหลานว่าอย่าไปทำเสน่ห์ สามีเขาจะรักหรือไม่รักก็ช่างเขา เพราะมันจิตใจของเขา เราไปห้ามไม่ได้ ถ้าไปทำเสน่ห์ให้เขามารัก บาปกรรมจะต้องตกอยู่ที่ตัวเรา เพียงแต่ว่ามันจะปรากฏผลให้เห็นเร็วหรือช้าเท่านั้น อาตมาเสียใจที่ไม่อาจช่วยคุณแม่ของโยมได้"
"แต่ถึงจะช่วยแม่ไม่ได้ แต่ก็ช่วยผมได้ครับ เพราะเมื่อผมรู้เช่นนี้แล้วก็ทำใจได้ แม่แกเป็นคนทำกรรม แกก็ต้องรับผลของมัน แล้วผมก็จะสอนลูกหลานไม่ให้เอาเยี่ยงอย่างแก ถึงอย่างไรผมก็ได้รับประโยชน์จากการมาครั้งนี้ครับ" เขากล่าวด้วยใบหน้าที่ดูดีขึ้นนิดหนึ่ง นิดเดียวจริง ๆ




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2012, 13:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


.. :b8:
อนุโมทนาแ้ล้วๆๆ..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 156 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron