วันเวลาปัจจุบัน 30 มี.ค. 2024, 05:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 08:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมะในใจ

หากเราลองสังเกตุตัวเองเราจะพบว่า ตัวเราของเรามีสิ่งที่ทำให้เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นเพียงจากสาเหตุไม่กี่อย่างเท่านั้น เช่นอยากได้แต่ไม่ได้อย่างที่อยากได้ ความโกรธที่เกิดจากที่ไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้ โมโหจากถ้อยคำคนรอบข้าง และความชอบในสิ่งของต่างๆ ส่วนตัว ในขณะที่เราอาจไม่เคยสังเกตุว่าคนอื่นก็เป็นเหมือนกันกับเรานี่เอง

เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมันมากับเรา เหมือนกับหน้าตารูปร่าง สีผิว ผม ดวงตา ใบหู จมูก คาง สัดส่วน ความสามารถ และแม้แต่การเข้าใจในภาษาพระธรรมก็เกิดขึ้นในวันที่เราเกิดขึ้นมาบนโลก ที่ได้รับการตกแต่งมาจากการสั่งสมของเราเองในอดีตชาติที่ผ่านมา หลายคนยังไม่สามารถเข้าใจแม้แต่การรักษาศีลเพียงห้าข้อ ที่เมื่อพูดถึงเมื่อใด ดูเหมือนเป็นเรื่องยากลำบากจะเข้าใจและปฏิบัติได้ ข้อนั้นไม่ใช่เพราะอะไร แต่เป็นการสั่งสมปัญญาที่จะมาต่อยอดในปัจจุบันมีมาไม่เท่ากัน ในขณะที่อดีตชาติ เราทำอะไรกับมันไม่ได้อีกแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ต่างหาก ที่เราจะสร้างเพื่อให้มันไปคอยต่อยอดให้เรา เมื่อวันที่เราต้องกลับมาอีกในอนาคต และจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากสาเหตุเดิมๆ ที่ไม่แตกต่างจากในปัจจุบันที่เราได้พบมากนัก เพราะโลกมนุษย์นี้ ล้วนวนเวียน เวียนวนด้วยเหตุเพียงไม่กี่อย่างหรอก มีกิเลส ตัณหา มีโลภะ โมหะ โทสะ และราคะ ที่รวมเรียกว่า “อวิชชา” แต่อวิชชานี้สามารถได้รับการพัฒนารูปแบบการกระทำต่อกันและกัน ที่มีวิธีที่จะกระทำให้แตกต่างออกไปหลายอย่างกันไปตามแต่ที่ตัวเองได้สะสมไว้จากอดีตชาติที่ผ่านมามาก หรือน้อย เช่นการฆ่า ที่มาจากโมหะ ก็อาจใช้อาวุธ หรือทำลายล้างด้วยวิธีอื่นๆ ที่ให้ผลสุดท้าย ก็คือตายเหมือนกัน แต่ก็มาจากโทสะที่ตัวเองได้สะสมไว้มากนัก จนไม่มีช่องว่างแห่งความเมตตาให้รู้สึกอดกลั้นต่อสถานการณ์ที่เกิดกับตัวเองได้เลย แล้วนั่นเกิดจากอะไรเล่า ถ้าไม่ใช่การที่ตัวเอง ไม่ได้สั่งสมปัญญาให้รู้จักกับอวิชชาเหล่านี้มาจากอดีตชาติ

ปัจจุบันไม่ได้สายไปนัก เพราะว่ามนุษย์ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดมีวัฎฎะสงสารเป็นอ่างให้อาศัยวนไปเวียนมาไม่มีคำว่าสายจริงๆ หรอก ถึงจะสาย ก็สายเฉพาะขณะปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญกับทุกข์ที่ติดตามมาจากอดีตต่างหาก แต่ถ้าหากว่าเรายังต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนี้แล้ว ก็ไม่มีคำว่า “สาย” เลย เพราะอย่างไรมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม มีฐานะอะไรก็ตาม มีรูปลักษณ์สวยงามมากน้อยอย่างไร หรือจะทุพพลภาพก็ตาม อีกทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายก็ล้วนต้องตายจากร่างที่เป็นทุกข์ปัจจุบันไปเกิดในร่างใหม่ที่เป็นทุกข์ต่อไปอย่างไม่มีที่วันจบสิ้นอยู่แล้ว เพียงแต่เวียนไปเกิดเป็นอะไร อยู่ที่ไหน อยู่กับใครเท่านั้นเอง ซึ่งถ้ายังไม่สร้างกรรมดีในปัจจุบันเพื่อให้มีผลกรรมดีในอนาคต มันก็ยังไม่สายอีกเหมือนกัน เพราะมันต้องเริ่มต้นใหม่อย่างปัจจุบันเสมอๆ ที่พบกับความทุกข์ และก็ไม่สามารถทำความเข้าใจกับทางออกจากทุกข์ได้ จึงไม่เจอกับคำว่าสายอยู่ดี เพราะการที่ต้องวนไปเวียนมา ทุกข์ใจแล้วๆ เล่าๆ อย่างนั้นจะคิดอะไรได้อีก แม้แต่คำว่าสายก็คงยังนึกไม่ถึงหรอก ว่านี่คือสายหรือยังไม่สายกันแน่ เพราะคนที่คิดได้ว่านี่สายไปหรือยังไม่สายนั้น ตอนนี้ได้เริ่มรักษาศีลห้า เพราะอยากรู้จักตัวทุกข์และสิ่งที่ทำให้ดับทุกข์กันแล้ว

แต่มนุษย์เวียนวนตาย และวนเวียนไปเกิดกันมานับเป็นระยะเวลาอันยาวนานมากกว่าอายุของพระพุทธศาสนาในปัจจุบันเสียอีก แต่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ที่เป็นของวิเศษสะอาด บริสุทธิ์ ที่เพียงแค่ท่องบทสวดมนต์ก็สร้างจิตใจให้สะอาดเพียงชั่วขณะ เป็นขณะที่ปราศจากเวรกับใครๆ เพราะคำที่พูดนั้นพ้นไปจากการผิดข้อ มุสาวาทา อย่างสิ้นเชิง การสวดมนต์ยังให้ประโยชน์ที่ทำให้ผู้สวดปราศจากเวร แม้เพียงเวลาเล็กๆ น้อยๆ ที่ใจอาจมีสมาธิไม่เพียงพอ แต่ก็สะอาดกว่าความสุขที่ได้รับจากสิ่งอื่นๆทางโลกที่ไม่ใช่การสวดมนต์ ผู้ที่เริ่มรักษาศีลห้า จึงควรสวดมนต์ไปพร้อมๆ กับการรักษาศีลห้าเพื่อใช้การทำสมาธิที่อยู่กับการสวดมนต์ขณะนั้นสนับสนุนการไม่ก่อเวร สร้างบุญกุศลสะสมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถรักษาศีลห้าได้อย่างปกติ

ศีลห้าสร้างร่างกายให้กับมนุษย์ให้มีอวัยวะครบตามจำนวน แต่กรรมต่างๆ ที่สั่งสมไว้ในอดีตชาติ ก็ตกแต่งอวัยวะต่างๆ น้ำเสียงลักษณะท่าทาง ความสามารถ ความสวยงาม และการแสดงออกต่างๆ หากสร้างกรรมดีไว้มาก รูปลักษณ์ก็สมบูรณ์งดงาม หากสั่งสมกรรมไม่ดีไว้มาก รูปลักษณ์ก็เป็นไปในทางตรงกันข้าม กรรมดีที่สั่งสมไว้ในอดีตยังตกแต่งสถานที่เกิด หรือบิดา มารดา พี่น้อง ทรัพย์สินต่างๆ บริวาร เพื่อนสนิทมิตรสหาย และหน้าที่การงาน แต่สิ่งต่างๆ รอบตัวเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความชั่วคราวในชาติปัจจุบัน ที่เมื่อขณะนี้หากมีครอบครัวร่ำรวย หรือยากจน มีบิดามารดาดี หรือไม่ดี มีเพื่อนดี หรือมีเพื่อนไม่ดี ก็ตามที นั่นเป็นเพียงความชั่วคราวในขณะชาตินี้ของคนต่างๆ ทั้งอยู่ในที่ใกล้ที่เรามองเห็น และแม้จะอยู่ในที่ไกลๆ ที่เรามองไม่เห็นที่เกิดขึ้นเหมือนๆ กันกับเราเท่านั้น แต่ความทุกข์ที่ติดตามตัวเองไปต่างหากที่ถาวร หากว่ายังไม่สามารถหาทางที่จะรู้จักตัวทุกข์ให้ได้ว่า ทุกข์เกิดจากอะไร และอะไรทำให้ดับทุกข์ ก็จะไม่มีทางรู้เลยว่า สิ่งต่างๆรอบตัวนั้นมีไว้ให้อาศัยได้เพียงชั่วคราว และพอเมื่อผลกรรมในอดีตชาติให้ผลที่คิดว่าสุขเหล่านั้นหมดไป ความทุกข์กับการยึดว่ามันต้องเป็นความสุขถาวรก็ตามมา และความทุกข์นี้นี่เองที่ทำให้เราคิดว่าต้องหาทางออกในแบบต่างๆ ที่ไม่ได้พบกับทางออกจริงๆสักที กลับกลายเป็นว่ายิ่งดิ้นก็ยิ่งติดอยู่กับทุกข์อย่างนั้นนั่นเอง

และถ้าหากเราเริ่มต้นขณะนี้ ก็จะไม่มีคำว่าสายเลย เพราะเวลาในวัฏฏะสงสารนี้ยังอีกยาวไกลนัก มองกลับไปทางต้นก็ไม่เห็น มองไปทางปลายก็ไม่เห็นที่สิ้นสุด แต่เราสามารถขีดเส้นกำหนด ณ เวลาปัจจุบันขณะนี้ เพื่อทำทางที่จะเดินต่อไปให้สั้นขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละลมหายใจ เข้าออกตอนนี้ได้ และสิ่งที่ควรเริ่มต้นลำดับแรก เราควรสร้างความเป็นมนุษย์ของเราให้สมบูรณ์เสียก่อน ด้วยการรักษาศีลห้าข้อให้เป็นปกติ สั่งสมบุญกุศลไว้ใช้หนี้กรรมในอดีต พร้อมๆกับใช้ผลของกุศลผลบุญนั้นไว้ตกแต่งสภาพแวดล้อมของตัวเองในอนาคต ทำบุญตามกาล ศึกษาผลบุญของการกระทำบุญ และศึกษาธรรมมะในพระไตรปิฏกเก็บไว้ต่อยอดปัญญาในอนาคต เพื่อดูตัวอย่างของบุคคลผู้ที่กระทำดี กระทำดีอย่างไร และกระทำชั่ว กระทำชั่วอย่างไร เพราะกรรมดี และกรรมชั่วนี้ เกิดจากสาเหตุที่ไม่เคยเก่าเลย แม้ในปัจจุบันมนุษย์ทั้งหลายก็ยังกระทำด้วยสาเหตุเดิมๆ มี “วิชชา” และ “อวิชชา” เป็นมูล และเมื่อได้สั่งสมการศึกษาธรรมมะเก็บไว้แล้ว เมื่อใดที่ได้กลับมาพบ มาเห็นการแสดงธรรม ตลอดจนหัวข้อธรรมต่างๆ ก็จะสามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งมากขึ้น อย่างที่คนบางคนสามารถเข้าใจเรื่องผลบุญ และบาปโดยไม่ต้องอธิบายมากนัก หรือคนบางคน แค่ชวนทำบุญก็ยินดีทำได้อย่างง่ายดายอย่างนั้น และแม้การเกิดเป็นมนุษย์จะยังมีกิเลส ตัณหา อุปาทานติดตามมา ก็สามารถจะมองเห็นได้ง่าย ได้ยินได้ฟังพระอรรถกถาใดๆ ก็ชัดเจนแจ่มแจ้งมากขึ้น และสั่งสมวิธีปฏิบัติเพื่อละกิเลสไปตามลำดับ อันเป็นการตัดทางยาวที่ไกลนั้น ให้สั้นขึ้นไปเรื่อยๆ ในแต่ละชาติในอนาคต ที่ทำให้ทุกข์นั้นเป็นทุกข์ที่ตัวเองรู้จักแล้ว และจะไม่ทุกข์มากได้ในที่สุดเมื่อทางไกลได้มาถึงแล้วในที่สุดวันนั้น และอาจเรียกได้ว่า เป็นผู้บันเทิง อยู่บนความไม่ประมาท นั่นเอง

การสร้างผลบุญที่ติดตามตัวเองไปที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องใช้ทรัพย์สินสิ่งของมีค่าอันใด แต่ใช้อริยทรัพย์ที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินสิ่งของมีค่าใดๆ ที่ได้จากการปฏิบัติธรรมของตัวเองนั่นคือ การไม่จองเวร ไม่กระทำเหตุให้เป็นการก่อเวรให้เกิดขึ้นกับตัวเอง และกับผู้อื่นให้จองเวรกับตัวเอง มันอาจเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าสิ่งใดเป็นการทำให้ผู้อื่นก่อเวรกับเรา แต่การพิจารณาถึงศีลห้าข้ออยู่เนืองๆ หรือการระลึกถึง หิริ โอตตัปปะ หรือการละอายต่อการทำความชั่วทั้งในที่ลับ และที่แจ้งโดยมีศีลห้าข้อเป็นหลักเสมอๆ จะช่วยให้รู้ได้ว่า ขณะนี้ได้ก่อเวร หรือกำลังจะก่อเวรหรือยัง หรือได้ก่อเวรไปแล้ว สิ่งนี้ก็เป็นการทำบุญแบบหนึ่งที่ดีที่สุดตามสถานภาพของมนุษย์โดยไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สิน หรือการสร้างวิหารด้วยกำลังของเงินทองแต่อย่างใด และการสร้างผลบุญอีกอย่างหนึ่งที่ดีที่สุดเช่นกันก็คือ การอุทิศผลบุญกุศล และการแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้ง ๓๑ ภพภูมิ ที่เกิดจากการรักษาศีลก็ดี การสวดมนต์ก็ดี การเจริญวิปัสสนาก็ดี ซึ่งก็เป็นบุญกุศลที่ไม่ต้องใช้ทรัพย์สินของมีค่าต่างๆ เช่นกัน เพราะการอุทิศส่วนกุศล และการแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้ง ๓๑ ภพภูมินี้ ที่กล่าวว่าเป็นการให้ที่มีอานิสงส์มากอย่างหนึ่ง เพราะว่าให้โดยที่เราไม่ได้รู้จัก ว่าเป็นญาติ หรือคนที่รัก และจัดว่าเป็นการให้ส่วนบุญกับผู้ที่ลำบากส่วนหนึ่ง เช่นผู้ที่ยังเป็นสัมภเวสี เป็นผู้อยู่ในอบายบางแห่ง หรือสัตว์เดรัจฉาน ตลอดจนผู้ที่กำลังได้รับความเดือดร้อนใจและไม่มีโอกาสจะทำบุญในฐานะอย่างที่เราทำได้ เพราะต้องไม่ลืมว่าตราบใดที่เรายังต้องวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารนี้ โอกาสที่เราจะได้รับความลำบากไม่สามารถจะทำบุญได้ก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ

ดังนั้นการอุทิศส่วนกุศล และการแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้ง ๓๑ ภพภูมินั้น ก็เป็นเหมือนการได้อาศัยอัตภาพของมนุษย์อันสมบูรณ์ หรือเป็นผู้ให้ที่มีโอกาสได้ทำบุญกับห้วงแห่งนาบุญต่างๆ จึงมีบุญ ที่จะให้ กับผู้ที่ไม่มีโอกาสจะทำบุญ แต่สามารถได้รับผลบุญจากเรา ที่อย่างน้อยก็มีความสุขในขณะหนึ่งนั้นก็ตาม ในทางเดียวกัน ก็จะมีผู้อื่นที่ทำอย่างนี้ และจะอุทิศส่วนแห่งผลบุญ และแผ่เมตตากลับมาให้เราเช่นกัน ที่เปรียบเหมือนกับเวลาเรามีอาหารมากมายกินไม่หมด เราได้แบ่งปันไปให้คนอื่นๆ ที่ไม่มีอาหาร และพอคนอื่นๆ มีอาหารก็นำอาหารนั้นมาแบ่งปันให้เรากลับบ้าง เป็นการตอบแทน และเป็นส่วนหนึ่งที่เรามักจะพบว่า บางครั้งคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่กลับชอบให้การช่วยเหลือเราดั่งญาติสนิท ก็อาจเป็นไปด้วยเหตุเหล่านี้ ดังนั้นการอุทิศส่วนกุศล และการแผ่เมตตาจึงให้อานิสงส์ไม่หมด ที่ตราบใดเรายังหมั่นอุทิศส่วนบุญ และแผ่เมตตานั้นให้กันและกันอยู่ตลอดเวลา เราก็จะมีคนรอบตัวเป็นเพื่อนร่วมทาง มีสิ่งต่างๆ รอบกายไว้ใช้สอยจนกว่าเราจะพบทางที่สุดแห่งทุกข์ได้ในวันนั้น และเป็นการทำบุญโดยไม่ต้องใช้ทรัพย์สิ่งของมีค่า แต่หากเป็นการทำบุญด้วยอริยทรัพย์ของเราที่เกิดจากความเมตตาในสรรพสัตว์โดยไม่มีประมาณ นั่นเอง ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2012, 02:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


มีมรรคเป็นที่พึ่งนั้นย่อมเข้าใจความหมายของชีวิตและการปฏิบัติตนตามพุทธศาสนาเพิ่มมากขึ้น มีตนเป็นที่พึ่งคือการดำรงชีวิตอยู่เฉพาะหน้า ไม่อาลัยอดีตที่ผ่านมาแล้ว ไม่กังวลต่ออนาคตที่ยังมาไม่ถึง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2012, 21:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมวิจัย
“ สรรพสิ่งมีชีวิต ว่าไปแล้วเปรียบเหมือนดอกบัวในสระใหญ่นะ เกิดแต่หยากเยื่อ สกปรก แต่ต้องใช้หยากเยื่อ โคลนตม และน้ำนั้นปะทังตัวไว้ ค่อยๆ เจริญเติบโตยืนอยู่หลีกไปไหนไม่ได้ เหมือนการอุบัติของสรรพสิ่งที่ถือกำเนิดแล้ว เปลี่ยนลักษณะกรรมที่สร้างรูปลักษณ์ต่างๆ ที่ติดตัวตามมาไม่ได้ ต้องยืนรอคอยพบกับอันตรายจากการจะถูกกินจากสัตว์น้ำต่างๆ หรืออาจจะเน่าเสียไปก่อนที่โผล่พ้นน้ำ แต่หากเมื่อใดสามารถอดทน เอาชนะอุปสรรคผ่านพ้นกรรมเหล่านั้นไปได้ ก็เป็นเหมือนดอกบัวที่บานอวดความสวยงาม ส่งกลิ่นหอมตอนเช้าเมื่อพระอาทิตย์ให้แสงแดดแล้ว และแม้เจริญในหยากเยื่อ โคลนตม แต่ก็ไม่ติดตม ไม่ติดน้ำได้ ผู้มีตาดียังนำสิ่งที่มีชาติกำเนิดจากตมนั้นไปวางไว้ในที่สูงสุดเพื่อบูชาพระรัตนตรัยอันเป็นสิ่งที่มีค่าประมาณไม่ได้เลย เพื่ออธิษฐาน เพื่อขอพร เพื่อเจริญในธรรมอันยิ่งๆ ขึ้นไป และแม้การบรรลุถึงมรรคผลนิพพานก็ตาม จากต่ำสุดสู่สูงสุดอย่างนั้น...
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในความน่าพิจารณาไว้ในหลายที่ หลายประการน่าฟังว่า มนุษย์นี้เกิดจากกาม มีกามเป็นแดนเกิด อาศัยซากศพของสัตว์หล่อเลี้ยงทับถมกันเป็นอาหารให้ร่างกาย ผิว เลือดเนื้อ กลายเป็นการสะสมมูถและคูถ หาความน่าพิสมัยไม่ได้ เมื่อตายไปแล้ว ก็เป็นดังท่อนไม้ผุพัง มีความน่ารังเกียจเต็มไปด้วยน้ำเลือด น้ำหนองประการต่างๆ แม้ว่าเคยสวย เคยงามอย่างไร แต่ก็ไม่มีผู้ใดปรารถนาจะเก็บไว้ข้างกายอีกต่อไป เพราะทนต่อสภาพเน่าเหม็นอย่างนั้นไม่ได้ ดังความตอนหนึ่งที่พระพุทธองค์ตรัสกับพราหมณ์ที่ปรารถนาจะยกธิดาที่มีความงามให้กับพระองค์ว่า แม้เหล่านางเทพธิดาพญามารผู้มีความงาม มีกลิ่นหอม มีร่างกายอันงดงามวิจิตรสะอาดไม่มีกรีส หรือคูถ พระองค์ยังไม่ได้ทรงสนพระทัยเลย แล้วใยพระองค์จะสนใจธิดาของพราหมณ์ผู้ที่มีร่างกายแปดเปื้อนด้วยซากสัตว์ทับถมในร่างกายที่เต็มไปด้วยมูถ และคูถเล่า.. น่าคิดนะ..
ความสะอาดของมนุษย์จึงไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย เสื้อผ้า ผมหอม น้ำหอม ของประดับตกแต่งเพื่อปิดบังซากสัตว์ที่ทับถมกันเป็นจำนวนหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสนชีวิตในร่างกายของมนุษย์เพียงคนเดียวตลอดอายุที่ผ่านมาที่สร้างความสวยงาม ความมีรูปงาม มีน้ำมีนวลหรอก แต่อยู่ตรงที่การไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ นั้นเพื่อสร้างกิเลสที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้นต่างหาก เพราะเมื่อใดก็ตามที่อยากได้ ก็จะยิ่งต้องคิดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่อยากได้ตลอดเวลา เป็นการยึดติดกับความอยากในขณะเดียวกันก็จะร้อนรนด้วยวิธีที่คิดต่างๆนานา เพื่อให้ได้มาสมกับความอยากที่จะได้ ในขณะที่อยากกิน ก็ต้องเพิ่มจำนวนซากสัตว์ทับถมอยู่ในร่างกาย จากของเก่าให้มากจำนวนเพิ่มขึ้นไปอีก นี่จึงเป็นความไม่สะอาดสืบมาจากกิเลส และอธิบายให้เข้าใจในเบื้องต้นว่า เหตุใดเมื่อมีกิเลสแล้ว กาย วาจาและใจจึงไม่สะอาดยังงัยล่ะ...
ดังนั้น เมื่อใดก็ดี ที่มนุษย์รักษาศีลห้า สิ่งหนึ่งที่จะได้คือความเมตตา เมื่อเมตตาเค๊า ก็ไม่อยากทำร้ายเค๊า ทำร้ายใครๆ ให้ได้รับความลำบากเดือดร้อนรับทุกขเวทนา ก็จะละกิเลสในส่วนของความอยากจะได้ อยากจะกินไปทางอ้อมที่เป็นผลกรรมดีเกิดคู่ขนานกับความเมตตาที่มาจากการรักษาศีลไปโดยปริยาย พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า กลิ่นหอมใดๆ ก็ไม่หอมเท่ากลิ่นของผู้รักษาศีลเลย ที่หอมฟุ้งทวนลม แม้เหล่าเทพยดาก็สรรเสริญ พระอริยก็ชื่นชม การรักษาศีลจึงรักษากาย วาจา และจิตใจให้สะอาด หาส่วนที่น่าตำหนิไม่ได้เลย ศีลห้าข้อนี้แหละดีแล้ว เหมาะแล้วกับสถานภาพมนุษย์ธรรมดาๆ เพียงพึงศึกษาวิจัยให้รู้แจ้งแทงตลอดด้วยอาศัยรายละเอียดขององค์แห่งศีลพิจารณาถึงเหตุที่ควรรักษา และผลที่ได้จากการรักษาโดยอนุโลม ปฏิโลมเถิด คือการย้อนคิดกลับไป กลับมา จากข้อหนึ่งไปข้อห้า จากข้อห้าไปข้อหนึ่ง แล้วจะพบทางเจริญวิปัสสนา สร้างผลของการบรรลุธรรมที่อยากรู้สึกถึงอารมณ์ของความสงบ เยือกเย็นนั้นได้ไม่ยากเลยฯ “


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2012, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
...บุคคลย่อมดำเนินชีวิตไปเพื่อการแสวงหาทรัพย์คือวัตถุไม่มีที่สิ้นสุด...จนกว่าจิตจะเข้าถึงธรรม...
...ทรัพย์ที่หาได้ให้เพียงสุขทางกาย...แล้วก็ติดข้อง...สร้างภพชาติการเกิดตลอดเวลา...
...จนกว่าจะเริ่มศึกษาพระธรรมคำสอนแล้วน้อมนำมาฝึกหัดดัดจิตตน...โลกนี้คือโลกหาได้...
...เงินทองส่งถึงโรงพยาบาล...ลูกหลานส่งถึงเมรุ...คุณงามความดีส่งถึงปรโลก...ท่านล่ะหาอะไร...
...บุคคลที่ศึกษาพระธรรมคำสอนและนิยมการฝึกจิตตนอยู่เนืองเนือง...ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นภัย...
:b20: :b20:
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2012, 07:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ค. 2012, 02:09
โพสต์: 456


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ผู้เป็นมหาบุรุษฝึกบุรุษที่ไม่มีผู้ใดยิ่งกว่าทั้งในมนุษยโลก พรหมโลก เทวโลก และมารโลก ผู้นั้น ด้วยเศียรเกล้า ฯ


ท่านทั้งหลาย..การเข้าถึงพระสัทธรรมสำเร็จด้วยการศึกษา และปฏิบัติได้โดยง่ายมีอยู่ แต่เฉพาะผู้กระทำกรรมเพื่อความเป็นไปอย่างนั้นในปางก่อนเท่านั้น ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “ปลูกพืชอย่างไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น” ท่านเพียรพยายามประกอบกรรมใดไว้มาก ท่านย่อมเป็นทายาทแห่งความเพียรพยายามนั้น ท่านจึงไม่ควรประมาทจากกรรมที่จะทำนับจากนี้ เพื่อจักได้เป็นทายาทอันอุดมของกรรมดีอันท่านก่อไว้
กฏแห่งกรรมเป็นเรื่องยากที่จะใช้เวลาทั้งชาติอธิบายให้ผู้ฟังที่ไม่ได้สั่งสมปัญญาไว้เลยได้เข้าใจ แต่จะเป็นเรื่องง่ายที่จะอธิบายให้ผู้ฟังที่สะสมปัญญามาหลายชาตินับไม่ถ้วนแล้วเข้าใจได้เพียงประโยคเดียว ปัจจุบันขณะจึงสำคัญยิ่งนัก ดังนั้นเมื่อเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมแล้ว ควรทำปัจจุบันขณะนี้ให้มีผลในวินาทีต่อไปด้วยกรรมดีๆ

มนุษย์ทั้งหลายล้วนมีความพอใจ และความทะยานอยากที่ผัสสะทั้งหลายจับต้อง รับรส และได้ยิน เปรียบเหมือนบุรุษหวังซึ่งการเห็นของที่อยู่สูงของการได้ขึ้นนั่งชิงช้าสวรรค์ มีเสียงหัวเราะน่าสนุกของผู้ที่นั่งบนชิงช้านั้นอยู่เชิญชวน เร้าใจให้อยากเห็น มีเสียงป่าวประกาศจากคนขายสลากกระตุ้นอยู่ น่าเพลิดเพลิน จึงซื้อสลากแล้วขึ้นไปนั่งบนชิงช้าสวรรค์นั้น เพลิดเพลินอยู่ในห้องชิงช้าที่เป็นดั่งกรงขัง หมุนไปมา มองเห็นได้ถึงสิ่งที่อยู่ไกล แต่จับต้องไม่ได้ หมุนจากที่สูง แล้วลงสู่ที่ต่ำ จากที่ต่ำหมุนไปสู่ที่สูง หมุนไปมาอย่างนั้น นี่คือกามที่นำความเกิดแก่เจ็บตายที่สรรพสัตว์ทั้งหลายหลงเพลิดเพลินอยู่ว่าสนุกนัก ชอบใจนัก พากันตั้งหน้าตั้งตาหาทรัพย์มาแลกสลากเพื่อความสนุกเพลิดเพลินให้กับกามเคี้ยวกินอยู่ชาติแล้วภพเล่า แต่พระอริยเจ้าทั้งหลายพ้นจากการถูกกามเคี้ยวกินนั่นนานแล้ว เมื่อรู้ว่าต้องแลกมาด้วยกรงที่ขังไว้ เพียงเพื่ออยากดู และอยากเพลิดเพลินกับสิ่งที่ไม่เที่ยง หมนุวนให้น่าเบื่อหน่ายไม่รู้จบสิ้น แต่การคิดได้อย่างพระอริยทั้งหลายล้วนได้มาด้วยการเริ่มต้นเสมอ การเริ่มต้นนั้นยาก เพราะต้องอดทน ต้องฝืน ต้องฝึก และไม่ใช่ความสนุกอะไรเลย แต่จะได้ความสงบสุข ระงับจากทุกข์ และสุขที่ไม่ต้องอยู่ในกรงขังของที่นั่งบนชิงช้าสวรรค์ได้

มนุษย์เราพึ่งพายึดถือทรัพย์สินสิ่งของ ว่ามีคุณค่าสร้างตัวตนว่าสูงสุด แต่ไม่เคยคิดให้ไกลออกไปอีกนิดเดียวว่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้นยึดถือต่อไปในภพหน้าไม่ได้เลย เปรียบเหมือนอาหารราคาแพงมากมายที่ได้รับการปรุงแต่งว่าดีเลิศที่สุด แต่ไม่ว่าผู้ใดจะรับประทานเข้าไปแล้ว ก็ต้องถูกขับถ่ายออกมากลายเป็นของไร้ค่านำกลับมาทานอีกไม่ได้ฉันใด ทรัพย์สินสิ่งของ ก็มีประโยชน์เมื่อได้ถูกใช้บำรุงอัตภาพให้เป็นไปตามสถานภาพของตนและคนที่รักตามเวลาแห่งอายุขัยของตน ที่หมดประโยชน์อย่างสิ้นเชิงเมื่อได้ละสังขารไปแล้วฉันนั้น จะหาผู้นำติดตัวไปไม่ได้ด้วยเป็นสัจธรรมอันน่าระลึกเสมอ ทรัพย์สินสิ่งของจึงไม่ใช่สิ่งที่พึงยึดถือให้เป็นสรณะ ดังพระรัตนตรัยที่เป็นสรณะให้กับตนเอง และเป็นสรณะให้กับคนที่รักได้ แม้พระพุทธองค์ก็ทรงสรรเสริญพระรัตนตรัยให้เป็นสรณะของสรรพสัตว์ทั้งหลาย หาใช่ทรัพย์สินสิ่งของไม่ การให้ทานจึงเป็นลำดับแรกของการสร้างบารมี เพียงเพื่อให้มนุษย์คลายเสียซึ่งความยึดถือ ตรงตามสัมมาทิฏฐิว่าทรัพย์นั้นไม่ใช่สรณะ เพราะยิ่งยึดถือย่อมลุ่มหลงมัวเมาในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และด้วยการทำทานจึงนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติตนไปสู่ทางสายเอก สายเดียวกับพระอริยทั้งหลายที่ล่วงหน้าไปแล้ว ตามด้วยศีลเบื้องต้นห้าข้อจนกระทั่งถึงมหาศีลที่สำคัญ เพื่อสร้างกัลยาณมิตร กัลยาณธรรม ก่อกรรมสร้างปฏิรูปเทสะ หรือที่ ที่ควรเกิดด้วยกรรมอันทำต่อกันและกันไว้แล้วจากทาน และศีล มุ่งหน้าสู่ทางสายเดิม สายเดียวตามลำดับเพื่อความสงบสุข เมื่อกิจต่างๆเพื่อการเวียนว่ายตายเกิดได้กระทำจนหมดสิ้นแล้วนั่นเอง

กรรมดี เริ่มจากการพิจารณาถึงความน่าละอายที่จะทำต่อ ศีล๕ (หิริต่อศีล ๕) และความเกรงกลัวที่จะทำผิดศีล ๕ (โอตตัปปะต่อศีล ๕) ทั้งในที่ลับ (ในใจ) และที่แจ้ง (การกระทำด้วยการพูด และแสดงออก) แม้ว่าเมื่อวานหรือวินาทีที่แล้วจะได้คิด และกระทำสิ่งใดผิดพลาดไป แต่เริ่มใหม่ในขณะปัจจุบันได้เสมอ เหมือนเมื่อมนุษย์หกล้มแล้ว จะคลานไปอย่างนั้นก็ไม่ใช่ แต่จะลุกขึ้นเพื่อเดินต่อไป ฉันใดก็ฉันนั้น และทานคือการให้ หรือการเสียสละทรัพย์สินสิ่งของ แก่ผู้เดือดร้อนทุกข์ยากให้พวกเขาเหล่านั้นจะได้ยังอัตภาพในยามทุกข์นั้นให้ผ่านไปได้ เป็นการสร้างผลบุญให้กับผู้ให้ทานประการหนึ่ง และกำจัดความยึดถือในทรัพย์สินสิ่งของไปได้อีกประการหนึ่ง รวมความแล้วเมื่อมีน้อย หรือมากก็ตามแต่สถานภาพแล้วนำบริจาคออกเป็นทานแก่ผู้เดือดร้อนแล้ว มีแต่ได้บุญไม่เสียอะไรเลย

... ท่านทั้งหลาย กรรมดี หรือกรรมชั่ว อย่าประมาทว่ามีประมาณน้อยเลย เพราะน้ำทีละหยดย่อมทำให้ภาชนะที่ว่างเปล่าเต็มได้ฉันใด กรรมดี หรือกรรมชั่วที่ตนเองได้ทำได้สะสมไว้แล้ว ก็ก่อผลให้ได้เสวยสุข หรือทุกขเวทนา ฉันนั้น..ฯ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร