วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 03:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2012, 11:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่ทุกท่าน :b8:
พอดีหลายวันก่อนได้มีโอกาสสนทนาเรื่องการปฏิบัติธรรมกับเพื่อนร่วมงานที่เขาอยากหันมาปฏิบัติธรรมดูบ้างแต่เขาไม่มีความมั่นใจและความรู้ความเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมมีผลดียังไง...หัวข้อที่คุยกันมันก็มีหลายๆเรื่องแต่โดยรวมๆแล้วเหมือนเขาสนใจผลที่เป็นแนวอิทธิฤทธิ์มากกว่า แต่ผมก็ไม่ได้สนองตอบความอยากรู้ตรงนั้นของเขา บอกเขาถึงผลดีที่เกิดขึ้นกับกายและใจผู้ปฏิบัติว่าเป็นเช่นไร หนึ่งในเรื่องนั้นก็เลยเป็นการยกเรื่อง ธรรมโอสถ มาเล่าให้เขาฟังว่าเป็น ยาดีใช้รักษาความเจ็บป่วยทางกายก็ได้และที่ดีเลิศคือใช้รักษาโรคทางใจได้ผลชงัดนัก...โดยยกเรื่องของตัวเองที่ประสบมาบอกเขาไปดังนี้...
**เมื่อประมาณปลายปีที่แล้วผมป่วยเป็นท้องร่วงขึ้นมา แล้วถ่ายท้องบ่อยมากเป็นหลายสิบครั้ง จนร่างกายมันทรมานอ่อนแรงและมีอาการหนาวสั่นมากๆขนาดใส่เสื้อผ้าหนาๆห่มผ้าห่มสามชั้นร่างกายมันก็ยังหนาวสั่นอยู่ไม่ลดลงเลย...จนถึงจุดหนึ่งความคิดที่ว่าน่าจะลองใช้ธรรมโอสถที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเคยใช้แล้วได้ผลมันก็แวบขึ้นมา ก็เลยตั้งใจกำหนดพิจารณาเวทนาที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นที่ไหนกันแน่ที่กายหรือที่ใจ สักพักใจก็เริ่มสงบขึ้นมาจึงพอรู้ตัวบ้างว่าเวทนาที่เกิดขึ้นตอนนี้มันเกิดขึ้นทั้งกายและใจ ที่กายนั้นเป็นเพราะธาตุขันธ์มันแปรปวน แต่ที่ใจนั้นเพราะจิตสังขารมันไปยึดมั่น จากนั้นใจมันก็เริ่มคลายออก เหลือแต่ความหนาวสั่นและปวดท้องจิ๊ดๆทิ่มขึ้นมา จึงได้กำหนดจิตพิจารณาเฉพาะกายโดยลองแยกกายออกเป็นชิ้น คือแยกเป็นแขนซ้าย-ขวา แยกเป็นขาซ้าย-ขวา แยกหัวแยกตัวออกมาดูว่าตรงไหนที่มันปวดมันหนาว ถึงจุดนี้เวทนามันก็ลดลงบ้างเล็กน้อย จึงได้พิจารณาใหม่เป็นพิจารณาตามอาการ 32 แยกออกมาจจากภายนอกเข้าไปหาภายใน จากหนังหุ้มกระดูกจนเหลือแต่กระดูก อาการเวทนามันก็หายไปเรื่อยๆ สุดท้ายที่จำได้คือกำหนดพิจารณาแยกกายออกโดยความเป็นธาตุสี่ พิจารณาจนกายนี้ไม่มี หลังจากนั้นสติผมมันก็หายไปมารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตี4-5 และอาการป่วยที่มีก็หายไปเกือบหมดเหลือเพียงปวดท้องนิดๆหน่อยๆ ทั้งๆที่ไม่ได้พึ่งยาหมอเลย
พอเล่าจบเพื่อนผมก็ถามขึ้นว่า...มีที่ยิ่งกว่านี้มั้ยแบบมองเห็นอนาคตน่ะมีมั้ย...แล้วเราก็สนทนากันเรื่องอื่นต่ออีกพอสมควรครับ
**แล้วพี่ๆที่ลานธรรมจักรล่ะครับมีประสบการณ์ของธรรมโอสถกันบ้างมั้ยครับ ถ้ายังไงก็ขอแบ่งบันประสบการณ์กันบ้างนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2012, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมไม่เอา วิธีพิจารณาแบบนี้ มาใช้ตอนที่ร่างกายตัวเองยังแข็งแรงอยู่ล่ะ จะได้ร้ว่าผลลัพธ์มันต่างกันไหมกับตอนที่ป่วยหนัก หมวดกาย32 กับเวทนาในเวทนา มันเปนหมวดที่ช่วยในการพิจารณากายได้เปนอย่างดีอยู่แล้ว หากไม่พิจารณาหมวดกาย หรือพิจารณาจนพอสมควรแล้วปล่อยวางไปจิตจะนิ่งรวมเข้าสมาธิฐานใหญ่ต่อไป ก้าวให้สงบเข้าไปจนจิตว่าง แล้วถอยสมาธิออกมาพิจารณากาย ทำสลับกันไปกันมา เปนอุณาโลม-ปฏิโลม ย่อมได้ สมาธิและปัญญาที่เปนของจริง สมาธิทำให้เกิดฌานได้ ก้ทำให้เกิดปัญญาได้เช่นกัน แต่ในสายพุทโธ จะแยกคำว่า "สมาธิและฌาน" ออกจากกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2012, 13:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
น่าอนุโมทนาในธรรมโอสถ ที่คุณลูกพระป่าค้นพบด้วยปฏิบัติการของตน

ธรรมโอสถมี 3 ขนาน

ขนานที่ 1 หลบทุกข์ เป็นแบบที่คุณลูกพระป่าใช้อยู่นี้ คือใช้เหตุใช้ผล ค้นหาตัวผู้ทุกข์เจ็บปวด หรือหลบไปสนใจอยู่กับการแยกธาตุ พิจารณาธรรมอื่น ขนานนี้คล้ายการกินยาแก้ปวด เมื่อยาแก้ปวดออกฤทธิ์ทุกข์จากความเจ็บปวดจะหายไปชั่วคราว

ขนานที่ 2 เผาโรคด้วยพลังจิต วิธีนี้ใช้จิตเพ่งลงไปในอาการปวดเจ็บนั้น อาจบริกรรมช่วยว่า "เจ็บหนอ ๆ ๆ ๆ "ไปจนความเจ็บหาย หรือเพ่งกสิณไฟ ขึ้นมาเผาลนบริเวณที่เจ็บ วิธีนี้อาจสามารถเผาเซลมะเร็งให้ยุบฝ่อลงได้

ขนานที่ 3 ขุดรากถอนโคนด้วยพลังวิปัสสนา วิธีนี้ ตัวอย่าง เมื่อความเจ็บเกิดขึ้นที่กายเช่นที่ ขา ให้เอาสติปัญญานิ่งรู้นิ่งสังเกตความรู้สึกเจ็บนั้นให้ดี จะพบว่าผู้ทุกทรมาณเพราะความเจ็บนั้นอยู่ที่ใจ นิ่งรู้นิ่งสังเกตต่อไปจะพบตัวผู้เจ็บที่อยู่ในใจ ซึ่งเป็นนามธรรม นิ่งรู้นิ่งสังเกตตัวผู้เจ็บที่เป็นนามธรรมนั้นต่อไป จะเห็นความดิ้นรนของผู้เจ็บดิ้นรนสั่งการให้กายและใจทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถหลบความเจ็บทุกข์
นิ่งรู้นิ่งสังเกตต่อไปโดยไม่ยอมทำอะไรตามที่ผู้เจ็บสั่ง จนถึงที่สุดแห่งที่สุด จะได้เห็นสภาวะที่ตัวผู้เจ็บดับขาดหายไปจากใจ ใจจะเข้าถึงสภาวะไร้ตัวผู้เจ็บแบบชั่วคราว จิตใจจะได้พบความสุขเย็นแบบชั่วคราว
หากทำได้บ่อยๆอย่างนี้และทุกครั้งที่มีเวทนาความเจ็บทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ ไม่ช้าจะถึงวันที่ได้เห็นตัวผู้เจ็บ ตายขาดไปจากใจจริงๆ หลังจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างจะไม่มีความหมาย จะไม่ทำให้ทุกข์ทรมาณหรือกลัวตายได้อีกต่อไป

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2012, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2011, 22:53
โพสต์: 705

แนวปฏิบัติ: รู้สึกตัว
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อสมัยบวชเณรปี๒๕๓๔เคยเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือกับพระสามองค์และโยมผ้าขาวถือศีลแปดอีกคนวันหนึ่งเดินอากาศร้อนและรู้สึกเพลียโยมผ้าขาวถวายนมข้น ด้วยความกระหายจึงทานไปจำนวนมากคืนนั้นจึงท้องเสียพอรุ่งเช้า ต้องเดินธุดงค์ผ่านทุ่งนาป่าเขาจึงเป็นไข้หนาวสั่น กินยาแก้ไ้ข้และพยายามฝืนใจเดินจนกลางวันมาพักที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง จึงกำหนดจิตใจให้แน่วแน่ตั้งสติรู้ดูเวทนาอาการไข้พิจารณา ดูความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ของกายนี้จนหลับไป เมื่อตื่นมาอาการไข้หายเป็นปลิดทิ้ง และไม่ป่วยเลยตลอดการเิดินธุงค์ครั้งนั้น และต่อมาจนปัจจุบัน เมื่อเจ็บไข้หรือเกิดทุกข์เวทนาเจ็บปวดก็กำหนดรู้เวทนารู้ทุกข์อย่างนี้ จะกินยาเท่าที่จำเป็นและไม่เคยป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาลเลย :b16:

.....................................................
"ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องทำเอง รู้เอง เห็นเอง เข้าใจเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2012, 15:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2012, 21:18
โพสต์: 18


 ข้อมูลส่วนตัว


ดีจังคะที่อ่านเจอจะลองเอาไปใช้เวลาปวดหัวไมเกรน เพราะทรมานมากๆ แล้วความรู้เรื่องการปฏิบัติก็มีน้อยไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า จะลองพยายามทำดูนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2012, 02:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตลกดีครับ จะเขียนอะไรสักเรื่อง ก็ไม่พยายามศึกษาเนื้อหา
สิ่งที่ตัวเอามาเป็น หลักหรือประเด็นให้ดีเสียก่อน

ไอ้ธรรมโอสถที่ใช้แก้เวทนาเขาต้องใช้..
สมถกรรมฐาน

แต่ไอ้ที่จ้อมามันเป็นวิปัสสนากรรมฐาน แถมที่จ้อมาก็ผิดๆถูกๆ
ประเภทนึกอะไรได้ก็ใส่มา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2012, 23:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


อินทรีย์5 เขียน:
ทำไมไม่เอา วิธีพิจารณาแบบนี้ มาใช้ตอนที่ร่างกายตัวเองยังแข็งแรงอยู่ล่ะ จะได้ร้ว่าผลลัพธ์มันต่างกันไหมกับตอนที่ป่วยหนัก หมวดกาย32 กับเวทนาในเวทนา มันเปนหมวดที่ช่วยในการพิจารณากายได้เปนอย่างดีอยู่แล้ว หากไม่พิจารณาหมวดกาย หรือพิจารณาจนพอสมควรแล้วปล่อยวางไปจิตจะนิ่งรวมเข้าสมาธิฐานใหญ่ต่อไป ก้าวให้สงบเข้าไปจนจิตว่าง แล้วถอยสมาธิออกมาพิจารณากาย ทำสลับกันไปกันมา เปนอุณาโลม-ปฏิโลม ย่อมได้ สมาธิและปัญญาที่เปนของจริง สมาธิทำให้เกิดฌานได้ ก้ทำให้เกิดปัญญาได้เช่นกัน แต่ในสายพุทโธ จะแยกคำว่า "สมาธิและฌาน" ออกจากกัน

สวัสดีครับพี่อินทรีย์5 :b8:
ผมขออนุโมทนาและขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำของพี่เมตตาต่อผม...ซึ่งมันสะกิดใจผมมากเลยครับ เพราะมันเป็นความจริงที่ว่าตัวผมในตอนนี้ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติให้เต็มที่ ไม่เดินหน้าไปให้สุดจริงๆ...ผมเพียงพยายามทรงไว้รักษาไว้ไม่ให้เกิดความเสื่อมที่จุดนี้เท่านั้น ไม่ได้พยายามที่จะเจริญภาวนาให้ก้าวหน้าไปกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้จริงๆพอจะกำลังก้าวหน้าผมก็จะถอยกลับมา เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าถ้าเกินจุดที่ผมอยู่ตอนนี้ไป ผมคงจะพุ่งไปแต่ข้างหน้าจนไม่สนใจหันกลับมามองข้างหลังอีก...และทำให้คนที่อยู่ข้างหลังผมต้องลำบากเพราะทิ้งพวกเค้าไป ตอนนี้เลยขอทำหน้าที่ลูกชาย ลูกเขย พ่อและสามีให้กับครอบครัวให้ดีที่สุดก่อนครับ แต่ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ต่อหน้าพระประธานในวันที่สึกไว้แล้วว่า ถ้าวันข้างหน้าผมสามารถปลีกตัวออกมาโดยที่คนที่อยู่ข้างหลังไม่ลำบากเดือดร้อนอะไรแล้ว ผมจะกลับมาบวชอีกครั้งและไม่สึกอีกเลย...ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำของพี่อินทรีย์5อีกครั้งครับ
ขอบคุณครับ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกพระป่า เมื่อ 20 เม.ย. 2012, 00:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2012, 23:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
เมื่อสมัยบวชเณรปี๒๕๓๔เคยเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือกับพระสามองค์และโยมผ้าขาวถือศีลแปดอีกคนวันหนึ่งเดินอากาศร้อนและรู้สึกเพลียโยมผ้าขาวถวายนมข้น ด้วยความกระหายจึงทานไปจำนวนมากคืนนั้นจึงท้องเสียพอรุ่งเช้า ต้องเดินธุดงค์ผ่านทุ่งนาป่าเขาจึงเป็นไข้หนาวสั่น กินยาแก้ไ้ข้และพยายามฝืนใจเดินจนกลางวันมาพักที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง จึงกำหนดจิตใจให้แน่วแน่ตั้งสติรู้ดูเวทนาอาการไข้พิจารณา ดูความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ของกายนี้จนหลับไป เมื่อตื่นมาอาการไข้หายเป็นปลิดทิ้ง และไม่ป่วยเลยตลอดการเิดินธุงค์ครั้งนั้น และต่อมาจนปัจจุบัน เมื่อเจ็บไข้หรือเกิดทุกข์เวทนาเจ็บปวดก็กำหนดรู้เวทนารู้ทุกข์อย่างนี้ จะกินยาเท่าที่จำเป็นและไม่เคยป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาลเลย :b16:

สวัสดีครับพี่ขณะจิต :b8:
เป็นความจริงตามที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้ว่า จิตนี้ เวลาที่มันทรมานจนใกล้ตายเฉียดตายแล้วมันจะกลัวตาย...พอมันกลัวตายแล้วทีนี้มันไม่ดื้อ เราจะใช้จะสั่งให้มันไปทำอะไรมันก็ทำ ทำแบบไม่วอกแวกไม่สับส่าย พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านจึงอบรมจิตโดยการทรมานธาตุขันธ์ตนเองตลอดระยะความเพียรเสมอครับ ขออนุโมทนากับประสบการณ์ที่พี่นำมาร่วมแบ่งบันครับ
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2012, 20:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


cool
โฮฮับ เขียน:
ตลกดีครับ จะเขียนอะไรสักเรื่อง ก็ไม่พยายามศึกษาเนื้อหา
สิ่งที่ตัวเอามาเป็น หลักหรือประเด็นให้ดีเสียก่อน

ไอ้ธรรมโอสถที่ใช้แก้เวทนาเขาต้องใช้..
สมถกรรมฐาน

แต่ไอ้ที่จ้อมามันเป็นวิปัสสนากรรมฐาน แถมที่จ้อมาก็ผิดๆถูกๆ
ประเภทนึกอะไรได้ก็ใส่มา

cool
คุณโฮ...มีความสังเกตและวิจารณญาณอันหยาบ เพราะหย่อนการปฏิบัติและติดแน่นในปริยัติ จึงมีโมหะมาบังธรรม ลองอ่านซ้ำใหม่อีกหลายๆรอบแล้วสังเกต พิจารณาให้ดี จับประเด็นออกมาให้ได้ ว่าธรรมโอสถทั้ง 3 ขนานนั้นแตกต่างกันอย่างไร?
ถ้ายังจับประเด็นไม่ได้ อธิบายความไม่เป็นเที่ยวหน้าจึงจะเฉลยให้ฟังครับ

onion
ธรรมโอสถมี 3 ขนาน

ขนานที่ 1 หลบทุกข์ เป็นแบบที่คุณลูกพระป่าใช้อยู่นี้ คือใช้เหตุใช้ผล ค้นหาตัวผู้ทุกข์เจ็บปวด หรือหลบไปสนใจอยู่กับการแยกธาตุ พิจารณาธรรมอื่น ขนานนี้คล้ายการกินยาแก้ปวด เมื่อยาแก้ปวดออกฤทธิ์ทุกข์จากความเจ็บปวดจะหายไปชั่วคราว

ขนานที่ 2 เผาโรคด้วยพลังจิต วิธีนี้ใช้จิตเพ่งลงไปในอาการปวดเจ็บนั้น อาจบริกรรมช่วยว่า "เจ็บหนอ ๆ ๆ ๆ "ไปจนความเจ็บหาย หรือเพ่งกสิณไฟ ขึ้นมาเผาลนบริเวณที่เจ็บ วิธีนี้อาจสามารถเผาเซลมะเร็งให้ยุบฝ่อลงได้

ขนานที่ 3 ขุดรากถอนโคนด้วยพลังวิปัสสนา วิธีนี้ ตัวอย่าง เมื่อความเจ็บเกิดขึ้นที่กายเช่นที่ ขา ให้เอาสติปัญญานิ่งรู้นิ่งสังเกตความรู้สึกเจ็บนั้นให้ดี จะพบว่าผู้ทุกทรมาณเพราะความเจ็บนั้นอยู่ที่ใจ นิ่งรู้นิ่งสังเกตต่อไปจะพบตัวผู้เจ็บที่อยู่ในใจ ซึ่งเป็นนามธรรม นิ่งรู้นิ่งสังเกตตัวผู้เจ็บที่เป็นนามธรรมนั้นต่อไป จะเห็นความดิ้นรนของผู้เจ็บดิ้นรนสั่งการให้กายและใจทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถหลบความเจ็บทุกข์
นิ่งรู้นิ่งสังเกตต่อไปโดยไม่ยอมทำอะไรตามที่ผู้เจ็บสั่ง จนถึงที่สุดแห่งที่สุด จะได้เห็นสภาวะที่ตัวผู้เจ็บดับขาดหายไปจากใจ ใจจะเข้าถึงสภาวะไร้ตัวผู้เจ็บแบบชั่วคราว จิตใจจะได้พบความสุขเย็นแบบชั่วคราว
หากทำได้บ่อยๆอย่างนี้และทุกครั้งที่มีเวทนาความเจ็บทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ ไม่ช้าจะถึงวันที่ได้เห็นตัวผู้เจ็บ ตายขาดไปจากใจจริงๆ หลังจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างจะไม่มีความหมาย จะไม่ทำให้ทุกข์ทรมาณหรือกลัวตายได้อีกต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2012, 21:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อความเจ็บเกิดขึ้น ให้ทำความรู้สึกตัว รู้อยู่ จะพบ

ผู้ดู กับ สิ่งที่ถูกดู
อาการของสิ่งที่ถูกดู
กริยาของสิ่งที่เข้าไปดู

และ สิ่งที่เห็นสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2012, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ตลกดีครับ จะเขียนอะไรสักเรื่อง ก็ไม่พยายามศึกษาเนื้อหา
สิ่งที่ตัวเอามาเป็น หลักหรือประเด็นให้ดีเสียก่อน

ไอ้ธรรมโอสถที่ใช้แก้เวทนาเขาต้องใช้..
สมถกรรมฐาน

แต่ไอ้ที่จ้อมามันเป็นวิปัสสนากรรมฐาน แถมที่จ้อมาก็ผิดๆถูกๆ
ประเภทนึกอะไรได้ก็ใส่มา


ที่ จขกท....จ้อมา...นั้น...ไม่ผิดหรอก :b17:

ที่โฮว่า...ต้องใช้สมถะ...ก็ไม่ผิด :b4:

และที่โฮว่า...ที่จ้อมาเป็นวิปัสสนากรรมฐาน...ก็ไม่ผิดอีก.. :b32:

แต่ที่ไม่มีใครคิด..คือ...ผลที่ท่าน จขกท..ทำ...คือได้สมถะ

ประเภท...ปัญญาอบรมสมาธิ...

จ๊ะ.. rolleyes rolleyes

อิ๊ก...เอิ๊ก... :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2012, 21:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:

**แล้วพี่ๆที่ลานธรรมจักรล่ะครับมีประสบการณ์ของธรรมโอสถกันบ้างมั้ยครับ ถ้ายังไงก็ขอแบ่งบันประสบการณ์กันบ้างนะครับ
ขอบคุณครับ :b8:


มีเพียบ...

ตัวเองก็มี...

คุณแม่ก็มี....

คุณป้า...ก็มี...

ฯลฯ..

เอิ๊ก...เอิ๊ก... :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2012, 21:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
น่าอนุโมทนาในธรรมโอสถ ที่คุณลูกพระป่าค้นพบด้วยปฏิบัติการของตน

ธรรมโอสถมี 3 ขนาน

onion

ภาคทฤษฎี...นี้เจ่ง...ง..ะ

ทำให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร...มากขึ้น
:b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2012, 21:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เมื่อความเจ็บเกิดขึ้น ให้ทำความรู้สึกตัว รู้อยู่ จะพบ

ผู้ดู กับ สิ่งที่ถูกดู
อาการของสิ่งที่ถูกดู
กริยาของสิ่งที่เข้าไปดู

และ สิ่งที่เห็นสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด


ภาคปฏิบัติ...นี้ก็เจ่ง...ง...ะ..

ลึก...ลึก....

แม้จะอธิบายออกมายากเต็มที.. :b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2012, 03:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

คุณโฮ...มีความสังเกตและวิจารณญาณอันหยาบ เพราะหย่อนการปฏิบัติและติดแน่นในปริยัติ จึงมีโมหะมาบังธรรม ลองอ่านซ้ำใหม่อีกหลายๆรอบแล้วสังเกต พิจารณาให้ดี จับประเด็นออกมาให้ได้ ว่าธรรมโอสถทั้ง 3 ขนานนั้นแตกต่างกันอย่างไร?
ถ้ายังจับประเด็นไม่ได้ อธิบายความไม่เป็นเที่ยวหน้าจึงจะเฉลยให้ฟังครับ

onion
ธรรมโอสถมี 3 ขนาน

ขนานที่ 1 หลบทุกข์ เป็นแบบที่คุณลูกพระป่าใช้อยู่นี้ คือใช้เหตุใช้ผล ค้นหาตัวผู้ทุกข์เจ็บปวด หรือหลบไปสนใจอยู่กับการแยกธาตุ พิจารณาธรรมอื่น ขนานนี้คล้ายการกินยาแก้ปวด เมื่อยาแก้ปวดออกฤทธิ์ทุกข์จากความเจ็บปวดจะหายไปชั่วคราว

ขนานที่ 2 เผาโรคด้วยพลังจิต วิธีนี้ใช้จิตเพ่งลงไปในอาการปวดเจ็บนั้น อาจบริกรรมช่วยว่า "เจ็บหนอ ๆ ๆ ๆ "ไปจนความเจ็บหาย หรือเพ่งกสิณไฟ ขึ้นมาเผาลนบริเวณที่เจ็บ วิธีนี้อาจสามารถเผาเซลมะเร็งให้ยุบฝ่อลงได้

ขนานที่ 3 ขุดรากถอนโคนด้วยพลังวิปัสสนา วิธีนี้ ตัวอย่าง เมื่อความเจ็บเกิดขึ้นที่กายเช่นที่ ขา ให้เอาสติปัญญานิ่งรู้นิ่งสังเกตความรู้สึกเจ็บนั้นให้ดี จะพบว่าผู้ทุกทรมาณเพราะความเจ็บนั้นอยู่ที่ใจ นิ่งรู้นิ่งสังเกตต่อไปจะพบตัวผู้เจ็บที่อยู่ในใจ ซึ่งเป็นนามธรรม นิ่งรู้นิ่งสังเกตตัวผู้เจ็บที่เป็นนามธรรมนั้นต่อไป จะเห็นความดิ้นรนของผู้เจ็บดิ้นรนสั่งการให้กายและใจทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถหลบความเจ็บทุกข์
นิ่งรู้นิ่งสังเกตต่อไปโดยไม่ยอมทำอะไรตามที่ผู้เจ็บสั่ง จนถึงที่สุดแห่งที่สุด จะได้เห็นสภาวะที่ตัวผู้เจ็บดับขาดหายไปจากใจ ใจจะเข้าถึงสภาวะไร้ตัวผู้เจ็บแบบชั่วคราว จิตใจจะได้พบความสุขเย็นแบบชั่วคราว
หากทำได้บ่อยๆอย่างนี้และทุกครั้งที่มีเวทนาความเจ็บทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ ไม่ช้าจะถึงวันที่ได้เห็นตัวผู้เจ็บ ตายขาดไปจากใจจริงๆ หลังจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างจะไม่มีความหมาย จะไม่ทำให้ทุกข์ทรมาณหรือกลัวตายได้อีกต่อไป

เพ้อเจ้อไม่ได้เรื่อง ฟุ้งซะ ผมว่าอีกหน่อยโสกะก็สามารถชุบชีวิตคนตายได้ :b32:

ความทุกข์ของเรามันเกิดจากรูปนามขันธ์ห้า ที่เราเรียกความปวดนั้นน่ะ
ความจริงแล้วมันก็ผัสสะที่มากระทบ แล้วไปปรุงแต่งจนเกิดทุกข์

การรับรู้ของเรามีทั้งหมดหกทาง ถ้าเราเลือกรับรู้ผัสสะตัวไหน
การปรุงแต่งก็จะเกิดกับผัสสะตัวนั้น เช่นกันถ้าเราไม่รับรู้ผัสสะตัวที่ปวดแต่ไปเลือก
รับรู้ผัสสะตัวอื่นแทน ความปวดก็จะไม่เกิดหรือเกิดแต่เราไม่รู้

หลักการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนคือ เมื่อเกิดความทุกข์จากความเจ็บปวด
ก็ให้เราทำวิปัสสนา พิจารณาหาเหตุที่มาแห่งทุกข์ ด้วยการพิจารณารูปนามขันธ์ห้า
หลักการทำวิปัสสนานี้ก็เพื่อไม่ให้เราไปยึดมั่นถือมั่นในตัวทุกข์

เมื่อหาเหตุแห่งทุกข์จนพบแล้ว ก็ให้ดับทุกข์ด้วยการทำสมถกรรมฐาน
สิ่งนี้เป็นการระงับความเจ็บปวดที่ได้รับจากผัสสะ

ที่ผมพูดมาเป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
แต่สิ่งที่คุณโสกะพูด คล้ายกับคนทรงจ้าว ถึงจะไม่ใช่ซะทีเดียว
แต่ก็ใกล้เคียง :b9:
กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ตลกดีครับ จะเขียนอะไรสักเรื่อง ก็ไม่พยายามศึกษาเนื้อหา
สิ่งที่ตัวเอามาเป็น หลักหรือประเด็นให้ดีเสียก่อน
ไอ้ธรรมโอสถที่ใช้แก้เวทนาเขาต้องใช้..
สมถกรรมฐาน
แต่ไอ้ที่จ้อมามันเป็นวิปัสสนากรรมฐาน แถมที่จ้อมาก็ผิดๆถูกๆ
ประเภทนึกอะไรได้ก็ใส่มา

ที่ จขกท....จ้อมา...นั้น...ไม่ผิดหรอก :b17:
ที่โฮว่า...ต้องใช้สมถะ...ก็ไม่ผิด :b4:
และที่โฮว่า...ที่จ้อมาเป็นวิปัสสนากรรมฐาน...ก็ไม่ผิดอีก.. :b32:
แต่ที่ไม่มีใครคิด..คือ...ผลที่ท่าน จขกท..ทำ...คือได้สมถะ
ประเภท...ปัญญาอบรมสมาธิ...
จ๊ะ.. rolleyes rolleyes
อิ๊ก...เอิ๊ก... :b12:

ทุกคนถูกหมด มีผิดอยู่คนเดียวก็ กะลาไง :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 60 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร