วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 03:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
nongkong เขียน:
สวัสดีคุณลูกพระป่า :b8: (ไม่ได้คุยกันนานคิดถึง :b32: ) ขอร่วมแสดงความคิดเห็นนิดหน่อย ตามภูมิปัญญาของตนเจ้าค่ะ
ปฏิฆะเป็นกิเลศสังโยชน์ ถ้ามีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก็จะกลายเป็นโทสะได้เช่นกัน รวมถึง อริยะบุคคลก็เกิดโทสะได้ เกิดโทสะในด้าน มานะทิฏฐิ สมมติง่ายๆนะเจ้าค่ะ มีคนมากล่าวหาคุนน้องขโมยตัง คุนน้องก็บอกว่าไม่ได้ขโมย สาบานได้ คุนน้องก็ยืนกรานว่าไม่ได้ขโมยสาบานได้ แต่ก็ไปเรียกตำรวจมาจับคุนน้องเข้าคุก นี่แหละเจ้าค่ะ เหตุปัจจัยทำให้เกิดโทสะ แล้วเราอาจจะบันดาลโทสะไปด้วยการ สาปแช่ง ด่าทอ ขอให้คนที่กล่าวหาว่าเรา ขอให้มันเป็นอย่างงั้นเป็นอย่างงี้ อะไรทำนองนี้เจ้าค่ะ คือมีการยึดผิดอยู่ นี่แหละเรียกว่า พยาบาท หรือมี โทสะ ถ้าเอาสังโยชน์ปฏิฆะออกไม่ได้ การกระทบกระทั่งในใจเราก็เกิดอยู่ แต่เราก็เห็นกระแส สติระลึกรู้หรือบางครั้งเราก็ส่งจิตออกนอกปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยเจ้าค่ะ :b1: :b43:

สวัสดีครับคุณnongkong :b8:
ยินดีและขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณnongkong ด้วยครับ โดยเฉพาะการนำเอาเรื่อง ทิฏฐิมานะ มากล่าวในที่นี้...ผมเลยอยากถามถึงความเป็นไปได้ว่า...เป็นไปได้หรือไม่ที่โทสะไม่ได้มีเหตุมาจากปฏิฆะ แต่โทสะมีเหตุมาจากทิฏฐิมานะความถือตัวถือตน และเป็นไปได้หรือไม่ที่ปฏิฆะเองก็มีเหตุมาจากทิฏฐิมานะเช่นกัน...ผมเพียงถามถึงความเป็นไปได้เท่านั้นนะครับ ไม่ได้ฟันธงว่าเป็นอย่างที่ผมตั้งคำถามเพราะตัวผมเองก็ยังมีอัตตามีทิฏฐิมานะอยู่เนืองๆครับ เลยไม่รู้ว่าปฏิฆะและโทสะจะดับสนิทมั้ยถ้าผมไม่มีอัตตาเหลืออยู่แล้ว ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:

เห็นโพสของน้องคิงคองวานให้ผมมาช่วยตอบ เลยมาตอบครับ
ก่อนอื่นอยากจะเพิ่มเติมให้หน่อยครับว่า การจะพิจารณาสังโยชน์
เราต้องแยกเรื่องสังโยชน์ออกจาก "เรื่องศีล" นะครับ ไม่งั้นจะสับสน

กิเลสสังโยชน์ไม่มีดีมีชั่ว มันเป็นสิ่งที่เหนี่ยวให้เราต้องอยู่กับการเวียนว่ายในวัฏฏะ
ความยึดมั่นในสิ่งชั่ว หรือการยึดมั่นในสิ่งดี มันล้วนแล้วทำให้ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะ

ดังนั้นสังโยชน์เป็นเหตุที่ให้เรา ทำดี ทำชั่วครับ อยากทำบุญมันก็เกิดจากสังโยชน์
อยากได้ของๆคนอื่นมันก็เกิดจากสังโยชน์

ที่ต้องจำอีกอย่าง ความดีความชั่วเรื่องศีล มันต้องเป็น
การกระทำของวาจาและกาย ถ้าเป็นเพียงจิตยังไม่นับผิดศีลหรือทำชั่ว เป็นแค่อกุศลจิต


การที่คุณพระป่าเอาเรื่องโทสะ มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เป็นเพราะกำลังเข้าใจผิดในเรื่องของ"ศีล"กับในเรื่อง"สังโยชน์"


ถ้าจะกล่าวในเรื่องของสังโยชน์ การทำดียึดหลักของศีลอย่างเคร่งครัด
มันก็เป็นกิเลสในเรื่อง "ศีลพรตปรามาส" มันยังเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิด
มันเป็นกรรมดี ทำให้เกิดในภพที่ดี แต่คำสอนของพุทธองค์การพ้นทุกข์
คือการไม่ต้องมาเกิดอีกนะครับ


ลูกพระป่า เขียน:
การนำเอาเรื่อง ทิฏฐิมานะ มากล่าวในที่นี้...ผมเลยอยากถามถึงความเป็นไปได้ว่า...เป็นไปได้หรือไม่ที่โทสะไม่ได้มีเหตุมาจากปฏิฆะ แต่โทสะมีเหตุมาจากทิฏฐิมานะความถือตัวถือตน

สังโยชน์สิบทุกตัว มันเป็นต้นเหตุทำให้ เกิดอาการของจิตที่เป็นอกุศลและกุศล
ดังนั้นโทสะนั้น สามารถมีเหตุมาจากสังโยชน์ทุกตัว อาจสงสัยว่า พระอริยบุคคลทำไม
ยังมีโทสะ มีได้ครับถ้ายังติดสังโยชน์ตัวไหนอยู่ เพียงแต่ว่าพระอริยบุคคลเมื่อเกิดโทสะ
ท่านย่อมมีสติยับยั้งไม่ให้เกิดการปรุงแต่ง กายสังขารและวจีสังขารครับ

เรื่องของมานะ มันสามารถทำให้เกิดโทสะได้เหมือนปฏิฆะนั้นแหล่ะครับ
ยังมี โมหะและโลภะด้วย อีกทั้งยังเกิด กุศลธรรมเช่น เมตตา
กรุณาฯลฯ
เคยมีความรู้สึกอยากช่วยคนเพราะเขาจนกว่าเรามั้ย
เคยนึกรังเกียจคนเพราะจนกว่าเรามั้ย ทั้งสองอย่างมันเกิดจาก..
สังโยชน์มานะทั้งนั้นครับ มันเป็นการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นครับ
ลูกพระป่า เขียน:
ยินดีและขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณ nongkong ด้วยครับ โดยเฉพาะการนำเอาเรื่อง ..ผมเพียงถามถึงความเป็นไปได้เท่านั้นนะครับ ไม่ได้ฟันธงว่าเป็นอย่างที่ผมตั้งคำถามเพราะตัวผมเองก็ยังมีอัตตามีทิฏฐิมานะอยู่เนืองๆครับ เลยไม่รู้ว่าปฏิฆะและโทสะจะดับสนิทมั้ยถ้าผมไม่มีอัตตาเหลืออยู่แล้ว ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:

ความหมายของอัตตา มันก็คือสังโยชน์สิบ ถ้ายังมีสังโยชน์ตัวหนึ่งตัวใด
ที่เป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดอีก เขาก็เรียกว่า มีอัตตาอยู่ ก็เห็นมีแต่พระอรหันต์ครับ
ที่ไม่มีอัตตา คือไม่มีสังโยชน์ตัวเหตุที่จะทำให้มาเกิดอีก

บุคคลถ้ายังมีสังโยชน์ปฏิฆะอยู่ สังโยชน์มานะก็ยังไม่ดับ
มานะจะดับได้ต่อเมื่อปฏิฆะดับไปแล้วหรือสังโยชน์ห้าตัวแรกดับไปแล้ว
หรือดับไปพร้อมกัน เช่นเป็นโสดาบันอยู่ก็สามารถเป็นอรหันต์ได้โดยไม่ต้องผ่าน
สกิทาคาและอนาคามี แต่เป็ปุถุชนอยู่จะเป็นอรหันต์เลยไม่ได้ ต้องเป็นโสดาบันก่อน
ลูกพระป่า เขียน:
ถามเพราะตัวผมเองก็ยังมีอัตตามีทิฏฐิมานะอยู่เนืองๆครับ เลยไม่รู้ว่าปฏิฆะและโทสะจะดับสนิทมั้ยถ้าผมไม่มีอัตตาเหลืออยู่แล้ว :

เมื่อปฏิฆะจะดับไปแล้ว โทสะอันมีเหตุมาจากปฏิฆะย่อมไม่มี
แต่โทสะอันเกิดจากสังโยชน์ตัวที่ยังไม่ดับยังมีอยู่ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b2: :b2:
แตกและแจกแจงความเห็นผิดของตนเองไปยกใหญ่แถมยังอ้างตำรา คัมภีร์มารับรองความเห็นผิดของตนเองเสียด้วยเพราะกลัวจะไม่ขลัง นะครับ ใช่ไหมครับคุณโฮฮับ

ใช่ครับ ผมเห็นผิด ผมเห็นไม่รู้ใคร พูดฉอดๆๆๆเจี๊ยกๆๆๆคร่อก บอกว่า โสดาบันไม่มี
ปฏิฆะโทสะ เมื่อเห็นผิดเลยต้องมาแก้ให้ถูก
asoka เขียน:
:คุณลูกพระป่า เขา รู้และเข้าใจถูกต้องแล้วตามธรรม ว่าปฏิฆะ คือโทสะอย่างละเอียด ดูตามรากศัพท์ซิครับ

มีด้วยหรือที่คุณพระป่าบอกว่า "ปฏิฆะคือโทสะละเอียด" แบบนี้แถวบ้านผมเรียกว่า
ฟังไม่ได้ศัพท์จับเอามากระเดียด ตัวเองเป็นต้นเหตุผิด กะเอาคำพูดคนอื่นมาอ้าง
ก็ดันเอาคำพูดของเขามาอ้างผิดๆเสียอีก ผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง
ถามหน่อย.."อายมั้ย" :b9:
เชิญก้มดูความเห็นของคุณพระป่า ว่าจริงอย่างที่ผมพูดหรือเปล่า...
ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
ขออภัยที่เข้ามาขัดนะครับ แต่โทสะที่พี่กล่าวว่าเป็นผลจากปฏิฆะนี่ ช่วยอธิบายความหมายของบัญญัติว่า โทสะ ที่พี่ต้องการจะสื่อตรงนี้เพิ่มได้มั้ยครับ...เพราะโทสะที่อยู่ในพระบาลีท่านแสดงไว้ว่าเป็นกิเลส สังโยชน์ท่านก็แสดงไว้ว่าเป็นกิเลส
เพียงแต่ปฏิฆะเป็นของละเอียด ส่วนโทสะเป็นของหยาบ
อุปมาดังลมกับก้อนหินนะครับ ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรม:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:ปฏิฆะ.......ความขุ่นมัวของจิต.....เกิดจากความยินร้ายหรือโทมนัสสัง เป็นจุดเริ่มต้นที่จะขยายใหญ่ขึ้นไปสู่ความโกรธอย่างแรงหรือโทสะ พิจารณาโดยธรรมทุกคนจะเห็นได้พิสูจน์ได้เสมอ ลองสังเกตดูจิตของตนเองเวลากระทบกับสิ่งที่ขัดข้องไม่ชอบใจ แรกๆจะเกิดปฏิฆะก่อน หลังจากมีจิตสังขารกับความไม่พอใจนั้นมากเข้า ความขุ่นจะกลายใหญ่ขึ้นมาเป็นความโกรธ(โทสะ)ซึ่งทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ กับแรง น้ำหนัก และความปรุงแต่งที่มีต่อการกระทบสัมผัสและความไม่พอใจนั้นๆ
:b15:

ถามหน่อยไปเอาคำอธิบายความนี่มาจากไหนครับ ทำไมมันเหมือน
แกงโฮ๊ะ จับฉ่ายหม้อใหญ่แบบนี้ครับ อารมณ์ปรมัตถ์อารมณ์เดียว
เล่นใส่โน้นนี่ซะเต็มหม้อ ถามครับ..
*สิ่งขัดข้องไม่ชอบใจเป็นอย่างไรครับ
*ความไม่พอใจนี่เป็นอย่างไรครับ
*ความโกรธ(โทสะ) เป็นอย่างไรครับ
*ความปรุงแต่งที่มีต่อการกระทบสัมผัสและความไม่พอใจเป็นอย่างไรครับ

ตอบได้มั้ยครับ ถ้าตอบไม่ได้แสดงว่า เอาบัญญัติมาละเลงมั่วครับ
asoka เขียน:
คุณโฮฮับ ยึดติดอยู่กับเรื่องบัญญัติและสังโยชน์ 10 มาก จึง มีเรื่องอะไรก็ดึงโยงเข้าหาสังโยชน์ไปเสียทั้งหมด ติดบัญญัติ แต่ปฏิบัติและสัมผัสธรรมจริงๆในกายใจน้อยเกินไป ควรให้เวลากับการปฏิบัติจริงให้เยอะๆขึ้นจะช่วยกล่อมเกลาให้เกิดสัมมาวาจาได้ มากขึ้นๆ :

ไอ้ที่ติดบัญญัติน่ะเป็นคุณ ก็ดูได้จากเอาบัญญัติมาโพส แต่ไม่เข้าใจความหมาย
มันเลยมีลักษณะเหมือน จับฉ่ายสารพัดผักมีกระดูกนิดนึง :b32:

คุณโสกะคุณเมาน้ำยาล้างห้องน้ำหรือเปล่าครับ ที่ว่าผม"โยงไปหาสังโยชน์
ก็ตัวคุณเองนั้นแหล่ะพูดถึงสังโยชน์(โดยที่ตัวก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร)
ถ้าจำไม่ได้จะบอกให้ "ที่ไปว่าน้องคิงคองกล่าวอ้างว่าเป็นโสดาบัน แต่ยังมีปฏิฆะโทสะ"

อย่างนี้ใครมันพูดถึงสังโยชน์ก่อนครับ ผมว่าน้ำยาล้างห้องน้ำ
มันกัดสมองคุณโสกะจนรั่ว จำอะไรไม่ได้ว่าพูดอะไรไป มันรั่วออกหมด :b32:

ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่ก็มาอีกแล้วเอาสัมมาวาจามาพร่ามอีกแล้ว
เดียวก็ลืมว่าพูดอะไรไป ทำไมคุณโสกะ ตลกอุจจาระแตก อุจจาระแตนแบบนี้ครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2012, 16:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ว่าคุนน้องเป็นโสดาบัณหรือจะเป็นสกิทาคามีแล้วอโสกะเดือดร้อนตรงไหนรึ ไม่เห็นมีใครมาแขวะคุนน้องเลย มีแต่ท่านอโสกะคนเดียว :b32:
หรือกลัวคุนน้องได้ มรรคได้ผลได้นิพพานก่อน เวลาไม่พอใจคุนน้อง อย่าเอาคำว่าโสดาบัน สกิทาคามีมากระทบกระเทียบคุนน้องอีกเด็ดขาด!!คุนน้องไม่ใช่ให้ใครมาพูดจาดูหมิ่นง่ายๆ เดี๋ยวโรคเก่าคุนน้องมันจะกำเริบ
หรือจะให้คุนน้องอธิษฐานเพื่อปฏิญาณตน ต่อพระพุทธเจ้า ถ้าคุนน้องยังไม่เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นโสดาบัณปลอมอย่างอโสกะว่ามา คุนน้องจะยอมไม่ให้ตนเองได้ มรรค ผล นิพพานชาตินี้ แต่ถ้าคนจิตอกุศลปากไม่มีหูรูดปรามาสคุนน้อง ขอให้มันผู้นั้นอย่าได้ มรรค ผล นิพพาน ชาตินี้ เอาไหมเจ้าค่ะ ท่านอโสกะ อย่ามาพูดจากระทบกระเทียบคุนน้องในทางลบหลู่ดูหมิ่น บอกหลายครั้งแล้วนะ คุนน้องจะยอมให้อโสกะเป็นเจ้ากรรมนายเวรคุนน้องอีกชาติเลย คุนน้องไม่ใช่พวกปากกล้าขาสั่นนะ จะบอกให้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2012, 05:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
แต่ว่าคุนน้องเป็นโสดาบัณหรือจะเป็นสกิทาคามีแล้วอโสกะเดือดร้อนตรงไหนรึ ไม่เห็นมีใครมาแขวะคุนน้องเลย มีแต่ท่านอโสกะคนเดียว :b32:
หรือกลัวคุนน้องได้ มรรคได้ผลได้นิพพานก่อน เวลาไม่พอใจคุนน้อง อย่าเอาคำว่าโสดาบัน สกิทาคามีมากระทบกระเทียบคุนน้องอีกเด็ดขาด!!คุนน้องไม่ใช่ให้ใครมาพูดจาดูหมิ่นง่ายๆ เดี๋ยวโรคเก่าคุนน้องมันจะกำเริบ
หรือจะให้คุนน้องอธิษฐานเพื่อปฏิญาณตน ต่อพระพุทธเจ้า ถ้าคุนน้องยังไม่เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นโสดาบัณปลอมอย่างอโสกะว่ามา คุนน้องจะยอมไม่ให้ตนเองได้ มรรค ผล นิพพานชาตินี้ แต่ถ้าคนจิตอกุศลปากไม่มีหูรูดปรามาสคุนน้อง ขอให้มันผู้นั้นอย่าได้ มรรค ผล นิพพาน ชาตินี้ เอาไหมเจ้าค่ะ ท่านอโสกะ อย่ามาพูดจากระทบกระเทียบคุนน้องในทางลบหลู่ดูหมิ่น บอกหลายครั้งแล้วนะ คุนน้องจะยอมให้อโสกะเป็นเจ้ากรรมนายเวรคุนน้องอีกชาติเลย คุนน้องไม่ใช่พวกปากกล้าขาสั่นนะ จะบอกให้

:b12: :b12: :b12: :b12:
"โรคเก่าคุนน้องมันจะกำเริบ"
:b14:
มันไม่ "จะ"แล้วนะครับคุณน้อง มันกำเริบขี้นมาแล้วจริงๆ เพราะกำลังมีสบถสาบานและแช่งด่า อันเป็นสัปปัพลาวาจาและปิสุณาวาจาตามขึ้นมาด้วย คงมีสาเหตุเริ่มต้นมาจาก โสมนัส.....ความไม่พอใจ ....แล้วขยายผลเป็น ปฏิฆะความขุ่นมัว.....เป็นปัจจัยให้ก่อตัวเป็นโทสะ.......มโนกรรมนี้เติบใหญ่ .....มากลายเป็น วจีกรรมบนตัวหนังสือ........นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น.......พึงควรตื่นจากหลับฝัน......มาพบการเจียรนัย.....จากเครื่องขัดใจทั้งหลาย........ที่เทพเทวากัลยาณชนประทานให้........จักได้ก้าวหน้าในธรรม......ทำลายสักกายะและมานะทิฏฐิ........มิให้ลุกระบาด.......จิตจะได้สะอาด ใจจะได้สบาย.......ขอให้อยู่สุขสวัสดี
onion


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 24 มิ.ย. 2012, 06:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2012, 05:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:ปฏิฆะ.......ความขุ่นมัวของจิต.....เกิดจากความยินร้ายหรือโทมนัสสัง เป็นจุดเริ่มต้นที่จะขยายใหญ่ขึ้นไปสู่ความโกรธอย่างแรงหรือโทสะ พิจารณาโดยธรรมทุกคนจะเห็นได้พิสูจน์ได้เสมอ ลองสังเกตดูจิตของตนเองเวลากระทบกับสิ่งที่ขัดข้องไม่ชอบใจ แรกๆจะเกิดปฏิฆะก่อน หลังจากมีจิตสังขารกับความไม่พอใจนั้นมากเข้า ความขุ่นจะกลายใหญ่ขึ้นมาเป็นความโกรธ(โทสะ)ซึ่งทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ กับแรง น้ำหนัก และความปรุงแต่งที่มีต่อการกระทบสัมผัสและความไม่พอใจนั้นๆ
:b15:

ถามหน่อยไปเอาคำอธิบายความนี่มาจากไหนครับ ทำไมมันเหมือน
แกงโฮ๊ะ จับฉ่ายหม้อใหญ่แบบนี้ครับ อารมณ์ปรมัตถ์อารมณ์เดียว
เล่นใส่โน้นนี่ซะเต็มหม้อ ถามครับ..
*สิ่งขัดข้องไม่ชอบใจเป็นอย่างไรครับ
*ความไม่พอใจนี่เป็นอย่างไรครับ
*ความโกรธ(โทสะ) เป็นอย่างไรครับ
*ความปรุงแต่งที่มีต่อการกระทบสัมผัสและความไม่พอใจเป็นอย่างไรครับ

ตอบได้มั้ยครับ ถ้าตอบไม่ได้แสดงว่า เอาบัญญัติมาละเลงมั่วครับ
asoka เขียน:
คุณโฮฮับ ยึดติดอยู่กับเรื่องบัญญัติและสังโยชน์ 10 มาก จึง มีเรื่องอะไรก็ดึงโยงเข้าหาสังโยชน์ไปเสียทั้งหมด ติดบัญญัติ แต่ปฏิบัติและสัมผัสธรรมจริงๆในกายใจน้อยเกินไป ควรให้เวลากับการปฏิบัติจริงให้เยอะๆขึ้นจะช่วยกล่อมเกลาให้เกิดสัมมาวาจาได้ มากขึ้นๆ :

ไอ้ที่ติดบัญญัติน่ะเป็นคุณ ก็ดูได้จากเอาบัญญัติมาโพส แต่ไม่เข้าใจความหมาย
มันเลยมีลักษณะเหมือน จับฉ่ายสารพัดผักมีกระดูกนิดนึง :b32:

คุณโสกะคุณเมาน้ำยาล้างห้องน้ำหรือเปล่าครับ ที่ว่าผม"โยงไปหาสังโยชน์
ก็ตัวคุณเองนั้นแหล่ะพูดถึงสังโยชน์(โดยที่ตัวก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร)
ถ้าจำไม่ได้จะบอกให้ "ที่ไปว่าน้องคิงคองกล่าวอ้างว่าเป็นโสดาบัน แต่ยังมีปฏิฆะโทสะ"

อย่างนี้ใครมันพูดถึงสังโยชน์ก่อนครับ ผมว่าน้ำยาล้างห้องน้ำ
มันกัดสมองคุณโสกะจนรั่ว จำอะไรไม่ได้ว่าพูดอะไรไป มันรั่วออกหมด :b32:

ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่ก็มาอีกแล้วเอาสัมมาวาจามาพร่ามอีกแล้ว
เดียวก็ลืมว่าพูดอะไรไป ทำไมคุณโสกะ ตลกอุจจาระแตก อุจจาระแตนแบบนี้ครับ :b32:

grin
เฮ้อ! ......น่าสงสารจังคุณโฮฮับนี่ ....เอาสภาวธรรมตามจริงมาแสดงให้ดูตามลำดับแห่งธรรมในหมวดโทสะมูล แต่โฮฮับหูตาลาย ไปเห็นเป็นแกงโฮ๊ะไปเสียได้ สงสัยต้องไปเช็คระบบการทำงานของประสาทเสียบ้างละกระมัง เพราะดูๆแล้วคุณโฮ...คงจะฟุ้งนอนไม่หลับตื่นดึกบ่อยๆ เพราะเห็นมาตอบกระทู้ช่วงตีหนึ่งตีสอง แล้วสายๆยังต้องไปช่วยทำธุรกิจกับน้องหรือพี่ชาย ต้องไปเกลือกกลั้วมั่วอยู่กับพนักงานสาวๆ
:b38:
อ้อแล้วคำพูดอย่างนี้
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่ก็มาอีกแล้วเอาสัมมาวาจามาพร่ามอีกแล้ว
เดียวก็ลืมว่าพูดอะไรไป ทำไมคุณโสกะ ตลกอุจจาระแตก อุจจาระแตนแบบนี้ครับ "
:b25:
นี่ถือเป็นนิสัยหรือสไตล์การพูดของลุงโฮ...ไปแล้วใช่ไหมนี่?
s006
แล้วนี่ก็อีกเรื่อง
"ที่ไปว่าน้องคิงคองกล่าวอ้างว่าเป็นโสดาบัน แต่ยังมีปฏิฆะโทสะ"
อย่างนี้ใครมันพูดถึงสังโยชน์ก่อนครับ "

:b3:
เรื่องโทสะ ปฏิฆะนี่ มันเป็นเรื่องแต่ในสังโยชน์ที่คุณกำลังติดยึดอยู่อย่างหนักเท่านั้นหรือ?
โทสะ....ปฏิฆะ....เป็นภาษาบาลี ที่อธิบายสภาวธรรม ที่เกี่ยวเนื่องกัน ตามลำดับแห่งธรรมลองดูให้ดี

:b39:
ผัสสะ.........เวทนา รู้สึก โทมนัส..ไม่พอใจ......ปฏิฆะ.ขุ่นมัว....สังขาร..คิดปรุง....จิตขุ่นมัวมากขึ้นจนเป็นโทสะ ..โกรธ....วจีกรรมเกิด........หลายๆซ้ำ......กายกรรมเกิด......มานั่งเปิดเนท เข้ากระทู้ ....เคาะนิ้วบนคีย์บอร์ด ระบายอารมณ์ลงบนตัวหนังสือ.....ประกาศนิสัยและพฤติกรรมของตนเองสู่สาธารณชนทั่วโลก (ถ้าชั่วผิด ก็ประจานตน ถ้าดี ถูกต้องเป็นกุศล ก็แสดงคุณค่าแห่งตน) ทั้งหมดนี้ไม่ได้กล่าวถึงสังโยชน์ มิได้โยงไปหาเรื่องสังโยชน์ให้ปวดหัว เป็นแกงโฮ๊ะ ที่ใส่แต่ หน่อส้ม อย่างที่คุณโฮ..ทำเป็นประจำเลยนะครับ ตรองดูให้ดีๆ
onion
อ้อ ! แล้ว โนงโคง..หรือน้องคงนั้นหนะ อย่าไปให้ท้ายให้มากนะครับ ตอนนี้ น้องเขาต้องรีบไปเข้าโรงซ่อมทางจิตวิญญาณสักพักแล้วหละ เพราะ ปฏิฆะและโทสะกำลังลุก...เกรงจะลวกเนื้อตัวให้พุพอง ต้องรีบไปรับน้ำเย็นสักพักเสียแล้วหละครับ....รักน้องจริงก็อย่าเชียร์กันไปในทางที่ผิดๆนะครับ
:b12: :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2012, 06:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
:b12: :b2: :b2:
แตกและแจกแจงความเห็นผิดของตนเองไปยกใหญ่แถมยังอ้างตำรา คัมภีร์มารับรองความเห็นผิดของตนเองเสียด้วยเพราะกลัวจะไม่ขลัง นะครับ ใช่ไหมครับคุณโฮฮับ

ใช่ครับ ผมเห็นผิด ผมเห็นไม่รู้ใคร พูดฉอดๆๆๆเจี๊ยกๆๆๆคร่อก บอกว่า โสดาบันไม่มี
ปฏิฆะโทสะ เมื่อเห็นผิดเลยต้องมาแก้ให้ถูก
asoka เขียน:
:คุณลูกพระป่า เขา รู้และเข้าใจถูกต้องแล้วตามธรรม ว่าปฏิฆะ คือโทสะอย่างละเอียด ดูตามรากศัพท์ซิครับ

มีด้วยหรือที่คุณพระป่าบอกว่า "ปฏิฆะคือโทสะละเอียด" แบบนี้แถวบ้านผมเรียกว่า
ฟังไม่ได้ศัพท์จับเอามากระเดียด ตัวเองเป็นต้นเหตุผิด กะเอาคำพูดคนอื่นมาอ้าง
ก็ดันเอาคำพูดของเขามาอ้างผิดๆเสียอีก ผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง
ถามหน่อย.."อายมั้ย" :b9:
เชิญก้มดูความเห็นของคุณพระป่า ว่าจริงอย่างที่ผมพูดหรือเปล่า...
ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่โฮฮับ :b8:
ขออภัยที่เข้ามาขัดนะครับ แต่โทสะที่พี่กล่าวว่าเป็นผลจากปฏิฆะนี่ ช่วยอธิบายความหมายของบัญญัติว่า โทสะ ที่พี่ต้องการจะสื่อตรงนี้เพิ่มได้มั้ยครับ...เพราะโทสะที่อยู่ในพระบาลีท่านแสดงไว้ว่าเป็นกิเลส สังโยชน์ท่านก็แสดงไว้ว่าเป็นกิเลส
เพียงแต่ปฏิฆะเป็นของละเอียด ส่วนโทสะเป็นของหยาบ
อุปมาดังลมกับก้อนหินนะครับ ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรม:

:b12: :b12: :b12:
โถ ๆ ๆ......แม่แต่ความโกรธอย่างหยาบคือโทสะและความโกรธอย่างละเอียดคือ ปฏิฆะ ยังจำแนกแจกแจงไม่ออกด้วยธรรม ด้วยจิตด้วยใจ .......ติดบัญญัติ ตำรามากไป จนไม่เคยลองสัมผัสสภาวธรรมความจริงในตัวในใจดูเสียบ้าง ระวังตำรา วิชาการจะทับท่วม หัว หู ตา พาตกหลุมตกร่องนะครับ.....รีบไปจัดการเวลาให้ได้นั่งหลับตาภาวนาดูกายดูใจให้มากกว่าการมานั่งพล่ามแสดงธรรมจากสัญญา เสียบ้างนะครับ คุณโฮ......
:b12: s002 s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2012, 08:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
s004 s004 s004
ฮะ ก็น่าจะเป็นแบบนั้น โทสะไม่ใช่กิเลส แต่เป็นผลรวมของกิเลสหลายๆ ตัว...

แถมว่า... มีสิ่งหนึ่งที่มักจะเข้าใจผิดกันคือ อริยะบุคคล ไม่มีอัตตา
อันที่จริงมันคือ ละ ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตา แปลว่า อัตตานั้นมี แต่ไม่ได้ยึดมันไว้

.....

นอกเรื่องมายาวยืด โอเคไหมฮะ s007 s007 s007


ตรงนี้ไม่รู้เราจะเข้าใจตรงกันไหมนะ....

คนอื่นอาจจะ..งง...ว่าอริยะบุคคล..มีอัตตาได้งั้ย?...

เหตุที่..งง...ก็เพราะ...เข้าใจว่ามีแต่ขันธ์ 5..แต่เราไม่มี

ทั้ง ๆ คำพระท่านก็บอกชัด ๆ ว่า...ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา...เราไม่ใช่ขันธ์ 5...ขันธ์ 5 มันอนัตตา

แต่..เป็นเราเองที่คิดปรุงต่อไปว่า.....เราไม่มี

ในปุถุชนเรานั้น...เราเกาะขันธ์ซะแน่น...ขันธ์ขยับเราขยับไปด้วยหมด..ขันธ์สุขเราสุข..ขันธ์ทุกข์เราทุกข์...มีขันธ์ที่คอยยื้อยุทธฉุดเราไปมา...จึงเรียก..ขันธมาร

ในอเสขะบุคคล...ท่านไม่เกาะขันธ์....ขันธ์ขยับไปทางไหน..จะไปทางโกรธ..หรือจะไปทางโลภ...ก็ไม่มีผลกับท่าน...เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง...ขันธ์จึงไม่ถูกเรียกว่า..ขันธมาร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2012, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
nongkong เขียน:
แต่ว่าคุนน้องเป็นโสดาบัณหรือจะเป็นสกิทาคามีแล้วอโสกะเดือดร้อนตรงไหนรึ ไม่เห็นมีใครมาแขวะคุนน้องเลย มีแต่ท่านอโสกะคนเดียว :b32:
หรือกลัวคุนน้องได้ มรรคได้ผลได้นิพพานก่อน เวลาไม่พอใจคุนน้อง อย่าเอาคำว่าโสดาบัน สกิทาคามีมากระทบกระเทียบคุนน้องอีกเด็ดขาด!!คุนน้องไม่ใช่ให้ใครมาพูดจาดูหมิ่นง่ายๆ เดี๋ยวโรคเก่าคุนน้องมันจะกำเริบ
หรือจะให้คุนน้องอธิษฐานเพื่อปฏิญาณตน ต่อพระพุทธเจ้า ถ้าคุนน้องยังไม่เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นโสดาบัณปลอมอย่างอโสกะว่ามา คุนน้องจะยอมไม่ให้ตนเองได้ มรรค ผล นิพพานชาตินี้ แต่ถ้าคนจิตอกุศลปากไม่มีหูรูดปรามาสคุนน้อง ขอให้มันผู้นั้นอย่าได้ มรรค ผล นิพพาน ชาตินี้ เอาไหมเจ้าค่ะ ท่านอโสกะ อย่ามาพูดจากระทบกระเทียบคุนน้องในทางลบหลู่ดูหมิ่น บอกหลายครั้งแล้วนะ คุนน้องจะยอมให้อโสกะเป็นเจ้ากรรมนายเวรคุนน้องอีกชาติเลย คุนน้องไม่ใช่พวกปากกล้าขาสั่นนะ จะบอกให้

:b12: :b12: :b12: :b12:
"โรคเก่าคุนน้องมันจะกำเริบ"
:b14:
มันไม่ "จะ"แล้วนะครับคุณน้อง มันกำเริบขี้นมาแล้วจริงๆ เพราะกำลังมีสบถสาบานและแช่งด่า อันเป็นสัปปัพลาวาจาและปิสุณาวาจาตามขึ้นมาด้วย คงมีสาเหตุเริ่มต้นมาจาก โสมนัส.....ความไม่พอใจ ....แล้วขยายผลเป็น ปฏิฆะความขุ่นมัว.....เป็นปัจจัยให้ก่อตัวเป็นโทสะ.......มโนกรรมนี้เติบใหญ่ .....มากลายเป็น วจีกรรมบนตัวหนังสือ........นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น.......พึงควรตื่นจากหลับฝัน......มาพบการเจียรนัย.....จากเครื่องขัดใจทั้งหลาย........ที่เทพเทวากัลยาณชนประทานให้........จักได้ก้าวหน้าในธรรม......ทำลายสักกายะและมานะทิฏฐิ........มิให้ลุกระบาด.......จิตจะได้สะอาด ใจจะได้สบาย.......ขอให้อยู่สุขสวัสดี
onion

ช่วงนี้ พญามาร สิงใจ ไม่มีเวลานั่งกรรมฐานอบรมจิต อโสกะอย่ามากระตุกต่อมกิเลศคุนน้อง แบบนี้สิน่ามันถึงไม่เจอนิพพาน ปรินิพพานเสียที :b6: onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2012, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ตรงนี้ไม่รู้เราจะเข้าใจตรงกันไหมนะ....


ไปดูอีกกระทู้ รู้สึกตลกดีกับข้อความว่า เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ ภิกษุ ๖๐ จะต้องอ้วกเป็นเลือด อีก ๖๐ จะต้องสึก อีก ๖๐ จะพ้นทุกข์... ไม่รู้จริงหรือเปล่า แต่ตลกดี เทศน์จนภิกษุกระอักเลือด แทงใจดำอย่างล้นพ้น :b32: :b32: :b32:

กลับมาที่ท่านกบ... ความจริงก็คือ ไม่มีใครรู้ว่า อัตตา คืออะไร ต่างคนต่างนิยามไปตามความเข้าใจของตน เพราะปัจจุบันเป็นยุคของ สัทธรรมปฏิรูป

อัตตากลายเป็นอนัตตา อนัตตากลายเป็นอัตตา... ขันธุ์ 5 เป็นอนัตตาหรืออัตตา ? อัตตาเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม ? อัตตาเป็น Physical หรือ logical ? ถ้าอัตตาเป็นนามธรรม เป็นความรู้สึกถึงความเป็นตัวตน อัตตาก็คือ อนัตตา ?
เป็นความคลุมเครือ ที่ต่างคนต่างก็ให้ความหมายกันไป


ขันธุ์ 5 ก็คือกระบวนการทำงานต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ หากใช้ภาษาปัจจุบันมันก็ไม่ได้คลุมเครืออะไร
- รูปขันธ์ ก็คือร่างกาย อวัยวะต่างๆที่จับต้องได้ (physical)
- เวทนาขันธ์ ก็คือกระบวนการให้ความหมายของสมองต่อสิ่งต่างๆ (เสวยอารมณ์) จะเรียกว่าเป็นการประมวลผลขั้นต้นก็ได้
- สัญญาขันธ์ ก็คือ ความจำในทุกรูปแบบ เราไม่ได้ศึกษาละเอียดอะไร แต่ทายไว้ตรงนี้ว่า เวทนาขันธ์ จะมีทั้งที่ต้องอาศัยสัญญาและไม่ต้องอาศัยสัญญา
- สังขารขันธ์ ก็คือ การประมวลผลข้อมูลต่างๆ ของวงจรสมองในระบบลิมบิก (การปรุงแต่ง)
- วิญญาณขันธ์ ก็คือรูปแบบการทำงานของระบบประสาทที่ใช้ในอายตนะต่างๆ เช่น การส่งสัญญาณไปกลับเพื่อก่อให้เกิดความรู้สึกสัมผัส การแปลงสัญญาณเสียงเพื่อใช้ในการสืบค้นความจำ ไปจนถึงการประมวลผลภาพที่ใช้ในส่วนความคิด

ขันธ์ 5 จึงมีทั้ง physical และ logical และทั้ง 2 อย่างนี้ ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน

แล้วอัตตาคืออะไร... ดูทีแล้วก็เหมือนกับคำว่า จิต คือขึ้นอยู่กับว่า เราพูดถึงอะไร ในระดับไหน
พูดในระดับทั่วไป จิตก็คือ อะไรก็ตามที่ไม่ใช่กาย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเวทนา สัญญา สังขาร สิ่งเหล่านี้ก็คือ จิต
พูดในระดับอภิธรรม จิตก็ยังไม่ใช่จิต ยังต้องแบ่งออกเป็นจิตและเจตสิก...
คน 2 คนก็มาเถียงกัน เพราะใช้คำในระดับความหมายที่แตกต่างกัน เช่นมาเถียงกันว่า วิญญาณขันธ์ คือจิต หรือไม่...

คำว่าอัตตา ก็น่าจะเป็นแบบนี้ ซึ่งสำหรับเรา เราไม่นิยมใช้คำที่แบ่งออกได้หลายระดับ เจตสิกย่อมไม่ใช่จิต, วิญญาณคือรูปปรมัตถ์รูปหนึ่ง (รูปวิญญาณ) เราจึงไม่เคยใช้คำว่า วิญญาณขันธ์ เลย
ไม่แน่ใจว่า นี่เป็นปัญหาของการแปลหรือเปล่า...

คำว่า อัตตา ของเรา มีความหมายหลักถึง ร่างกายทั้งส่วนที่เป็น physical และ logical คือรวมทั้งหมดที่ประกอบขึ้นเป็นรูปกายนี้ อาจจะต้องวงเล็บว่า ก่อนที่จิตจะเข้ามาครอง
ว่าอีกนัยหนึ่ง อัตตาสำหรับเรา แปลว่า ตัวตน ไม่ได้แปลว่า เป็นของตน

อัตตา หิ อัตตโน นาโถ แปลว่าอะไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2012, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L ออกนอกประเด็นกระทู้แล้วนะครับ เชิญแยกไปตั้งเป็นประเด็นใหม่
เอ้ากับเข้าฝั่งกันได้ :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2012, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เฮ้อ! ......น่าสงสารจังคุณโฮฮับนี่ ....เอาสภาวธรรมตามจริงมาแสดงให้ดูตามลำดับแห่งธรรมในหมวดโทสะมูล แต่โฮฮับหูตาลาย ไปเห็นเป็นแกงโฮ๊ะไปเสียได้ สงสัยต้องไปเช็คระบบการทำงานของประสาทเสียบ้างละกระมัง เพราะดูๆแล้วคุณโฮ...คงจะฟุ้งนอนไม่หลับตื่นดึกบ่อยๆ เพราะเห็นมาตอบกระทู้ช่วงตีหนึ่งตีสอง แล้วสายๆยังต้องไปช่วยทำธุรกิจกับน้องหรือพี่ชาย ต้องไปเกลือกกลั้วมั่วอยู่กับพนักงานสาวๆ

เอาแล้วคุยธรรมสู้ไม่ได้ เล่นตีชิ่งไปเรื่องอื่น แถมตีไข่ใส่สีซะด้วย
ก็ว่าแล้ว เอาสัมมาวาจามาพร่าม เที่ยวว่าคนอื่นไม่มีสัมมาวาจา
ไม่ได้ดูตัวเองเลย โสกะถามหน่อยไอ้ที่พูดมาน่ะมันเรียกว่าอะไร
เคยดูหนังเรื่องพิกุลทองหรือเปล่า อินังอะไรน้าตัวอิจฉาพูดจาแต่ละที
หนอนไต่ยั่วเยี่ยออกจากปาก :b32:

ที่บอกว่าผมตื่น2ตี3น่ะ ผมนอนตอนกี่โมงรู้หรือเปล่า คนที่นอนตอน
ทุ่มกว่าๆจะให้ตื่นตอนกี่โมงกันครับ "พูดไม่คิด"
ถามหน่อยเคยเห็นผม แสดงความเห็นตอนเย็นหรือหัวค่ำมั้ย
จะบอกให้นักปฏิบัติธรรมเขานอนแต่หัวค่ำ ตี2ตี3ก็ตื่นแล้ว
รู้หนือเปล่าว่าช่วงเวลานั้น มันสงบ มันวิเวก มันเหมาะแก่การทำวิปัสสนา :b6:

asoka เขียน:
แล้วสายๆยังต้องไปช่วยทำธุรกิจกับน้องหรือพี่ชาย ต้องไปเกลือกกลั้วมั่วอยู่กับพนักงานสาวๆ[/i]

เอ้าเอาเข้าไป! โกรธซะจนไม่แยกแยะดีชั่ว มุสาปลิ้นปล้อนใส่ความคนอื่น
แต่พร่ำพูดแต่สัมมาวาจา สุภาษิตว่า"มือถือสาก ปากถือศีล"

คนเขาคอยดูแลเด็กดูแลบริวารให้อยู่ในศีลในธรรม คอยตำหนิติติงเมื่อประพฤติไม่ดี
คุณโสกะ ก็มาใส่ไคร้หาว่าเขา หาว่าไปเกลือกกลั้วกับพนักงานสาวๆ

"บาปปากมั้ยครับโสกะ"
asoka เขียน:
[อ้อแล้วคำพูดอย่างนี้
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่ก็มาอีกแล้วเอาสัมมาวาจามาพร่ามอีกแล้ว
เดียวก็ลืมว่าพูดอะไรไป ทำไมคุณโสกะ ตลกอุจจาระแตก อุจจาระแตนแบบนี้ครับ "
:b25:
นี่ถือเป็นนิสัยหรือสไตล์การพูดของลุงโฮ...ไปแล้วใช่ไหมนี่?:

มันเป็นเอกลักษณ์ของผมล่ะ ไอ้ประเภทดัดจริตดีดดิ้น
หรือมือถือสาก ปากถือศีลผมทำไม่เป็นครับ
คุณโสกะครับ ลองก้มดูให้ดีครับ อย่าคิดว่าดอกพิกุลมันร่วงมากับคำพูดของคุณนะครับ
ที่แท้แล้ว มันเป็นหนอน เป็นไส้เดือน กิ้งกือทั้งนั้น :b13:
asoka เขียน:
แล้วนี่ก็อีกเรื่อง
"ที่ไปว่าน้องคิงคองกล่าวอ้างว่าเป็นโสดาบัน แต่ยังมีปฏิฆะโทสะ"
อย่างนี้ใครมันพูดถึงสังโยชน์ก่อนครับ "

:b3:
เรื่องโทสะ ปฏิฆะนี่ มันเป็นเรื่องแต่ในสังโยชน์ที่คุณกำลังติดยึดอยู่อย่างหนักเท่านั้นหรือ?
โทสะ....ปฏิฆะ....เป็นภาษาบาลี ที่อธิบายสภาวธรรม ที่เกี่ยวเนื่องกัน ตามลำดับแห่งธรรมลองดูให้ดี

:b39:
ผัสสะ.........เวทนา รู้สึก โทมนัส..ไม่พอใจ......ปฏิฆะ.ขุ่นมัว....สังขาร..คิดปรุง....จิตขุ่นมัวมากขึ้นจนเป็นโทสะ ..โกรธ....วจีกรรมเกิด........หลายๆซ้ำ......กายกรรมเกิด......มานั่งเปิดเนท เข้ากระทู้ ....เคาะนิ้วบนคีย์บอร์ด ระบายอารมณ์ลงบนตัวหนังสือ.....ประกาศนิสัยและพฤติกรรมของตนเองสู่สาธารณชนทั่วโลก (ถ้าชั่วผิด ก็ประจานตน ถ้าดี ถูกต้องเป็นกุศล ก็แสดงคุณค่าแห่งตน) ทั้งหมดนี้ไม่ได้กล่าวถึงสังโยชน์ มิได้โยงไปหาเรื่องสังโยชน์ให้ปวดหัว เป็นแกงโฮ๊ะ ที่ใส่แต่ หน่อส้ม อย่างที่คุณโฮ..ทำเป็นประจำเลยนะครับ ตรองดูให้ดีๆ

กลับไปเรียงลำดับความเห็นเสียใหม่ แล้วค่อยกลับมาตอบ มันจะได้เป็นเรื่องเป็นราว
ไอ้ที่แสดงความเห็นมามันมั่ว แทนที่จะอ่านความเห็นเขาให้ดีก่อน จะได้ไม่ต้องมา
นั่งจินตนาการ เอางี้ไปตอบคำถามที่ผมถามไปที่ละข้อให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาคุยธรรม
อย่ามาเพ้อเจ้อเสียเวลา

asoka เขียน:

อ้อ ! แล้ว โนงโคง..หรือน้องคงนั้นหนะ อย่าไปให้ท้ายให้มากนะครับ ตอนนี้ น้องเขาต้องรีบไปเข้าโรงซ่อมทางจิตวิญญาณสักพักแล้วหละ เพราะ ปฏิฆะและโทสะกำลังลุก...เกรงจะลวกเนื้อตัวให้พุพอง ต้องรีบไปรับน้ำเย็นสักพักเสียแล้วหละครับ....รักน้องจริงก็อย่าเชียร์กันไปในทางที่ผิดๆนะครับ:

ทำไมด้านได้ขนาดนี้น่ะ เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น ใครไปให้ท้ายครับ
ใครเชียร์ใครครับ น้องคิงคองเธอขอให้ผมเข้ามาช่วยตอบ ผมก็เข้ามา
ผมกับน้องเขาเป็นกัลยณมิตรกันครับ สาเหตุก็เพราะจริตเหมือนกัน ปากใจตรงกัน
เสแสร้งไม่เป็น พูดจาไม่เพราะ แต่งตัวไม่เรียบร้อย ไม่เหมือนใครบางคน
หวานมาแต่ไกล แต่เอามือไผล่หลังกำสากไว้ ใส่สูทผูกเน็ตไทร์ แต่ถอดเสื้อมา
ขี้กลากขี้เกลื้อนเต็มหลัง :b32:

คุณโสกะครับ ถ้าที่บ้านไม่มีกระจกส่องหน้า ตอนเช้าๆล้างหน้า
ก็มองหน้าตัวเองในขัน ก็จะเห็นว่าใครกันแน่ ที่คอยเชียร์ ให้ท้าย
มันก็เป็นคุณมั้นแหล่ะ ด้วยความอาฆาตแค้นผม ลืมตัวเข้าสอด เข้าไปเชียร์คุณเช่นนั้นชนิดไม่ลืมหู
ลืมตา เชียร์เขา ให้ท้ายเขาทั้งๆที่ตัวเอง ไม่ได้มีความรู้ในสิ่ง ที่เขากำลังถกกันอยู่ แม้แต่น้อย :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2012, 06:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b14: :b12: :b12: :b12:
โฮฮับ.....
คุณโสกะครับ ถ้าที่บ้านไม่มีกระจกส่องหน้า ตอนเช้าๆล้างหน้า
ก็มองหน้าตัวเองในขัน ก็จะเห็นว่าใครกันแน่ ที่คอยเชียร์ ให้ท้าย
มันก็เป็นคุณมั้นแหล่ะ ด้วยความอาฆาตแค้นผม ลืมตัวเข้าสอด เข้าไปเชียร์คุณเช่นนั้นชนิดไม่ลืมหู
ลืมตา เชียร์เขา ให้ท้ายเขาทั้งๆที่ตัวเอง ไม่ได้มีความรู้ในสิ่ง ที่เขากำลังถกกันอยู่ แม้แต่น้อย
:b4: :b4: :b4:
ไม่มีอาฆาตแค้น......มีแต่เมตตาและสงสารโฮฮับที่...กำลังทำบาปชักนำคนไปในทางที่ผิด ติดขัดและคับแคบ
:b34:
โฮฮับ.......
ผมกับน้องเขาเป็นกัลยณมิตรกันครับ สาเหตุก็เพราะจริตเหมือนกัน ปากใจตรงกัน
เสแสร้งไม่เป็น พูดจาไม่เพราะ แต่งตัวไม่เรียบร้อย

:b15: :b15: :b12: :b12:
คิดเอาเองว่าคนอื่นไม่รู้สิ่งที่ตนเองรู้......เลยดูถูก จ้วงจาบเขาไปเรื่อย ....แสดงความอหังการ์ มานะทิฏฐิของตนสู่ชาวโลกอย่างหน้าตาเฉย.......ยอมรับและรับรองตนเองแถมไม่พอยังดึงน้องคงลงมาเกลือกกลั้วด้วยว่าชอบใช้มิจฉาวาจาเป็นนิสัย....พ่นระบายโทสะปฏิฆะออกมาในข้อเขียนคำพูด......ปูดแต่ผรุสวาจา ปิสุณาวาจา สับปลับผลาวาจาแอบแฝงมาในถ้อยคำ ........ทำเขาวุ่นไปทั่ว....รู้ตัวตื่นเสียทีนะโฮฮับ
เอ้ย....

:b34: :b34: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2012, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:โฮฮับ.....
คุณโสกะครับ ถ้าที่บ้านไม่มีกระจกส่องหน้า ตอนเช้าๆล้างหน้า
ก็มองหน้าตัวเองในขัน ก็จะเห็นว่าใครกันแน่ ที่คอยเชียร์ ให้ท้าย
มันก็เป็นคุณมั้นแหล่ะ ด้วยความอาฆาตแค้นผม ลืมตัวเข้าสอด เข้าไปเชียร์คุณเช่นนั้นชนิดไม่ลืมหู
ลืมตา เชียร์เขา ให้ท้ายเขาทั้งๆที่ตัวเอง ไม่ได้มีความรู้ในสิ่ง ที่เขากำลังถกกันอยู่ แม้แต่น้อย
:b4: :b4: :b4:
ไม่มีอาฆาตแค้น......มีแต่เมตตาและสงสารโฮฮับที่...กำลังทำบาปชักนำคนไปในทางที่ผิด ติดขัดและคับแคบ

เอาละเว้ย! คลั่งแค้นถึงขนาดลงทุนตีไข่ใส่สีชาวบ้าน
โสกะนะโสกะ หยุดเถอะ ยิ่งพูดยิ่งเขาตัว
พูดมาได้ไม่อายปาก "เมตตาและสงสาร" ไม่เลิกเสียที่มือถือสากปากถือศีลเนี่ย

ไอ้คนที่ชักนำน่ะมันเป็นคุณ(ผิดถูกไม่รู้) ผมเพียงไม่เห็นด้วย
ผมก็เข้ามาแสดงความเห็น คุณก็ไม่พอใจ เหตุผลแค่นี้พอสรุปได้หรือยัง
ที่ใครอาฆาตและใครกันแน่ที่เมตตา


แล้วเรื่องคุณกับน้องคิงคองก็เหมือนกันครับ ผมเห็นใหม่ๆคุณก็พยายามชักนำน้องเขา
แต่เขาเป็นตัวของตัวเอง ไม่เห็นด้วย คุณก็ไม่พอใจกระทบกระเทียบน้องเขา
มันก็เลยเป็นสาเหตุที่น้องคิงคองเรียกให้ผมเข้ามาแสดงความเห็น
ดูให้ดีแล้วน้องคิงคองเธอชักนำผมต่างหาก

คุณโสกะพูดจาแบบนี้ ผมขอยืมคำของคุณกะลามาใช้หน่อยว่า "บ้าชัดๆ" :b32:

asoka เขียน:
:โฮฮับ.......
ผมกับน้องเขาเป็นกัลยณมิตรกันครับ สาเหตุก็เพราะจริตเหมือนกัน ปากใจตรงกัน
เสแสร้งไม่เป็น พูดจาไม่เพราะ แต่งตัวไม่เรียบร้อย

:b15: :b15: :b12: :b12:
คิดเอาเองว่าคนอื่นไม่รู้สิ่งที่ตนเองรู้......เลยดูถูก จ้วงจาบเขาไปเรื่อย ....แสดงความอหังการ์ มานะทิฏฐิของตนสู่ชาวโลกอย่างหน้าตาเฉย.......ยอมรับและรับรองตนเองแถมไม่พอยังดึงน้องคงลงมาเกลือกกลั้วด้วยว่าชอบใช้มิจฉาวาจาเป็นนิสัย....พ่นระบายโทสะปฏิฆะออกมาในข้อเขียนคำพูด......ปูดแต่ผรุสวาจา ปิสุณาวาจา สับปลับผลาวาจาแอบแฝงมาในถ้อยคำ ........ทำเขาวุ่นไปทั่ว....รู้ตัวตื่นเสียทีนะโฮฮับ
เอ้ย....

เอาล่ะ!ร้องลิเกอีกแล้ว ก็แค่เข้ามาแสดงความเห็น เผอิญมันเป็นความเห็นแย้ง
ไม่ได้อนุโมทนา แบบนี้เป็นการดูถูกจาบจ้วงหรือ ระบายโทสะหรือ

ไอ้ทีกำลังระบายโทสะผมว่าเป็นคุณละมั้ง
รู้สึกตัวซะเถอะโสกะ กำลังลืมมาดตัวเองอยู่นะ
เดียวชาวบ้านเขารู้หมดหรอกว่าเมื่อก่อนเสแสร้ง :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2012, 11:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


มาเพิ่มเติมเล็กน้อย ก่อนจะแวบ... cool cool cool

ภาษาบาลี น่าจะเหมือนภาษาอังกฤษ คือศัพท์คำหนึ่งจะมีทั้ง adjective adverb...
เช่นคำว่า อัตตา คือตัวตน และอัตตโน คือความรู้สึกว่าเป็นตัวตน หรือที่ใช้ศัพท์ตามตำราว่า แห่งตน

เพราะงั้นที่เข้าใจกันว่า อัตตา คือความยึดเหนี่ยว หรือความรู้สึกว่า มีตัวเรา จึงไม่น่าจะถูกต้อง เพราะนั่นน่าจะเป็นคำว่า อัตตโน มากกว่า

ทีนี้ ก็มาคิดต่ออีกว่า อัตตาเป็นคำตรงข้ามกับ อนัตตา หรือเปล่า... ปกติเราก็เข้าใจกันแบบนั้น
แต่จริงๆ คำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา... ฟังเผินๆ ก็เหมือนจะตรงข้ามกัน

แต่คำว่า ซ้าย แปลว่า ไม่ขวา หรือเปล่า... เราไม่ไปทางขวา ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปทางซ้าย
คำว่าอนัตตา ก็เทียบเคียงได้แบบเดียวกัน
อนัตตา และอัตตา จึงไม่น่าจะใช่คำที่มีความหมายในระดับเดียวกัน ที่มีความหมายตรงข้ามกัน
อัตตา เป็นคำนามที่หมายถึงตัวตน แต่อนัตตา จะมีความหมายที่กว้างขวางกว่า กินความไปถึงความไม่เที่ยง (ไม่คงทนถาวร) ไม่สามารถสั่งการได้...

จากที่บรรยายมา ขันธ์ 5 จึงเป็นองค์ประกอบที่รวมกันเป็นอัตตา คืออัตตาจะใช้ในการพูดรวมๆ กับปุถุชน ส่วนคนที่ต้องการศึกษาลึกซึ้งก็จะพูดถึง ขันธ์ 5
ส่วน อัตตโน น่าจะเป็นเพียงสังขารขันธ์เท่านั้น

และอัตตา (ขันธ์ 5) ก็เป็นอนัตตา...

ใช้เวลาครุ่นคิดกับเรื่องนี้พอสมควรเลย... อิอิ

คำว่าอัตตาหิ อัตตโนนาโถ จึงไม่น่าจะแปลว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน มันน่าจะแปลว่า... อัตตา ก่อให้เกิด อัตตโน อะไรประมาณนี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 87 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 86 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร