วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 14:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 117 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 06:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
sriariya เขียน:
อาการที่คุณเล่ามา ถ้าจะให้กล่าวอย่างเข้าใจง่ายและสั้นๆ เรียกว่า "หลับใน"ขอรับ ถ....



ที่คุณศรี..พูด...ตรงนี้ต้องคิดนะครับ...

ไม่ใช่..ไม่ชอบคุณศรีฯ..แล้ว...อะไร ๆ ก็ไม่ฟัง..ไม่ดูไม่เอามาคิด...

ไม่ถูกนะ...

มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
ไม่มีเลย คำบริกรรม,ลมหายใจ,และร่างกาย ในตอนนั้นก็หายไป เหลือแต่สติปัญญาที่เด่นดวงมาก แต่ผมก็ยังภาวนาต่อไปในสตินั้นยังมีความรู้หรือที่เรียกกันว่าวิญญาณอยู่ด้วย ผมจึงใช้สติปัญญาจ่อเข้าไปที่ความรู้ที่เด่นตรงนั้น ไม่นานความรู้(วิญญาณ)นั้นก็กระเด็นหายไปทันทีหายไปพร้อมกับสติปัญญา หมด .....ตอนหายหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่สติกระเพื่อมตัวออกมาเองคือความรู้(วิญญาณ)เกิด แต่มันนิ่งๆไม่คิดอะไร สักพักความคิดก็กระเพื่อมตัวออกมาเอง .....



ผู้ที่อยู่ในสมาธิหรือ ฌาน 4 ....ผู้รู้...ผู้ตื่น..ผู้เบิกบาน....มันจะมีนะ...ไม่งั้นเขาไม่ติดสมาธิกันหรอก

จุดมันจึงอยู่ตรงนี้นั้นแหละ...

ไม่นานความรู้(วิญญาณ)นั้นก็กระเด็นหายไปทันทีหายไปพร้อมกับสติปัญญา หมด .....ตอนหายหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้

บางคนเขาใช้คำสวย ๆ ว่า...ตกภวังค์
ส่วนตัวชอบใช้คำว่า..หลับใน...มันกระแทกใจดี

คือมันยังไม่พ้นนิวรณ์...ตัวถีนมิทถะ

ส่วนที่ว่า...คำบริกรรมหายไป...ลมหายใจหายไป...ร่างกายไม่มีเลย....

ความรู้สึกนี้ก็ให้ระวัง...มันอาจจะเป็นไปเอง...หรือว่าเรารู้มาก่อนว่า..อาการเข้าสมาธิมันต้องมีอาการอย่างนี้...อย่างนี้....จิตเกาะความอยากปั๊ป...มันก็จัดอาการนั้นให้เราทันที

จิตนี้มหัศจรรย์อย่างร้ายกาจ...นัก

ทำต่อ...ทำไปเรื่อย ๆ...มีครูบาอาจารย์ที่ดีเดี่ยวก็ข้ามไปได้...

ตกหลุม...ก็ต้องขึ้นจากหลุ่ม...พวกที่ไม่ตกหลุ่มเลย..คือ..พวกที่ไม่เดิน

ขอให้เจริญในธรรม..ยิ่ง ๆ ขึ้นไป..นะครับ :b8:
.

cool
Onion_L
คุณกบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ สัมปชัญญะ กลับคืนมาหรือยัง
s002
กลับไปนั่งอ่านนั่งพิจารณากระทู้ของคุณมัชฌิมาเสียใหม่ให้ละเอียดถี่ถ้วน ธรรมะจากปฏิบัติการเช่นนี้หาฟังหารู้ได้ยาก อย่ามาชักใบให้เรือเสีย แถมยังไปเชียร์ความเห็นของท่านศรีเสียยกใหญ่ ท่านศรีนั้นธรรมท่านไปไกลไม่มีใครตามทันที่จะอ่านรู้เรื่องแล้ว...คอยรับจากท่านก็พอครับ
:b12: onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 07:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมสงสัยตรงสติปัญญาหายไป...

ถ้าว่าตามลำดับอาการที่ท่าน..จ.ข.ก.ท..ว่ามา

มันก็ต้องเข้า..ฌาณ4..

แต่...รู้...ตื่น..เบิกบาน....ท่าน..จ.ข.ก.ท...ไม่ได้แสดงใว้ให้เห็นเลย

ก็ต้องเดาใว้ก่อนว่า...ไม่มี

กัลยาณมิตร...ต้องไม่อวย..ให้กันเกินไป..จะเสียหาย..

ต้องแตะเบรกห้ามล้อใว้บ้าง....จะได้มีเวลามาฉุกคิด...มันจะเกิดความรอบขอบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 09:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมด๊า ธรรมดา

สามั๊ญ สามัญ

คืนสู่สามัญ

ความเป็นธรรมดา
ความเป็นสามัญ

:b1:

เอกอนปฏิบัติมาทั้งชีวิต
ที่สุดรวมแล้วก็คืนสู่สมัญนั่นล่ะ

จิตไม่ว่าแสดงไปวิจิตรเพียงใด
ก็เริ่มจากสามัญ และสิ้นสุดที่สามัญ

:b8:

ทำให้แจ้งในความเกิด และความดับ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 09:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมสงสัยตรงสติปัญญาหายไป...



ขอบคุณครับ ..... นี่ล่ะครับKeywordมันอยู่ตรงนี้ ในคำถามที่ผมถามในกระทู้ตอนสุดท้าย ถ้ามีคนถอดรหัสตรงนี้ได้ ก็จะทราบคำตอบที่สงสัยกันกัน ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร จะตั้งอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีวิญญาณ เมื่อวิญญาณดับทุกสิ่งต้องดับ สติ ปัญญา อยู่ในนั้น เมื่อทุกสิ่งดับหมด สติ ปัญญา ย่อมดับตามไป)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 10:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านก็พิจารณาเอง..ว่า...มันต่างกับการหลับ..มั้ย?

คงเคยได้ยินนะครับว่า....ติดสมาธิหรือติดฌาณ...

แล้วมาดูของเราว่า....มันมีอะไรให้น่าติดอกติดใจตรงไหนมั้ย?

รู้...ตื่น...เบิกบาน....มีกับคนที่หลับมั่ย?

เหล่านี้...คือคำถามที่ผมเคยใช้ถามตัวเอง...เลยเอามาแลกเปลี่ยน

ส่วนใคร..จะไม่ถามตัวเอง..ก็เรื่องของท่านไป

.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 10:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


^_____^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


onion
...ที่สำคัญของการเวียนว่ายตายเกิดก็เพื่อเรียนรู้ธรรมจนกว่าจะบรรลุอรหัตตผล...
...จะไปนรก-สวรรค์-พรหมโลก-นิพพาน...ก็ทำไปจากภพภูมิมนุษย์นี้เอง...
...มนุษย์ที่เกิดมาโชคดีก็คือเกิดมาศึกษาพระพุทธศาสนาแล้วหมั่นทำทาน-ศีล-ภาวนา...
...แต่จะโชคดีหรือโชคร้ายก็อยู่ที่การรักษาศีล5...ถ้าไม่บริสุทธิ์ก็ไม่สามารถปิดอบายภูมิได้...
...การปฏิบัติธรรมที่ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งธรรมเท่านั้นจึงสามารถนำจิตดวงสู่การพ้นทุกข์ได้...
...เพราะปัญญาที่เป็นเครื่องรู้เครื่องอยู่ของจิตเท่านั้นที่จะทำให้ไม่ทุกข์ไปตามโลกธรรม8...
...การใช้ปัญญาจากธรรมมาแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันเพื่อให้การมีชีวิตที่ทุกข์น้อยลง...
...จนนำพาจิตดวงนี้เข้าสู่การบรรลุธรรมตั้งแต่ชั้นพระโสดาบันขึ้นไปจึงจะปิดอบายภูมิได้...
...ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวของชีวิตชาวพุทธ...หมั่นอบรมจิตตนให้สม่าเสมอ...
...พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้ชี้หนทาง...การจะได้ซึ่งมรรคผลก็อยู่ที่จิตแต่ละดวงนำมาสอนตน...
...การปฏิบัติของท่านจขกท.ยังได้ธรรมเครื่องรู้ของจิตอีกอย่างด้วยคือสติสัมโพชฌงค์๗...
...ควรศึกษาและพิจารณาอยู่เนืองๆให้เกิดทั้งสุตมยปัญญา จินตามยปัญญาและภาวนามยปัญญา...
...การเข้าถึงกระแสความเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นได้ในชาตินี้ยังดีกว่ารอชาติต่อๆไป...
...ซึ่งไม่รู้ว่านานแค่ไหนถึงจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาแล้วได้ปฏิบัติอีก...
...สำคัญที่สุดของการบรรลุคุณธรรมก็คือการรักษาศีลให้บริสุทธิ์เป็นพื้นฐาน...
...ขอให้ท่านจขกท.และผู้ที่ใส่ใจศึกษาเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป...
...แนะนำศึกษาสติสัมโพชฌงค์๗...ธรรมเครื่องรู้ของการบรรลุธรรมค่ะ...
:b44: :b44:
:b8:
http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=392.0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
.. ตอนหายหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ..

ท่านเรียก ขาดสติ สติอ่อน เผลอสติ

หากเปรียบ สติ คือ แม่ จิต คือ ลูกน้อย
การทำสมาธิ ก็เหมือนแม่คอยเฝ้าลูกน้อย เผลอเมื่อไรลูกน้อยก็หนีไปเที่ยวเล่นแหละ
รู้ตัวอีกที ก็เลยไม่รู้ว่าลูกน้อยไปเที่ยวเล่นนานแค่ไหน ..

:b12:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...ผู้ที่ผ่านประสบการณ์ที่คำบริกรรมหายไปนี้...เวลาที่ได้ฟังเทศนาธรรมของครูบาอาจารย์ที่ว่า...
...การปฏิบัติเข้าถึงจิตกับกายแยกส่วน...ต่างอันต่างจริง...อยู่ด้วยกันแต่ไม่เกี่ยวข้องกัน...
...เช่นข้าว 1 จานก็มีข้าววางอยู่บนจาน...ไม่ใช่อันเดียวกันเป็นคนละอย่างกัน...เรียกว่าข้าว 1 จาน...
...เปรียบดั่งคน 1 คนก็มีกายกับจิต...ไม่ใช่อันเดียวกันเป็นคนละอย่างกันแต่มารวมกันอยู่...
...การปฏิบัติจิตตภาวนาเท่านั้น...จึงสามารถเข้าไปรู้ว่ากายกับจิตแยกส่วนอย่างไร...
...การจะได้เข้าไปรู้ธรรมแจ้งจริงหรือไม่...ไม่ควรคาดหมายล่วงหน้า...ให้จิตอยู่กับปัจจุบันธรรม...
...การจะเข้าไปรู้ความจริงเป็นเรื่องของการปฏิบัติถูกต้องแค่ชั่วฟ้าแลบ...ชั่วงูแลบลิ้นเท่านั้นที่จะรู้...
...ท่านเจ้าของกระทู้อ่านแล้ว...เข้าใจสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนอย่างไร...นั่นแหละปัญญาเกิดรู้แจ้งอย่างนั้น...
...แต่ถ้าไม่นำสิ่งที่รู้มาคิดค้นพิจารณาแยกแยะลดละความเป็นตัวตนลง...ก็เกิดอีกจนกว่าไม่มีตัวเรา...
...เพราะขณะที่เป็นเรามีตัวตนทำทุกสิ่งอยู่ก็ไม่สามารถแจ้งในธรรมที่เป็นทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา...
...เพราะไม่สามารถเข้าใจธรรมของสภาพจิตที่เกิด-ดับทางตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจทีละ 1 ขณะได้...
:b39: :b39:
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 12:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
...ผู้ที่ผ่านประสบการณ์ที่คำบริกรรมหายไปนี้...เวลาที่ได้ฟังเทศนาธรรมของครูบาอาจารย์ที่ว่า...
...การปฏิบัติเข้าถึงจิตกับกายแยกส่วน...ต่างอันต่างจริง...อยู่ด้วยกันแต่ไม่เกี่ยวข้องกัน...
...เช่นข้าว 1 จานก็มีข้าววางอยู่บนจาน...ไม่ใช่อันเดียวกันเป็นคนละอย่างกัน...เรียกว่าข้าว 1 จาน...
...เปรียบดั่งคน 1 คนก็มีกายกับจิต...ไม่ใช่อันเดียวกันเป็นคนละอย่างกันแต่มารวมกันอยู่...
...การปฏิบัติจิตตภาวนาเท่านั้น...จึงสามารถเข้าไปรู้ว่ากายกับจิตแยกส่วนอย่างไร...
...การจะได้เข้าไปรู้ธรรมแจ้งจริงหรือไม่...ไม่ควรคาดหมายล่วงหน้า...ให้จิตอยู่กับปัจจุบันธรรม...
...การจะเข้าไปรู้ความจริงเป็นเรื่องของการปฏิบัติถูกต้องแค่ชั่วฟ้าแลบ...ชั่วงูแลบลิ้นเท่านั้นที่จะรู้...
...ท่านเจ้าของกระทู้อ่านแล้ว...เข้าใจสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนอย่างไร...นั่นแหละปัญญาเกิดรู้แจ้งอย่างนั้น...
...แต่ถ้าไม่นำสิ่งที่รู้มาคิดค้นพิจารณาแยกแยะลดละความเป็นตัวตนลง...ก็เกิดอีกจนกว่าไม่มีตัวเรา...
...เพราะขณะที่เป็นเรามีตัวตนทำทุกสิ่งอยู่ก็ไม่สามารถแจ้งในธรรมที่เป็นทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา...
...เพราะไม่สามารถเข้าใจธรรมของสภาพจิตที่เกิด-ดับทางตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจทีละ 1 ขณะได้...
:b39: :b39:
:b8:

เข้าใจครับ พิจารณาให้เห็นถึงความเกิดดับทั้งหมดทุกขณะ แล้วคราวนี้มันก็จะเห็นทุกสิ่งเกิดดับไปหมด แม้กระทั่ง"เรา"ผู้ดูผู้เห็นก็เกิดดับ จึงไม่มีอะไรเป็นอัตตาสักอย่าง เมื่อเรารู้ตัว"เรา" .....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 12:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.luangta.com/thamma_forum/for ... rumID=1298
ฝากลิ้งข้างบนนี้ไว้ให้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมนะครับเป็นตัวอย่างของผู้ปฏิบัติเขียนถามหลวงตามหาบัวเอาไว้ จิตที่ตัดขาดจากคำบริกรรมเป็นจิตที่ตั่งมั่นเป็นเอกัคคตารมณ์ ความรู้ก็เป็นความรู้ที่ละเอียด หรือว่าเด่นนั่นล่ะครับ เมื่อสติตั่งมั่นขนาดนี้จะหลับได้ยังไงล่ะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
sriariya เขียน:
อาการที่คุณเล่ามา ถ้าจะให้กล่าวอย่างเข้าใจง่ายและสั้นๆ เรียกว่า "หลับใน"ขอรับ ถ....



ที่คุณศรี..พูด...ตรงนี้ต้องคิดนะครับ...

ไม่ใช่..ไม่ชอบคุณศรีฯ..แล้ว...อะไร ๆ ก็ไม่ฟัง..ไม่ดูไม่เอามาคิด...

ไม่ถูกนะ...

มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
ไม่มีเลย คำบริกรรม,ลมหายใจ,และร่างกาย ในตอนนั้นก็หายไป เหลือแต่สติปัญญาที่เด่นดวงมาก แต่ผมก็ยังภาวนาต่อไปในสตินั้นยังมีความรู้หรือที่เรียกกันว่าวิญญาณอยู่ด้วย ผมจึงใช้สติปัญญาจ่อเข้าไปที่ความรู้ที่เด่นตรงนั้น ไม่นานความรู้(วิญญาณ)นั้นก็กระเด็นหายไปทันทีหายไปพร้อมกับสติปัญญา หมด .....ตอนหายหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่สติกระเพื่อมตัวออกมาเองคือความรู้(วิญญาณ)เกิด แต่มันนิ่งๆไม่คิดอะไร สักพักความคิดก็กระเพื่อมตัวออกมาเอง .....



ผู้ที่อยู่ในสมาธิหรือ ฌาน 4 ....ผู้รู้...ผู้ตื่น..ผู้เบิกบาน....มันจะมีนะ...ไม่งั้นเขาไม่ติดสมาธิกันหรอก

จุดมันจึงอยู่ตรงนี้นั้นแหละ...

ไม่นานความรู้(วิญญาณ)นั้นก็กระเด็นหายไปทันทีหายไปพร้อมกับสติปัญญา หมด .....ตอนหายหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้

บางคนเขาใช้คำสวย ๆ ว่า...ตกภวังค์
ส่วนตัวชอบใช้คำว่า..หลับใน...มันกระแทกใจดี

คือมันยังไม่พ้นนิวรณ์...ตัวถีนมิทถะ

ส่วนที่ว่า...คำบริกรรมหายไป...ลมหายใจหายไป...ร่างกายไม่มีเลย....

ความรู้สึกนี้ก็ให้ระวัง...มันอาจจะเป็นไปเอง...หรือว่าเรารู้มาก่อนว่า..อาการเข้าสมาธิมันต้องมีอาการอย่างนี้...อย่างนี้....จิตเกาะความอยากปั๊ป...มันก็จัดอาการนั้นให้เราทันที

จิตนี้มหัศจรรย์อย่างร้ายกาจ...นัก

ทำต่อ...ทำไปเรื่อย ๆ...มีครูบาอาจารย์ที่ดีเดี่ยวก็ข้ามไปได้...

ตกหลุม...ก็ต้องขึ้นจากหลุ่ม...พวกที่ไม่ตกหลุ่มเลย..คือ..พวกที่ไม่เดิน

ขอให้เจริญในธรรม..ยิ่ง ๆ ขึ้นไป..นะครับ :b8:
.

ท่านกบ คุนน้องถามหน่อยว่า สมาธิท่านกบอยู่ในฌานหรือยังเจ้าค่ะ ถ้าอยู่ในฌานแล้วจะได้คุยกันรู้เรื่อง แล้วไอ้"จิตนี้มหัศจรรย์ร้ายกาจนัก" มันเกี่ยวไรกับสมาธิท่าน จขกท s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 13:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมสงสัยตรงสติปัญญาหายไป...

ถ้าว่าตามลำดับอาการที่ท่าน..จ.ข.ก.ท..ว่ามา

มันก็ต้องเข้า..ฌาณ4..

แต่...รู้...ตื่น..เบิกบาน....ท่าน..จ.ข.ก.ท...ไม่ได้แสดงใว้ให้เห็นเลย

ก็ต้องเดาใว้ก่อนว่า...ไม่มี

กัลยาณมิตร...ต้องไม่อวย..ให้กันเกินไป..จะเสียหาย..

ต้องแตะเบรกห้ามล้อใว้บ้าง....จะได้มีเวลามาฉุกคิด...มันจะเกิดความรอบขอบ

คุนน้องว่า เข้าฌาน 4 ได้ ตามความเข้าใจคุนน้องไม่ใช่ผู้รุ้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่เป็นการรวบรวมสมาธิเข้าอยู่ในฌานนี้ซึ่งต้องเป็นกำลังสมาธิระดับละเอียดมาก ระดับสูงเกินกว่าคนปกติจะทำได้ แล้วบางคนอยู่ในฌาน4ก็พิจารณาธรรมในฌาน4ไม่ได้ ต้องถอนออกจากฌาน4ถึงจะมีสติกำหนดรู้ แต่อธิบายแค่นี้ก่อน เพราะบารมียังไม่ถึงไม่กล้าพูดมาก เด่วจะปล่อยไก่ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 16:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 พ.ค. 2012, 19:48
โพสต์: 28


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออธิบายเพิ่มเติมละกันนะครับ

.. ตอนหายหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้...

คืออย่างนี้ครับ ตอนที่ความรู้เหมือนกระเด็นออกไปนั้น ตรงนี้รู้ แต่จุดเชื่อมต่อระหว่างตอนกระเด็นหรือตอนก่อนดับไปยังการดับไปนี้ จุดเชื่อมตรงนี้ไม่รู้ต้นไม่รู้ปลายจริงๆ เพราะควารรู้นั้นก็คือเรานั่นล่ะ ผู้ที่สำคัญตัวว่าเรานั่นล่ะ พอเราดับไป มันก็เหมือนคนที่กำลังจะหลับเคลิ้มๆ ตรงนี้ก็ยังมีสัญญาอยู่ จึงรู้จึงบอกได้ไง แต่จุดที่มันหลับณ.จุดนั้นมันหาไม่เจอว่าหลับไปนะตอนไหนจุดไหน พอตื่นนอนมาเราก็ค่อยมานั่งนึกทีหลังว่าสัญญาครั้งสุดท้ายที่ยังมีคือเราเคลิ้มไปมากแล้ว เท่านี้ ส่วนหลับไปนานแค่ไหน หลังจากตื่นเราก็มาดูเวลาดูความอิ่มของร่างกายอีกที ....

ถ้าจะถามว่าถ้าเป็นฌาน4ที่เป็นเอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ อันแน่นแฟ้นแล้วทำไมจึงบอกว่าไม่มีสติหรือสติหายไป.... ตอบนะครับ ฌาน4มันจะอยู่ในช่วงไหนที่ผมเขียนในกระทู้ อยู่ในช่วงนี้ครับ "คำบริกรรม,ลมหายใจ,และร่างกาย ในตอนนั้นก็หายไป เหลือแต่สติปัญญาที่เด่นดวงมาก" นี่คือช่วงแห่งฌาน4 จะสังเกตว่าสติความรู้อันละเอียดยังอยู่ครบ แต่เรื่องของจิตนั้นมันไม่หยุดแค่ที่ฌาน4นะครับ มันไปต่อได้อีก คือเมื่อมีสติปัญญาพร้อมแล้วและอยู่ในฌาน4และไม่ไปออกรู้ไปทางไหน(นรก สวรรค์ )ด้วยกำลังปัญญาของฌาน4สามารถแทงทะลุได้หมด (นั่นถึงไปนรกสวรรค์มีอภิญญาต่างๆ ) ถ้าหากเอาสติปัญญามาดูมาพิจารณาความรู้อันละเอียดตัวนี้ ความรู้ตัวนี้ก็จะถูกกำลังของสติปัญญาในขั้นฌาน4ปล่อยออก วางลง ปล่อยวางความรู้ออกไปได้ พอปล่อยรู้แล้วมันก็หมด แยกออกอย่างสิ้นเชิง มันก็หมดแล้วไม่มีอะไร เมื่อสติปัญญาอยู่กับวิญญาณธาตุ เมื่อวิญญาณธาตุวางตัวลงสติปัญญาก็วางตัวลง .....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2012, 20:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มัชฌิมา ปฏิปทา เขียน:
http://www.luangta.com/thamma_forum/forum_detail.php?cgiForumID=1298
ฝากลิ้งข้างบนนี้ไว้ให้ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมนะครับเป็นตัวอย่างของผู้ปฏิบัติเขียนถามหลวงตามหาบัวเอาไว้ จิตที่ตัดขาดจากคำบริกรรมเป็นจิตที่ตั่งมั่นเป็นเอกัคคตารมณ์ ความรู้ก็เป็นความรู้ที่ละเอียด หรือว่าเด่นนั่นล่ะครับ เมื่อสติตั่งมั่นขนาดนี้จะหลับได้ยังไงล่ะครับ


คุณมัชฌิมา...รู้เรื่องเหล่านี้ก่อนเจอกับสภาวะอย่างที่ว่ามา....หรือว่า...รู้ทีหลัง?


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 117 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 121 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร