วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 20:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2012, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องด้วย กระทู้เรื่องนี้ ได้ถูกพวกเดียรถีย์ หรือพวกตัวเป็นมนุษย์แต่สภาพจิตใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน เหตุเพราะศีลธรรมทางศาสนา ไม่สามารถเข้าถึงจิตใจและสมองของเขา ได้เข้ามาก่อกวน พล่ามเพ้อเจ้อ อันเป้นเหตุให้เกิดความรำคาญและอนาถใจสมเพชเวทนาในตัวเขาผู้นั้น ทำให้เสียอรรถรสในการอ่านหลักธรรมทั้งหลายไปสิ้น

ข้าพเจ้าจึงได้นำมาตั้งเป็นกระทู้ พร้อมคำถามตอบที่เป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา แลผู้เกี่ยวข้องในทางพุทธศาสนาที่สนใจในหลักธรรมแลหลักปฏิบัติทางศาสนา ได้เรียนรู้ ศึกษา ทำความเข้าใจ หรือนำไปพัฒนาตนเอง แลผู้อื่น อันจักทำให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองได้ในระดับหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งหลายได้คิดพิจารณาเพื่อประโยชน์ต่อตนเองแลผู้อืนเถิดขอรับ

สมาธิมือใหม่ เขียน:
เพิ่งสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกค่ะ ติดตามอ่านเวบบอร์ดมาพอสมควร อยากได้คำแนะนำจากท่านผู้รู้ ช่วยแนะแนวทางให้หน่อยค่ะ ที่จริงฝึกสมาธิมานานมากแล้ว หลายปี ตั้งแต่สมัยเรียน แต่ไม่ได้ทำจริงจังถึงขนาดทุกวัน คือทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ได้ผลในเบื้องต้น คือ สมัยเรียนช่วยเรื่อง การจำ สอบได้คะแนนดีมาก(ได้เกียรตินิยมอันดับ2)ตอนนี้จบมาหลายปี เปลี่ยนงานมาหลายงาน จนตอนนี้มีครอบครัว ก็ยังพยายามฝึกทำสมาธิอยู่ ไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนเลย ออกจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ ศึกษามาพอควร เปลี่ยนวิธีมาก็หลายวิธี ทั้ง หายใจเข้า-ออก บริกรรมพุท-โธ, สัมมาอะระหัง, ยุบหนอ-พองหนอ, นับหายใจเข้า-ออก 1-5 แล้วย้อน 5-1, นับ 1-9 แล้วย้อน 9-1 หรือ เพ่งรู้ตามเสียง,ตามรู้ลมหายใจ เข้าให้รู้เข้า ออกให้รู้ออก สั้นให้รู้สั้น ยาวให้รู้ยาว, ในระหว่างวันตามรู้ลมหายใจขณะทำงาน, ที่เปลี่ยนหลายวิธีก้อเพื่ออยากหาหนทางที่เหมาะกับจริตตัวเอง และคิดว่ายังไม่เจอ แต่ที่ทำก็ใช้ บริกรรมพุทโธ เป็นส่วนใหญ่ ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำมาก็ไม่มีความก้าวหน้าในสมาธิ ที่บอกว่าไม่ก้าวหน้าคือ ไม่สามารถทำให้นานขึ้นได้ ไม่เคยเกิดนิมิต หรืออะไรต่างๆที่สามารถบอกเราได้ว่าเราไปสู่ขั้นต่อๆไป ก่อนทำก็ไม่คาดหวังอะไรนะคะ ไม่ตั้งเวลา ไม่เคยระบุด้วยว่าต้องทำ 1 ชม.ไม่คาดหวังว่าต้องมีนิมิต มันติดตรงที่ว่า ตอนนั่งสมาธิหลับตาแล้ว "ชอบคิด" เคยอ่านเจอคิดว่าน่าจะเป็นของท่านพุทธทาสภิกขุ(สะกดถูกรึป่าว ขออภัยด้วยค่ะ) ท่านบอกว่า ต้องทำให้จิตว่าง ทุกวันนี้ เค้าสอนให้เราคิด แต่ไม่เคยสอนให้เราหยุดคิด จริงมากที่สุดค่ะสำหรับตัวดิฉันเอง ทำอย่างไรให้ว่าง ทำอย่างไรให้ไม่คิด (ให้นานนานหนะค่ะ) ดิฉันทำได้แค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ หรือเราเป็นพวกสามธิสั้น (อ้อ..แล้วเรื่องที่คิดก็เป็นแบบจินตนาการค่ะ) ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยในการดำเนินชีวิต ที่จะมาเป็นอุปสรรค การงาน การเงิน ครอบครัว สุขภาพ ทุกอย่างเอื้อให้เราได้ปฏิบัติอย่างแท้จริง แต่กลับเป็นตัวเราเองที่ทำไม่ได้
พร่ำบ่นมาซะยาว เป็นความอัดอั้นมานานหลายปีค่ะ ขอต่ออีกหน่อย บางที่ท่านบอกว่าต้องมีครูช่วยแนะนำ บางที่บอกไม่ต้องอ่านมาก รู้มากแล้วทำตามตำราไม่ได้ผล ก้อเลยฝึกด้วยตัวเองเรื่อยมา ไม่ฝืน ทำเฉพาะเวลาที่เราทำได้ ผลก้อเลยออกมาเป็นแบบนี้เหรอป่าว?
ช่วยให้ดิฉันเป็นบัวที่พ้นน้ำซักทีเถิดค่ะ
ทักทายทักทายทักทาย

sriariya ตอบ.....
ความจริงแล้ว ข้าพเจ้า คิดว่าจะตั้งเป็นกระทู้หรือบทความใหม่ เพื่อให้ได้อ่านกันทุกท่าน แต่ได้แนวคิดใหม่ ก็เลยต้องขออนุญาตเจ้าของกระทู้ไว้ว่า ข้าพเจ้าขออนุญาต นำเอาคำถามของคุณไปโพสเป็น กระทู้เพื่อพุทธศาสนิกชน จะได้เห็นตัวอย่าง และสามารถทำความเข้าใจ ในเหตุการณ์ที่คุณเจ้าของกระทู้ได้เล่ามา
สิ่งที่คุณได้เล่ามาทั้งหมดนั้น แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาของคนหรือมนุษย์ที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มาก หรืออาจจะกล่าวได้อีกรูปแบบหนึ่งว่า เป็นผู้มีอารมณ์รุนแรง ขออภัยนะขอรับ ที่กล่าวไปแล้วนั้นไม่ใช่เป็นการว่ากล่าวให้คุณนะขอรับ แต่อธิบายไปตามหลักความจริงขอรับ
ตามที่ได้กล่าวไป ถ้าจะว่ากันตามหลักพุทธศาสนาในเรื่องของฌาน(ชาน) ทุกท่านจะเห็นและเข้าใจได้ว่า เจ้าของกระทู้ วนเวียนอยู่ใน ปฐมฌาน(ประถมชาน) คือ ฌาน(ชาน)ที่๑ อันเกิดมี วิตก,วิจารณ์,ปิติ,สุข,เอกัคคตา ผสมผสานกันไป จะสั้นหรือยาว ก็แล้วแต่ กล่าวคือ คิดเรื่องหนึ่งจบ ก็คิดอีกเรื่องหนึ่ง ต่อๆกันไป อย่างนี้เป็นต้น
การที่เจ้าของกระทู้วนเวียนอยู่ใน ปฐมฌาน ไม่ไปไหน ก็เพราะ ไม่สามารถควบคุมหัวใจและสมองได้ ถ้าคลื่นไฟฟ้าหัวใจทำงาน สมองก็จะคิดไปโดยที่เจ้าตัวจะไม่สามารถบังคับให้หยุดคิดได้ เนื่องจากในสมองมีเรื่องต่างๆมากมายที่ล้วนเป็นเครื่องก่อให้เกิด กิเลส
คำว่า กิเลส นั้น หลายๆคน ย่อมคิดว่า กิเลส ก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือ ตัณหาคือความอยาก โดยไม่ทันได้คิดว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือ ตัณหาคือความอยาก จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ เราคิด เราระลึกนึกถึง จากการที่ได้สัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย เมื่อเจ้าของกระทู้มีเรื่องที่ก่อให้เกิดกิเลส จึงทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจทำงานโดยอัตโนมัต ส่งคลื่นไปที่สมอง ทำให้สมองคิดถึงเรื่องราวต่างๆ แม้ขณะปฏิบัติสมาธิ ด้วยเหตุนี้เอง ในทางพุทธศาสนา จึงได้มีหลักของ ฌาน(ชาน) อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน จะมากหรือน้อย เป็นแล้วคิดแล้วสามารถควบคุมได้ หรือควบคุมไม่ได้ ก็ตามแต่
แต่ในทางพุทธศาสนา ได้จัดลำดับขั้นของ ฌาน(ชาน) เอาไว้เป็นขั้นๆ ซึ่งในทางทีเป็นจริง บุคคลทั้งหลายที่ปฏิบัติสมาธิ อาจสามารถข้ามขั้น ไปได้ หรืออาจขึ้นหรือลดได้ ตามแต่สภาพสภาวะจิตใจ และหรือ สภาพกิเลสในตัวของบุคคลนั้นๆ
ด้วยเหตุที่กล่าวไป การคิด หรือ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข ที่เกิดขึ้นในขณะ ปฏิบัติสมาธิ หรือฝึกสมาธินั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลที่มีอารมณ์รุนแรง มีกิเลสตัณหามากกว่า บุคคลอื่นๆ จำต้องฝึกฝนโดยตัดความสนใจอื่นๆออกไปบ้าง เอาเป็นเพียงนั่่งหรือนอนให้สบาย เป็นใช้ได้
อนึ่ง เรื่องของการคิด ขณะฝึกปฏิบัติสมาธินั้น อาจทำให้ร่างกายหลั่งสารชนิดหนึ่ง(จำชื่อไม่ได้) ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ แม้จะไม่คิดเรื่องใดก็ตาม อันนี้ต้องรู้เอาไว้ จะได้ไม่เกิดความวิตกกังวลว่า ทำไมถึงนอนไม่หลับ
ถ้าหากเจ้าของกระทู้ ไม่ต้องการที่จะคิดในขณะปฏิบัติสมาธิ จำต้องมีสติระลึกได้อยู่เสมอ เมื่อรู้สึกตัวว่าได้คิด ก็ให้ควบคุมจิตใจหรือหัวใจเอาไว้ การควบคุมหัวใจหรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขียนเป็นตัวหนังสือไม่ได้ขอรับ ไม่รู้จะเขียนอย่างไร เอาเป็นว่า เมื่อรู้ตัวว่าคิด ก็ต้องควบคุมไว้ไม่ให้คิด คือ ความคุม ความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัณหาคือความอยาก นั่นแหละขอรับ
ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายไปทั้งหมด คือการฝึกสมาธิ ตามหลักธรรมชาติ และเป็นไปตามหลักพุทธศาสนา ในเรื่องของฌาน ซึ่ง ในเรื่องของ ฌาน นี้ ยังแตกย่อยออกไปได้อีก เป็น สมาธิชั่วขณะ,สมาธิขั้นจวนเจียน,สมาธิแน่วแน่ ฯ อย่างนี้เป็นต้น อันนี้ไม่ต้องสนใจก็ได้ขอรับ เอาเป็นเพียงไม่ให้คิด ถ้าคิดก็สามารถควบคุมและหยุดคิดได้ ก็ถือว่าสำเร็จขอรับ
จะทำได้หรือไม้่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับความ ตั้งใจ ความเข้าใจ ความขยันของตัวคุณเองนะขอรับ
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์ (ผู้สอน)
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕


อ้างคำพูด:
สมาธิมือใหม่ เขียน:
sriariya เขียนว่า:
ถ้าหากเจ้าของกระทู้ ไม่ต้องการที่จะคิดในขณะปฏิบัติสมาธิ จำต้องมีสติระลึกได้อยู่เสมอ เมื่อรู้สึกตัวว่าได้คิด ก็ให้ควบคุมจิตใจหรือหัวใจเอาไว้ การควบคุมหัวใจหรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขียนเป็นตัวหนังสือไม่ได้ขอรับ ไม่รู้จะเขียนอย่างไร เอาเป็นว่า เมื่อรู้ตัวว่าคิด ก็ต้องควบคุมไว้ไม่ให้คิด คือ ความคุม ความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัณหาคือความอยาก นั่นแหละขอรับ

นี่แหละ ที่เป็นปัญหาของดิฉันอยู่ คือบางครั้งเผลอ ไม่มีสติ ท่านผู้สอนบอกว่าไม่ใช่เรื่องยาก อย่างไรแล้ว จะฝึกต่อไปเรื่อยๆค่ะ

อนุโมทนาสาธุค่ะ
สาธุสาธุสาธุสาธุ


sriariya ตอบ....
คุณเป็นคนคิดมาก แต่คิดไปในทางที่ไม่เป็นไปตามตำรา(หลักวิชาการต่างๆ) ข้าพเจ้าได้อธิบายไปอย่างครบถ้วนแล้วว่าทำไมคุณถึงเผลอ ตอนเผลอไม่ใช่ไม่มีสตินะขอรับ แต่มีสติไปในเรื่องที่คุณคิด ไม่มีสติในเรื่องที่คุณกำลังปฏิบัติหรือกำลังทำอยู่ เข้าใจไหมขอรับ
ถ้าจะอธิบายต่อเกี่ยวกับที่คุณเรียกว่า เป็นปัญหา คุณก็ลองไปอ่าน ไปศึกษาเรื่อง "สติปัฎฐาน๔" จะหาจากหนังสือ หรือจะหาตามเวบฯที่เขามี "พระไตรปิฎกฯ" หรือ"จะสอบถามหรือตั้งเป็นคำถามในเวบฯต่างๆ ดูเพื่อเปรียบเทียบ และทำความเข้าใจ คุณก็จะเกิดความรู้ ความเข้าใจ สามารถปฏิบัติได้ทำได้ โดยไม่ยากเลยขอรับ สนุกดีด้วย เพราะมันอเมซิ่งนะขอรับ

สมาธิมือใหม่ เขียน:
มีหนังสือเกี่ยวกับสติปัฏฐาน 4 อยู่บ้างค่ะ จะอ่านอีกครั้งนึง เคยศึกษามาก่อน แต่ตอนนี้ลืมรายละเอียดบางส่วนค่ะ จะค้นคว้าอ่านอีกรอบเพื่อตามหาความอเมซิ่งค่ะ สู้สู้

ดอกไม้ ทักทายทักทายดอกไม้

sriariya ตอบ.....
ขอแนะนำคุณอีกอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับการคิดพิจารณาและทำความเข้าใจใน สติปัฏฐาน ๔ ว่า คุณจะต้องคิดพิจารณาให้เหลือเพียงต้นตอนะขอรับ เพราะในหลักสติปัฏฐานนั้น เขา เขียนแบบหลักรวมเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่น "พิจารณากายในกาย" คุณต้องคิดพิจารณาและทำความเข้าใจให้ดีว่า พิจารณาอะไรของกายในกาย พิจารณาการเกิดและวิธีการทำให้มันดับ อันนี้คุณต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง อย่างนี้เป็นต้น ไม่ยากขอรับ ถ้าไม่เห็นเป็นเรื่องยาก และการพิจารณาจะต้องทำอยู่ตลอดหมายความว่า ถ้าเกิดความคิดก็ต้องพิจารณาหาเหตุผลในสิ่งนั้น แล้วคุณจะพบความอะเมซิ่งในร่างกายและจิตใจของคุณขอรับ

din เขียน:
ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจึงอยากถามว่า
- บุคคลผู้หลับอยู่ ไม่คิด หรือว่าคิดอยู่ แต่จิตไม่ได้จับมาเป็นอารมณ์
- บุคคลผู้มีสมาธิ ไม่คิด หรือว่าคิด หากสนใจเพียงแต่เรื่องที่เป็นที่ตั้งแห่งสมาธินั้น
- บุคคลผู้ตายแล้ว ไม่คิด หรือว่าคิดไม่ได้ เพราะองค์ให้คิดนั้นได้หมดสภาพไป

sriariya ตอบ....
ถามแบบลองภูมิว่าง้้นเถอะ แต่ข้าพเจ้าจะคิดว่าคุณไม่รู้แลถามด้วยความอยากรู้

๑.การนอนหลับของมนุษย์นั้นมีหลากหลายรูปแบบ บางคน หลับไปทั้งสมองและจิตใจ ,บางคนสมองหลับแต่จิตใจไม่หลับ ,บางคนหลับจิตใจหลับ แต่สมองไม่หลับ
-คำว่า หลับไปทั้งสมองและจิตใจ หมายความว่า ไม่มีคลื่นทางความคิด และอารมณ์ใดใดเกิดขึ้น ขณะนอนหลับ (ไม่อธิบายต่อนะเพราะยังมีคำอธิบายอีกยาวเอาแค่นี้)
-คำว่า สมองหลับ แต่จิตใจไม่หลับ หมายความว่า ขณะบุคคลผู้นั้นนอนหลับอยู่นั้น สมองของเขาหลับ ไม่ยอมรับคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ส่งไปยังสมอง ดังที่รู้กันว่า ครึ่งหลับครึ่งตื่น อาจรู้ตัว แต่ไม่คิด เพราะสมองไม่ทำงานสมองหลับ
-คำว่า บางคนจิตใจหลับ แต่สมองไม่หลับ หมายความว่า ขณะบุคคลผู้นั้นนอนหลับอยู่ จิตใจของเขาไม่ส่งกระแสคลื่นไฟฟ้าไปสู่สมอง แต่สมองยังทำงานยังคิดยังฝันไปต่างๆนานาตามแต่ประสบการณ์หรือตามแต่ที่ได้สัมผัสทางอายตนะแล้วเก็บสะสมไว้ในสมอง

๒. บุคคลผุ้มีสมาธิ ไม่คิด หรือว่าคิด หาสนใจเพียงแต่เรื่องที่เป็นที่ตั้งแห่งสมาธิ ข้าพเจ้าจะตอบแบบรวบรัด ว่ามันขึ้นอยู่กับ สิ่งที่นำมาเป็นที่ตั้งแห่งสมาธิ บ้างก็ต้องคิด บ้างก็ไม่ต้องคิด แต่เอาใจจดจ่อแทนการคิด แต่สมองล้วนทำงานเหมือนกันทั้งสองประเภท
๓. บุคคลผู้ตายแล้่ว ไม่คิด หรือว่าคิดไม่ได้ เพระาองคืให้คิดนั้นได้หมดสภาพไป คำถามข้อนี้ ข้าพเจ้าไม่ตอบนะขอรับ เพราะมันเป็นคำถามของคน โง่ เขลาเบาปัญญาขอรับ


din เขียน:
ชัดเจนครับ ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอถามต่อ
- ที่ว่าจิตใจหลับนั้นเป็นเช่นใด จิตใจหลับด้วยเหตุใด และความที่ว่าพระพระอรหันต์ไม่ฝันนั้นเป็นเช่นใด
- ในสมาธิที่ว่าไม่ต้องคิด คือเรื่องความความคิด หรือคิดเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องความคิด
- แล้วคนที่ไม่คิดต่างกับคนที่ตายแล้วเช่นใด

sriariya ตอบ.....
ถามซอกแซก ทำอย่างกับว่าจะเอาไปทำวิทยานิพนธ์อย่างนั้นแหละ
-คำว่า จิตใจ หมายถึง หัวใจ และหมายถึง การทำงานของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับคลื่นและส่งคลื่นไฟฟ้าหัวใจหยุดทำงาน พักผ่อนว่าง้้นเถอะ
ใครบอกคุณว่า พระอรหันต์ไม่ฝัน เขาคนที่บอกคุณนั้นเป็น พระอรห้นต์หรือขอรับ พระอรหันต์ก็คนนั่นแหละ จะฝันก็ได้ไม่ฝันก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพสภาวะจิตใจหรือการได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมกี่มากน้อย(อันนี้ไม่อธิบาย)
- สมาธิ ไม่ต้องคิด ก็คือ ไม่ต้องคิด เช่น คุณคิดคำว่า พุทโธ หรือคิดคำว่า ยุบหนอ พองหนอ นั่นแหละคิด แต่ถ้าไม่คิด ก็เป็นเพียงเอาใจจดจ่อ ไม่คิดสิ่งใด แต่ทั้งสองอย่างต้องใช้สมองร่วมด้วย เพราะไม่ว่าจะใจ หรือ คิด ก็ต้องผ่านสมองเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ เอาใจจดจ่อ ไม่ใช่การคิด เพียงแต่ ผ่านสมองเท่านั้น
-คนที่ไม่คิดต่างกับคนที่ตายแล้วเช่นใด ขออภัย คุณไปถามคนที่ตายแล้วเอาเองเถอะขอรับ

จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
6 มิ.ย. 2555


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2012, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


แจ๋วจริงนะ ณ ลุงจ่า

อ้างคำพูด:
din เขียน:
ชัดเจนครับ ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอถามต่อ
- ที่ว่าจิตใจหลับนั้นเป็นเช่นใด จิตใจหลับด้วยเหตุใด และความที่ว่าพระพระอรหันต์ไม่ฝันนั้นเป็นเช่นใด
- ในสมาธิที่ว่าไม่ต้องคิด คือเรื่องความความคิด หรือคิดเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องความคิด
- แล้วคนที่ไม่คิดต่างกับคนที่ตายแล้วเช่นใด


ว่าแต่เห็นมีนายdin ปัจจุบันเขายังมาโพสทอยู่หรือป่าวนี่ เพียงแต่ผมรู้อย่างเดียว คนที่ตายก็หมดธุระที่ต้องคิดอีก แต่คนเป็นมันก็คิดแล้วคิดเล่าก็นี่มันวัฏฏสงสารรนี่ 5555 เก่าไปใหม่มาอยู่เรื่อยๆ :b40: :b40: :b40: :b40: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
เนื่องด้วย กระทู้เรื่องนี้ ได้ถูกพวกเดียรถีย์ หรือพวกตัวเป็นมนุษย์แต่สภาพจิตใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน เหตุเพราะศีลธรรมทางศาสนา ไม่สามารถเข้าถึงจิตใจและสมองของเขา ได้เข้ามาก่อกวน พล่ามเพ้อเจ้อ อันเป้นเหตุให้เกิดความรำคาญและอนาถใจสมเพชเวทนาในตัวเขาผู้นั้น ทำให้เสียอรรถรสในการอ่านหลักธรรมทั้งหลายไปสิ้น


asoka เขียน:
เอ้! ....... นี่ผ่านวันวิสาขะบูชามหาสมัย วันแห่งการที่ควรจะสละเวลาให้กายและใจได้สัมผัสอมตะธรรม วันที่จะได้ปฏิบัติบูชาถวายต่อพุทธบิดากันอย่างเต็มที่ ผ่านกันมาได้อย่างไร ทำไม?ใจคุณโฮฮับกับคุณศรีอริยะจึงไม่ปล่อยวางจากเรื่องที่ถกกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชาก กันไปให้หมดแล้วมาตั้งต้นสนทนากันใหม่ด้วยถ้อยทีถ้อยอาศัยมิตรไมตรีดีต่อกัน ไม่ดีหรือครับ คุณโฮ....ท่านศรี....โดยเฉพาะอย่ายิ่งท่านศรี..ผู้ที่รับรองตนเองไว้ว่าได้รู้อะไรมากกว่าที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้ว
น่าจะสงบเย็นกวาพระบรมศาสดานะครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=42272

จ่าศรีอาริยา ที่ว่าพวกเดียรถีย์กับเดรัจฉานน่ะว่าใครครับ
ว่าผมหรือว่า คุณอโศกะแกครับ อย่าไปว่าคุณอโศกะแกเลยครับ

อยากด่าอยากว่า ก็เอามาที่ผมคนเดียวเถอะครับ คุณโสกะแกน่าสงสารครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
sriariya เขียน:
เนื่องด้วย กระทู้เรื่องนี้ ได้ถูกพวกเดียรถีย์ หรือพวกตัวเป็นมนุษย์แต่สภาพจิตใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน เหตุเพราะศีลธรรมทางศาสนา ไม่สามารถเข้าถึงจิตใจและสมองของเขา ได้เข้ามาก่อกวน พล่ามเพ้อเจ้อ อันเป้นเหตุให้เกิดความรำคาญและอนาถใจสมเพชเวทนาในตัวเขาผู้นั้น ทำให้เสียอรรถรสในการอ่านหลักธรรมทั้งหลายไปสิ้น


asoka เขียน:
เอ้! ....... นี่ผ่านวันวิสาขะบูชามหาสมัย วันแห่งการที่ควรจะสละเวลาให้กายและใจได้สัมผัสอมตะธรรม วันที่จะได้ปฏิบัติบูชาถวายต่อพุทธบิดากันอย่างเต็มที่ ผ่านกันมาได้อย่างไร ทำไม?ใจคุณโฮฮับกับคุณศรีอริยะจึงไม่ปล่อยวางจากเรื่องที่ถกกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชาก กันไปให้หมดแล้วมาตั้งต้นสนทนากันใหม่ด้วยถ้อยทีถ้อยอาศัยมิตรไมตรีดีต่อกัน ไม่ดีหรือครับ คุณโฮ....ท่านศรี....โดยเฉพาะอย่ายิ่งท่านศรี..ผู้ที่รับรองตนเองไว้ว่าได้รู้อะไรมากกว่าที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้ว
น่าจะสงบเย็นกวาพระบรมศาสดานะครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=42272

จ่าศรีอาริยา ที่ว่าพวกเดียรถีย์กับเดรัจฉานน่ะว่าใครครับ
ว่าผมหรือว่า คุณอโศกะแกครับ อย่าไปว่าคุณอโศกะแกเลยครับ

อยากด่าอยากว่า ก็เอามาที่ผมคนเดียวเถอะครับ คุณโสกะแกน่าสงสารครับ :b13:


ไม่ด่าคุณดอกขอรับ เพราะด่าคุณไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร สู้ทำให้คุณได้คิดได้พิจารณาและรู้สำนึกด้วยตัวของคุณเองจะดีกว่า
คนที่ศีลธรรมทางศาสนาเข้าไม่ถึงจิตใจของมัน คนผู้นั้น ก็แค่เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น ส่วนคำว่าเดียรถีย์ก็มีความหมายเดียวกัน ส่วนคุณ อโศก นั้น เขาเพียงแสดงความคิดเห็น ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าเขาใช้สมองส่วนไหนก็ได้คิดพิจารณา เขาก็จะรู้ด้วยตัวเขาเอง แหละขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


รบกวนถามท่านจ่าเกี่ยวกับสมาธิ วันนี้สมาธิคุนน้องแปลกว่าทุกครั้ง
วันนี้คุนน้องทำสมาธิ ก่อนจะเข้าสมาธิคุนน้องจะอธิษฐานจิต คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทุกครั้ง
หลังจากนั้นก็ ท่อง นะโม 3จบ พอเข้าสมาธิสมาธิจะอยู่ในระดับ อุปจารสมาธิ เกิดปิติ คุนน้องก็บริกรรมพุทธานุสติถึงพระพุทธองค์ทำจิตให้เป็นกุศลและเมตตาที่สุด คุนน้องตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตาให้เหล่า เทวดา พรหม สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง แล้วทำจิตให้สงบ แต่วันนี้แปลกกว่าทุกครั้ง รู้สึกปวดหนึบๆตรงระหว่างคิ้ว แต่สมาธิก็เข้าสู่ ฌาน 1แล้วตอนนั้นเพราะ
คุนน้องเปิดทีวี แต่สมาธิก็สงบไม่ได้ฟุ้งซ่าน แต่ปวดหนึบๆตรงระหว่างคิ้วอยู่แบบนั้นเหมือนมันมีอาไรหนึบๆจะหลุดออกมา แต่คุนน้องก็เกิด วิตก วิจารณ์ ปิติ เอกัคคตา ผสมผสานกันไป แต่วิตกวิจารณ์ของคุนน้องเป็นแบบกุศลจิต คืออธิษฐานแผ่เมตตาออกไปให้ไกล พอสมาธิเข้าสู่ระดับลึก ลึกแค่ไหนไม่รู้ ปิติเกิดสลับกับเอกัคคตาอยู่อย่างนั้น ลมหายใจเริ่มละเอียดลงๆเรื่อยๆ คุนน้องก็จะตรวจสอบลมหายใจตัวเองที่ปลายจมูก อารมณ์นิวรณ์ก็ไม่เกิด และกำหนดรู้ สักพักจิตคุนน้องมันวูบดิ่งลง ปิติ หาย เหลือแต่เอกัคคตานิ่งอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ คุนน้องเริ่มฟุ้งซ่านเพราะมะเคยเข้าถึงสภาวะนี้ น้ำลายไหลออกจากปากยังมีสติอยู่รู้อยู่(เวรกรรม :b5: ) แต่ก็ไม่สนใจนิ่งรู้อยู่ตลอด แต่สมาธิเริ่มส่ายคุนน้องกำหนดรุ้ว่าลมหายใจจมูกเริ่มหยาบขึ้นสมาธิเริ่มแกว่งเกิดอารมณ์ปิติ กลับเข้ามา อุปจารสมาธิเหมือนเดิม ตอนนั้งฝนตกลงมาชั่วขณะด้วยเจ้าค่ะ ตกประมาณ5นาที แล้วหยุด คุนน้องก็ดันคิดเข้าข้างตัวเองในสมาธิว่า เทวดา คงจะได้บุญกุศลของเราเลยทำให้ฝนตกครู่นึงหรือเปล่า อาการก็เป็นแบบที่เล่านี่แหละเจ้าค่ะ
คุนน้องอยากทราบว่า ตอนที่คุนน้องดิ่งลงไม่เกิดปิติ เกิดแต่ตัวรู้อยู่อย่างงั้น มันคือสภาวะอะไรหรือเจ้าค่ะทุกสิ่งทุกอย่างมันสุขสงบเงียบ ในนิมิตก็เหมือนเป็นแสงประกายใสๆแว๊บไปแว๊บมา
เพิ่มเติมอีกหน่อย ตอนที่จิตคุนน้องดิ่งวูบลงไปไอ้อาการปวดหนึบๆระหว่างคิ้วมันไม่มีเลยเจ้าค่ะ มันหายไม่รู้สึกอะไรนอกจาก รู้อยู่อย่างเดียว :b44: onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
รบกวนถามท่านจ่าเกี่ยวกับสมาธิ วันนี้สมาธิคุนน้องแปลกว่าทุกครั้ง
วันนี้คุนน้องทำสมาธิ ก่อนจะเข้าสมาธิคุนน้องจะอธิษฐานจิต คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทุกครั้ง
หลังจากนั้นก็ ท่อง นะโม 3จบ พอเข้าสมาธิสมาธิจะอยู่ในระดับ อุปจารสมาธิ เกิดปิติ คุนน้องก็บริกรรมพุทธานุสติถึงพระพุทธองค์ทำจิตให้เป็นกุศลและเมตตาที่สุด คุนน้องตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตาให้เหล่า เทวดา พรหม สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง แล้วทำจิตให้สงบ แต่วันนี้แปลกกว่าทุกครั้ง รู้สึกปวดหนึบๆตรงระหว่างคิ้ว แต่สมาธิก็เข้าสู่ ฌาน 1แล้วตอนนั้นเพราะ
คุนน้องเปิดทีวี แต่สมาธิก็สงบไม่ได้ฟุ้งซ่าน แต่ปวดหนึบๆตรงระหว่างคิ้วอยู่แบบนั้นเหมือนมันมีอาไรหนึบๆจะหลุดออกมา แต่คุนน้องก็เกิด วิตก วิจารณ์ ปิติ เอกัคคตา ผสมผสานกันไป แต่วิตกวิจารณ์ของคุนน้องเป็นแบบกุศลจิต คืออธิษฐานแผ่เมตตาออกไปให้ไกล พอสมาธิเข้าสู่ระดับลึก ลึกแค่ไหนไม่รู้ ปิติเกิดสลับกับเอกัคคตาอยู่อย่างนั้น ลมหายใจเริ่มละเอียดลงๆเรื่อยๆ คุนน้องก็จะตรวจสอบลมหายใจตัวเองที่ปลายจมูก อารมณ์นิวรณ์ก็ไม่เกิด และกำหนดรู้ สักพักจิตคุนน้องมันวูบดิ่งลง ปิติ หาย เหลือแต่เอกัคคตานิ่งอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ คุนน้องเริ่มฟุ้งซ่านเพราะมะเคยเข้าถึงสภาวะนี้ น้ำลายไหลออกจากปากยังมีสติอยู่รู้อยู่(เวรกรรม :b5: ) แต่ก็ไม่สนใจนิ่งรู้อยู่ตลอด แต่สมาธิเริ่มส่ายคุนน้องกำหนดรุ้ว่าลมหายใจจมูกเริ่มหยาบขึ้นสมาธิเริ่มแกว่งเกิดอารมณ์ปิติ กลับเข้ามา อุปจารสมาธิเหมือนเดิม ตอนนั้งฝนตกลงมาชั่วขณะด้วยเจ้าค่ะ ตกประมาณ5นาที แล้วหยุด คุนน้องก็ดันคิดเข้าข้างตัวเองในสมาธิว่า เทวดา คงจะได้บุญกุศลของเราเลยทำให้ฝนตกครู่นึงหรือเปล่า อาการก็เป็นแบบที่เล่านี่แหละเจ้าค่ะ
คุนน้องอยากทราบว่า ตอนที่คุนน้องดิ่งลงไม่เกิดปิติ เกิดแต่ตัวรู้อยู่อย่างงั้น มันคือสภาวะอะไรหรือเจ้าค่ะทุกสิ่งทุกอย่างมันสุขสงบเงียบ ในนิมิตก็เหมือนเป็นแสงประกายใสๆแว๊บไปแว๊บมา
เพิ่มเติมอีกหน่อย ตอนที่จิตคุนน้องดิ่งวูบลงไปไอ้อาการปวดหนึบๆระหว่างคิ้วมันไม่มีเลยเจ้าค่ะ มันหายไม่รู้สึกอะไรนอกจาก รู้อยู่อย่างเดียว :b44: onion



:b1: วิตก-วิจารณ์-ปีติ-สุข-เอกัคคตา

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2012, 23:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
วิตก-วิจารณ์-ปีติ-สุข-เอกัคคตา


คุนน้องมาถูกทางแล้วใช่มิ มันสุขสงบดีจริงๆเลยเจ้าค่ะ :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 04:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ไม่ด่าคุณดอกขอรับ เพราะด่าคุณไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร สู้ทำให้คุณได้คิดได้พิจารณาและรู้สำนึกด้วยตัวของคุณเองจะดีกว่า
คนที่ศีลธรรมทางศาสนาเข้าไม่ถึงจิตใจของมัน คนผู้นั้น ก็แค่เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น ส่วนคำว่าเดียรถีย์ก็มีความหมายเดียวกัน ส่วนคุณ อโศก นั้น เขาเพียงแสดงความคิดเห็น ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าเขาใช้สมองส่วนไหนก็ได้คิดพิจารณา เขาก็จะรู้ด้วยตัวเขาเอง แหละขอรับ

ถ้าผมบอกว่า ผมสำนึกแล้วผมเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
ผมขอให้จ่าชี้ทางสว่างให้ ด้วยการตอบข้อข้องใจของผมที่เกี่ยวกับ
เนื้อหาในกระทู้นี้ จ่าจะว่าไงครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




untitled.bmp
untitled.bmp [ 148.4 KiB | เปิดดู 5545 ครั้ง ]
------------------------หุบปาก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงหมาน เมื่อ 09 มิ.ย. 2012, 05:34, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b38: .......... :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
รบกวนถามท่านจ่าเกี่ยวกับสมาธิ วันนี้สมาธิคุนน้องแปลกว่าทุกครั้ง
วันนี้คุนน้องทำสมาธิ ก่อนจะเข้าสมาธิคุนน้องจะอธิษฐานจิต คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทุกครั้ง
หลังจากนั้นก็ ท่อง นะโม 3จบ พอเข้าสมาธิสมาธิจะอยู่ในระดับ อุปจารสมาธิ เกิดปิติ คุนน้องก็บริกรรมพุทธานุสติถึงพระพุทธองค์ทำจิตให้เป็นกุศลและเมตตาที่สุด คุนน้องตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตาให้เหล่า เทวดา พรหม สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง แล้วทำจิตให้สงบ แต่วันนี้แปลกกว่าทุกครั้ง รู้สึกปวดหนึบๆตรงระหว่างคิ้ว แต่สมาธิก็เข้าสู่ ฌาน 1แล้วตอนนั้นเพราะ
คุนน้องเปิดทีวี แต่สมาธิก็สงบไม่ได้ฟุ้งซ่าน แต่ปวดหนึบๆตรงระหว่างคิ้วอยู่แบบนั้นเหมือนมันมีอาไรหนึบๆจะหลุดออกมา แต่คุนน้องก็เกิด วิตก วิจารณ์ ปิติ เอกัคคตา ผสมผสานกันไป แต่วิตกวิจารณ์ของคุนน้องเป็นแบบกุศลจิต คืออธิษฐานแผ่เมตตาออกไปให้ไกล พอสมาธิเข้าสู่ระดับลึก ลึกแค่ไหนไม่รู้ ปิติเกิดสลับกับเอกัคคตาอยู่อย่างนั้น ลมหายใจเริ่มละเอียดลงๆเรื่อยๆ คุนน้องก็จะตรวจสอบลมหายใจตัวเองที่ปลายจมูก อารมณ์นิวรณ์ก็ไม่เกิด และกำหนดรู้ สักพักจิตคุนน้องมันวูบดิ่งลง ปิติ หาย เหลือแต่เอกัคคตานิ่งอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ คุนน้องเริ่มฟุ้งซ่านเพราะมะเคยเข้าถึงสภาวะนี้ น้ำลายไหลออกจากปากยังมีสติอยู่รู้อยู่(เวรกรรม :b5: ) แต่ก็ไม่สนใจนิ่งรู้อยู่ตลอด แต่สมาธิเริ่มส่ายคุนน้องกำหนดรุ้ว่าลมหายใจจมูกเริ่มหยาบขึ้นสมาธิเริ่มแกว่งเกิดอารมณ์ปิติ กลับเข้ามา อุปจารสมาธิเหมือนเดิม ตอนนั้งฝนตกลงมาชั่วขณะด้วยเจ้าค่ะ ตกประมาณ5นาที แล้วหยุด คุนน้องก็ดันคิดเข้าข้างตัวเองในสมาธิว่า เทวดา คงจะได้บุญกุศลของเราเลยทำให้ฝนตกครู่นึงหรือเปล่า อาการก็เป็นแบบที่เล่านี่แหละเจ้าค่ะ
คุนน้องอยากทราบว่า ตอนที่คุนน้องดิ่งลงไม่เกิดปิติ เกิดแต่ตัวรู้อยู่อย่างงั้น มันคือสภาวะอะไรหรือเจ้าค่ะทุกสิ่งทุกอย่างมันสุขสงบเงียบ ในนิมิตก็เหมือนเป็นแสงประกายใสๆแว๊บไปแว๊บมา
เพิ่มเติมอีกหน่อย ตอนที่จิตคุนน้องดิ่งวูบลงไปไอ้อาการปวดหนึบๆระหว่างคิ้วมันไม่มีเลยเจ้าค่ะ มันหายไม่รู้สึกอะไรนอกจาก รู้อยู่อย่างเดียว :b44: onion


ขออภัยนะขอรับ ข้าพเจ้าจะตอบชนิดที่ "ไม่ตอแหล" คุณนั่งของคุณ คุณรู้สึกของคุณ แล้วคุณมาถามข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะรู้เหรอ อีกประการหนึ่ง
ข้าพเจ้าก็สอนไปหลายครั้งแล้วว่า คำว่า "ฌาน" นั้น เป็นเพียงอธิบายให้ได้รู้ให้ได้เข้าใจว่า เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ฝึกปฏิบัติสมาธิต้องเป็นอย่างนั้น มีสมาธิจริง ก็ต้องไม่คิดสิ่งใด เงียบเฉย ไม่ใช่ทำเป็นอวดว่ารู้ตัวว่า ดิ่งวูบบ้าง เห็นนิมิตบ้าง ขอตอบตามตรงเลยนะว่า "บ้า"แบบบางๆนะขอรับ
ส่วนอาการบวดระหว่างคิ้ว อาจเป็นเพราะเกิดความผิดปกติของเส้นประสาทหรือเส้นเลือดฝอยหรือต่อมไซนัสบริเวณนั้น จึงทำให้เกิดอาการปวด ขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
sriariya เขียน:
ไม่ด่าคุณดอกขอรับ เพราะด่าคุณไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร สู้ทำให้คุณได้คิดได้พิจารณาและรู้สำนึกด้วยตัวของคุณเองจะดีกว่า
คนที่ศีลธรรมทางศาสนาเข้าไม่ถึงจิตใจของมัน คนผู้นั้น ก็แค่เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น ส่วนคำว่าเดียรถีย์ก็มีความหมายเดียวกัน ส่วนคุณ อโศก นั้น เขาเพียงแสดงความคิดเห็น ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าเขาใช้สมองส่วนไหนก็ได้คิดพิจารณา เขาก็จะรู้ด้วยตัวเขาเอง แหละขอรับ

ถ้าผมบอกว่า ผมสำนึกแล้วผมเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
ผมขอให้จ่าชี้ทางสว่างให้ ด้วยการตอบข้อข้องใจของผมที่เกี่ยวกับ
เนื้อหาในกระทู้นี้ จ่าจะว่าไงครับ :b32:


เจ้า "โง่งับ" เจ้าจะถามอะไร ก็ถามได้ แต่อย่าทำเป็นอวดเอา พระไตรปิฏก ทำเป็นหนังราชสีห์มาห่ม ความเป็นสุนัขของเจ้า
เพราะหลักวิชชาทั้งหลายที่ข้าพเจ้ามีอยู่ มิได้เล่าเรียนมาจากพระไตรปิฏก แต่หลักวิชชาทั้งหลายที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ได้จากการ ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และทดลองปฏิบัติ จนได้ผลดีแล้ว ถามมาได้เลย จะตอบให้ตามหลักธรรมชาติ และตามหลักความจริง ไม่เกี่ยวกับพระไตรปิฏก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
nongkong เขียน:
รบกวนถามท่านจ่าเกี่ยวกับสมาธิ วันนี้สมาธิคุนน้องแปลกว่าทุกครั้ง
วันนี้คุนน้องทำสมาธิ ก่อนจะเข้าสมาธิคุนน้องจะอธิษฐานจิต คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทุกครั้ง
หลังจากนั้นก็ ท่อง นะโม 3จบ พอเข้าสมาธิสมาธิจะอยู่ในระดับ อุปจารสมาธิ เกิดปิติ คุนน้องก็บริกรรมพุทธานุสติถึงพระพุทธองค์ทำจิตให้เป็นกุศลและเมตตาที่สุด คุนน้องตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตาให้เหล่า เทวดา พรหม สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง แล้วทำจิตให้สงบ แต่วันนี้แปลกกว่าทุกครั้ง รู้สึกปวดหนึบๆตรงระหว่างคิ้ว แต่สมาธิก็เข้าสู่ ฌาน 1แล้วตอนนั้นเพราะ
คุนน้องเปิดทีวี แต่สมาธิก็สงบไม่ได้ฟุ้งซ่าน แต่ปวดหนึบๆตรงระหว่างคิ้วอยู่แบบนั้นเหมือนมันมีอาไรหนึบๆจะหลุดออกมา แต่คุนน้องก็เกิด วิตก วิจารณ์ ปิติ เอกัคคตา ผสมผสานกันไป แต่วิตกวิจารณ์ของคุนน้องเป็นแบบกุศลจิต คืออธิษฐานแผ่เมตตาออกไปให้ไกล พอสมาธิเข้าสู่ระดับลึก ลึกแค่ไหนไม่รู้ ปิติเกิดสลับกับเอกัคคตาอยู่อย่างนั้น ลมหายใจเริ่มละเอียดลงๆเรื่อยๆ คุนน้องก็จะตรวจสอบลมหายใจตัวเองที่ปลายจมูก อารมณ์นิวรณ์ก็ไม่เกิด และกำหนดรู้ สักพักจิตคุนน้องมันวูบดิ่งลง ปิติ หาย เหลือแต่เอกัคคตานิ่งอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ คุนน้องเริ่มฟุ้งซ่านเพราะมะเคยเข้าถึงสภาวะนี้ น้ำลายไหลออกจากปากยังมีสติอยู่รู้อยู่(เวรกรรม :b5: ) แต่ก็ไม่สนใจนิ่งรู้อยู่ตลอด แต่สมาธิเริ่มส่ายคุนน้องกำหนดรุ้ว่าลมหายใจจมูกเริ่มหยาบขึ้นสมาธิเริ่มแกว่งเกิดอารมณ์ปิติ กลับเข้ามา อุปจารสมาธิเหมือนเดิม ตอนนั้งฝนตกลงมาชั่วขณะด้วยเจ้าค่ะ ตกประมาณ5นาที แล้วหยุด คุนน้องก็ดันคิดเข้าข้างตัวเองในสมาธิว่า เทวดา คงจะได้บุญกุศลของเราเลยทำให้ฝนตกครู่นึงหรือเปล่า อาการก็เป็นแบบที่เล่านี่แหละเจ้าค่ะ
คุนน้องอยากทราบว่า ตอนที่คุนน้องดิ่งลงไม่เกิดปิติ เกิดแต่ตัวรู้อยู่อย่างงั้น มันคือสภาวะอะไรหรือเจ้าค่ะทุกสิ่งทุกอย่างมันสุขสงบเงียบ ในนิมิตก็เหมือนเป็นแสงประกายใสๆแว๊บไปแว๊บมา
เพิ่มเติมอีกหน่อย ตอนที่จิตคุนน้องดิ่งวูบลงไปไอ้อาการปวดหนึบๆระหว่างคิ้วมันไม่มีเลยเจ้าค่ะ มันหายไม่รู้สึกอะไรนอกจาก รู้อยู่อย่างเดียว :b44: onion


ขออภัยนะขอรับ ข้าพเจ้าจะตอบชนิดที่ "ไม่ตอแหล" คุณนั่งของคุณ คุณรู้สึกของคุณ แล้วคุณมาถามข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะรู้เหรอ อีกประการหนึ่ง
ข้าพเจ้าก็สอนไปหลายครั้งแล้วว่า คำว่า "ฌาน" นั้น เป็นเพียงอธิบายให้ได้รู้ให้ได้เข้าใจว่า เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ฝึกปฏิบัติสมาธิต้องเป็นอย่างนั้น มีสมาธิจริง ก็ต้องไม่คิดสิ่งใด เงียบเฉย ไม่ใช่ทำเป็นอวดว่ารู้ตัวว่า ดิ่งวูบบ้าง เห็นนิมิตบ้าง ขอตอบตามตรงเลยนะว่า "บ้า"แบบบางๆนะขอรับ
ส่วนอาการบวดระหว่างคิ้ว อาจเป็นเพราะเกิดความผิดปกติของเส้นประสาทหรือเส้นเลือดฝอยหรือต่อมไซนัสบริเวณนั้น จึงทำให้เกิดอาการปวด ขอรับ

ชัดเจนเจ้าค่ะ :b32: ที่บอกว่ามันดิ่งและวูบ เพื่อจะได้ให้รู้สภาวะตอนที่นั่งอยู่
คืออธิบายสภาวะให้ละเอียดและชัดเจนเจ้าค่ะ จ่าเจ้าค่ะ คุนน้อง "บ้า"แสดงว่าเป็นโรคจิตอ่อนๆนะสิเจ้าค่ะ
แต่ของ จ่า คุนน้องว่าอาการหนักกว่าคุนน้องอีกนะเจ้าค่ะ เพราะคุนน้องถามจ่าดีๆ จ่าก็ดันว่า คุนน้องบ้า คนนี้จิตหลอนบ้าง แล้ว จ่าหละเจ้าค่ะ ที่บอกว่า ค้นพบสภาวะที่เหนือว่าชั้นนิพพาน หรือ ปรินิพพาน แต่ไม่รู้มันคือสภาวะอะไร แล้วจ่าเป็นยิ่งกว่า พระอรหันต์ คืออะไรเจ้าค่ะ จ่าบ้าด้วยหรือเปล่า อาการแบบนี้ :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เขาว่าบ้ามีหลายอย่าง :b14:
ไม่เชื่อไปดู

http://www.youtube.com/watch?v=-qWYl8BRdpg

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2012, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
sriariya เขียน:
nongkong เขียน:
รบกวนถามท่านจ่าเกี่ยวกับสมาธิ วันนี้สมาธิคุนน้องแปลกว่าทุกครั้ง
วันนี้คุนน้องทำสมาธิ ก่อนจะเข้าสมาธิคุนน้องจะอธิษฐานจิต คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทุกครั้ง
หลังจากนั้นก็ ท่อง นะโม 3จบ พอเข้าสมาธิสมาธิจะอยู่ในระดับ อุปจารสมาธิ เกิดปิติ คุนน้องก็บริกรรมพุทธานุสติถึงพระพุทธองค์ทำจิตให้เป็นกุศลและเมตตาที่สุด คุนน้องตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตาให้เหล่า เทวดา พรหม สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง แล้วทำจิตให้สงบ แต่วันนี้แปลกกว่าทุกครั้ง รู้สึกปวดหนึบๆตรงระหว่างคิ้ว แต่สมาธิก็เข้าสู่ ฌาน 1แล้วตอนนั้นเพราะ
คุนน้องเปิดทีวี แต่สมาธิก็สงบไม่ได้ฟุ้งซ่าน แต่ปวดหนึบๆตรงระหว่างคิ้วอยู่แบบนั้นเหมือนมันมีอาไรหนึบๆจะหลุดออกมา แต่คุนน้องก็เกิด วิตก วิจารณ์ ปิติ เอกัคคตา ผสมผสานกันไป แต่วิตกวิจารณ์ของคุนน้องเป็นแบบกุศลจิต คืออธิษฐานแผ่เมตตาออกไปให้ไกล พอสมาธิเข้าสู่ระดับลึก ลึกแค่ไหนไม่รู้ ปิติเกิดสลับกับเอกัคคตาอยู่อย่างนั้น ลมหายใจเริ่มละเอียดลงๆเรื่อยๆ คุนน้องก็จะตรวจสอบลมหายใจตัวเองที่ปลายจมูก อารมณ์นิวรณ์ก็ไม่เกิด และกำหนดรู้ สักพักจิตคุนน้องมันวูบดิ่งลง ปิติ หาย เหลือแต่เอกัคคตานิ่งอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ คุนน้องเริ่มฟุ้งซ่านเพราะมะเคยเข้าถึงสภาวะนี้ น้ำลายไหลออกจากปากยังมีสติอยู่รู้อยู่(เวรกรรม :b5: ) แต่ก็ไม่สนใจนิ่งรู้อยู่ตลอด แต่สมาธิเริ่มส่ายคุนน้องกำหนดรุ้ว่าลมหายใจจมูกเริ่มหยาบขึ้นสมาธิเริ่มแกว่งเกิดอารมณ์ปิติ กลับเข้ามา อุปจารสมาธิเหมือนเดิม ตอนนั้งฝนตกลงมาชั่วขณะด้วยเจ้าค่ะ ตกประมาณ5นาที แล้วหยุด คุนน้องก็ดันคิดเข้าข้างตัวเองในสมาธิว่า เทวดา คงจะได้บุญกุศลของเราเลยทำให้ฝนตกครู่นึงหรือเปล่า อาการก็เป็นแบบที่เล่านี่แหละเจ้าค่ะ
คุนน้องอยากทราบว่า ตอนที่คุนน้องดิ่งลงไม่เกิดปิติ เกิดแต่ตัวรู้อยู่อย่างงั้น มันคือสภาวะอะไรหรือเจ้าค่ะทุกสิ่งทุกอย่างมันสุขสงบเงียบ ในนิมิตก็เหมือนเป็นแสงประกายใสๆแว๊บไปแว๊บมา
เพิ่มเติมอีกหน่อย ตอนที่จิตคุนน้องดิ่งวูบลงไปไอ้อาการปวดหนึบๆระหว่างคิ้วมันไม่มีเลยเจ้าค่ะ มันหายไม่รู้สึกอะไรนอกจาก รู้อยู่อย่างเดียว :b44: onion


ขออภัยนะขอรับ ข้าพเจ้าจะตอบชนิดที่ "ไม่ตอแหล" คุณนั่งของคุณ คุณรู้สึกของคุณ แล้วคุณมาถามข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะรู้เหรอ อีกประการหนึ่ง
ข้าพเจ้าก็สอนไปหลายครั้งแล้วว่า คำว่า "ฌาน" นั้น เป็นเพียงอธิบายให้ได้รู้ให้ได้เข้าใจว่า เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ฝึกปฏิบัติสมาธิต้องเป็นอย่างนั้น มีสมาธิจริง ก็ต้องไม่คิดสิ่งใด เงียบเฉย ไม่ใช่ทำเป็นอวดว่ารู้ตัวว่า ดิ่งวูบบ้าง เห็นนิมิตบ้าง ขอตอบตามตรงเลยนะว่า "บ้า"แบบบางๆนะขอรับ
ส่วนอาการบวดระหว่างคิ้ว อาจเป็นเพราะเกิดความผิดปกติของเส้นประสาทหรือเส้นเลือดฝอยหรือต่อมไซนัสบริเวณนั้น จึงทำให้เกิดอาการปวด ขอรับ

ชัดเจนเจ้าค่ะ :b32: ที่บอกว่ามันดิ่งและวูบ เพื่อจะได้ให้รู้สภาวะตอนที่นั่งอยู่
คืออธิบายสภาวะให้ละเอียดและชัดเจนเจ้าค่ะ จ่าเจ้าค่ะ คุนน้อง "บ้า"แสดงว่าเป็นโรคจิตอ่อนๆนะสิเจ้าค่ะ
แต่ของ จ่า คุนน้องว่าอาการหนักกว่าคุนน้องอีกนะเจ้าค่ะ เพราะคุนน้องถามจ่าดีๆ จ่าก็ดันว่า คุนน้องบ้า คนนี้จิตหลอนบ้าง แล้ว จ่าหละเจ้าค่ะ ที่บอกว่า ค้นพบสภาวะที่เหนือว่าชั้นนิพพาน หรือ ปรินิพพาน แต่ไม่รู้มันคือสภาวะอะไร แล้วจ่าเป็นยิ่งกว่า พระอรหันต์ คืออะไรเจ้าค่ะ จ่าบ้าด้วยหรือเปล่า อาการแบบนี้ :b45:


ฮ่า...ฮ่า.... คุณขอรับ ขออภัยนะขอรับ ถ้าช้าพเจ้าจะกล่าวตามตรงเลยว่า คุณนั้น "ตอแหล"จริงๆเลยขอรับ ข้าเพจ้าไม่เคยเขียนเกี่ยวกับไม่รู้สภาวะอะไรอย่างที่คุณกล่าวมา คุณกลับไปอ่านให้ดี อย่าตอแหล และที่สำคัญ อย่าทำตัวเป็นสุนัขเห้นอาจมว่าเป็นของดีของหอมนะขอรับ
อีกประการหนึ่ง ข้าพเจ้าตอบคำถามของคุณ ก็ตอบตามตรง ไม่ได้ว่าให้คุณว่าคุณบ้า แต่อาการที่คุณเล่ามามันเป็นอย่างนั้น คุณอ่านภาษาไทยแล้วยังไม่เข้าใจภาษาไทยดีพอ แต่กลับมาว่าร้ายกล่าวร้าย ข้าพเจ้า ไปนั่งนอนพิจารณาถึงสภาพสภาวะจิตใจของคุณเถอะขอรับ ว่าดี หรือเลว หรือตอแหล หรือไม่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 64 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร