วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 11:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 117 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 20:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:


ท่านกบ คุนน้องถามหน่อยว่า สมาธิท่านกบอยู่ในฌานหรือยังเจ้าค่ะ ถ้าอยู่ในฌานแล้วจะได้คุยกันรู้เรื่อง แล้วไอ้"จิตนี้มหัศจรรย์ร้ายกาจนัก" มันเกี่ยวไรกับสมาธิท่าน จขกท s002


กะว่า...จะหายใจเข้า..แค่ครั้งเดียว..ก็ถึง ฌาน 4 เลย...นี้แหละที่ยังทำไม่ได้ :b32: :b32:

แล้ว..ไอ้จิตร้ายกาจ...นี้นะ...พอจะมีสมาธิดี ดี สักหน่อย...มันจะสร้างภาพ....มันเป็นจอมสร้างภาพ...ทำให้เห็นนั้นเห็นนี้...พอเห็นนะ...ส่วนมากจะแวะตามเข้าไปดู....ตามดูเมื่อไร..ก็ออกนอกลู่ของสมาธิเมื่อนั้น....

เห็นหรือไม่เห็น...อันนี้ครูบาอาจารย์ท่านว่า..ขึ้นกับวาสนาบารมีที่เราทำมา...คนไม่เห็นอะไรเลยนี้จะดี...ก้าวหน้าเร็ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 20:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
http://www.luangta.com/thamma_forum/forum_detail.php?cgiForumID=1298
ฝากลิ้งข้างบนนี้ไว้ให้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมนะครับเป็นตัวอย่างของผู้ปฏิบัติเขียนถามหลวงตามหาบัวเอาไว้ จิตที่ตัดขาดจากคำบริกรรมเป็นจิตที่ตั่งมั่นเป็นเอกัคคตารมณ์ ความรู้ก็เป็นความรู้ที่ละเอียด หรือว่าเด่นนั่นล่ะครับ เมื่อสติตั่งมั่นขนาดนี้จะหลับได้ยังไงล่ะครับ


คุณมัชฌิมา...รู้เรื่องเหล่านี้ก่อนเจอกับสภาวะอย่างที่ว่ามา....หรือว่า...รู้ทีหลัง?


เวลาประมาณ1.45น.ของคืนวันที่4เมษายน2546 เป็นวันที่พบสภาวะนี้ ลิ้งถามตอบเกิดขึ้นในปี48


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 20:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
คุนน้องว่า เข้าฌาน 4 ได้ ตามความเข้าใจคุนน้องไม่ใช่ผู้รุ้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่เป็นการรวบรวมสมาธิเข้าอยู่ในฌานนี้ซึ่งต้องเป็นกำลังสมาธิระดับละเอียดมาก ระดับสูงเกินกว่าคนปกติจะทำได้ แล้วบางคนอยู่ในฌาน4ก็พิจารณาธรรมในฌาน4ไม่ได้ ต้องถอนออกจากฌาน4ถึงจะมีสติกำหนดรู้ แต่อธิบายแค่นี้ก่อน เพราะบารมียังไม่ถึงไม่กล้าพูดมาก เด่วจะปล่อยไก่ :b32:


เคยอยู่ในฌานแล้วเดินไปเดินมา...มั้ย?

ฌานแข็งทื่อ...มันก็มี....ฌานที่เหมาะแก่การทำงาน...มันก็มี

ส่วนผมก็ยังเป็นแค่นักเรียนรู้อยู่... :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 20:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
http://www.luangta.com/thamma_forum/forum_detail.php?cgiForumID=1298
ฝากลิ้งข้างบนนี้ไว้ให้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมนะครับเป็นตัวอย่างของผู้ปฏิบัติเขียนถามหลวงตามหาบัวเอาไว้ จิตที่ตัดขาดจากคำบริกรรมเป็นจิตที่ตั่งมั่นเป็นเอกัคคตารมณ์ ความรู้ก็เป็นความรู้ที่ละเอียด หรือว่าเด่นนั่นล่ะครับ เมื่อสติตั่งมั่นขนาดนี้จะหลับได้ยังไงล่ะครับ


คุณมัชฌิมา...รู้เรื่องเหล่านี้ก่อนเจอกับสภาวะอย่างที่ว่ามา....หรือว่า...รู้ทีหลัง?


เวลาประมาณ1.45น.ของคืนวันที่4เมษายน2546 เป็นวันที่พบสภาวะนี้ ลิ้งถามตอบเกิดขึ้นในปี48


งั้นก็แสดงว่า...ไม่ได้เป็นอุปาทานของจิต

แล้วถึงวันนี้....ยังเป็นเหมือนเดิมมั้ย?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 21:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
ขออธิบายเพิ่มเติมละกันนะครับ

.. ตอนหายหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้...

คืออย่างนี้ครับ ตอนที่ความรู้เหมือนกระเด็นออกไปนั้น ตรงนี้รู้ แต่จุดเชื่อมต่อระหว่างตอนกระเด็นหรือตอนก่อนดับไปยังการดับไปนี้ จุดเชื่อมตรงนี้ไม่รู้ต้นไม่รู้ปลายจริงๆ เพราะควารรู้นั้นก็คือเรานั่นล่ะ ผู้ที่สำคัญตัวว่าเรานั่นล่ะ พอเราดับไป มันก็เหมือนคนที่กำลังจะหลับเคลิ้มๆ ตรงนี้ก็ยังมีสัญญาอยู่ จึงรู้จึงบอกได้ไง แต่จุดที่มันหลับณ.จุดนั้นมันหาไม่เจอว่าหลับไปนะตอนไหนจุดไหน พอตื่นนอนมาเราก็ค่อยมานั่งนึกทีหลังว่าสัญญาครั้งสุดท้ายที่ยังมีคือเราเคลิ้มไปมากแล้ว เท่านี้ ส่วนหลับไปนานแค่ไหน หลังจากตื่นเราก็มาดูเวลาดูความอิ่มของร่างกายอีกที ....

ถ้าจะถามว่าถ้าเป็นฌาน4ที่เป็นเอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ อันแน่นแฟ้นแล้วทำไมจึงบอกว่าไม่มีสติหรือสติหายไป.... ตอบนะครับ ฌาน4มันจะอยู่ในช่วงไหนที่ผมเขียนในกระทู้ อยู่ในช่วงนี้ครับ "คำบริกรรม,ลมหายใจ,และร่างกาย ในตอนนั้นก็หายไป เหลือแต่สติปัญญาที่เด่นดวงมาก" นี่คือช่วงแห่งฌาน4 จะสังเกตว่าสติความรู้อันละเอียดยังอยู่ครบ แต่เรื่องของจิตนั้นมันไม่หยุดแค่ที่ฌาน4นะครับ มันไปต่อได้อีก คือเมื่อมีสติปัญญาพร้อมแล้วและอยู่ในฌาน4และไม่ไปออกรู้ไปทางไหน(นรก สวรรค์ )ด้วยกำลังปัญญาของฌาน4สามารถแทงทะลุได้หมด (นั่นถึงไปนรกสวรรค์มีอภิญญาต่างๆ ) ถ้าหากเอาสติปัญญามาดูมาพิจารณาความรู้อันละเอียดตัวนี้ ความรู้ตัวนี้ก็จะถูกกำลังของสติปัญญาในขั้นฌาน4ปล่อยออก วางลง ปล่อยวางความรู้ออกไปได้ พอปล่อยรู้แล้วมันก็หมด แยกออกอย่างสิ้นเชิง มันก็หมดแล้วไม่มีอะไร เมื่อสติปัญญาอยู่กับวิญญาณธาตุ เมื่อวิญญาณธาตุวางตัวลงสติปัญญาก็วางตัวลง .....

สวัสดีครับพี่มัชฌิมา ปฏิปทา :b8:
ในอัปปนาสมาธินั้นไม่มีปัญญาจริงๆครับ...จะมีแต่ก็คือสติที่เราเรียกว่าผู้รู้...ขยายความปัญญาที่ว่านี้ก็คือปัญญาตัวที่เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งเห็นตามความจริงแห่งธรรม...ตัวรู้หรือผู้รู้นี้ไม่ใช่ปัญญาแต่เป็นสติ...ดังนั้นอัปปนาสมาธิที่เป็นเอกัคคตาย่อมมีสติคือผู้รู้อยู่เสมอ...ถ้าไม่มีสติคงไว้แล้วมันก็ไม่ต่างจากการหลับครับ

ส่วนที่พี่พิจารณาว่าเมื่อสติปัญญาอยู่กับวิญญาณธาตุ เมื่อวิญญาณธาตุวางตัวลงแล้วสติปัญญาก็วางตัวลง ผมว่ามันไม่ถูกต้องเท่าไหร่...เพราะอัปปนาสมาธินั้นใจกับกายจะแยกจากกัน...ส่วนที่ดับ(หาย)ไป ณ ตอนนั้นคือกาย วิญญาณที่ดับไปจึงเป็นเฉพาะวิญญาณที่ต่อออกมาจากกาย ส่วนมโนวิญญาณนั้นไม่ได้ดับไปด้วย โดยอยู่ในชื่อของผู้รู้ ตัวรู้หรือตัวสตินั่นเองครับ ผิดถูกยังไงโปรดพิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2004, 12:30
โพสต์: 147


 ข้อมูลส่วนตัว www


เรียกว่า "จิตดับ" นั่นแหละ สภาวะนี้ รวมแล้วก็ดับว่างไปหมด ทะลุไปหมด..

เข้าวงอริยสัจ ที่ทำอยู่ไม่ผิด ... แนะนำให้หาครูบาอาจารย์ ดีกว่า อย่ามาเสียเวลาหา คนมาตอบแบบนี้เลย

..ใครเขาจะมารู้กับเรา..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2012, 00:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


jojam เขียน:
เรียกว่า "จิตดับ" นั่นแหละ สภาวะนี้ รวมแล้วก็ดับว่างไปหมด ทะลุไปหมด..

เข้าวงอริยสัจ ที่ทำอยู่ไม่ผิด ... แนะนำให้หาครูบาอาจารย์ ดีกว่า อย่ามาเสียเวลาหา คนมาตอบแบบนี้เลย

..ใครเขาจะมารู้กับเรา..


ขอบคุณครับ สาธุ ^___^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2012, 00:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
ขออธิบายเพิ่มเติมละกันนะครับ

.. ตอนหายหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้...

คืออย่างนี้ครับ ตอนที่ความรู้เหมือนกระเด็นออกไปนั้น ตรงนี้รู้ แต่จุดเชื่อมต่อระหว่างตอนกระเด็นหรือตอนก่อนดับไปยังการดับไปนี้ จุดเชื่อมตรงนี้ไม่รู้ต้นไม่รู้ปลายจริงๆ เพราะควารรู้นั้นก็คือเรานั่นล่ะ ผู้ที่สำคัญตัวว่าเรานั่นล่ะ พอเราดับไป มันก็เหมือนคนที่กำลังจะหลับเคลิ้มๆ ตรงนี้ก็ยังมีสัญญาอยู่ จึงรู้จึงบอกได้ไง แต่จุดที่มันหลับณ.จุดนั้นมันหาไม่เจอว่าหลับไปนะตอนไหนจุดไหน พอตื่นนอนมาเราก็ค่อยมานั่งนึกทีหลังว่าสัญญาครั้งสุดท้ายที่ยังมีคือเราเคลิ้มไปมากแล้ว เท่านี้ ส่วนหลับไปนานแค่ไหน หลังจากตื่นเราก็มาดูเวลาดูความอิ่มของร่างกายอีกที ....

ถ้าจะถามว่าถ้าเป็นฌาน4ที่เป็นเอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ อันแน่นแฟ้นแล้วทำไมจึงบอกว่าไม่มีสติหรือสติหายไป.... ตอบนะครับ ฌาน4มันจะอยู่ในช่วงไหนที่ผมเขียนในกระทู้ อยู่ในช่วงนี้ครับ "คำบริกรรม,ลมหายใจ,และร่างกาย ในตอนนั้นก็หายไป เหลือแต่สติปัญญาที่เด่นดวงมาก" นี่คือช่วงแห่งฌาน4 จะสังเกตว่าสติความรู้อันละเอียดยังอยู่ครบ แต่เรื่องของจิตนั้นมันไม่หยุดแค่ที่ฌาน4นะครับ มันไปต่อได้อีก คือเมื่อมีสติปัญญาพร้อมแล้วและอยู่ในฌาน4และไม่ไปออกรู้ไปทางไหน(นรก สวรรค์ )ด้วยกำลังปัญญาของฌาน4สามารถแทงทะลุได้หมด (นั่นถึงไปนรกสวรรค์มีอภิญญาต่างๆ ) ถ้าหากเอาสติปัญญามาดูมาพิจารณาความรู้อันละเอียดตัวนี้ ความรู้ตัวนี้ก็จะถูกกำลังของสติปัญญาในขั้นฌาน4ปล่อยออก วางลง ปล่อยวางความรู้ออกไปได้ พอปล่อยรู้แล้วมันก็หมด แยกออกอย่างสิ้นเชิง มันก็หมดแล้วไม่มีอะไร เมื่อสติปัญญาอยู่กับวิญญาณธาตุ เมื่อวิญญาณธาตุวางตัวลงสติปัญญาก็วางตัวลง .....

สวัสดีครับพี่มัชฌิมา ปฏิปทา :b8:
ในอัปปนาสมาธินั้นไม่มีปัญญาจริงๆครับ...จะมีแต่ก็คือสติที่เราเรียกว่าผู้รู้...ขยายความปัญญาที่ว่านี้ก็คือปัญญาตัวที่เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งเห็นตามความจริงแห่งธรรม...ตัวรู้หรือผู้รู้นี้ไม่ใช่ปัญญาแต่เป็นสติ...ดังนั้นอัปปนาสมาธิที่เป็นเอกัคคตาย่อมมีสติคือผู้รู้อยู่เสมอ...ถ้าไม่มีสติคงไว้แล้วมันก็ไม่ต่างจากการหลับครับ

ส่วนที่พี่พิจารณาว่าเมื่อสติปัญญาอยู่กับวิญญาณธาตุ เมื่อวิญญาณธาตุวางตัวลงแล้วสติปัญญาก็วางตัวลง ผมว่ามันไม่ถูกต้องเท่าไหร่...เพราะอัปปนาสมาธินั้นใจกับกายจะแยกจากกัน...ส่วนที่ดับ(หาย)ไป ณ ตอนนั้นคือกาย วิญญาณที่ดับไปจึงเป็นเฉพาะวิญญาณที่ต่อออกมาจากกาย ส่วนมโนวิญญาณนั้นไม่ได้ดับไปด้วย โดยอยู่ในชื่อของผู้รู้ ตัวรู้หรือตัวสตินั่นเองครับ ผิดถูกยังไงโปรดพิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


สวัสดีครับคุณ ลูกพระป่า ยินดีที่ได้รู้จักครับ เข้าใจครับที่คุณพูดมาเข้าใจทุกประการณ์ และยินดีที่จะให้แย้งมาได้เรื่อยๆถ้าอันไหนน่าตอบผมก็จะตอบครับเพื่อความรู้แก่ผู้อ่าน ผมผ่านเข้ามาในที่นี้แค่ชั่วคราว ไม่ได้มีเจตนาที่จะมาอวดหรือมาขัดแย้งกับใครด้วยอัตตานะครับ อัปปนาสมาธิ หรือจิตรวมใหญ่ เป็นรู้อยู่เฉยๆนิ่งๆมีสติ แต่เป็นรู้ที่ปัญญาไม่ทำงาน อันนี้ผมก็เคยเป็น อันนี้เข้าใจครับแต่มันไม่ใช่สภาวะที่ผมพูดถึงมันคนละอันกัน และสภาวะที่ผมพูดถึงก็ไม่ใช่การหลับ ขอถามคุณลูกพระป่าก่อน สติ(ผู้รู้)นี้เที่ยงมั๊ยครับ สติ(ผู้รู้)นี้เกิดดับไหม ....และการใดที่ไม่มีสติ(ผู้รู้)นั้นนอกเหนือจากการหลับการตายแล้วยังมีอะไรอีกไหม....

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๓๙๖/๔๑๘
อชิตปัญหาที่ ๑
[๔๒๕] อชิตมาณพทูลถามปัญหาว่า
(คัดลอกมาบางส่วน)
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ปัญญา สติ และนามรูป ธรรมทั้งหมดนี้ย่อมดับไป ณ ที่ไหน
พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกปัญหาข้อนี้แก่ข้าพระองค์เถิด ฯ
พ. ดูกรอชิตะ เราจะบอกปัญหาที่ท่านได้ถามแล้วแก่ท่าน นามและรูปย่อมดับไปไม่มีส่วนเหลือ ณ ที่ใด
สติและปัญญานี้ย่อมดับไป ณ ที่นั้นเพราะความดับแห่งวิญญาณ ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2012, 00:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


5....5....5....5...
:b13:

คงเกินปัญญาเราไปแล้วแหละ....

เอิ๊ก..เอิ๊ก... :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2012, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
กบนอกกะลา เขียน:
nongkong เขียน:


ท่านกบ คุนน้องถามหน่อยว่า สมาธิท่านกบอยู่ในฌานหรือยังเจ้าค่ะ ถ้าอยู่ในฌานแล้วจะได้คุยกันรู้เรื่อง แล้วไอ้"จิตนี้มหัศจรรย์ร้ายกาจนัก" มันเกี่ยวไรกับสมาธิท่าน จขกท s002


กะว่า...จะหายใจเข้า..แค่ครั้งเดียว..ก็ถึง ฌาน 4 เลย...นี้แหละที่ยังทำไม่ได้ :b32: :b32:

แล้ว..ไอ้จิตร้ายกาจ...นี้นะ...พอจะมีสมาธิดี ดี สักหน่อย...มันจะสร้างภาพ....มันเป็นจอมสร้างภาพ...ทำให้เห็นนั้นเห็นนี้...พอเห็นนะ...ส่วนมากจะแวะตามเข้าไปดู....ตามดูเมื่อไร..ก็ออกนอกลู่ของสมาธิเมื่อนั้น....

เห็นหรือไม่เห็น...อันนี้ครูบาอาจารย์ท่านว่า..ขึ้นกับวาสนาบารมีที่เราทำมา...คนไม่เห็นอะไรเลยนี้จะดี...ก้าวหน้าเร็ว

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2012, 13:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขอถามคุณลูกพระป่าก่อน สติ(ผู้รู้)นี้เที่ยงมั๊ยครับ สติ(ผู้รู้)นี้เกิดดับไหม ....

สวัสดีครับพี่มัชฌิมา ปฏิปทา :b8:
ขอตอบว่ายกเว้นแต่พระอรหันต์แล้ว...กล่าวได้ว่าสตินี้ไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปได้
อ้างคำพูด:
และการใดที่ไม่มีสติ(ผู้รู้)นั้นนอกเหนือจากการหลับการตายแล้วยังมีอะไรอีกไหม....

ขอตอบว่า การตายจะมีสติหรือไม่มีผมไม่ทราบจริงๆ แต่ถ้านอกเหนือจากการหลับสนิทที่ไม่มีสติแล้วก็คงเป็นการสลบ...แต่ไม่ว่าจะเป็นจิตรวมเล็กรวมใหญ่ที่เป็นขั้นของสมถะ หรือจิตรวมใหญ่ที่เป็นขั้นของวิปัสสนา ต่างก็ต้องมีสติเป็นตัวนำคงไว้เสมอ...ผมขออนุญาติถามกลับสักนิดนะครับว่า...จิตแท้หรือจิตเดิมนี้มีเกิดมีแตกดับหรือไม่...แล้วมโนวิญญาณความรู้ทางใจนี้เกิดที่จิตแท้หรือว่าเกิดที่จิตสังขารครับ...ถือว่าแลกเปลี่ยนธรรมกันนะครับ เพราะผมไม่เคยเจอสภาวะไม่มีสติจากการภาวนาของตัวเองจริงๆ นอกจากตอนที่ภาวนาตอนป่วยท้องเสียแล้วจิตรวมแต่สติตามรู้ไม่ทันกลายเป็นหลับไปครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2012, 15:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบ มโนวิญญาณความรู้ทางใจมันก็อยู่​ในจิตสังขารนี่แหละ จิตสังขารมันก็คือวิญญาณนี่แหละ​ ส่วนผู้ที่ไปรู้สิ่งต่างๆทางใจก​็คือผู้รู้ ผู้รู้ก็อยู่ในจิตสังขารนี่แหละ​ มันรวมตัวกันอยู่ ผู้รู้นี่แหละเป็นผู้สมมุติตัวข​ึ้นมาเป็น"เรา" จิตสังขารก็คือวิญญาณเป็นหนึ่งใ​นขันธ์5 มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ทั้งหมดนี้ถ้าเราเข้าใจมันก็ดับ​ไปๆ เหลือแต่จิตจริงๆ จิตล้วนๆ ที่อยู่เบื้องหลังพวกนี้ จิตจริงๆจิตล้วนๆนี้ไม่เกิดไม่ดับมี​มาตั้งแต่ไหนๆอยู่ในใจของทุกคน แต่ที่ไม่เห็นเพราะถูกอวิชชานี่​ล่ะปกปิดอยู่ ผู้รู้ที่เราคุยกันนี่ล่ะเป็นตัวอว​ิชชาโดยแท้...
เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2012, 18:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
ตอบ มโนวิญญาณความรู้ทางใจมันก็อยู่​ในจิตสังขารนี่แหละ จิตสังขารมันก็คือวิญญาณนี่แหละ​ ส่วนผู้ที่ไปรู้สิ่งต่างๆทางใจก​็คือผู้รู้ ผู้รู้ก็อยู่ในจิตสังขารนี่แหละ​ มันรวมตัวกันอยู่ ผู้รู้นี่แหละเป็นผู้สมมุติตัวข​ึ้นมาเป็น"เรา" จิตสังขารก็คือวิญญาณเป็นหนึ่งใ​นขันธ์5 มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ทั้งหมดนี้ถ้าเราเข้าใจมันก็ดับ​ไปๆ เหลือแต่จิตจริงๆ จิตล้วนๆ ที่อยู่เบื้องหลังพวกนี้ จิตจริงๆจิตล้วนๆนี้ไม่เกิดไม่ดับมี​มาตั้งแต่ไหนๆอยู่ในใจของทุกคน แต่ที่ไม่เห็นเพราะถูกอวิชชานี่​ล่ะปกปิดอยู่ ผู้รู้ที่เราคุยกันนี่ล่ะเป็นตัวอว​ิชชาโดยแท้...
เจริญในธรรมครับ

สวัสดีครับพี่ มัชฌิมา ปฏิปทา :b8:
ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ...งั้นผมขออนุญาติถามต่อนะครับว่า...
การเห็นธรรม เห็นที่ไหนครับ?
การรู้ธรรม รู้ที่ไหนครับ?
การถึงธรรม ถึงที่ไหนครับ?
ถ้าผู้รู้เป็นผู้สมมติตัวขึ้นมาเป็น"เรา"อย่างที่พี่กล่าว...แล้วที่ว่าพระพุทธเจ้าคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้นจะหมายความว่าอย่างไรครับ?
และถ้าวิญญาณทั้ง 6 ดับหมดแล้ว...แล้วจะเอาอะไรมารับรู้ปัจจุบันขณะครับ?
ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2012, 19:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
ตอบ มโนวิญญาณความรู้ทางใจมันก็อยู่​ในจิตสังขารนี่แหละ จิตสังขารมันก็คือวิญญาณนี่แหละ​ ส่วนผู้ที่ไปรู้สิ่งต่างๆทางใจก​็คือผู้รู้ ผู้รู้ก็อยู่ในจิตสังขารนี่แหละ​ มันรวมตัวกันอยู่ ผู้รู้นี่แหละเป็นผู้สมมุติตัวข​ึ้นมาเป็น"เรา" จิตสังขารก็คือวิญญาณเป็นหนึ่งใ​นขันธ์5 มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ทั้งหมดนี้ถ้าเราเข้าใจมันก็ดับ​ไปๆ เหลือแต่จิตจริงๆ จิตล้วนๆ ที่อยู่เบื้องหลังพวกนี้ จิตจริงๆจิตล้วนๆนี้ไม่เกิดไม่ดับมี​มาตั้งแต่ไหนๆอยู่ในใจของทุกคน แต่ที่ไม่เห็นเพราะถูกอวิชชานี่​ล่ะปกปิดอยู่ ผู้รู้ที่เราคุยกันนี่ล่ะเป็นตัวอว​ิชชาโดยแท้...
เจริญในธรรมครับ

สวัสดีครับพี่ มัชฌิมา ปฏิปทา :b8:
ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ...งั้นผมขออนุญาติถามต่อนะครับว่า...
การเห็นธรรม เห็นที่ไหนครับ?
การรู้ธรรม รู้ที่ไหนครับ?
การถึงธรรม ถึงที่ไหนครับ?
ถ้าผู้รู้เป็นผู้สมมติตัวขึ้นมาเป็น"เรา"อย่างที่พี่กล่าว...แล้วที่ว่าพระพุทธเจ้าคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้นจะหมายความว่าอย่างไรครับ?
และถ้าวิญญาณทั้ง 6 ดับหมดแล้ว...แล้วจะเอาอะไรมารับรู้ปัจจุบันขณะครับ?
ขอให้พิจารณาธรรมโดยธรรมนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


มนุษย์ ประกอบด้วยขันธ์5 ผู้รู้นี้เป็นขันธ์ที่หกก็ไม่น่าจะใช่ ขันธ์5นั้นเกิดดับ นอกเหนือจากขันธ์5ไปแล้วนั้นมีอะไรอีกล่ะครับ ....การที่ได้เห็นว่าวิญญาณดับไปผู้รู้ดับไป ตอนที่เห็นมันดับตอนนั้นน่ะมันเป็นเครื่องให้รู้ให้เข้าใจ มันก็เข้าใจในตัวผู้รู้นั่นล่ะว่าตัวเองน่ะเป็นของเกิดดับ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นย่อมดับ สิ่งใดเกิดดับสิ่งนั้นเป็นอนัตตา คราวนี้เมื่อเข้าใจตัวเอง มันก็ไม่ต้องไปยึดถือว่ามีเราแล้ว ขันธ์ทั้งหมดก็จะเป็นขันธ์5ล้วนๆที่ไม่มีความหลงผิดว่าเป็นตัวเอง สติก็ยังอยู่เหมือนเดิม ผู้รู้ก็ยังต้องมีอยู่ แต่มีวิชา(ความรู้แจ้ง)แล้วไง เมื่อมีวิชา อวิชชา(ความไม่รู้)ก็ดับไปเอง... ก็เลยเป็นผู้รู้ "รู้"(รู้ว่าเราไม่ใช่เรา) ก็ปล่อยให้ทุกอย่างกลับคืนสู่ธรรมชาติหมด เลยไม่มีอะไรซักอย่าง ก็เลยเป็นความไม่มี / ส่วนธรรมธาตุนั้น นอกเหนือจากขันธ์5ไปแล้ว ก็คือความไม่มีนั่นล่ะ ธรรมธาตุนี้แหละเป็นธาตุรู้ของจริงที่เป็นสากล เป็นรู้ที่ไม่ต้องรักษาไม่ต้องระวังไม่ต้องระลึก ที่ไม่ต้องรักษาเพราะเค้าเป็นอย่างนั้นของเค้าอยู่แล้ว เค้าเป็นวิมุติธรรม มันก็จะมาบันจบกันตรงที่ว่าผู้รู้ปล่อยวางตัวเอง หมดไม่มี ......

ขอตอบแบบนี้ละกันนะครับ แล้วคุณลูกพระป่าก็เทียบเคียงเอานะครับ เพราะการที่จะตอบแบบตรงคำถามเป๊ะๆมันยากมากที่จะเรียบเรียง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2012, 21:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มนุษย์ ประกอบด้วยขันธ์5 ผู้รู้นี้เป็นขันธ์ที่หกก็ไม่น่าจะใช่ ขันธ์5นั้นเกิดดับ นอกเหนือจากขันธ์5ไปแล้วนั้นมีอะไรอีกล่ะครับ ....การที่ได้เห็นว่าวิญญาณดับไปผู้รู้ดับไป ตอนที่เห็นมันดับตอนนั้นน่ะมันเป็นเครื่องให้รู้ให้เข้าใจ มันก็เข้าใจในตัวผู้รู้นั่นล่ะว่าตัวเองน่ะเป็นของเกิดดับ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นย่อมดับ สิ่งใดเกิดดับสิ่งนั้นเป็นอนัตตา คราวนี้เมื่อเข้าใจตัวเอง มันก็ไม่ต้องไปยึดถือว่ามีเราแล้ว ขันธ์ทั้งหมดก็จะเป็นขันธ์5ล้วนๆที่ไม่มีความหลงผิดว่าเป็นตัวเอง สติก็ยังอยู่เหมือนเดิม ผู้รู้ก็ยังต้องมีอยู่ แต่มีวิชา(ความรู้แจ้ง)แล้วไง เมื่อมีวิชา อวิชชา(ความไม่รู้)ก็ดับไปเอง...

ขอนุโมทนากับคำตอบส่วนนี้ด้วยครับ
อ้างคำพูด:
... ก็เลยเป็นผู้รู้ "รู้"(รู้ว่าเราไม่ใช่เรา) ก็ปล่อยให้ทุกอย่างกลับคืนสู่ธรรมชาติหมด เลยไม่มีอะไรซักอย่าง ก็เลยเป็นความไม่มี / ส่วนธรรมธาตุนั้น นอกเหนือจากขันธ์5ไปแล้ว ก็คือความไม่มีนั่นล่ะ ธรรมธาตุนี้แหละเป็นธาตุรู้ของจริงที่เป็นสากล เป็นรู้ที่ไม่ต้องรักษาไม่ต้องระวังไม่ต้องระลึก ที่ไม่ต้องรักษาเพราะเค้าเป็นอย่างนั้นของเค้าอยู่แล้ว เค้าเป็นวิมุติธรรม มันก็จะมาบันจบกันตรงที่ว่าผู้รู้ปล่อยวางตัวเอง หมดไม่มี ......

แต่ตรงส่วนนี้ผมมีข้อข้องใจอยู่นิดหนึ่งนะครับ ขออนุญาติถามสักหน่อยนะครับว่า...ที่ว่าปล่อยทุกอย่างหมด จนไม่มีอะไรเลยสักอย่าง กลายเป็นความไม่มี...ความไม่มีที่ว่านี้คือไม่มีอะไรครับ?...แล้วเมื่อปล่อยทุกอย่างหมดแล้ว...จะมีความมีอะไรขึ้นมาบ้างรึเปล่าครับหรือเหลือแต่ความไม่มีอะไรสักอย่างจริงๆครับ ช่วยอธิบายความให้เข้าใจมากขึ้นด้วยนะครับ
ปล.ขอย้อนถามถึงประสบการณ์ที่พี่นำมาแบ่งบันว่าถึงตรงนี้พี่ยังคิดว่าเป็นเพราะภาวะวิญญาณดับหมดเพราะปล่อยวางหรือว่าสติตามรู้ไม่ทันตอนจิตรวมแล้วจึงหลับไปครับ
ขอบคุณครับ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 117 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 47 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron