วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 18:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2012, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เสียงด่าหมาแมวดังลั่นวัดแต่เช้าหลังจากวันที่นางบุญรับเข้ามาช่วยทำครัว บรรดาอุบาสกอุบาสิกาตลอดจนพระสงฆ์องค์เณรที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดป่ามะม่วง มีอันต้องกำหนด "เสียงหนอ" กันวันละหลาย ๆ ครั้ง เพราะนางบุญรับแกสามารถด่าได้หลายเวลาต่อวัน
พระบัวเฮียวกำลังนั่งสมาธิอยู่ก็มีอันต้องกำหนด "เสียงหนอ" แทนการกำหนด พอง - ยุบ กำหนดอยู่นานก็ไม่อาจระงับความฟุ้งซ่านรำคาญใจลงได้ ไม่ชอบหน้าแม่ครัวผู้นั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ครั้นมาได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดแสบแก้วหูเช่นนี้เข้าอีก ความไม่ชอบซึ่งเป็นโทสะอ่อน ๆ นั้นก็เพิ่มระดับขึ้นจนกลายเป็นความเกลียดชังและอาฆาตมาดร้าย พระหนุ่มรู้สึกเกลียดผู้หญิงที่ชื่อบุญรับ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากได้ยินเสียง เกลียด เกลียดเหลือเกินแล้ว
ในที่สุดก็เลยนั่งกำหนด "เกลียดหนอ" ไปจนถึงเวลาหกโมงเช้า ออกจากสมาธิแล้วจึงเตรียมตัวออกบิณฑบาต แม้จะเดินห่างวัดออกไปจนเสียงด่าตามมาไม่ถึง หากก็ยังรู้สึกว่ามันก้องอยู่ในโสตประสาทตลอดเวลา จิตของท่านจึงถูกพยาบาทนิวรณ์ เข้ากลุ้มรุมโดยที่เจ้าตัวมิได้ทันระแวดระวัง คิดเคียดแค้นชิงชังนางบุญรับไปตลอดทางจนลืมกำหนด "ขวา - ซ้าย ขวา - ซ้าย" ยามเยื้องย่าง
เวลาเจ็ดนาฬิกาเศษ ท่านพระครูกลับจากบิณฑบาต กำลังเดินเข้าประตูวัดมา รถกระบะสีน้ำตาลคันหนึ่งวิ่งแซงหน้าท่านมาจอดที่ลานวัด ยังไม่ทันได้ดับเครื่อง เด็กหนุ่มผิวคล้ำหน้าตาคมสันก็ลงจากที่นั่งคนขับ ปีนขึ้นไปที่ด้านหลังรถ เปิดท้ายแล้ว "ผลักด้วยเท้า" สุนัขสิบกว่าตัวที่ยืนหน้าสลอนอยู่ท้ายรถลงมาจนหมด ปิดท้ายรถเรียบร้อยจึงกระโดยลงมา ก้าวเข้าไปนั่งประจำที่คนขับแล้วออกรถ ท่านพระครูรีบโบกมือเรียก
"ช้าก่อนพ่อหนุ่ม เดี๋ยวหยุดคุยกันก่อน " "พ่อหนุ่ม" เบรครถดังพรืด โผล่หน้าคมคายออกมาถามว่า
"มีอะไรหรือครับ" เขาไม่ทำความเคารพซึ่งท่านพระครูก็เข้าใจและรู้ว่าเป็นธรรมเนียมของคนมุสลิมที่จะไม่เคารพผู้ใดหรือสิ่งใดนอกจากพระเจ้าสูงสุดคืออัลลอฮ์เท่านั้น "มาจากไหนล่ะเธอน่ะ" ทำไมถึงได้ขนหมามาปล่อยที่วัดนี้" ท่านถามยิ้ม ๆ
"ผมมาจากชะไว มะให้ใช้เอามาปล่อยเพราะกันกัดแพะ เจ้าหมาพวกนี้เราไม่ได้เลี้ยง มันมากันเอง มะเลยให้เอามาปล่อย ผมเป็นมุสลิม คนมุสลิมเขาไม่เลี้ยงหมาครับ" เด็กหนุ่มอธิบาย "มะ" เป็นคำที่มุสลิมใช้เรียกมารดาของตน "อ้อ แล้วทำไม่มาไกลถึงที่นี่ จากชะไวมานี่ก็ผ่านวัดมาเป็นร้อย ต้องมาถึงที่นี่ให้เปลืองน้ำมันทำไมเล่า"
"มะกำชับมาครับ บอกว่าให้เอามาปล่อยที่วัดป่ามะม่วง มันจะได้ไม่ถูกคนรังแก มะว่าเจ้าของวัดนี้เขาใจดี มันจะมีความสุขกว่าอยู่ที่อื่น ถึงมะจะเกลียดพวกมัน แต่ก็ไม่อยากเห็นมันถูกรังแกครับ"
"อ้อ ยังงั้นหรอกหรือ งั้นกลับไปบอกมะเธอด้วยว่า หลวงพ่อวัดนี้สั่งให้เอามาปล่อยอีกหลาย ๆ คนรถ รับรองว่าอยู่วัดนี้แล้วปลอดภัย" ท่านตั้งใจประชดแต่ชายหนุ่มไม่รู้จึงตอบไปว่า "ครับแล้วผมจะบอกมะตามนี้" พูดจบก็ออกรถอย่างเร็วโดยมิร่ำลา
ท่านพระครูมองตามรถพลางส่ายหน้าช้า ๆ วัดนี้ไม่รู้เป็นอะไร แมวมาหา หมามาสู่มิได้ขาด เมื่อวันก่อนก็มีคนเอาแมวใส่กระสอบซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์มาปล่อย จนวัดแทบจะกลายเป็นที่อยู่ของสัตว์สาราสิ่งไปแล้ว
นายสมชายซึ่งหิ้วปิ่นโตเดินมาทันท่านที่ลาดวัดพูดขึ้นว่า "เขาเอาหมามาปล่อยอีกแล้วหรือครับหลวงพ่อ ทำไมถึงต้องมาปล่อยที่วัดนี้ก็ไม่รู้ วัดอื่นมีถมเถไปไม่ปล่อย" เด็กหนุ่มตำหนิกราย ๆ
"เขาว่ามันจะได้ไม่ถูกรังแก" ท่านพระครูอ้าง "เขาว่า"
"ไม่ถูกยังไงได้ ยายบุญรับตีมันทุกวัน ผมงี้หนวกหูจะแย่อยู่แล้ว เมื่อไหร่ยายนี่จะไป ๆ เสียทีก็ไม่รู้" เขาบ่น
ถึงกุฏิแล้วจึงเข้าไปล้างมือล้างเท้าจนสะอาดหมดจด เช็ดให้แห้งก่อนลงมือฉันอาหารที่ลูกศิษย์จัดสำรับไวรอท่า ฉันเสร็จจึงเข้าไปล้างปากแปรงฟัน ซึ่งหมายความว่า "สิ้นสุดการบริโภคอาหารสำหรับวันนี้" จากนั้นจึงมานั่งยังอาสนะประจำของท่าน รู้ว่าพระบัวเฮียวจะต้องมาให้สอบอารมณ์
"หลวงพ่อครับผมแย่แล้ว" ลูกศิษย์รายงานทันทีที่มาถึงและกราบอาจารย์แล้ว ทั้งที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์ หากท่านพระครูก็ต้องถามไปตามมารยาทว่า "แย่ยังไง ไหนว่าไปซิ"
"ผมเกลียดยายบุญรับจนปฏิบัติไม่ได้ จิตมันตกจนดึงไม่ขึ้น ทำยังไงดีล่ะครับหลวงพ่อ" ถามอย่างรู้สึกทุกข์ร้อน
"นั่นแหละ พยาบาทนิวรณ์ กำลังครอบงำเธอ ทำไมไม่ใช้โยนิโสมนสิการขจัดมันเสีย ปล่อยให้ระรานอยู่ทำไม" คนเป็นศิษย์ไม่ตอบด้วยมิรู้จะตอบอย่างไร อาจารย์จึงขยายความต่อไปว่า
"การละพยาบาทนิวรณ์ ต้องใช้ โยนิโสมนสิการ ในเมตตาเจโตวิมุตติ ดั่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ....ภิกษุทั้งหลาย เจโตวิมุติมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในเจโตวิมุตินั้น นี้ไม่เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น...วิธีปฏิบัติก็เช่น การกำหนดนิมิตในเมตตาเป็นอารมณ์การประกอบเนือง ๆ ซึ่งเมตตาภาวนา การพิจารณาถึงความที่สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นต้น" ท่านมองหน้าลูกศิษย์ รู้ว่าฝ่ายนั้นยังไม่เข้าใจ จึงถามขึ้นว่า
"จะต้องให้แจกแจงในรายละเอียดไหม"
"ก็ดีเหมือนกันครับ เพราะผมรู้แต่หลักการ ส่วนรายละเอียดยังทราบไม่ซึ้งนัก"
"ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจฟังให้ดี การเจริญเมตตาหรือการแผ่เมตตานั้น ลำดับแรกจะต้องแผ่ให้ตัวเองก่อน"
"ทำไมต้องให้ตัวเองก่อนล่ะครับ ก็เราไม่ได้เกลียดตัวเอง เราเกลียดคนอื่นก็ควรจะแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียด" พระบัวเฮียวแย้ง ท่านพระครูจึงแถลงว่า "การที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้แผ่เมตตาแก่ตัวเองก่อน เพราะเท่ากับทำตัวเราให้เป็นพยานว่า ตัวเราเป็นผู้รักสุข เกลียดทุกข์ อยากอยู่ ไม่อยากตาย ฉันใด คนอื่น ๆ หรือสัตว์อื่น ๆ ก็ฉันนั้น"
"แต่ถ้าเราอยากตาย ไม่อยากอยู่ล่ะครับ" พระญวนเริ่มยวน ท่านพระครูต้องปรามว่า
"ขอที ๆ อย่าชักใบให้เรือเสีย เธอละก็ ชอบออกนอกลู่นอกทางเสียเรื่อย"
"ครับ ๆ ไม่ออกก็ได้ครับ นิมนต์หลวงพ่อเทศน์ต่อ ผมไม่ขัดแล้วครับ" เมื่อลูกศิษย์นิมนต์ อาจารย์จึงแสดงธรรมต่อไปว่า "โดยธรรมชาติแล้วไม่ว่าคนหรือสัตว์ ต่างก็รักตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ดังมีพุทธพจน์แสดงไว้...บุคคลตามค้นไปด้วยใจตลอดทุกทิศ ก็มิได้พบผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าตนที่ไหนเลย ฉันใด ตนของคนอื่น ๆ ก็ย่อมเป็นที่รักของเขามาก ฉันนั้น เพราะฉะนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น...นี่แหละถึงต้องให้แผ่เมตตาในตนเองก่อน ไหนเธอแผ่เมตตาให้ตัวเองเป็นหรือเปล่า ลองว่าให้ฟังสักหน่อยซิ"
"หลวงพ่อจะเอาแบบบาลีหรือแบบไทยล่ะครับ"
"เอาทั้งสอบแบบนั่นแหละ"
"งั้นก็เอาบาลีก่อนแล้วตามด้วยไทยนะครับ ฮะแอ้ม" พระหนุ่มกระแอมแก้เขินแล้วจึงท่องด้วยเสียงค่อนข้างดังว่า "อะหัง สุขิโต โหมิ, นิททุโข โหมิ, อะเวโร โหมิ, อัพยาปัชโฌ โหมิ, อะนีโฆ โหมิ, สุขี อัตตานัง ปะระหะรามิ - ขอข้าพเจ้าจงถึงซึ่งความสุขเถิด ขอข้าพเจ้าจงอย่าได้มีเวรมีภัยเลย ขอข้าพเจ้าอย่าได้มีความเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอข้าพเจ้าจงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย ขอข้าพเจ้าจงเป็นผู้มีความสุข รักษาตนอยู่เถิด..."
"ดีมาก จำแม่นดี เอาละเมื่อแผ่เมตตาในตัวเองเป็นอันดับแรกแล้ว จากนั้นจึงแผ่ไปในผู้อื่นตั้งแต่บุคคลที่รักมาก บุคคลกลาง ๆ คือไม่รักไม่ชังไปจนถึงบุคคลที่เป็นศัตรู แต่ถ้าแผ่เมตตาให้ศัตรูแล้วเกิดโทสะขึ้น ให้ปฏิบัติตามวิธีระงับความโกรธที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ซึ่งมีถึง ๙ วิธี"
"แต่ถ้าใช้ทั้ง ๙ วิธีแล้วยังไม่หายโกรธล่ะครับ"
"ก็แสดงว่าคน ๆ นั้นกิเลสหนาตัณหามากจนไม่อาจรับฟังคำสั่งสอนได้ ก็ตัดหางปล่อยวัดไป ถือว่าเป็นพวกบัวติดโคลนตมที่เรียกว่า ปทปรมะ"
"แล้วคนที่ไม่มีหางจะให้ตัด จะทำอย่างไรดีครับ อย่างผมนี่ ตอนเกิดแม่ไม่ได้ให้หางมาด้วย" พระญวนอดยวนมิได้
"บัวเฮียว รู้สึกว่าเธอจะถนัดเถลไถลจริงเชียวนะ ฉันจะว่าเธอยังไงถึงจะเจ็บแสบ จะได้จดได้จำเสียที ท่านพระครูว่าให้
"ถ้าจะว่าใครให้เจ็บให้แสบก็ต้องว่า...เดี๋ยวเอามีดโกนปาดแล้วราดด้วยทิงเจอร์...รับรองทั้งเจ็บทั้งแสบเชียวครับ" พระบัวเฮียวเสนอแนะ ความสุขของท่านคือการได้ยั่วพระอุปัชฌาย์ อยากเห็นท่านโกรธ เพราะท่านไม่เคยโกรธให้เห็น เขาว่ากันว่า คนเป็นพระอรหันต์จะไม่โกรธ หรือ ว่าท่านเป็นพระอรหันต์!"
"ถ้างั้นฉันก็จะขึ้นไปเขียนหนังสือละนะ จะไม่บอกเธอหรอกว่าวิธีระงับความโกรธที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้มีอะไรบ้าง จะปล่อยให้เธอเกลียดยายบุญรับ ให้เธอถูกไฟโทสะแผดเผาให้ไหม้เกรียมกรอบเป็นปลาย่างไปเลย" ท่านต่อว่าต่อขานยืดยาว แต่คนเป็นศิษย์ก็รู้ว่าอาจารย์ไม่ได้โกรธ เพราะหน้าท่านไม่บึ้ง เสียงที่พูดก็ไม่เกรี้ยวกราดอย่างเสียงยายบุญรับ
"แหมหลวงพ่อก็ ผมพูดเล่น ๆ ก็ทำใจน้อยไปได้ นิมนต์สาธยายต่อเถิดครับ ผมไม่ยั่วแล้ว"
"แน่นะ เอาละ งั้นก็ตั้งใจฟังให้ดี การปฏิบัติเพื่อระงับความโกรธวิธีแรก คือ ให้ระลึกถึงโทษของความโกรธ ว่า ความโกรธนั้นให้โทษด้วยประการต่าง ๆ หาคุณมิได้เลย ถ้าคนเขามาโกรธเราแล้วเราโกรธตอบ เราก็ได้ชื่อว่าเป็นคนเลวเสียยิ่งกว่าคนที่โกรธก่อนนั้นอีก ผู้ไม่โกรธตอบคนที่โกรธตนก่อน ผู้นั้นได้ชื่อว่า ชนะสงครามที่ชนะยาก ฉะนั้นถ้าเธอโกรธตอบยายบุญรับ ก็แปลว่าเธอเลวกว่ายายบุญรับเสียอีก
ถ้าลองวิธีนี้แล้วยังไม่ได้ผลก็ให้ใช้วิธีที่สองคือ ให้ระลึกถึงความดีของเขา ธรรมดาคนเรานั้นว่าโดยทั่วไป แต่ละคน ๆ ก็ต้องมีทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดีอยู่ในตัว เราก็คิดถึงแต่ในส่วนดีของเขา ส่วนที่ไม่ดีอย่าไปคิด ถ้าหาส่วนดีของเขาไม่ได้จริง ๆ ก็ให้นึกสงสารเขา คิดเสียว่า...โธ่! น่าสงสาร ต่อไปคน ๆ นี้จะต้องประสบผลร้ายต่าง ๆ เพราะความประพฤติไม่ดีอย่างนี้ นรกอาจรอเขาอยู่...เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็จะระงับความโกรธเสียได้ แต่ถ้ายังไม่ได้ก็ให้ลองวิธีที่สาม คือ ให้คิดถึงความจริงที่ว่า การโกรธคือการทำให้ตัวเองทุกข์ คนที่โกรธแล้วเป็นสุขนั้นไม่มีในโลก เมื่อเราคิดได้อย่างนี้เราก็ต้องไม่โกรธ เพราะเรื่องอะไรจะไปทำให้ตัวเองทุกข์ จริงไหม"
"จริงครับ แล้วถ้ายังไม่หายโกรธ จะทำอย่างไรครับ"
"ก็ใช้วิธีที่สี่ คือให้พิจารณาสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน กรรมที่มีความโกรธเป็นเหตุนั้นมันรังแต่จะทำความเสื่อมเสียให้กับตัวเรา เพราะทั้งเราทั้งคนอื่น ๆ ต่างก็มีกรรมเป็นของ ๆ ตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่อาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ก็จะต้องได้รับผลของกรรมนั้น และ กรรมที่เกิดจากความโกรธนั้นจะทำให้บรรลุความหลุดพ้นก็หาไม่ จะช่วยให้ได้ทิพยสมบัติหรือมนุษย์สมบัติก็หาไม่ มีแต่จะทำให้ตัวเองตกต่ำลงไปจนถึงกับตกนรกหมดไหม้ เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ควรให้ความโกรธเกิดขึ้นในตัวเรา แต่ถ้ายังไม่หายโกรธอีกก็ให้ลองวิธีที่ห้าคือ ให้พิจารณาพระจริยาวัตรในปางก่อนของพระศาสดาว่า พระพุทธเจ้าของเรานั้น กว่าจะตรัสรู้ก็ได้ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายมาตลอดเวลายาวนาน ได้ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยยอมเสียสละแม้แต่พระชนม์ชีพของพระองค์เอง เมื่อทรงถูกข่มเหงกลั่นแกล้งเบียดเบียนด้วยวิธีการต่าง ๆ ก็ไม่ทรงแค้นเคืองทรงเอาดีเข้าตอบ ถึงเขาจะตั้งตัวเป็นศัตรู ขนาดพยายามปลงประชนม์ก็ไม่ทรงมีจิตประทุษร้าย ซึ่งเรื่องราว ต่าง ๆ เหล่านี้มีปรากฏในชาดก เช่น เรื่องมหาสีลวชาดก มหากปิชาดก เป็นต้น เธอสามารถไปอ่านเองได้ หัดอ่านเสียบ้างจะได้หูกว้างตากว้างขึ้น ไม่ใช่ดีแต่ปากกว้าง เอาแต่กินอย่างเดียว" ท่านแกล้งเหน็บแนม ด้วยรู้ว่าคนเป็นศิษย์ "ติดในรส"
"ครับแล้วผมจะไปหาอ่าน ต่อวิธีที่หกเถอะครับ" พระบัวเฮียวไม่ต่อกลอนเพราะกลัวจะ "เข้าเนื้อ" มากขึ้น
วิธีที่หก ให้พิจารณาถึงความที่เคยเกี่ยวข้องกันในวัฏสงสาร ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ...ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้ไม่เคยเป็นมารดา ไม่เคยเป็นบิดา ไม่เคยเป็นพี่น้องชาย ไม่เคยเป็นพี่น้องหญิง ไม่เคยเป็นบุตร ไม่เคยเป็นธิดาของเรา มิใช่หาได้ง่าย...อันนี้ก็หมายความว่า มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ จะต้องเคยเกี่ยวข้องกันมาในอดีตชาติ อย่างยายบุญรับก็อาจจะเคยเป็นแม่หรือพี่สาวหรือน้องสาวเธอในอดีตชาติ ชาตินี้ถึงได้มาเจอกันอีก เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่ควรใจร้ายต่อเขา"
"แต่ถ้าเขาใจร้ายต่อผมล่ะครับ"
"อันนั้นมันเรื่องของเขา ถ้าตัวเราไม่ผูกเวร เวรมันก็ระงับลงได้ในส่วนของเรา ถ้าเขาโกรธเขาก็ทุกข์ ส่วนเราไม่โกรธเราก็ไม่ทุกข์"
"ที่เรียกว่าตบมือข้างเดียวไม่ดังใช่ไหมครับ"
"เอ อันนี้ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเพราะไม่เคยตบ ตั้งแต่บวชมานี่ยังไม่เคยตบมือ ไม่ว่าจะข้างเดียวหรือสองข้างก็ไม่เคย" ท่านพระครูนึกสนุกจึงพูดยวนกับคนญวน
"ดีแล้วครับ หลวงพ่อทำถูกแล้ว เป็นพระเป็นเจ้าขึ้นตบมือตบไม้ ประเดี๋ยวศีลก็เปื่อยหมดเท่านั้น" คนญวนยวนตอบ
"เอาละ ๆ พอแล้ว พูดเลอะเลือนล่ามป้ามไปมันจะไม่ดี ทีนี้ก็มาว่ากันถึง วิธีที่เจ็ด คือพิจารณาอานิสงส์ของเมตตา
ความโกรธมีโทษ ก่อผลร้ายมากมายฉันใด เมตตาก็มีคุณก่อให้เกิดผลดีมาก ฉันนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรจะระงับความโกรธเสีย แล้วตั้งจิตเมตตาขึ้นมาแทน ให้เมตตานั่นแหละช่วยกำจัดและป้องกันความโกรธไปในตัว ผู้มีเมตตาย่อมสามารถเอาชนะใจคนอื่นซึ่งเป็นชัยชนะที่เด็ดขาด ไม่กลับแพ้ ผู้ตั้งอยู่ในเมตตาชื่อว่าทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
พระพุทธองค์ทรงแสดงอานิสงส์ของเมตตาไว้ ๑๑ ประการคือ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย เทวดารักษา ไฟ พิษ หรือศัสตราไม่กล้ำกราย จิตเป็นสมาธิเร็ว ผิดหน้าผ่องใส ไม่หลงตาย และประการสุดท้ายคือ เมื่อยังไม่บรรลุธรรมเบื้องสูง ก็จะได้ไปเกิดในพรหมโลกเป็นอย่างต่ำ"
"แล้วถ้ายังไม่หายโกรธล่ะครับ"
"ก็ให้ลอง วิธีที่แปด คือพิจารณาโดยวิธีแยกธาตุ วิธีนี้เป็นการพิจารณาระดับปรมัตถ์ เข้าใจยาก ฉันจะยังไม่อธิบายให้เธอฟังในตอนนี้ ให้เธอปฏิบัติได้สูงพอสมควรเสียก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ ตอนนี้พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจ
เอาละ ฉันจะรวบรัดไปถึงวิธีสุดท้ายเลย คือพิจารณาทำทานสังวิภาค
การทำทานสังวิภาค ก็คือการให้ของ ๆ ตนแก่ศัตรูและรับของ ๆ เขามาเพื่อตน แต่ถ้าของ ๆ เขาไม่บริสุทธิ์ก็พึงให้แต่ของ ๆ ตนฝ่ายเดียว ไม่รับของเขา เมื่อทำอย่างนี้ความอาฆาตในบุคคลนั้นจะระงับไป การให้เป็นวิธีแก้ความโกรธที่ได้ผลชะงัด สามารถระงับเวรที่ผูกกันมายาวนานให้สงบลงได้ เป็นเมตตากรุณาที่แสดงออกในการกระทำ พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงอานุภาพยิ่งใหญ่ของทาน คือการให้นั้นว่า ...การให้เป็นเครื่องฝึกคนที่ยังฝึกไม่ได้ การให้ยังสิ่งประสงค์ทั้งปวงให้สำเร็จได้ ผู้ให้ก็เบิกบานขึ้นมาด้วยการให้ ฝ่ายผู้รับก็น้อมลงมาพบด้วยปิยวาจา...นี่แหละการระงับความโกรธวิธีสุดท้าย เธอเห็นแล้วใช่ไหมว่า เสด็จพ่อของพวกเรา ท่านทรงสอนไว้ละเอียดลออลึกซึ้งยิ่งนัก เธออยากจะฟังเรื่องของพระสาวกรูปหนึ่งที่ไม่เคยผูกโกรธต่อผู้ใดเลย อยากฟังไหมล่ะ ฉันจะได้เล่า" ท่านถามคนฟัง
"หลวงพ่ออยากเล่าหรือเปล่าล่ะครับ ถ้าอยากเล่าผมก็อยากฟัง" คนฟังมานานเริ่มยั่ว
"ถ้าฉันไม่อยากเล่าล่ะ เธอจะว่ายังไง" คนเล่ายั่วตอบ
"ถึงหลวงพ่อไม่อยากเล่า แต่ผมก็อยากฟัง เพราะฉะนั้นหลวงพ่อเล่าเถิดครับ นิมนต์" พูดพร้อมกับประนมมือขึ้น "นิมนต์" คนเล่าจึงเล่าแต่โดยดี
"เรื่องมีว่า สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ เชตวนาราม พระสาวกชื่อ ปุณณะ ได้เข้าไปเฝ้ากราบทูลขอให้ประทานโอวาท พระศาสดาจึงทรงแสดงธรรมสอนให้ไม่เพลิดเพลินยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ เมื่อดับความเพลิดเพลินได้ ทุกข์ก็ดับ
พระปุณณะกราบทูลว่าท่านจะไปอยู่ชนบทชื่อ สุนาปรันตะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ชาวสุนาปรันตะดุร้าย ถ้าเขาด่าว่าเธอจะทำอย่างไร พระปุณณะ กราบทูลว่า ข้าพระองค์คิดว่าด่าก็ยังดีกว่าทำร้ายด้วยมือ ตรัสถามว่าถ้าเขาทำร้ายด้วยมือจะทำอย่างไร กราบทูลว่า ยังดีกว่าใช้ก้อนดินทำร้าย ตรัสถามว่าถ้าเขาใช้ก้อนดินทำร้ายจะทำอย่างไร กราบทูลว่า ยังดีกว่าใช้ท่อนไม้ทำร้าย ตรัสถามว่าถ้าเขาใช้ท่อนไม้ทำร้ายจะทำอย่างไร กราบทูลว่า ยังดีกว่าทำร้ายด้วยศัสตรา ตรัสถามว่าถ้าเขาทำร้ายด้วยศัสตราจะทำอย่างไร กราบทูลว่า ยังดีกว่าฆ่าด้วยศัสตราที่คม ตรัสถามว่าถ้าเขาฆ่าด้วยศัสตราที่คมจะทำอย่างไร กราบทูลว่าบุคคลบางคนยังต้องหาคนมาฆ่า แต่นี่ดีไม่ต้องหา เขามาฆ่าให้เอง
พระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนาและตรัสอนุญาตให้พระปุณณะไปอยู่ชนบทชื่อสุนาปรันตะได้ พระปุณณะไปอยู่ ณ ที่นั้น ได้แสดงธรรมให้พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะชนบทกลับใจแสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกาเป็นจำนวนมาก ภายในพรรษานั้นเอง และตัวท่านก็ได้วิชชา ๓ ภายในพรรษานั้นเองเหมือนกัน" ท่านพระครูเล่าจบ คนเป็นศิษย์จึงพูดขึ้นว่า
"ผมจะจดจำเรื่องราวของพระสาวกรูปนี้ไว้เป็นอุทาหรณ์ จะพยายามทำให้ได้อย่างท่าน" พูดอย่างมุ่งมั่น
"ดีแล้ว ฉันขออนุโมทนาแล้วก็เชื่อว่าเธอต้องทำได้" เงียบกันไปครูหนึ่ง พระบัวเฮียวจึงถามว่า
"หลวงพ่อครับ การแผ่เมตตานั้น เราจะแผ่ให้สัตว์ด้วยจะได้ไหมครับ"
"ทำไมจะไม่ได้เล่า อย่าว่าแต่สัตว์เลย แม้แต่พืชก็แผ่ให้ได้ มีคนเขาทดลองทำมาแล้ว ได้ผลเกินคาดเชียวละ อย่างยายบุญรับนั่น ถ้าแก้เปลี่ยนจากด่ามาเป็นแผ่เมตตา แกก็ไม่ต้องไปทะเลาะกับหมากับแมวอย่างนั้น แกโกรธว่ามันขี้เรี่ยราดสกปรกก็เลยไปด่าไปตีมัน หมาแมวมันก็มีจิตใจ ไปทำอย่างนั้นมันก็โกรธเลยแกล้งขี้เลอะเทอะใหญ่ ขี้ตัวเดียวไม่พอ มันยังเที่ยวไปชวนเพื่อนมันมาขี้ ถ้ายายบุญรับแผ่เมตตาให้มัน มันก็เลิกแล้วก็บอกให้เพื่อนมันเลิกอีกด้วย"
"มันเลิกขี้มันก็ตายซีครับหลวงพ่อ"
"ไม่ตายหรอก ฉันหมายถึงว่า มันเลิกขี้เรี่ยราด แต่จะขี้เป็นที่เป็นทางไม่ให้สกปรกเหมือนที่เป็นอยู่น่ะ" ท่านพระครูตอบทั้งที่รู้ว่าพระญวนตั้งใจยวน
"ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อน่าจะสอนให้แกแผ่เมตตา ผมจะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงด่าของแก"
"ทำไม่จะไม่สอน สอนจนไม่รู้จะสอนยังไงแล้ว แต่แกรับไม่ได้ อุตส่าห์ชื่อบุญรับ แต่ไม่ยักกะรับสิ่งดี ๆ ฉันจัดแกไว้ในพวก "ทวนกระแส" คนบางคนก็สอนยากนะบัวเฮียว คนที่มาวัดนี้ไม่ได้แปลว่าจะสอนง่ายหมดทุกคน"
"มันเป็นไปตามกรรมที่เขาทำมาน่ะครับ" พระบัวเฮียวว่า
"ทั้งทำมาทั้งทำไปนั่นแหละ ถึงกรรมที่ทำมาจะไม่ดี แต่กรรมที่จะทำต่อไปก็สามารถแก้ไขให้มันดีได้ แต่เขาก็ไม่ยอมแก้ไข คนประเภทนี้นับวันจะมีมากขึ้น"
"ต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรมของเขาใช่ไหมครับ"
"ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น เอาละถึงเวลาที่เธอจะต้องกลับไปปฏิบัติแล้ว ฉันเองก็จะขึ้นไปเขียนหนังสือเหมือนกัน อย่าลืมแผ่เมตตาให้ยายบุญรับล่ะ" ท่านเตือน
"ไม่ลืมครับ ฟังหลวงพ่อพูดผมก็หายโกรธแกไปตั้งครึ่งแล้ว ผมรับรองว่าจะต้องกำจัดพยาบาทนิวรณ์ออกไปจากจิตให้ได้ ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงที่ได้ชี้ทางสว่างให้ ผมไปละครับ" พระหนุ่มก้มลงกราบพระอุปัชฌาย์สามครั้งแล้วจึงลุกออกมา..
อาคันตุกะคนสุดท้ายลากลับไปเมื่อเวลาบ่ายคล้อย ท่านพระครูกำลังจะขึ้นไปเขียนหนังสือ ก็พอดีนายสมชายนำพระภิกษุรูปหนึ่งเข้ามาในกุฏิ ผู้มาใหม่ทำความเคารพด้วยการกราบสามครั้ง ท่านพระครูรับไหว้แล้วทักขึ้นว่า
"ท่านสมภารเองหรอกหรือ ไปยังไงมายังไงกันนี่"
"ผมว่าจ้างเรือเขามาส่งครับ มีเรื่องร้อนใจจะมาปรึกษาท่านพระครู" คนพูดมีท่าทางอมทุกข์ หน้าตาดูหมองคล้ำไร้สง่าราศี ผิดกับผู้ที่อยู่ในสมณเพศทั่ว ๆ ไป นายสมชายรินน้ำชาใส่ถ้วยมาประเคนแล้วจึงลุกออกไป ท่านสมภารคงไม่อยากให้เขาอยู่รับฟังเรื่องร้อนใจของท่านเป็นแน่
"มีเรื่องหนักอกหนักใจอะไรหรือ ดูท่าทางท่านไม่มีความสุขเลยนี่"
"เรื่องคอขาดบาดตายเชียวละครับ" สมภารวัดฝั่งตรงกันข้ามตอบ พลางหยิบธนบัตรสองปึกใหญ่ออกมาจากย่าม วางไว้ตรงหน้าท่านเจ้าของกุฏิ ตั้งใจจะใช้เงินเป็นเครื่องล่อให้ธุระของตนบรรลุจุดมุ่งหมาย ท่านพระครูเห็นไม่ชอบมาพากลจึงกล่าวเตือนว่า "ท่านสมภารอย่าเอาเงินออกมาวางทำไมตั้งมากมายถึงปานนั้น ผมว่าเก็บใส่ย่ามไว้ก่อนดีกว่า ใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี"
"ผมจะถวายท่านพระครู เงินสองหมื่นนี่ผมเก็บมาทั้งชีวิตเลย แต่ก็จะตัดใจถวายถ้าท่านช่วยผมได้สำเร็จ บอกตามตรงว่าเสียดายใจแทบขาด" คนพูดมีเจตนาจะให้ค่าของเงินสองหมื่นนั้นดูมากมายมหาศาล หากคนฟังกลับกล่าวเสียงเรียบว่า "เสียดายก็เก็บไว้เสียเถอะ รับรองว่าถ้าช่วยได้ผมก็จะช่วยจนสุดความสามารถ โดยไม่คิดค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น ถึงผมจะไม่เคยมีเงินมากมายเท่านี้ แต่ผมก็ไม่คิดอยากได้ พูดไปท่านคงไม่เชื่อแต่มันก็เป็นความจริง
โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่สะสมเงินทอง ใครมาถวายผมก็ปัดเข้าเป็นเงินวัด เพราะต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟและค่าอาหารเลี้ยงผู้คนที่มาปฏิบัติธรรม"
"ผมว่าท่านคิดผิดแล้ว เพราะสมัยนี้ใคร ๆ เขาก็สะสมเงินทองกันทั้งนั้น สำหรับผม เงินสำคัญมาก เวลามีเรื่องเดือดร้อนมันสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ท่านพระครูเชื่อผมเถอะ ลองไม่มีเงินเสียอย่างเดียว เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องง่ายก็กลายเป็นเรื่องยาก"
"แต่ผมกลับคิดตรงกันข้าม ผมถือคติว่านักบวชต้องดำเนินชีวิตอย่างสันโดษ การสะสมเงินทองเป็นเรื่องของฆราวาสเขา"
"ถ้าเช่นนั้นก็นิมนต์ท่านสันโดษต่อไปแล้วกัน ส่วนผมทำอย่างท่านไม่ได้ เพราะผมไม่ชอบตั้งอยู่ในความประมาท" ท่านพระครูอยากจะย้อนว่า การกระทำของท่านสมภารนั่นแปละที่เรียกว่าตั้งอยู่ในความประมาท คือประมาทมัวเมาในลาภสักการะ แต่ท่านก็ไม่พูดเพราะรู้ว่าพูดกับคนมิจฉาทิฐินั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร ยิ่งคน ๆ นั้นเป็นพระด้วยแล้วก็พึงนึกถึงคำพังเพยที่ว่า "ทิฐิพระ มานะครู" ให้มาก ๆ
"ท่านว่ามีเรื่องจะปรึกษาไม่ใช่หรือ" ท่านพระครูเปลี่ยนเรื่องคุย
"ครับ ผมขอความกรุณาท่านโปรดช่วยผมด้วย ผมก็เห็นว่ามีท่านคนเดียวนี่แหละที่จะช่วยได้ นึกว่าเอาบุญเถอะ"
"ก็ผมยังไม่รู้เรื่องราว แล้วจะไปช่วยท่านได้ยังไง เล่าให้ผมฟังก่อนสิ" สมภารวัยเดียวกับท่านพระครูจึงเล่าว่า
"พวกชาวบ้านเขาจะจับผมสึก เขาหาว่าผมต้องอาบัติปาราชิก"
"แล้วท่านเป็นอย่างที่เขากล่าวหาหรือเปล่าเล่า"
"ปละ...เปล่าครับ" ตอบไม่เต็มเสียงนัก
"อ้าว ก็ในเมื่อท่านไม่เป็นแล้ว จะต้องไปเดือดร้อนทำไมกัน ไหนเรื่องราวมันไปยังไงมายังไง ทำไมเขาถึงมากล่าวหากันง่าย ๆ อย่างนี้" ท่านสมภารรีบคล้อยตามว่า
"นั่นซีครับ อยู่ดี ๆ เขาก็มากล่าวหาผม เรื่องไม่มีมูลความจริงก็มากล่าวหากันได้" ประโยคหลังบ่นเสียงอ่อย ๆ
"เอ แต่โบราณเขาว่า ไม่มีมูลฝอยหมามันไม่ขี้ ท่านอย่าปดผมดีกว่า เล่าไปตามตรงว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าช่วยได้ผมก็จะช่วย ขอให้พูดความจริงก็แล้วกัน" เมื่อท่านพระครูพูดอย่างนี้ คนฟังก็เลยต้องเล่าไปตามความจริงแต่ไม่ทั้งหมดว่า
"เขาหาว่าผมเสพเมถุน คือว่า ผู้หญิงเขามาปรึกษาปัญหาส่วนตัวกับผม เขาก็มากับแม่ทุกครั้ง แต่วันนั้นแม่เขาป่วยมาไม่ได้ เขาเลยต้องมาคนเดียว"
"แล้วยังไง" ท่านพระครูซักเพราะเห็นเรื่องกำลังจะเข้าเค้า ท่าทางคนเล่าก็มีพิรุธชวนให้สงสัยนัก
"เขาก็มาปรึกษาผมโดยไม่มีแม่มาเป็นเพื่อน"
"แล้วปรึกษากันที่ไหน" ท่านพระครูสวมบทอัยการ
"ก็ปรึกษากันที่กุฏิผม"
"มีบุคคลที่สามอยู่ด้วยหรือเปล่า"
"ไม่มี"
"เขามาเวลาเท่าไหร่"
"ประมาณสองทุ่ม"
"แล้วปรึกษากันถึงกี่ทุ่ม"
"ประมาณสี่ทุ่ม ก็ยังไม่ดึกเท่าไหร่" พูดแบบเข้าข้างตัวเอง
"แล้วตอนปรึกษานั้น ปิดไฟหรือเปิดไฟปรึกษากัน"
"เปิดครับ แต่ไฟมันหรี่ไปหน่อย เลยออกจะมืด ๆ"
"แล้วยังไงต่อไปอีก"
"ผมก็ไม่รู้ว่าชาวบ้านเขามาแอบดูอยู่ แล้วก็มีคนไปบอกผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านก็สั่งคนให้มาล้อมกุฏิไว้"
"แล้วท่านรู้ตัวตอนไหน"
"ตอนที่เขาตะโกนเข้ามาบอกแล้ว...ผู้หญิงเขาตกใจเลยกระโดดขึ้นมานั่งบนตักผม"
"ก็ตอนที่เขาตะโกนเข้ามา ทำไมท่านถึงไม่กระโดดหน้าต่างหนีไปก่อนล่ะ อยู่ให้เขาจับได้คาหนังคาเขา แล้วใครเขาจะเชื่อ"
"ผมก็คิดจะหนี แต่ผู้หญิงเขาจับไว้แน่นเลย" ท่านเลี่ยงมาใช้คำว่า "จับไว้แน่น" แต่ความจริงคือ "กอดไว้แน่น" เพราะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม
"แล้วยังไงต่อไป" ท่านพระครูซัก
"พวกเขาก็พากันบุกขึ้นมาบนกุฏิแล้วก็เห็นเข้า"
"เห็นอะไร"
"เห็นผู้หญิงนั่งอยู่บนตักผม แล้วก็จับผมไว้แน่น เขาก็ตั้งข้อหาว่าผมเสพเมถุน จะจับผมสึก"
"ท่านพระครูไม่แน่ใจ ว่าเรื่องที่สมภารเล่ามาจะเป็นความจริงทั้งหมดจึงใช้ "เห็นหนอ" เข้าตรวจสอบเล้วก็ให้รู้สึกเศร้าสลดใจที่เห็นผู้อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ประพฤตินอกรีตนอกรอยเช่นนี้
"แล้วท่านจะให้ผมช่วยอะไร" ถามเพราะมองไม่เห็นทางเลยว่าจะช่วยได้อย่างไร คนถูกถามมีสีหน้าดีขึ้นพูดตอบว่า
"ผมขอความกรุณา ท่านช่วยพูดกับเขาด้วย อย่าให้เขาจับผมสึก แล้วก็อย่าให้เขาถอดผมออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส" ท่านพระครูทนฟังไม่ได้ จึงพูดขัดขึ้นว่า
"อย่าพูดเอาแต่ได้อย่างนั้นสิท่านสมภาร ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราดูบ้างเป็นไร ถ้าท่านเป็นชาวบ้านเห็นพระทำอย่างนี้ ท่านจะคิดยังไง ท่านจะยังศรัทธา ยังเคารพพระรูปนั้นอยู่หรือ ผมขอตำหนิท่านตรง ๆ ว่า ท่านทำร้ายจิตใจชาวบ้านมากเกินไป แล้วยังทำลายความเคารพนับถือที่พวกเขามีต่อท่าน รู้ตัวหรือเปล่าว่าท่านทำให้พระศาสนาต้องมัวหมอง ผมรู้สึกเสียใจมาก เสียใจจริง ๆ" คนฟังก้มหน้างุด อยากจะยอมรับผิด หากเจ้าทิฐิมานะก็ยุยงว่า "อย่ายอมแพ้ อย่ายอม ท่านเป็นสมภาร จะยอมแพ้ไม่ได้" ได้กำลังใจจากทิฐิมานะเช่นนี้ ท่านสมภารจึงเถียงไปข้าง ๆ คู ๆ ว่า "ท่านพระครูพูดยังกับว่าผมเป็นคนผิด"
"ใครผิดใครถูกท่านก็รู้อยู่แก่ใจดีแล้ว ผมขอถามหน่อยเถอะ ศีล ๒๒๗ ข้อน่ะ ท่านเหลืออยู่กี่ข้อ เอาละ ไหน ๆ ก็ตั้งใจมาขอคำปรึกษา ผมก็ขอถือโอกาสแนะนำว่า ท่านสึกเสียเถอะ สึกออกไปเป็นผู้ครองเรือนเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ขืนอยู่ต่อไปก็รังแต่จะให้พระศาสนาต้องมัวหมองหนักขึ้น ท่านจะมาติดอยู่กับตำแหน่งสมภารได้ยังไง ในเมื่อชาวบ้านเขาไม่ต้องการท่านแล้ว อย่าเหยียบเรือสองแคมเลยนะ"
"ท่านไม่ช่วยผมจริงหรือ ผมรู้ว่าท่านช่วยได้ เสียแรงที่เรารู้จักกันมานาน" อีกฝ่ายตัดพ้อ
"ก็ในเมื่อรู้จักกันมานาน ท่านก็น่าจะรู้นิสัยผมดี อย่าให้ผมต้องทำผิดไปอีกคนหนึ่งเลย รู้ตัวหรือเปล่า ผมผิดหวังที่ท่านเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความชั่วเป็นความดี ไม่น่าเลย"
"ท่านจะติว่ายังไง ผมยอมทั้งนั้น ขออย่างเดียวให้ช่วยผมด้วย ที่ผมบากหน้ามาพึ่งก็เพราะเห็นว่าท่านเป็นคนมีเมตตา แล้วท่านจะไม่เมตตาผมเลยเชียวหรือ" สมภารวัดฝั่งตรงข้ามยังคงรบเร้า
"เมตตามันก็มีขอบเขตของมันนะท่าน ถ้าเราเมตตาคนในทางที่ผิด ก็เท่ากับช่วยฉุดให้เขาลงนรกเร็วขึ้น ท่านเชื่อผมสักครั้ง สึกเสียดีกว่าจะมาคาราคาซังอยู่อย่างนี้"
"ผมจะสึกได้ยังไง ท่านคิดดูก็แล้วกัน อายุผมปาเข้าไปตั้งห้าสิบแล้ว จะไปทำมาหากินอะไรได้ เคยชินแต่กับการเป็นผู้รับ สึกออกไปแล้วใครเขาจะเอาเงินเอาทองมาถวาย ข้างผู้หญิงเขาก็อายุเพิ่งจะสิบเจ็ด งานการก็ยังไม่ได้ทำเพรายังเรียนไม่จบ ที่สำคัญกว่านั้นคือการเป็นเจ้าอาวาส ใช่จะเป็นกันได้ง่าย ๆ เมื่อไหร่กัน"
"ก็ในเมื่อท่านยังหวงยังห่วงตำแหน่ง แล้วทำไม่ถึงไม่รักษาไว้ให้ดีล่ะ มีประโยชน์อะไรที่จะมานึกเสียดายเอาตอนนี้ มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ท่านยิ่งพูดผมก็ยิ่งเศร้าใจหนักขึ้นเพราะมันแสดงให้เห็นชัดแจ้ง ว่าท่านมาบวชนี่ก็เพื่อหาเลี้ยงชีวิตเท่านั้น ผมคิดว่าท่านมาบวชเพื่อสละกิเลสเสียอีก ที่แท้ท่านก็เป็น อุปชีวิกา บวชเพื่อเลี้ยงชีพ"
"จะอะไรก็แล้วแต่ มันเรื่องของผม ว่าแต่ว่าท่านจะไม่ช่วยผมจริง ๆ หรือ นี่เงินตั้งสองหมื่นเชียวนะ" พูดพลางชี้ธนบัตรสองปึกตรงหน้า คิดว่าท่านพระครูจะต้องใจอ่อนเพราะเงินทำให้คนใจอ่อนมานักต่อนักแล้ว ทว่าท่านเจ้าของกุฏิกลับพูดเสียงหนักแน่นว่า
"ท่านสมภารคงจะเคยดูถูกตัวเองมาจนชิน ก็เลยพลอยดูถูกผมไปด้วย คนอย่างผมเงินซื้อไม่ได้แน่ ผมจะไม่ยอมจำนนต่อเงิน แต่จะยอมจำนนต่อความถูกต้อง เก็บเงินของท่านไปเสียเถิด ผมไม่อยากได้มันหรอก" สมภารวัดป่ามะม่วงรู้สึกไม่พอใจในการกระทำของอีกฝ่าย ต่อเมื่อระลึกรู้ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ความไม่พอใจนั้นก็เปลี่ยนเป็นเมตตาสงสาร จึงพูดปลอบใจผู้เป็นอาคันตุกะว่า
"ท่านสมภาร เคยอ่านพบพุทธวจนะที่เกี่ยวกับเรื่องกรรมไหม พุทธวจนะที่ว่า หญิง ชาย คฤหัสถ์ บรรพชิต ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าเรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่อาศัย เราทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจะได้รับผลของกรรมนั้น เคยอ่านไหม ถ้าผมจำไม่ผิด รู้สึกจะอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔"
"เคยครับ ผมจำได้ด้วย"
"งั้นก็ดีแล้ว ท่านลองพิจารณาไปตามพุทธวจนะที่ว่ามานี้ บางทีท่านอาจจะสบายใจขึ้น คิดเสียว่ามันเป็นกรรมของท่าน ท่านเป็นผู้กระทำก็ต้องรับผลด้วยตัวท่านเอง ไม่มีใครหนีกรรมไปได้ ดูอย่างพระโมคคัลลานะซึ่งเป็นถึงพระอรหันต์ ทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ต้องมาถูกโจรฆ่าตาย เพราะกรรมที่ทำไว้กับมารดาในอดีตชาติ ถ้าท่านสมภารเชื่อผมก็ขอให้ทำตามที่ผมแนะนำ"
"ผมจะเชื่อท่านได้ยังไง ถ้าผมเชื่อท่านก็แปลว่าผมเป็นผู้แพ้ แล้วผมเป็นใคร ผมน่ะเป็นถึงสมภาร เรื่องอะไรจะไปยอมแพ้พวกชาวบ้าน" คนพูดพูดด้วยทิฐิ ท่านพระครูรู้สึกระอา หากก็ใจเย็นพอที่จะพูดต่อไปว่า
"ท่านลืมแล้วหรือ คนที่เป็นพระนั้นจะต้องรู้จักแพ้ พระต้องเป็นผู้แพ้อยู่วันยังค่ำ ไม่งั้นโบราณคงไม่สอนไว้ว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ท่านอยากเป็นพระหรือเป็นมารล่ะ
"แต่ผมไม่เชื่อโบราณ ผมถือคติว่า เชื่อโบราณบานบุรี ฉะนั้นผมไม่เชื่อเด็ดขาด แล้วผมก็จะไม่ยอมแพ้ด้วย"
เมื่อเห็นว่าท่านพระครูไม่ช่วยแน่แล้ว สมภารวัดฝั่งตรงข้ามก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะมาอดกลั้นความโกรธเอาไว้ ท่านจึงพูดด้วยความโกรธแค้นว่า "ดีแล้ว ท่านจำไว้นะว่าวันพระไม่ได้มีหนเดียว แล้วผมจะคอยดูว่าคนอย่างท่านจะไม่ตกที่นั่งลำบากอย่างผมบ้าง"
"รับรองได้ คนอย่างผมมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นแน่ ผมสำรวมระวังในเรื่องนี้ที่สุด แล้วก็อบรมพระลูกวัดด้วย ท่านอย่าได้ห่วงไปเลย"
"เถอะ ถึงยังไงมันก็อาจจะพลาดพลั้งเข้าสักวัน ผมเห็นมานักต่อนักแล้ว วัดที่มีชีอยู่ วันดีคืนดีแม่ชีก็ตั้งท้อง"
"แต่ต้องไม่ใช่ชีวัดป่ามะม่วง จริงอยู่ถึงวัดผมจะมีชี แต่ผมก็สร้างสำนักชีให้อยู่เป็นสัดเป็นส่วน ไม่ให้มาจุ้นจ้านวุ่นวายกับพระ แล้วก็ห้ามพระเณรเข้าไปในเขตสำนักชี ใครไม่เชื่อฟังผมก็ให้ไปอยู่วัดอื่น แล้วตัวผมก็ทำตามกฎเช่นกับคนอื่น ๆ ไม่เคยถืออภิสิทธิ์ใด ๆ ไม่ได้ทำเลอะเลือนล่ามป้ามเหมือนท่านหรอก" เมื่อฝ่ายนั้นว่ามา ท่านก็เลยว่าตอบเอาบ้าง อยากจะสอนอาคันตุกะทางอ้อมด้วย
ถ้อยคำของสมภารวัดป่ามะม่วงทำให้สมภารวัดฝั่งตรงข้ามร้อนรุ่มคลุ้มคลั่งราวกับนั่งอยู่บนกองเพลิง ถึงจะรู้อยู่เต็มอก ว่าตนเป็นฝ่ายผิด แต่ก็ไม่ต้องการให้ใครมาว่า
กำลังนึกหาถ้อยคำเผ็ดร้อนมาโต้ตอบก็ให้รู้สึกเย็นวูบวาบชุ่มฉ่ำขึ้นในหัวใจ ไฟโทสะดับลงด้วยอำนาจเมตตาที่ท่านพระครูแผ่มาให้ สำนึกผิดชอบชั่วดีกลับมาอีกครั้ง สมภารวัยห้าสิบจึงพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า
"ผมเสียใจ นี่ถ้าผมไม่ประมาทก็คงจะไม่พลาดพลั้งถึงปานนี้ ผมขอสารภาพว่าผมต้องอาบัติปาราชิก ไม่รู้ผีป่าซาตานที่ไหนมาดลใจให้ผมเห็นกงจักรเป็นดอกบัว" อดโยนความผิดให้พ้นตัวไม่ได้
"อย่าไปโทษผีที่ไหนเลยท่าน โทษตัวของเรานั่นแหละ เพราะเราขาดสติถึงได้เป็นเช่นนี้"
"อาจจะจริงอย่างที่ท่านว่า ตกลงผมจะยอมสึก เงินจำนวนนี้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับผมในการก่อร่างสร้างตัว" พูดพลางเก็บเงินเข้าในย่ามดังเดิม รู้สึกอัดอั้นตันใจจนพูดไม่ออก ได้แต่นั่งคอตกนิ่งอยู่
"ท่านเลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว เอาสมองไว้คิดเรื่องการทำมาหากินดีกว่า ท่านสร้างบุญบารมีมาเพียงแค่นี้ ถึงคราวจะต้องจุติก็ต้องจุติ" ท่านหมายถึงการเคลื่อนจากเพศพรหมจรรย์
"แต่ผมเสียใจ เสียใจและเสียดายที่ไม่สามารถรักษาเพศพรหมจรรย์ไว้ได้ ถึงอย่างไรผมก็ยังอยากเป็นพระมากกว่าเป็นฆราวาส นี่ถ้าสึกออกไปก็ต้องไปอยู่ที่อื่น คงทนไม่ได้ที่จะต้องถูกเยาะเย้ยถากถางจากคนที่เคยกราบเคยไหว้ผม มันเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต" พูดเสียงเครือและท่านพระครูก็ได้เห็นน้ำตาของลูกผู้ชายวัยเดียวกับท่าน รู้สึกสงสารเห็นใจ หากก็ช่วยอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของ "กรรมใดใครก่อ" เมื่อเขาก่อกรรม สร้างกรรม เขาก็ต้องรับผลของมัน ไม่ว่าผลนั้นจะดีหรือร้าย หวานหรือขมก็ต้องอมต้องกลืนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"แล้วท่านคิดจะไปอยู่ที่ไหน ท่านมีญาติพี่น้อยที่ไหนบ้าง"
"ไม่มีเลย พ่อแม่ญาติพี่น้องผมตายหมด เหลือก็แต่หลาน ๆ ซึ่งไม่ได้ไปมาหาสู่กันนาน คงจำกันไม่ได้แล้ว แต่ถึงจำได้เขาก็คงไม่อยากคบหาสมาคมกับคนต้องอาบัติปาราชิกอย่างผม" คราวนี้ท่านถึงกับสะอึกสะอื้นออกมา รู้สึกอัปยศอดสูเป็นที่สุด ท่านพระครูเองก็รู้สึกรันทดใจจนมิรู้ที่จะกล่าวปลอบว่าอย่างไร ต่างนั่งนิ่งกันไปพักหนึ่ง แล้วอาคันตุกะ จึงพูดขึ้นว่า
"ผมเห็นจะต้องขอตัวกลับก่อน ขอบคุณที่ท่านพระครูให้สติ ผมเพิ่งประจักษ์เดี๋ยวนี้เองว่าท่านมีเมตตาอย่างแท้จริง เพราะถ้าท่านช่วยผมในทางที่ผิดก็เท่ากับฉุดให้ผมดิ่งลงนรกเร็วขึ้น ต้องขอโทษที่รู้สึกโกรธท่านในตอนแรก ผมลาละครับ" พูดจบจึงก้มลงกราบเจ้าของกุฏิสามครั้ง ท่านพระครูรับไหว้แล้วพูดด้วยความเห็นอกเห็นใจว่า
"ขอให้ท่านโชคดี มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ก็บอกมา ไม่ต้องเกรงใจ ผมยินดีจะช่วยทุกเรื่องที่ไม่ผิดทำนองคลองธรรม ขอให้นึกถึงผมบ้าง"
"ครับ ผมจะนึกถึงท่านพระครูเป็นคนแรก ผมไปละครับ"
"แล้วกลับยังไงล่ะ" ถามอย่างเป็นห่วง
"เรือเขารออยู่ครับ ผมเหมาเรือมา"
"งั้นผมจะเดินไปส่งที่ท่าน้ำ"
"อย่าเลยครับ เห็นว่างานท่านยุ่งมากไม่ใช่หรือ" อาคันตุกะพูดอย่างเกรงใจ
"ไม่เป็นไรหรอก ไหน ๆ ก็ตังใจจะไปส่งแล้ว เสียเวลาแค่ห้านาทีสิบนาทีจะเป็นไรไป" แล้วจึงเดินไปส่งอาคันตุกะถึงท่าน้ำหลังวัด ก่อนลงเรือท่านสมภารหันมาขอบคุณและกล่าวว่า
"ขอบคุณท่านพระครูเหลือเกิน ผมสบายใจแล้ว จริงอย่างท่านพระครูว่า...เราทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่ว เราต้องรับผลของกรรมนั้น.."
"ผมไม่ได้ว่า ท่านอย่าเข้าใจผิด ผมเพียงแต่ยกพุทธพจน์มาอ้างเท่านั้น" ท่านพระครูรีบออกตัว
"นั่นแหละ ถ้าท่านไม่พูดอย่างนี้ ผมก็ยังคงมืดบอดอยู่ เดี๋ยวนี้ผมตาสว่างแล้ว ตาสว่างใจสว่าง ผมขอชดใช้กรรมจนกว่าจะหมด ท่านพระครูเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ขอให้ท่านเจริญในธรรมมากขึ้น และขอให้ท่านบรรลุธรรมสูงสุดภายในชาตินี้ ผมขออนุโมทนา"
พูดพร้อมกับยกมือประนมไหว้อย่างนอบน้อม ท่านพระครูยกมือขึ้นรับไหว้แล้วยืนรอกระทั่งเรือลำน้อยเคลื่อนออกจากฝั่ง
ตะวันรอนอ่อนแสงลงมากแล้ว เงาของพระกับคนแจวเรือที่ทอดลงบนพื้นน้ำนั้นเห็นได้ชัดเจน ท่านพระครูรู้สึกตกใจ ที่เงาของท่านสมภารไม่มีศีรษะ! รู้ได้ในทันทีว่าภิกษุรูปนั้นชะตาขาด ท่านจึงหาทางช่วยเหลือด้วยการรีบกลับมาแผ่เมตตาให้ อย่างน้อยก็ช่วยให้วิญญาณดวงนั้นไปสู่ทุคติในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ต้องตกไปอยู่ที่นั่นชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ ท่านช่วยได้มากที่สุดเพียงเท่านี้
ขึ้นจากเรือแล้ว ท่านสมภารต้องเดินต่อไปอีกประมาณสองกิโลเมตรจึงจะถึงวัด ดวงตะวันเคลื่อนตัวต่ำลงเข้าไปทุกขณะ หนทางแคบ ๆ ที่สองฟากข้างเป็นป่ารกเรื้อจึงดูมืดครึ้มกว่าปกติ ท่านเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเพราะอยากถึงวัดก่อนเวลาที่งูเงี้ยวมันออกหากิน เหลืออีกไปกี่สิบก้าวจะพ้นแนวป่า แล้วท่านก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นใกล้ตัวหลายนัด รู้สึกเจ็บแปลบที่ขั้วหัวใจ แล้วความรู้สึกทั้งมวลก็ดับวูบลง ขณะที่นึกถึงท่านเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงเป็นสำนึกสุดท้าย
ข่าวการมรณภาพของท่านสมภารเพราะถูกลอบยิง เป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แล้วก็เลยเป็นที่รู้กันทั้งตำบลและอำเภอ
นอกจากท่านพระครูแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามือปืนเป็นใคร เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงเท่านั้นที่รู้ว่า คนยิงคือคู่รักของผู้หญิงที่ท่านสมภารไปพัวพันด้วยความหึงหวงกลายเป็นเคียดแค้นชิงชัง จึงมาดักยิงเสียให้สมแค้น
แต่สาเหตุที่ลึกลงไปกว่านั้นก็คือ มันเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ชาติก่อนท่านสมภารไปฆ่าเขาไว้ มาชาตินี้เขาจึงตามมาฆ่า แม้ท่านจะอยู่ในเพศบรรพชิต แต่เมื่อกระทำกรรมชั่ว กรรมดีที่สั่งสมไว้จึงหมดลง เปิดโอกาสให้กรรมชั่วมาให้ผล ท่านสมภารได้ชดใช้เวรกรรมที่ท่านก่อแล้ว...





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ



เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างวิมานทอง
088-815-0266


บุญด่วน...ซื้อที่ดินให้วัดถ้ำป่าอาชาทอง...เพื่อพระพุทธศาสนา...เพื่อแผ่นดินไทย
โดยสามารถโอนปัจจัยร่วมบุญมาได้ที่

พระเหนือชัย โฆสิโต
บัญชีสะสมทรัพย์เลขที่ ๓๙๔-๐-๘๖๙๗๕-๗
ธนาคารกรุงเทพ สาขาแม่จัน


ผ้าป่ามูลนิธิหออภิบาลสงฆ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น 17 มิถุนายน 2555
โทร 043-366331


โครงการถวายมหาสังฆทาน 9 วัด ครั้งที่ 7 (29 พ.ค. 55)
โทร. 081-8696068


ร่วมทอดผ้าป่าสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ – สำนักสงฆ์ป่าวิเวกสิกขาราม
ท่านที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ สามารถโอนปัจจัยเข้าบัญชี

1. ชื่อบัญชี: พระวิชัย กัมมสุทโธ ศิริผลหลาย
ธนาคารกรุงไทย สาขาเมืองพล เลขที่บัญชี: 422-0-30686-2

2. ชื่อบัญชี: พระวิชัย กัมมสุทโธ ศิริผลหลาย
ธนาคารกรุงเทพ สาขาเมืองพล เลขที่บัญชี: 273-4-50666-6


ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่ามหากุศลสมทบทุน สร้างอุโบสถ วัดคลองโคน สมุทรสงคราม ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕
โทร ๐๘๕ – ๑๒๕๓๗๙๑


3-5 มิ.ย.ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี วัดปราสาทเทพสถิตย์ อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์
๐๘๙-๕๒๖๙๒๙๑


ทางวัดจึงได้จ้างผู้รับเหมาก่อสร้างมาเพื่อดำเนินการสร้างอุโบสถ
ณ. วัด พนมวัน (บ้านดีลัง) เลขที่ 199 ม.3 ต.ดีลัง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี 15220 โทร 081-9481490


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อสร้างพระประธานใหญ่ปางคันธราชฐ์ 21 มิ.ย. 55
โทร 08-9420-0133


เชิญร่วมทำบุญทอดผ้าป่ากับพระอาจารย์ต้น ฐานวีโร วัดทุ่งเกี๋ยง สมทบทุนสร้างสะพาน-ถนน
084-615-1770


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อทาสีและเบิกพระเนตร 12 ส.ค 55
โทร 08-9420-0133


ร่วมบุญถวายปัจจัยค่าเครื่องบินครูบาอาจารย์
083-1260937


26พ.ค.-4มิ.ย.55งานพุทธชยันตีวัดป่ามณีกาญจน์‏
โทร ๐-๒๔๔๙-๒๒๓๔




ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่าสร้างพระมหาอุโบสถ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
0849095076


เวียนเทียนวิสาขบูชาพร้อมร่วมมหากุศลยกพระเกตุพระปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดในไทย
0898364129


ผ้าป่าสร้างพระเจดีย์เทวธรรม และจัดซื้อที่ดินถวาย วัดป่าเจดีย์เทวธรรม จ.ร้อยเอ็ด
หรือสามารถส่งปัจจัยร่วมบุญได้ที่
บัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาร้อยเอ็ด
ชื่อบัญชี : กองทุนสร้างพระเจดีย์เทวธรรม
หมายเลขบัญชี : 329-249-5829



ขอเชิญร่วมงานวิสาขะบูชายกช่อฟ้าวิหารวัดป่าบ้านพราน จ.สุรินทร์


โครงการจัดทำเว๊ปไซต์ให้ทางวัด พร้อมดูแล อัพเดทข้อมูล ฟรี โดย สนพ.เลี่ยงเชียง
อ้างอิง:[url=http://www.lc2u.com]::: LC2U





ต้องการขอรับบริจาค CDหรือDVD บาลีไวยากรณ์
โทรศัพท์ 082-4448270



เจ้าภาพถวาย ไตรจีวร บาตร
0854921577


ขอเชิญร่วมทำบุญโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่ชาวเขาครับ
024579042

บอกบุญ ชุดขาวแก่พุทธบริษัท ในชนบท ด่วน
โทร0904935499


ช่วยกันบวชพระให้นาคกำพร้า
082-6745-110


เชิญผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบรรพชา อุปสมบทเป็นพระภิกษุ หรือ ร่วมเป็นเจ้าภาพบวช
พระภิกษุ ในโครงการ บรรพชาอุปสมบท พระภิกษุ 100 รูป ณ. วัดธรรมมงคล
สุขุมวิท 101 (หลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินธโร) ระหว่าง วันที่ 20 พฤษาคม - 3 มิถุนายน 2555 (15วัน) เพื่อเฉลิมฉลอง ในโอกาสครบรอบ 99 ปี แห่งการสถานปนา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



ขอเชิญร่วมทำบุญบรรพชาอุปสมบทหมู่ชาวเขา 286 รูป ปี 2555 วัดเบญจมบพิตรฯ
โทร.0-2659-6139


เชิญเข้าร่วมโครงการอุปสมบทหมู่ ๘๕ รูป วัดพระปฐมเจดีย์ และวัดป่าเจริญราช
________________________________________
จังหวัดปทุมธานี
ระหว่างวันที่ ๒๖ พฤษภาคม – ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕


ขอความอนุเคราะห์เป็นเจ้าภาพบวชพระ กรุณาติดต่อ 084 121 7414


วันวิสาขบูชา 3-5 มิถุนายน 2555 เชิญร่วมปฏิบัติธรรมที่วัดวังบัวบาน จ.เพชรบูรณ์

หาเจ้าภาพบวชพระ
0900022786


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2012, 10:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


.. อนุโมทนาแล้วๆๆ..


:b29: ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2012, 07:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงกำลังฉันภัตตาหารเช้าอยู่ที่ชั้นล่างของกุฏิ ตั้งใจว่าฉันเสร็จจะขึ้นไปเขียนหนังสือยังชั้นบน แต่แล้วก็มีอันต้องเสียความตั้งใจ เมื่อชายหญิงคู่หนึ่งช่วยกันประคองถาดทองเหลืองเดินเข่าเข้ามาหา ในถาดมีก้อนหินสีนวลวางอยู่ เป็นหินรูปทรงไข่ไก่ แต่มีขนาดใหญ่กว่าสักประมาณห้าสิบเท่าตัว
เมื่อเข้ามาในระยะหัตถบาส คนทั้งสองวางถาดลงแล้วกราบท่านพระครูสามครั้ง ฝ่ายชายถามขึ้นว่า
"หลวงพ่อ คือ พระครูเจริญใช่ไหมครับ" แทนคำตอบ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงกลับถามว่า
"โยมมีธุระอะไรกับอาตมาหรือ"
"ครับ ผมชื่อมนตรี ภรรยาชื่อสุมาลี บ้านอยู่ช่องแคแต่ไปสอนหนังสืออยู่ตาคลีครับ"
"อ้อ เป็นครู แล้วไปไหนกันมา ทานข้าวแล้วหรือยัง"
"ยังไม่หิวค่ะ" ครูสุมาลีตอบ
"ไม่หิวไม่ได้ซี ถึงเวลากินก็ต้องกิน สมชายพาแขกไปทานอาหารหน่อย ท่านหันไปสั่งลูกศิษย์วัด ครูสองคนจึงต้องลุกขึ้นเดินตามนายสมชายไปยังโรงครัว ครู่ใหญ่ ๆ จึงกลับมาที่กุฏิอีกครั้ง ท่านพระครูแปรงฟันบ้วนปากเสร็จแล้วและกำลังรออยู่
"จะเอาหินมาถวายอาตมาหรือ จะเอามาให้ปลุกเสก" ท่านถามยิ้ม ๆ คนเดี๋ยวนี้เชื่อถืออะไรต่อมิอะไรกันเปรอะไปหมด พระบางรูปถึงกับยึดอาชีพ "ทำปลัดขิก" จะหน่ายจ่ายแจกประชาชน โดยอ้างว่าเป็นเครื่องรางของขลัง ผัวเมียคู่นี้อาจจะมาทำนองเดียวกัน ท่านคาดการณ์ล่วงหน้า
"จะเอามาถวายครับ หลวงพ่อกรุณารับไว้ด้วย หินก้อนนี้มีที่มาแปลก ถ้าผมเล่าให้หลวงพ่ออาจจะไม่เชื่อ" ครูมนตรีพูดออกตัวไว้ก่อน
"ลองเล่าไปสิ แล้วเชื่อหรือไม่เชื่ออาตมาจะบอกทีหลัง" ครูมนตรีจึงเล่าให้ท่านสมภารวัดป่ามะม่วงฟังว่า
"ผู้ปกครองนักเรียนเขาเอามาให้เพื่อนผม ซึ่งเป็นครูอยู่ที่อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ เรื่องมีอยู่ว่า สองผัวเมียได้ไปทำไร่ที่ตำบลหนึ่งของอำเภอนั้น ไปปลูกกระท่อมอยู่ในป่า เมียเขาก็ไปเก็บหินมาสามก้อน จะเอามาทำเป็นเส้าก่อไฟหุงข้าว พอทำเสร็จก็ก่อไป ปรากฏว่าหินก้อนนี้มันร้อง ร้องว่า "กูร้อน กูร้อน เอากูมาเผาทำไม เดี๋ยวกูจะหักคอมึง" สองผัวเมียจึงเอาก้อนนี้ออก ไปหาก้อนอื่นมาแทน
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ก็ลองเอาก้อนนี้มาทำเส้าอีก มันก็ร้องแบบเดียวกับวันวาน เขาจึงเอาไปตั้งไว้หน้าหิ้งพระ ตกกลางคืนก็มาเข้าฝัน ว่าอยากไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดป่ามะม่วง ขอให้พาไปด้วย สองผัวเมียก็ไม่รู้ว่าวัดป่ามะม่วงอยู่ที่ไหน จึงไม่ได้พาไป คืนที่สองก็มาเข้าฝันอีกว่า ช่วยพาไปวัดป่ามะม่วงด้วย จะไปเรียนกรรมฐานกับท่านพระครูเจริญ คืนที่สามก็มาบอกอีก คราวนี้บอกที่ตั้งของวัดด้วย สองผัวเมียจึงมาเล่าให้เพื่อนผมฟัง และขอร้องให้เพื่อนผมช่วยจัดการให้ เพราะเขาไม่มีเงินค่าเดินทาง เพื่อนผมเขาไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ แต่ก็รับไว้เพราะสงสารสองผัวเมีย ซึ่งมีท่าทางทุกข์ร้อนและวิตกกังวลมาก
คืนแรกที่อยู่บ้านเพื่อนผม ก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกัน เพื่อผมก็ยังไม่เชื่อ คิดว่าฟังสองผัวเมียเล่าแล้วตัวเองเก็บไปฝัน พอคืนที่สองก็มาเข้าฝันอีก เขาก็ชักเอะใจแต่ก็ยังไม่เชื่อ คืนที่สามก็บอกว่า พรุ่งนี้จะมีเพื่อนมาจากตาคลีให้ฝากกับเพื่อน ถ้าไม่ฝากจะหักคอให้ตายหมดบ้าน คราวนี้เพื่อนผมชักจะกลัว ๆ แต่ก็ยังไม่เชื่อและนึกไม่ออกว่าเพื่อนคนไหนจะมาหา เขาไม่เคยมีเพื่อนอยู่ตาคลี คือเขารู้แต่ว่าผมอยู่ช่องแค ทีนี้ช่วงนั้นผมไปเยี่ยมญาติซึ่งเป็นนายอำเภอลำปลายมาศ ผมจึงแวะเยี่ยมเพื่อนด้วย พอเขาเห็นผม เขามีท่าทางประหลาดใจมาก ถามว่าผมมาจากไหน พอผมบอกว่ามาจากตาคลี เขาถึงกับหน้าซีด ก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง และขอร้องให้ผมเอาหินก้อนนี้มาด้วย เรื่องก็มีเท่านี้แหละครับ" ระหว่างที่ครูมนตรีเล่า ท่านพระครูนิ่งฟังโดยไม่ซักถาม ต่อผู้เล่าเล่าจบจึงถามขึ้นว่า
"หินก้อนนี้มาอยู่บ้านครูได้กี่คืน"
"คืนเดียวครับ ผมมาถึงเมื่อวานตอนค่ำ รุ่งเช้าก็นำมาที่นี่เลย"
"แล้วเมื่อคืนมีใครมาเข้าฝันหรือเปล่า"
"ไม่มีครับ ไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น"
"แล้วครูเชื่อหรือเปล่า"
"ผมยังไม่เชื่อครับ แต่ถ้ามีคนมาเข้าฝันเหมือนอย่างที่เพื่อนผมเล่าก็อาจจะเชื่อ แล้วหลวงพ่อเล่าครับ หลวงพ่อเชื่อหรือเปล่า" ก่อนตอบคำถาม ท่านพระครูใช้ "เห็นหนอ" ตรวจสอบเสียก่อนแล้วจึงพูดว่า
"อาตมาเชื่อ เท่าที่ฟังมาก็พอจะสรุปได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะอาตมาเชื่อเรื่องจิตวิญญาณอยู่แล้ว" ท่านอธิบายโดยพยายามไม่ให้เป็นการ "อวดอุตริมนุสสธรรม"
"อาตมาคิดว่าหินก้อนนี้คงจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับที่เขานำมาสร้างปราสาทหินพนมรุ้ง และคงจะมีวิญญาณสิงอยู่"
"วิญญาณของผู้หญิงหรือผู้ชายคะหลวงพ่อ" ครูสุมาลีถาม พลางมองไปที่ก้อนหินอย่างหวาด ๆ
"เข้าใจว่าเป็นผู้ชาย เป็นคนหนึ่งที่ช่วยสร้างปราสาทหินพนมรุ้งแล้วก็ถูกหินตกลงมาทับตาย วิญญาณก็เลยสิงอยู่ในก้อนหิน ไม่ยอมไปไหน"
"แต่เพื่อนผมเขาบอกว่าสองผัวเมียไปพบในป่านะครับ" ครูมนตรีติง
"ถูกแล้ว มีคนมาขโมยไปจากปราสาทหิน คงเป็นนักท่องเที่ยวเห็นรูปร่างแปลก ๆ เลยขโมยไป แล้วก็คงจะถูกวิญญาณอาละวาด เลยเอามาทิ้งในป่า กระทั่งสองผัวเมียไปพบเข้า"
"แล้วทำไมเขาถึงอยากมาอยู่วัดนี้ล่ะครับ"
"เอ อันนี้อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าครูอยากทราบ อาตมาจะถามเขาให้เอาไหม" ท่านถามทีเล่นทีจริง "บุรุษผู้มากับก้อนหิน" นั่งหมอบอยู่หน้าท่าน ทว่าครูสองคนไม่เห็น แต่ถึงจะเห็นก็เชื่อและกลัว จึงกล่าวปฏิเสธพร้อมกันว่า
"ไม่ต้องหรอกครับ"
"ไม่ต้องหรอกค่ะ"
"อ้าว อาตมาพูดกับเขาได้นะจะบอกให้" ท่านเจ้าของกุฏิพูดยิ้ม ๆ แล้วพูดกับชายที่หมอบอยู่ต่อหน้า หากในสายตาครูสองคนดูเหมือนกำลังพูดกับก้อนหิน
"เชิญอยู่ตามสบายนะ อยู่ที่กุฏิอาตมานี่แหละ แขกไปใครมาจะได้คอยต้อนรับ แล้วอาตมาจะสอนกรรมฐานให้" แล้วท่านก็พยักหน้าช้า ๆ พลางออกเสียง อ้อ อ้อ เหมือนกำลังฟังก้อนหินพูด ครูสองคนมองหน้ากันพลางนึกในใจว่า "หลวงพ่อองค์นี้ท่าจะเพี้ยน" ท่านพระครูหันมาแก้ว่า
"อาตมาไม่ได้เพี้ยน อาตมากำลังคุยกับเขาจริง ๆ ไม่เชื่อไปเอาหมอมาตรวจเช็คดูก็ได้ ว่าอาตมาเป็นโรคประสาทหรือเปล่า" คำพูดของท่านพระครูทำให้คนฟังงุนงงนัก แล้วครูมนตรีก็พูดในใจว่า "อ๋อ พระอภิญญา หลวงพ่อองค์นี้ต้องได้อภิญญา"
"เขาวานอาตมาให้ช่วยขอบใจครู บอกแล้วจะตามไปให้หวยที่บ้าน" คราวนี้ครูสุมาลีตาเป็นประกายเพราะอยากรวย
"ตกลงผมพาเขามาถูกวัดแล้วใช่ไหมครับ" ครูมนตรีถาม ความข้องใจสงสัยปลาสนาการไปสิ้น
"ถูกแล้ว เขาพอใจมากทีเดียว น่าอนุโมทนานะ ตายไปแล้วยังอยากทำความดี คนเป็น ๆ เสียอีกกลับประมาทมัวเมาในชีวิต" ท่านนึกไปถึงสมภารวัดฝั่งโน้น แต่ครูมนตรีกลับคิดไปว่าท่านหมายถึงตัวเขา จึงรีบออกตัวว่า "ครับ ต่อไปนี้ผมจะเลิกเที่ยวเตร่ เลิกเป็นคนสำมะเลเทเมาอย่างเด็ดขาด" เพิ่งจะรู้สึกตัวเดี๋ยวนี้เองว่า ที่แล้ว ๆ มาเขาไม่ได้ทำตัวให้เป็นที่ชื่นชอบของลูกเมียเท่าใดนัก "สาธุ ขอให้ทำได้จริง ๆ เถอะ หนูขอนิมนต์หลวงพ่อเป็นพยานด้วยนะคะ" ครูสุมาลียกมือขึ้น สาธุ พร้อมกับอาราธนาท่านพระครูให้เป็นพยาน
"ตกลง อาตมาจะเป็นสักขีพยานให้ อ้อ! แล้วอาตมาขอบิณฑบาตอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องสูบบุหรี่ อยากให้เลิกเสีย เพราะมันมีแต่โทษ หาประโยชน์มิได้เลย"
"ครับ ผมสัญญาว่าจะเลิกให้หมด" ครูหนุ่มรับคำด้วยศรัทธาในท่านพระครูยิ่งนัก
"ดีแล้ว เมื่อเลิกสิ่งไม่ดีได้ ต่อไปก็ให้เคร่งครัดในศีล รักษาศีลให้ได้ทั้งสองคนนั่นแหละ เอาแค่ศีล ๕ ก็พอ เมื่อศีลเพียบพร้อมก็จะได้มาฝึกสมาธิ ชีวิตก็จะได้เจริญรุ่งเรือง"
"ค่อย ๆ ไปทีละขั้นไม่ดีหรือครับหลวงพ่อ มากเกินไปประเดี๋ยวผมจะรับไม่หมด" ครุมนตรีต่อรอง
"รับไม่หมดแน่ ถ้าครูไม่ฝืนใจ การทำความดีต้องฝืนใจนะครู ไม่งั้นก็ทำไม่ได้ นี่ครูยังโชคดีนะที่ได้คู่ดี ถ้าเขาไม่ดีคงทิ้งครูไปเสียนานแล้ว อย่าโกรธนะอาตมาพูดตรง ๆ อย่างนี้แหละ" ท่านรู้ว่าบุรุษตรงหน้าอยู่ในข่าย "สอนได้" จึงสอน
"ไม่โกรธครับ ผมจะโกรธผู้ที่หวังดีต่อผมได้อย่างไร เป็นบุญของผมเหลือเกินที่มารู้จักหลวงพ่อ ปกติผมเป็นคนรั้น พ่อแม่สั่งสอนก็ไม่เคยเชื่อฟัง แต่น่าแปลกที่มาเชื่อหลวงพ่อได้ ก่อนนี้ผมไม่ค่อยนับถือพระสักเท่าไหร่"
"ทำไมถึงเป็นยังงั้นล่ะ"
"ก็ท่านทำให้ผมหมดศรัทธาน่ะครับ ขอประทานโทษ หลวงพ่อรู้จักหลวงตาอ้อนไหมครับ" เขาเอ่ยนามภิกษุรูปหนึ่งซึ่งกิตติศัพท์ของท่านเป็นที่รู้จักดี กิตติศัพท์ในทางลบ!
"รู้จักซี ทำไม่จะไม่รู้จัก ท่านออกดัง"
"นั่นแหละครับ ผมแทบจะเลิกนับถือพระก็เพราะหลวงตาอ้อนนี่แหละ ผมไม่เล่าดีกว่า ประเดี๋ยวหลวงพ่อจะหาว่าผมว่าพระว่าเจ้า" แต่ถึงครูมนตรีจะไม่เล่า ท่านพระครูก็รู้ เพียงแต่ท่านอยากรู้ท่านก็รู้ได้ หากเรื่องที่อยากรู้นั้นไม่เกินความสามารถของ "เห็นหนอ"
ท่านรู้ว่าที่ครูมนตรีผิดใจกับหลวงตาอ้อน เพราะถูกฝ่ายนั้นยืมเงินแล้วไม่ใช้คืน เป็นเงินค่อนข้างมากและที่สำคัญกว่านั้นคือ มันไม่ใช่เงินของครูมนตรีเอง แต่เป็นเงินที่เขายืมมาจากมารดาอีกทีหนึ่ง
"แต่เดี๋ยวนี้ผมนับถือพระแล้วนะครับ อย่างน้อยผมก็รู้ว่าพระดี ๆ ยังมีอยู่ นี่ถ้าไม่ได้มาพบหลวงพ่อ ความคิดเช่นนี้คงยังไม่เกิด" ครูมนตรีพูดด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากจิตใจ <DD
>"ดีแล้วที่ครูคิดได้อย่างนี้ เพราะคนที่ไม่นับถือพระนั้นได้ชื่อว่าบาปไปครึ่งหนึ่งแล้ว"
"บาปอย่างไรคะหลวงพ่อ" ครูสุมาลีถาม
"บาปในแง่ที่ว่า จิตเป็นอกุศลน่ะซีครู" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงตอบ ครูสุมาลีพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงเข้าใจเรื่องที่ท่านพูด
"อาตมาขออนุโมทนาด้วยที่ครูหันมานับถือพระอีก เท่ากับเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเองเหมือนกัน ที่จริงคุณพ่อคุณแม่ครูท่านก็เป็นคนดีนะ ดีมากเสียด้วย ทำไมครูไม่เอาเยี่ยงอย่างท่านล่ะ จริงไหมครู" ท่านถามครูสุมาลี
"จริงค่ะหลวงพ่อ คุณพ่อคุณแม่เขาแสนจะดี และที่หนูยอมแต่งงานกับเขาก็เพราะคิดว่าเขาคงจะดีเหมือนคุณพ่อคุณแม่" คนเป็นภรรยาถือโอกาส "เล่นงาน" คนเป็นสามี
"เอาละ ๆ ต่อไปนี้เขาจะเป็นคนดีแล้ว เรื่องเก่าอย่าเอามารื้อฟื้น" ท่านพระครูปรามเมื่อเห็นคนถูกว่าถลึงตาเข้าใส่คนเป็นภรรยา พลางเถียงในใจว่าก็ทำไมไม่แต่งกับพ่อแม่ฉันซะเลยล่ะ "ผมเห็นจะต้องกลับก่อนละครับ วันหลังจะหาโอกาสมากราบหลวงพ่ออีก" คนรำคาญภรรยาพูดขึ้น
"เจริญพร แล้วไม่ต้องไปทะเลาะกันนะ เลิกทะเลาะกันเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจะรวย" ท่านชิงห้ามไว้เสียก่อน ด้วยรู้ว่าคนคู่นี้ทะเลาะกันเป็นประจำ
"ค่ะ หนูเลิกทะเลาะกับเขาแล้วค่ะ" ครูสุมาลีตอบเพราะอยากรวย
"อ้อ ขับรถขับราอย่าให้เร็วเกินไป รู้สึกว่าครูชอบขับรถเร็วเป็นวัยรุ่นเชียว" ท่านเตือนอีก ครูมนตรีรู้สึกประหลาดใจนั้น ศรัทธาปสาทะที่มีต่อภิกษุรูปนี้ดูเหมือนยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น
"นั่นซีคะ หลวงพ่อกรุณาช่วยปรามด้วยเถิดค่ะ หนูพูดหนูบอกเขาไม่เคยฟัง ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ" ครูสุมาลีถือโอกาสรายงานความประพฤติของสามีอีกครั้ง
"หลวงพ่อครับ ผมเบื่อคนช่างฟ้องจังเลย ไม่รู้ว่าจะเอาไปทิ้งที่ไหนดี" คนเป็นสามีพูดอย่างรำคาญ
"ก็ครูอย่าทำให้เขาฟ้องนักซี แล้วก็ไม่ต้องเอาไปทิ้งไหนหรอก ขอให้เก็บไว้ให้ดี ๆ ถ้าทิ้งเขาเรานั่นแหละจะแย่ นี่อาตมาพูดตามข้อเท็จจริงนะ ไม่ได้เข้าข้างครูผู้หญิง" เมื่อเถียงตรง ๆ ไม่ได้คนถูกเตือนจึงต้องไปแบบข้าง ๆ คู ๆ ว่า
"ไม่แย่หรอกครับหลวงพ่อ ทิ้งคนนี้แล้วผมก็ไม่หาคนใหม่ รับรองว่าจะให้สวยกว่าผอมกว่าคนนี้อีก ผมทำได้จริง ๆ นะครับ" พูดพลางชำเลืองไปทางผู้หญิงร่างท้วมที่นั่งถัดจากตน
"อาตมารู้ว่าครูทำได้ แต่คุณภาพมันไม่เหมือนกันหรอกน่า ของเก่าน่ะมีค่ามากกว่า เหมือนเครื่องลายครามไง ยิ่งเก่ายิ่งแพง"
"แต่คนไม่ใช่เครื่องลายครามนี่ครับหลวงพ่อ โดยเฉพาะผู้หญิง ยิ่งเก่าก็ยิ่งแก่ ยิ่งแก่ก็ยิ่งพูดมาก พวกผู้ชายเขาถึงได้ให้สมญาพวกผู้หญิงว่าเป็น พวกแก่ง่ายตายยาก"
"ใช่ โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นเมียหลวงใช่ไหม" ท่านรู้เท่าทันอีก ครูมนตรีจึงต้องปิดปากเงียบ ขืนเถียงไปก็รังแต่จะเข้าเนื้อ เห็นเขาไม่เถียง ท่านพระครูจึงกล่าวสรุปแบบยาว ๆ ว่า "เอาละไม่ต้องไปหาคนใหม่ให้เหนื่อย คนนี้แหละดีแล้ว คนใหม่เขาจะมารักลูกเราหรือก็เปล่า เชื่ออาตมาเถอะ แล้วก็เลิกทะเลาะกันเสีย เลิกได้เมื่อไหร่รับรองรวยมาหลายคู่แล้ว" ท่านพูดอย่างรู้ใจ เพราะธรรมดาของปุถุชนนั้นเรื่องร่ำรวยต้องมาก่อนเสมอ หลังจากนั้น "ธรรมะ" จึงจะตามมา
"ค่ะ หนูเลิกทะเลาะกับเขาอย่างเด็ดขาด" ครูสุมาลีรีบตอบ กระบวนอยากรวยไม่มีใครเกินเธอผู้นี้
"ผมกราบลาละครับ" สามีกับภรรยากราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้งแล้วลุกออกมา เมื่อรถถึงถนนใหญ่ คนขับก็แกล้งขับชนิด "เต่าคลานยังเร็วเสียกว่า" คนเป็นภรรยาคิดว่ารถเสียจึงถามขึ้นว่า "รถเป็นอะไรหรือคุณ"
"ไม่เป็นอะไรหรอก ก็คุณไม่ชอบให้ขับเร็วก็เลยขับช้า ๆ" คนตอบ "ยวน" อย่างเห็นได้ชัด คนถามไม่พูดอะไรอีก นึกถึงคำของท่านพระครูที่ว่าเลิกทะเลาะได้แล้วจะรวย เธอจึงจำเป็นต้องนิ่ง มีใครบ้างที่ไม่อยากรวย
เห็นภรรยาไม่ต่อล้อต่อเถียง ครูมนตรีก็จะชักรำคาญตัวเอง จึงเร่งความเร็วขึ้น หากก็ไม่เร็วเหมือนที่เคยขับ ด้วยระลึกถึงคำเตือนของท่านพระครู
วันพระเป็นวันที่ท่านพระครูไม่รับนิมนต์ไปข้างนอก เนื่องจากผู้คนจำนวนมากจะพากันมาที่วัดด้วยจุดมุ่งหมายต่าง ๆ กัน บ้างมาเพื่อถวายของ อาจเป็นข้าวปลาอาหารหรือปัจจัย บ้างมาเพื่อสนทนาธรรม บ้างก็มาเพื่อธุรกิจการทำมาหากินและบ้างก็มาปรึกษาปัญหาชีวิต โดยเฉพาะเรื่องครอบครัว ซึ่งคนพวกหลังนี้ส่วนใหญ่จะมีอาการของ "โรคประสาท" ติดตัวมาด้วย พระบัวเฮียวให้สมญาคนเหล่านี้ว่า "พวกเอาปัญหามาให้พระ" และทั้งที่งานยุ่งจนแทบหาเวลาว่างมิได้ หากท่านพระครูก็เมตตาพวกเขา ท่านรับฟังทุกเรื่องทุกปัญหาตลอดจนช่วยแก้ไข ช่วยแนะนำไปเท่าที่จะช่วยได้
ผู้ที่รับคำแนะนำของท่านไปปฏิบัติตามก็สามารถแก้ปัญหาได้ ส่วนผู้ที่ไม่สันทัดเรื่องการปฏิบัติก็เปลี่ยนไปวัดอื่นที่เขาใช้วิธีการอื่นในการแก้ปัญหา เป็นต้นว่ารดน้ำมนต์ ปลุกเสกลงเลขลงยันต์ หรือแม้กระทั่งแจกเครื่องรางของขลัง
บรรดาคนเจ้าปัญหาทั้งหลายก็มีอันต้องเสียเงินเสียทองเป็นจำนวนมาก หากก็ไม่ได้ผลเพราะเป็นการแก้ที่ไม่ถูกวิธี ดังที่ท่านพระครูพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า "แก้ปัญหาไม่ถูกจุด เหมือนกินมังคุดไม่ถูกเม็ด"
"หลวงพ่อครับ เป็นพระไปรับฟังปัญหาทางโลกได้หรือครับ" พระบัวเฮียวถามเชิงติติง
"ทำไมจะไม่ได้เล่า เพราะมันก็เป็นธรรมะเหมือนกัน คำว่า "ธรรมะ" นั้นนอกจากจะหมายถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ยังหมายถึงธรรมชาติได้อีกด้วย เพราะสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนก็คือธรรมชาติ พระองค์ไม่ทรงสอนในสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมชาติ"
"แล้วธรรมชาติคืออะไรครับ คือ ผมอยากทราบความหมายที่ลึกซึ้งกว่าที่ได้ยินได้ฟังมา"
"ธรรมชาติก็คือ สิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัย และเสื่อมสลายไปตามเหตุปัจจัย คือเมื่อมีเหตุปัจจัยมาทำให้มันเกิดมันก็เกิดขึ้น เมื่อมีเหตุปัจจัยมาทำให้มันเสื่อมสลายมันก็เสื่อมสลายไป เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเป็นธรรมชาติทั้งสิ้น เพราะเกิดจากการปรุงแต่งของเหตุปัจจัย พระพุทธศาสนาไม่เชื่อว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุปัจจัย"
"อย่างเรื่องกรรมก็เป็นเรื่องธรรมชาติใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว ฉะนั้นคนที่ไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องผลของกรรม เขาก็ต้องถูกธรรมชาติลงโทษ เธอคงเห็นแล้วใช่หรือไม่ว่าทางโลกกับทางธรรมไม่ได้ขัดแย้งกันแต่ประการใด การที่เราจะให้คนเขาหันมาสนใจทางธรรม ก็ต้องช่วยเขาแก้ปัญหาทางโลกเสียก่อน เพราะถ้าจิตใจเขายังร้อนรนกระวนกระวาย เขาก็รับธรรมะไม่ได้
สมัยพุทธกาลเวลาที่พระพุทธองค์สั่งสอนเวไนยสัตว์ ก็ทรงช่วยแก้ปัญหาทางโลกให้เขาด้วย จึงไม่ใช่เรื่องผิดวิสัยแต่ประการใดที่พระช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน แต่ก็ต้องแก้ให้ถูกจุด ต้องให้ตัวเองอยู่เหนือปัญหา อย่าลดตัวเองลงไปพัวพันจนกลายเป็นเรื่องเสื่อมเสียขึ้น"
"คือช่วยได้แต่ต้องช่วยอย่างมีสติ ใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว สติมีความสำคัญมาก การฝึกสติให้รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอจึงจำเป็น จะเรียกว่าจำเป็นที่สุดก็ได้ พระพุทธองค์ตรัสสอนว่าธรรมมีอุปการะมากคือ สติสัมปชัญญะ"
"แต่การฝึกสติก็ทำยากมากนะครับหลวงพ่อ ยิ่งฝึกก็ยิ่งรู้ว่ามันยาก นี่ผมก็ฝึกมาจนเข้าเดือนที่สามแล้ว ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ก้าวหน้าสักเท่าไหร่"
"นั่นเธอรู้สึกไปเอง ที่จริงแล้วเธอก้าวหน้า ฉันรู้" ฟังถ้อยคำของผู้เป็นอาจารย์แล้ว พระบัวเฮียวรู้สึกมีกำลังใจขึ้นแต่ก็อดที่จะพูดออกมาจากความรู้สึกของตนมิได้ว่า
"ดูเหมือนว่าผมยิ่งฝึกกิเลสมันยิ่งเพิ่ม ดูท่าทางมันจะไม่ยอมหมดไปง่าย ๆ เลย"
"นั่นแหละฉันถึงบอกว่าเธอก้าวหน้า คนที่ไม่ฝึกเขาจะไม่รู้หรอกว่ากิเลสในตัวเขานั้นมีมากมายเพียงไร กิเลสมีทั้งอย่างหยาบและอย่างละเอียด ยิ่งละเอียดก็ยิ่งขจัดออกยาก กิเลสอย่างหยาบเป็นกิเลสทางกายกับวาจา อันนี้ใช้ศีลชำระล้างออกได้ แต่กิเลสอย่างละเอียดต้องใช้การฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดปัญญา เมื่อปัญญาเกิดขึ้นจึงจะสามารถขจัดกิเลสอย่างละเอียดซึ่งเป็นกิเลสทางใจออกไปได้ และการที่ปัญญาจะเกิดได้ก็ต้องให้จิตสงบเสียก่อน การฝึกสติก็เพื่อให้จิตสงบ ที่เรียกว่าการฝึกสมาธิ การปฏิบัติจึงต้องมีพร้อมทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา ที่เรียกว่าการฝึกอบรมแบบไตรสิกขา"
"กิเลสอย่างละเอียดนี่ขจัดยากจังนะครับ"
"เธอเคยร่อนแป้งไหมเล่า การร่อนแป้งนั้น ร่อนเท่าไหร่ก็ยังมีกากเหลืออยู่ ไม่ว่าจะใช้ตะแกรงถี่ขนาดไหน และจะร่อนสักกี่ครั้งก็ต้องมีกากเหลืออยู่ทุกครั้ง เพราะกากนั้นมันจะละเอียดขึ้น ๆ ตามจำนวนครั้งที่ร่อน การฝึกอบรมทางจิตก็เช่นกัน ยิ่งเราปฏิบัติละเอียดเท่าไหร่กิเลสมันก็ละเอียดตาม การกำจัดกิเลสให้หมดไปโดยสิ้นเชิงจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและต้องใช้ความเพียรสูง แต่ถึงจะยากสักเพียงใดก็ไม่พ้นความสามารถของมนุษย์ผู้มีความเพียรไปได้ ไม่เช่นนั้นก็คงมีมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก จริงไหม"
"จริงครับและที่วัดป่ามะม่วงก็มีพระอรหันต์แล้ว" พระบัวเฮียวตั้งใจ "หยั่งภูมิธรรม" ของผู้เป็นอาจารย์
"อย่าพูดล่ามป้ามไปมันไม่ดี แล้วเขาไม่เรียกว่า ออ-ระ-หัน ที่ถูกต้องออกเสียงว่า อะ-นะ-หัน จำไว้ ทีหลังจะได้ไม่เรียกผิด ๆ ให้ผู้รู้เขาติเตียนได้"
"ครับผม ถ้าอย่างนั้นผมขอกราบลากลับไปกุฏินะครับ"
"อ้าว จะรีบไปไหนล่ะ ยังไม่ทันมีเรื่องเลยจะกลับเสียแล้ว" ท่านพระครูพูดเย้า ๆ
"จะรีบไปร่อนแป้งครับผม" ลูกศิษย์ตอบแล้วก้มลงกราบสามครั้งจึงลุกออกไป..
วันพระนี้ก็เช่นเดียวกับวันพระอื่น ๆ เมื่อท่านพระครูลงมาจากกุฏิชั้นบน ก็พบผู้คนมากหน้านั่งรออยู่ที่กุฏิชั้นล่าง ทั้งที่เวลาขณะนั้นเพิ่งจะตีสี่ หน้าตาของแต่ละคนล้วนบ่งบอกว่ากำลังประสบปัญหาชีวิตอย่างหนัก หวังจะมาพึ่งท่านให้ช่วยขจัดปัดเป่า
นายสมชายซึ่งนอนอยู่กุฏิชั้นล่าง ต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่รับแขกแต่ดึกแต่ดื่น ที่สำคัญคือคอยจดจำว่าใครมาก่อนมาทีหลัง จะได้ไม่มีการลัดคิวกัน แขกบางคนก็นั่งตากน้ำค้างรอคิวตั้งแต่กุฏิยังไม่เปิด ต้องทนยุงทนหนาวเพราะอยากเข้าพบท่านก่อน
ข้างฝ่ายนายสมชายก็เป็นคนยุติธรรมไม่มีใครเหมือน เพราะไม่ยอมรับสินบาทคาดสินบนใด ๆ ใครมาก่อนก็จัดให้เข้าพบก่อน ท่านพระครูกำชับนักกำชับหนา ว่าให้จัดลำดับอย่างเที่ยงธรรม ไม่ว่าใครจะใหญ่โตมาจากไหน ยากดีมีจนอย่างไรก็ต้องเรียงตามลำดับก่อนหลังทั้งสิ้น
ท่านพระครูขอตัวไปลงอุโบสถเพื่อทำสังฆกรรมร่วมกับภิกษุรูปอื่น ๆ ซึ่งจะกินเวลาประมาณสองชั่วโมง และช่วงเวลานี้ท่านก็จะนำพระเณรปฏิบัติกรรมฐาน แล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เปตชน หรือที่เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า "พวกผี"
บรรดาเหล่านี้บ้างก็ท่องเที่ยวอยู่แถววัด คอยรับส่วนบุญส่วนกุศลจากผู้ที่อุทิศมาให้ บ้างก็มาจากที่ไกลโดยคำบอกเล่าของบรรดาเพื่อนผีด้วยกัน ท่านพระครูเคยเล่าให้พระบัวเฮียวฟังว่า พวกผีเหล่านี้ก็เหมือนคน เวลาไปรับประทานอาหารตามที่ต่าง ๆ ร้านไหนอร่อยก็จะบอกเพื่อนฝูงญาติมิตรให้ไปลองรับประทานบ้าง ผีก็เช่นกัน เมื่อพวกเขารู้ว่าที่วัดแห่งนี้มีคนมาทำบุญ และมีพระปฏิบัติกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ ก็จะพากันมาคอยรับพร้อมทั้งบอกต่อไปยังเพื่อนผีญาติผีของตน
การที่พวกผีเหล่านี้ต้องมาเร่ร่อนขอส่วนบุญจากมนุษย์ก็เพราะ พวกเขาไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ในสมัยที่ยังมีชีวิตก็ไม่เคยทำบุญทำทาน เมื่อตายลงจึงต้องมาเป็นเปรตคอยรับส่วนบุญจากผู้อื่น วันไหนไม่มีผู้อุทิศมาให้ก็ต้องทุกข์ทรมานเพราะความหิวโหย แต่เปตชนเหล่านี้ก็ยังดีกว่าพวกสัตว์นรก เพราะพวกหลังนี้นอกจากจะอดอยากหิวโหยแล้ว ยังถูกลงโทษทัณฑ์ด้วยวิธีต่าง ๆ ตามกรรมที่เขาได้ทำมาอีกด้วย
เสร็จจาก "โปรดผี" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็เดินกลับมายังกุฏิเพื่อ "โปรดคน" ต่อ พระบัวเฮียวเดินตามมาสังเกตการณ์เช่นทุกครั้ง ด้วยเป็นความประสงค์ของท่านพระครูที่ต้องการให้พระใหม่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
เมื่อนั่งที่อาสนะประจำของท่านแล้ว นายสมชายจึงบอกให้ชายวัยหกสิบเศษคลานเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อจะได้ไม่พูดข้ามศีรษะผู้อื่น บุรุษหนั้นคลานเข้าไปในระยะหัตถบาส กราบสามครั้ง แล้วนิ่งอยู่
"มีเรื่องอะไรว่าไปเลยโยม" ท่านกล่าวอนุญาต
"ครับหลวงพ่อ ผมมานั่งรอตั้งแต่ตีสอง นั่งอยู่นอกกุฏิ ผมชื่อบุญช่วยครับ" เขารายงานเหมือนจะประกาศว่า "ไม่ได้แซงคิวใคร"
"งั้นหรือ เอาละ จะให้อาตมาช่วยอะไรก็ว่ามา" หากเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความลับ ท่านจะพูดด้วยเสียงปกติ ยกเว้นเรื่องที่เจ้าตัวไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ ท่านก็จะพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันเพียงสองคน
"คือแม่ผมน่ะซีครับหลวงพ่อ"
"แม่โยมเป็นอะไร" ท่านถามเมื่อบุรุษนั้นไม่ยอมพูดต่อ
"เป็นผู้หญิงครับ แล้วก็เป็นเมียพ่อ" บุรุษผู้มีนามว่าบุญช่วยตอบซื่อ ๆ แต่ทุกคนที่นั่งฟังอยู่พากันคิดว่าเขาแกล้งพูดถ่วงเวลาคนอื่น
"อ้อ ที่มานั่งรอตั้งแต่ตีสองก็เพื่อจะมาบอกแค่นี้เองหรือ"
"มีอีกครับหลวงพ่อ ยังมีอีก" นายบุญช่วยรีบบอกเพราะกลัวถูก "ตัดคิว"
"คือแม่ผมแกกลัวตายครับหลวงพ่อ"
"อายุเท่าไหร่ล่ะ"
"ผมหรือครับ หกสิบห้าครับ"
"ไม่ใช่ อาตมาหมายถึงแม่โยมต่างหาก"
"แม่แปดสิบห้าครับ หลวงพ่อช่วยแกหน่อยเถิดครับ แกไม่อยากตาย รบเร้าให้ผมมาขอคาถาหลวงพ่อ แกว่าหลวงพ่อมีคาถากันตาย" ลูก "ยอดกตัญญู" รายงาน
"อ๋อ เรื่องแค่นี้เอง นึกว่าจะมาเรื่องอะไร ไม่ยากหรอกโยม เรื่องง่าย ๆ เดี๋ยวอาตมาจะบอกคาถาให้" ผู้ที่นั่ง ณ ที่นั้นพลอยตื่นเต้นไปด้วย ต่างพากันเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
"กลับไปบอกแม่นะโยมนะ คาถากันตายมีอยู่สองข้อคือ หนึ่งหายใจเข้าไว้ สองกินข้าวเข้าไว้ ปฏิบัติได้สองข้อนี้รับรองว่าไม่ตาย ที่เขาตาย ๆ กัน เพราะไม่ยอมหายใจ ไม่ยอมกินข้าว" คำตอบท่านพระครูทำให้คนอื่น ๆ หัวเราะ ยกเว้นบุรุษเจ้าของเรื่อง เขารีบกราบท่านพระครูสามครั้งแล้วเอ่ยลา
"ขอบคุณหลวงพ่อมากครับ ผมขอลา"
"จะรีบไปไหนเล่าโยม"
"จะรีบไปบอกแม่ครับ แกคงดีใจที่ได้คาถา"
"เดี๋ยวก่อน อาตมายังไม่ได้บอกเคล็ดลับ ยังมีเคล็ดลับอีก อาตมาจะบอกให้ คือเราต้องไม่กลัวตาย ต้องกล้าเผชิญกับมัน คนที่กลัวตาย อาตมาเห็นตายทุกที"
"ถ้าไม่กลัวแล้วไม่ตายใช่ไหมคะหลวงพ่อ" สตรีผู้หนึ่งเอ่ยถาม
"กลัวหรือไม่กลัวมันก็ต้องตายทุกคนนั่นแหละ แต่เท่าที่อาตมาสังเกตดู คนที่กลัวตายมักตายเร็ว คนไม่กลัวจะตายช้า ฉะนั้นจงอย่ากลัวตาย แต่จงมีสติรู้เท่าทันชีวิตว่ามันไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุปัจจัย เมื่อเรามีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเราก็จะทำดี พูดดี คิดดี ทำได้อย่างนี้เราก็จะไม่กลัวตาย เพราะเรารู้ว่าจะไม่ไปทุคติ คนที่เขากลัวตายก็เพราะกลัวจะไปไม่ดี เช่นไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น โยมพอจะเข้าใจที่อาตมาพูดไหม"
"เข้าใจครับ" นายบุญช่วยตอบ
"เข้าใจว่ายังไง ไหนลองบอกมาซิว่าจะไปบอกแม่ว่ายังไง" ท่านถือโอกาสซักซ้อมความเข้าใจ เพราะมีคนที่อยู่ในประเภท "ฟังไม่ได้ศัพท์จับเอาไปกระเดียด" ท่านพูดอย่างหนึ่ง เขาเอาไปพูดอีกอย่างแล้วอ้างว่าท่านพูด ทำให้เข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนกันไปยกใหญ่ เหตุนี้ท่านจึงต้อง "ตรวจสอบ" เพื่อความถูกต้องชัดเจน
"เข้าใจว่าให้หายใจเข้าไว้กับกินข้าวเข้าไว้แล้วจะไม่ตาย ส่วนเคล็ดลับก็คือต้องไม่กลัวตาย หลวงพ่อให้ผมไปบอกแม่อย่างนี้ครับ" บุรุษสูงวัยตอบตามระดับสติปัญญาของตน "เครื่องรับ" ในตัวเขารับได้เท่านี้
"อ้อ อาตมาพูดว่ายังงั้นหรือ โยมแน่ใจนะ"
"แน่ใจครับ" เขายืนยัน
"งั้นก็ให้พระบัวเฮียวเป็นพยานก็แล้วกัน พระบัวเฮียว อาตมาพูดอย่างที่โยมคนนี้บอกหรือเปล่า" ต่อหน้าคนอื่นที่ไม่คุ้นเคยกัน ท่านเรียกพระบวชใหม่ว่า "พระบัวเฮียว" และแทนตัวท่านว่า "อาตมา"
"ไม่ใช่ครับ หลวงพ่อพูดว่าอย่างนี้" พระบัวเฮียวอธิบายจนบุรุษนั้นเข้าใจถูกต้องเป็นอันดี ท่านพระครูจึงอนุญาตให้เขากลับไปได้ ต่อจากนั้นก็เป็นรอบของสตรีวัยห้าสิบ
"หลวงพ่อจ๊ะฉันอยากตาย" เป็นเป็นประโยคแรกที่นางเอื้อยเอ่ย
"อยากตายหรือ งั้นก็ตามโยมผู้ชายคนเมื่อกี้ไปซี"
"ตามไปทำไมจ๊ะ" ถามงง ๆ
"อ้าว ก็จะได้ไปหาแม่เขาน่ะซี ไปแลกกันซะจะได้หมดเรื่อง เมื่อแม่เขาไม่อยากตาย ส่วนโยมอยากตาย ก็ควรจะแลกกันเสีย จะได้สมใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายไงล่ะ"
"แหมหลวงพ่อ ถ้ามันทำยังงั้นได้ก็ดีน่ะซี" นางว่า
"ก็ทำไมจะไม่ได้เล่า อาตมาถึงได้แนะนำไง หลวงพ่อเจริญไม่เคยแนะนำในสิ่งที่ไม่ดี" ท่านใช้มุขตลกเพื่อให้บรรดาผู้แบกทุกข์ทั้งหลายได้ผ่อนคลาย
"แต่ฉันอยากตายโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนกะใคร" หญิงนั้นยืนกราน
"อยากตายแน่หรือ" คราวนี้ท่านถามจริงจัง
"จ้ะ" ตอบเสียงอ่อย
"งั้นก็เชิญตายได้ตามสบาย วัดนี้มีพร้อม ทั้งเมรุเผาศพ ทั้งพระสวดมาติกา ถ่านไม่มีก็ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวให้สมชายไปสั่งที่ตลาดก็ได้ ว่าแต่ว่าโยมจะเอาโลงแบบไหน เอาไม้ฉำฉาหรือไม้จำปา" เห็นท่าทางท่านเอาจริงเอาจัง หญิงนั้นก็ใจฝ่อ อยากจะเปลี่ยนใจแต่ก็อายคนอื่น จึงฝืนตอบไปว่า
"แล้วแต่หลวงพ่อจะเมตตาเถิดจ้ะ ไม่อะไรก็ได้"
"แล้วแต่อาตมาไม่ได้ซี ก็อาตมาไม่ได้เป็นคนตายนี่"
"งั้นโลงจำปาก็ได้จ้ะ" สตรีวัยห้าสิบตอบเสียงเบาลงทุกที เหงื่อกาฬแตกซิก ๆ เพราะกลัวตาย
"เอาละ สมชายมานี่ซิ ช่วยไปนิมนต์พระให้สิบรูปสำหรับสวดมาติกา แล้วไปสั่งถ่านที่ตลาดให้ห้ากระสอบ" ท่านหันมามองหญิงนั้นแล้วพูดว่า "ผอม ๆ อย่างโยมห้ากระสอบก็ไหม้หมดไม่มีเหลือ" คนแบบทุกข์มีท่าทางลังเล พูดเสียงอ่อย ๆ ว่า
"หลวงพ่อฉันกลัวร้อน เอาถ่านมาเผาฉัน ฉันก็ร้อนแย่น่ะซี"
"อ้าว ก็ในเมื่อโยมตายก็ต้องเผา จะให้ปล่อยเหม็นคลุ้งอยู่ในวัดได้ยังไง"
"งั้นฉันไม่ตายก็ได้" นางถือโอกาสเปลี่ยนใจ
"เอาให้แน่ ๆ จะตายหรือไม่ตาย อาตมาจะได้จัดการให้ตามประสงค์ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อาตมาก็ทำอะไรไม่ถูกน่ะซี" หญิงนั้นคิดว่าท่านดุจึงร้องไห้โฮออกมา รำพึงรำพันว่า "ฉันกลุ้มใจจ้ะหลวงพ่อ ฉันอยากตาย แต่ก็ไม่อยากตาย ฮือ ๆ" นางพิร่ำพิไรรำพัน ทุกคน ณ ที่นั้นพากันสมเพช เรื่องของคนอื่นดูช่างน่าสมเพช หลงลืมไปว่าบางทีเรื่องของตัวเองนั้นน่าสมเพชเสียยิ่งกว่า
"ตั้งสติให้ดี ๆ โยม หยุดร้องไห้เสีย แล้วเล่าไปว่าโยมกลุ้มใจเรื่องอะไร ถ้าเอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น อาตมาจะรู้ได้ยังไง" นั้นแหละนางจึงหยุดร้องไห้ ใช้มือปาดน้ำตาแล้วเช็ดมือกับผ้านุ่ง จากนั้นจึงเริ่มต้นเล่าถึงเหตุแห่งความทุกข์โศกต่าง ๆ จับใจความได้ว่า สามีลักลอบได้เสียกับคนใช้ในบ้าน เมื่อนางไล่คนใช้ออก สามีก็ไปเช่าแฟลตอยู่กับคนใช้ ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง
"หลวงพ่อคะ ทำไมพวกผู้ชายถึงชอบยุ่งกับคนใช้คะ" สตรีอายุประมาณสามสิบถามขึ้น หล่อนก็ประสบปัญหาอย่างเดียวกัน ท่านพระครูเห็น "เข้าเค้า" จึงใช้ "เห็นหนอ" สำรวจดูว่าผู้คนที่นั่งอยู่ต่อหน้าท่านนี้ มีใครบ้างที่มาด้วยปัญหาอย่างเดียวกัน จะได้ตอบให้เสร็จ ๆ ไปเป็นชุด ๆ เพื่อประหยัดเวลา แล้ว "เห็นหนอ" ก็รายงานว่าหกรายที่ประสบปัญหาเรื่องผัวมีเมียน้อย ในหกรายมีอยู่สี่รายที่เมียน้อยเป็นคนใช้ ส่วนปัญหาเรื่องเมียมีชู้มีอยู่สองราย ทั้งแปดรายนี้สามารถใช้วิธีเดียวกันได้ในการแก้ปัญหา
"หลวงพ่อยังไม่ตอบหนูเลยว่า ทำไมผู้ชายถึงชอบยุ่งกับพวกคนใช้" สตรีวัยสามสิบทวงคำตอบ
"เอ อันนี้อาตมาก็ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะอาตมาก็ยังไม่เคยยุ่งกับคนใช้" คำตอบของท่านเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในที่นั้น รวมทั้งคนถามด้วย
"แต่หลวงพ่อน่าจะตอบได้เพราะหลวงพ่อเป็นผู้ชาย" คนถามไม่ยอมแพ้
"หนูตอบเองค่ะ" หนึ่งในสี่ที่สามีมีเมียน้อยเป็นคนใช้ขันอาสา เสียงที่ตอบเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นเคือง "เพราะคนพวกนี้รสนิยมต่ำ ชอบของต่ำ ชอบกินของเน่าเหม็น จิตใจสกปรกต่ำทราม" หล่อนหันไปทางพวกผู้ชาย ล้อมรั้วป้องกันตัวเองเสร็จสรรพด้วยการกล่าวว่า
"ขอโทษบรรดาสุภาพบุรุษที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ถ้าท่านไม่ได้เอาคนใช้ทำเมียก็อย่าได้ร้อนตัว" มนุษย์เพศชายก็เลยต้องนั่งนิ่งทั้งที่ใจอยากจะฉีกเนื้อหญิงปากกล้าคนนั้น
"หลวงพ่อคะ สามีหนูชอบดูรูปโป๊" สาววัยยี่สิบเศษถือโอกาส "ลัดคิว" ก็ทีคนอื่น ๆ ยังทำได้
"เขาสะสมรูปโป๊ไว้ในลิ้นชักหัวเตียง เป็นรูปอุจาดลามกทั้งนั้น ดูไม่ได้เลยค่ะ"
"แล้วหนูไปดูทำไมจ๊ะ" ท่านถามยิ้ม ๆ
"ก็มันเห็นน่ะค่ะ" หล่อนแก้ตัว
"เขาวางให้หนูเป็นงั้นหรือ ไม่ใช่เขาอุตส่าห์ซ่อนไว้แล้วหนูไปค้นจนเจอนะ" สตรีนั้นยิ้มแหย ๆ เพราะจริงดังที่ท่านว่า
"แบบนี้เป็นโรคจิตหรือเปล่าคะ อายุก็มากแล้ว ยังจะสัปดน ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นอ่านหนังสือธรรมะ สะสมหนังสือธรรมะไว้เต็มตู้ แต่หลังฉากแอบอ่านหนังสือโป๊ สมสมรูปโป๊ แถมเอาไว้บนหัวนอนอีกด้วย แบบนี้ต้องเป็นโรคจิตใช่ไหมคะ"
"หลวงพ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าหนูน่ะหึงแม้กระทั่งรูปโป๊" เสียงหัวเราะดังขึ้นอีก แต่หญิงสาวกลับทำหน้าบูดบึ้ง หล่อนต้องการมาเอาคำตอบเรื่องนี้ แต่ท่านพระครูกลับเห็นเป็นเรื่องตลก หญิงสาวแน่ใจว่า สามีต้องเป็นโรคกามวิปริต หรือไม่ก็จิตวิปลาส จะอะไรก็แล้วแต่ หล่อนได้เก็บภาพและหนังสือลามกเหล่านั้นเผาเป็นจุณไปแล้ว ไม่ต้องการเก็บไว้ให้เป็นอัปมงคลแก่บ้านเรือน
"เอาละ ฟังทางนี้ วิธีแก้ปัญหาเรื่องสามีนอกใจหรือภรรยานอกใจนั้นไม่ยากอะไรเลย ประเดี๋ยวอาตมาจะบอกวิธีให้ แต่ต้องทำให้ได้นะ ถ้าทำไม่ได้ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องมีความอดทน มีความเพียรไม่ท้อถอย เคยมีคุณหญิงคนหนึ่งมาขอให้อาตมาช่วยแบบเดียวกันนี้ อาตมาก็แนะแนวทางให้ เขาก็ไม่ยอมทำตาม เลยไม่สำเร็จ"
"แล้วคนที่ทำตามจะสำเร็จทุกคนไหมคะ"
"สำเร็จแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ อาตมาวิจัยมาแล้ว น่าเสียดายที่คุณหญิงเขาไม่เชื่ออาตมา อุตส่าห์ดั้นด้นมาหา พอบอกให้ กลับไม่ทำตาม สามีเขาเป็นรัฐมนตรีแต่ไปหลงรักคนใช้ถึงกับปลูกบ้านปลูกช่องให้อยู่ คุณหญิงก็เอาแต่ด่า สามีเลยไปอยู่กับคนใช้เสียเลย เวลาคนเขาจะมาติดต่อราชการเขาก็ไปหาที่บ้านคนใช้ คุณหญิงก็โกรธใหญ่ นี่มานั่งด่าตรงนี้" ท่านชี้ไปที่ที่สตรีวัยห้าสิบนั่งอยู่
"ด่าใครคะ"
"ด่ารัฐมนตรีกับคนใช้"
"แล้วคนถูกด่าเขาได้ยินไหมคะ"
"จะได้ยินอะไร โน่นเขาอยู่กรุงเทพฯ กันโน่น คนที่ได้ยินก็คืออาตมา แหม เขาด่าฉอด ๆ ใครไม่รู้ก็นึกว่าด่าอาตมา" ท่านพูดแล้วก็หัวเราะหึหึ
"งั้นหลวงพ่อบอกวิธีแก้ปัญหาเถอะค่ะ หนูจะได้นำไปปฏิบัติ" สตรีวัยสามสิบเร่งเร้า
"วิธีง่าย ๆ คืออย่าไปโกรธ ห้ามโกรธ ห้ามผูกพยาบาท แต่ให้แผ่เมตตาให้เขาทั้งสองคน ขอให้เขาครองรักครองสุขกันอย่างราบรื่น อย่าไปด่าไปแช่งเป็นอันขาด"
"โอ๊ย หนูทำไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าแช่งละก็พอทำได้" คนอายุสามสิบท้วงขึ้น
"แช่งไม่ได้ซี แช่งก็ไม่สำเร็จ ถ้าเราอยากให้เขากลับมาหาเรา อยากให้เลิกกับทางโน้น เราต้องทำให้ได้ มันอาจจะฝืนใจตอนแรก ๆ แต่พอทำไป ๆ ก็ชิน เมื่อชินเสียแล้วก็ไม่ต้องฝืนใจ คนเขาทำสำเร็จมาเป็นสิบ ๆ รายแล้ว นี่อาตมาบันทึกไว้หมด"
"แล้วคนที่ไม่สำเร็จมีไหมคะ"
"ก็อย่างที่บอก ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่สำเร็จ อย่างเช่นคุณหญิงเป็นต้น ถ้าทำได้รับรองสำเร็จทุกราย"
"ค่ะ ถ้าอย่างนั้นนิมนต์หลวงพ่อพูดต่อเถอะค่ะ"
"ก่อนแผ่เมตตาก็ต้องไหว้พระสวดมนต์เสียก่อน ให้สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ อย่างละจบ หลังจากนั้นจึงสวดพุทธคุณอย่างเดียว สวดเท่าอายุบวกหนึ่ง เช่นโยมอายุสามสิบ ก็สวดสามสิบเอ็ดรอบ"
"งั้นฉันก็ต้องสวดถึงห้าสิบเอ็ดรอบซีจ๊ะ" สตรีวัยห้าสิบพูดขึ้น
"ก็ไม่ยากอะไรนี่โยม ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง"
"แล้วนานไหมคะถึงจะได้ผล" คนอายุสามสิบถามอีก
"เท่าที่อาตมาบันทึกไว้ อย่างเร็วก็หนึ่งเดือน อย่างช้าก็สามเดือน ขึ้นอยู่กับว่าใครมีสมาธิมากน้อยกว่ากัน อย่างคนหนึ่งเขามาเล่าให้อาตมาฟัง เขาบอกแรก ๆ เขาแผ่เมตตาไม่ได้ มันแผ่ไม่ออก พอนึกว่าเขาทำให้ตัวเจ็บช้ำ แทนที่จะบอกให้เขาเป็นสุข ๆ เถิด กลับแช่งให้เขาประสบความพินาศฉิบหาย แต่หลัง ๆ เขาก็ทำได้ รายนี้สามเดือนถึงสำเร็จ" เมื่อท่านบอกวิธีการแก้ปัญหาจบลง ปรากฏว่ามีผู้กราบแล้วคลานออกไปแปดราย เป็นสตรีหก บุรุษสอง
"หลวงพ่อครับ แม่อีหนูหนีไปอีกแล้วครับ" "เจ้าทุกข์" รายที่สามเข้าร้องเรียน เป็นชายวัยกลางคน หน้าตาซูบซีดหมองคล้ำ
พระบัวเฮียวซึ่งนั่งสังเกตการณ์อยู่ รู้สึกสงสารท่านพระครูที่ต้องรับฟังเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้คนทุกชั้นวรรณะ และปัญหาแต่ละคนก็มีต่าง ๆ กันออกไปชนิดที่เรียกได้ว่า "สารพันปัญหา" หากเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็มิได้แสดงอาการท้อแท้เหนื่อยหน่าย คงให้ความเมตตาช่วยเหลือและรับฟังปัญหาของพวกเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ทั้งที่บางปัญหาดูไร้สาระนายตาของพระบัวเฮียว
"หนีอีกแล้วหรือ โยมไปทำอะไรเขาล่ะ" ท่านแกล้งถาม "เห็นหนอ" รายงานว่าชายผู้นี้เมาเหล้าแล้วอาละวาด เตะเมียจนตกบ้าน
"ก็ลงไม้ลงมือไปนิดหน่อยเองครับ" ตอบไม่ตรงนัก ครั้นจะโกหกก็ไม่กล้า เพราะรู้ว่าท่านตรวจสอบได้ เห็นเขาว่าท่าน "ตาทิพย์"
อ้อ ขนาดเตะตกบ้านนั่นนิดหน่อยหรือ ถ้ามีคนเขามาเตะโยมตกบ้านมันนิดหน่อยหรือเปล่าล่ะ"
"ผมผิดไปแล้วครับหลวงพ่อ" เขาก้มหน้าสารภาพ
"โยมพูดมายังงี้กี่ครั้งแล้ว ก่อนทำทำไมไม่คิด วันก่อนก็เอาส้อมเขวี้ยงใส่หน้าเขาใช่ไหมล่ะ" ชายนั้นก้มหน้านิ่ง ไม่ยอมตอบ ท่านพระครูจึงถือโอกาสสั่งสอนอีกว่า
"ถ้าวันนั้นเขาหลบไม่ทัน รับรองตาบอด อยากมีเมียตาบอดใช่ไหม"
"ไม่อยากครับ"
"ไม่อยากก็อย่าทำอีก"
"แล้วเมื่อไหร่เขาจะกลับครับหลวงพ่อ" ถามด้วยอยากรู้คำตอบ หลวงพ่อท่านมีวาจาสิทธิ์ ถ้าท่านบอกสามวันก็สามวัน เจ็ดวันก็เจ็ดวัน ไม่เคยผิดพลาดสักครั้งเดียว
"เขาไม่กลับแล้ว ถ้าโยมไม่เลิกเหล้าเขาไม่กลับแน่ แต่ถ้าเลิกเหล้าได้ อีกเดือนนึงเขาจะกลับ"
"ตั้งเดือนเชียวหรือครับ"
"ใช่ แต่หมายความว่าโยมต้องเลิกเหล้าได้นะ ก็เลือกเอาแล้วกันว่า เหล้ากับเมียจะเลือกใคร" บุรุษนั้นทำท่าลังเล ใจหนึ่งอยากเลือกเหล้า อีกใจก็อยากเลือกเมียเพราะขี้เกียจเลี้ยงลูกแต่ผู้เดียว มีลูกตั้งห้าคนยังเล็ก ๆ ทั้งนั้น คนหัวปีเพิ่งจะแปดขวบ คนเล็กยังไม่เต็มขวบดี ถ้าเมียไม่กลับเขาคงต้องตายเป็นแน่แท้ ในที่สุดจึงบอกกับท่านพระครูว่า
"หลวงพ่อครับ ผมจะเลิกเหล้า ผมเลี้ยงลูกคนเดียวไม่ไหว"
"ดีแล้ว ต้องมีสัจจะนา เสียสัจจะเมื่อไหร่โยมต้องตาย มีตัวอย่างมากมาย โยมเคยได้ยินบ้างไหม"
"เคยครับ ทิดจาบเพื่อนบ้านผมก็ตายมาแล้ว หลวงพ่อจำได้ไหมครับ"
"จำได้สิ ก็คนนี้แหละที่มาบอกว่าจะเลิกเหล้า เลิกไปได้ปีเดียวก็กลับมากินอีก กินวันนั้นก็ตายวันนั้น เรื่องสัจจะนี่สำคัญมาก จำไว้นะ"
"ครับหลวงพ่อ ผมจะจำไปจนตายเลย ผมกราบลาละครับ"..




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ



ขอเชิญร่วม บูรณะวิหาร ปูกระเบื้องรอบวิหาร วัดปากบ่อ
โทร 088 4913464


เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างวิมานทองบนยอดภูเขาพระจุฬามณีเจดีย์ อานิสงค์บุญใหญ่
088-815-0266

บุญด่วน ร่วมหล่อพระประธานปู่..และทอดผ้าป่าสร้างอุโบสถ วัดโมกข์ สมุทรปราการ 27 พค นี้เวลา 18.19 น.


________________________________________
พิธีเททองหล่อพระประธานและยกช่อฟ้าอุโบสถ วัดถ้ำเขาน้อย อ.กุยบุรี ประจวบ วันเสาร์ ที่ 16 มิถุนายน 2555

เชิญร่วมบุญพิมพ์หนังสือทำวัตรสวดมนต์แปล(213หน้า)วัดบ่อกรุ จ.สุพรรณบุรี
08-2685-5608

เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างศาลาหอโภชนา จังหวัดอุตรดิตถ์สำนักสงฆ์พลอยสังวรณ์นิรันดร์ ต.ป่าคาย อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ (สาขาวัดนาหลวง)
ชื่อบัญชี พระอาจารย์ศักดิ์ดา ปัญญาวัฒฑโก
ธนาคารกรุงเทพฯ (บัญชีออมทรัพย์)
เลขที่บัญชี 2934437944


ขอเชิญร่วมบูรณะฐานพระประธานอายุร่วม100ปี
ติดต่อได้ที่ พระอธิการสุรพงษ์ ฐิตธมฺโม เจ้าอาวาสวัดศรีสะอาดโพธิชัย
ได้ที่ 083-7999078



ร่วมสมทบทุนก่อสร้างอาคารโมลีปริยัตยากร วัดโมลีโลกยาราม กทม.
089-660-1464


ขอเชิญร่วมส่งแผ่นทองเข้าร่วมงานพิธีเททองหล่อ "พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ฐานชินราช"
คุณ พี-พิม
105 หมู่ที่ 4 หมู่บ้านเพชรสุวรรณ ตำบลดอนทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 65000

กรุณาจัดส่งไม่เกินวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 เนื่องจากวันงานพิธีวันที่ 4 มิถุนายน 2555 เวลา 18.39 น.



(ด่วน)หาเจ้าภาพดวงพระเนตร,ป้ายบูชา และ สีทาองค์พระพุทธรูป หน้าตัก 4 ศอก ณ.วัดวังขอน
085-361-4989<O </O


ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญสร้างพระเมรุ
และพระประธาน ปางโปรดพญาชมพูบดี
หน้าตัก ๗ เมตร ณ วัดราษฎรสีสุก บ้านสีสุก หมู่ ๒ ตำบลกกกุง อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด ในวันอาสาฬบูชา ที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิกา



บุญด่วน!!ร่วมเป็นเ้จ้าภาพแท่นเหล็ก บายศรี ประดิษฐานองค์พระ/รอยพระุพุทธบาท งานวิสาข
โทร ๐๘๖-๘๐๓๒๐๐๑


เชิญร่วมทำบุญทอดผ้าป่า สร้างกำแพงวัดพระธาตุหมื่นครื้น วัดเก่าเกือบ 2 พันปีของจ.ลำปาง
08-5355-5915


งานกฐินสมทบทุนร่วมสร้างพระอุโบสถศิริเชียงทองและสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๗ ศอก
084-411-8852


วันวิสาขบูชา 3-5 มิถุนายน 2555 เชิญร่วมปฏิบัติธรรมที่วัดวังบัวบาน จ.เพชรบูรณ์

ขอเชิญร่วมบุญ อุปสมบทหมู่ 21-23 ก.ค. 55 ณ วัดป้อมแก้ว สมุทรสงคราม



ขอเชิญกราบสักการะขอพร ลงของ จารของกับ พ่อท่านห้อง ธัมมวโรเจ้าสำนักเขาอ้อ จ.พัทลุง

ร่วมทำบุญซื้อดิน เพื่อปรับถมที่วัดโพธิ์คอย ร่วมกับพระครูสิริจันทสาร (หลวงพ่อปริ่ง)
081-009-9180


ขอเชิญร่วมมหาบุญที่ยิ่งใหญ่จัดซื้อเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าของกล้ามเนื้อหัวใจ
การบริจาค นั้น มีการประสานงานและมอบผ่านคุณฝน หัวหน้าพยาบาล โรงพยาบาลสงห์ ในวันที่มีปัจจัยครบ สอบถาม 090-154-9909


จาริกแสวงบุญอินเดีย-เนปาล ต.ค.55 โดยเสด็จพระกุศลในสมเด็จพระสังฆราช
ติดต่อสอบถาม/สำรองที่นั่งที่
คุณเก้า 0875881929 (กรุงเทพฯ)
คุณก้อย 0897451545 (เพชรบุรี)


ขอเชิญทัวร์ ทำบุญ 4 วัน ติดต่อคุณภสุ หมายเลข 0899256990 ค่าเดินทางท่านละ 7,500 บาท รวมค่าอาหารที่พักและปัจจัยร่วมทำบุญหมดแล้ว

ด่วนมากๆ..ขอรับบริจาคเสื้อยืดสีขาวสกรีนพุทธชยันตีแจกผู้ปฏิบัติธรรม
โทร. ๐๘๙-๘๕๒๓๔๙๘


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถวายประทีป ดวงละ ๒ บาท จุดถวายเป็นพุทธบูชา ๒,๖๐๐ ปี
๘๓-๑๑๔๓๖๘๑

ร่วมเป็นเจ้าภาพถวายเก้าอี้ตัวละ250บ.เหลือ498 ตัว
โทร086-8032001


เนื่องในวันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน เป็นวันคล้ายวันเกิดท่านพ่อมนัส จึงขอแจ้งกำหนดการร่วมทำบุุุญเนื่องในวันเกิดของพ่อท่านให้แก่ศิษย์ยานุุศิษย์และผูู้มีจิตรศรัทธาท่านพ่อทั้งใกล้และไกล


ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานฉลอง
สัญญาบัตร-พัดยศพระครูวิลาศกาญจนธรรม
http://www.watthakhanun.com/webboard/sh ... php?t=3350



เชิญร่วมงานสวดภาณยักษ์ใหญ่ ณ. วัดสมรโกฎิ
โทร. 085 285—3136


ขอเชิญร่วมงานผูกพันธสีมาปิดทองฝังลูกนิมิต เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555
โทร.054 556---140


กองทุนเพื่อการบริจาคโลหิต
ชื่อบัญชี " กองทุนเรื่องเล่าเช้านี้เพื่อการบริจาคโลหิต "
ธนาคารกรุงเทพ สาขาอาคารมาลีนนท์ ประเภทบัญชีกระแสรายวัน
เลขที่บัญชี " 014-3-00599-9 "
ทำรายการผ่านตู้ของธนาคารกรุงเทพ ไม่มีค่าธรรมเนียมในการโอน เงินทุกบาท จะเข้ากองทุนทั้งหมด


ขอรับบริจาคชุดนักเรียนมือสองแด่น้องนักเรียนที่ขาดแคลนชุดนักเรียน
โทร. ๐๘๙-๘๕๒๓๔๙๘


ร่วมทำบุญบ้านเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน ทั้งตาบอดหูหนวก และปัญญาอ่อน
________________________________________
Tel. 0-2510-4895


ประกาษขอรับบริจากถังอ๊อกซิเจน 1 ถัง (ถังเล็ก) ...085-833-0239


นพเก้าจากยอดพระปรางค์พิษณุโลกมอบให้คนช่วยค่าทำฟันปลอมพระและคนไร้ที่พึ่ง
082-6745-110


ร่วมกันช่วยเหลือผู้อยากไร้
บัญชีกองทุนอาทรประชานาถ ธนาคารกรุงเทพ สาขาลพบุรี เลขที่ 289 - 0 - 84697 - 1 ธนาคารทหารไทย สาขาลพบุรี เลขที่ 304 - 2 - 41277 - 9 ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลพบุรี เลขที่ 579 - 2 - 33730 - 7 ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนสุรสงคราม เลขที่ 174 - 2 - 39000 - 0 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาลพบุรี ธนาคาร เลขที่ 111 - 1 - 47300 - 7 ธนาคารนครหลวงไทย สาขาลพบุรี เลขที่ 340 - 2 - 14976 - 0

เรียนกสิณกรรมฐานและโหราศาสตร์ ฟรี
http://www.srisuwankhomkhum.com/


ขอเชิญร่วมบุญไถ่ชีวิตสัตว์ ปลา เต่า หอย เสริมดวง เสริมชะตาชีวิต (12ส.ค.2555)
โทร 0860152130



ร่วมสร้างอาคารโรงพยาบาลสูง ๑๐ ชั้น จังหวัดชัยภูมิ ร่วมกับ หลวงพ่อสายทอง เตชะธัมโม 0806105652


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2012, 09:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


.. อนุโมทนาแล้วๆๆ..

:b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณนายดวงสุดาคลานตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยเข้ามาหาท่านพระครู ตามด้วยเถ้าแก่เส็งและคุณกิมง้อ ผู้เป็นบิดาและมารดา คนทั้งสามก้มกราบท่านสามครั้ง แล้วหันไปกราบพระบัวเฮียว ซึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นทางเบื้องขวาของพระอุปัชฌาย์
"ผมเห็นจะต้องกลับกุฏิละครับ เพราะหลวงพ่อมีแขก" พระหนุ่มออกตัว ใจนั้นอยากอยู่ฟังเขาคุยกัน หากก็เกรงจะเสียมารยาท
"อยู่ก่อนก็ได้นี่นา จะรีบไปไหนเล่า" เจ้าของกุฏิพูดอย่างรู้ใจ หันไปถามอาคันตุกะว่า "คงไม่ใช่เรื่องลับใช่ไหม พระบัวเฮียวคงร่วมฟังได้นะ"
"ไม่ลับค่ะหลวงพ่อ หนูอยากให้คนมาฟังเยอะ ๆ ด้วยซ้ำ จะได้ช่วยกันเป็นพยาน" คุณนายดวงสุดาตอบ
"งั้นหรือ แล้วจะให้เกณฑ์คนมาหมดวัดเลยไหม คุณนานจะเอายังงั้นไหม" ท่านถามยิ้ม ๆ
"ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ค่ะหลวงพ่อ ประเดี๋ยวหนูเขินก็เลยเล่าไม่ออกกันพอดี" คนน้ำหนักเกินพิกัดตอบ
"อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็เล่าได้เลย รู้สึกพระบัวเฮียวอยากจะฟังจนเนื้อเต้นแล้วละมัง" ท่านเย้าลูกศิษย์
"หลวงพ่อนั่นแหละเนื้อเต้น อย่าทำมาโทษผมหน่อยเลยน่า" คนเป็นศิษย์แอบเถียงในใจ
"เตี่ยเล่าดีกว่าน่ะ" คนจะเล่าเปลี่ยนใจกระทันหัน จึงโยนกลองไปที่บิดา
"ลื้อเล่านั้นแหละดีแล้ว ก็ลื้อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ใช่หรือ" เถ้าแก่เส็งให้เหตุผล ตั้งแต่ปฏิบัติกรรมฐาน เขาพูดไทยชัดขึ้นเพราะสติบอกว่า เมื่อเป็นคนไทยก็ต้องพูดไทยชัด จะได้ไม่อายคุณกิมง้อ
"นั่นซี แม่ก็เห็นด้วยกับเตี่ย ลูกเล่านั้นแหละดีแล้ว" ผู้เป็นมารดาเสริม
"แม่ละก็เข้าข้างเตี่ยอยู่เรื่อย" คนเป็นลูกตัดพ้อ
"เรื่องที่จะเล่านี่ยาวไหม ถ้าเป็นเรื่องยาว อาตมาขอแนะนำว่าน่าจะเริ่มได้แล้ว จะได้ไม่ต้องรอไปฟังต่อในวันพรุ่งนี้ อาตมาเป็นคนใจร้อนน่ะโยม" พระบัวเฮียวพูดขึ้น ท่านคิดอยู่นานว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจได้
"แหม หลวงพี่พูดอย่างนี้ดิฉันก็เห็นจะต้องเล่าแล้วละค่ะ" คุณนายดวงสุดาพูดกับพระบัวเฮียว เรียกท่านว่า "หลวงพี่" อย่างไม่เต็มใจนัก ไม่เต็มใจด้วยเหตุว่า ท่านอายุอ่อนกว่า ที่ถูกน่าจะเป็น "หลวงน้อง" หล่อนไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงไม่เรียกพระที่อายุอ่อนกว่าว่า "หลวงน้อง"
"คงไม่ต้องออกแขกแบบลิเกนะ" ท่านพระครูเย้าบ้าง
"ไม่ต้องค่ำ เตี่ยเล่าดีกว่าน่า" หล่อนหันไปเกี่ยงงอนบิดาอีกครั้ง
"ลื้อนั้นแหละ อย่ามัวทำอิด ๆ ออด ๆ น่ารำคาญ เกรงใจหลวงพ่อท่าน เวลาท่านเป็นเงินเป็นทองนะ" เถ้าแก่เส็งดุลูกสาว การปฏิบัติกรรมฐานทำให้เกิดปัญญา เมื่อปัญญาเกิด เขาจึงรู้ว่าคนเป็นพ่อไม่ควรกลัวลูก จึงกล้าดุหล่อน แทนที่จะเป็นฝ่ายถูกหล่อนดุเช่นแต่ก่อน เมื่อโดนดุคนเป็นลูกชักกลัว จึงเริ่มต้นเล่า
"เรื่องมันแปลกมากค่ะหลวงพ่อ บอกใคร ๆ ก็คงไม่มีใครเชื่อว่า เตี่ยกับแม่ถูกโจรยิงด้วยปืนเอ็ม ๑๖ แต่ไม่ยักกะเป็นอะไร หนูเห็นกับตาเลยค่ะ" คนเห็นเหตุการณ์เล่าฉอด ๆ
"ตอนที่ถูกยิงโยมกำลังทำอะไรอยู่หรือ" ท่านถามบุคคลทั้งสอง
"กำลังนั่งสมาธิครับ ผมกับคุณกิมง้อสัญญากันว่า จะเดินจงกรมหนึ่งชั่วโมง นั่งสมาธิหนึ่งชั่วโมง ตอนโจรยิงมันยังไม่ครบชั่วโมง ผมก็เลยยังไม่ลุกขึ้น แล้วก็ไม่ลืมตาด้วย" เถ้าแก่เส็งเล่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อสามเดือนที่แล้ว ทว่าในความรู้สึกของเขาดูเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
"แล้วรู้ตัวหรือเปล่าว่าโจรมา" ท่านพระครูซัก
"รู้ครับหลวงพ่อ ผมรู้ตัวตลอดเวลา คุณกิมง้อก็รู้"
"แล้วกลัวไหม กลัวตายหรือเปล่า"
"ไม่กลัวค่ะ ตอนอยู่ในสมาธิไม่กลัว แต่ตอนนี้กลัวค่ะ" คุณกิมง้อตอบด้วยท่าทีที่ยังไม่หายหวาดเสียว
"แล้วคุณนายอยู่ที่ไหนล่ะตอนนั้น ตอนที่โจรมาปล้นน่ะ" ท่านพระครูถามคุณนายดวงสุดา
"หนูหรือคะ อารามตกใจมุดเข้าไปแอบใต้ตั่งเลยค่ะ ไม่ทราบว่าเข้าไปได้ยังไง ตัวหนูออกใหญ่ ตั่งก็เตี้ยนิดเดียว ถ้าเวลาปกติอย่าว่าแต่จะเข้าไปได้ทั้งตัวอย่างนั้นเลย แค่ขาข้างเดียวก็ยังเข้าไม่ได้" คุณนายดวงสุดาเล่า
พระบัวเฮียวพิจารณาขาของคุณนายซึ่งมีขนาดไล่เลี่ยกับตอม่อยุ้ง แล้วก็ให้เป็นด้วยกับที่หล่อนพูด หากก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า "ตั่งที่โยมว่าน่ะสูงขนาดไหน เท่าอาสนะหลวงพ่อหรือเปล่า" คนถูกถามมองไปที่อาสนะตรงหน้า แล้วตอบ "คงจะพอ ๆ กัน ถ้าสูงกว่าก็คงไม่เกินสองนิ้ว ไม่น่าเชื่อใช่ไหมคะ ว่าคนเจ้าเนื้ออย่างดิฉันจะเข้าไปซ่อนใต้ตั่งนั่นได้ หลวงพี่เชื่อหรือเปล่า" หล่อนถามหลวงพี่
"ถ้าจะให้อาตมาเชื่อก็ต้องลองเข้าไปอีกที คุณนายจะยอมลองดูไหมล่ะ" พระหนุ่มถือโอกาสต่อรอง
"ไม่ต้องหรอกบัวเฮียว ถึงเธอจะไม่เชื่อแต่ฉันก็เชื่อ ฉันเชื่อว่าเป็นไปได้ เธอเคยได้ยินไหมเล่า ที่เขาว่าคนแบกตุ่มแบกตู้เย็นวิ่งหนีไฟ เพราะความตกใจ พอหายตกใจกลับแบกไม่ไหว อันนี้มันเป็นเรื่องของพลังจิตน่ะ คนเราไม่รู้ตัวหรอกว่า จิตนั้นมีพลังมาก เป็นพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัว คนที่ฝึกจิตสม่ำเสมอสามารถเอาพลังจิตออกมาใช้ได้ แต่คนที่ไม่เคยฝึกก็ใช้ไม่เป็น เว้นแต่ยามตกใจอาจเอามาใช้ได้บ้าง โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ เป็นการใช้พลังจิตโดยไม่สติควบคุม ก็ได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว พอรู้สึกตัวก็เอามาใช้ไม่ได้เสียแล้ว" ท่านพระครูอธิบาย
"แล้วแบบนี้ดีไหมครับหลวงพ่อ" พระบัวเฮียวถาม
"แบบไหนล่ะ" พระอุปัชฌาย์ไม่เข้าใจคำถาม
"คือพลังจิตน่ะครับ เป็นของดีหรือไม่ดี"
"มันก็ตอบยากนะ จะว่าไปแล้วมันก็เหมือนดาบสองคม ถ้าใช้ดีก็ดีไป แต่ถ้าใช้ไม่ดีก็ให้โทษได้เหมือนกัน" ท่านรู้ว่าคนฟังยังไม่มีใครเข้าใจ จึงอธิบายเพิ่มเติมว่า
"ตัวอย่างเช่นคนที่นำพลังจิตไปใช้เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงจุดหมายคือ มรรค ผล นิพพาน ก็ถือว่าเป็นสิ่งดี แต่ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น อยากจะอวดฤทธิ์หรืออวดอุตริมนุสสธรรม ก็ถือเป็นสิ่งไม่ดี เพราะเป็นไปเพื่อเพิ่มกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อละกิเลส"
"สรุปก็คือที่หนูเข้าไปแอบอยู่ใต้ตั่งได้ ก็เพราะอำนาจของพลังจิตใช่ไหมคะหลวงพ่อ" คุณนายดวงสุดาถาม
"ถูกแล้วคุณนาย แม้คุณนายจะไม่เคยฝึกจิต แต่ก็สามารถใช้พลังจิตได้ เป็นการใช้แบบไม่รู้ตัว ควบคุมไม่ได้ ถ้าอยากใช้แบบคุมได้ก็ต้องมาฝึกจิตกันให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่างที่โยมเตี่ยกับโยมแม่ของคุณนายฝึกอยู่นี่แหละ"
"ถ้าอย่างนั้นที่โจรมันใช้เอ็ม.๑๖ ยิงผม แต่ยิงไม่ออกก็เป็นเพราะอำนาจของพลังจิตใช่ไหมครับหลวงพ่อ" เถ้าแก่เส็งถาม การปฏิบัติกรรมฐานทุกวันทำให้เขาเข้าใจธรรมะแจ่มแจ้งขึ้น
"จะพูดอย่างนั้นมันก็ถูกเหมือนกัน แต่อาตมาคิดว่า การที่ปืนยิงไม่ออกนั้นเป็นเพราะอานิสงส์ของการมีสัจจะของโยมทั้งสองประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งเป็นอำนาจของสมาธิหรือพลังจิตนี่เอง ไหนคุณนายลองเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบซิ อาตมาจะอัดเทปไว้ เผื่อจะไปเปิดให้คนอื่นฟัง" ท่านหันไปเรียกนายสมชายให้นำเครื่องบันทึกเสียงและม้วนเทปมาให้ พร้อมแล้วคุณนายดวงสุดาจึงเริ่มต้นเล่า
"วันนั้นหนูนั่งแท็กซี่มาหาเตี่ยกับแม่ที่บ้าน ก็ขึ้นไปชึ้นบนเห็นกำลังนั่งสมาธิกันอยู่ หนูเลยเดินไปที่โต๊ะอาหาร หยิบน่องไก่ทอดมากิน พอดีได้ยินเสียงเอะอะอยู่ข้างล่าง จึงชะโงกลงไปดูตรงบันได ก็เห็นคนร้ายสี่หรือห้าคน กำลังช่วยกันจับคนใช้สองคนมัดมือมัดปาก หนูตกใจวิ่งมาหากเตี่ยกับแม่ บอก โจรปล้น โจรปล้น เขาก็ไม่ยอมลืมตา เสียงพวกมันเดินขึ้นมา หนูเลยวิ่งไปที่ห้องน้ำตั้งใจจะไปซ่อนตัวในนั้น เสร็จแล้วก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน คลานลุกลี้ลุกลนเข้าไปใต้ตั่งแทน ขอประทานโทษนะคะหลวงพ่อ น่องไก่ทั้งน่องก็ยังอยู่ในปาก ต้องถือว่าโชคดีเชียวค่ะ เพราะมันทำให้หนูร้องไม่ออก ขืนไม่มีน่องไก่คงร้องให้คนช่วย แล้วก็ถูกโจรยิงตายไปแล้ว
พอมันขึ้นมามันก็เดินไปที่เตี่ยก่อน เขย่าตัวเตี่ยแล้วบอก ตาแป๊ะตื่น ๆ นี่คือการปล้น เตี่ยก็ไม่ยอมลืมตา มันก็หันไปเขย่าแม่ บอกซิ้มตื่น ๆ นี่อั้วมาปล้น แม่ก็นั่งเฉยอีกคน เสียงพวกมันบอกยิงเลยเฮีย ยิงเลยเฮีย หนูจะเป็นลมเสียให้ได้ ครั้นจะร้องบอกเตี่ยกับแม่ก็ร้องไม่ออก เพราะน่องไกคาปากอยู่ มันเอาปืนจ่อที่ศีรษะเตี่ยแล้วลั่นไก เสียงดัง แชะ ๆ แต่ไม่มีกระสุนพุ่งออกมา มันก็หันไปยิงแม่บ้าง ก็เป็นแบบเดียวกันอีก
ในที่สุดพวกมันเลยช่วยกันเก็บข้าวของ มีทีวี วิทยุ สเตริโอ และพวกเครื่องลายครามเอาไปข้างล่างคงจะไปใส่รถ หนูจับตาดูมันอยู่ เก็บของเสร็จพวกมันก็พากันลงไป หนูหายตกใจก็เอามือจับน่องไก่ออกจากปาก แต่ไม่สามารถคลานออกมาจากใต้ตั่งได้ ก็นอนอึดอัดอยู่อย่างนั้นสักยี่สิบนาทีเห็นจะได้ แล้วก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นมา พอหนูเห็นเป็นตำรวจ หนูดีใจมากเลยตะโกนว่า ช่วยด้วย ช่วยด้วย เขาก็มองหาที่มาของเสียง หนูบอก อยู่ใต้ตั่ง อยู่ใต้ตั่ง ตำรวจสองคนก็มาช่วยกันยกตั่ง แต่ยกไม่ไหว ต้องใช้ถึงสี่คน หนูก็ออกมาได้ ผู้ร้ายห้าคนถูกใส่กุญแจมือเรียบร้อย" คนเล่าหยุดหายใจแรง ๆ สองสามครั้ง ราวกับว่าตอนที่เล่านั้นลืมหายใจ ท่านพระครูจึงถามบิดาของหล่อนว่า "ตอนตำรวจมาโยมรู้หรือเปล่า"
"รู้ครับหลวงพ่อ ผมรู้อยู่ตลอดเวลา ตำรวจเขามาเขย่าตัวผม บอก เถ้าแก่ตื่นเถอะ คุณถูกปล้นรู้ไหม ผมตอบว่า รู้ รู้ เขาก็ว่า รู้แล้วก็ลืมตาเสียที ผมบอกว่า ยังไม่ถึงเวลา ยังลืมไม่ได้ จากนั้นผมก็ไม่พูดอะไรอีก"
"ค่ะ ตลกน่าดูเลย พอเตี่ยนั่งนิ่ง ทั้งตำรวจและคนร้ายก็เลยต้องนั่งรอครู่ใหญ่ เสียงนาฬิกาปลุกก็ดังก้องขึ้น เตี่ยกับแม่ก็ขยับตัว เปลี่ยนท่าจากนั่งสมาธิมาเป็นนั่งพับเพียบ ประนมมือกล่าวคำแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล"
"แล้วคุณนายแผ่เมตตาเป็นหรือเปล่า อุทิศส่วนกุศลเป็นไหม" ท่านถือโอกาสทดสอบความรู้คุณนายดวงสุดา
"เป็นค่ะ หนูสวดมนต์ทุกคืน สวดเสร็จก็แผ่เมตตาแล้วอุทิศส่วนกุศล หลวงพ่อจะฟังไหมคะ หนูจะว่าให้ฟัง"
"ดีเหมือนกัน ว่าเป็นบาลีนะไม่ต้องแปล เพราะถ้าได้บาลีก็แปลได้จริงไหม"
"จริงค่ะ แต่หนูว่าจริงแต่ครึ่งเดียว เพราะบางคนว่าบาลีได้ แต่แปลไม่ได้เช่นหนูเป็นต้น" หล่อนยกตัวเองเป็นตัวอย่าง
"สำหรับผม ผมว่าจริงไม่ถึงครึ่งครับหลวงพ่อ" พระบัวเฮียวเอ่ยบ้าง "เพราะคนส่วนใหญ่เขาจะสวดมนต์เป็น แต่แปลไม่เป็น ไม่รู้ว่าที่ตัวเองสวดนั้นมีความหมายว่าอย่างไร แม้แต่พระก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เช่น พระบัวเฮียว เป็นต้น" พระหนุ่มหารู้ไม่ว่าได้ "แบไต๋" ให้พระอุปัชฌาย์รู้เข้าแล้ว
"โบราณท่านสอนไว้ว่า "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง" บัวเฮียวเอ๋ย ถ้าเธอไม่พูดฉันก็คงยังไม่รู้ว่าเธอน่ะ "อ่อนซ้อม" เอามาก ๆ เห็นจะต้องให้พระมหาบุญช่วยกวดขันเธอให้หนักกว่านี้ วันข้างหน้าไปเป็นครูบาอาจารย์เขาจะได้ไม่เสียชื่อ" ท่านหันไปถามบิดาของคุณนายดวงสุดาว่า "โยมเห็นด้วยกับอาตมาไหมว่า คนรู้จริงนั้นหายาก ส่วนคนรู้มากหาง่าย สมัยนี้คนรู้มากมีแยะ แต่ที่รู้จริงไม่ค่อยมี เห็นด้วยไหม"
"นั่นสินะ คนก็เลยพากันเป็นโรคประสาทมาก พวกจิตแพทย์ก็เลยมีงานทำมาก" ท่านพระครูเสริม พระบัวเฮียวกำลังวิงเวียนกับคำว่า "มาก" ค่อยยังชั่วขึ้นเมื่อคุณนายดวงสุดาพูดโดยไม่มี "มาก" "หนูว่าจิตแพทย์เองก็เป็นโรคประสาทนะคะหลวงพ่อ หนูเห็นมาหลายคนแล้ว ท่าทางไม่ค่อยจะปกติซักเท่าไหร่"
"คงเป็นเพราะต้องคลุกคลีกับคนไข้มาก เลยติด เป็นอย่างนั้นไหมคะหลวงพ่อ" คุณกิมง้อถาม อุตส่าห์มีคำว่า "มาก" อีกจนได้
"มันก็เป็นไปได้นะโยม อาตมาสังเกตว่า ยิ่งโลกเจริญมากขึ้นเท่าไหร่ คนก็ยิ่งเป็นโรคประสาทมากขึ้นเท่านั้น"
"คนโรคประสาทนี่ ต้องให้มาเข้ากรรมฐานใช่ไหมคะหลวงพ่อ ถามอย่างคนที่ยังไม่เคยปฏิบัติ
"ไม่ได้ ไม่ได้ เพราะคนที่เป็นน้อยก็จะเป็นมาก ส่วนคนที่เป็นมากก็จะบ้าชนิดกู่ไม่กลับเลยเชียว คนเป็นโรคประสาทเขาห้ามเข้ากรรมฐานอย่างเด็ดขาด อันนี้มีพุทธพจน์รับรองไว้ชัดเจน ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะอยู่ในคัมภีร์เล่มที่ ๑๔ ที่พระพุทธองค์ตรัสกับเหล่าสาวก ว่า ...ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวอานาปานสติแก่คนที่มีสติเลอะเลือนไร้สัมปชัญญะ....เคยมีตัวอย่างนะโยม ที่วัดนี้นี่แหละ ดูเหมือนอาตมาจะเคยเล่าให้พระบัวเฮียวฟังแล้ว เรื่องที่อาจารย์มหาวิทยาลัยแกเป็นโรคประสาท พวกญาติ ๆ พามาเข้ากรรมฐานที่นี่ ปฏิบัติสองวันแรกยังไม่มีอาการ พอวันที่สามลุกขึ้นรำป้อเลย เขาไปตามอาตมามาดู รำสวยเสียด้วยซี ใคร ๆ ห้ามก็ไม่หยุด ฉะนั้นโยมจำไว้เลยว่า คนเป็นโรคประสาทอย่าพามาเข้ากรรมฐาน ต้องพาไปรักษาให้หายก่อน หายแล้วก็ต้องรอดูอีกสองหรือสามปี หายใหม่ ๆ อย่าพามาเพราะโรคอาจกำเริบอีกได้ เคยมีตัวอย่างหลายรายแล้ว"
"หลวงพ่อครับ หลวงพ่อจะขัดข้องไหม ถ้าผมจะกราบเรียนว่าผมอยากฟังเรื่องปล้นต่อ กำลังสนุกเลยครับ" พระบัวเฮียวพูดอย่างเกรงใจเป็นที่สุด
"ฉันน่ะไม่ขัดข้องหรอก แต่คนเล่าเขาจะเล่าต่อหรือเปล่า ข้อนี้ฉันไม่รู้"
"ต่อซีคะ ต้องเล่าต่อ เอ..เมื่อตะกี้ถึงไหนแล้วคะแม่" หล่อนหันไปถามมารดา
"ตอนเตี่ยกับแม่กล่าวคำอุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาจ้ะ แล้วหลวงพ่อท่านให้หนูว่าให้ฟัง คุณกิมง้อทวนความจำให้ลูกสาว
"งั้นเพื่อไม่ให้เสียเวลา หนูว่าให้ฟังย่อ ๆ นะคะ คำแผ่เมตตาแบบสั้น ๆ มีว่า ...สัพเพ สัตตา อเวรา อัพพยาปัชฌา อนีฆา สุขี อัตตานัง ปริหรันตุ คำอุทิศส่วนกุศลขึ้นต้นว่า อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตโร"
"แล้วถ้าแผ่เมตตาให้ตัวเองขึ้นต้นว่าอย่างไร" ท่านพระครูถามอีก
"อหัง สุขิโต โหมิ ค่ะ" ตอบฉะฉาน
"เก่ง ๆ อาตมาเชื่อแล้ว เอาละทีนี้เล่าเรื่องปล้นต่อไปได้
"ค่ะ พอเตี่ยกับแม่เสร็จธุระ ตำรวจก็สอบปากคำ สอบหนูด้วย หนูก็เล่าไปตามที่เห็น ตำรวจเขาบอกว่าเห็นรถกระบะขับสวนทางมานึกเอะใจ จึงถามว่าจะเอาไปไหน คนร้ายมีพิรุธหลายอย่างแล้วก็ตอบคำถามไม่ตรงกัน ในที่สุดก็สารภาพว่าปล้นเขามา เขาก็พามายังบ้านที่เกิดเหตุ"
ตอนนั้นเวลาสักเท่าไหร่ เป็นกลางวันหรือกลางคืน"
"เย็น ๆ ครับ" เถ้าแก่เส็งตอบ
"ทุกวันตั้งแต่สี่โมงถึงหกโมงเย็น ผมกับคุณกิมง้อจะปฏิบัติกรรมฐานกัน โดยเดินหนึ่งชั่วโมง นั่งหนึ่งชั่วโมง"
"ดีจริง อาตมาขออนุโมทนาเห็นไหม อำนาจของบุญบารมีทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี ถึงคราวเสียของก็ไม่ต้องเสีย มีนะ มีตัวอย่างแบบเดียวกันนี้ สองผัวเมียเป็นชาวบ้านบางระจัน มาเข้ากรรมฐานที่วัดนี้ กลับไปก็ปฏิบัติทุกคืน คืนหนึ่งกำลังเดินจงกรมกันอยู่ ขโมยมันมาลักควาย ต้อนไปจนหมดคอก ให้พรรคพวกมันคุมไป เหลือคนหนึ่งไว้ดูต้นทาง เจ้าหมอนั่นก็บังเอิญมองขึ้นไปบนเรือน เห็นคนเดินไปมาอยู่สองคน ปากก็ว่า ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เดินกันมืด ๆ อย่างนั้นแหละ เจ้าขโมยมันก็ขำ นึกว่าเจ้าของบ้านละเมอ ไม่รู้ขำอีท่าไหน เลยถอยหลังไปเหยียบสุนัขที่กำลังหลับอยู่ สุนัขก็ตื่น เห่าเสียงดังขึ้น ชาวบ้านแถวนั้นก็เลยลุกมาดู จับขโมยได้ แล้วก็พากันจุดคบไต้ไปตามควายมาใส่คอกไว้อย่างเดิม
ผู้ใหญ่บ้านก็คุมตัวขโมยไว้ จับได้คนเดียวคือคนที่ดูต้นทาง นอกนั้นวิ่งหนีไปได้ ก็พากันมานั่งรอจนสองผัวเมียนั่งสมาธิเสร็จ จึงเล่าเรื่องให้ฟัง เขาก็บอกเขารู้ตั้งแต่ตอนขโมยมันต้อนควายออกไปแล้ว แต่เขารักษาสัจจะ บอกจะเดินให้ได้หนึ่งชั่วโมงนั่งหนึ่งชั่วโมงก็ต้องได้ ควายมันจะหายก็ช่าง นี่เขามานั่งเล่าให้อาตมาฟังตรงนี้" ท่านชี้ที่ที่คุณนายดวงสุดานั่ง "มาทั้งผัวและเมียเลย บ้านอยู่อำเภอบางระจันโน่น" ท่านพระครูเล่าเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันให้คนทั้งสามฟัง พระบัวเฮียวฟังเป็นรอบที่สองเพราะตอนสองผัวเมียมาเล่าท่านก็นั่งฟังอยู่ด้วย
"แต่กรณีของเถ้าแก่ จับโจรได้หมดใช่ไหม" พระหนุ่มถามบุรุษวัยเจ็ดสิบเศษ
"หมดครับ ผู้ร้ายกับตำรวจมีจำนวนเท่ากันพอดี ผู้ร้ายห้า ตำรวจห้า เป็นตำรวจสายตรวจ กำลังขับรถจะเข้ามาตรวจดูความสงบเรียบร้อยในซอยนั้น นับว่าผมโชคดีมาก"
"ผู้ร้ายถูกดำเนินคดีติดคุกกี่ปีล่ะ" พระบัวเฮียวถามอีก
"ไม่ถูกครับ ถังขังไว้เกือบสามเดือน ยมไม่ยอมไปให้การ อ้างว่าจำหน้าผู้ร้ายไม่ได้ ความจริงผมจำได้ครับหลวงพ่อ แต่ผมจำเป็นต้องพูดปดเพื่อจะได้ไม่ก่อเวร คือ เจ้าคนที่มาปล้นนั่นเป็นลูกหนี้ผมเอง มายืมเงินไปหลายหมื่นแล้วไม่ใช้ ผมก็ขู่ว่าจะดำเนินคดี เขาคงแค้นเลยพาพวกมาปล้นผม และที่ใช้เอ็ม.๑๖ ยิงผมคงอยากจะให้ตายเพื่อล้างหนี้ เป็นบุญของผมที่มาเข้ากรรมฐานเสียก่อน ไม่งั้นก็คงสิ้นชื่อไปแล้ว ผมก็ใช้สติพิจารณาว่า ถ้าผมเอาเขาเข้าคุก วันหนึ่งเขาก็ต้องออกมาแก้แค้นผม ก็จะเป็นการก่อเวรกันไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อระงับเวรเสียข้างหนึ่ง ผมจึงจำใจโกหกว่าจำหน้าผู้ต้องหาไม่ได้
ตำรวจเขาขังไว้ไม่ถึงสามเดือนก็ปล่อย ช่วงนั้นผมกับคุณกิมง้อก็แผ่เมตตา อโหสิกรรมให้เข้าทุกวัน หลวงพ่อเชื่อไหมครับ อานิสงส์ของเมตตานี่อัศจรรย์มาก เมื่อวานนี้เองเขาพากันมาหาผมที่บ้าน เอาธูปแพเทียนแพ ใส่พานมาขอขมาผม บอกว่าขอโทษและขอบคุณที่ผมไม่เอาเรื่อง เขารู้ว่าผมจำเขาได้ ขอขมาเสร็จก็บอกว่าจะผ่อนใช้หนี้คืน จะไม่โกงแม้แต่สตางค์แดงเดียว
ผมตื้นตันจนน้ำตาไหล คุณกิมง้อเองก็ร้องไห้ ผมอโหสิให้เขาและบอกว่าไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้สิน มีก็เอามาใช้ ไม่มีผมก็ยกให้ ขออย่างเดียวให้เขาหากินอย่างสุจริต ผมอยากมาหาหลวงพ่อมาก จึงให้ลูกสาวพามาเพื่อกราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่ให้วิชาที่วิเศษแก่ผม" เขาก้มลงกราบท่านพระครูสามครั้ง ด้วยความซาบซึ้งและตื้นตันจนน้ำตาไหลเป็นทางตามร่องแก้ม คุณกิมง้อทำตามผู้เป็นสามี ทว่ามิได้ร้องไห้!….

ท่านพระครูออกจากวัดป่ามะม่วงตั้งแต่ตีสี่ เพื่อไปเจริญพระพุทธมนต์ในพิธีมงคลสมรสลูกสาวของลูกศิษย์ ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี จากนั้นจึงจะเดินทางไปจังหวัดสมุทรสงครามเพื่อให้ทันฉันเพลที่วัดบ้านแหลม ในโอกาสที่เจ้าอาวาสวัดนั้นอายุครบหกรอบ และได้นิมนต์ท่านไว้
รถวิ่งจากวัดไปออกถนนสายเอเชีย เลี้ยวขวาตรงไปเข้าอยุธยาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เขาเขตอำเภอเมือง ซึ่งมีบ้านเรือนปลูกเรียงรายอยู่ตามริมถนนทั้งสองฟากข้าง เมื่อรถวิ่งผ่านบ้านหลังหนึ่ง ท่านก็บอกกับคนขับว่า
"สมชายจอดก่อน เสียงบ้านนั้นเขาทำอะไรกันแต่เช้ามืด หรือว่าลุกขึ้นมาสวดมนต์ ช่วยจอดประเดี๋ยว ฉันจะได้ฟังให้ถนัดว่า เขาสวดบทไหน จะเป็นคาถาชินบัญชรหรือว่ายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก"
เมื่อนายสมชายหยุดรถ ท่านจึงไขกระจกลง แล้วก็ได้ยินเสียงชัดเจน นายสมชายก็ได้ยินเต็มสองหู
"...อีสัตว์..." เป็นเสียงผู้ชาย แล้วต่อด้วยคำพูดที่ระคายหูคนฟังอีกว่า "มึงมันเลวเสียยิ่งกว่าผู้หญิงหากิน คนอย่างมึงน่ะหาความดีไม่ได้เลย พวกผู้หญิงหากินเขายังดีกว่ามึง" เสียงผู้หญิงย้อนเอาว่า
"อ้อ! อย่างนี้นี่เอง แกถึงชอบไปนอนกะโสเภณี จนเอาโรคมาติดข้า เมียเก่าแกก็เป็นโสเภณีไม่ใช่หรือ"
ท่านพระครูทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงบอกให้นายสมชายออกรถ ความจริงท่านจะฟังคนเดียวด้วยการกำหนด "เห็นหนอ" โดยไม่ต้องหยุดรถก็ได้ แต่ท่านต้องการจะสอนนายสมชาย จึงสั่งให้เขาหยุดรถฟัง
"ไม่ไหว ลุกขึ้นมาด่ากันแต่มืด แต่ดึกอย่างนี้ไม่ไหว เห็นจะต้องกลับไปล้างหูสักหน่อย ฤกษ์ไม่ดีเลยที่มาได้ยินเขาด่ากัน" ท่านพูดเป็นเชิงบ่น เห็นคนฟังไม่ว่ากระไรจึงพูดต่อ "แล้วจะไปหาความเจริญได้ยังไง ทะเลาะเบาะแว้งกันแบบนี้ เทวดาหนีหมด ต่อไปถ้าเธอมีลูกมีเมีย อย่าได้เอาไปเป็นเยี่ยงอย่างเชียวนะ" ท่านถือโอกาสสอนคนเป็นลูกศิษย์
"รับรองได้เลยครับหลวงพ่อ ตัวอย่างเลว ๆ แบบนั้น ผมไม่นำไปประพฤติปฏิบัติอย่างแน่นอน ผู้ชายอะไรช่างไม่ให้เกียรติผู้หญิงเสียบ้างเลย ถ้าผมเป็นเมีย ผมไม่อยู่ด้วยแล้ว ไม่รู้ผู้หญิงคนนั้นเขาทนได้ยังไง" นายสมชายวิจารณ์
"เขาเห็นแก่ลูกนั่นแหละ พูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ เขาทำกรรมไม่ดีมาก็เลยมาเจอคนไม่ดี"
"ผู้ชายที่ด่าเก่งนี่ ผมว่าคงไม่มีใครดีนะครับหลวงพ่อ เพราะถ้าดีก็คงไม่ด่า"
"ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงหรอก ลงได้ด่าเก่ง ก็ยากที่จะเป็นคนดี อย่างที่เขาว่าคนบางคนว่า ปากร้ายใจดีน่ะ จริง ๆ แล้วมันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะถ้าเขาใจดีจริง ปากจะต้องไม่ร้าย พระพุทธองค์ท่านถึงเน้นมโนกรรมมาก เพราะเป็นต้นเหตุของวจีกรรม และกายกรรม คือคนที่พูดชั่ว ทำชั่ว เพราะใจคิดชั่ว มีพุทธพจน์ตรัสสอนไว้นะสมชาย ฉันจำได้แม่นเชียวละ ที่จำแม่นเพราะ ฉันพยายามสอนตัวเองเสมอ ๆ ฉันจะยกมากล่าวให้เธอฟัง รู้สึกจะเข้ากับเรื่องของผู้ชายปากจัดคนนั้นพอดี"
นายสมชายลดความเร็วของรถลงเพื่อจะได้ฟังให้ถนัด ท่านพระครูซึ่งนั่งอยู่ตอนหน้าคู่กับคนขับหันมาพูดกับเขาว่า "พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า...ผรุสวาทเพียงดังจอบ ซึ่งเป็นเครื่องขุดโค่น ตัดทอนตนของคนพาลผู้กล่าวคำชั่ว ย่อมเกิดขึ้นที่ปากของบุคคลผู้เป็นบุรุษพาล ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรติเตียน หรือติเตียนคนที่ควรสรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าสะสมโทษด้วยปาก ย่อมไม่ประสบสุขเพราะโทษนั้น"
"การที่ผู้ชายคนนั้นไปยกย่องโสเภณีว่าดีกว่าภรรยาตัวเอง เป็นการสรรเสริญคนที่ควรติเตียนใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว"
"ผมว่าแกคงหลงรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสของผู้หญิงโสเภณีจนโงหัวไม่ขึ้น ขนาดเอามาเป็นข้อบริภาษเมียตัวเอง แล้วเมียเก่าแกเป็นโสเภณีจริงหรือเปล่าครับ" เด็กหนุ่มถาม เขารู้ว่าท่านสามารถให้คำตอบได้ เพียงแต่ท่านหลับตา ท่านก็จะรู้ทุกเรื่องที่อยากรู้
"จริงหรือไม่จริง มันก็เรื่องของเขา เราหยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว ฉันเพียงแต่จะยกตัวอย่างให้เธอเห็นเท่านั้น ในวันข้างหน้าเมื่อเธอไปเป็นพ่อบ้านพ่อเรือน จะได้วางตัวได้สมฐานะ ให้แม่บ้านขานับถือและเกรงใจ อย่าให้เขาดูถูกดูแคลนเอาได้ ฉันต้องการเพียงเท่านี้ ไม่ได้ต้องการให้เธอมาวิเคราะห์วิจัยเรื่องเมียเก่าเขา เข้าใจหรือยัง"
"เข้าใจครับ" คนขับรถตอบเสียงอ่อย เมื่อท่านไม่อนุญาตให้สืบสาวราวเรื่อง เขาจึงจำต้องปิดปากเงียบและตั้งหน้าตั้งตาขับรถเพื่อที่จะไปให้ถึงบ้านงานได้ทันเวลา
ก่อนออกจากจังหวัดสุพรรณบุรีไปจังหวัดสมุทรสงคราม ท่านพระครูให้นายสมชายแวะที่ร้านขายดอกไม้ในเมือง เพื่อซื้อกระเช้าดอกไม้ไปแสดงมุทิตาจิตต่อเจ้าของวันเกิด เป็นความเคยชินของท่านที่จะต้องมีของติดไม้ติดมือไปฝากเจ้าภาพเสมอ ทั้งยังเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ศิษยานุศิษย์ว่า "หลวงพ่อเจริญ" เป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นธรรมะหรือวัตถุสิ่งของ หากมีผู้ขอ ท่านก็จะให้โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
บ่อยครั้งที่พวกชาวบ้านผู้ยากไร้ พากันมาขอข้าวสารจากวัดป่ามะม่วงไปหุงกินประทังชีวิต บางคนก็ขอพริก หอม กระเทียม เป็นของแถมอีกด้วย แต่สิ่งที่ท่านแถมให้ทุกครั้งโดยที่พวกเขาไม่ต้องเอ่ยปากขอก็คือ "ธรรมะ"
ไม่แต่พวกชาวบ้านเท่านั้นที่มาขอ แม้แต่พระสงฆ์วัดข้างเคียงก็เคยส่งพระมาขอปันของฉันของใช้ เนื่องจากไม่มีคนไปถวาย ซึ่งท่านก็แบ่งสันปันส่วนให้โดยไม่รังเกียจรังงอนแต่ประการใด
บางครั้งท่านได้รับการทัดทานจากพวกทายกว่า ไม่ควรให้เพราะเกรงว่าจะทำให้วัดตัวเองต้องขาดแคลน ท่านกลับสอนพวกเขาให้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คำพูดที่ติดปากท่านคือ "ไม่หวงไม่อด หมดก็มา" กับ "ยิ่งให้ก็ยิ่งงอก"
และดูเหมือนจะเป็นดังที่ท่านพูด เพราะมีหลายครั้งที่ข้าวของทำท่าว่าจะหมด แต่แล้วก็มีญาติโยมนำมาถวายใหม่อีก วัดป่ามะม่วงจึงยังไม่เคยเผชิญกับภาวะอดอยากยากแค้นจริง ๆ เลยสักครั้ง เพราะมีผู้ใจบุญนำข้าวสาร กะปิ น้ำปลา ตลอดจน พริก หอม กระเทียม มาบริจาคอยู่เนือง ๆ
คำพูดของท่านที่ว่า "ยิ่งให้ยิ่งงอก" จึงกลายเป็นคำขวัญประจำวัดป่ามะม่วงโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม ท่านพระครูมักจะเน้นให้ญาติโยมได้สำเหนียกอยู่เสมอว่า การให้ที่ได้บุญกุศลมากที่สุดนั้นคือ การให้ธรรม ดังมีพุทธวจนะรับรองไว้ว่า "สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ - การให้ธรรมย่อมชนะการให้ทังปวง"
ที่วัดบ้านแหลม ขณะที่ภิกษุรูปอื่น ๆ กำลังฉันเพลกันอยู่นั้น ท่านพระครูมิได้ฉัน ท่านเพียงแต่พิจารณาอาหารแต่ละอย่าง แล้วตั้งจิตแผ่เมตตาให้ผู้นำมาถวาย เพื่อที่เขาจะได้รับส่วนบุญกุศล ญาติโยมที่ไม่เข้าใจ คิดว่าท่านฉันอาหารด้วยตา คือคิดเอาเองว่า ท่านเพียงแต่มองอาหารก็ทำให้ท้องอิ่มได้
โยมผู้ชายคนหนึ่งคลานเข้ามาหาท่าน ประนมมือพูดว่า "นิมนต์หลวงพ่อฉันเถิดครับ สงสัยอาหารจะไม่ถูกปาก หลวงพ่อถึงไม่ยอมฉัน"
ท่านไม่อยากให้เขาเสียน้ำใจ จึงใช้ส้อมจิ้มทองหยอดลูกหนึ่งมาใส่ปาก แล้วก็ทำแบบนั้นอีกสองครั้ง จึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เห็นท่านฉันพอเป็นพิธีแล้ว โยมผู้ชายคนนั้นจึงคลานออกไป
ระหว่างรอให้รูปอื่น ๆ ฉันเสร็จ ท่านก็มองออกไปข้างหน้า ห่างออกไปประมาณร้อยเมตรเป็นโรงเรียนการช่างสตรี อาจารย์สาวอายุประมาณไม่เกินสามสิบ กำลังยืนสอนนักเรียนอยู่หน้าชั้น ท่านอยากจะรู้ว่าอาจารย์เขาถ่ายทอดวิชาอะไรให้ลูกศิษย์ จึงกำหนด "เห็นหนอ" ไปฟังดัวย
"นี่แน่ะนักเรียน วันนี้ครูจะสอน เรื่องเคล็ดลับในการดำเนินชีวิต" อาจารย์ผู้นั้นพูดกับลูกศิษย์สาวอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด
"พวกเธอก็เป็นสาวเป็นนางกันแล้ว ครูจะบอกเคล็ดลับให้ว่า จงอย่าไปมีสามี โบราณเขาว่า มีลูกกวนตัว มีผัวกวนใจ ถ้าอยู่เป็นสาวหน้าขาวเป็นยองใย ฉะนั้นพวกเธออย่าได้คิดแต่งงานเป็นอันขาด"
"แหม ดีจัง อาจารย์คนนี้สอนดี สงสัยจะชักชวนลูกศิษย์ไปบวชชีเสียละมัง" ท่านพระครูคิด แล้วก็ตั้งใจฟังต่อไป
"พวกเธอดูครูเป็นตัวอย่าง ครูนี่ใช้ชีวิตอย่างอิสระ มีบ้านหลังงาม มีรถยนต์ขับโดยไม่ต้องมีสามี ก็เราหาของเราเองได้ จริงไหม พวกเธออยากรู้วิธีรวยทางลัดไหมล่ะ" หล่อนถามลูกศิษย์
"อยากค่ะ" เสียงนักเรียนหญิงตอบพร้อมกันทั้งห้อง
"เอาละ ครูจะบอกให้ รับรองว่า ถ้าพวกเธอทำอย่างที่ครูทำอยู่ละก็ พวกเธอจะสบาย เป็นอิสระ แล้วก็มีเงินใช้ วิธีง่าย ๆ ก็คือ อยากจะนอนกับใครก็ไปนอน แต่ให้เลือกคนที่กระเป๋าหนัก ๆ พวกถังแตกอย่าได้ไปคบเด็ดขาด เปลืองเนื้อเปลืองตัวเปล่า ๆ เป็นไงดีไหม ชีวิตแบบนี้ดีไหม ได้เงินทีละมาก ๆ แล้วก็ไม่ต้องเหนื่อยด้วย"
"ดีค่ะ" มีคนตอบเพียงสองสามคน แสดงว่านักเรียนในชั้นส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับความคิดพิลึกพิลั่นของผู้เป็นอาจารย์
"แล้วถ้าเกิดผู้ชายเขามีเมียแล้ว เราไม่บาปหรือคะที่ไปแย่งเขา" หนึ่งในจำนวนที่ไม่เห็นด้วยถามขึ้น
"เมียเขาก็อยู่ส่วนเมียเขาซี แล้วเราก็ไม่ได้แย่งเขา แค่ขอยืมมาใช้ชั่วครู่ชั่วยาม เราไม่ได้คิดที่จะเอามาเป็นสามีเราเมื่อไหร่" อาจารย์สาวตอบคำถามลูกศิษย์
"แบบนี้มันก็โสเภณีชัด ๆ แหละค่ะอาจารย์" นักเรียนผู้หนึ่งพูดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้
"นี่พูดให้ดี ๆ นะ สุจิตรา ระวังจะโดนหักคะแนน" อาจารย์ขู่
"แต่หนูว่า สุจิตราเขาพูดถูกนะคะอาจารย์" นักเรียนที่นั่งติดกับคนแรกพูดขึ้น
"อะไร เธอก็เป็นไปอีกคนหนึ่งแล้วหรือจิราภรณ์ แหม ครูไม่นึกเลยว่าจะมีลูกศิษย์โง่ ๆ แบบเธอสองคน" คำพูดของอาจารย์สาวทำให้นักเรียนที่ไม่เห็นด้วยคนอื่น ๆ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เมื่อไม่มีผู้ใดโต้แย้ง อาจารย์สาวจึงพูดต่อไปอีกว่า
"เพื่อน ๆ ครูไม่มีใครแต่งงานสักคน เขาก็ทำแบบที่ครูทำอยู่ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน มัวรอกินแต่เงินเดือนมีหวังไส้แห้งตาย ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีรถขับ เงินเดือนครูน่ะมันซักกี่ตังค์เชียว" หล่อนดูแคลนอาชีพสุจริต ท่านพระครูอยากตบอกผาง ๆ คิดไม่ทันคาดไม่ถึงว่าจะมาเห็นมาได้ยิน หรือว่าเดี๋ยวนี้ครูบาอาจารย์เขาเปลี่ยนแนวการสอนกันแล้ว ช่างน่าสลดใจเสียเหลือเกิน อยากรู้นักว่า ถ้ารัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการมาได้ยินเข้า ท่านจะทำประการใด การที่อาจารย์ผู้นั้นอ้างว่า เพื่อน ๆ ของหล่อนก็ปฏิบัติอย่างเดียวกัน ย่อมแสดงว่าไม่ได้มีหล่อนเพียงคนเดียวที่สอนผิด ๆ แบบนี้ น่าสงสารพวกลูกศิษย์ผู้เป็นอนาคตของชาติ ที่มีครูบาอาจารย์เป็นมิจฉาทิฐิสุดโต่งถึงปานนั้น
ท่านพระครูเล่าเรื่องอาจารย์สาวให้นายสมชายฟังขณะเดินทางกลับวัดป่ามะม่วง
"จริงหรือครับหลวงพ่อ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้"
"อ้อ นี่เธอว่าฉันพูดเท็จงั้นสิ" ท่านย้อนเสียงเรียบ
"เปล่าครับ เปล่า ผมน่ะเชื่อหลวงพ่อ แต่ไม่อยากเชื่อว่าอาจารย์คนนั้นแกจะเพี้ยนถึงปานนั้น น่าเป็นห่วงประเทศชาตินะครับ คนสมัยนี้จิตใจต่ำลงไปทุกวัน เห็นแก่ความสุขสบายทางกาย จนลืมนึกถึงความถูกต้องดีงาม วันนี้ไม่รู้เป็นวันอะไรครับหลวงพ่อ เราถึงได้เจอแต่เรื่องไม่ดีไม่งามมาสองเรื่องแล้ว"
"วันนี้เป็นวันพฤหัสบดี" ท่านพระครูตอบหน้าตาเฉย เห็นอีกฝ่ายหนึ่งไม่ต่อกลอน จึงพูดต่อไปว่า
"ประเดี๋ยวเธอแวะอ่างทองด้วย ฉันจะไปเยี่ยมโยมปั่นเขาหน่อย จำทางไปบ้านโยมปั่นได้รึเปล่า"
"จำได้ครับ นิมนต์หลวงพ่อพักผ่อนเถิดครับ ถึงแล้วผมจะเรียนให้ทราบ" เมื่อนายสมชายพูดเช่นนั้น ท่านพระครูจึงนั่งหลับตา ซึ่งนายสมชายคิดว่าท่านคงหลับ หากความจริงแล้วท่านไม่ได้หลับ ท่านกำหนดจิตแผ่เมตตาให้กับบรรดาสัมภเวสีไปตลอดทาง
ผู้ที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุรถชนกัน มักจะไปเกิดเป็นพวกสัมภเวสี ซึ่งแปลว่าพวกแสวงหาภพ คือยังไม่เกิดเป็นที่ตามกรรมที่ตนกระทำไว้ เพราะขณะที่ตายนั้น จิตเป็นกลาง ๆ ไม่เป็นกุศลและไม่เป็นอกุศล หากตายขณะที่จิตเป็นกุศล ก็จะไปเกิดในสุคติภูมิ แต่ถ้าจิตเป็นอกุศล ก็จะไปเกิดในทุคติภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เป็นต้น ส่วนพวกที่ตายในขณะจิตเป็นกลาง ๆ จะไปเกิดเป็นสัมภเวสี เมื่อใดที่สัมภเวสีเหล่านี้ระลึกถึงกรรมที่ตนกระทำไว้ ก็จะไปเกิดในภพภูมิที่เหมาะสมกับกรรมนั้น
ท่านพระครูนั่งแผ่เมตตาให้พวกสัมภเวสีมาตลอดทาง กระทั่งถึงทางแยกเข้าสู่จังหวัดอ่างทอง มีอุบัติเหตุรถชนกันข้างหน้า ทำให้รถติดยาวเป็นพรืด นายสมชายหันมามองท่านพระครู เหมือนจะปรารภว่าได้เกิดอะไรขึ้น เห็นท่านนั่งหลับจึงไม่กล้าถาม แต่ท่านก็พูดขึ้นเหมือนรู้ใจเขาว่า
"รถชนกันข้างหน้า มีตายสามศพ ถ้าเธอไม่เชื่อจะลองเดินไปดูก็ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพลิกศพ"
"แถวนี้คนตายบ่อยนะครับ เห็นเขาว่ามีผีตายโหงสิงอยู่" นายสมชายพูดพลางหยุดรถตามคันหน้า เขาไม่จำเป็นต้องลงไปดู เพราะรู้ว่าสิ่งที่ท่านพระครูพูดนั้นจริงโดยไม่ต้องพิสูจน์
"ไม่ใช่ผีตายโหงหรอกสมชาย ผีตายทั้งกลมน่ะ" ท่านพระครูบอกหลังจากใช้ "เห็นหนอ" ตรวจสอบแล้ว
"ทำไมเขามาอาละวาดแถวนี้ล่ะครับหลวงพ่อ"
"เพราะแรงอาฆาตนั้นแหละ คือ ผู้หญิงคนนี้เขาปวดท้องจะออกลูก หมอตำแยเขาทำคลอด เด็กก็ไม่ยอมออกสักทีจนเขาหมดปัญญา ก็เลยพากันหามมาจากหมู่บ้านจะพาไปส่งโรงพยาบาลในเมือง พอถึงปากทางโบกรถคันไหน ๆ ก็ไม่มีใครหยุดรับ รถประจำทางก็ไม่มีเพราะมืดแล้ว เขาก็ทุกข์ทรมานจนกระทั่งขาดใจตาย เลยอาฆาตแค้นคนที่ขับรถผ่านไปมา จึงแกล้งให้เกิดอุบัติเหตุ นี่ก็ร่วมร้อยศพแล้วมั้ง" ท่านเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหกเดือนมาแล้ว
"แล้วบาปไหมครับหลวงพ่อ เขาทำอย่างนั้นบาปไหม" นายสมชายถามอย่างอยากรู้
"บาปซิ ทำไม่จะไม่บาปเล่า"
"ผีก็ทำบาปได้ใช่ไหมครับหลวงพ่อ"
"ทำได้ ไม่ว่าผีว่าคน หรือแม้กระทั่งเทวดา ถ้าทำบาปก็ได้บาป อย่างวิญญาณผู้หญิงคนนี้เที่ยวก่อกรรมทำเข็ญกับคนใช้รถใช้ถนน เท่ากับเป็นการสะสมบาปไว้"
"แล้วทำไมไม่ตกนรกเล่าครับหลวงพ่อ ทำไมยมบาลไม่มาเอาตัวไปลงโทษ ปล่อยให้รังควานคนอื่นเขาอยู่ได้"
"มันก็พูดยากนะสมชาย ความอาฆาตพยาบาทนั้นหากมีพลังมาก มันก็สามารถฝืนแรงกรรมได้เหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะฝืนได้ตลอดไป เพราะในที่สุดก็ต้องชดใช้กรรมที่ตัวเองทำเอาไว้"
"หมายความว่า ในที่สุดวิญญาณของผีตายทั้งกลมนี้ก็ต้องไปรับโทษทัณฑ์ในเมืองนรกใช่ไหมครับ"
"ต้องเป็นอย่างนั้น"
"แล้วอีกนานไหมครับ กว่าเขาจะได้รับโทษ"
"มันก็ขึ้นอยู่กับแรงบุญแรงบาปที่เขาทำมา ถ้าแรงบุญมีมาก อีกไม่นานเขาก็จะสำนึกได้ว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นมันเป็นบาป ก็จะเลิกเสีย แต่ถ้าแรงบาปมีมาก เขาก็จะสะสมบาปต่อไปจนกระทั่งกฎแห่งกรรมมันทำหน้าที่ของมัน"
"แล้วหลวงพ่อจะช่วยเขาได้บ้างไหมครับ ผมหมายถึงหลวงพ่อน่าจะให้เขารู้บาปบุญคุณโทษโดยเร็ว จะได้เลิกก่อกรรมทำเข็ญ" คนพูดพูดจากจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา
ฉันก็ว่าจะลองดูเหมือนกัน แต่ก็ไม่หวังว่าเขาจะเชื่อฟังที่ฉันพูดหรอกนะ ถ้าตอนมีชีวิตอยู่ เขาเป็นมิจฉาทิฐิ ตายแล้วก็ยังคงเป็นมิจฉาทิฐิอยู่อย่างนั้น ถ้าเปลี่ยนได้ คนที่มาเกิดก็คงเป็นคนดีกันหมดแล้ว จริงไหม เพราะคน ๆ หนึ่งต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง"
"ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อลองพูดกับเขาซีครับ เผื่อเขาจะเชื่อฟังหลวงพ่อ คนที่ใช้เส้นทางนี้จะได้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ" นายสมชายแนะนำนึกสงสารทั้งคนตายและคนเป็น
"ก็ได้ ฉันจะลองดู" แล้วท่านจึงนั่งตัวตรง หลับตา สำรวมจิตเพื่อเจรจากับวิญญาณอาฆาตของหญิงนั้น
"โยม อาตมาขอคุยด้วยสักหน่อยเป็นไร" ท่านพูดกับหญิงตายทั้งกลมซึ่งมาปรากฏในนิมิต วิญญาณนั้นลอยมาหยุดเบื้องหน้าท่าน ยกมือขึ้นประนมแล้วทักว่า
"ท่านพระครูเจริญใช่ไหมจ้ะ หลวงพ่ออยู่วัดป่ามะม่วงใช่ไหม"
"โยมรู้จักอาตมาด้วยหรือ" ถามอย่างแปลกใจ
"รู้ซีจ๊ะ ฉันเคยไปทำบุญที่วัดป่ามะม่วงสามสี่ครั้ง หลวงพ่อยังชวนฉันมาเข้ากรรมฐาน พอดีฉันตั้งท้องลูกคนแรกเสียก่อน เลยไม่ได้ไป คิดว่าคลอดลูกแล้วพอลูกโตก็จะหาโอกาสไปให้ได้ ก็พอดีมาตายเสียก่อน ตายทั้งกลมเสียด้วย" หล่อนร้องไห้กระซิก ๆ แล้วจึงพูดต่ออีกว่า "คนมันใจร้าย มันไม่ยอมหยุดรถรับฉันไปโรงพยาบาล ฉันต้องนอนเจ็บปวดกระทั่งขาดใจตายด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส"
"โยมก็เลยทำการแก้แค้นใช่ไหม สามศพข้างหน้านั่นก็ฝีมือโยมใช่ไหม" ท่านพระครูพูดด้วยเสียงตำหนิ
"ก็ฉันแค้น" หล่อนพูดเสียงอ่อย
"แล้วทำอย่างนั้นมันหายแค้นหรือเปล่า คนที่โยมทำเขาตายนั่น เขาไปสร้างความแค้นให้โยมหรือเปล่า มันคนละคนกันใช่ไหม หรือว่า โยมจำได้ว่าคนที่ไม่ให้โยมขึ้นรถน่ะเป็นใคร"
"จำไม่ได้จ้ะ"
"ก็ในเมื่อจำไม่ได้ แล้วโยมเที่ยวไปทำร้ายเขาอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกต้อง รู้ไหมว่าโยมกำลังสร้างเวรสร้างกรรม แล้วตัวโยมเองนั่นแหละจะต้องมารับเวรรับกรรมในภายหลัง หยุดเสียเถิด อาตมาขอบิณฑบาต นะโยมนะ" ท่านขอร้องขณะเดียวกันก็แผ่เมตตาให้หล่อนด้วย
เมื่อได้รับกระแสเมตตาที่ท่านแผ่มาให้ วิญญาณอาฆาตดวงนั้นก็นำนึกในบาปบุญคุณโทษ หล่อนกราบท่านพระครูแล้วพูดว่า
"ฉันหยุดแล้วจ้ะหลวงพ่อ หยุดแล้ว นับแต่วันนี้ต่อไป ฉันจะเลิกก่อกรรมทำเข็ญ แต่คนอื่น ๆ เขาจะคิดยังไงฉันไม่รู้นะจ๊ะ เพราะบางคนเขาก็เชื่อฟังฉัน แต่บางคนก็ดื้อรั้น" หล่อนหมายถึงดวงวิญญาณอื่น ๆ ที่ตายเพราะอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากความอาฆาตของหล่อน
"เดี๋ยวอาตมาจะแผ่เมตตาไปให้พวกเขา แล้วโยมค่อยไปบอกก็แล้วกัน จากนั้นก็ให้โยมไปเข้าฝันพวกชาวบ้านให้จัดการทำบุญปัดรังควาญกันที่ถนนนี่แหละ ชวนพรรคพวกไปด้วยนะ บอกหลาย ๆ เสียงเขาจะได้เชื่อ" ท่านแนะนำ
"หลวงพ่อ แล้วฉันจะตกนรกไหมจ๊ะ ฉันรู้ว่าฉันจะต้องตกนรกอย่างแน่นอน หลวงพ่อช่วยฉันด้วย" หล่อนอ้อนวอน รู้สึกกลัวภัยอันเกิดจากบาปกรรมที่ต้นสร้างด้วยแรงโทสะ
"อาตมาคงช่วยได้ไม่มากนักหรอก โยมจะต้องก้มหน้ารับกรรมที่โยมก่อ ที่โยมกลับใจได้นี่ก็เป็นผลดีกับตัวโยมมากแล้ว เพราะจะได้ไม่ต้องไปตกนรกนาน อาตมาเห็นจะต้องลาละ" ท่านกำหนดลืมตา
เป็นเวลาเดียวกับที่ตำรวจทางหลวงจัดการนำศพและซากรถที่ขวางทางอยู่ออกได้ รถจึงวิ่งได้ตามปกติ
"สำเร็จไหมครับหลวงพ่อ" นายสมชายถามขณะเคลื่อนรถตามคันหน้าไปอย่างช้า ๆ
"โชคดีที่เขารู้จักฉัน เลยพูดกันง่ายหน่อย ก็ต้องนับว่าเป็นบุญของเขา ขืนดื้อดึงก็ต้องก่อกรรมทำเข็ญไปอีกนาน"
"แล้วหลวงพ่อรู้จักเขาไหมครับ"
"ไม่รู้จัก เขาบอกเขาเคยไปทำบุญที่วัดป่ามะม่วง ก็คนไปทำบุญมีเป็นร้อยเป็นพัน ฉันจะจำยังไงไหว ขืนจำได้หมดก็เป็นผู้วิเศษเท่านั้น"
"แต่ใคร ๆ เขาก็คิดกันทั้งนั้นว่า หลวงพ่อเป็นผู้วิเศษ ไม่งั้นจะพูดกับผีได้หรือ" นายสมชายไม่ยอมแพ้
"รีบ ๆ ไปเถอะไป๊ จะได้ถึงบ้านโยมปั่นเร็ว ๆ" ท่านพูดตัดบท คร้านที่จะอธิบายให้นายสมชายหรือใครต่อใครฟังว่า ท่านมิใช่ผู้วิเศษ ท่านเป็นเพียงผู้ต้องการละกิเลส แล้วก็ละได้เกือบจะหมดสิ้นแล้ว....




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 11:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.. อนุโมทนาแล้วๆๆ..


:b29: ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2012, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อนายสมชายนำรถเข้ามาจอดหน้าเรือนปั้นหยาหลังใหญ่ ฝูงสุนัขก็วิ่งกรูกันเข้ามา ส่งเสียงเห่าอึงคะนึง
ไม่มีผู้ใดลงมาไล่ฝูงสุนัขฝูงนั้น ท่านพระครูจึงแผ่เมตตาไปยังพวกมัน แล้วบอกนายสมชายว่า "ไป ลงจากรถได้แล้ว รับรองว่าปลอดภัย" ชายหนุ่มจึงเปิดประตูลงจากรถอย่างหวาด ๆ แล้วอ้อมมาเปิดประตูให้ท่านลงอีกด้านหนึ่ง ฝูงสุนัขวิ่งกระดิกหางเข้ามาต้อนรับพลางส่งเสียงงี้ดง้าด
ท่านพระครูเดินนำนายสมชายขึ้นไปบนบ้าน พบนางปั่นนอนแบ็บอยู่บนเตียงนอกชาน ที่นอนเปียกชื้นด้วยน้ำปัสสาวะคละเคล้ากั้บน้ำเหลืองส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง
"โยมปั่น อาตมามาเยี่ยม" ท่านเอ่ยทัก นายสมชายยกเก้าอี้มาให้ท่านนั่งข้างเตียง
"หลวงพ่อหรือจ๊ะ โถ อุตส่าห์มาเยี่ยม ขอบคุณมากจ้ะ" นางพูดพลางยกมือขึ้นประนมทั้งที่นอนแบ็บอยู่อย่างนั้น เนื่องจากป่วยเป็นอัมพาตเดินไม่ได้มาห้าหกปีแล้ว
"สมขาย ไหนล่ะของเยี่ยม" ท่านถามหาของซึ่งเตรียมมาจากวัดป่ามะม่วง
"อยู่ในรถครับ เดี๋ยวผมลงไปเอามาให้" พูดจบก็ลงบันไดไป สักครู่จึงขึ้นมาพร้อมกับถาดทรงกลม ในถาดบรรจุโอวัลติน นมสด และนมข้น เขาวางลงข้าง ๆ เตียงแล้วถอยออกมานั่งเสียไกล เพราะทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว
"หลวงพ่อมาเยี่ยมฉันก็เป็นพระคุณแล้ว ไม่ต้องเอาอะไรมาให้ก็ได้" นางปั่นพูดอย่างเกรงใจ
"ไม่เป็นไรหรอกโยม อะไรที่พอจะช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยกันไป อย่าไปคิดมากเลยนะ นี่โยมอยู่คนเดียวหรือ โยมผู้ชายไปไหนเสียล่ะ" ท่านถามหาสามีของนางปั่น
"ไปนาจ้ะ ไปดูเขาเกี่ยวข้าว จ้างเขาคนละยี่สิบห้าบาทต่อวัน ก็เลยต้องไปคุม เห็นว่าวันนี้มากันตั้งสิบคน"
"แล้วโยมกินข้าวกินปลายังไงล่ะ ช่วยตัวเองได้บ้างไหม" ท่านถามอย่างเป็นห่วง
"ไม่ได้เลยจ้ะหลวงพ่อ เมื่อเช้าทิดเขาป้อนข้าวแล้วก็ออกไปนา กลางวันก็กลับมาป้อนอีก เรื่องกินก็เลยไม่ลำบากเท่าไหร่ จะลำบากก็ตอนหนักตอนเบานี่แหละ เหม็นคลุ้งเลย" นางพูดอย่างเกรงใจท่านพระครู รู้ว่าท่านจะต้องเหม็น ขนาดลูกศิษย์ยังเลี่ยงไปนั่งเสียไกล
ท่านพระครูมีอันต้องกำหนด "กลิ่นหนอ" เพราะเป็นคนรักความสะอาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
"ลูกเต้าเขาไปไหนกันหมดล่ะ โยมมีลูกหลายคนไม่ใช่หรือ" ท่านถามพลางนึกตำหนิลูก ๆ ของนางที่ปล่อยให้แม่ต้องมานอนป่วยอยู่เดียวดายเช่นนี้
"เขามีครอบครัวแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ตั้งแต่แบ่งนาให้ไปคนละสามร้อยไร่ ก็ไม่มีใครมาให้เห็นหน้าอีกเลย เหลือแต่ลูกสาวคนสุดท้องที่กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ เมื่อสองสามวันก่อนเขามาบอกให้ฉันหาเงินไว้ให้สักสองหมื่น เขาว่าเขาจะเอาไปพิมพ์หนังสือ"
เสียงแตรรถดังอยู่หน้าบ้าน ท่านพระครูหันไปมองก็เห็นรถ บีเอ็มดับบลิว สีตะกั่วตัด วิ่งมาจอดคู่กับรถตู้ของท่าน คนขับเป็นผู้หญิงอายุในราวยี่สิบห้า มีผู้หญิงวัยเดียวกันตามมาอีกสี่ห้าคน ฝูงสุนัขวิ่งกรูเข้ามา แต่ถูกคนที่ขับรถไล่ตะเพิดออกไป
"ขึ้นบ้านก่อน เดี๋ยวไปเอาเงินกับแม่เดี๋ยว ไม่รู้ว่าหาให้ได้หรือยัง" หล่อนพูดพลางเดินนำขึ้นไปบนบ้านเห็นพระนั่งอยู่ข้าง ๆ มารดาจึงยกมือไหว้
"หนูมาหาใครจ๊ะ" ท่านทักขึ้นก่อน
"มาหาแม่จ้ะ ฉันเป็นลูกสาวคนที่นอนอยู่บนเตียงนี่" หล่อนชี้ที่มารดา ส่วนเพื่อน ๆ ของหล่อนนั่งรออยู่ห่าง ๆ
"หนูมาก็ดีแล้ว ช่วยซักผ้านุ่งและผ้าปูที่นอนให้แม่เขาด้วย กลิ่นอุจจาระปัสสาวะคลุ้งไปหมด" ท่านถือโอกาสใช้
"ไม่ได้หรอกหลวงพ่อ หนูจะรีบไป" พูดพลางหันไปมองเพื่อน ๆ ซึ่งขยิบหูขยิบตาใส่ทำนองว่า "อย่าซัก"
"จะรีบไปไหนล่ะจ๊ะ"
"ไปเผาศพญาติของเพื่อนที่อยุธยาค่ะ" หล่อนตอบ รู้สึกไม่พอใจที่ถูกซักไซ้ไล่เลียง
"ก็ซักผ้าให้แม่ก่อนแล้วค่อยไป คงกินเวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีหรอกน่า" หญิงสาวหันไปมองเพื่อน ๆ อย่างเกรงใจ เห็นพวกเขาทำบุ้ยใบ้ว่าไม่ให้ซัก จึงบอกท่านพระครูว่า
"ไม่ได้หรอกหลวงพ่อ เดี๋ยวเพื่อน ๆ เขาจะรอ"
"ก็ให้เขารอสักประเดี๋ยวจะเป็นไรไป"
"เดี๋ยวไปไม่ทันงานศพ" หล่อนตอบเสียงห้วน รู้สึกรำคาญขึ้นมาตะหงิด ๆ เป็นพระเป็นเจ้ามายุ่งอะไรกับเรื่องของหล่อน ขนาดแม่หล่อนแท้ ๆ ยังไม่กล้าใช้
ท่านพระครูล่วงรู้ความคิดของหญิงสาว การที่ท่านเซ้าซี้ให้หล่อนซักผ้าให้มารดาก็เพื่อจะช่วย "ตัดกรรม" ให้ แต่หล่อนกลับแสดงอาการไม่พอใจจนออกนอกหน้า ท่านจึงพูดเสียงค่อนข้าดังว่า "ขอโทษเถอะหนู อาตมาขอถามตรง ๆ ว่า คนที่ตายน่ะเขามีความสำคัญต่อหนูมากกว่าแม่ของหนูหรือไง แล้วถ้าหนูไม่ไปเผาศพเขา จะทำให้งานต้องล้มเลิกไปเลยใช่ไหม" ท่านประชดหากหล่อนไม่สนใจ หันไปพูดกับมารดาว่า "แม่ เงินสองหมื่นหาได้หรือยัง ที่หนูขอไว้ไปพิมพ์วิทยานิพนธ์น่ะ"
"ยังหาไม่ได้หรอกอีหนูเอ๊ย พ่อเอ็งเขามัวยุ่งอยู่กับเรื่องเกี่ยวข้าว เลยยังไม่มีเวลาไปหยิบไปยืมใคร" นางปั่นพูดอย่างเกรงใจลูกสาว
"แล้วเมื่อไหร่จะได้ล่ะ บอกตั้งหลายวันแล้ว" ลูกสาวพูดเกือบเป็นตะคอก ท่านพระครูจึงถือโอกาสถามขึ้นว่า
"หนูเรียนอยู่ที่ไหนล่ะจ๊ะ"
"หนูเรียนปริญญาโทอยู่กรุงเทพฯ ค่ะ กำลังทำวิทยานิพนธ์ จะมาขอเงินแม่เขาไปพิมพ์" หล่อนพูดอย่างภาคภูมิใจ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้น เมื่อท่านถามเรื่องเรียน
"อ้อ เรียนปริญญาโทเชียวหรือ อยู่สถาบันไหนล่ะ" หญิงสาวเอ่ยนามมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองไทย ท่านพระครูกลับลงความเห็นว่า "ไม่น่า คนอย่างหนูนี่ไม่น่าจะได้เรียนในมหาวิทยาลัยดี ๆ อย่างนี้"
"ทำไมหรือคะ"
"ก็ทำให้เสียชื่อเสียงสถาบันเขาหมดน่ะซี" ท่านว่าเอาตรง ๆ
"เสียชื่อยังไงคะ หนูเสียหายตรงไหน" ถามโกรธ ๆ
"เสียหายตรงที่หนูไม่มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมอยู่ในจิตใจนะซี แม่นอนป่วยแทนที่จะมาพยาบาลรักษา กลับเห็นญาติของเพื่อนสำคัญกว่า อาตมาขอว่าหนูตรง ๆ อย่างนี้แหละ น่าเสียดายที่มีความรู้สูง แต่คุณธรรมไม่มีเลย หนูจำไว้ด้วยว่า ความรู้นั้นต้องคู่กับคุณธรรม ถ้ามีแต่ความรู้อย่างเดียวก็เป็นคนดีไม่ได้" ท่านพระครูเทศน์ยืดยาวโดยไม่ต้องมีการอาราธนา ท่านรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะต้องรับกรรมอย่างหนัก อยากจะช่วยให้กรรมนั้นเบาบางลง จึงต้องลงทุนเทศนาหล่อน ทั้งที่รู้ว่ามันทำให้หล่อนขัดเคือง
ด้วยความเมตตาสงสารไม่อยากให้เขาประสบเคราะห์กรรม ท่านจึงพูดกับเขาอย่างอ่อนโยนว่า
"หนู อาตมาขอร้องเถอะ หนูช่วยเอาผ้าแม่ไปซักหน่อย แล้วหนูจะเจริญรุ่งเรืองเชียวละ นี่ถ้าอาตมาไหว้หนูได้ก็จะไหว้เดี๋ยวนี้เลย นะหนูนะ"
"ไม่ซ้งไม่ซักหรอก คนจะรีบ หลวงพ่ออยากซักก็ไปซักเองสิ" นิสิตปริญญาโทกล่าวจ้วงจาบพระสงฆ์
"หนู นี่ถ้าโยมปั่นเป็นแม่อาตมา อาตมาจะซักให้หนูดูอย่างไม่รังเกียจเลย แต่จนใจที่ทำไม่ได้ เพราะมันผิดวินัย พระวินัยอนุญาตให้ทำให้แม่ได้เท่านั้น ทำให้คนอื่นไม่ได้"
"วินงวินัยอะไรหนูไม่สนใจหรอก หนูไปละ แม่ไปก่อนนะ อย่าลืมหาเงินไว้ให้ด้วยล่ะ" พูดแล้วก็ชวนเพื่อน ๆ ลงเรือนไป ไม่สนใจที่จะไหว้ลาท่านพระครูด้วยซ้ำ
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงมองตามรถบีเอ็มดับบลิว ด้วยความรู้สึกสลดหดหู่ ท่านหันไปพูดกับนางปั่นว่า
"ไม่ไหว นี่โยมเลี้ยงลูกยังไงถึงได้เป็นแบบนี้"
"มันเวรกรรมของฉันจ้ะหลวงพ่อ" นางปั่นพูดไปร้องไห้ไป
"นี่เขาก็มาข่มขู่จะเอาเงินไปพิมพ์หนังสือ ฉันก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหนให้เขา สมบัติอะไรก็แบ่งให้ไปหมดแล้ว นาสามร้อยไร่นั่นเขาก็ขายหมด เอาไปแลกรถคันนั้นได้คันเดียว บอกเขาก็ไม่เชื่อ ห้ามเขาก็ไม่ฟัง" นางร้องไห้สะอึกสะอื้น
"นี่ดีนะที่เป็นลูกโยม ถ้าเป็นลูกอาตมาละก็ คงตัดหางปล่อยวัดไปแล้ว"
"อย่าไปว่าเขาเลยจ้ะหลวงพ่อ มันเป็นกรรมของฉันเอง" นางปั่นไม่วายเข้าข้างลูก
"ขอถามหน่อยเถอะโยม ตั้งแต่โยมนอนป่วยมานี่ ลูกสาวเขาเคยซักผ้าให้ไหม ผ้าที่เปื้อนอุจจาระปัสสาวะของโยมน่ะ"
"ไม่เคยจ้ะ เขารังเกียจ มีแต่ทิดนั่นแหละเขาซักให้" นางหมายถึงผู้เป็นสามี พูดยังไม่ทันขาดคำนายขำก็ขึ้นเรือนมา ครั้นเห็นท่านพระครูจึงเข้ามานั่งยอง ๆ ยกมือไหว้
"หลวงพ่อมานานแล้วหรือครับ"
"สักพักหนึ่งเห็นจะได้ เป็นไงวันนี้เกี่ยวข้าวได้กี่ไร่"
"สักสามสี่ไร่เห็นจะได้ครับ วันนี้จ้างคนมาเกี่ยวสิบคน เดี๋ยวนะครับ ผมขอตัวไปหาน้ำมาถวายหลวงพ่อก่อน" พูดพลางตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่ท่านพระครูห้ามไว้
"ไม่ต้องหรอกโยม อาตมาเรียบร้อยมาแล้ว โยมมาเหนื่อย ๆ นั่งพักเสียก่อน เดี๋ยวอาตมาก็จะกลับแล้ว"
"ทิด เมื่อกี้อีหนูมันมาเอาเงินแน่ะ" นางปั่นบอกสามี
"แล้วแกทำยังไงล่ะ บอกมันว่ายังไง"
"ก็บอกไปว่ายังหาไม่ได้ ท่าทางมันโกรธเชียว"
"ลูกสาวโยมนี่ไม่ไหวเลยนะ อาตมาให้ช่วยซักผ้าให้โยมปั่น เขาก็ไม่ยอมซัก" ท่านพระครู "ฟ้อง"
"เหลือเกินเลยแหละครับหลวงพ่อ เขาถือว่าเรียนสูงกว่าพ่อกว่าแม่ จะสอนจะสั่งยังไงเขาก็ไม่ฟัง ดูถูกพ่อแม่ว่าจบแค่ ป.๔ ผมว่าเขาคงไปไม่ถึงไหน อย่าหาว่าแช่งลูกเลย" นายขำพูดอย่างอ่อนล้า รู้สึกผิดหวังที่มีลูกไม่ได้ดังใจสักคนเดียว
"อย่าไปโทษลูกมันเลยทิดเอ๊ย มันเป็นกรรมของข้าเอง" นางปั่นปรามสามีพลางขยับตัวอย่างลำบาก การนอนแบ็บอยู่กับที่เป็นเวลาแรมปี ทำให้เนื้อบริเวณหลังเปื่อยกลายเป็นแผลเรื้อรัง น้ำเหลืองไหลเยิ้ม
"แกก็เข้าข้างมันทุกที มันถึงได้เป็นยังงี้ไงล่ะ" นายขำว่าภรรยา
"ก็มันจริง ๆ นี่นา หลวงพ่อเชื่อฉันเถิดจ้ะ ว่ามันเป็นกรรมของฉันเอง ฉันทำกรรมไว้กับแม่ ลูกก็เลยทำกับฉันเหมือนกับที่ฉันเคยทำกับแม่ ฉันจะเล่าให้หลวงพ่อฟัง" นางหยุดหายใจลึก ๆ สองสามครั้งแล้วจึงเริ่มต้นเล่าด้วยเสียงแหบเครือ
"แม่ฉันก็เป็นอัมพาตนอนป่วยอยู่เป็นปี ฉันไม่เคยซักผ้าให้แก ตอนนั้นฉันอยู่กับยาย ไม่ได้อยู่กับแม่ เวลายายให้เอาข้าวมาส่งให้แม่ ฉันก็เอามาส่งแล้วก็รีบกลับไปบ้านยาย แม่เคยขอร้องฉันว่า อีหนูช่วยซักผ้าให้แม่หน่อย ฉันก็ไม่ยอมซัก พ่อกลับจากนาก็ต้องมาซักผ้าให้แม่
ฉันอยู่กับยายไม่เคยไปพยาบาลแม่เลย อยู่กันคนละบ้าน ยายเป็นคนทำกับข้าวให้ฉันเอาไปส่งแม่ทุกวัน ส่งเสร็จฉันก็กลับ ไม่เคยซักผ้าให้แม่สักครั้งเดียว ฉันถึงไม่โกรธลูกที่เขาไม่ซักผ้าให้ฉัน" นางปั่นเล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้ท่านพระครูฟัง
"อ้อ อย่างนี้เอง" เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงเพิ่งจะเข้าใจเดี๋ยวนั้นว่า เหตุใดท่านจึงมองเห็น "กฎแห่งกรรม" ของลูกสาวนางปั่น ครั้นจะเล่าให้สองผัวเมียฟังก็เกรงเขาจะไม่สบายใจ จึงนิ่งเสีย
อาตมาเห็นจะต้องลากลับเสียที โยมจะได้พักผ่อนกัน" รู้ว่าท่านจะกลับ นางปั่นก็มีอันเจ็บปวดตามเนื้อตัวขึ้นมาทันที ตอนคุยกับท่านรู้สึกเพลินจนลืมความเจ็บปวด นางร้องครวญครางขึ้นว่า "หลวงพ่อ ฉันทรมานเหลือเกิน ช่วยฉันด้วย"
"โยมเคยเข้ากรรมฐานมาแล้วไม่ใช่หรือ อาตมาจำได้นะ จำได้ว่าโยมเคยไปอยู่วัดป่ามะม่วงหลายวัน"
"จ้ะ ฉันเคยไปเข้ามาสองครั้งตอนก่อนจะล้มป่วย ครั้งแรกอยู่เจ็ดวัน ครั้งที่สองสิบห้าวัน"
"นั่นแหละ โยมก็เอาวิชานั้นนั่นแหละมาใช้"
"ใช้ยังไงจ๊ะหลวงพ่อ ฉันลืมหมดแล้ว เพราะตั้งแต่กลับจากวัด ก็ไม่ได้ปฏิบัติอีก ยิ่งพอมาล้มป่วยก็เลยเลิกพูดถึงไปเลย
"เอาเถอะลืมก็ไม่เป็นไร อาตมาจะช่วยทบทวนให้ ก็ยังดีกว่าเริ่มใหม่ทั้งหมด คนที่เคยปฏิบัติแล้วอย่างน้อยก็ต้องมีเชื้อหลงเหลืออยู่บ้าง ฟังนะ โยมเจ็บตรงไหน หรือที่เรียกว่าเอาความเจ็บปวดมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน แล้วก็กำหนด "ปวดหนอ" หรือ "เจ็บหนอ" ไปตามที่เป็นจริง ถ้ามันทั้งเจ็บทั้งปวดก็กำหนดว่า "เจ็บปวดหนอ เจ็บปวดหนอ" กำหนดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจิตจะเป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิเราก็จะรู้สึกว่าความเจ็บปวดนั้นมันคลายลง โยมทำได้ไหมล่ะ"
"จ้ะ คิดว่าคงทำได้"
"ต้องทำได้ซี อย่าไปคิดว่าคงทำได้ ให้ตั้งใจให้แน่วแน่ลงไปเลยว่าต้องทำได้ โยมต้องใช้สติข่มทุกขเวทนาให้ได้ เข้าใจหรือยัง"
"เข้าใจจ้ะ ขอบพระคุณหลวงพ่อมาก ถ้าหลวงพ่อมีเวลา กรุณามาเยี่ยมฉันอีกนะจ๊ะ ฉันคงอยู่ไปอีกไม่นาน อย่างน้อยหลวงพ่อก็จะได้มาช่วยส่งวิญญาณฉันให้ไปสุคติ" นางปั่นพูดอย่างคนที่เห็นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องปกติธรรมดา
"ไม่ต้องให้อาตมาส่งหรอก โยมส่งเองก็ได้ เราเคยปฏิบัติแล้วเราก็รู้แล้วนี่ว่าทางไหนเป็นยังไง ถ้าเราอยากจะไปทางสายนั้น เราจะต้องปฏิบัติอย่างไร"
"รู้จ้ะ แต่เวลาปฏิบัติมันทำไม่ได้อย่างที่รู้"
"นั่นแสดงว่าโยมรู้ไม่จริง ถ้ารู้จริงต้องปฏิบัติได้ จำไว้นะโยม วันนี้ อาตมามาให้สติโยมหลายเรื่องด้วยกัน และถ้าโยมปฏิบัติตามได้ โยมก็จะพ้นทุกข์ได้ อาตมาลาละ" นายขำกุลีกุจอตามมาส่งท่านที่รถ ซึ่งนายสมชายลงมารูอยู่ตั้งแต่ได้ยินว่าท่านจะกลับ ท่านพูดให้กำลังใจนายขำว่า
"อดทนเอาหน่อยนะโยมนะ คิดเสียว่าเคยทำกรรมร่วมกันมา โยมปั่นเขาคงจะเคยปรนนิบัติโยมมาแต่ครั้งอดีต โยมก็เลยต้องมาทำให้เขาบ้าง ก็ใช้ ๆ หนี้กันเสียให้หมดจะได้ไม่ต้องมีเวรมีกรรมต่อกัน"
"ครับหลวงพ่อ" ชาตินี้ผมเกิดมาใช้หนี้ลูกใช้หนี้เมีย ก็จะตั้งหน้ารับกรรมไปจนกว่าจะตาย ชาติหน้าชาติไหนผมจะไม่เกิดเป็นไอ้ขำอีกแล้ว ขอเกิดเป็นพระอย่างหลวงพ่อดีกว่า จะได้ตัดภพตัดชาติให้สิ้นไป" พูดอย่างคนที่เข็ดหลาบกับชีวิต
"ดีแล้ว อาตมาขออนุโมทนา ถ้าโยมต้องการอย่างนั้น ก็ขอให้อธิษฐานจิตแล้วหมั่นสวดมนต์ภาวนา ถ้าจิตถึง โยมก็จะได้เป็นดังที่อธิษฐาน อาตมาลาละนะโยมนะ"
"ครับ ขอบพระคุณมากครับหลวงพ่อ ขอบพระคุณที่ได้เตือนสติ ทำให้ผมมีกำลังใจต่อสู้กับชีวิตต่อไป ขอให้หลวงพ่อได้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยเร็วนะครับ" เป็นคำอวยพรที่ถูกใจท่านพระครูยิ่งนัก แม้จะตระหนักดีว่า การจะบรรลุถึงจุดหมายได้เร็วหรือช้านั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความเพียรของตนเองเป็นสำคัญก็ตาม
รถเคลื่อนออกพ้นบริเวณบ้านมาแล้ว นายสมชายจึงเอ่ยขึ้นว่า
"หลวงพ่อนั่งคุยอยู่ได้ตั้งนมตั้งนาน ไม่รู้สึกเหม็นบ้างหรือไง ขนาดผมนั่งอยู่ห่าง ๆ ยังแทบอ้วก" ท่านพระครูไม่ตอบแต่กลับถามขึ้นว่า "เธอเห็นลูกสาวเขาไหม คนที่ขับรถบีเอ็ม น่ะ ช่างน่าเกลียดเสียเหลือเกิน"
"น่าเกลียดอะไรกัน เขาสวยออกเสียดายที่ผมเกิดช้าไปหน่อย ไม่งั้นผมจีบแล้ว ทั้งรูปสวย รวยทรัพย์ นับวิชา"
"เธอก็เห็นแต่รูปภายนอก ทรัพย์ภายนอกเท่านั้นแหละ แต่รูปภายในทรัพย์ภายในเธอไม่เห็น"
"ก็ไม่จำเป็นจะต้องเห็นนี่ครับหลวงพ่อ"
"จำเป็นสิสมชาย ทำไม่จะไม่จำเป็น เพราะคนเขาคิดอย่างเธอนี่แหละ ชีวิตคู่สมัยนี้มันถึงหาความสุขไม่ได้ เพราะดูกันแค่ภายนอกนี่เอง"
"ผมไม่เถียงหลวงพ่อดีกว่า ชักปวดหัวตะหงิด ๆ แล้ว วันนี้เจอแต่เรื่องหนัก ๆ ทั้งนั้น ทำไม่ผมจะต้องมาเจอเรื่องหนัก ๆ ในวันพฤหัสบดีซึ่งเป็นวันที่ผมเกิด"
"เอาละ ไหน ๆ ก็เจอแต่เรื่องหนัก ๆ มาแล้ว ก็มาเจออีกเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน เอาหนังเสียวันเดียว วันอื่นจะได้ไม่หนัก เธอรู้หรือเปล่า ฉันเห็นกฎแห่งกรรมแม่หนูที่ขับบีเอ็ม นั่นแล้ว ในอนาคตเขาจะต้องเป็นอัมพาตเหมือนแม่เขา แล้วลูกเขาก็จะไม่มาปรนนิบัติ ยิ่งร้ายไปกว่านั้นคือ สามีเขาก็จะทิ้งเขาไปมีเมียใหม่ จะไม่มาคอยดูแลเหมือนที่พ่อเขาดูแลแม่เขา"
"ถึงว่าซี หลวงพ่อถึงได้คาดคั้นเขานัก ให้เขาซักผ้าให้แม่ หลวงพ่อต้องการจะช่วยเขานี่เอง แต่เขาก็ไม่ยอมรับความหวังดีของหลวงพ่อ น่าสงสารจริง ๆ นี่ถ้าผมอายุเท่าเขาก็คงไม่คิดจะจีบแล้ว ผมขี้เกียจมานั่งซักผ้าขี้ผ้าเยี่ยวให้ คงเหม็นตายแน่ ๆ" นายสมชายทำท่าสะอิดสะเอียน
"ฉันถึงว่ามันเป็นกรรมไงล่ะ กรรมที่ไม่มีผู้ใดจะช่วยได้ ฉันก็พยายามแล้วแต่มันไม่สัมฤทธิผล ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมดังพุทธพจน์ที่ว่า ..กมฺมุนา วตฺตตี โลโก - สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
นายสมชายพาท่านพระครูมาถึงวัดป่ามะม่วงตอนพลบค่ำ มีรถจอดอยู่ที่ลานจอดรถหลายคัน ทั้งรถกระบะ รถตู้ รถเก๋ง และมอเตอร์ไซค์ แสดงว่าคนที่มาหานั้นจะต้องมีเรื่องทุกข์ร้อนหรือรีบด่วนชนิดที่รอให้ถึงวันพระไม่ไหว ท่านรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง อยากจะพักผ่านอาบน้ำอาบท่าแต่ก็สงสารคนที่รอ จึงจำต้องเดินไปนั่งที่อาสนะ
"หลวงพ่อสรงน้ำก่อนไม่ดีหรือครับ" นายสมชายพูดอย่างเป็นห่วง ตัวเขาเองก็เหนื่อยล้าจนเหลือจะเอ่ย
"ไม่เป็นไร รู้สึกว่าญาติโยมเขามารอกันนาน เกรงใจเขา" แทนที่พวกเขาจะเป็นฝ่ายเกรงใจท่าน ท่านกลับ "เกรงใจเขา" และยอมทนทุกข์เพื่อความสุขของผู้อื่น ในโลกนี้จะมีบุคคลที่เปี่ยมด้วยเมตตาเช่นนี้สักกี่คน มีใครบ้างที่ยอมทนทุกข์เพื่อความสุขของผู้อื่น
"โยมกินข้าวกันหรือยัง" เป็นคำถามแรกที่ท่านถาม เรื่องปากเรื่องท้องย่อมมาเป็นอันดับแรก สำหรับบุคคลที่ยังเป็นผู้ครองเรือน
"เรียบร้อยแล้วครับ ค่ะ" บุรุษและสตรีที่นั่งอยู่ในกุฏิตอบพร้อมกัน ข้างหน้าของแต่ละคนมีแก้วน้ำใส่น้ำชาวางอยู่ ท่านนึกสงสัยว่าใครหนอเป็นผู้บริการ เนื่องจากนายสมชายก็ไปกับท่าน จึงถาม
"ใครเขาเอาน้ำมาเสิร์ฟล่ะ" เพราะรู้ว่าพวกแม่ครัวคงไม่ตามมาบริการน้ำถึงที่กุฏิ
"ลูกศิษย์หลวงพ่อที่เขาอยู่กุฏินี้แหละครับ คนสูง ๆ ผอม ๆ เมื่อกี้ก็ยังมาจัดคิวให้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว" คนพูดมองหน้ามองหลังเพื่อค้นหาคนที่มาบริการน้ำ ท่านพระครูต้องการคำตอบจึงต้องพึ่ง "เห็นหนอ" ก็รู้ว่าบุรุษผู้มากับก้อนหินนั่นเองที่มารับแขก ท่านไม่รู้สึกแปลกใจในความมีน้ำใจของเขา เพราะเรื่องเช่นนี้เคยปรากฏมาแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา
ครั้งนั้นมีข้าราชการหญิงจากสำนักงบประมาณมาตรวจงานที่จังหวัด แล้วก็พากันมาค้างที่วัดป่ามะม่วง บังเอิญเป็นวันที่เขานิมนต์ท่านไปบรรยายธรรมที่กรุงเทพฯ พวกแม่ครัวก็พากันไปดูลิเกหมด จึงไม่มีใครอยู่ต้อนรับแขก แม่กาหลงจึงต้องมาทำหน้าที่บริการทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เสร็จแล้วยังพาเข้าที่พักผ่อนหลับนอนเป็นที่เรียบร้อย
รุ่งเช้าท่านจึงทราบเรื่องว่ามีข้าราชการมาพักที่วัด ก็ได้ถามด้วยความเป็นห่วงว่ากินอยู่กันอย่างไร เพราะคนที่คอยบริการพากันไปดูลิเกหมด ข้าราชการหญิงคณะนั้นก็ตอบว่าลูกศิษย์หลวงพ่อที่เป็นผู้หญิงสวย ๆ ผมยาว ๆ มาต้อนรับ ทำอาหารอย่างอร่อยให้รับประทาน มียำใหญ่และแกงมัสมั่น แล้วยังตบท้ายด้วยกาแฟร้อนคนละถ้วย จากนั้นก็พาไปส่งยังกุฏิที่พัก
ท่านพระครูจัดการเรียกบรรดาแม่ครัวมาหมดวัดเพื่อให้เขาชี้ตัวว่าคนไหน เขาก็บอกไม่ใช่คนมีอายุ เพราะคนนั้นเขายังสาวและสวย พวกแม่ครัวจึงพูดขึ้นว่า สงสัยคงเป็นแม่กาหลง เขาก็ถามท่านว่าแม่กาหลงไปใคร ท่านจึงจำต้องเล่าเรื่องแม่กาหลงให้พวกเขาฟัง เขาก็เลยพากันอำลาท่านไปพักที่โรงแรมในเมือง ด้วยเกรงว่าจะต้องพบกับแม่กาหลงอีก
ผู้ที่มาถึงคนแรกคลานเข้าไปใกล้ท่าน กราบสามครั้งแล้วรายงานว่า
"หลวงพ่อครับ ผมนำอาหารมาเข้าโรงครัว มีข้าวสารกระสอบนึง แล้วก็พวกปลาแห้ง ปลาเค็ม พริก หอม กระเทียม หลวงพ่อช่วยกรวดน้ำไปให้น้องเมียผมด้วย เขามาเข้าฝันบอกว่าอดอยากมาก ให้เอาของมาบริจาคที่โรงครัววัดป่ามะม่วง แล้วก็บอกให้หลวงพ่อกรวดน้ำไปให้เขาด้วย เขาไม่เคยเข้าวัด แต่ทำไมรู้จักหลวงพ่อก็ไม่ทราบ" คนเป็นพี่เขยสงกา
"เขาบอกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ" ท่านพระครูถาม
"หลายคืนแล้วครับ ผมกับภรรยาก็ลืมอยู่เรื่อย เขามาบอกสามครั้งแล้ว"
"เขาตายนานหรือยัง แล้วเป็นอะไรตาย"
"ตายมาสักปีเห็นจะได้ เป็นไข้ตายครับ"
"อายุเท่าไหร่ตอนที่ตายน่ะ"
"ยี่สิบสามครับ เพิ่งเรียนจบและทำงานได้ปีเดียว ทำไมเขาถึงอายุสั้นเล่าครับหลวงพ่อ ผมแปลกใจว่าชีวิตของเขาดีมาตลอด แต่ทำไมอยู่ ๆ ก็มาตาย เขาเป็นน้องคนเล็กของภรรยาผม เราเลี้ยงเขาเหมือนลูก เพราะสงสารที่กำพร้าพ่อแม่ แล้วตอนนั้นผมกับภรรยาก็ยังไม่มีลูก เขาเรียนเก่งมากครับ ได้ที่หนึ่งของจังหวัดตอนจบ ม.ศ. ๓ แล้วก็ไปสอบเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมฯ จบจากโรงเรียนเตรียมเขาก็สอบเข้าเรียนต่อที่คณะวิทยาศาสตร์จุฬาฯ ตอนจบก็ได้เกียรตินิยมอันดับสอง แล้วก็เข้าทำงานที่กรมวิทยาศาสตร์มาปีที่แล้ว เขาเป็นไข้ ก็ไข้หวัดธรรมดา ๆ นี่แหละครับหลวงพ่อ ไม่น่าตายเลย" คนทำหน้าที่เป็นทั้งบิดาและพี่เขยของผู้ตายบอกกล่าว
"แล้วนิสัยใจคอเขาเป็นยังไง"
"นิสัยดีครับ ว่านอนสอนง่าย ถ้าจะเสียก็เห็นจะมีอยู่เรื่องเดียวคือ เขาไม่ชอบทำบุญ ไม่เคยทำบุญ ไม่เคยเข้าวัด แต่ตอนตายไปแล้ว ทำไมถึงรู้จักวัดป่ามะม่วง แล้วก็รู้จักหลวงพ่อด้วย ผมสงสัยจริง ๆ นะ ครับ"
"โยมมีรูปถ่ายของเขาไหม หน้าตาเขาเป็นอย่างไร"
"มีครับ พอดีภรรยาผมเขาบอกให้เอารูปถ่ายติดมาด้วย นี่ครับ" พูดพลางส่งรูปถ่ายขนาดสามนิ้วให้ท่านพระครู ท่านรับมาพิจารณาแล้ว กำหนด "เห็นหนอ" ก็เห็น "กฎแห่งกรรม" ของผู้ตายอย่างชัดเจน จึงพูดขึ้นว่า
"น้ำมันหมดน่ะโยม"
"หมายความว่ายังไงครับหลวงพ่อ" บุรุษนั้นไม่เข้าใจ
"หมายความว่ากรรมดีที่เขาสะสมมามันหมดลง การที่เขาดีมาตลอดก็เป็นเพราะทำกรรมดีมา แต่ในชาตินี้เขาหยุดทำ ไม่ทำบุญให้ทาน เรียกว่า ไม่เติมน้ำมันเลย น้ำมันที่เป็นของเก่ามันก็เลยหมด พอไปอดไปอยาก เข้าถึงได้ระลึกรู้กรรมที่ตนทำ ก็เลยเร่ร่อนมาถึงวัดป่ามะม่วง เอาเถอะแล้วอาตมาจะจัดการให้" ท่านถือโอกาสสั่งสอนผู้ที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นด้วยว่า
"ญาติโยมทั้งหลายโปรดทราบ บาปบุญนั้นมีจริง จิตวิญญาณมีจริง และสงสารวัฏก็มีจริง จงดูตัวอย่างแม่หนูคนนี้เอาไว้ ตอนที่มีชีวิตอยู่เขาไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้ แม้เขาจะฉลาดเรียนหนังสือเก่ง แต่ก็เป็นความฉลาดทางโลกเท่านั้น ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ได้เฉพาะตอนที่มีชีวิตอยู่ แต่พอตาย วิชาความรู้ทางโลกมันช่วยเราไม่ได้เลย ฉะนั้นถ้าใครอยากมีชีวิตที่ดีในภพหน้า ก็ต้องสร้างคุณงามความดีเข้าไว้ บุญกุศลเท่านั้นที่สามารถจะติดตามเราไปในภพหน้าได้ ส่วนสมบัติพัสถานเอาไปไม่ได้"
"ผมเห็นจะต้องลากลับละครับหลวงพ่อ มาตั้งแต่เช้าคิดว่าจะไม่พบหลวงพ่อแล้ว" บุรุษวัยสี่สิบเศษทำความเคารพด้วยการกราบสามครั้ง แล้วจึงลุกออกไป
รายที่สองกำลังจะคลานเข้ามาแทนที่ ชายวัยห้าสิบเศษก็กระหืดกระหอบเข้ามาในกุฏิ พูดละล่ำละลักว่า
"หลวงพ่อช่วยล่วย แม่อั๊วะ แม่อั๊วะ"
"เถ้าแก่ คิวอั๊วะ อย่าลัดคิวซี" "เจ้าทุกข์" รายที่สอง ซึ่งเป็นสตรีร่างขาวท้วมขัดจังหวะขึ้น
"ขอโทก ขอโทกล่วย แม่อั๊วะ แม่อั๊วะ กำลังจะซี้เลี้ยว หลงพ่อไปช่วยอีหน่อย" ประโยคหลังเขาพูดกับท่านพระครู ท่าทางดูร้อนรนน่าสงสารและสมเพชระคนกัน
"จะให้อาตมาช่วยอะไรล่ะเถ้าแก่ อาตมาไม่ใช่มดใช่หมอสักหน่อย" ท่านออกตัว
"ล่าย ล่าย หลงพ่อต้องช่วยล่าย ถึงไม่เป็งหมอก็ช่วยล่าย หลงพ่อช่วย อย่าให้อีตายนะ แล้วอั๊วะจะทำบุงกระหลงพ่อสองหมึ่ง" เขาให้สินบนด้วยความเคยชิน หลายคนที่นั้นแสดงอาการไม่พอใจ ชายผู้นี้มาลัดคิวคนอื่นแล้วยังแสดงอาการดูถูกท่านเจ้าของกุฏิอีกด้วย
"แหม ถ้าอาตมาช่วยได้ คนก็ไม่ต้องตายกันน่ะซี แล้วอาตมาก็คงรวยไม่รู้เรื่องเชียวละ" แล้วท่านจึงพูดให้เขาเข้าใจเสียใหม่ว่า "อาตมาไม่ใช่ผู้วิเศษหรอกเถ้าแก่ ฉะนั้นอาตมาจึงห้ามความตายไม่ได้ ถ้าจะช่วยได้ก็คงช่วยบอกทางให้คนตายไปดี ช่วยได้แค่นี้เองนะเถ้าแก่" ท่านมิได้พูดต่ออีกว่า หากบอกแล้วเขาไม่เดินไปตามทางที่ท่านบอกก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ "ยังงั้งหลงพ่อช่วยไปบอกทางให้อีก็ล่าย ไปเหลียวนี้เลย อั๊วะเอาลกมาลับเลี้ยว"
"ยังไปไม่ได้หรอกเถ้าแก่ ลื้อกลับไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้อาตมาถึงจะไปเห็นหรือเปล่าแขกเต็มกุฏิเลย"
"ถ้าอีซี้ไปก่องล่ะหลงพ่อ ใครจาบอกทางให้อี"
"เถอะน่า อียังไม่ซี้หรอก อีรอให้อาตมาไปบอกทางก่อน รับรองถ้าอีซี้ อาตมาให้ลื้อปรับ ยกวัดให้ทั้งวัดเลยเอ้า" ท่านพูดอย่างอารมณ์ดี เถ้าแก่ฟังแล้วก็ใจชื้นขึ้น เมื่อท่านบอกว่ามารดายังไม่ตายก็ต้องเชื่อท่าน ตั้งตามอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ท่านมาก็ยังไม่เห็นว่าท่านพูดผิดไปจากความจริงแม้สักครั้ง เถ้าแก่วัยห้าสิบเศษจึงกราบปะหลก ๆ แล้วลุกออกไป ไม่ลืมที่จะกล่าวคำขอบคุณสตรีร่างขาวท้วมที่ให้ลัดคิว
"หลวงพ่อคะ ลูกสาวฉันจะขึ้นบ้านใหม่วันที่ ๒๔ นิมนต์หลวงพ่อไปทำพิธีด้วยนะคะ" เจ๊ม่วยรายงาน หล่อนมาวัดบ่อยจึงคุ้นเคยกับท่านเป็นอย่างดี
"อาตมาไปไม่ได้หรอกโยม วันที่ ๒๔ ตรงกับวันพระ เป็นวันที่อาตมาไม่รับนิมนต์ไปข้างนอก ต้องอยู่ต้อนรับญาติโยมเขา"
"ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อช่วยแนะนำฉันด้วยว่าควรจะให้ใครมาเป็นคนทำพิธี แล้วช่วยดูวันด้วยว่าเป็นวันดีหรือเปล่า"
"เป็นชาวพุทธที่แท้ต้องไม่ถือฤกษ์ถือยามนะโยม ถ้าเราจะทำความดี ทำวันไหนมันก็ดีทั้งนั้น ในทางตรงข้าม ถ้าจะทำความชั่ว ทำวันไหนมันก็ชั่ววันยังค่ำ เอาเถอะถ้าตัดความคิด เรื่องฤกษ์ยามออกไปไม่ได้ อาตมาก็ขอแนะนำให้ถือวันพฤหัสว่าเป็นวันฤกษ์ดี อันนี้เป็นทรรศนะส่วนตัวของอาตมานะ อาตมาถือวันพฤหัสว่า เป็นวันดีเพราะเป็นวันพ่อวันแม่ของเรา"
"วันพฤหัสเขาถือว่าเป็นวันครูไม่ใช่หรือคะหลวงพ่อ" สตรีผู้หนึ่งแย้งขึ้น "เวลาที่เขาทำพิธีไหว้ครู เขายังทำกันในวันพฤหัส"
"ก็พ่อแม่เราไม่ใช่ครูหรือยังไง เป็นครูคนแรกของเราเชียวนะ ที่เรียกว่าเป็นบูรพาจารย์ของบุตร บูรพาจารย์ก็คือพ่อแม่ของเรานี่เอง" ท่านหันไปพูดกับเจ๊ม่วยว่า
"โยมม่วยจำไว้นะ ถ้าจะถือวันก็ให้ถือว่าวันพฤหัสเป็นวันดี ไม่ต้องไปเชื่อตามหมอดูว่ามันเป็นวันโลกาวินาศ หรือวันธงชัยอะไร ถ้าเรานับถือพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ก็ต้องถือว่าวันพฤหัสเป็นวันมงคล เข้าใจหรือยังล่ะ"
"เข้าใจค่ะหลวงพ่อ งั้นฉันจะให้เขาเปลี่ยนเป็นวันพฤหัส ก็ต้องเลื่อนออกไปอีกสามวัน หลวงพ่อไปได้หรือเปล่าคะ"
"เดี๋ยว ขออาตมาตรวจดูสมุดบันทึกก่อน" ท่านหยิบสมุดบันทึกออกมาจากย่ามแล้วเปิดดู
"ไม่ได้เสียแล้วละโยม วันพฤหัสหน้านายพลกับคุณหญิงเขาจะพาหลานมาบวชเณรที่วัดนี้ ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องให้อาตมาไปก็ได้ ประเดี๋ยวจะบอกวิธีปฏิบัติให้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง"
"งั้นหลวงพ่อช่วยแนะนำด้วยว่าจะนิมนต์พระรูปไหนไปแทน เพื่อทำพิธีเจิมประตูบ้าน"
"ไม่ต้องให้พระนอกบ้านเจิมหรอกโยม ให้พระในบ้านเจิมเป็นดีที่สุด รู้จักไหมเล่าพระในบ้านน่ะ"
"ไม่รู้จักค่ะ หลวงพ่อคงไม่ได้หมายถึงพระพุทธรูปนะคะ"
"ไม่ใช่พระพุทธรูปซี พระที่มีชีวิตจิตใจ ที่เป็นคนนี่แหละ"
"ไม่มีค่ะ บ้านลูกสาวฉันไม่มีพระ"
"มีซี ทำไมจะไม่มี ก็โยมนั่นแหละเป็นพระของเขา โยมก็เจิมได้ หรือไม่ก็ให้เตี่ยเขาเป็นคนเจิม พ่อแม่เป็นมงคลอันสูงสุดของลูกนะโยม"
"เห็นจะไม่ได้แล้วละค่ะหลวงพ่อ เพราะเตี่ยเขาตายไปนานแล้ว และฉันก็เจิมไม่เป็น"
"จะยากอะไรเล้า ก็เอานิ้วจิ้มแป้ง แล้วก็จิ้ม ๆ ไปที่ประตู จิ้มส่งเดชไปเถอะปากก็พูดไปด้วยว่า รวย รวย หรือ จะว่าเป็นภาษาจีนก็ได้ว่า เซ็งลี้ฮ้อ เซ็งลี้ฮ้อ" ท่านใช้นิ้วชี้จิ้มไปในอากาศเป็นการสาธิตให้ดู ปากก็ว่า "รวย รวย เซ็งลี้ฮ้อ เซ็งลี้ฮ้อ" ทุกคนในที่นั้นพากันหัวเราะด้วยขำในกิริยาอาการของท่าน สาธิตเสร็จก็บอกเจ๊ม่วยว่า
"ง่ายจะตายไป ทำได้ไหมล่ะ เดี๋ยวอาตมาจะให้แป้งที่จะเจิมไปด้วย เสกไว้แล้ว" แม้ท่านจะไม่นิยมการเสกการเป่า แต่กับคนระดับหนึ่งก็จำเป็นต้องใช้ เพราะมันให้ผลในทางจิตใจ
"ทำได้ค่ะ แต่ไม่รู้ว่าลูกสาวเขาจะยอมให้ทำหรือเปล่า" เจ๊ม่วยยังกังวล
"ต้องให้ซี บอกว่าหลวงพ่อวัดป่ามะม่วงสั่งมา ถ้าอยากรวยก็ต้องให้แม่เป็นคนเจิม"
"ขอบคุณหลวงพ่อมากค่ะ ถ้างั้นฉันขอแป้งไปเลยนะคะ จะได้ไม่ต้องมารบกวนหลวงพ่ออีก" ท่านพระครูจึงเรียกนายสมชาย ซึ่งขณะนั้นอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้ว ให้ขึ้นไปหยิบแป้งมาให้
รายที่สามเป็นคหบดีมาจากกรุงเทพฯ มากันทั้งสามีและภรรยา ฝ่ายสามีใส่นาฬิกาเรือนทองฝังเพชร ที่นิ้วก็มีแหวนเพชรเม็ดโตส่งประกายวูบวาบ ที่คอเป็นสร้อยทองคำหนังหลายบาท ข้างฝ่ายภรรยาก็ใส่เพชรทองเต็มตัว สวมแหวนเพชรพลอยเกือบจะทุกนิ้ว
"หลวงพ่อครับ ผมขออนุญาตคุยเรื่องส่วนตัวเป็นความลับครับ ขออนุญาตไปคุยข้างบนได้ไหมครับ" ฝ่ายสามีขออนุญาต
"จะเอายังงั้นหรือ งั้นคนอื่น ๆ รอก่อนนะ คงใช้เวลาไม่มากใช่ไหม" ท่านถามคหบดี
"คงสักสิบนาทีครับหลวงพ่อ" ท่านลุกขึ้นเดินนำบุคคลทั้งสองไปยังกุฏิชั้นบน ปิดประตูลงกลอนแล้วจึงอนุญาตให้เขาพูด "ธุระ"
"หลวงพ่อครับ ลูกชายคนโตผมที่ส่งไปเรียนอเมริกา เขาไปติดยาเสพย์ติดที่โน่น ผมจะทำยังไงดี จะเอามาบวชอยู่กับหลวงพ่อ ให้เรียนฝึกสมาธิจะได้หายติดยา หลวงพ่อจะอนุญาตไหมครับ"
"คงไม่ได้หรอกโยม การฝึกสมาธิมีประโยชน์มากก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะเรียนการฝึกสมาธิได้เสมอไป เพราะมันขึ้นอยู่กับบุญบารมีของแต่ละคน เท่าที่อาตมาได้วิจัยไว้ มีบุคคลสองประเภทที่ไม่สามารถฝึกสมาธิได้ คือคนที่เป็นโรคประสาทกับคนติดยาเสพย์ติด"
"หมายความว่า หลวงพ่อไม่ช่วยลูกดิฉันเลยหรือคะ ได้โปรดกรุณาเถิดค่ะ เรามีเงินทองมากมาย ถ้าหลวงพ่อช่วยได้ จะให้เราสร้างอะไรให้กับวัดนี้ เราก็จะทำทุกอย่าง ขออย่างเดียวให้หลวงพ่อช่วยลูกเราด้วย" ภรรยาคหบดีพูดเสียงเครือ แม้จะตกแต่งร่างกายไว้อย่างสวยงาม ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพง หากดวงหน้าของหล่อนก็เศร้าหมองเพราะความทุกข์ ทุกข์ของคนที่เป็นแม่ซึ่งย่อมร้อนรนกระวนกระวาย เมื่อรู้ว่าลูกต้องประสบเภทภัยอย่างใหญ่หลวง ความทุกข์ที่เงินร้อยล้านพันล้านก็ไม่อาจช่วยขจัดปัดเป่าได้
"โยมอย่าตีความผิดซีโยม ไม่ใช่อาตมาไม่ช่วย อาตมาอยากจะช่วยโยมทุกอย่าง แต่เรื่องของยาเสพย์ติด อาตมาไม่สามารถช่วยได้ เคยมีพ่อแม่พาลูกมาให้อาตมารักษา อาตมาก็บอกเขาไปตามตรงว่า คนที่ติดยาเสพย์ติดนั้น จะฝึกสมาธิถึงขึ้นไหนก็ไม่อาจทำให้เลิกยาได้ จะว่าถึงขั้นไหนก็ไม่ถูกนัก เพราะจริง ๆ แล้ว มันไม่ถึงสักขั้นเดียว เพราะจิตเขาซัดส่ายมาก ไม่อาจนิ่งเป็นสมาธิได้เลย" ท่านอธิบาย
"แล้วผมจะทำยังไงดีครับหลวงพ่อ นี่ก็พาไปรักษา หมดเงินหมดทองไปเป็นล้าน ๆ พอออกจากโรงพยาบาลเขาก็ไปเสพอีก"
"อาตมาว่าต้องตัดใจนะ นึกเสียว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมของเขา ถ้าป่วยไข้ธรรมดา ๆ หมออาจรักษาให้หายได้ แต่ถ้าเป็นโรคเวรโรคกรรม ไม่มีหมอที่ไหนช่วยได้ ก็ต้องปล่อยไปตามกรรมของเขา ให้โยมทั้งสองพยายามวางใจให้เป็นอุเบกขาเถิด จะได้คลายความทุกข์ร้อนลงบ้าง" ท่านพยายามปลอบใจ
"หลวงพ่อครับ ลูกชายผมทำกรรมอะไรมา ทำไมถึงต้องมาเป็นอย่างนี้ หลวงพ่อกรุณาตรวจสอบให้ด้วยเถิดครับ เผื่อผมกับภรรยาจะทำใจได้"
"ปกติอาตมาจะไม่ตรวจสอบให้ใครหรอกนะ เพราะอยากให้เจ้าตัวเขาปฏิบัติเอง จะได้รู้เองเห็นเอง แต่ในเมื่อโยมขอร้อง อาตมาก็จะตรวจสอบให้" ท่านใช้ "เห็นหนอ" ตรวจสอบก็ได้เห็น "กฎแห่งกรรม" ของคนในครอบครัวนี้อย่างครบถ้วน
การที่บุตรชายของคหบดีผู้นี้ต้องติดยาเสพย์ติดเป็นเรื่องของ "กรรมจัดสรร" คหบดีที่นั่งอยู่ตรงหน้าท่าน สร้างความร่ำรวยขึ้นมาด้วยการค้ายาเสพย์ติด เขาเป็นสายส่งจากประเทศไทยไปขายยังประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วบาปกรรมอันนั้นก็มาถึงตัวเขาโดยผ่านทางบุตร เขาทำให้ลูกคนอื่นต้องติดยา ลูกเขาก็พลอยมารับกรรมไปด้วย เป็นเรื่องของกรรมจัดสรรโดยแท้
"โยม เรื่องมันร้ายแรงเกินกว่าที่อาตมาคิดไว้ ร้ายแรงมาก โยมจะอนุญาตให้อาตมาพูดหรือเปล่า มันเป็นความลับสุดยอดของโยมเลยนะ อาตมาไม่พูดดีกว่า โยมตอบอาตมามาซิว่า โยมมีอาชีพอะไร"
"ค้าขายครับ"
"ขายอะไร ช่วยบอกชื่อสินค้าที่ทำรายได้ให้โยมถึงร้อยล้านพันล้านน่ะ บอกมาซิ"
"ก็...พวกเสื้อผ้า ผมมีโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งขายต่างประเทศ" คหบดีไม่ยอมพูดความจริง
"แต่มันไม่ตรงกับที่อาตมาตรวจสอบนะ เรื่องเสื้อผ้าเป็นเพียงเครื่องแสดงให้เห็นว่าโยมมีอาชีพเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำเงินให้โยมเป็นพันล้านน่ะ ไม่ใช่เสื้อผ้า เอาเถอะ ถ้าไม่บอกก็ไม่เป็นไร แต่จงรู้ไว้เสียด้วยว่า ถ้าโยมไม่เลิก กรรมก็จะตามมาถึงลูกชายอีกสามคนที่กำลังเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ ต่อไปเขาจะต้องติดยาตามพี่ชายเขา" ภรรยาคหบดีร้องไห้โฮออกมาพร้อมกับสารภาพว่า "ใช่แล้วค่ะหลวงพ่อ เฮียเค้าค้าผง"
"กิมเอ็ง ฝ่ายสามีเรียกชื่อภรรยาด้วยเสียงที่ดังจนเกือบเป็นตะโกน หล่อนฟูมฟายน้ำตาบอกกับเขาว่า
"สารภาพกับท่านเสียเถอะเฮีย เผื่อท่านจะช่วยเราได้ เฮียอยากเห็นลูก ๆ เราตายอย่างทรมานหรือไง" คำพูดของภรรยาทำให้คหบดีคอตก ไหนจะถูกภรรยาเปิดเผยความลับ ไหนจะห่วงอนาคตของลูก และที่กลัวมากที่สุดคือกลัวถูกฆ่าปิดปาก เคยเห็นคนถูกฆ่าตายอย่างทารุณเพราะเรื่องเช่นนี้มาแล้ว
"โยมไม่ต้องกลัวว่าอาตมาจะเปิดเผยความลับ อาตมารู้ว่ามันเป็นอันตรายสำหรับชีวิตของโยมรวมทั้งของอาตมาด้วย ไม่มีเหตุผลอะไรที่อาตมาจะต้องให้คนอื่นรู้ เพราะนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไรแล้ว ยังเกิดโทษอีกด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มันเกิดกำลังของอาตมาที่จะแก้ไขได้ คนที่หลงเข้าไปในวงการนี้ต้องถือว่า เป็นกรรม โยมอยากเลิกไหมเล่า อาตมาพอจะมีทางช่วยนะ"
"เลิกไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ ถ้าเลิกผมต้องตายแน่ ๆ เขาคงไม่ปล่อยให้ผมลอยนวลอยู่หรอกครับ"
"โยมตอบอาตมามาก่อนว่าอยากเลิกหรือเปล่า รับรองว่าอาตมาช่วยได้แน่"
"อยากครับ แต่มันเป็นไปไม่ได้ ผมมองไม่เห็นทางเลย"
"เอาละ ถ้าโยมตั้งใจว่าจะเลิก ก็ขอให้เชื่ออาตมา โยมต้องพากันมาสร้างบุญบารมีที่นี่ มาทั้งบ้านเลย คือเอาลูกชายอีกสามคนมาด้วย ส่วนคนโตช่วยเขาไม่ได้แล้ว ก็ต้องปล่อยเขาไป"
"มาช่วยสร้างวัดหรือคะ ดิฉันเต็มใจค่ะ จะให้ช่วยเป็นแสนเป็นล้านก็ได้" นางกิมเอ็งรีบเสนอตัว
"ไม่ต้องหรอกโยม เรื่องวัตถุ วัดนี้เพียงพอแล้ว การสร้างบุญบารมีที่อาตมาว่านี้ไม่ต้องเสียเงิน เอาเถอะพากันมาก็แล้วกัน แล้วอาตมาจะบอกวิธีให้ ต้องเร็วหน่อยนะ ไม่งั้นจะสายเกินแก้"
"ครับ ผมจะพากันมาพรุ่งนี้เลยครับ ผมเห็นจะต้องลาก่อน พรุ่งนี้จะมาใหม่"
สองสามีภรรยาลากลับไปด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความหวัง เพิ่งตระหนักชัดเดี๋ยวนั้นเองว่า เงินร้อยล้านพันล้านก็ช่วยดับทุกข์ใจไม่ได้
กว่าแขกคนสุดท้ายจะลากลับไปก็ตกสองยามเศษ เป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านเขาพักผ่อนหลับนอนกัน หากเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงเพิ่งจะสรงน้ำ จากนั้นท่านจึงขึ้นมายังห้องพัก ซึ่งอยู่ชั้นบนของกุฏิ ลงมือเขียนหนังสือสอบอารมณ์กรรมฐานต่อไปอีกสองชั่วโมง จนถึงเวลาตีสองจึงจำวัด คนอื่น ๆ เขาพักผ่อนหลับนอนกันวันละหกถึงสิบชั่วโมง แต่ท่านพระครูเจริญพักผ่อนวันละสองชั่วโมงเป็นอย่างมาก...




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2012, 11:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.. อนุูโมทนาแล้วๆๆ..

:b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2012, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


วันรุ่งขึ้นหลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จแล้ว ท่านพระครูจึงเดินทางไปเยี่ยมมารดาของเถ้าแก่บัวเฮงที่อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี นายบัวเฮงนำท่านเข้าไปในห้องมารดา ซึ่งมีลูกหลานห้อมล้อมอยู่เต็ม เห็นท่านมา พวกเขาพากันดีใจราวกับเทวดามาโปรด
"หลงพ่อช่วยอีล่วย ช่วยให้อีพูกกะลูกกะหลางหน่อย อีไม่ยอมพูกมาสามวังเลี้ยว" ภรรยาของนายบัวเฮงบอกให้ท่านช่วย
"ก็อีจะไปอยู่แล้ว จะให้อีพูดอะไรอีกล่ะ แล้วทำไมจะต้องพูดด้วย" ท่านย้อนถาม
"ต้องพูกซีหลงพ่อ ก็อียังไม่ล่ายแบ่งสมบัก อียังไม่ล่ายบอกว่านาจายกให้ใค ไล่ยกให้ใค เงินในทานาคางยกให้ใค" ลูกสะใภ้ของคนที่นอนแบ็บอยู่บนเตียงสาธยาย
"จริงครับหลวงพ่อ แม่ยังไม่ได้แบ่งสมบัติให้พวกเรา เกิดแกตายไปตอนนี้ พวกพี่ ๆ น้อง ๆ คงวิวาทกันเพราะเรื่องสมบัติ" ลูกชายคนรองซึ่งเป็นครู เห็นด้วยกับพี่สะใภ้ ผู้มาเยือนรู้สึกสลดใจแทนคนที่กำลังจะตาย จึงพูดขึ้นว่า
"แหม อาตมานึกว่าโยมห่วงคนเจ็บ ที่แท้ก็ห่วงสมบัตินี่เอง"
"โธ่ หลวงพ่อคะ เรื่องเงินเรื่องทองมันไม่เข้าใครออกใครนะคะ ห่วงแม่พวกเราก็ห่วงแหละค่ะ แต่ขณะเดียวกันเราก็ห่วงตัวเองด้วย ถ้าแม่ตาย หนูคงเดือดร้อนกว่าเพื่อนเพราะยังไม่ได้ทำงาน เรียนก็ยังไม่จบ" ลูกสาวคนสุดท้องพูดขึ้น พวกหลาน ๆ ซึ่งยังไม่รู้ประสีประสาพากันวิ่งเล่นเป็นที่ครื้นเครง
ท่านพระครูมองคนเจ็บอีกครั้ง หนอนตัวโตขนาดเท่านิ้วก้อยไต่ออกมาจากผ้าห่ม ท่านนึกแปลกใจว่าคนป่วยยังไม่ทันตาย แต่ทำไมมีหนอน จึงบอกให้นายบัวเฮงเลิกผ้าห่มขึ้นดู
"ตายจริงเถ้าแก่ ทำไมปล่อยให้หนอนขึ้นแม่อย่างนี้ล่ะ" ท่านพูดเชิงตำหนิเมื่อเห็นหนอนไต่ยั้วเยี้ยอยู่ที่ตัวผู้ป่วย
"ไม่รู้มันมาได้ยังไงครับหลวงพ่อ ผมก็ช่วยกันเก็บทิ้งไปหลายตัวแล้ว" ลูกชายที่เป็นครูพูด
"มังไต่มาจากแผข้างหลัง" นายบัวเฮงพูดพร้อมกับจับมารดาให้อยู่ในท่านอนตะแคง จริงดังที่เขาพูด แผ่นหลังบริเวณกระเบนเหน็บเป็นแผลเน่าลึกจนถึงกระดูก หมู่หนอนกำลังเจาะกินน้ำเลือดน้ำหนองกันให้ยุ่บยั่บไปหมด สภาพของคนเจ็บในเวลานี้ไม่ต่างไปจากซากศพที่ยังมีลมหายใจ
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงอยากรู้ต้นสายปลายเหตุจึงกำหนด "เห็นหนอ" แล้วก็ได้รู้ ได้เห็นกฎแห่งกรรมของนางกิมหงอย่างจะแจ้ง
นางกิมหงสะสมบาปไว้มากตั้งแต่สาวจนแก่ กระทั่งกลายเป็น อาจิณณกรรม อาชีพค้าขายและออกเงินกู้ เปิดโอกาสให้นางได้สร้างกรรมชั่วด้วยการฉ้อโกงลูกค้าและลูกหนี้ จนสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองถึงขนาดมีสมบัติพัสถานมากมายให้ลูกหลานมานั่งยื้อแย่งกันในขณะที่นางกำลังจะตาย!
"เอาละ ถ้าอยากให้คนเจ็บพูด ก็ขอให้ทุกคนออกไปจากห้องให้หมด รอให้อาตมาเรียกเสียก่อนแล้วจึงเข้ามา" ท่านออกคำสั่ง ลูกหลานทำท่าลังเลนิดหนึ่ง ในที่สุดก็พากันออกไปแต่โดยดี "ช่วยเรียกคนขับรถของอาตมาเข้ามาในที่นี้ด้วย" ท่านไม่ต้องการอยู่สองต่อสองกับสตรีเพศในที่ลับตาคน แม้สตรีนั้นอายุมากกว่าท่าน และกำลังอยู่ในสภาพใกล้ตายก็ตาม
"สมชายล็อคประตูด้วย" ท่านสั่งลูกศิษย์เพื่อกันคนแอบฟัง
"อาซิ้ม อาตมารู้ว่าลื้อพูดได้ แต่ที่ลื้อไม่ยอมพูด เพราะโกรธที่ลูกหลานมาแย่งสมบัติกันต่อหน้าลื้อใช่ไหม"
"ใช่เลี้ยวหลงพ่อ อั๊วะโกกมัง เกียกพวกมังทุกคง" คนเจ็บพูดเสียงแหบพร่า หากท่านก็ได้ยินชัดเจน เพราะกำหนด "ฟังหนอ"
"ซิ้ม ถ้าลื้อโกรธลื้อเกลียดพวกเขา ลื้อก็จะไปไม่ดี ไหน ๆ ก็จะไปแล้วทำใจให้สบาย แล้วก็จัดการอะไรต่อมิอะไรเสียให้เรียบร้อย รู้ตัวหรือเปล่าว่าลื้อน่ะสะสมบาปไว้มาก อาตมาเห็นหมดแล้ว จึงอยากจะช่วยให้สติแก่ลื้อ อยากให้อาตมาช่วยไหม" ท่านถาม แม้จะรู้สึกสลดใจ หากในความสลดใจนั้นมีความเมตตาปรานีแฝงอยู่ ท่านจึงต้องช่วยเขาไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนชั่วก็ตาม
"อยาก" นางกิมหงตอบด้วยเสียงอยู่ในลำคอ
"ถ้าอยากก็ต้องอโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรเสียก่อน พอจะจำได้ไหมว่า ทำเวรทำกรรมไว้กับใครเขาบ้าง" ท่านถามพร้อมกับแผ่เมตตาให้ นางกิมหงรู้สึกมีกำลังขึ้น สมองที่ตื้อตันกลับปลอดโปร่ง ระลึกรู้บาปกรรมที่ทำไว้ครบถ้วน
ภาพเหตุการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ ไหลเข้ามาสู่ห้วงสำนึกเหมือนภาพยนตร์ที่เข้าฉายเร็ว ๆ ให้ดู เริ่มตั้งแต่ภาพแม่หนูน้อยวัยแปดขวบกำธนบัตรใบละร้อยมาซื้อของที่ร้านของนาง
"อาซิ้มซื้อข้าวเหนียวสามลิตร กล้วยน้ำว้าสองหวี มะพร้าวขูดสองกิโล น้ำตาลทรายครึ่งกิโล" แม่หนูอ่านรายการที่มารดาจดมาให้ นางจัดของให้ตามรายการ และทอนเงินให้เป็นที่เรียบร้อย บังเอิญแม่หนูหอบของไปไม่หมด จึงออกปากฝากข้าวเหนียวไว้แล้วหิ้วของอื่น ๆ กลับไปบ้าน
ทันทีที่เด็กหญิงออกจากร้าน นางก็คว้าถุงข้าวเหนียวมาเทกลับคืนไว้ในกระสอบ ครูใหญ่ ๆ แม่หนูก็กลับมาทวงถาม "อาซิ้มหนูมาเอาข้าวเหนียวที่ฝากไว้"
"ข้าวอาไล อั๊วะไม่ลู้ ไม่เห็งมีใคมาฝาก" นางปฏิเสธหน้าตาเฉย ไม่ว่าแม่หนูจะอ้อนวอนขอร้องอย่างไร นางก็บอกว่าไม่รู้ท่าเดียว เด็กหญิงเดินกลับไปบอกมารดาที่บ้าน ผู้หญิงคนนั้นมาที่ร้าน ถือไม้เรียวมาด้วย เมื่อนางบอกว่าไม่รู้เรื่องข้าวเหนียวที่เด็กอ้างว่าฝากไว้ หญิงนั้นเข้าใจว่าลูกยักยอกเงิน จึงใช้ไม้เรียวตีเด็กหญิงต่อหน้านาง ตีจนลายไปทั้งตัว เสร็จแล้วจึงซื้อข้าวเหนียวสามลิตรกลับไปบ้าน เป็นข้าวเหนียวที่นางเพิ่งเทคืนกระสอบนั่นเอง
ถัดจากภาพเรื่องราวของเด็กหญิง ก็เป็นภาพที่นางโกงกิโลพืชผลที่พวกชาวไร่นำมาขาย โดยใช้เท้ายันก้นเข่งไว้ขณะชั่งด้วยตราชั่งคันยาว การกระทำเช่นนั้นทำให้นางสามารถโกงน้ำหนักพืชผลได้เข่งละประมาณสามถึงห้ากิโลกรัม วันหนึ่ง ๆ ต้องชั่งเป็นสิบ ๆ เข่ง ก็เท่ากับนางโกงเขาวันละสามสิบถึงห้าสิบกิโลกรัม
ต่อจากเรื่องโกงกิโล ก็เป็นเรื่องโกงดอกเบี้ยลูกหนี้ โดยทำหลักฐานปลอมขึ้นใช้ สารพัดสารพันที่นางฉ้อโกงและฉ้อฉล คงเป็นเพราะความชั่วร้ายของนาง จึงทำให้ถูกหนอนกินทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันตาย ไหนจะทุกข์เรื่องลูกหลานซึ่งบัดนี้นางได้ตระหนักแล้วว่า พวกเขาไม่ได้รัก ไม่ได้ห่วงนาง แต่ละคนรักและห่วงตัวเองกันทั้งนั้น คิดถึงตอนนี้นางยิ่งโกรธเคืองลูกหลานมากขึ้น จึงบอกท่านพระครูด้วยความเจ็บใจว่า "หลงพ่อ อั๊วะยกสมบักให้ลื้อทั้งหมด ลื้อเอาไปให้หมกเลยนะ อั๊วะทาหวาย"
"ไม่ได้หรอกซิ้ม อาตมารับไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ของบริสุทธิ์ ลื้อได้มาด้วยความทุจริต ถ้าลื้ออยากได้บุญ ก็แบ่งให้ลูกหลานอย่างยุติธรรมก็แล้วกัน ประเดี๋ยวพวกเขาเข้ามา ลื้อก็บอกเขาเสียว่าจะให้อะไรแก่ใคร อาตมาเป็นพยานให้"
"อั๊วะอยากคึงเขา คึงคงที่อั๊วะโกงมังมา" นางบอกด้วยความกลัวบาป
"ไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ มันยุ่งยาก เอาเถอะ เดี๋ยวอาตมาจะสอนให้ขออโหสิกรรม แล้วลื้อจะต้องสอนลูกสอนหลานว่าให้เลิกหากินในทางทุจริต ช่วยกันทำบุญทำทานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ลื้อ ทำได้ไหมเล่า" ท่านแนะแนวทาง
"ทำล่าย อั๊วะทำล่าย หลงพ่อ เลียกพวกมังเข้ามา อั๊วะจาไปเลี้ยว"
นางกิมหงพูดอย่างอยากจะละทิ้งสังขารนั้นเสียเร็ว ๆ
"สมชายเปิดประตูเรียกพวกเขาเข้ามา" ท่านสั่งคนเป็นลูกศิษย์
เมื่อคนเหล่านั้นเข้ามาในห้องก็ให้รู้สึกแปลกใจที่คนเจ็บพูดจ้อย ๆ พลังเมตตาที่ท่านพระครูแผ่ให้บวกกับกำลังใจของตัวเอง ทำให้นางกิมหงลืมความทุกข์ทรมานได้ชั่วครู่ นางจัดการแบ่งสมบัติให้ลูกหลาน สั่งสอนให้เขาหากินในทางสุจริต "ถ้าพวกลื้อทำอย่างอั๊วะ ก็ต้องถูกหนอนกินตั้งแต่ยังไม่ตาย แล้วจาลู้ว่า มังทอลามางชิกหายเลย" พูดจบนางก็หลับตา ความเจ็บปวดและเหนื่อยล้ากลับคืนมาอีก นางพยายามนึกถึงดวงหน้าของท่านพระครูจนกระทั่งหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย
"แม่"
"อาม่า" เสียงลูกหลานร้องตะเบ็งเซ็งแซ่ เพิ่งจะมองเห็นคุณค่าของคนที่จากไป ท่านพระครูต้องพูดปลอดใจอยู่หลายนาทีกว่าพวกเขาจะระงับความโศกาอาดูรไว้ได้
"เอาละ เขาไปดีแล้ว หมดหน้าที่ของอาตมาแล้ว จะได้ลากลับเสียที เรื่องศพก็จัดการไปตามประเพณีก็แล้วกัน ที่สำคัญอย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตายด้วย เขาจะได้ไม่ต้องไปรับโทษนาน" ท่านแนะนำสั่งสอนเสร็จสรรพ แล้วจึงลากลับ เพราะจะต้องเข้าเมืองไปร่วมในงานฉลองพัดยศของเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งจะเริ่มเมื่อเวลาสิบสี่นาฬิกาตรง
"หลวงพ่อ ถ้าผมไม่เห็นกับตาเป็นไม่ยอมเชื่อเด็ดขาดว่าคนถูกหนอนขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตาย นี่ขนาดเห็นกับตาก็ยังไม่อยากจะเชื่อ ผมฝันไปหรือเปล่าครับหลวงพ่อ" นายสมชายแสดงความประหลาดใจพลางก็สัพยอกท่านไปด้วย
"โลกนี้มันก็เหมือนความฝันอยู่แล้วสมชายเอ๊ย บางครั้งคนบางคนก็สามารถฝันได้โดยไม่ต้องหลับ เช่น เธอเป็นต้น"
"ต้นอะไรครับหลวงพ่อ ผมเป็นต้นอะไร ต้นมะม่วงหรือต้นมะปราง" ลูกศิษย์ตั้งใจยั่วอาจารย์เพื่อคลายความเครียด ภาพคนเจ็บถูกหนอนชอนไชยังติดหูติดตาชวนให้คลื่นเหียนอาเจียนยิ่งนัก ไหนจะกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นซากศพนั่นอีกเล่า
"ต้นตระกูลยวน" ท่านพระครูตอบ
"งั้นผมก็เป็นญาติกับหลวงพี่บัวเฮียวน่ะซีครับ เพราะหลวงพี่ก็เป็นญวน" ลูกศิษย์วัดไปได้เรื่อย ๆ
"มัวพูดมากอยู่นั่นแหละ เร่งเครื่องหน่อย ประเดี๋ยวจะไม่ทันงานเขา" ท่านกำชับ
"เหยียบสองร้อยเลยดีไหมครับ"
"จะไปเอาที่ไหนอีกยี่สิบล่ะ ก็ที่เขาให้ไว้มันแค่ร้อยแปดสิบเท่านั้นเอง" ท่านหมายถึงหน้าปัดบอกอัตราความเร็วของรถ
"ก็เอาที่หลวงพ่อไงครับ หลวงพ่อก็เพิ่มพลังจิตเข้ามาอีกยี่สิบ รับรองว่าไปเร็วราวกับเหาะ"
"อย่าเพิ่งเลย ฉันยังไม่อยากตาย ยังมีภารกิจที่ต้องทำอีกมาก ถ้าเธอเบื่อชีวิต จะตายไปก่อนก็ได้ ฉันอนุญาต"
"ผมยังไม่กล้าตายหรอกครับ เดี๋ยวไม่มีคนขับรถให้หลวงพ่อ"
"ตายไปแล้วก็มาขับให้ได้ ดีเสียอีก จะได้ไม่ต้องพูดมากให้ฉันรำคาญ หยุดพูดได้แล้วนะ ฉันจะแผ่เมตตาให้พวกสัมภเวสีเขาหน่อย" แล้วท่านก็นั่งหลับตานิ่งอยู่ คนที่ทำหน้าที่ขับรถจึงต้องสงบปากสงบคำลง
งานฉลองพัดยศของท่านเจ้าคณะจังหวัด ถูกจัดขึ้นอย่างมโหฬาร โดยการร่วมแรงร่วมใจของบรรดาศิษยานุศิษย์ซึ่งมีทั้งครู ตำรวจ ทหาร และพ่อค้า ประชาชน
เมื่อไปถึง ท่านพระครูจึงเข้าไปยั้งเต๊นท์ปะรำพิธี ซึ่งจัดอาสนะไว้ต้อนรับพระสงฆ์ที่มาร่วมงาน โดยเรียงลำดับอายุพรรษา ท่านได้ที่นั่งติดกับหลวงตาสูงอายุรูปหนึ่ง ถัดจากท่านเป็นหลวงพ่อซึ่งแม้อายุจะมากกว่า หากอายุพรรษาน้อย เพราะบวชตอนอายุมากแล้ว จำนวนพระสงฆ์ที่จะมาร่วมในพิธีนี้มีทั้งหมด ๙๙ รูป นั่งเรียงรายดูเหลืองอร่ามไปทั้งปะรำพิธี มีเต๊นท์ขนาดใหญ่ขึงไว้กว่าสิบหลัง เพื่อให้บรรดาผู้มาร่วมงานได้นั่งฟังพระเจริญพระพุทธมนต์
เหลือเวลาอีกหนึ่งนาที พระสงฆ์ ๙๙ รูป ก็จะเจริญพระพุทธมนต์ ทันใดนั้นได้เกิดลมบ้าหมูพัดกรรโชกขึ้น ความแรงของลมได้หอบเต๊นท์หลังที่ติดกับปะรำพิธีขึ้นสูงถึงระดับยอดไม้ เสาเต๊นท์ซึ่งเป็นเหล็กแท่งยาวได้หลุดออกและพุ่งเข้าใส่ท่านพระครู ถูกปากครึ่งจมูกครึ่ง เลือดแดงฉาน ท่ามกลางความตะลึงงันของพระและฆราวาสที่เห็นเหตุการณ์
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงรู้สึกเจ็บราวใจจะขาด ท่านสำรวมจิตกำหนด "เจ็บหนอ เจ็บหนอ" ด้วยสติอันว่องไวที่ได้ฝึกไว้อย่างดีแล้ว ความเจ็บปวดนั้นมากมายจนท่านคิดว่า หากเป็นหลวงตาหรือหลวงพ่อที่นั่งทางเบื้องซ้ายและเบื้องขวาของท่านโดนเข้าก็คงจะต้องถึงแก่มรณภาพ
เมื่อกำหนด "เจ็บหนอ เจ็บหนอ" กระทั่งจิตเป็นสมาธิ สามารถข่มความเจ็บปวดลงบ้างแล้ว กฎแห่งกรรมก็ฉายแวบขึ้นในมโนทวาร
ท่านเห็นตัวเองกำลังเก็บกวาดลานวัด พบไม้ท่อนหนึ่งวางเกะกะอยู่ จึงหยิบมันเหวี่ยงไปที่ใต้ต้นปีบ โดยไม่ทันเห็นว่ามีสุนัขตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ ไม้ท่อนนั้นจึงไปถูกปากและจมูกของสุนัขเลือดไหลโทรม มันดิ้นเร่า ๆ ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
ท่านต้องต้มยาสมุนไพรกรอกปากมันอยู่หลายวันจนมันหาย ดูเอาเถิด อุตส่าห์ฝึกสติไว้ดีแล้ว ก็ยังมีอันพลั้งเผลอจนได้ เพียงเผลอไปแค่อึดใจเดียว ยังได้รับผลร้ายถึงปานนี้ กรรมที่ทำโดยมิได้เจตนา ก็ต้องมารับผล แล้วคนที่ก่อกรรมทำชั่วโดยเจตนานั้นเล่า เขามิต้องทุกข์ทรมานกว่าท่านเป็นร้อยเท่าพันทวีละหรือ
เมื่อได้สติ ผู้คนก็ส่งเสียงเอะอะกันขึ้น โชคยังดีที่มีหมอทหารไปร่วมในงาน เขาจึงจัดการทำแผลให้ท่านอย่างรวดเร็วด้วยความชำนิชำนาญ และรู้สึกแปลกใจที่ท่านมิได้เป็นอะไรมาก นี่ถ้าหากเป็นคนอื่นก็คงต้องพาส่งโรงพยาบาลและรักษากันอยู่หลายวัน หลวงตากับหลวงพ่อที่นั่งข้าง ๆ ยังแอบกระซิบกันว่า "ถ้าเป็นเรา คงกลับบ้านเก่าแน่"
เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เสร็จแล้ว บรรดาศิษยานุศิษย์ก็เฉลิมฉลองด้วยการรำกลองยาวกันเป็นที่ครื้นเครง ท่านพระครูอยากรู้ว่า นายสมชายไปอยู่เสียที่ใด เพราะใกล้เวลาจะกลับแล้ว จึงต้องพึ่ง "เห็นหนอ" ก็เห็นคนขับรถของท่านยืนอยู่กลางวงกลองยาว
เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงรู้สึกแปลกใจ ที่หนึ่งในจำนวนหญิงที่กำลังร่ายรำอยู่อย่างสนุกสนานนั้นมีลักษณะแปลกไปจากคนอื่น ๆ กล่าวคือ เหนือศีรษะของหล่อนมีแมลงวันหัวเขียวฝูงใหญ่กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่ ท่านเพ่งพิจารณาว่า มันเรื่องอะไรกัน ก็ได้เห็นกฎแห่งกรรมของหล่อนอย่างชัดเจน สตรีผู้นี้เป็นคนทุศีล ศีลห้าข้อหล่อนรักษาไว้ไม่ได้จนข้อเดียว ท่านยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า หน้าตาหล่อนเหมือนคนใกล้ตาย จริงอยู่แม้หล่อนจะแต่งหน้าสวยงาม นุ่งห่มสีสดใส หากก็มี "สัญญาณมรณะ" ปรากฏอยู่
แล้วหล่อนก็ล้มลงศีรษะฟาดพื้น การรำกลองยาวหยุดชะงัก พวกเขาช่วยกันอุ้มหล่อนมาวางบนเสื่อ และสิ่งอัศจรรย์ที่สุดก็ได้เกิดขึ้น หนอนตัวเท่าเม็ดขาวสุกไต่ยั้วเยี้ยออกมาจากปาก จมูก ทวารหนักและทวารเบา ร่างของหล่อนเน่าเดี๋ยวนั้น สิ่งกลิ่นเหม็นคลุ้งมาถึงที่ ๆ ท่านนั่ง เสียงคนวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ วันนี้ท่านได้เห็นคนถูกหนอนขึ้นถึงสองคน
ทันทีที่ท่านพระครูขึ้นรถ นายสมชายก็พูดจ้อย ๆ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขารู้เขาเห็นนั้น ท่านก็รู้ก็เห็นเหมือนกัน แต่เป็นการรู้การเห็นที่ลึกซึ้งกว่า คือเห็นกฎแห่งกรรมของสตรีผู้นั้นด้วย
"หลวงพ่อ ผมอยากตั้งชื่อวันนี้ว่า "วันหนอน" หลวงพ่อเชื่อไหม พอคนที่รำกลองยาวแกหงายผึ่งหนอนก็ขึ้นเต็มตัวเลย ได้ยินเขาว่ากันว่า ยายคนนี้บาปมาก ศีลที่เขาห้ามไว้ แกก็ละเมิดหมด ตั้งแต่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ มีชู้ โกหก แล้วก็ขี้เหล้าเมายา ตายปุ๊บเหม็นปั๊บเลย กลิ่นเหม็นยังติดจมูกผมอยู่นี่" คนเล่าทำจมูกฟุดฟิด
"สมชาย" ท่านพระครูเรียกชื่อลูกศิษย์
"ครับผม" ฝ่ายนั้นขานรับ
"เงียบเถอะ สิ่งที่เธอรู้น่ะ ฉันรู้หมดแล้ว แต่สิ่งที่ฉันรู้นั้นมีบางสิ่งที่เธอยังไม่รู้ เธอนี่แย่จริง ๆ"
"อ้าวหลวงพ่อ ไป ๆ มา ๆ ไหงมาด่าผมล่ะ"
"จะไม่ให้ด่ายังไง แหมมัวแต่ไปดูกลองยาว ไอ้เราจะตายกลับไม่รู้แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ด่าหรือ"
"เกิดอะไรขึ้นครับหลวงพ่อ" ถามอย่างตกใจ เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงเล่าเหตุการณ์ที่ท่านถูกเสาเหล็กพุ่งใส่หน้าให้เขาฟังพร้อมกับสรุปว่า
"วันนี้เธอเรียกว่า "วันหนอน" แต่สำหรับฉันขอเรียกวันนี้ว่า "วันใช้หนี้หมา" แล้วท่านก็หัวเราะหึหึ
"ดีแล้วละครับหลวงพ่อ ใช้ ๆ มันเสียให้หมด จะได้ไม่ต้องเกิดอีก ก็หลวงพ่อบอกจะไม่เกิดอีกไม่ใช่หรือครับ"
"ก็ว่ายังงั้นแหละ แต่จะเป็นไปได้แค่ไหนยังไม่รู้ มันก็น่าคิดนะสมชายนะ ดูเอาเถิด คนตั้งเป็นพันมันไม่เล่นงาน เฉพาะจะพุ่งมาถูกฉันคนเดียว ถูกอย่างเหมาะเหม็งเสียด้วย"
"กลับไปนี่ ผมเห็นจะต้องกินยาแอสไพรินสักห้าสิบเม็ด" นายสมชายพูดอย่างคนเบื่อโลกเต็มประดา
"ร้อยเม็ดดีกว่าน่า" ท่านพระครูตั้งใจพูดประชด
"ทำไมต้องกินถึงร้อยเม็ดล่ะครับ" ถามอย่างสงสัย
"จะได้ตายสนิทดี ไม่ต้องเสียเวลาพาส่งโรงพยาบาล"
"แหม หลวงพ่อ ผมพูดเล่นหรอกน่า ถึงผมจะเบื่อโลกยังไง ผมก็ยังไม่อยากตาย อยากอยู่มันทั้งเบื่อ ๆ นี่แหละ"
"ไอ้ที่ว่าไม่อยากตาย ๆ น่ะ ฉันเห็นตายมาเสียนักต่อนักแล้ว ดูอย่างยายคนที่รำกลองยาวนั้นไง เธอว่าเขาอยากตายหรือเปล่า"
"คงไม่มังครับ แต่ก็ม่องไปแล้ว แถมหนอนขึ้นทันทีเลย แหม ผมชักกลัวบาปกลัวกรรมแล้วซีครับหลวงพ่อ ไม่อยากถูกหนอนกินเหมือนผู้หญิงสองรายนั่น" เขาทำท่าขยาด
"ดีแล้ว เธออยู่ใกล้ชิดฉัน ขืนไม่กลัวบาปก็เสียชื่อหมด คนเขาจะว่า "ใกล้เกลือกินด่าง"
"แต่ผมไม่อยากกินทั้งด่างทั้งเกลือแหละครับ คนเบื่อโลกยังมีอารมณ์ยั่วเย้า
"ไม่กินก็ไม่ต้องกิน" เงียบกันไปพักหนึ่ง คนเบื่อโลกก็เอ่ยขึ้นว่า
"ชีวิตคนเรานี่เอาแน่อะไรไม่ได้เลยนะครับหลวงพ่อ นึกอยากจะตายก็ตายโดยไม่มีปี่ มีขลุ่ย"
"อ้อ ต้องมีปี่มีขลุ่ยเสียก่อนค่อยตาย ว่างั้นเถอะ"
"แหม หลวงพ่อเนี่ย คราวนี้ผมพูดจริง ๆ นะครับ ผมรู้สึกว่าชีวิตคนเราเอาแน่นอนอะไรไม่ได้เลย ขนาดรำกลองยาวอยู่ดี ๆ แท้ ๆ ยังตาย"
"ก็ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็ต้องหมั่นฝึกสติเข้าไว้ ถ้าสติดีเสียอย่างจะตายที่ไหน เมื่อ ไหร่ ก็ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปทุกข์ร้อน สติดีในที่นี้ ไม่ได้ตรงข้ามกับสติไม่ดีที่แปลว่าบ้านะ แต่หมายถึงความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา" ท่านจำเป็นต้องขยายความ มิฉะนั้นก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายนั้นพูดพล่ามต่อไปอีก
"เห็นตัวอย่างวันนี้แล้ว มันทำให้ผมนึกอะไรได้อย่างนึง คือนึกถึงโคลงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ผมจะอัญเชิญมากล่าวให้หลวงพ่อฟังนะครับ" คนพูดพยายามทำเสียงที่เจ้าตัวคิดว่าไพเราะที่สุด....
เห็นหน้ากันเมื่อเช้า สายตาย
สายอยู่สุขสบาย บ่ายม้วย
บ่ายยังรื่นเริงกาย เย็นดับ ชีพนา
เย็นอยู่หยอกลูกด้วย ค่ำม้วยดับสูญ...
นายสมชายพาท่านพระครูกลับถึงวัดป่ามะม่วงเมื่อเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาเศษ ที่กุฏิของท่าน พระบัวเฮียวกำลังสอนวิธีเดินจงกรมและนั่งสมาธิให้กับคหบดี และครอบครัว ตามที่ท่านได้มอบหมายหน้าที่ให้
เมื่อท่านเดินเข้ามา ภิกษุรูปหนึ่งกับฆราวาสห้าคนก็ทำความเคารพด้วยการกราบสามครั้ง
"เจริญพร โยมมาถึงนานแล้วหรือ" ท่านถามคหบดี
"ถึงสักบ่ายสองโมงเห็นจะได้ ก็ไปเสียเวลากับการหาซื้อชุดขาวน่ะครับหลวงพ่อ" คหบดีตอบ เขาอยู่ในชุดเสื้อคอกลมสีขาว กางเกงขาก๊วยสีเดียวกัน ภรรยาและลูกชายอีกสามคนก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวดูสะอาดหมดจด
"หลวงพ่อมาเหนื่อย ๆ นิมนต์พักสรงน้ำก่อนไม่ดีกว่าหรือคะ" นางกิมเอ็งพูดขึ้น เมื่อเห็นท่านเดินมานั่งยังอาสนะ วันนี้หน้าตาเนื้อตัวหล่อนปราศจากทั้งเครื่องสำอางและเครื่องประดับ จึงดูผิดไปจากวันวานราวกับเป็นคนละคน
"นิมนต์หลวงพ่อสร้งน้ำก่อนดีกว่าครับ" สามีนางกิมเอ็งเห็นพ้องกับภรรยา
"ไม่เป็นไรหรอกโยม เรื่องนั้นไม่สลักสำคัญอะไร อาตมาสรงน้ำตอนตีสองเกือบทุกวัน"
"แล้วหลวงตาไม่หนาวแย่หรือครับ หลวงตามีที่ทำน้ำอุ่นหรือเปล่า" ลูกชายคนเล็กของคหบดีถามขึ้น
"ไม่มีหรอกหนู หนาวก็ต้องทนเอา" ท่านตอบ
"แล้วหลวงตาหิวไหมครับ หลวงตาไม่ฉันข้าวเย็นไม่หิวแย่หรือ" เด็กหนุ่มถามอีกเพราะตัวเขาเริ่มจะหิว เนื่องจากใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว
"ไม่หิวหรอกหนู หลวงตาชินแล้ว ถามอย่างนี้แปลว่าหนูหิวแล้วใช่ไหม" ท่านถามอย่างรู้ใจ
"ใช่ครับ" เด็กหนุ่มตอบตามตรง
"หิวก็ต้องอดทนนะหนูนะ อดนทมาก ๆ แล้วมันก็จะชินไปเอง" พี่ชายอีกสองคนที่นั่งฟังอยู่ออกผิดหวัง คิดว่าท่านจะอนุญาตให้รับประทานอาหารมื้อเย็นได้
"หลวงตาครับ ขอทานวันนี้วันเดียวไม่ได้หรือครับ แล้วพรุ่งนี้พวกผมค่อยฝึกอกกัน" คนตัวโตที่สุดต่อรอง
"ก็ฝึกเสียวันนี้ไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเรามัวผัดเป็นพรุ่งนี้ มันก็พรุ่งนี้อยู่เรื่อย การทำความดีไม่ต้องผัดวันประกันพรุ่ง นะหนูนะ"
"หลวงตาครับ ทำไมการทำความดีต้องอดข้าวด้วยล่ะครับ" อีกคนถามขึ้น
"เดี๋ยวก่อน หลวงตายังไม่รู้เลยว่าพวกหนูชื่ออะไรกันบ้าง ไหนบอกมาซิจะได้เรียกถูก เอาชื่อเล่นก็ได้
"คนนี้ชื่อต้อม เป็นคนที่สาม คนที่สองชื่อต่อค่ะ คนเล็กชื่อติ๋ง ส่วนคนโตอยู่อเมริกาชื้อต้นค่ะ" นางกิมเอ็งตอบแทนลูก ๆ เมื่อพูดถึงคนโต นางก็อดร้องไห้ไม่ได้ เด็กหนุ่มสามคนคิดว่ามารดาร้องไห้เพราะคิดถึงลูกชายคนโต ซึ่งเป็นพี่ชายของพวกเขา
"ทำใจดี ๆ น่ากิมเอ็ง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด คหบดีพูดปลอบใจภรรยา ตัวเขาเองพอจะทำใจได้แล้ว เกี่ยวกับเรื่องที่ลูกชายติดยาเสพย์ติด เขาไม่ต้องการให้ลูกชายอีกสามคนดำเนินรอยตามพี่ชาย จึงสู้อุตส่าห์พามาเข้ากรรมฐานทั้งที่โรงเรียนยังไม่ทันปิดภาค ลูก ๆ ก็เชื่อฟังเป็นอันดี
"หลวงตายังไม่ตอบผมเลยครับว่าทำไมการทำความดีต้องอดข้าวด้วย" หนุ่มน้อยที่ชื่อต้อมถามอีก
"เดี๋ยว หนูตอบหลวงตามาก่อนซิว่าคำสอนหลักของพระพุทธศาสนานั้นมีกี่ประการ อะไรบ้าง"
"ไม่ทราบครับ พวกผมเรียนโรงเรียนคริสต์มาตลอด จึงไม่รู้เรื่องศาสนาพุทธเลย"
"แล้วสวดมนต์เป็นไหม สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ น่ะเคยสวดหรือเปล่า" ท่านถามคนชื่อต่อ
"ไม่เคยสวดเลยครับ เพราะไม่เคยสวด ก็เลยสวดไม่เป็นครับ ครูสอนแต่สวดสรรเสริญพระเจ้า
วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๖ คุณนายดวงสุดาลงทุนขับรถมาวัดป่ามะม่วงด้วยตนเอง ตามคำขอร้องของบิดาและมารดา เถ้าแก่เส็งกับคุณกิมง้ออยากมาฟังพระสงฆ์สวดธรรมจักรในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ "นิมิตในกรรมฐาน" บอกให้มาเนื่องจากคนทั้งสองปฏิบัติก้าวหน้ามากจนสามารถเกิดนิมิตได้ตรงกัน
หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว จึงแจ้งความจำนงให้บุตรสาวทราบ บังเอิญคนขับรถประจำตำแหน่งของท่านผู้ว่าฯ ขอลากลับบ้านเพื่อไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว จึงตกเป็นหน้าที่ของคุณนาย ที่จะต้องสงเคราะห์บิดามารดา เป็นการสงเคราะห์ที่เจ้าตัวเต็มใจอย่างยิ่ง
ผู้คนมาวัดกันมากมายตั้งแต่เด็กอายุแปดเก้าขวบไปจนถึงคนชราและส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิง พวกผู้ชายคงจะพากันไปกินเหล้าฉลองปีใหม่กันจึงไม่นิยมมาวัด
บรรดาแม่ครัวต้องทำงานหนักเป็นพิเศษ เพราะแขกเหรื่อทยอยกันมาไม่ขาดระยะ เว้นแต่ผู้ที่มาปฏิบัติกรรมฐานซึ่งมีเป็นส่วนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกัน
เวลายี่สิบนาฬิกา ทุกคนไปรวมกันในพระอุโบสถ และทำวัตรเย็นร่วมกับพระภิกษุทั้งวัด จากนั้นเจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง แล้วพระภิกษุและฆราวาสปฏิบัติกรรมฐานจนถึงเวลายี่สิบสามนาฬิกา ปฏิบัติกรรมฐานเสร็จจึงพร้อมใจกันแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์และเจ้ากรรมนายเวร
ใกล้เวลาเที่ยงคืน คณะสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์บทธรรมจักรไปจนถึงเวลาหนึ่งนาฬิกาของวันใหม่ หลังจากนั้นพระภิกษุและฆราวาสทำวัตรเช้าร่วมกัน
เป็นการต้อนรับวันใหม่ที่เถ้าแก่เส็งและคุณกิมง้อไม่เคยประสบมาก่อน คนทั้งสอง "อิ่มบุญ" จนลืมความง่วงและตั้งปณิธานไว้ว่า จะมาฉลองปีใหม่ที่วัดป่ามะม่วงทุกปีจนกว่าสังขารจะไม่อำนวย
การทำวัตรเช้าเสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาตีสอง ทั้งพระและฆราวาสต่างแยกย้ายกันกลับไปยังกุฏิของตน ผู้ที่ยังไม่ง่วงก็จะปฏิบัติกรรมฐานต่อโดยไม่หลับนอน ส่วนคนที่ทนง่วงไม่ไหวก็จะนอนเอาแรงเป็นเวลาสองชั่วโมง แล้วลุกขึ้นมาปฏิบัติกรรมฐานตอนตีสี่
เวลาแปดนาฬิกาของเช้าวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๗ คุณนายดวงสุดาและผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองจะมาลาท่านพระครูกับกรุงเทพฯ เมื่อมาถึงกุฏิของท่านก็เห็นคนนั่งรอเต็มไปหมด ท่านพระครูยังไม่ลงมาจากชั้นบน
เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น ตามด้วยเสียงแก้วแตกดังเพล้ง ความอยากรู้อยากเห็นว่าได้เกิดอะไรขึ้น ทำให้คุณนายพาร่างอันอุดมไปด้วยก้อนเนื้อและไขมันออกไปยังหลังกุฏิอันเป็นที่มาของเสียง
ภาพที่เห็นทำให้คุณนายถึงกับอ้าปากค้าง ผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบกำลังขว้างแก้วใส่ผู้ชายวัยเดียวกัน ฝ่ายนั้นหลบอุตลุด กระทั่งพวกแม่ครัวมาช่วยกันยื้อยุดหล่อนเอาไว้
"ปล่อยกูนะ กูจะไปฆ่ามัน" หล่อนตะโกนและดิ้นรน
"ใจเย็น ๆ ค่ะ คุณนาย นี่ในวัดนะคะ ไงก็เกรงใจหลวงพ่อท่านมั่ง" นางบุญรับเตือนสติ คนที่นั่งอยู่ในกุฏิทยอยกันออกมาดู คุณนายดวงสุดามองอย่างสังเวช นึกตำหนิสตรีผู้นั้นที่ไม่มีความอดกลั้นแม้ในวัดวาอาราม นางกิมเอ็งซึ่งมารอให้ท่านพระครูสอบอารมณ์พร้อมสามีและลูกชายเห็นคุณนายดวงสุดาเดินออกไปก็ลุกตาม
"กิมเอ็งอย่าออกไป ไม่ใช่เรื่องของเรา" คหบดีบอกภรรยา หากความอยากรู้อยากเห็นตามวิสัยหญิง ทำให้หล่อนขัดคำสั่งของผู้เป็นสามี พอออกไปก็สบตาเข้ากับสตรีที่ดูเหมือนกำลังบ้าคลั่งคนนั้น เลยถูกหางเลขเข้าอย่างจัง
"มองอะไร ระวังเถอะอีกพวกชอบเสือกเรื่องของชาวบ้าน กูจะตบล้างน้ำเสียให้เข็ด" หล่อนว่าใส่หน้านางกิมเอ็ง ภรรยาคหบดีถอยกรูดเข้ามาตามด้วยภรรยาผู้ว่าราชการจังหวัด คนแรกเข้ามานั่งข้าง ๆ สามีพลางนึกในใจว่า "อยู่ดีไม่ว่าดีนะเรา ถูกด่าฉลองปีใหม่แต่เช้า ซวยชะมัด"
คุณนายดวงสุดาไม่ถึงกับเข้ามานั่ง เพราะอยากรู้หล่อนจึงเดินไปด้อม ๆ มอง ๆ อยู่แถว ๆ ประตูหลังกุฏิ ผู้หญิงคนนั้นสะบัดแขนอย่างแรงหลุดจากการเกาะกุม หล่อนวิ่งไปคว้าไม้ได้ท่อนหนึ่ง จึงตรงเข้าไปหาคนเป็นสามี ฝ่ายนั้นรีบวิ่งไปที่รถเก๋งไขกุญแจเข้าไปนั่งประจำที่คนขับได้อย่างหวุดหวิด คนเป็นเมียก่นด่าหยาบ ๆ คาย ๆ ใช้ไม้ทุบกระจกหน้ารถจนร้าวเป็นทาง หล่อนกระชากที่ปัดน้ำฝนหน้ารถออกมา มันบาดมือหล่อนจนเลือดแดงฉาน สามีหล่อน สตาร์ทรถ หล่อนจึงวิ่งไปขวางหน้าเอาไว้
"เอาเลย มึงชนกูซะให้ตายเลย" สามีบีบแตรเป็นการเตือนให้ถอยหากภรรยาไม่ยอมถอย เขาจึงยื่นหน้าออกไปตะโกนว่า "ไม่ถอยกูชนจริง ๆ นะ" แล้วเร่งน้ำมันอย่างแรงเป็นการขู่ ถ้าหล่อนไม่ถอยเขาก็จะชนให้ตายไปเสียเลย
"ผู้พันอย่าชนค่ะอย่า" พวกแม่ครัวร้องเสียงหลง คนหนึ่งวิ่งไปยืนคู่กับผู้หญิงคนนั้น คิดว่าคนขับคงไม่กล้าชน
"ป้าถอยออกไป ไม่งั้นผมชนนะ" ผู้ที่ถูกเรียกว่า "ผู้พัน" ตะโกนบอกและทำท่าออกรถ หญิงผู้บ้าคลั่งกระโดดขึ้นไปยืนหราบนกระโปรงหน้ารถใครคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
"ป้าไปเรียกคุณนายลงมาเถอะ ประเดี๋ยวผู้พันแกแกล้งขับเร็ว ๆ คุณนายก็ตกลงมาคอหักตายหรอก"
"เฮ่ย ใครมันจะฆ่าเมียได้ลงคอวะ ลูกเต้าก็มีด้วยกัน โน่นยืนตัวสั่นงันงกอยู่โน่น" "ป้า" หรือนางบุญรับชี้ไปที่เด็กชายหญิง อายุประมาณหกเจ็ดขวบที่ยืนอยู่กับพี่เลี้ยง คุณนายดวงสุดามองไปที่เด็กทั้งสองซึ่งยืนห่างจากหล่อนประมาณสามวา หน้าตาท่าทางของแกดูตื่นตระหนก หัวใจดวงน้อยคงแทบจะแหลกสลาย เพราะการกระทำของพ่อกับแม่ คุณนายไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดสองคนนั่นจึงทำร้ายจิตใจลูกได้ถึงปานนี้
เสียงแม่ครัวคนที่สาวกว่าบอกนางบุญรับอีกว่า "เร็ว ๆ ซีป้า ไปเอาตัวคุณนายลงมาหน่อย ฉันว่าผู้พันแกกล้าฆ่าคุณนานนะ ผู้ชายที่กำลังหลงเมียน้อยน่ะ ฆ่าเมียหลวงได้นะป้า"
"ถ้ายังงั้นพวกเอ็งก็ไปช่วยข้าหน่อย ไปเร็ว ๆ เข้า" นางชักชวนพรรคพวกพลางวิ่งนำไปที่รถ ผู้ชายคนนั้นกำลังเคลื่อนรถออก ป้าคนที่ไปยืนขวางรีบพาตัวเองหลบออกมาด้วยกลัวตาย ผู้หญิงบ้าคลั่งที่ยืนหราอยู่บนกระโปรงรถ ก็เปลี่ยนเป็นนั่งยอง ๆ หันหน้าเข้าหาคนขับ ชี้หน้าด่าปาว ๆ สลับกับเสียงกรี๊ด ๆ แสบแก้วหู นางบุญรับวิ่งไปเคาะกระจกด้านคนขับ โกหกหน้าตาเฉยว่า "ผู้พันหยุดก่อน หลวงพ่อเรียก" ผู้พันเหยียบเบรค หากยังไม่ยอมลงมาจากรถเพราะกลัวภรรยา
"คุณนายลงมาเถอะค่ะ หลวงพ่อท่านเรียก "นางบอกผู้หญิงที่กำลังบ้าคลั่ง สงสารหล่อนจับใจ เพราะรู้เรื่องราวของหล่อนเป็นอย่างดี "ผู้พันทำร้ายจิตใจหล่อนเกินไป อาจหาญควงเมียน้อยมากราบอวยพรหลวงพ่อ ทั้งที่รู้ว่าจะมาพบหล่อนที่นี่ แล้วเมียน้อยก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเพื่อนรักเพื่อนใคร่ของหล่อนนั่นเอง อุตส่าห์พามาเข้ากรรมฐาน กินด้วยกัน นอนด้วยกันอยู่ที่วัดนี้ แล้วจู่ ๆ ก็มากลายเป็นเมียน้อยของผัวหล่อน หากนางบุญรับเป็นหล่อนก็คงแค้นแทบกระอักเหมือนกัน
ได้ยินว่าหลวงพ่อเรียก คุณนายราศีก็ได้สติ หล่อนหยุดด่าและหยุดร้องกรี๊ด ๆ กระโดดลงจากกระโปรงรถอย่างระมัดระวังแล้วเดินเชื่อง ๆ เข้าไปในกุฏิ
พันเอกประวิทย์เห็นภรรยาเดินไปยังกุฏิท่านพระครู คิดว่าหล่อนคงจะต้อง "ฟ้อง" ท่านเกี่ยวกับความผิดของเขา จะยอมให้หล่อนฟ้องข้างเดียวไม่ได้ เขาต้องตามไปชี้แจง ท่านจะได้ไม่ฟังความข้างเดียว คิดได้ดังนี้จึงก้าวลงจากรถเดินตามภรรยาไปห่าง ๆ
คุณนายราศีเข้ามานั่งคอยท่านพระครูตรงหน้าอาสนะ พยายามสงบสติอารมณ์อย่างที่สุด ครั้นเห็นหน้าผู้เป็นสามี ความคั่งแค้นประดังขึ้นมาอีก หล่อนคว้าได้ถ้วยน้ำชาก็ขว้างไปที่ใบหน้าของเขา ถ้วยกระเบื้องปะทะเข้าตรงหน้าผากอันล้านเลี่ยน ยังผลให้มันบวมปูดเขียวปั้ดขึ้นในพริบตา พันเอกวัยสี่สิบมีอาการ "เลือดขึ้นหน้า" เขาตรงเข้าหาภรรยา ตบหน้าหล่อนฉาด ๆ ไปหลายทีจนหน้าซีดเซียวนั้นหันซ้ายหันขวาไปตามแรงตบ
คนที่นั่งรออยู่ลุกขึ้นห้าม พวกผู้ชายจับผู้พัน พวกผู้หญิงจับคุณนายราศี กุฏิอันเงียบสงบของท่านพระครูจึงกลายเป็นโรงงิ้ว
"ไปตามหลวงพ่อลงมาเร็ว ๆ เข้า" คหบดีสั่งนายสมชายซึ่งยืนอ้าปากค้างดูเหตุการณ์อยู่ เด็กหนุ่มจึงวิ่งขึ้นไปยังกุฏิชั้นบน ละล่ำละลักบอกท่านพระครูว่า
"เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับหลวงพ่อ ผู้พันกับคุณนายใช้กุฏิหลวงพ่อเป็นเวทีมวยไปซะแล้ว หลวงพ่อลงไปเป็นกรรมการหน่อยเถอะครับ ไม่งั้นคุณนายราศีได้หมดราศีกันคราวนี้แหละ" แม้จะอยู่ในภาวะที่เรียกว่าหน้าสิ่งหน้าขวาน หากนายสมชายก็ยังอุตส่าห์มีแก่ใจสร้างอารมณ์ขัน
"ห้ามไม่ได้หรอกสมชาย เรื่องของผัวเมีย ฉันไม่กล้าเข้าไปยุ่งหรอก" ท่านพูดด้วยเสียงปกติ ไม่ตื่นเต้น ไม่ยินดียินร้าย เพราะจิตของท่านมั่นคงแล้ว ไม่หวั่นไหวสั่นคลอน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
"แล้วถ้าเกิดเขาฆ่ากันตายในกุฏิหลวงพ่อล่ะ เรื่องมิดังไปถึงไหน ๆ หรือ" เด็กหนุ่มมีท่าทีกังวล
"ไม่ถึงยังงั้นหรอกสมชาย ถ้าเขาตีกันอยู่ที่กุฏิฉัน หรือยู่ในบริเวณวัดป่ามะม่วง เขาจะไม่ตาย เพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่ แต่ถ้าพ้นเขตวัดไปเมื่อใด รับรองว่าตายทั้งคู่ สองคนนี้กำลังชะตาขาด ถ้าเธอกลัวเขาตายก็ลงไปดูลาดเลาก็แล้วกัน อย่าให้เขาออกนอกเขตวัด" ท่านสั่งเสียงเรียบ
ลูกศิษย์ก้นกุฏิจึงจำต้องลงมาข้างล่าง เมื่อเขาเปิดประตูออกมา ทุกคนก็ชะเง้อมองด้วยคิดว่าเป็นท่านพระครู การตะลุมบอนของสองสามีภรรยาก็ชะงักลง
"ประเดี๋ยวหลวงพ่อจะลงมา" เขาบอกทุกคนในที่นั้น ได้ยินว่าหลวงพ่อจะลงมา คุณนายราศีก็หยุดอาละวาด นายสมชายจัดการหาหยูกยามาทำแผลให้หล่อน แผลซึ่งถูกที่ปัดน้ำฝนบาด พวกผู้ชายก็หายาหม่องมานวดหน้าผากบริเวณที่ปูดโปออกมาให้พันเองประวิทย์ คุณนายดวงสุดาใจเต้นไม่เป็นส่ำตลอดเวลาที่เกิดเหตุการณ์ ส่วนบิดามารดาของหล่อนเพียงแต่ตกใจเล็กน้อยด้วยได้ฝึกจิตไว้ดีแล้ว
ครู่ใหญ่ ๆ ท่านพระครูจึงเปิดประตูออกมา ทุกคนต่างทำความเคารพด้วยการกราบสามครั้ง ท่านเดินไปนั่งยังอาสนะ พันเอกประวิทย์และภรรยานั่งหมอบอยู่ต่อหน้าท่าน คุณนายราศีร้องไห้กระซิก ๆ
"มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จา กันก็ได้ ทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือกัน" ท่านพูดเสียงเบาจนเกือบเป็นกระซิบ ด้วยต้องการให้ได้ยินกันเพียงสามคน
"หลวงพ่อคะ หนูทนไม่ไหวแล้ว เขาทำร้ายจิตใจหนู ทำร้ายจิตใจลูก" คุณนายราศีพูดเสียงปนสะอื้น
"ก็เราอย่าไปยอมให้เขาทำร้ายซี ใจของเราไปให้คนอื่นมาทำร้ายได้ยังไง ไหนเขาทำยังไงว่าไปซิ"
"ก็เขาพาเมียน้อยมาอวดหลวงพ่อ เขากล้าฉีกหน้าหนู ใคร ๆ เขารู้กันทั้งวัดว่า เขาเป็นสามีหนู แล้วอยู่ ๆ เขาก็ควงคนอื่นมา" คุณนายวัยสี่สิบเล่าด้วยความเคียดแค้น
"คนอื่นที่ไหนกัน เพื่อนคุณนายไม่ใช่หรือ อาตมาเคยเห็นเขามาเข้ากรรมฐานกับคุณนาย อยู่กุฏิเดียวกันอีกด้วย"
"นั่นซีคะ เพราะอย่างนี้หนูถึงได้แค้นใจมาก ทั้งเพื่อนทั้งผัวรวมหัวกันทรยศ" หล่อนสะอื้นฮัก ๆ
"ทีมันทรยศผมล่ะครับหลวงพ่อ เวลาผมไปราชการต่างจังหวัด มันก็เอาคนขับรถเข้าไปนอนในห้องแทนผม" ท่านพระครูอยากรู้ความจริงว่าคุณนายราศีประพฤติเช่นนั้นจริง ๆ หรือว่าพันเอกประวิทย์คิดมากไปเอง ท่านจึงใช้ "เห็นหนอ" ตรวจสอบ
แล้ว "เห็นหนอ" ก็รายงานว่า พันเอกวัยสี่สิบตั้งใจใส่ร้ายภรรยา เพื่อท่านพระครูจะได้เห็นอกเห็นใจที่เขาต้องทำผิด นายทหารผู้นี้มีจิตเป็นอกุศล หยาบช้า ลามก ประพฤติชั่วทั้งที่นับถือพระ เป็นเรื่องน่าเวทนานัก หากว่าเขาได้เป็นใหญ่เป็นโตในกาลข้างหน้าก็จะเป็นพิษเป็นภัยต่อชาติบ้านเมืองอย่างมหันต์ทีเดียว
คุณนายราศีไม่แก้ข้อกล่าวหานั้น หล่อนรู้ดีว่าท่านพระครูรู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยที่หล่อนไม่จำเป็นต้องอธิบาย
"หลวงพ่อคะ หนูเจ็บใจตัวเองเหลือเกินค่ะ เจ็บใจที่เลือกคนผิด หนูผิดเอง ไม่รู้ว่ากรรมเวรอะไรของหนู" หล่อนสะอึกสะอื้น
"ก็เลือกเสียใหม่ให้ถูกซี ได้โอกาสแล้วนี่ ชายชู้มึงไง ไอ้คนขับรถกูน่ะ เอาเถอะกูยกให้" คนเป็นสามีพูดแดกดัน
"ผู้พัน" ท่านพระครูเรียกบุรุษนั้นอย่างอดรนทนไม่ได้ รู้สึกสมเพชเขาเป็นกำลัง หากท่านก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้ บุรุษผู้นี้กำลังตาบอดสนิทจึงไม่อาจมองเห็นแสงสว่างใด ๆ ได้เลย เมื่อช่วยไม่ได้ ท่านจึงจำต้องวางอุเบกขา ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของเขา
"คุณนาย อาตมารู้สึกเสียใจเหลือเกิน เสียใจแทนคุณนาย ที่อุตส่าห์มาเข้ากรรมฐานหลายครั้ง ๆ ละหลายวัน แต่ไม่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาชีวิต อุตส่าห์มาฝึกสติ แต่กลับแสดงออกเหมือนคนขาดสติ ไม่น่าเลย เสียชื่อลูกศิษย์วัดป่ามะม่วงหมด" ท่านพระครูลงทุน "เทศนา" คุณนายราศี รู้ว่าหล่อน "รับได้"
พันเอกประวิทย์รู้สึกสะใจและนึกสมน้ำหน้าคนเป็นภรรยาที่ถูก "เทศน์" ฉลองปีใหม่ แสดงว่าหลวงพ่อท่านเชื่อในสิ่งที่เขาพูด เขามิรู้ดอกว่าท่านพระครูจะไม่สั่งสอนบุคคลที่ "รับไม่ได้" และท่านก็จะไม่พูดให้เขาต้องสะเทือนใจ ชายวัยสี่สิบไม่รู้ว่าตัวเองนั้นอยู่ในประเภท "อเวไนยสัตว์"
"หลวงพ่อคะ ได้โปรดช่วยหนูด้วย ช่วยให้หนูพ้นจากสภาวะที่แสนทรมานนี้เสียที ได้โปรดเถอะค่ะ" สรีวัยสี่สิบอ้อนวอน
"อาตมาช่วยได้ก็เพียงชี้แนวทางให้เท่านั้น นอกนั้นคุณนายต้องช่วยตัวเอง"
"หนูมองไม่เห็นทางเลยค่ะหลวงพ่อ มันมืดแปดด้านเลย หนูหมดกำลังใจ หมดอาลัยตายอยากในชีวิตเสียแล้ว"
"หมดแล้วก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้ สร้างกำลังใจขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับชีวิต อาตมาเชื่อว่าคุณนายทำได้ ไปตรองดูนะ คุณนายเป็นถึงครูบาอาจารย์ มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม ปัญหาชีวิตแค่นี้คุณนายเอาชนะมันได้ อาตมาขอพูดสั้น ๆ ว่า ถ้าเราทำจิตใจของเราให้เข้มแข็ง ก็ไม่มีใครมาทำร้ายจิตใจของเราได้ เว้นเสียแต่ว่า ตัวเราเองจะทำร้ายตัวเอง
เอาละ กลับไปพักผ่อนที่กุฏิของคุณนายได้แล้ว ลูกรออยู่ไม่ใช่หรือ พูดกับเขาให้รู้เรื่อง ลูกสองคนน่ะ ส่วนคนอื่นถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องพูด คนเป็นผัวเมียกัน เลิกกันก็กลายเป็นคนอื่น จำไว้นะคุณนาย"
คุณนายราศีกราบท่านพระครูสามครั้ง แล้วเลี่ยงออกมาหาลูกซึ่งยืนหน้าซีดเซียวอยู่กับพี่เลี้ยงทางด้านหลังกุฏิ เห็นหน้าลูกก็ให้สงสารจับใจ จนต้องร้องไห้ออกมา หล่อนคิดได้เดี๋ยวนั้น ต่อแต่นี้ไปจะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก หล่อนจะถนอมน้ำใจลูกและประคับประคองเลี้ยงดูลูกน้อยทั้งสองอย่างดีที่สุด จะต้องทำหน้าที่ของพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน เพราะคนเป็นพ่อของลูกนั้น หล่อน "ตัดหางปล่อยวัด" ไปแล้ว เพิ่งตัดใจได้เดี๋ยวนี้เอง
ภรรยาลุกออกไปแล้ว พันเอกประวิทย์ก็ได้โอกาส "กล่าวโทษ" ของฝ่ายนั้น ตามวิสัยของบุรุษผู้มี "กิเลสหนาตัณหามาก"
"แย่จังนะครับหลวงพ่อ กรรมของผมเหลือเกินที่ต้องมามีเมียวิปริตผิดมนุษย์เช่นนี้" ท่านพระครูไม่ออกความเห็น เพราะคนที่พูดอย่างนี้น่าจะเป็นคุณนายราศีมากกว่า
"คนที่มาด้วยเมื่อตอนเช้าไปไหนเสียล่ะ" ท่านเลี่ยงไปถามถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนที่พันเอกประวิทย์กำลังลุ่มหลงอย่างหนัก
"ผมพาหลบไปไหว้ที่สำนักชีครับ ไม่งั้นยายราศีอาละวาดตาย"
"วัดป่ามะม่วงเลยกลายเป็นที่เล่นซ่อนหาว่างั้นเถอะ"
"ครับ ก็สนุกตื่นเต้นดี" เขากลับเห็นเป็นเรื่องสนุก ท่านพระครูรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจเป็นกำลัง จึงบอกกับเขาว่า
"งั้นก็พากลับบ้านกลับช่องเสีย ประเดี๋ยวคุณนายราศีมาพบเข้าก็จะเกิดเรื่องอีก"
นายทหารวัยสี่สิบก้มลงกราบสามครั้ง ก่อนลุกออกมายังพูดอีกว่า
"ป่านนี้คงนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้ว คนนี้เขาขี้แยครับหลวงพ่อ แต่นิสัยดีมาก ดีจริง ๆ ยายราศีเทียบไม่ติดเลย"
"ถ้าดีจริงคงไม่แย่งสามีเพื่อนซึ่ง ๆ หน้าอย่างนี้หรอก" ท่านพระครูอยากจะพูดเช่นนี้ หากท่านก็ไม่ได้พูด เพราะเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ตนหรือประโยชน์ท่าน
"หลวงพ่อคะ หนูไม่กล้ามาเข้ากรรมฐานแล้วละค่ะ" คุณนายดวงสุดาพูดหลังจากนายทหารผู้นั้นลุกไปแล้ว
"อะไรทำให้คุณนายคิดอย่างนั้นล่ะ"
"ก็หนูไม่อยากเป็นแบบคุณนายราศีน่ะซีคะ แล้วก็ไม่อยากเป็นอย่างเพื่อนเธอด้วย อุตส่าห์พากันมาอยู่วัด แล้วคนนึงก็ออกงิ้ว อีกคนก็แย่งสามีคนอื่นหน้าตาเฉย" หล่อนว่า
"คนอื่นคนไกลที่ไหนล่ะคะ เพื่อนกันแท้ ๆ ไม่น่าทำเลย" นางกิมเอ็งแย้ง หล่อนยิ้มให้คุณนายดวงสุดาอย่างเป็นมิตร
"กิมเอ็ง มันไม่ใช่เรื่องของเราน่า อย่าลืมว่าเธอกำลังปฏิบัติกรรมฐานนะ" คหบดีปรามภรรยา ลูกชายสามคนนั่งสัปหงกเพราะความง่วง
"แหม คุณนายพูดอย่างนี้ก็เสียชื่อวัดป่ามะม่วงหมดเลย เสียชื่อพระครูเจริญด้วย คนเขาจะได้เอาไปพูดว่าพระครูเจริญสอนลูกศิษย์ให้เพี้ยน" ท่านพูดด้วยเสียงที่ได้ยินกันทั่วทั้งกุฏิ
"ไม่จริงครับหลวงพ่อ" เถ้าแก่เส็งขัดขึ้น ตัวเขากับภรรยาปฏิบัติกรรมฐานสม่ำเสมอและเคร่งครัด จึงเข้าถึงความจริงอะไรบางอย่างที่คนบางคนยังเข้าไม่ถึง
"ผมขอยืนยันว่ากรรมฐานไม่ได้ทำให้คนเพี้ยน การที่คุณนายคนนั้นกับเพื่อนทำอะไรเพี้ยน ๆ เพราะแกไม่ใช่นักปฏิบัติที่แท้จริง แกยังเข้าไม่ถึงหัวใจกรรมฐาน ผมว่าหลวงพ่อรู้เรื่องนี้ดีกว่าผม กรุณาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจด้วยเถิดครับ" เขาขอร้องท่านพระครู ท่านเจ้าของกุฏิจึงพูดขึ้นว่า
"เอาละญาติโยมที่รักทั้งหลาย ที่โยมเถ้าแก่พูดมานั้นถูกต้องเป็นจริงทุกประการ อาตมาจึงขอยืนยันว่า กรรมฐานไม่เคยทำให้ใครวิปริต ถ้าหากคนคนนั้นปฏิบัติอย่างถูกต้อง และเอาจริงเอาจัง และโปรดเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องด้วยว่า คนที่มาปฏิบัติกรรมฐานไม่ใช่คนที่หมดกิเลสแล้ว เพราะถ้าหมดกิเลสก็ไม่จำเป็นต้องมาปฏิบัติ การมาปฏิบัติก็เพื่อจะให้กิเลสมันเบาบางลงและหมดไปในที่สุด เพราะฉะนั้นตราบใดที่เขายังไม่บรรลุธรรมขันใดเลย เขาก็ยังคงเป็นปุถุชนธรรมดาเหมือน ๆ กับคนทั่ว ๆ ไป ที่ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง จึงอาจถูกกิเลสชักพาไปในทางเสื่อมได้"
หลวงพ่อครับ วัดป่ามะม่วงนี่มีคนมาตีกันฉลองปีใหม่อย่างนี้ทุกปีหรือเปล่าครับ" ชายผู้หนึ่งถามขึ้น เขาเพิ่งมาวัดนี้เป็นครั้งแรกเพราะเพื่อนชวนมา
"ไม่หรอกโยม เพิ่งจะครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่อาตมาก็ต้องขอโทษญาติโยมแทนคู่กรณีด้วย ออกนอกเขตวัดไปเมื่อไหร่รับรองตายทั้งคู่"
"แล้วปีหน้าจะมีอีกไหมครับ ผมจะได้มาดูอีก"
"ไม่มีแน่ อันนี้อาตมารับรอง นี่ยังดีนะ คนมาตีกันในวัดก็ยังดีกว่าพระในวัดตีกันเอง" เสียงหัวเราะดังขึ้น ท่านจึงย้ำอีกว่า
"อ้าว จริง ๆ นะ อาตมาไม่ได้พูดเล่น แต่ไม่ใช่พระวัดนี้หรอก วัดที่กรุงเทพฯ อย่าให้ออกชื่อเลย ประเดี๋ยวจะหาว่าเอาเขามาวิจารณ์ เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง อาตมาเข้ากรุงเทพฯ เพื่อจะไปพบท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง ไปถึงเห็นท่านกำลังดุพระลูกวัดอยู่ ไม่ทราบดุอีท่าไหน พระรูปที่ถูกดุต่อยเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้าถูกปากครึ่งจมูกครึ่ง ท่านเจ้าคุณสลบทันที หงายผึ่งลงไปนอนเลย" ท่านเล่าเหตุการณ์ที่เห็นมากับตา
"แล้วพระรูปนั้นทำยังไงครับ เห็นท่านเจ้าคุณสลบแล้วท่านทำยังไง" ชายคนนั้นถามอีก
"ท่านยังไม่ทันได้ทำอะไร ปรากฏว่าพระลูกวัดรูปอื่น ๆ กรูเข้าตะลุมบอนท่าน ทั้งต่อยทั้งเตะ ทั้งเหยียบสลมเหมือดไปเลย อาตมายืนงงเป็นไก่ตาแตก ตอนแรกนึกสงสารท่านเจ้าคุณ แต่ตอนหลังสงสารพระรูปนั้น อาตมาเลยรีบกลับวัดป่ามะม่วง เพราะไม่อยากไปเป็นพยานที่โรงพัก พระลูกวัดพวกนั้นพอซ้อมเขาสลบ แล้วยังพาส่งโรงพักอีกในข้อหาทำร้ายร่างกายท่านเจ้าคุณ"
"หลวงพ่อก็เลยไม่ได้พูดธุระกับท่าน"
"จะพูดยังไงเล่า ก็เขากำลังมีเรื่องไม่น่าถาม"
"แล้วท่านเจ้าคุณถึงกับมรณภาพไหมคะ" คุณกิมง้อถาม
"ไม่หรอกโยม แค่หมัดเดียว"
"ผมว่าท่านอาจแกล้งสลบก็ได้ แกล้งทำเป็นสลบเพื่อให้ลูกน้องแก้แค้นแทน" นายต่อหายง่วงและพูดขึ้นอย่างที่ใจคิด
"หนูอย่าไปว่าพระว่าเจ้า บาปนะหนูบาป" ท่านพระครูปรามด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ รู้ว่าเจ้าคุณรูปนั้นสลบไปจริง ๆ โดยมิได้เสแสร้ง ก็ "เห็นหนอ" บอกอย่างนั้น




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2012, 21:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ..

.. อนุโมทนาแล้วๆๆ..

:b29: ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2012, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านพระครูลงมาจากกุฏิชั้นบน เมื่อเวลายี่สิบนาฬิกาตรง คหบดีกับบุตรภรรยารออยู่แล้ว คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของการสอบอารมณ์ วันพรุ่งนี้หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว ก็จะพากันกลับกรุงเทพฯ
"เอาละ หลวงตาจะสอบอารมณ์หนูทั้งสามคนก่อน เริ่มตั้งแต่คนเล็กเลยนะ ชื่อติ๋งใช่ไหม"
"ใช่ครับ แหม หลวงตาจำแม่นจัง" หนุ่มติ๋งตอบ รู้สึกดีใจที่ท่านจำชื่อเขาได้
"เป็นยังไงบ้าง พอง - ยุบ ชัดเจนดีหรือยัง"
"ชัดเจนดีมากครับ"
"แล้วเวลามันหายละ รู้หรือเปล่า"
"รู้ครับ"
"รู้ว่ายังไง"
"รู้ว่ามันหายน่ะคร้บ" คนตอบไม่ได้ตั้งใจยวน หากก็ฟังเหมือนกับยวน
"มันหายไปตอนพองหรือตอนยุบล่ะ"
"ไม่ทราบครับ เพราะพอรู้มันก็หายไปแล้ว"
"แสดงว่าสติยังจับไม่ทัน ต้องฝึกสติให้ว่องไวกว่านี้ จับให้ได้ว่ามันหายไปตอนพองหรือตอนยุบ เข้าใจหรือยัง"
"เข้าใจครับ"
"เข้าใจก็ดีแล้ว กลับบ้านต้องไปปฏิบัติต่อนะ อย่าเอาแต่ดูทีวี แล้วหนูจะเรียนเก่งขึ้น อยากเรียนอะไรก็เรียนได้ถ้าหนูไม่ทิ้งการปฏิบัติ จำที่หลวงตาพูดไว้ให้ดีนะ"
"ครับ ผมตั้งใจจะเรียนหมอ หลวงตาว่าผมจะเรียนได้หรือเปล่าครับ"
"ถ้าตั้งใจก็ต้องเรียนได้ เอาเถอะ ถ้าหนูไม่ทิ้งวิชากรรมฐาน หลวงตารับรองว่าในอนาคตหนูต้องได้เป็นคุณหมออย่างแน่นอน" หนุ่มติ๋งก้มลงกราบ "หลวงตา" ด้วยความปลื้มปีติ เกิดความมั่นใจขึ้นอย่างประหลาดว่า ตนจะได้สิ่งที่หวัง
"แล้วต้อมล่ะเป็นอย่างไรบ้าง" ท่านถามหนุ่มต้อม
"ผมง่วงมากครับหลวงตา ง่วงแม้กระทั่งเวลาเดินจงกรม ไม่เคยง่วงมากมายอย่างนี้มาก่อนเลยครับ" ท่านพระครูรู้ได้จากการบอกเล่าของเขา เด็กหนุ่มผู้นี้ปฏิบัติได้ก้าวหน้ามากทีเดียว
"แล้วหนูทำยังไง เวลาง่วงมาก ๆ น่ะ"
"ผมก็นอนครับ แต่ก็แปลก พอนอนกลับไม่หลับ มันเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ อย่างบอกไม่ถูก" ท่านรู้ว่าเขาก้าวหน้ามาถึง "นิพพิทาญาณ" อันเป็นญาณที่ ๘ ใน โสฬสญาณ เขาเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว
"หนูปฏิบัติได้ก้าวหน้ามากนะ เอาเถอะพยายามเข้าแล้วจะประสบความสำเร็จ" ผู้สอบอารมณ์พูดให้กำลังใจ
"แล้วผมจะทำอย่างไรให้หายง่วงครับหลวงตา"
"การง่วงของหนูไม่ใช่ธรรมดานะ เป็นอาการของ "ญาณ" เขาเรียกว่าหนูเข้าถึง "นิพพิทาญาณ" เอาละ หลวงตาจะบอกวิธีขจัดความง่วงให้ แล้วท่านจึงบอกหนุ่มต้อมเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเมื่อเข้าถึง ญาณ ๘ จากนั้นจึงสอบอารมณ์นายต่อ นางกิมเอ็ง และคหบดีตามลำดับ แล้วสรุปว่า
"ผู้ที่ปฏิบัติได้ก้าวหน้ากว่าเพื่อนคือต้อม และที่ก้าวหน้าน้อยที่สุดคือ โยม" ประโยคหลังท่านพูดกับคหบดี
"ผมได้ญาณไหนครับ" สามีนางกิมเอ็งถาม
"ญาณ ๕ เรียกว่า ภังคญาณ ญาณทั้งหมด ๑๖ ที่เรียกว่าโสฬสญาณ ญาณ ๑ ชื่อรูปปริจเฉนทญาณ ส่วนญาณ ๑๖ ชื่อปัจจเวกขณญาณ ใครบรรลุถึงญาณนี้ก็ถือว่าเป็นพระอริยบุคคลระดับต้นที่เรียกว่า พระโสดาบัน"
"งั้นผมก็เดินมาได้ครึ่งทางแล้วใช่ไหมครับ" หนุ่มต้อมถามอย่างยินดี
"ถูกแล้วหนู แต่อีกครึ่งทางที่เหลือน่ะยากลำบากชนิดที่เรียกว่าเลือดตาแทบกระเด็นเชียวละ หนูต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดจึงจะเดินทางสายนี้ได้ตลอดสาย ต้องเดินกันข้ามภพข้ามชาติเชียวแหละ"
"จะยากเย็นแสนเข็ญสักปานใด ผมก็จะพยายามครับหลวงตา ป๋าครับผมขออนุญาตบวชที่วัดนี้ได้ไหมครับ ผมอยากบวชไปจนตลอดชีวิต" หนุ่มต้อมพูด้วยศรัทธาที่เปี่ยมล้น ได้ยินว่าลูกจะบวชตลอดชีวิต คหบดีก็ใจแป้ว วิสัยของปุถุชนย่อมอยากเห็นบุตรหลานเจริญในทางโลกมากกว่า จึงพูดกับพระครูว่า
"เราสามารถบรรลุธรรมขั้นสูงได้ โดยไม่ต้องบวชไม่ใช่หรือครับ"
"ถูกแล้ว แต่การบวชจะทำให้บรรลุได้เร็วกว่าการเป็นฆราวาส เมื่อท่านตอบดังนี้ เขาจึงหันไปพูดกับลูกว่า
"ถ้าอย่างนั้น ป๋าอยากให้ลูกกลับบ้านก่อน กลับไปคิดหลาย ๆ วัน ถ้าลูกตั้งใจแน่วแน่ ป๋าก็คงไม่ขัดข้อง แต่ตอนนี้ป๋ายังทำใจไม่ได้ หรือหลวงพ่อว่าอย่างไรครับ" เขาขอความเห็นจากท่านพระครู
"ก็แล้วแต่จะตกลงกันเองก็แล้วกัน อาตมาเป็นคนนอก ไม่อยากจะเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องครอบครัว"
"อย่าบวชเลยต้อม นึกว่าเห็นแก่แม่เถอะนะ" นางกิมเอ็งบอกลูก
"ทำไมหรือครับ ทำไมแม่ถึงไม่อยากให้ผมบวช" เด็กหนุ่มถามมารดา
"เพราะแม่เสียพี่ต้นไปคนนึงแล้ว ไม่อยากเสียลูกไปอีกคน" คนเป็นแม่ตอบเสียงเครือ
"แปลว่าพี่ต้นบวชอยู่ที่อเมริกาหรือครับ" หนุ่มต่อถาม เขาไม่รู้เรื่องที่พี่ชายติดยาเสพย์ติด
"ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะดีกว่า แต่นี่..." แล้วหล่อนก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น
"กิมเอ็ง พูดจาเหลวไหลไม่เข้าเรื่องน่า" สามีหล่อนว่า เขากลัวบุตรชายทั้งสามจะสงสัย ลูก ๆ จะรู้เรื่องนี้ไม่ได้
"โยมแผ่เมตตาให้ลูกหรือเปล่า หลังจากปฏิบัติกรรมฐานแล้วแผ่เมตตาไปให้เขาทุกครั้งอย่างที่อาตมาสอนหรือเปล่า"
"เราทำอย่างที่หลวงพ่อแนะนำค่ะ" หล่อนตอบ
"ผมกับน้อง ๆ ก็ทำครับ" หนุ่มต่อรายงานบ้าง
"ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องห่วง อาตมาเชื่อว่าเขาจะต้องดีขึ้นกว่าที่เคยเป็น" ท่านพูดกับนางกิมเอ็งและสามี
"สาธุ" คนทั้งสองยกมือขึ้นประนมและพูดพร้อมกัน
"หลวงพ่อครับ ผมต้องขอกราบของพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงที่ทำให้ผมกับครอบครัวได้พบความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันเป็นความสุขที่สงบ ปราศจากความร้อนรนกระวนกระวาย แล้วก็ไม่ต้องใช้เงินทองซื้อหามาด้วย" คหบดีพูดอย่างปลาบปลื้ม
"ค่ะ มีเงินทองมากมายสักปานใด ก็ไม่อาจซื้อความสุขแบบนี้ได้ เป็นบุญของดิฉันและลูกเหลือเกินที่ได้มาพบหลวงพ่อ" นางกิมเอ็งพูดพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวซับน้ำตา
"บุญของผมด้วยครับ ถ้าไม่มาเข้ากรรมฐาน ผมก็คงยังไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ก่อนนี้ผมคิดแต่ว่าอะไรที่ทำให้ได้เงินมันก็ดีทั้งนั้น มาบัดนี้ผมรู้แล้วว่า เงินไม่ได้สำคัญที่สุดเสมอไป ความสุขสงบทางใจนั้นมีค่ามากกว่า ผมขอปฏิญาณต่อหน้าหลวงพ่อว่า นับแต่นี้ต่อไปผมจะละชั่ว และทำจิตให้ผ่องใสครับ" คำว่า "ละชั่ว" ของเขามีความหมายลึกซึ้งที่บุตรชายทั้งสามไม่เข้าใจ หากท่านพระครูเข้าใจ เด็กหนุ่มทั้งสามไม่รู้ว่าบิดาค้ายาเสพย์ติด และไม่รู้เรื่องพี่ชายติดยา
"หลวงพ่อคะ แล้วเฮียจะต้องตายไหมคะ" นางกิมเอ็งถามด้วยความเป็นห่วงสามี
"ผมไม่กลัวตายแล้วครับหลวงพ่อ มาปฏิบัติอย่างนี้แล้วผมไม่กลัวตายเหมือนแต่ก่อน หากการละชั่วจะทำให้ผมต้องตาย ผมก็ยินดี" คหบดีพูดอย่างกล้าหาญ เมื่อหิริโอตตัปปะเกิดขึ้นใจใจ ทำให้เขารังเกียจขยะแขยงในความชั่ว และคิดว่าตายเสียยังดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อก่อกรรมทำชั่ว
"โยมไม่ตายหรอกเพราะมีคนอื่นตายแทน" ท่านพระครูพูดเป็นปริศนา
"ใครคะหลวงพ่อ ใช่ดิฉันหรือเปล่า ถ้าใช่ ดิฉันก็ยินดีตายแทนเฮียเขา ขออย่างเดียวอย่าให้เขามีเมียใหม่ ดิฉันไม่อยากให้ลูก ๆ มีแม่เลี้ยงค่ะ" นางกิมเอ็งคิดไปเสียไกล
"ไม่ใช่โยมหรอก เอาละอย่าเพิ่งซักถาม ถึงเวลาก็จะรู้เอง ข้อสำคัญ คือให้หมั่นปฏิบัติทุกวัน ขอให้เชื่ออาตมาสักครั้ง"
"หลวงตาครับ" หนุ่มต่อเอ่ยขึ้นบ้าง
"ผมและน้อง ๆ ต้องกราบขอขมาโทษที่ได้ล่วงเกินหลวงตาในวันแรกที่เข้ามาปฏิบัติ"
"อ้อ หนูล่วงเกินอะไรหลวงตาไว้ล่ะ"
"ก็พูดไม่ดี คิดไม่ดีต่อหลวงตาน่ะซีครับ ผมโกรธที่หลวงตาไม่ยอมให้พวกเรารับประทานอาหารมื้อเย็น เลยพากันแอบนินทาหลวงตาเป็นการใหญ่ แต่ป๋ากับแม่ไม่ทราบหรอกครับ" นายต่อพูดจบก็พาน้อง ๆ กราบท่านพระครูสามครั้งเป็นการขอขมา
"ตกลง หลวงตาอโหสิให้ แต่หนูก็ได้ไถ่โทษ การที่พวกหนูตั้งใจปฏิบัตินั่นแหละคือการไถ่โทษ"
"พวกเราต้องกราบขอโทษป๋าด้วยที่คิดว่าป๋าบังคับ เดี๋ยวนี้พวกเรารู้แล้วว่าที่ป๋าทำไปก็เพราะความรักและหวังดีต่อพวกเรา" เด็กหนุ่มเข้าไปกราบแทบเท้าของผู้เป็นพ่อ คหบดีรู้สึกปีติจนน้ำตาคลอ ลูก ๆ เขาก็มีใบหน้าเครือน้ำตา ส่วนเมียเขานั้นร้องไห้เลยทีเดียว
"เอาละ กลับไปปฏิบัติต่อยังกุฏิของตนได้แล้ว คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย ขอให้ตั้งใจปฏิบัติอย่างเต็มที่ จะได้หมดเคราะห์หมดโศก โชคดีศรีสุขกันทั่วหน้า พรุ่งนี้ก่อนไปอย่าลืมไปลาอาจารย์บัวเฮียวล่ะ"
"ไม่ลืมครับ พวกผมเป็นหนี้บุญคุณอาจารย์บัวเฮียวมากเลย สักวันหนึ่งคงจะได้ทดแทนพระคุณ"
"อาจารย์บัวเฮียวท่านก็มีกรรมของท่าน ทุกคนมีกรรมด้วยกันทั้งนั้น อาตมาเองก็มี รู้สึกว่าจะหนักกว่าโยมและอาจารย์บัวเฮียวเสียอีก" ท่านพูดเรื่อย ๆ ด้วยเสียงที่ปกติ ไม่แสดงอาการหวั่นไหวหวาดกลัวให้ปรากฏ เพราะฝึกจิตไว้ดีแล้ว
"คหบดีและครอบครัวลากลับไปแล้ว ท่านพระครูจึงขึ้นไปเขียนหนังสือต่อ คืนนี้ไม่มีอาคันตุกะมาเยี่ยมเยือนหรือถามปัญหา คงจะหมดเรี่ยวหมดแรงกับการฉลองปีใหม่นั่นเอง
ตอนเช้าของวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๑๗ หลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คหบดีก็พาบุตรและภรรยามาลาท่านพระครู หลังจากนั้นจึงจะไปลาพระบัวเฮียว เด็กหนุ่มทั้งสามมีท่าทางอาลัยอาวรณ์วัดป่ามะม่วงมาก โดยเฉพาะหนุ่มต้อม แทบจะไม่ยอมกลับเลยทีเดียว
"หลวงตาครับช่วยส่งพลังจิตไปดลใจให้ป๋ากับแม่อนุญาตให้ผมบวชด้วยนะครับ ผมอยากบวชโดยที่ป๋าและแม่เต็มใจและแม่ไม่ร้องไห้ ไม่งั้นผมก็ไม่สบายใจครับ" หนุ่มต้อมพูดออกมาจากใจ ท่านพระครูมองเขายิ้ม ๆ แต่ไม่พูดว่ากระไร
"สำหรับผมยังไม่คิดบวชหรอกครับหลวงตา แต่ขออนุญาตมาที่นี่ในช่วยที่ปิดเทอมทุกครั้งได้ไหมครับ" หนุ่มติ๋งว่า
"ตามสบาย หลวงตายินดีต้อนรับ จะมาเมื่อไหร่ก็ได้"
"ส่วนผมตั้งใจว่าจะมาทุกเย็นวันศุกร์แล้วกลับเย็นวันอาทิตย์ รอให้ปิดเทอมคงคิดถึงหลวงตาแย่เลย" หนุ่มต่อพูดบ้าง
ชายหญิงคู่หนึ่งเดินตรงมายังกุฏิ เด็กชายสามคนอายุไล่เลี่ยกันเดิมตามต้อย ๆ คนทั้งห้าเข้ามานั่งทางเบื้องหลังของคหบดีและครอบครัว กราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง แล้วนั่งสงบ "รอคิว" อยู่ ต่อเมื่อคหบดีและครอบครัวลุกออกไปแล้ว ผู้มาใหม่จึงพากันเลื่อนขึ้นมานั่งข้างหน้า แล้วกราบท่านเจ้าของกุฏิอีกครั้ง
"มายังไงกันเล่านี่ หายไปเสียนาน นึกว่าลืมอาตมาเสียแล้ว" ท่านทักอย่างเป็นกันเอง บุรุษนี้ชื่อนายนิยม เคยมาบวชอยู่กับท่านหนึ่งพรรษาเมื่อสามปีที่แล้ว หลังจากสึกออกไปก็ไม่เคยมาอีก
"ต้องกราบขอประทานโทษหลวงพ่อด้วย งานยุ่งเหลือเกิน ตั้งแต่เปลี่ยนจังหวัดพระนครมาเป็นรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นพิเศษ ผมไม่ได้หยุดเลยครับ" นายนิยมรายงาน
"เดี๋ยวนี้คุณพี่เขาไม่ได้สังกัดกระทรวงมหาดไทยแล้วค่ะหลวงพ่อ ภรรยานายนิยมกล่าว หล่อนเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
"ยังงั้นหรือ แล้วงานใหม่กับงานเก่าอย่างไหนหนักกว่ากันล่ะ"
"ก็พอ ๆ กันแหละครับหลวงพ่อ แต่หนักไปคนละแบบ เรื่องงานหนักน่ะไม่เท่าไหร่ แต่หนักใจซีครับ กลัวว่าจะทนไม่ได้เข้าสักวัน" ทั้งสีหน้าและแววตาของผู้พูดแสดงว่าหนักใจจริง ๆ
"หนักอกหนักใจอะไรนักหนาเชียว บอกอาตมาได้ไหมเล่าเผื่อจะช่วยได้" ท่านพูดอย่างปรานี
"บอกได้ครับ แต่คงไม่รบกวนให้หลวงพ่อช่วย เพราะมันคงเกินกำลังของหลวงพ่อ ก็ปัญหาเรื่องคอรัปชั่นนั้นแหละครับ ผมเห็นแล้วสงสารประเทศชาติบ้านเมือง มันกินกันตั้งแต่ตัวเล็กไปจนถึงตัวใหญ่" เขาหมายถึง ข้าราชการบางพวกที่ทุจริตในหน้าที่
"ปัญหาแบบนี้อาตมาช่วยไม่ได้หรอกโยม มันเกินกำลังอย่างที่โยมว่ามานั่นแหละ เอาไว้ให้เป็นหน้าที่ของกฎแห่งกรรมดีกว่า เราคอยดูอยู่เฉย ๆ ท่านกึ่งปลอบกึ่งปลง
"บางครั้งมันก็เฉยไม่ได้ครับหลวงพ่อ พอเราเห็นคนดีถูกรังแก เราก็เฉยไม่ได้ เพื่อนผมอยู่กระทรวงอุตสาหกรรม วันหนึ่งมีอาเสี่ยมาขออนุญาตตั้งโรงงาน เขาตรวจแบบแปลนแล้ว เห็นว่าไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขที่กฎหมายอนุญาต จึงไม่เซ็นอนุมัติ รุ่งเช้าแกมาใหม่ คราวนี้หอมเงินมาด้วย มาถึงก็ส่งเงินที่อัดใส่ซองพัสดุมาเต็มซองให้ เพื่อนผมตอบว่า "ผมเป็นข้าราชการมีเงินเดือนแล้วไม่ต้องรับเงินของคุณ ถ้าคุณทำมาถูกต้อง ผมก็จะเซ็นให้โดยไม่รับเงินเลย" เขาโกรธมาก รุ่งอีกวันก็มาอีก คราวนี้ถือนามบัตรของนายกรัฐมนตรีมาด้วย บอกเพื่อนผมว่านายกให้เซ็นอนุญาต เพื่อนผมเขาก็บอกว่า งั้นคุณไปบอกนายกให้มาพูดกับผมก็แล้วกัน เท่านั้นเองได้เรื่องเลยครับ"
"ได้เรื่องว่ายังไงล่ะ" ท่านพระครูซัก
"ก็มีเรื่องตอนเช้า พอตอนบ่ายถูกสั่งย้ายด่วน ย้ายไปอยู่ตำแหน่งที่ไม่มีงาน เขาเรียกว่าตำแหน่งลอยน่ะครับ เพื่อน ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหกคน ก็โดนด้วย ถูกย้ายรวดเดียวเจ็ดคนเลยครับ"
"น่าเสียดายแทนชาติบ้านเมืองนะคะ คนดี ๆ ไม่เลี้ยง แบบนี้คนดีก็หมดกำลังใจทำงาน" แพทย์หญิงนลินเอ่ยขึ้น ลูกชายสามคนของหล่อนทนนั่งพับเพียบนาน ๆ ไม่ไหว จึงพากันลุกออกไปวิ่งเล่นที่ลานวัด พวกเขาเคยมาวัดนี้เมื่อครั้งบิดาบวช และช่วงนั้นก็มาบ่อยจนคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอันดี
"ผมว่านายกรัฐมนตรีไม่น่าทำอย่างนั้นเลย แบบนี้ประเทศชาติก็คงไปไม่รอด" นายนิยมกล่าว
"ไม่ใช่ฝีมือนายกหรอกโยม อย่าไปโทษท่านสุ่มสี่สุ่มห้า บาปกรรมเปล่า ๆ ท่านเจ้าของกุฏิขัดขึ้น
"หมายความว่าอย่างไรครับ" นายนิยมไม่เข้าใจ
"ก็หมายความว่า มีการแอบอ้างชื่อนายกน่ะซี แต่คนที่เป็นตัวการนั้นที่แท้ก็คือนายของเพื่อนโยมนั่นแหละ คนที่สั่งย้ายน่ะ นาย้งนายกที่ไหนกัน" ท่านอธิบายตามที่ "เห็น"
"นายเขาก็โดยนะครับหลวงพ่อ ในเจ็ดคนนั้นมีนายเขารวมอยู่ด้วย" นายนิยมแย้งเพราะผู้บังคับบัญชาของเพื่อนเขาก็รวมอยู่ในเจ็ดคนที่ถูกสั่งย้าย
"ก็นายของนายยังไงล่ะ โยมลืมแล้วหรือที่เขาพูดกันว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าน่ะ ลืมเสียแล้วหรือ" คำพูดของท่านพระครูทำให้นายนิยมเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง ขณะเดียวกันก็ให้อ่อนใจกับระบบราชการมากยิ่งขึ้น ระบบราชการที่ไม่สนับสนุนคนซื่อสัตย์สุจริต
"แหม ดิฉันว่าจะไม่พูดก็อดไม่ได้ ไหน ๆ ก็พูดเรื่องนี้กันแล้ว ก็เลยขอถือโอกาสพูดเสียเลย ดิฉันเห็นมากับตาจริง ๆ นะคะ ไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสีใคร ถ้าใครจะมาฟ้องร้อง ดิฉันก็ยินดี เพราะได้บันทึกเทปไว้เป็นหลักฐานด้วย" แพทย์หญิงนลินเอ่ยบ้าง
"คุณหมอก็มีเรื่องเล่าเหมือนกันหรือ" ท่านพระครูถามยิ้ม ๆ
"ก็ว่าจะไม่เล่าแหละค่ะหลวงพ่อ แต่ไหน ๆ คุณพี่เขาเล่าเรื่องเพื่อนเขา ดิฉันก็ถือโอกาสเล่าเรื่องน้องสาวของดิฉันอีกราย รายนี้จ่ายไปร่วมล้านค่ะ คือเขาทำธุรกิจอย่างหนึ่ง ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง คนที่เซ็นอนุมัติต้องเป็นระดับปลัดกระทรวง กว่าเขาจะเข้าถึงปลัดกระทรวงก็ต้องจ่ายเป็นค่าเบี้ยใบ้รายทางไปหลายแสน ตั้งแต่หน้าห้องอธิบดี ตัวอธิบดี หน้าห้องปลัดกระทรวง แม้แต่คนขับรถของปลัดกระทรวงก็ต้องจ่ายค่ะ แล้วเมื่อวานนี้เอง เขานัดปลัดกระทรวงมารับเงินที่บ้าน เขาก็เรียกดิฉันไปด้วย ดิฉันแอบบันทึกเทปไว้โดยไม่ให้เขารู้ตัว
ปลัดกระทรวงท่านมากับคนขับรถ ถือกระเป๋าเอกสารเปล่า ๆ มาใบนึง มาถึงน้องสาวดิฉันก็แนะนำให้ดิฉันรู้จัก พร้อมกับออกตัวว่าเขาเป็นโสด ยังไม่มีคู่คิดเลยต้องอาศัยพี่สาว น้องสาวดิฉันก็จัดการนำธนบัตรใบละร้อยที่เพิ่งเอาออกจากธนาคารอัดใส่กระเป๋าใบนั้น อัดจนแน่นเลยค่ะ แล้วก็ยังใส่ซองให้คนขับรถอีกสองหมื่น"
"แล้วในกระเป๋านั่นกี่หมื่น" ท่านถามไปอย่างนั้นเอง
"ห้าแสนค่ะ ธนบัตรใบละร้อย ใหม่เอี่ยมห้าพันใบค่ะหลวงพ่อ หลวงพ่อเชื่อไหมคะ ตอนเขาเดินถือกระเป๋าเข้ามา ดูท่าทางเขาสง่า เดินตัวตรงเชียวค่ะ แต่พอขากลับเดินตัวเอียงเพราะกระเป๋าหนัก น้องสาวก็แกล้งถามว่า ท่านถือไหวไหมคะ ดิฉันจะให้เด็กถือไปส่งที่รถนะคะ ท่านก็ว่าไม่เป็นไร ผมถือเองได้ น้องสาวก็เดินไปส่งท่านที่รถซึ่งคนขับนั่งรออยู่ เขาก็ยื่นซองที่มีเงินสองหมื่นให้คนขับรถ ดิฉันเห็นแล้วนึกสมเพชมาก ๆ เลยค่ะ เป็นปลัดกระทรวงนะคะ ก็เลยคิดว่าจะจำคนชื่อนี้ นามสกุลนี้เอาไว้ จะบอกลูกบอกหลานด้วยว่าคนตระกูลนี้คอรัปชั่น"
"ก็คุณหมอบอกว่าน้องสาวทำถูกต้อง แล้วทำไมต้องจ่ายเขาด้วยล่ะ" ท่านถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
"เขาไม่เซ็นอนุมัติค่ะ" พอดีเป็นธุรกิจระดับร้อยล้าน ต้องอาศัยความรวดเร็ว เห็นเขาโยกไปโย้มาก็เลยต้องจ่าย ที่เขาแกล้งโยกโย้ก็เพื่อจะเอาเงินนั่นแหละค่ะหลวงพ่อ"
"แย่นะ คนสมัยนี้ไม่ยักกลัวบาปกลัวกรรม" ท่านพระครูพูดขึ้นเมื่อแพทย์หญิงนลินเล่าจบ เงียบกันไปครู่หนึ่ง นายนิยมก็พูดขึ้นว่า
"พูดเรื่องนี้แล้วทำให้ผมนึกถึงเพื่อนอีกคนหนึ่ง เขาเป็นตำรวจภูธรยศพันตำรวจโท วันหนึ่งเขาจับรถบรรทุกคันหนึ่งเป็นรถขนฝิ่น คนขับก็อ้างขื่อนายพลเอกคนหนึ่งแล้วขู่ให้ปล่อย เขาไม่ยอมปล่อยก็เลยถูกไล่ออก เขาแค้นมากครับ บอกว่าเขาทำงานอย่างสุจริต แต่ผลตอบแทนคือการถูกไล่ออก ส่วนเพื่อน ๆ ที่ทุจริตกลับได้ขึ้นขั้นขึ้นเงินเดือนกันเป็นแถว ๆ แบบนี้เมืองไทยจะไปรอดหรือครับหลวงพ่อ"
"ก็ต้องคอยดูกันไปนั่นแหละ ถ้าไม่ตายเสียก่อนก็จะรู้ ข้อสำคัญก็คือ เราอย่าไปเอาเยี่ยงอย่างเขาก็แล้วกัน เราต้องรักษาความดีของเราเอาไว้" ท่านพูดเชิงตักเตือน
"ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่ครับ นี่ผมก็อึดอัดใจมาก อยากจะมาเรียนปรึกษาหลวงพ่อ ว่าจะลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัวจะดีหรือไม่ ผมเบื่อระบบราชการเต็มทีแล้ว คนอื่นเขากินกัน พอเราไม่กินเขาก็เขม่น เจ้านายก็ไม่ชอบหน้าผมสักเท่าไหร่"
"ไม่ต้องออกโยม ไม่ต้อง อยู่เป็นก้างขวางคอเขานั่นแหละดีแล้ว อย่างน้อยประเทศชาติก็ยังมีคนดีคอยถ่วงไว้บ้าง ถ้าโยมออกเขาก็ปราศจากเสี้ยนหนาม เลยพากันโกงกันกินสบายไป ประเทศชาติก็จะล่มจมเร็วขึ้น" ฟังท่านพูดแล้วนายนิยมก็มีกำลังใจ
"ถ้าอย่างนั้นผมเห็นจะต้องกลับละครับ จะมาเรียนถามหลวงพ่อเท่านี้แหละ ถือโอกาสมากราบอำนวยพรปีใหม่ด้วย" เขาหันมาหาลูก ๆ แต่ไม่พบ "ไม่รู้พวกเด็ก ๆ หายไปไหน"
"โน่นแหละ เล่นน้ำอยู่หลังวัดโน่น เมื่อกี้วิ่งเล่นที่ลานวัดแล้วเกิดร้อนก็เลยพาไปเล่นน้ำ" ท่านพูดราวกับตาเห็น สองสามีภรรยาจึงเดินไปที่ท่าน้ำ ก็พบลูก ๆ กำลังเปลือยกายล่อนจ้อนเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานทั้งที่อากาศหนาว
"ก้อง เก่ง กล้า ขึ้นได้แล้ว พ่อกับแม่จะกลับแล้ว" แพทย์หญิงนลินตะโกนเรียกลูก เด็กชายก้องจึงชวนน้อง ๆ วิ่งขึ้นจากน้ำมาสวมเสื้อผ้าซึ่งถอดกองไว้บนกอหญ้าริมตลิ่ง..

วันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๑๗ เป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ ผู้คนพากันมาวัดป่ามะม่วงแต่เช้ามืด แม้วันคืนจะหมุนเวียนเปลี่ยนไป ปีใหม่มาปีเก่าลาลับ แต่หน้าที่และภารกิจของท่านพระครูดูเหมือนจะยิ่งหนักกว่าเดิม เพราะผู้คนนับวันก็ประสบปัญหาชีวิต ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนกันมากขึ้น ปัญหาชีวิตอันเป็นผลพวงของความเจริญด้านวัตถุ
เสร็จจากสังฆกรรมในพระอุโบสถแล้ว เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็เดินมายังกุฏิที่ผู้คนมากหน้ากำลังรออยู่ จากนั้น ท่านก็จะเริ่มวินิจฉัยไขปัญหาให้พวกเขาตั้งแต่เวลาหกนาฬิกาถึงเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาที จึงขึ้นไปเจริญพระพุทธมนต์ และฉันภัตตาหารเช้าร่วมกับภิกษุอื่น ๆ บนศาลา พวกชาวบ้านผู้มีศรัทธาจะนำอาหารคาวหวานมาทำบุญที่วัดป่ามะม่วงทุกวันพระ
ผู้ทุกข์ร้อนรายแรกเป็นนักธุรกิจมาจากกรุงเทพฯ หน้าตาของเขาเศร้าหมอง เพราะการค้าขาดทุนร่วมสิบล้าน เขาได้รับคำแนะนำจากญาติว่า เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงท่านแก้ปัญหาเก่ง จึงสู้ดั้นด้นมาหาและนั่งตากยุงรอตั้งแต่ตีสี่
"โยมมีอะไรจะให้อาตมาช่วยก็ว่าไปเลย" ท่านเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน เป็นการพูดที่ตรงไปตรงมา
"ผมแย่แล้วครับหลวงพ่อ ธุรกิจของผมขาดทุนไปเกือบสิบล้าน ถ้าหลวงพ่อไม่ช่วย ผมคงต้องล้มละลายแน่" เขาบอกด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
"โยมทำธุรกิจอะไรล่ะ"
"ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งนอกครับ ผมทำมาสามปีเข้านี่แล้ว สองปีแรกกำไรดีมากครับ พอมาปีหนึ่งหกก็เริ่มขาดทุน แล้วกิจการก็แย่ลงเรื่อย ๆ จนเกือบจะล้มแล้วครับ หลวงพ่อโปรดช่วยผมด้วย"
"แหม อาตมาก็ไม่สันทัดเรื่องธุรกิจเสียด้วยซี ไหนโยมช่วยอธิบายกระบวนการของมันให้อาตมาฟังหน่อยซิ แล้วอาตมาจะช่วยตรวจสอบให้ว่าทำไมมันถึงได้ขาดทุน" นักธุรกิจผู้นั้นจึงอธิบายว่า
"ผมมีโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป มีทั้งเสื้อผ้าผู้ใหญ่และเด็ก สำหรับผู้ชายและผู้หญิง ผมจะส่งตัวอย่างไปให้ตลาดดู ตลาดที่ว่าก็มีทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศยุโรป และประเทศญี่ปุ่น เขาก็จะสั่งมาทีละมาก ๆ จนผลิตแทบไม่ทัน ก็รุ่งเรืองอยู่แค่สองปี มาปีที่แล้วก็เริ่มทรุด ทำให้ขาดทุนย่อยยับ ผมไม่ทราบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น"
ท่านพระครูจำเป็นต้องรบกวน "เห็นหนอ" ให้ช่วยตรวจสอบให้ ชั่วอึดใจเดียวท่านก็พูดขึ้นว่า "โยมทราบดีเชียวละ จะให้อาตมาพูดตรง ๆ ไหมล่ะ"
นักธุรกิจวัยห้าสิบเศษอ้ำอึ้งอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วจึงพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า "ครับ หลวงพ่อพูดตรง ๆ ได้เลยครับ"
ท่านเจ้าของกุฏิจึงพูดขึ้นว่า "ก็โยมเล่นไม่ซื่อกับลูกค้านี่นา เวลาส่งตัวอย่างไปให้เขาดู โดยก็ใช้ผ้าชนิดดีราคาแพง แต่พอเขาสั่งมาจำนวนมาก ๆ โยมก็ใช้ผ้าอีกชนิดหนึ่งที่ดูคล้าย ๆ กัน แต่คุณภาพด้อยกว่า ราคาถูกกว่า โยมทำอย่างนี้เพราะความโลภ อยากได้กำไรมาก ๆ เขารู้ทันเขาก็เลยเลิกสั่ง อันนี้โยมจะไปโทษลูกค้าเขาก็ไม่ได้ จริงไหม" ท่านพูดด้วยเสียงที่ตั้งใจจะให้ทุกคน ณ ที่นั้นได้ยินเพื่อจะได้ "สอน" คนอื่นไปในตัว
"คนอื่น ๆ เขาก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละครับหลวงพ่อ" บุรุษวัยเกินห้าสิบแอบอ้างผู้อื่นเป็นตัวอย่าง ทำให้คนฟังที่ไม่รู้เท่าทัน คิดว่าเขาไม่ผิด เพราะใคร ๆ ก็ทำอย่างที่เขาทำ
"อ้อ หมายความว่าอะไรก็ตามที่คนส่วนใหญ่ทำ ย่อมหมายความว่า สิ่งนั้นถูกต้องดีงาม อย่างนั้นใช่ไหม"
"คงไม่ใช่กระมังครับ" คนตอบชักไม่แน่ใจ
"ถ้าอย่างนั้นโยมบอกอาตมามาตรง ๆ เลยดีกว่า ว่าสิ่งที่โยมทำไปนั้นมันถูกหรือผิด บอกมาเลย อาตมาไม่ชอบพูดอ้อมค้อม"
"ผิดครับ แต่มันก็ทำให้รวยเร็วนะครับหลวงพ่อ คนอื่น ๆ ที่เขาทำก็รวย ๆ กันทั้งนั้น" นักธุรกิจยังคงมีทิฐิ
"ไม่จริงละมั้ง ถ้าจริงโยมก็คงไม่มาให้อาตมาช่วย หรือโยมจะเถียง"
"ไม่เถียงแล้วครับ หลวงพ่อกรุณาแนะนำผมด้วยเถิดครับว่าทำอย่างไรธุรกิจของผมจึงจะคืนสู่สภาพเดิม"
"มันก็ไม่ยากหรอกโยม แต่มันก็ไม่ง่ายถ้าโยมไม่สามารถปฏิบัติตามที่อาตมาแนะนำ"
"ผมจะปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำทุกอย่างครับ" นักธุรกิจพูดอย่างมีความหวังขึ้นมาบ้าง
"ดีแล้ว ญาติโยมทั้งหลายจำไว้เป็นตัวอย่างเชียวนะ" ท่านพูดกับทุกคนในที่นั้น บรรดาผู้ที่นั่งอยู่ในกุฏิขณะนี้ ผู้ที่จะมาถามปัญหาแบบเดียวกันมีอีกสองราย ท่านจะได้ถือโอกาสตอบเสียในคราวเดียวกัน เป็นการ "ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว" เมื่อจะพูดต่อ ท่านทำความตกลงกับเจ้าของเรื่องว่า
"โยมอย่าหาว่าอาตมาเอาโยมมาประจานนะ ก็เมื่อกี้โยมว่าใคร ๆ เขาก็ทำกัน แปลว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอับอายใช่ไหม"
"ครับ ผมไม่คิดว่าหลวงพ่อประจาน ถ้าหลวงพ่อทำให้ผมขายดีเหมือนเก่าได้" นักธุรกิจยอมรับหากก็มีเงื่อนไข
"ถ้าอย่างนั้นก็ฟังให้ดี การกระทำของโยมถือว่าเป็นการทุจริต หลอกลวงลูกค้า การหากินในทางทุจริตนั้นมันทำให้รวยก็จริง แต่รวยได้ไม่นานก็ต้องเจ๊ง" คำสุดท้ายท่านใช้ศัพท์ภาษาจีน เพื่อความทันสมัย
"แล้วผมจะแก้ไขอย่างไรครับ"
"ประการแรก โยมก็ต้องเลิกหลอกลวงเขาด้วยการ "ยัดไส้สินค้า" ใช่ไหม ที่โยมทำอยู่ เขาเรียกว่ายัดไส้สินค้าใช่ไหม อันนี้อาตมาเคยได้ยินแต่เขาพูด"
"ถูกแล้วครับหลวงพ่อ สมัยนี้ใคร ๆ เขาก็ใช้วิธีนี้กันทั้งนั้น ไม่งั้นมันก็ไม่รวยครับ" นักธุรกจิสนอง
"นั่นไง เอาอีกแล้วไง อาตมาสอนอยู่แหม็บ ๆ โยมก็มาเป็นแบบเดิมอีกแล้ว "ท่านว่าตรง ๆ
"ก็มันเรื่องจริงนี่ครับหลวงพ่อ ผมเพียงแต่หยิบยกเอาเรื่องจริงขึ้นมาพูดเท่านั้นเอง" ชายวัยเกินห้าสิบเถียงอย่างดื้อรั้น
"โยมนี่ดื้อเสียยิ่งกว่าแมวอีก อาตมาว่าแมวมันดื้อแล้วนะ"
"ครับ ผมไม่ดื้อแล้วครับ ตกลงผมยอมหลวงพ่อ จะไม่ทำอย่างที่ทำอีก ตัวอย่างสินค้าเป็นยังไง ผมก็จะส่งให้เขาตามนั้นทุกประการ"
"แล้วฝีมือด้วยนะ ไม่ใช่ตัวอย่างตัดเย็บด้วยฝีมือประณีต แต่พอส่งไปให้เขาเป็นฝีมืออีกระดับหนึ่ง" ท่านพูดดักคอ
"แหม หลวงพ่อนี่ละเอียดจริง ๆ ผมศรัทธาเต็มที่เลยนะครับนี่" เขาชมเป็นครั้งแรกและด้วยความจริงใจ หากท่านไม่พูดเช่นนี้ออกมาเสียก่อน เขาก็คิดอยู่แล้ว ว่าจะหลอกลวงโดยวิธีนี้ คือใช้วัสดุคุณภาพและราคาแบบเดียวกับตัวอย่าง แต่จะลดความประณีตลง เป็นการประหยัดต้นทุนด้านค่าแรง เมื่อท่านพระครูเตือนล่วงหน้าไว้เช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องเชื่อท่าน
"ตกลงผมจะทำตามที่หลวงพ่อแนะนำครับ แล้วนานเท่าไหร่ผมถึงจะฟื้นตัวครับ"
ยัง ยังไม่หมดแค่นี้ ที่พูดมาเพิ่งได้ประการเดียว ยังมีประการอื่น ๆ อีก นั่นก็คือโยมจะต้องสวดมนต์ทุกวัน สวดเป็นไหม"
"ไม่เป็นเลยครับ"
"เอาละไม่เป็นไร เดี๋ยวอาตมาจะแจกบทสวดมนต์ มีคนเขาพิมพ์มาถวายไว้สำหรับแจก" ท่านหยิบแผ่นปลิวขนาด ๑' x ๑.๒๕' ขึ้นมาแจก ในนั้นมีบทสวดมนต์พิมพ์ด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่เพื่อความสะดวกในการอ่าน ท่านส่งให้นักธุรกิจ แต่ปรากฏว่ามีบุรุษอีกสองคนที่นั่ง ณ ที่นั้นขออีกคนละแผ่น คนหนึ่งมีธุรกิจทำกระเป๋าถือส่งต่างประเทศ อีกคนทำรองเท้าหนัง และคนทั้งสองใช้วิธีเดียวกับคนแรกในการหลอกลวงลูกค้า คือใช้วิธี "ยัดไส้สินค้า" คนทั้งสามรับแผ่นปลิวมาอ่านแล้วพูดขึ้นเกือบจะพร้อมกันว่า "อ่านยากจังครับ"
"ยากที่ไหนกัน เขาอุตส่าห์พิมพ์ตัวโต ๆ ให้ยังจะว่าอ่านยากอีก"
"ผมหมายถึงข้อความน่ะครับ" เจ้าของธุรกิจกระเป๋าถือว่า อีกสองคนก็คิดอย่างเดียวกัน
"นั่นเพราะโยมไม่เคยสวดมนต์น่ะซี นี่อาตมาอุตส่าห์เขียนคำอ่านเป็นภาษาไทยนะ ถ้าเขียนแบบภาษาบาลี โยมจะยิ่งแย่กว่านี้ แต่เอาเถอะค่อย ๆ อ่านไปก่อนแล้วจะจำได้ เมื่อจำได้ก็จะสวดมนต์เป็น ถ้าไม่อยากล้มละลายก็ทำตามนี้ เข้าใจไหม"
"อ่านหมดนี่เลยหรือครับ"
"ถูกแล้ว อ่านหมดนี่หนึ่งเที่ยว แล้วอ่านเฉพาะบทพุทธคุณเท่าจำนวนอายุบวกหนึ่ง"
"ตรงไหนครับที่เรียกว่าบทพุทธคุณ"
"แหม โยมนี่ไม่เอาไหนเลยจริง ๆ นะ" ท่านว่าคนเดียว แต่มีคนร้อนตัวถึงสามคน
"บทพุทธคุณ ก็ตั้งแต่ อิติปิโส ไปจนถึง ภะคะวาติ นั่นแหละ โยมอายุเท่าไหร่ล่ะ"
"สี่สิบแปดครับ" เจ้าของธุรกิจกระเป๋าถือตอบ
"สี่สิบแปดก็สวดสี่สิบเก้าจบ"
"แล้วเราจะทำอย่างไรไม่ให้หลงครับ ผมกลัวจำไม่ได้ว่าสวดกี่จบแล้ว"
"อันนี้โยมมาวิธีเอาเอง อาตมาเชื่อว่าคนเป็นนักธุรกิจย่อมหาวิธีจนได้นั่นแหละ"
"ใช้วิธีนับก้านไม้ขีดซี" เจ้าของธุรกิจรองเท้าแนะนำ
"งั้นผมอายุห้าสิบหกก็ต้องสวดห้าสิบเจ็ดจบใช่ไหมครับหลวงพ่อ" นักธุรกิจคนแรกถามอย่างรู้สึกท้อแท้
"ก็ต้องอย่างนั้น" ท่านเจ้าของกุฎิตอบ
"แล้วผมจะมีเวลาหรือครับ วัน ๆ ผมไม่ค่อยว่างเลย" ท่านพระครูรู้สึกอ่อนใจ จึงบอกเขาว่า
"เลือกเอาก็แล้วกัน ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่สำเร็จ แต่ถ้าทำได้ก็จะเห็นผลภายในสามเดือนเป็นอย่างช้า"
"ให้ภรรยาสวดด้วยได้ไหมครับ"
"ได้ ยิ่งช่วยกันสวดยิ่งเห็นผลเร็ว"
"ถ้าให้สวดแทนผมล่ะครับ" เขาต่อรอง
"สวดแทนไม่ได้ซี ช่วยกันสวดนี่ อาตมาหมายความว่า ต่างคนต่างสวดเท่าอายุของตัวเองบวกหนึ่ง ภรรยาโยมอายุเท่าไหร่ล่ะ"
"สี่สิบหกครับ"
"ก็ให้เขาสวดสี่สิบเจ็ดจบ" เข้าใจไหมล่ะ
"เข้าใจครับ ขอบพระคุณหลวงพ่อมากครับ" รู้วิธีแก้ปัญหาแล้ว นักธุรกิจผู้นั้นจึงกราบลา ปรากฏว่ามีผู้ตามเขาออกมาอีกสองคน ท่านพระครูประสบความสำเร็จในการ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว"
"หลวงพ่อคะ ฉันกับสามีทำโรงงานผลิตเครื่องตกแต่งบ้าน ไม่เคยยัดไส้สินค้า ไม่เคยโกงลูกค้า แต่ทำไมทำมาหากินไม่ขึ้นล่ะคะ" ผู้ทุกข์ร้อนรายที่สองเป็นสตรีวัยสามสิบเศษ หล่อนมากับสามีวัยเดียวกันที่นั่งก้มหน้าคอตกอยู่ ข้าง ๆ ท่านพระครูตอบไปตามที่ "เห็นหนอ" รายงานว่า
"โยมไม่ปฏิบัติพระในบ้านน่ะซี"
"ในบ้านผมไม่มีพระครับหลวงพ่อ" สามีเงยหน้าขึ้นตอบ "ถ้าจะมีก็คงเป็นพระพุทธรูปใช่ไหมคะ"
"ไม่ใช่หรอกโยม อาตมาหมายถึง คุณพ่อคุณแม่ของโยมน่ะ เพราะโยมไม่ปฏิบัติท่าน โยมถึงได้ทำมาหากินไม่ขึ้น"
"ฉันก็เลี้ยงดูแกนี่คะ เพื่อนบ้านฉันเสียอีกที่เอาพ่อแม่ไปไว้บ้านบางแค"
"เอาอีกแล้ว อ้างผู้อื่นเป็นอย่างอีกแล้ว อาตมาเพิ่งว่าโยมผู้ชายคนนั้นไปหยก ๆ" ท่านหมายถึงนักธุรกิจที่เพิ่งลากลับไป
"ขอทีเถอะนะโยมนะ อย่ามองออกนอกตัวเลย ให้มองเข้ามาที่ตัวเรานี่แหละ มันมีข้อบกพร่องตรงไหนก็ค่อย ๆ แก้ไขไปโดยไม่ต้องไปเพ่งโทษผู้อื่น เข้าใจหรือยัง"
"เข้าใจค่ะ หลวงพ่อกรุณบอกวิธีแก้ไขด้วยเถิดค่ะ"
"ก่อนที่จะแก้ไข โยมก็ต้องรู้ข้อบกพร่องของตัวเองก่อน โยมบกพร่องตรงไหนรู้ไหม"
"ไม่ทราบค่ะ"
"นั่นไงเห็นไหม ตัวของตัวยังไม่รู้เลย แล้วยังเที่ยวไปรู้ตัวของคนอื่น เอาละ ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก สำหรับอาตมา เพราะคนอื่น ๆ เขาก็เป็นแบบโยมนี่แหละ" สตรีวัยกว่าสามสิบมีสีหน้าดีขึ้น เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ได้บกพร่องแต่เพียงผู้เดียว อย่างน้อย ๆ ก็ยัง "มีเพื่อน"
"หลวงพ่อช่วยชี้ข้อบกพร่องของฉันด้วยเถอะค่ะ แล้วฉันจะได้หาทางแก้ไข"
"เอาละ ถ้าอย่างนั้นก็ฟังให้ดี โยมไม่ปฏิบัติพ่อแม่ หมายความว่า โยมให้ท่านไปอยู่ที่โรงงาน อยู่ห้องอับ ๆ มืด ๆ ให้กินข้าวรวมกับพวกคนงาน ในขณะที่โยมอยู่บ้านหลังใหญ่กับสามีและลูก ๆ มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ที่อาตมาพูดมานี่จริงหรือเปล่า"
"จริงค่ะ" หล่อนพูดเสียงเครือและมองเห็นข้อบกพร่องของตัวเองอย่างชัดแจ้ง
"ดีแล้วที่โยมยอมรับผิด ทีนี้อาตมาก็จะบอกวิธีแก้ไข โยมต้องรับท่านเข้ามาอยู่บ้านเดียวกับโยม กลับไปนี่ไปจัดการเสีย โยมกินดีอยู่ดีอย่างไร ก็ต้องให้พ่อแม่กินดีอยู่ดีอย่างนั้นด้วย เอาละโยมกลับไปก็หาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาท่าน เอาน้ำล้างเท้าให้ท่าน และให้ท่านอโหสิกรรมให้ แล้วกิจการค้าของโยมก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับ ทำได้ไหมเล่า"
"ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูกับสามีขอกราบลา"
"เจ้าทุกข์" รายที่สามกำลังจะเอื้อนเอ่ย "ธุระ" นายสมชายก็คลานเข้ามาขัดจังหวะว่า "หลวงพ่อครับ นิมนต์ขึ้นศาลาครับ เลยเวลามาหลายนาทีแล้ว"
"อ้าวได้เวลาแล้วหรือ"
"ได้มาหลายนาทีแล้วครับ" นายสมชายย้ำ ท่านจึงพูดกับผู้คนที่นั่ง ณ ที่นั้นว่า
"ประเดี๋ยวนะ ขอเวลานอกก่อน ญาติโยมก็ไปทานอาหารกันได้แล้ว ที่โรงครัวเขาคงเตรียมเสร็จแล้ว เชิญทุกคนเลยนะ ใครมาวัดป่ามะม่วงแล้วไม่ได้ทานอาหารถือว่าไม่ได้มา" พูดแล้วท่านจึงลุกจากอาสนะเพื่อจะเดินไปยังศาลา "สาวรุ่น ๆ คนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา หล่อนคุกเข่าลงต่อหน้าท่าน ประนมมือพร้อมกับพูดว่า
"หลวงพ่อคะ ขอเวลาหนูหนึ่งนาทีค่ะ หนูมีธุระด่วนมาก" หล่อนพูดอย่างรีบร้อน และไม่อาจ "รอคิว" ได้
"พูดไปเลยหนู" ท่านอนุญาต
"พี่สาวหนูถูกรถชนอาการสาหัสค่ะ ตอนนี้อยู่ห้อง ไอ.ซี.ยู. หนูมาขอบารมีหลวงพ่อให้เขารอดชีวิตด้วย" ท่านพระครูรู้ว่าบรรดาคนที่มาในวันนี้ ยังมีอีกสามรายที่มีจุดประสงค์เดียวกับเด็กสาว จึงบอกพวกเขาว่า
"เอาละ คนที่มาธุระเรื่องเป็นเรื่องตายให้จดชื่อและนามสกุลใส่พานวางไว้ที่อาสนะของอาตมา ไม่ใช่ชื่อของคนที่มาหา" ท่านจำเป็นต้องบอกให้แจ่มแจ้ง เพราะคนแต่ละคนระดับสติปัญญาไม่เท่ากัน และความผิดพลาดคลาดเคลื่อนก็เคยปรากฏมาแล้วบ่อยครั้ง พูดจบท่านก็เดินไปยังศาลา บรรดาคนเจ้าทุกข์ทั้งหลายก็พากันเดินไปยังโรงครัวเพื่อรับประทานอาหาร
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงก็เดินกลับมายังกุฏิ ท่านขอตัวเข้าไปล้างมือและบ้วนปากในห้องน้ำใต้บันได แล้วจึงออกมานั่งที่อาสนะ ในพานมีกระดาษสี่แผ่นวางอยู่ ท่านหยิบมาอ่านทุกแผ่น แล้วพูดขึ้นว่า
"ดูเอาเถอะ ใครจะเป็นจะตายก็ต้องมาให้อาตมาช่วย ยังกะอาตมาเป็นผู้วิเศษแน่ะ นะโยมนะ" ท่านพยักเพยิดกับ เจ้าทุกข์ ที่นั่งอยู่แถวหลังสุด
"หลวงพ่อครับ ผมสงสัยจังครับ คนที่กำลังจะตาย เราช่วยไม่ให้เขาตายได้จริง ๆ หรือครับ" คนถามเป็นบุรุษวัยห้าสิบ เขาเลี่ยงมาใช้คำว่า "เรา" แทน "หลวงพ่อ"
"มันก็ขึ้นอยู่กับกรรมนั่นแหละโยม ถ้าเขาต้องตายจริง ๆ อาตมาก็ช่วยไม่ได้ อย่าว่าแต่อาตมาเลย ต่อให้ผู้วิเศษที่ไหนก็มายับยั้งความตายไม่ได้ ที่ว่าขึ้นอยู่กับกรรมก็หมายความว่า ถ้าเขายังมีกรรมดีอยู่บ้าง อาตมาก็ช่วยเพิ่มให้ได้ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเขาไม่มีกรรมดีอยู่เลย ก็ช่วยไม่ได้ เปรียบเทียบให้เห็นชัด ๆ ก็คือ มันเหมือนกับแบตเตอรี่ ถ้าอาตมาชาร์จไฟมาให้ แต่แบตเตอรี่หม้อนั้นเก็บไฟไม่อยู่ มันก็จะรั่วออกหมด เรื่องอย่างนี้มันซับซ้อน ที่อาตมาพูดมาก็ใช่ว่าจะถูกทั้งหมด เพราะมันมีปัจจัยอื่น ๆ มาประกอบอีก ถ้าจะอธิบายโดยละเอียดวันนี้ทั้งวันก็ไม่จบ เอาเรื่องเฉพาะหน้าดีกว่า" เมื่อท่านพูดดังนี้ ผู้มีทุกข์รายที่สามจึงเอ่ยธุระของตน
"หลวงพ่อครับ ผมมีปัญหาเรื่องลูก ลูกชายลูกสาวผมเอาดีไม่ได้สักคน ทั้งที่ผมกับภรรยาเลี้ยงดูเขาอย่างดี ผมเป็นวิศวกร ภรรยาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ลูกไม่เอาถ่าน ไม่เจริญรอยตามพ่อแม่เลยสักคน" วิศวกรวัยห้าสิบระบายความอึดอัดขัดข้องใจออกมา
"โยมมีลูกกี่คน"
"สี่คนครับ ผู้หญิงสอง ผู้ชายสอง"
"แล้วเขามีครอบครัวกันหรือยัง"
"คงยังมั้งครับ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่กับพ่อแม่เลย พากันหนีออกจากบ้านหมด เห็นว่าลูกชายไปเป็นอันธพาล ลูกสาวไปเป็นนักร้องตามคลับตามบาร์" เขาพูดอย่างขัดเคือง "เห็นหนอ" ทำหน้าที่อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องให้บอก ท่านรู้ความเป็นไปของครอบครัวนี้เป็นอย่างดี จึงพูดขึ้นว่า
"โยมไม่น่าทำรุนแรงกับลูกนี่นา ด่าว่าเขาแล้วยังไม่พอ ยังไปเตะไปต่อยเขาอีก ลูกเขาเป็นหนุ่มเป็นสาว โยมไปเตะเขา เขาก็หนีนะซี แล้วภรรยาโยมก็ด่าลูกแทบทุกวัน ใครเขาจะอยากอยู่ด้วยล่ะ" วิศวกรผู้นั้นนั่งก้มหน้า นึกถึงความผิดพลาดที่ทำไว้กับลูก
"แล้วผมจะทำอย่างไรครับหลวงพ่อ ผมอยากให้ลูก ๆ กลับมาครับ"
"โยมต้องสวดมนต์ ทำอย่างที่อาตมาแนะนำนักธุรกิจไปเมื่อสักครู่นี้ ทำได้ไหม" ท่านพูดพร้อมกับส่งบทสวดมนต์ให้แผ่นหนึ่ง
"ช่วยกันสวดนะ ทั้งโยมและภรรยาโยมนั่นแหละ สวดเสร็จก็แผ่เมตตาไปให้ลูก ๆ ขอให้เขามีความสุขความเจริญ ไม่ช้าเขาก็จะพากันกลับมา แล้วอย่าไปดุไปว่าเขาอีกนะ ให้พูดกับเขาดี ๆ ทำได้ไหม"
"ได้ครับ" บุรุษวัยห้าสิบรับคำหนักแน่น แล้วจึงถือโอกาสกราบลา
ท่านพระครูช่วยแก้ปัญหาให้เจ้าทุกข์อีกหลายราย กระทั่งถึงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาจึงบอกให้พวกเขาไปรับประทานอาหารกลางวันที่โรงครัว ส่วนท่านถือใบรายชื่อคนที่กำลังจะตายสี่รายขึ้นไปข้างบนเพื่อจัดการ "ส่งพลัง" ไปช่วยเหลือ ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าพวกเขาจะรับประทานอาหารเสร็จ และหนึ่งชั่วโมงนี้เป็นของคนสี่คนที่ญาติระบุว่ากำลังจะตาย ชั่วโมงต่อ ๆ ไปก็เป็นของ "เจ้าทุกข์" รายอื่น ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปเสร็จสิ้นตอนกี่ทุ่มกี่ยาม เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วง ท่านมีชีวิตอยู่เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นโดยแท้...




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2012, 10:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.. อนุโมทนาแล้วๆๆ..

:b29: ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มิ.ย. 2012, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


พระบัวเฮียวออกจาก "ผลสมาบัติ" เมื่อเวลาแปดนาฬิกาตรงของวันรุ่งขึ้น ท่านแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลไปให้มารดาและพ่อเลี้ยง พร้อมกันนั้นก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้บุคคลทั้งสองเลิกทำปาณาติบาตอันเป็นมิจฉาอาชีวะ หันมาเลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ
ท่านรู้สึกถึง "พลัง" ที่แผ่ออกไปจากตัว และเกิดความมั่นใจอย่างประหลาดว่านางบุญพาและนายหรุ่ม สามีของนางต้องได้รับส่วนแห่งบุญกุศลนั้นอย่างแน่นอน
เสร็จกิจธุระอันสำคัญนั้นแล้ว ท่านจึงสรงน้ำทำความสะอาดร่างกาย รู้สึกตัวเบา สดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อำนาจแห่งบุญกุศลอันเกิดจาก "ภาวนามัย" ช่างประณีตลึกซึ้ง และ "จิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว" เท่านั้นจึงจะสัมผัสได้
เลยเวลาอาหารเช้าร่วมครึ่งชั่วโมง ท่านไม่รู้สึกหิวจึงเริ่มเดินจงกรมและตั้งใจจะนั่งสมาธิไปจนถึงสิบเอ็ดนาฬิกาอันเป็นเวลาเพล ต่อจากนั้นจึงจะแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้บิดามารดา ญาติพี่น้อง เทพยดา เปรต และสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกภพทุกภูมิที่อยู่ในทุกทิศโดยไม่มีประมาณ และที่จะลืมเสียมิได้ก็คือ เจ้ากรรมนายเวรของท่าน บางทีพวกเขาอาจพากันอโหสิกรรมให้ หรือไม่ก็ให้ท่านได้ชดใช้กรรมเร็วขึ้น อย่างช้าก็ขอให้ก่อนเวลาที่พระอุปัชฌายาจารย์ของท่านจะมรณภาพเพื่อ "ใช้หนี้นก"
เดินจงกรมได้ชั่วโมงเศษจึงกำหนดนั่ง รู้สึกสมาธิตั้งมั่นได้รวดเร็วกว่าทุกครั้ง การกำหนดพอง - ยุบ ชัดเจนและสม่ำเสมอ อาการปวดเมื่อยต่าง ๆ ไม่ปรากฏ ท่านรู้สึกสบายกายสบายใจตลอดเวลาที่นั่ง มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม และสามารถประคองจิตไว้ไม่ให้ตกภวังค์
กระทั่งได้ยินเสียงระฆังเพลจึงถอนจิตออกจากสมาธิ แล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปยังเทพยดา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย จากนั้นจึงเดินไปยังหอฉันเพื่อฉันภัตตาหารเพล
เมื่อท่านกำลังจะก้าวเท้าขึ้นบันไดหอฉัน ก็ได้ยินเสียงเรียกอยู่ข้างหลัง หันไปดูก็พบชายวัยกลางคนนั่งคุกเข่ากับพื้นซีเมนต์ มือประคองถาดอาหาร เป็นถาดทรงกลมทำด้วยกระเบื้องลายคราม ในถาดมีชามชุดบรรจุอาหารพร้อมฝาครอบตรงกลางถาดมีแก้วใส่น้ำไว้เกือบเต็ม
"ท่านบัวเฮียว เราขออนุโมทนาในส่วนกุศลที่ท่านได้ทำแล้ว ขอถวายอาหารมื้อนี้แก่ท่าน โปรดรับประเคนด้วย" พระบัวเฮียวยื่นมือทั้งสองออกไปรับถาดอาหาร แล้วถามขึ้นว่า
"โยมมาจากไหน แล้วทำไมถึงรู้จักอาตมา" ท่านไม่เคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อน ท่าทางเขามีอะไร ๆ ที่ผิดไปจากคนธรรมดา แม้จะแต่งตัวเหมือนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ทว่าผิวพรรณดูละเอียดผุดผ่อง ทั้งยังมีกลิ่นหอมจาง ๆ ลอยออกจากกาย เป็นกลิ่นที่จมูกของพระบัวเฮียวไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
"เราอาศัยอยู่แถวนี้ แต่ไม่เคยมาให้ใครเห็น นอกจากท่านพระครูแล้วก็มีท่านนี่แหละที่เห็นเรา" เสียงนั้นฟังกังวาน แม้จะไม่มีคำว่า "ครับ" หากก็ฟังไม่ขัดหู
"ขอบใจโยมมาก เชิญขึ้นข้างบนก่อนสิจะได้คุยกัน"
"ไม่หรอก เราจะรีบกลับ เราไปละ" บุรุษนั้นก้มลงกราบสามครั้งแล้วลุกเดินออกไปทางประตูหลังวัด พระบัวเฮียวคิดว่าเขาคงเป็นชาวบ้านฝั่งโน้นพายเรือข้ามฟากมา จึงอยากไปดูให้เห็นกับตา วางถาดใบนั้นไว้ตรงหัวบันไดแล้วเดินตามออกไปติด ๆ ครั้นพ้นประตูวัดออกไป กลับไม่พบผู้ใดเดินอยู่แถวนั้นแม้แต่คนเดียว มองลงไปในลำน้ำก็ไม่พบเรือแม้แต่ลำเดียวเช่นกัน ท่านจึงเดินกลับหอฉันด้วยความฉงนฉงาย คิดว่าฉันเสร็จจะต้องไปเรียนถามท่านพระครูให้หายข้องใจ
พระบัวเฮียวหยิบถาดอาหารตรงหัวบันไดขึ้นมา ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้วจึงเปิดฝาครอบออกทีละใบ ชามแรกเป็นข้าวสวย ชามที่สองเป็นน้ำพริก ชามที่สามเป็นผักต้ม มองเผิน ๆ ก็เป็นอาหารพื้น ๆ ของพวกชาวบ้าน ทว่ากลิ่นนั้นหอมหวนชวนรับประทานยิ่งนัก ท่านใช้ช้อนตักน้ำพริกราดลงบนข้าวแล้วใช้ส้อมจิ้มผักต้มมาวางบนน้ำพริก ตักใส่ปากกำหนด "เคี้ยวหนอ ๆ" กระทั่งถึง "กลืนหนอ" แล้วก็ให้รู้สึกอิ่มแปล้ทั้งที่ฉันไปเพียงคำเดียว ท่านยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แล้วหันไปบอกพระที่นั่งข้าง ๆ
"ลองน้ำพริกผักต้มนี่ดูสักคำสิท่าน รสชาติอร่อยดีแท้"
"อร่อยก็กำหนด "รสหนอ" ซีท่าน อย่างไปปรุงแต่ง" ภิกษุรูปนั้นถือโอกาส "สอน" แล้วพูดต่อไปว่า
"วันพระวันโกนเขาก็ต้องฉันหมูเห็ดเป็ดไก่ เรื่องอะไรจะไปฉันน้ำพริก เบื่อจะแย่อยู่แล้ว" ท่านพูดเพราะไม่ได้ "กลิ่น" อย่างที่พระบัวเฮียวได้ ในสายตาของภิกษุรูปนั้น สิ่งที่อยู่ในถาดก็คือน้ำพริกผักต้มธรรมดาที่แสนจะเบื่อหน่าย
ระหว่างที่นั่งรอพระรูปอื่น ๆ ฉัน พระบัวเฮียวก็กำหนดสติ ด้วยการพิจารณา "พอง - ยุบ" ที่ท้อง จิตของท่านเริ่มจะชินกับการเจริญสติอยู่ทุกอิริยาบถ
"เป็นไง วันนี้อาหารไม่ถูกปากหรือยังไง ฉันน้อยเหลือเกิน" พระมหาบุญถามอย่างเป็นห่วง
"หามิได้ครับ ผมอิ่มและรู้สึกมีความสุขมาก หลวงพี่ไม่ลองสักคำหรือครับ" พูดพลางส่งชามผักและน้ำพริกให้ พระมหาบุญตักมาชิมอย่างเสียไม่ได้ ในความรู้สึกของท่านมันก็เป็นอาหารธรรมดา ๆ ที่ไม่มีรสมีชาติอะไร พระบัวเฮียวมิรู้ดอกว่าสิ่งที่ตนกำลังประสบอยู่ในขณะนี้เป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตัว
เมื่อฉันเสร็จและ "ยถาสัพพี" พร้อมกับภิกษุรูปอื่น ๆ แล้ว พระบัวเฮียวก็เดินตรงมายังกุฏิท่านพระครู เป็นเวลาเดียวกับที่ท่านเจ้าของกุฏิบอกให้บรรดา "ผู้มีใบหน้าอันเปื้อนทุกข์" ทั้งหลายพากันไปรับประทานอาหารที่โรงครัว แล้วท่านก็ไม่ได้ขึ้นไปเขียนหนังสือข้างบน เพราะรู้ว่าพระบัวเฮียวจะต้องมาหา
เพียงอึดใจเดียวพระหนุ่มก็มา หากคราวนี้มาในมาดใหม่ คือมาดของ "ผู้มีใบหน้าอันเปื้อนสุข" กราบพระอุปัชฌาย์สามครั้งแล้ว พระหนุ่มจึงเริ่มเรื่อง
"หลวงพ่อครับ ผมปฏิบัติได้ตามที่เคยกราบเรียนหลวงพ่อไว้ทุกประการ"
"ดีมาก ฉันขออนุโมทนา" อาจารย์ยกมือขึ้น "สาธุ"
"แต่มันมีเรื่องสงสัยเกิดขึ้นแล้วครับหลวงพ่อ ผมสงสัยจริง ๆ แล้วก็รู้ว่าหลวงพ่อต้องแก้ข้อสงสัยให้ได้"
"แหม รู้สึกว่าเธอจะมีวิจิกิจฉานิวรณ์มากจังนะบัวเฮียวนะ" พระอุปัชฌาย์ว่า
"มันไม่ใช่วิจิกิจฉานิวรณ์หรอกครับหลวงพ่อ มันสงสัยยังไงก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่ามันไม่ใช่นิวรณ์แต่เป็นอะไรก็ไม่รู้"
"งั้นก็ลองเล่าไปซิ" พระบัวเฮียวจึงเล่าเรื่องบุรุษผู้นั้นนำอาหารมาถวาย เล่าอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ
"ฉันขออนุโมทนา" ท่านพระครูพูดพร้อมกับยกมือขึ้น "สาธุ" พระบัวเฮียวรู้สึกงุงงงหนักขึ้น กำลังจะเอ่ยปากถาม ท่านพระครูก็พูดขึ้นว่า
"ฉันขออนุโมทนา เธอปฏิบัติได้ก้าวหน้ามากที่สุดในบรรดาพระภิกษุที่อยู่วัดนี้ รู้ไว้เสียด้วย ผู้ชายที่นำอาหารมาให้เธอเมื่อสักครู่นี้น่ะคือ เทวดา ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอย่างที่เธอเข้าใจหรอกนะ"
"เทวดา" พระบัวเฮียวทวนคำ
"จะเป็นไปได้อย่างไรครับหลวงพ่อ" ถามอย่างข้องใจเต็มประดา
"ได้หรือไม่ได้มันก็เป็นไปแล้ว เธอจำไม่ได้หรือที่เขาพูดกับเธอว่านอกจากฉันแล้ว เธอเป็นคนที่สองที่ได้เห็นเขา"
"คงจะจริงครับ เอ แล้วพวกถาดกับถ้วยชามของเขาเล่าครับ ผมไม่ได้เอาลงมาจากหอฉัน แล้วก็ไม่รู้จะเอาไปคืนให้ที่ไหน" พระหนุ่มเกิดห่วงเรื่องถ้วยชาม
"อย่ากังวล เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล ของเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เขาเนรมิตขึ้นมา เดี๋ยวเขาก็เรียกกลับคืนไปได้"
"แล้วทำไมเขาถึงเจาะจงมาถวายผมคนเดียวล่ะครับ แล้วพระมหาบุญชิมดูก็ไม่ได้รสชาติอย่างที่ผมได้"
"บัวเฮียว เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัวนะ แล้วเธอไม่ต้องไปบอกใคร เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับฉันมานับครั้งไม่ถ้วน แล้วฉันก็ไม่เคยบอกกล่าวให้ใครฟัง ที่บอกเธอเป็นคนแรกเพราะเธอได้ประสบเหตุการณ์เดียวกัน ฉันถึงได้อนุโมทนากับเธอยังไงล่ะ"
"งั้นที่หลวงพ่อไม่ค่อยฉันอะไรแล้วอยู่ได้ทั้งวันก็เพราะฉันอาหารของเทวดานี่เอง ใช่ไหมครับ"
"ก็คงยังงั้น เขาเรียกว่า อาหารทิพย์ ที่เรียกอย่างนี้เพราะมันประณีตกว่าอาหารของมนุษย์ ต้องฉันทีละมาก ๆ แล้วก็ถ่ายมากออกมาเป็นอุจจาระ ฉันมากก็ถ่ายมาก แต่อาหารทิพย์ฉันคำเดียวอิ่มแล้วไม่มีกากเหลือเป็นอุจจาระ พวกเทวดาเขาจึงไม่ต้องถ่ายอุจจาระบนสวรรค์ก็เลยไม่มีส้วมเหมือนอย่างโลกมนุษย์" ท่านพระครูอรรถาธิบาย
"หลวงพ่อเคยไปดูมาแล้วหรือครับ"
"ถึงไม่ดูก็รู้ ที่รู้เพราะ "เห็น" น่ะ
"ที่ "เห็น" เพราะ "เห็นหนอ" บอกใช่ไหมครับ
"เออน่า จะอะไรก็ช่าง ถ้าเธออยากเป็นอย่างฉันก็ให้เร่งทำความเพียรเข้า วันหนึ่งก็จะสำเร็จได้"
หลวงพ่อครับทำไมเทวดาเขาจึงนำอาหารมาถวายเฉพาะผมกับหลวงพ่อล่ะครับ ทำไม่พระรูปอื่น ๆ เขาจึงไม่ถวาย"
"ก็เขาพอใจในการประพฤติปฏิบัติของเราน่ะสิ อย่าลืมนะบัวเฮียว พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้นประเสริฐกว่าเทวดาเสียอีก แม้เทวดาเขาก็ยังนับถือ การที่เขานำอาหารมาถวาย เขาก็อยากได้บุญเหมือนกัน ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระอรหันต์ท่านออกจากนิโรธสมาบัติ พวกเทพยดาก็พากันนำอาหารมาถวายโดยแปลงมาในรูปของมนุษย์"
"เป็นเทวดาก็ยังอยากได้บุญอีกหรือครับ"
"อยากได้ซี ก็เวลาที่เราปฏิบัติกรรมฐานเสร็จ เราถึงต้องแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เทวดาด้วย เมื่อเขาได้รับส่วนกุศลเขาก็อาจจะตอบแทนบุญคุณเราด้วยการนำอาหารทิพย์มาถวาย และเมื่อเขาถวายเขาก็ได้บุญเพิ่มขึ้นอีก"
"แล้วเทวดาเขาไม่ปฏิบัติกรรมฐานหรือครับ ถ้าเขาอยากได้บุญมาก ๆ ก็น่าจะปฏิบัติเองแทนที่จะมาคอยรับส่วนบุญจากมนุษย์"
"เขาก็คงอยากปฏิบัติ แต่บางครั้งก็หาคนสอนให้ไม่ได้ อีกประการหนึ่ง ภูมิของเทวดาเป็นภูมิที่มีแต่ความสุขสบาย เขาก็เลยพากันเสพเสวยความสุขสบายนั้นจนเพลิน เรียกว่าบรรยากาศบนสวรรค์มันไม่เอื้ออำนวยต่อการประพฤติพรหมจรรย์ว่างั้นเถอะ"
"งั้นเป็นมนุษย์ก็ดีกว่าเป็นเทวดาสิครับ"
"มันก็ดีกว่าในแง่นี้ แต่ถ้าจะเอาในแง่ความสุขสบาย เป็นเทวดาดีกว่า เพราะเทวดามีความสุขทิพย์เป็นความสุขที่เนรมิตขึ้นมาได้ตามใจปรารถนา"
"งั้นผมอยากเป็นเทวดาแล้วซีครับ จะได้เสวยอาหารทิพย์ทุก ๆ วัน"
"อย่าเลยบัวเฮียว เป็นเธอนั่นแหละดีแล้ว เพราะทางที่เธอกำลังเดินอยู่นี้เป็นทางสายเอกที่จะนำเธอไปสู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร การเป็นเทวดาแม้จะสุขสบายอย่างไรก็ต้องเวียนว่าย วนเวียนอยู่ในสงสารสาครอย่างมิรู้จบสิ้น แล้วก็ใช่ว่าจะเลือกเกิดเป็นเทวดาได้ทุกภพทุกชาติเสียเมื่อไหร่ ประมาทพลาดพลั้งลงเมื่อใดก็ต้องไปเกิดในทุคติ ในอบาย"
"หลวงพ่อครับ พวกเทวดานี่มีแต่ดี ๆ ใช่ไหมครับ ที่เลว ๆ มีไหมครับ" คนเป็นศิษย์ถามอีก
"เทวดามีสองประเภท คือพวกที่เป็นสัมมาทิฐิกับพวงมิจฉาทิฐิ ก็เหมือนมนุษย์นั่นแหละมีทั้งคนดีและคนเลว พวกเทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิเป็นพวกเทวดาตรง ส่วนพวกมิจฉาทิฐิเป็นพวกเทวดาพาล พวกหลังนี้ชอบกินเครื่องเซ่น ชอบรับสินบน ส่วนพวกแรกไม่รับเพราะชอบความยุติธรรม"
"เทวดาที่นำอาหารมาให้ผมเป็นเทวดาตรงใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้ว ถ้าเป็นเทวดาพาลจะไม่ชอบทำบุญ ก็เหมือนคนเลวที่ชอบทำแต่บาป ไม่รู้จักสร้างบุญสร้างกุศลใส่ตัว เทวดากับมนุษย์จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ สำหรับเธอขณะนี้อาจเรียกว่าดีกว่าเทวดา แต่ก็อย่าลำพองใจ อย่ากำเริบเสิบสาน ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป วันหนึ่งก็อาจจะถึงจุดหมายได้" พระบัวเฮียวแสนจะดีใจจนต้องกำหนด "ดีใจหนอ ดีใจหนอ" อยู่นาน
"หลวงพ่อครับ ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้พระมหาบุญฟังจะได้ไหมครับ" ท่านขออนุญาตอาจารย์
"ไม่ได้เด็ดขาด ก็ฉันบอกแล้วยังไงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว ห้ามนำไปบอกเล่าใคร ดีไม่ดีเขาจะหาว่าเธอบ้า ดูแต่ฉันซี ได้ฉันของทิพย์มาตั้งสี่ห้าปียังไม่เคยปริปากบอกใคร ที่บอกเธอเป็นคนแรกก็เพราะเห็นว่าเธอก็ประสบมาแบบเดียวกันจึงพูดกันรู้เรื่อง เธอไม่เห็นหรอกหรือว่าตอนให้พระมหาบุญชิมอาหารทิพย์ เขาก็ยังว่ามันเป็นของธรรมดา ๆ ทั้งนี้เพราะเทวดาเขาจงใจให้เธอผู้เดียว คนอื่นมาชิมจึงไม่ได้รสและกลิ่นอย่างที่เธอได้ ฉันขอร้องนะบัวเฮียว ห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกใครเพราะมันไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ตนหรือประโยชน์ท่าน เข้าใจหรือยังล่ะ"
"เข้าใจครับ แต่....หลวงพ่อครับ ถ้าเกิดพระมหาบุญท่านเจอเหตุการณ์แบบผมแล้วผมค่อยบอกว่าผมก็เจอมาแล้ว อย่างนี้จะได้ไหมครับ"
"ถ้าอย่างนั้นละก็ได้ ต้องให้เขาประสบกับตัวเองเสียก่อนเขาจึงเชื่อ เพราะของอย่างนี้มันพิสูจน์ให้ผู้อื่นรู้เห็นด้วยแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้ มันไม่ใช่ของสาธารณะ แต่เป็นของเฉพาะตน เพราะฉะนั้นถ้าเธอปากสว่างไปเที่ยวบอกใครต่อใคร เขาจะต้องว่าเธอบ้าแน่ ๆ จำเอาไว้"
"แล้วจะบาปไหมครับ"
"บาปซี บาปทั้งคนบอกและคนถูกบอกนั่นแหละ"
บาปยังไงครับ อย่างผมนี่ผมพูดเรื่องจริงไม่ได้โกหกแล้วจะบาปได้ยังไง"
"ก็เวลาที่เธอพูดเรื่องจริงแล้วคนฟังเขาไม่เชื่อน่ะ เธอรู้สึกอย่างไรล่ะ"
"โกรธซีครับ ผมโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย แต่พอรู้ตัวผมก็กำหนด "โกรธหนอ โกรธหนอ" ไปจนกว่าจะหายโกรธครับ"
"ถึงอย่างนั้นเธอก็โกรธใช่ไหม ก่อนจะกำหนดได้เธอก็โกรธไปแล้วใช่ไหม"
"ใช่ครับ"
"แล้วโกรธเป็นอะไร เป็นอกุศลมูลตัวไหน"
"ตัวโทสะครับ"
"แล้วบาปไหมเล่า"
"บาปครับ"
"นั้นแหละฉันถึงบอกว่าไม่ต้องเล่าให้คนอื่นฟัง เพราะเขาเกิดไม่เชื่อ เธอก็ต้องบาป"
"แต่ถ้าเกิดเข้าเชื่อล่ะครับ"
"เป็นไปไม่ได้หรอกบัวเฮียวเอ๋ย คนสมัยนี้เขาคิดว่าเขาฉลาด เขาจึงไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ อย่างที่เธอคิดแถมใครเชื่อง่ายเขาก็หาว่าโง่ หาว่างี่เง่า ยิ่งเรื่องอย่างนี้เขายิ่งไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด คนทุกวันนี้เขาไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป เพราะเขาหาว่าสิ่งเหล่านี้ไร้สาระ พอตายไปก็ไม่มีโอกาสกลับมาแก้ตัว น่าสงสาร" ท่านส่ายหน้าช้า ๆ อย่างปลงสังเวช
"แต่ถ้าเราสามารถพิสูจน์ให้เขาเห็นได้ล่ะครับ"
"เธอจะเอาอะไรมาพิสูจน์ เอาละ สมมุติเรื่องที่เกิดกับเธอวันนี้ ถ้าคนฟังเขาอยากเห็นเทวดาบ้าง เธอจะไปเอาเทวดาที่ไหนมาให้เขาดู เพราะเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าเทวดาองค์นั้นมาจากไหน อย่าไปคิดให้ปวดหัวเลยนะ เชื่อฉันเถอะ"
"ครับ ไม่คิดก็ได้ครับ พระหนุ่มรับคำอย่างว่าง่าย หากก็ยังไม่หายสงสัยจึงถามขึ้นอีกว่า
"หลวงพ่อครับ แล้วคนฟังเขาจะบาปไหมครับ คือผมเล่าแล้วเขาไม่เชื่อเขาจะบาปไหมครับ"
"เธอว่าบาปไหมล่ะ"
"ก็เพราะผมไม่ทราบน่ะซีครับถึงได้เรียนถามหลวงพ่ออยู่นี่ไง กรุณาอธิบายให้ผมฟังหน่อยเถอะครับ"
"แหม คำถามเธอมันแค่ระดับ ป.๔ เท่านั้นนะบัวเฮียว" ท่านตำหนิกราย ๆ
"ก็ผมจบแค่ ป.๔ นี่ครับ ไม่ได้จบมัธยมเหมือนหลวงพ่อ จะได้มีคำถามระดับ ม.๖ มาถาม" คนเป็นศิษย์ย้อน
"ไม่แน่หรอกบัวเฮียว คนจบ ป.๔ สามารถถามคำถามระดับ ม.๖ ได้ ฉันจบแค่ ม.๖ ยังถามคำถามระดับปริญญาเอกได้เลย"
"แหมก็ใคร้ใครจะเก่งอย่างหลวงพ่อล่ะครับ อย่างหลวงพ่อน่ะมีคนเดียวในประเทศไทย หรืออาจจะในโลกด้วยซ้ำ ส่วนงี่เง่าอย่างผมน่ะมีมากมายหลากหลาย"
"เออน่ะ เออน่ะ ไม่ต้องพร่ำพรรณนาให้มันมากมายถึงปานนั้นหรอก จะให้ตอบอะไรก็ว่ามา"
"ก็ผมถามแล้วนี่ครับ"
"ถามว่ายังไงล่ะ ถามใหม่ซิฉันจะได้รีบ ๆ ตอบ ประเดี๋ยวคนอื่นมาจะได้ไม่ต้องรอคิว" พระบัวเฮียวจึงต้องทวนคำถามใหม่ว่า
"ผมเรียนถามหลวงพ่อว่าคนฟังเขาจะบาปไหม ถ้าผมเล่าเรื่องเทวดาให้เขาฟังแล้วเขาไม่เชื่อ เขาจะบาปไหมครับ" ท่านพูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ ก็ตั้งใจ "ยวน" ด้วยนั่นแหละ ท่านพระครูจึงแกล้งยวนตอบยานคางว่า
"บาปสิบัวเฮียว ก็ในเมื่อเธอพูดเรื่องจริงแต่เขาไม่เชื่อก็เท่ากับเขามีอกุศลข้อโมหะช่ายหมาย..."
"ช่ายคร้าบ" ลูกศิษย์ล้อเลียนบ้าง ขณะนั้นบรรดา "ผู้มีใบหน้าอันเปื้อนทุกข์" ก็ทยอยกันเข้ามานั่งเพื่อขอความช่วยเหลือให้ท่านช่วยขจัดปัดเป่าทุกข์ให้
วันนี้คงจะเป็นวันของ "คนท้อง" เพราะผู้หญิงครรภ์แก่พากันมาร่วมสิบราย ที่กลับไปเมื่อตอนเช้าก็หลายราย แต่ละรายจะต้องได้ "ผลมะตูมเสก" ติดไม้ติดมือไปต้มกินเพื่อให้คลอดลูกง่าย ท่านพระครูได้ให้ลูกศิษย์จัดเตรียมผลมะตูมไว้จำนวนมาก เพราะรู้ว่าจะมีคนมาขอ บ้างไม่มาเองก็ส่งสามีหรือญาติมาขอแทน เพราะคนที่เขาพูดกันว่ามะตูมเสกของท่านนั้นวิเศษนัก คนท้องกินเข้าไปแล้วคลอดลูกง่ายทุกราย สตรีครรภ์แก่นางหนึ่งคลานเข้าไปหาเพราะถึงคิว หล่อนกราบสามครั้งแล้วถามขึ้นว่า
"หลวงพ่อคะ ลูกหนูจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ"
"เดี๋ยวซี ตอบตอนนี้ยังไม่ได้ ต้องรอให้คลอดออกมาเสียก่อน แล้วหลวงพ่อจะบอก" คำตอบของท่านเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในที่นั้น แล้วท่านจึงสอนหล่อนว่า
"ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ลูกเรานะหนูนะ ให้เขาออกมาครบสามสิบสองประการ ไม่บ้าใบ้บอดหนวกก็พอแล้ว จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ช่างเขา โตขึ้นขอให้เป็นคนดีมีศีลธรรมก็แล้วกัน"
"ค่ะ เอาไว้เขาโตแล้วหนูค่อยสอน" หล่อนว่า
"สอนเดี๋ยวนี้แหละหนู ต้องสอนกันตั้งแต่อยู่ในท้อง ข้อสำคัญพ่อแม่ต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย ถ้าแม่คนไหนนั่งจั่วไพ่ทั้งวัน รับรองลูกออกมาเล่นไพ่เก่ง เพราะเขาสังเกตการณ์มาตั้งแต่อยู่ในท้อง เสียงหัวเราะดังขึ้น
"อ้าว นี่เรื่องจริงนะ ไม่ได้พูดเล่น เด็กจะดีน่ะ เขาจะดีมาตั้งแต่ในท้องเลย อย่างบางคนพอคลอดออกมาปุ๊บก็บอกแม่ว่า "แม่จ๋าตักบาตรเถอะ" ท่านเลียนเสียงเด็กพูด บรรดาคนฟังพากันหัวเราะอีก
"นี่ถ้าเขาพูดยังงี้แสดงว่าคนดีมาเกิด สำคัญเขาจะพูดว่า "แม่จ๋าซื้อรองเท้าหน้าสูง" ถ้าแบบนี้แปลว่าชอบแต่งตัว ไม่ค่อยดีเท่าไหร่"
"รองเท้าหน้าสูงไม่มีหรอกค่ะหลวงพ่อ สงสัยคงจะเป็นรองเท้าส้นสูง" สตรีนั้นแย้ง
"ไม่ใช่ส้นสูง รองเท้าหน้าสูงก็คือ ใส่แล้วหน้าสูงไงล่ะ หน้าเชิดสูงไปเลย" ท่านทำหน้าเชิดประกอบ คนฟังหัวเราะอีก
"แต่พอถอดรองเท้าออกหน้าต่ำเลย นี่แหละรองเท้าหน้าสูง โยมเคยใส่ไหมล่ะ" ท่านถามสตรีสูงอายุที่นั่งหลังสุด
"เคยค่ะ เคยสมัยสาว ๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ไหวแล้วค่ะ สังขารมันไม่อำนวย" หญิงสูงวัยตอบ นางมารอเพื่อขอผลมะตูมเสกไปให้ลูกสาว...

หมดปัญหาของ "คนท้อง" ก็มาถึงปัญหา "คนแห้ง" ท่านพระครูเจริญแห่งวัดป่ามะม่วงมีอันต้องรับปรึกษาปัญหาทุกรูปแบบโดยไม่คิดราคาค่าจ้าง "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก" เป็นคาถาที่ท่านท่องไว้ในใจ ยามใดที่เกิดเหนื่อยหน่ายท้อแท้ ก็ได้ใช้คาถาบทนี้ช่วยชโลมจิตใจให้ชุ่มชื่นมีชีวิตชีวาและมีกำลังใจที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือด้วยเมตตาต่อไป
สตรีวัยยี่สิบเศษคลานเข้าไปหาพูดด้วยเสียงแผ่วเบาเพื่อมิให้บุคคลอื่นได้ยิน ปัญหาที่หล่อนจะปรึกษาท่านพระครูในวันนี้เป็นเรื่องน่าอับอาย จึงไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้
"หลวงพ่อคะ หนูนอนไม่หลับมาหลายคืน ฝันร้ายทุกคืนเลยค่ะ"
"อ้าว นอนไม่หลับแล้วจะฝันได้ยังไงล่ะ หรือว่าฝันทั้งที่ตื่นอยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะเรียกฝันได้ยังไงล่ะจ๊ะ หนูนี่มาแปลก" ท่านเจ้าของกุฏิพูดด้วยเสียงปกติเพราะเห็นว่ายังไม่ถึงต้องที่ต้อง "หรี่เสียง" สาวเจ้าของเรื่องทำหน้า "คิ้วผูกโบ" แล้วตอบใหม่ว่า "คือนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนน่ะค่ะหลวงพ่อ หลับ ๆ ตื่น ๆ แต่เมื่อไรที่หลับก็ต้องฝันร้ายจนสะดุ้งตื่น เป็นอย่างนี้มาหลายคืนแล้วค่ะ หลวงพ่อโปรดช่วยหนูด้วย" หญิงสาวพูดด้วยเสียงปกติบ้าง เอาไว้ตอนที่เป็น "ความลับ" ค่อยพูดเบา ๆ
"จะให้หลวงพ่อช่วยยังไงล่ะจ๊ะ"
"ช่วยให้หนูนอนหลับแล้วก็ไม่ฝันร้ายน่ะค่ะ หนูเคยพึ่งยากล่อมประสาทที่เขาเรียกว่ายานอนหลับน่ะค่ะ แต่มันได้ผลแค่ระยะแรก ๆ เห็นเขาว่าทานมาก ๆ แล้วอันตราย หนูก็เลยต้องมาขอพึ่งบารมีหลวงพ่อล่ะค่ะ"
"แล้วที่ว่าฝันร้ายน่ะ ฝันว่ายังไงจ๊ะ"
"ฝันว่ามีเด็กผู้ชายมาทำร้าย มาบีบคอบ้าง มาตัดแขนตัดขาบ้าง บางทีก็มาควักลูกนัยน์ตา ทำให้หนูเจ็บปวดมากค่ะ"
"ท่านพระครูใช้ "เห็นหนอ" ตรวจสอบจึงได้รู้ว่าสตรีสาวผู้นี้เพิ่งไปทำแท้งมา วิญญาณของเด็กคนนี้มีความอาฆาตพยาบาทแรงกล้าถึงกับจะเอาชีวิตหล่อน การที่หล่อนต้องฝันร้ายและนอนไม่หลับเป็นผลของกรรมที่ทำในชาตินี้ ซึ่งมาให้ผลทันตาเห็นคือ เป็น "ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม" เห็นกรรมของหล่อนแล้วท่านจึง "ตะล่อม" ถามว่า
"แล้วหนูเคยไปทำอะไรไว้กับเด็กล่ะจ๊ะ ที่หลวงพ่อ "เห็น" น่ะ หลวงพ่อเห็นวิญญาณอาฆาตของเด็กผู้ชายเขาต้องการเอาชีวิตหนู เพราะหนูไปสร้างกรรมไว้กับเขา" ฟังถ้อยคำของท่าน หญิงสาววัยยี่สิบเศษก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น เกิดรักตัวกลัวตายเสียดายชีวิตขึ้นมาเดี๋ยวนั้น หล่อนสารภาพด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
"หนูไปทำแท้งมาค่ะ หลวงพ่อ ตอนทำก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด หลังจากนั้นก็นอนไม่หลับและฝันร้ายตลอดมา หลวงพ่อช่วยหนูด้วย"
"เด็กที่ออกมาเป็นผู้ชายใช่ไหม" ท่านถามเสียงแผ่วเบาเช่นกัน
"ใช่ค่ะ ท่าทางเขาไม่อยากออก หนูรู้สึกอย่างนั้นค่ะ"
"ใช่สิ ก็เขาอยากเกิด หนูก็ไม่ยอมให้เขาเกิด" หญิงสาวสะอื้นหนักขึ้น บอกละล่ำละลักว่า
"หนูอยากคะหลวงพ่อ แต่...แต่ แฟนหนูเขาไม่ยอมรับ หนูกลัวว่าจะต้องอับอายชาวบ้านที่ท้องไม่มีพ่อ เลยตัดสินใจทำแท้ง"
"เขาไม่ยอมรับก็ช่างเขา แต่ในเมื่อหนูทำกรรมลงไปก็ต้องยอมรับกรรมนั้นด้วยตัวหนูเอง ถึงคราวจะต้องอายก็ต้องยอมอาย ดีกว่าไปทำอย่างนั้น รู้ไหมเด็กเขาอาฆาตหนูมากเลย"
"หลวงพ่อไม่มีทางช่วยหนูเลยหรือคะ ได้โปรดเถอะค่ะ" หล่อนอ้อนวอน ท่านพระครูนั่งนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า
"หลวงพ่อช่วยหนูได้ไม่มากนักหรอก คนที่จะช่วยหนูได้มากที่สุดก็คือตัวหนูนั่นแหละ ว่าแต่หนูจะทำตามที่หลวงพ่อแนะนำได้หรือเปล่าล่ะ"
"ได้ค่ะ หลวงพ่อกรุณาบอกมาเถอะค่ะ หนูจะทำตามทุกอย่าง" หล่อนรับคำง่ายดาย
"งั้นก็ดีแล้ว หลวงพ่อสั่งให้หนูมาเข้ากรรมฐานอยู่ที่วัดนี้เป็นเวลาสิบห้าวัน ระหว่างนี้ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาทุกวัน บางทีเขาอาจจะยอมอโหสิกรรม แล้วหลวงพ่อจะช่วยอีกแรงหนึ่ง ช่วยเจรจาต่อรองกับเขาให้" ได้ยินว่าท่านจะให้มาอยู่วัดถึงครึ่งเดือน สาวน้อยก็ปฏิเสธเสียงลั่น
"ไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ หนูมาไม่ได้เพราะต้องทำงาน เจ้านายเขาคงไม่ให้ลา"
"อ้าว เมื่อกี้รับปากอย่างง่ายดาย ยังไม่ทันไรเปลี่ยนใจเสียแล้ว ก็ไหนว่าจะทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ" ท่านเจ้าของกุฏิพูดเสียงเรียบ ไม่โกรธไม่ขึ้ง เพราะท่านชินชาเสียแล้วกับความรวนเรของใจมนุษย์
"หลวงพ่อช่วยวิธีอื่นไม่ได้หรือคะ" หล่อนต่อรอง
"วิธีอื่นน่ะเช่นอะไรล่ะจ๊ะ ช่วยแนะนำหลวงพ่อหน่อยซิ"
"ก็รดน้ำมนต์ เสกคาถา อะไรทำนองนี้แหละค่ะ"
"อ้อ หนูชอบของปลอมอย่างนั้น หรือ ของจริงรับไม่ได้ใช่ไหม หนูจำไว้เลยว่าถ้าหนูชอบของปลอม ชีวิตหนูก็จะพบแต่ของปลอม ๆ มีความรักก็ได้แค่รักจอมปลอม หนูต้องการอย่างนั้นหรือจ๊ะ"
"หนูต้องการของแท้ค่ะ แล้วก็ต้องการรักแท้ด้วย แต่หนูก็ไม่เคยได้อย่างที่ใจหวังเลยสักครั้ง เป็นเพราะอะไรคะหลวงพ่อ เพราะอะไร" หญิงสาวคร่ำครวญด้วยเสียงแผ่วเบา
"เพราะหนูเป็นคนใจโลเลน่ะสิ นี่หลวงพ่อพูดตรง ๆ อย่างนี้แหละ จะโกรธก็ได้ไม่ว่ากัน ถ้าหนูใจเด็ดเดี่ยหนักแน่น หนูก็จะไม่ต้องมาเป็นอย่างนี้ ที่หลวงพ่อพูดมานี่จริงหรือเปล่าจ๊ะ"
"จริงค่ะ จริงทุกอย่างทุกประการ หนูยอมรับค่ะ"
"จะไม่ยอมรับก็ได้ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว" ท่านพูดเรื่อย ๆ
"ตกลงหลวงพ่อจะรดน้ำมนต์ให้หนูไหมคะ" คนยอมรับยังยืนยันความคิดเดิม ท่านพระครูจึงพูดด้วยเสียงปกติว่า
"อะไร นี่หลวงพ่อพูดมาตั้งนาน หนูยังไม่เข้าใจอีกหรือ ก็ไหนว่ายอมรับไงล่ะ"
"ค่ะ หนูยอมรับว่าหลวงพ่อพูดถูก แต่หนูไม่สามารถทำตามที่หลวงพ่อแนะนำได้ หนูต้องทำงานค่ะ หลวงพ่อกรุณารดน้ำมนต์หรือไม่ก็ช่วยเป่าหัวให้หนูหมดทุกข์หมดโศกเถอะค่ะ"
"เสียใจจ้ะหนู หลวงพ่อทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะการทำเช่นนั้นมันไม่ช่วยให้หนูแก้ปัญหาได้ ปัญหาของหนูไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ได้ง่าย ๆ นะหนู แล้วก็นอกจากวิธีที่หลวงพ่อแนะนำแล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะแก้ได้" ท่านรู้ว่าอีกไม่นานสตรีผู้นี้จะต้องกลายเป็นคนวิกลจริตเพราะกรรมนั้น
"แต่หนูไม่มีเวลาจริง ๆ ค่ะหลวงพ่อ อย่าว่าแต่สิบห้าวันเลย แค่สามวันหนูก็คงมาไม่ได้" คนห่วงงานยิ่งกว่าห่วงชีวิตตอบ "ตามใจหนูก็แล้วกัน ถ้าหนูทำไม่ได้ หลวงพ่อก็ช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ แล้วก็บอกไม่ได้ด้วยว่าหนูจะต้องทุกข์ทรมานไปอีกนานสักเท่าไร หลวงพ่อช่วยแนะนำได้เท่านี้แหละ จะให้รดน้ำมนต์หรือเป่าหัวน่ะ หลวงพ่อไม่ทำหรอก เพราะหลวงพ่อรู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่ามันช่วยไม่ได้ พระครูเจริญไม่ชอบหลอกลวงใคร"
"ถ้าอย่างนั้นหนูก็จะลองไปหาวัดอื่นดู เผื่อจะมีหลวงพ่อองค์อื่นช่วยได้" หล่อนยังมีความหวัง
"ไม่มีหรอกหนู เชื่อหลวงพ่อเถอะ อย่าเสียเวลาไปเลย ท่านแนะนำด้วยความหวังดี หากคนถูกแนะนำกลับย้อนว่า "ก็ในเมื่อหลวงพ่อไม่ช่วย หนูก็ต้องไปวัดอื่น หนูลาล่ะค่ะ" หล่อนกราบสามครั้งแล้วลุกออกมาด้วยอาการขัดเคือง
ท่านพระครูส่ายหน้าอย่างระอาแล้วพูดกับคนในที่นั้นว่า "ดูเอาเถิดญาติโยมทั้งหลายเอ๋ย บอกของจริงให้ไม่เอา จะไปเอาของปลอม แล้วจะไปแก้ปัญหาได้ยังไง้ แบบนี้เขาเรียกว่าแก้ปัญหาไม่ถูกจุดอย่างที่คนโบราณเขาว่า "แก้ปัญหาไม่ถูกจุด เหมือนกินมังคุดไม่ถูกเม็ด"
"ผมเคยได้ยินแต่ "แก้ปัญหาไม่ถูกจุดเหมือนกินละมุดถูกเม็ด" ครับ" พระบัวเฮียวแย้งเรียบ ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะจับผิดครูบาอาจารย์ แต่ปากมันไวไปหน่อย ก็ฝึกมันไว้เสียจนเคย
"มันก็เหมือนกันแหละน่า" ท่านพระครูแก้
"ไม่เหมือนครับ เพราะเม็ดมังคุดน่ะอร่อย กินได้ แต่เม็ดละมุดกินไม่ได้ หรือว่าหลวงพ่อเคยฉันเม็ดละมุดครับ" ศิษย์คนซื่อถามซื่อ ๆ
"ไม่เคยหรอก แต่ที่ฉันว่าเหมือนนั้น ฉันหมายถึงว่ากินมังคุดไม่ถูกเม็ดกับกินลุมุดถูกเม็ดน่ะ มันก็ครือ ๆ กัน คือไม่บรรลุจุดประสงค์ที่ต้องการไงล่ะ" อาจารย์ผู้มีศิษย์แสนซื่อตอบ
สตรีอีกผู้หนึ่งคลานเข้ามากระซิบกระซาบกับท่านพระครูว่า "หลวงพ่อคะ หมอเขาว่าฉันเป็นมะเร็งที่มดลูก เป็นเพราะกรรมอะไรคะ" ท่านเจ้าของกุฏิตอบเสียงเบา ๆ ว่า
"สาเหตุของมะเร็งมดลูก ถ้าจะมองในแง่กรรมก็มีสองอย่าง อย่างแรกเพราะคนคนนั้นผิดศีลข้อสาม อีกสาเหตุหนึ่งเพราะเคยทำแท้ง โยมโดนข้อไหนล่ะ อย่างแรกหรืออย่างหลัง" คนถูกถามมีท่าทางลังเล แต่ในที่สุดก็ตอบว่า
"อย่างหลังค่ะ ฉันเคยทำแท้งเมื่อสามปีมาแล้ว แต่หลวงพ่อคะ แม่ฉันก็ตายด้วยมะเร็งในมดลูกทั้งที่แกไม่เคยผิดศีลข้อสามแล้วก็ไม่เคยทำแท้ง ฉันสาบานได้ว่าแกไม่เคยจริง ๆ ค่ะ"
"ไม่เคยในชาตินี้น่ะสิ ชาติที่แล้วหรือชาติก่อน ๆ จะต้องเคย ถ้าไม่มีเหตุ ผลมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จริงไหม"
"จริงค่ะ แล้วฉันจะมีทางรักษาไหมคะ หมอเขาไม่ยอมรักษาฉัน เขาให้เวลาอีกสามเดือนก็ให้กลับบ้านเก่าได้" คราวนี้หล่อนถึงกับร้องไห้เพราะเสียดายชีวิต
"หมอเขาว่าอย่างนั้นหรือ"
"ค่ะ เขาไม่ได้บอกฉันตรง ๆ เขาบอกกับพี่สาวฉันมาอีกทีหนึ่ง หลวงพ่อพอจะช่วยฉันได้ไหมคะ"
"ได้ แต่โยมต้องช่วยตัวเองด้วย เวลาสามเดือนที่เหลืออยู่นั้นให้โยมมาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดนี้ ปฏิบัติให้เต็มกำลังความสามารถ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ถ้าเขายอมอโหสิกรรมให้ก็จะหาย ถ้าเขาไม่อโหสิ โยมก็จะตายอย่างมีสติ ทำได้ไหม"
"ได้ค่ะ ฉันเตรียมเสื้อผ้ามาแล้ว ขออยู่ตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ" คนเสียดายชีวิตรีบรายงาน
"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวจะให้สมชายพาไปส่งสำนักชี" แล้วท่านก็เรียกนายสมชายมาสั่งการ พี่สาวของสตรีผู้นั้นช่วยประคองน้องสาวไปส่งยังสำนักชี ส่วนพี่เขยของหล่อนเดินไปที่รถเพื่อนำกระเป๋าเสื้อผ้ามาให้
สตรีวัยเบญจเพศคลานเข้ามากราบสามครั้ง แล้วพูดด้วยเสียงค่อนข้างดังว่า "หลวงพ่อคะ หนูถูกไอ้มนุษย์ใจสัตว์มันข่มขืน ตอนนี้ท้องสามเดือนแล้วค่ะ แม่หนูจะให้เอาเด็กออก แต่หนูไม่ยอม หนูกลัวบาปกลัวกรรมค่ะ" หล่อนพูดอย่างไม่ยี่หระต่อสายตาใคร ๆ ความเลวร้ายของชีวิตต้องประสบได้หล่อหลอมให้หล่อนเป็นคนกล้าและกร้าว
"ดีแล้วละหนู คิดอย่างนั้นได้ก็ดี นึกเสียว่าเป็นกรรมของเรา หลวงพ่อไม่สนับสนุนให้ใครฆ่าชีวิตที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ตาม เวรจะระงับได้ก็ต้องไม่จองเวรนะหนูนะ"
"แต่หลวงพ่อคะ ปัญหาของหนูก็คือ หนูกลัวว่าเด็กจะออกมามีนิสัยชั่วร้ายเหมือนพ่อของมัน หนูพอจะมีทางแก้ไขอะไรไหมคะ คือหนูไม่อยากทำแท้ง แต่หนูก็ไม่อยากให้ลูกออกมาเลว หลวงพ่อกรุณาแนะนะด้วยเถิดค่ะ"
"ไม่ยากเลยหนู ปัญหาของหนูง่ายมาก ญาติโยมทั้งหลายจำเอาไว้นะ ถ้าใครอยากให้ลูกเกิดมาดี เกิดมาฉลาด พ่อแม่จะต้องมาเข้ากรรมฐาน ยิ่งมาปฏิบัติตอนที่ลูกอยู่ในท้องก็ยิ่งดี อาตมารับรองร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าเด็กจะต้องออกมาดี ถึงเขาจะมีเชื้อสายโจรก็เอาดีได้"
"แล้วคนท้องมาปฏิบัติ ต้องอดอาหาร จะไม่ทำให้เด็กในท้องขาดอาหารหรือคะ" คนท้องสามเดือนถาม
"เราอนุโลมได้ คนท้องกับคนป่วยให้รับประทานอาหารมื้อเย็นได้" พระบัวเฮียวเป็นคนตอบ
"ถ้าอย่างนั้น หนูจะกลับไปเอาเสื้อผ้าที่กรุงเทพฯ แล้วพรุ่งนี้หนูจะมาอยู่วัดเลยนะคะ ดีเหมือนกันจะได้หนีคำครหานินทาของเพื่อนบ้านและเพื่อนร่วมงาน แม้หนูจะไม่ใส่ใจไม่เอามาเป็นอารมณ์ แต่บางครั้งมันก็อดหงุดหงิดไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ คนเรานี่ก็แปลกชอบช้ำเติมชาวบ้าน ไม่ช่วยแล้วยังมาซ้ำกันให้เจ็บปวดหนักขึ้นไปอีก" หล่อนพูดเสียงกร้าว
"หนูอย่าไปถือโทษโกรธเคืองเขาเลย คนเราถ้าลงได้ซ้ำเติมคนที่ประสบเคราะห์กรรม ก็แสดงว่าจิตใจเขาแย่มาก น่าสงสาร หนูควรอภัย และแผ่เมตตาให้เขา คนที่มีจิตใจอกุศลเช่นนี้ เป็นคนน่าสงสารนะหนูนะ"
"ค่ะ แล้วหนูจะทำตามที่หลวงพ่อแนะนำ ต้องกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงที่ได้เมตตาช่วยเหลือ ทำให้หนูสบายอกสบายใจขึ้นมาก หนูกราบลาละค่ะ"
"หลวงพ่อคะ หนูเป็นมะเร็งที่เต้านม หมอเขานัดผ่าตัด หนูจะมาเรียนถามหลวงพ่อว่าจะผ่าตัดดีหรือไม่คะ"
"เจ้าทุกข์" อีกรายถามขึ้น วันนี้คงจะเป็นวัน "สตรีแห่งชาติ" เพราะคนที่มาถามปัญหามีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น
"ปกติแล้วคนที่เป็นมะเร็งมาหาหลวงพ่อจะไม่แนะนำให้ผ่าตัดเพราะโอกาสที่จะหายมีน้อยมาก ประมาณห้าละร้อยเท่านั้น แต่ที่ไม่ผ่าตัดมีโอกาสหายถึงร้อยละเก้าสิบ และต้องมารับการรักษาโดยวิธีของหลวงพ่อ"
"ทำอย่างไรคะ วิธีของหลวงพ่อ" หล่อนถาม
"ก็มาเข้ากรรมฐานน่ะซี กรรมฐานรักษาได้ทุกโรค ถ้าเราปฏิบัติจริงจัง"
"แหม หลวงพ่อ อะไร ๆ ก็กรรมฐาน ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือคะ" คนฟังเริ่มจะหงุดหงิด หากท่านพระครูก็ไม่ถือสา ท่านคงพูดด้วยเสียงปกติว่า
"หนูเคยได้ยินไหม "กรรมฐานแก้กรรม" เคยได้ยินไหม กรรมบางอย่างมันแก้ได้ และวิธีแก้ที่ดีที่สุดคือมาเข้ากรรมฐาน"
"หลวงพ่อคะ มะเร็งเต้านมนี่เกิดจากกรรมอะไรคะ" สตรีอีกผู้หนึ่งถามขึ้น
"เท่าที่หลวงพ่อสังเกต มันเกิดจากกรรมคือความเครียด เราทำตัวเราให้เครียด มะเร็งมันก็เลยถามหา มะเร็งทุกชนิดมักมีสาเหตุมาจากความเครียด"
"ถามหาก็บอกว่าไม่อยู่เสียก็สิ้นเรื่อง" พระบัวเฮียวเผลอ "แซว" ขึ้นมา เพราะรู้สึกเครียดเนื่องจากรับฟังแต่เรื่องเครียด ๆ สงสารพระอุปัชฌาย์เหลือเกินแล้ว
"อย่าเครียด บัวเฮียวอย่าเครียด เดี๋ยวได้เป็นมะเร็งที่เต้านมหรอก" คนเป็นอาจารย์เตือนศิษย์ด้วยเสียงที่ไม่เครียด "ไม่เป็นหรอกครับหลวงพ่อผู้ไม่ได้เป็นผู้หญิงนี่นา"
"ไม่แน่ เผื่อชาติหน้าเกิดเป็นผู้หญิงอาจเป็นมะเร็งที่เต้านมก็ได้ คือเก็บความเครียดจากชาตินี้เอาไปเป็นมะเร็งในชาติหน้าไง เขาเรียกว่า สะสะกรรมเอาไว้"
"คงไม่หรอกครับหลวงพ่อ ชาติหน้าผมว่าจะไม่เกิด"
"ถ้าเป็นจริงอย่างเธอว่า ฉันก็ขออนุโมทนา"
"สาธุ" พระบัวเฮียวยกมือประนมเหนือศีรษะอย่างตั้งใจจะล้อเลียนอุปัชฌายาจารย์
"หลวงพ่อคะ หนูไม่ได้ทำตัวเองให้เครียดนะคะ คนอื่นต่างหากที่เขาทำให้หนูเครียด" สตรีผู้เป็นมะเร็งที่เต้านมว่า
"คนอื่นน่ะใครล่ะจ๊ะ"
"สามีค่ะ สามีหนูขี้เหล้า เจ้าชู้กลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ บางวันก็ไม่กลับ เขาทำให้หนูเครียดมากเลยค่ำ แบบนี้แสดงว่าเขาไม่รักหนูแล้วใช่ไหมคะ" หล่อนถามเสียงเครือ
"เขาจะรักหรือไม่รักไม่สำคัญ เพราะมันจิตใจของเขา เราไปกำหนดไปบังคับไม่ได้ แต่เราไม่รักตัวเราเองนี่สิน่าตำหนินัก"
"ใครไม่รักตัวเองคะ หลวงพ่อหมายถึงหนูหรือเปล่าคะ"
"ก็หมายถึงใครอีกล่ะจ๊ะ"
"โธ่ หลวงพ่อ ทำไมหนูจะไม่รักตัวเองคะ หนูน่ะรักตัวเองมากที่สุดในโลกเลยค่ะ" สาววัยสามสิบเศษว่า
"รักตัวเองก็ต้องไม่ทำอย่างที่ทำอยู่" ท่านถือโอกาสพูดกับคนที่นั่ง ณ ที่นั้นว่า
"ญาติโยมทั้งหลายโปรดจำเอาไว้ ในอนาคตคนจะเป็นมะเร็งกันมาก เพราะนับวันสิ่งแวดล้อมจะทำให้เราเครียด วิธีป้องกันก็คือ เราต้องฝึกจิตของเราอย่าให้เครียดตาม ความเครียดมันก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง จะเรียกว่ากรรมใหม่ก็ได้ เป็นกรรมที่แก้ไขได้ด้วยการฝึกจิตไม่ให้มันเครียด ใครเขาจะเป็นยังไงก็ช่างเขา สามีเขาไม่กลับบ้านก็ไม่ต้องไปเครียด นะหนูนะ" ประโยคหลังท่านพูดกับสตรีเจ้าของเรื่อง
"ฟังดูง่าย แต่มันทำยากค่ะหลวงพ่อ" หล่อนแย้ง
"นั่นสิ หลวงพอถึงให้มาฝึกที่วัดไง คิดเสียว่าเวลาที่จะอยู่โรงพยาบาลนั้นก็ย้ายมาอยู่วัดเสีย มาฝึกจิต แต่จิตนี่ก็ฝึกยากนะหนู จะว่ายากที่สุดก็เห็นจะได้ แต่ถึงจะยากอย่างไร หากเราพยายามมันก็ไม่พ้นความสามารถของเราไปได้ เมื่อเราฝึกจิตไว้ดีแล้ว เราก็จะปลดปลงได้ สิ่งแวดล้อมมันจะเป็นอย่างไร เราก็ไม่เอาจิตไปผูกพันหรือไปหมกมุ่นกับมันเราก็จะไม่เครียด หนูพอจะเข้าใจไหม"
"เข้าใจคะ หลวงพ่อคะ ทำไมคนบางคนเขาไม่ค่อยเจ็บป่วย แต่บางคนก็ขี้โรคทั้งที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน" คนเป็นมะเร็งเต้านมถามอีก
"ถ้าจะสืบสาวไปถึงต้นตอกันจริง ๆ ก็ต้องพูดว่าเป็นเรื่องของกรรม การที่เขาไม่ค่อยเจ็บป่วยเพราะในอดีตและในปัจจุบันเขาเป็นคนไม่เบียดเบียนสัตว์ ส่วนคนขี้โรคถ้าในปัจจุบันเขาไม่ได้เบียดเบียนสัตว์ก็แสดงว่าในอดีตเขาชอบรังแกสัตว์ ชอบทำให้มันได้รับความทุกข์ทรมาน จากผลกรรมอันนี้เลยทำให้เขาเป็นคนมีโรคมาก มันเป็นไปตามเหตุและผลนะ เหตุอย่างไรผลก็อย่างนั้น" ท่านพระครูอธิบาย
"แต่กรรมเก่าเราแก้ไขไม่ได้แล้วก็ต้องยอมรับกรรม ส่วนกรรมใหม่เราแก้ไขได้ เช่นถ้าในอนาคตเราไม่อยากเป็นคนขี้โรค ปัจจุบันเราก็ต้องไม่เบียดเบียนสัตว์ใช่ไหมคะ"
"ถูกแล้วหนู แต่กรรมเก่าก็พอจะแก้ไขได้บ้างด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน ถึงแก้ไม่ได้หมดก็ช่วยให้ทุเลาลง ตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่งเคยไปฆ่าเขาไว้ มาชาตินี้จะต้องถูกเขาฆ่า ถ้าคนคนนั้นมาเข้ากรรมฐานแล้วแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้คนที่ตัวเคยฆ่า บางทีเขาก็อาจจะอโหสิกรรมให้ แต่ถ้าเขาไม่อโหสิกรรม ตอนเขามาฆ่า ก็จะได้ทำใจได้ว่านี่เป็นเพราะเราเคยไปฆ่าเขาไว้ เขามาทวงคืนก็ต้องให้เขาไป เมื่อคิดได้ดังนี้จิตก็จะไม่ผูกพยาบาท ไม่จองเวรจองกรรมกันต่อไปอีก นี่คือประโยชน์ของการมาเข้ากรรมฐาน ส่วนคนที่ไม่เคยมาปฏิบัติก็ไม่รู้ว่านั่นคือกรรมเก่า เวลาจะตายก็ตายแบบมีจิตอาฆาตพยาบาท เมื่อจิตเป็นอกุศล ตัวเองก็ต้องไปตกนรก เพื่อพ้นจากนรกก็จะไปตามต่อเวรต่อกรรมให้มันยืดเยื้อต่อไปอีก ก็เลยต้องเวียนว่ายใช้เวรใช้กรรมกันต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ที่หลวงพ่อพูดว่า "กรรมฐานแก้กรรม" มีความหมายอย่างที่อธิบายมานี่แหละ" ท่านเจ้าของกุฏิอธิบายชัดเจน
"น่าเสียดายนะคะ กรรมฐานมีประโยชน์มากมายถึงเพียงนี้ แต่คนส่วนใหญ่มักมองไม่เห็น หาว่ามานั่งหลับหูหลับตาหาประโยชน์ไม่ได้ สู้ไปทำมาหากินจะดีกว่า คนส่วนใหญ่เขาคิดอย่างนี้กันนะคะหลวงพ่อ" หญิงสาวพูดตามข้อเท็จจริงที่เคยประสบ
"มันก็กรรมของเขาแหละหนู ของอย่างนี้บางครั้งเราก็ไม่สามารถชักจูงเขาได้ อย่างบางคนอุตส่าห์มาหาหลวงพ่อ แต่พอแนะนำเขาก็รับไม่ได้ เพราะกรรมเขามาก และจะต้องเป็นไปตามนั้น เรื่องของกรรมมันซับซ้อนและลึกซึ้งเกินวิสัยที่คนอย่างเรา ๆ จะมาวิเคราะห์วิจัย"
"แล้วมีไหมคะหลวงพ่อ มีใครสักคนไหมคะ ที่จะเข้าใจเรื่องกรรมได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง" หล่อนถาม
"มีสิหนู พระพุทธเจ้าของเรายังไงล่ะ แต่พระองค์ก็ดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว คงเหลือแต่พระธรรมคำสอนไว้ให้เราประพฤติปฏิบัติกัน"
"แต่บางคนก็ไม่เชื่อนะคะหลวงพ่อ นอกจากไม่เชื่อพระธรรมคำสอนแล้ว ยังไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหาว่าเป็นเรื่องงมงาย คนประเภทนี้มีมากนะคะหลวงพ่อ หนูเคยพบมาแล้ว"
"ถ้าเขาไม่เชื่อก็เอวัง หลวงพ่อคงจะพูดอะไรไม่ได้มาก นอกจากจะพูดว่า "เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้" มันเป็นกรรมของเขา เราไม่ต้องไปโต้เถียง เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อันใด คนที่ตาบอดมาตั้งแต่กำเนิด เขาไม่เชื่อหรอกว่าแสงสว่างมีอยู่ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้นหนูอย่าไปโต้เถียงกับเขาให้เสียเวลา ต้องปล่อยไปตามกรรมของเขา" ท่านพระครูสอนให้ "วางอุเบกขา"




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2012, 03:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

..อนุโมทนาแล้วๆๆ..

:b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2012, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ชอบมากๆครับ โพสได้ยาวแบบมาราธอนดี คุณรสมน ประมาณนักเล่าเรื่อง...หุๆๆๆ
เนื่้อเรื่องนี้ เหนได้ชัดว่า คนที่ไม่ร้อะไรมาก่อน แต่ตั้งใจจริง สอนภาคปฏิบัติได้ง่าย
แต่จริงๆพระในเรื่องท่านก้ได้พุทโธมาก่อนนะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 145 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร