วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 05:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2012, 06:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 05:40
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงปู่ดูลย์ อตุโล :b8:
"คิดเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละถึงรู้"


เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเอง เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหา เสียเท่านั้น

พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา
เพราะว่า จิต นี้คือ พุทธะ นั่นเอง

เนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น
โดยภายในแล้วย่อมเหมือนกับไม้หรือก้อนหิน
คือภายในนั้นปราศจาก การเคลื่อนไหว
และโดยภายนอกแล้วย่อมเหมือนกับความว่าง

กล่าวคือ ปราศจากขอบเขตหรือสิ่งกีดขวางใดๆ
สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นฝ่ายนามธรรม หรือฝ่ายรูปธรรม
มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ ไม่มีรูปร่าง และไม่อาจจะหายไปได้เลย




แก้ไขล่าสุดโดย MiMee เมื่อ 03 เม.ย. 2012, 06:21, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 00:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อนเอ๋ย ท่านทราบธรรมใดก็กล่าวมาเถิด

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


" เพราะรู้ จึงรู้ว่า หยุด เพราะหยุด จึงหยุดว่า รู้ "

ไม่ถือมั่น ก็รู้ได้ ใช่เล่นลิ้น ปลิ้นไปมา :b16:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อคิดนั่นแหละจึงรู้ หากหยุดคิดอยู่เฉยๆก็ไม่รู้ เมื่อไม่คิดจะมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่ได้อย่างไร
คิดไปศึกษาไป จึงจะรู้ ธรรมชาติมนุษย์นั้นคิดอยู่ตลอดเวลาในขณะมีสติครบ จะหยุดคิดเมื่อไม่มีสติ
เช่น เมื่อนอนหลับ จึงหยุดคิด

ฮ๊าฮาเจ้ามะฮะ :b32: :b32: :b13: :b13:

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 23:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความรู้(สึกตัว=สติ) นี้มีพลัง พรากความคิด จิตไม่โดนลากไปมา พาทุกข์

เมื่อคิดก็รู้ เมื่อรู้ว่า(ก็แค่)คิด ไม่ติด ไม่ทุกข์ :b16:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 23:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฟุ้งซ่าน...นานแค่ไหน...ก็ไม่มีทางคิดได้

หยุดฟุ้งซ่าน..ได้เท่านั้น...ความคิดถึงจะแหลมคม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 23:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17
โพสต์: 260

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ฟุ้งซ่าน...นานแค่ไหน...ก็ไม่มีทางคิดได้

หยุดฟุ้งซ่าน..ได้เท่านั้น...ความคิดถึงจะแหลมคม


นี่จึงจะถูก

ฟุ้งซ่านไม่ฟ้งซ่าน มันก็คือคิด หากหยุดคิดมนุษย์ก็ไม่ต่างจากตอไม้ ไร้ชีวิตจิตใจ
มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีความคิด มีชีวิตจิตใจ ยังไง๊ ยังไง มันก็หยุดคิดไม่ได้ โอเค๊

อ้าว กบเฒ่า รูปภาพจิงป่ะ โอเค๊ ฝากไปบอก จขกท ด้วย โอเค๊

ฮาฮ๊าฮา โอเค๊ :b32: :b32:

.....................................................
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่ อยู่นา ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อ รักษา

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2012, 00:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฟุ้งซ่าน....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 11:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG0273A_resize.jpg
IMG0273A_resize.jpg [ 34.65 KiB | เปิดดู 7489 ครั้ง ]
ปลงซะ เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ฟุ้งซ่าน...นานแค่ไหน...ก็ไม่มีทางคิดได้

หยุดฟุ้งซ่าน..ได้เท่านั้น...ความคิดถึงจะแหลมคม


นี่จึงจะถูก

ฟุ้งซ่านไม่ฟ้งซ่าน มันก็คือคิด หากหยุดคิดมนุษย์ก็ไม่ต่างจากตอไม้ ไร้ชีวิตจิตใจ
มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีความคิด มีชีวิตจิตใจ ยังไง๊ ยังไง มันก็หยุดคิดไม่ได้ โอเค๊

อ้าว กบเฒ่า รูปภาพจิงป่ะ โอเค๊ ฝากไปบอก จขกท ด้วย โอเค๊

ฮาฮ๊าฮา โอเค๊ :b32: :b32:

:b12:
แสดงว่าคุณปลงซะ ยังไม่เคยไปถึงสภาวะที่รู้โดยไม่มีคิด
สิ่งใดที่รู้ด้วยใจ รู้ที่ใจ ไม่ต้องคิด สิ่งนั้นคือธรรม สัจจธรรม ปรมัตถธรรม
อยากรู้สิ่งที่รู้ได้โดยไม่ต้องคิดไหมครับคุณปลงซะ? ง้ายๆ ธรรมด้า ธรรมดา
:b12:
"มนุษย์หยุดคิดได้ มองข้างนอกเหมือนตอไม้ แต่ข้างในสุกใสสว่างโพลง
สงบและนิ่งยู่กับ "ผู้รู้"ไร้ยึดโยง ราบเรียบและเปล่าโล่ง ดุจดั่งโพรงที่สูญกลวง
คิดได้ ต้องหยุดได้ จึงใช่ชายชาติชั้นสรวง พ้นโลกและพ้นลวง ล่วงทุกข์ได้ ไร้มลทิน"

:b4:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 06:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 05:40
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น
โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว
เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว
สิ่งนั้นคือ ความว่าง เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกแห่ง สงบเงียบ และไม่มีอะไรเจือปน
มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง


เขาไม่รู้จัก แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต
เขาไม่รู้จัก นามรูป ปริจเฉทญาณ



แก้ไขล่าสุดโดย MiMee เมื่อ 04 เม.ย. 2012, 07:56, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กล่าวเหมือนฮวงโปแห่งนิกายเซ็นเลย :b16:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 22:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ใช่เหมือน...อย่างเดียว

แต่..เหมือนกันเป๊ะ...ทุกตัวอักษร

คุณธรรมของหลวงปู่...ไม่สงสัย :b8: :b8: :b8:

แต่...เสียงที่อ่านจิตคือพุทธะ...นี้สงสัย

บันทึกจากการเทศน์....หรือ..จากการอ่าน

แล้วใคร...อ่าน

แต่ก็ชั่งมันเถอะ....

งานของเรามันกองจนท่วมหัวแล้ว....ทุกข์ทั้งน้าน s002 s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2012, 07:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 05:40
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


เขาไม่รู้ มรรค ผล นิพพาน
เขาไม่รู้ ทุกขัง,อนิจจัง,อนัตตา




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 04:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 05:40
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉนคือ ...
ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบาก..ทั้งรู้ได้ช้า ๑
ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบาก..แต่รู้ได้เร็ว ๑
สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ปฏิบัติสะดวก..แต่รู้ได้ช้า ๑
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติสะดวก..ทั้งรู้ได้เร็ว ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ...
โดยปรกติเป็นคนมีราคะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติเป็นคนมีโทสะกล้าย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติเป็นคนมีโมหะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ของเขาปรากฏว่าอ่อน
เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะได้ช้า เพราะอินทรีย์ ๕ เหล่านี้อ่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า..ทุกขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้
โดยปรกติเป็นผู้มีราคะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติเป็นผู้มีโทสะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติเป็นผู้มีโมหะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ของเขาปรากฏว่าแก่กล้า
เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า..ทุกขาปฏิปทา-ขิปปาภิญญา ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้
โดยปรกติไม่เป็นคนมีราคะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติไม่เป็นผู้มีโทสะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติไม่เป็นผู้มีโมหะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าอ่อน
เขาย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้า เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า.. สุขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้
โดยปรกติไม่เป็นผู้มีราคะกล้า ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติเป็นผู้ไม่มีโทสะกล้า ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง
โดยปรกติเป็นผู้ไม่มีโมหะกล้า ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าแก่กล้า
เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะได้ฉับพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า..สุขาปฏิปทา-ขิปปาภิญญา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ๔ ประการเป็นไฉน คือ
ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ๑
ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ๑
สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ๑
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ๑ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม
มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูลมีความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี
พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวงว่าไม่เที่ยงอนึ่ง มรณสัญญาของเธอตั้งอยู่ดีแล้วในภายใน
เธอเข้าไปอาศัยธรรมอันเป็นกำลังของพระเสขะ ๕ ประการนี้ คือ สัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่าอ่อน
เธอได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้า เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ..ทุกขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม ... ฯลฯ
แต่อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือสัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่าแก่กล้า
เธอย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ..ทุกขาปฏิปทา-ขิปปาภิญญา ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่
บรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ไม่มีวิตกวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป
มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ
เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ดังนี้
บรรลุจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
เธออาศัยธรรมอันเป็นกำลังของพระเสขะ ๕ ประการนี้ คือ สัทธาหิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาอยู่
อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่าอ่อน
เธอบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้าเพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า .. สุขาปฏิปทา-ทันธาภิญญา ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ
เธออาศัยธรรมอันเป็นกำลังของพระเสขะ๕ ประการนี้ คือ สัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา
ทั้งอินทรีย์ ๕ ประการนี้คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่าแก่กล้า
เธอย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า.. สุขาปฏิปทา-ขิปปาภิญญา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ฯ

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่
ได้ปราศรัยกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง
ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว

ท่านพระสารีบุตร ได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า……
ดูกรท่านผู้มีอายุโมคคัลลานะ… บรรดาปฏิปทา ๔ ประการนี้
จิตของท่านหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะอาศัยปฏิปทาข้อไหน?

ท่านพระมหาโมคคัลลานะตอบว่า …..ดูกรท่านผู้มีอายุสารีบุตร ปฏิปทา ๔ประการนี้ ฯลฯ
บรรดาปฏิปทา ๔ ประการนี้
จิตของผมหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะอาศัย ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯ

ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่
ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว

ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ….
ดูกรท่านผู้มีอายุสารีบุตร …บรรดาปฏิปทา ๔ ประการนี้
จิตของท่านหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะอาศัยปฏิปทาข้อไหน?

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุโมคคัลลานะ ปฏิปทา ๔ ประการนี้ ฯลฯ
บรรดาปฏิปทา ๔ ประการนี้
จิตของผมหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะอาศัย..สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯ




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกบ ไม่สงสัยคุณธรรมหลวงปู่

แล้วเพราะอะไรถึงไม่สงสัยครับ

คุณธรรมหลวงปู่ที่คุณไม่สงสัยนั้น คือคุณธรรมอะไรเหรอครับ

:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 81 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร