วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 11:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2012, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ่อมตนทุกอาการที่น่าเลื่อมใส การวางตนกับพระเณรในวัด ท่าน
ปฏิบัติได้ดี
พระฝรั่งที่อยู่ในวัดนั้นแทบทุกองค์ชอบอดอาหารกันโดยมิได้
ชักชวน เห็นหมู่เพื่อนอดท่านก็ถาม เมื่อได้ความแล้วท่านก็อด
ทดลองดูบ้าง ต่อมาเลยเห็นท่านอดกันเรื่อย ๆ เมื่อถามก็ตอบว่า
ภาวนาดีกว่าปกติ จึงชอบอดบ่อยเรื่อยมา ยิ่งในพรรษาซึ่งเป็น
เวลาว่างบ้าง และเป็นเวลาท่านเร่งความเพียรในวัดนั้น บางวันแทบ
ไม่มีพระออกบิณฑบาตฉันกัน เพราะเมื่อไม่ฉันก็ไม่จำเป็นต้องไป
ต่างองค์ต่างอดองค์ละ ๔-๕ วันบ้าง ๗-๘ วันบ้าง ๑๑-๑๒ วัน
บ้าง ครึ่งเดือนบ้าง ค่อนเดือนบ้าง จนออกพรรษา ทั้งพระไทย
พระเทศอดเหมือนกันและได้องค์ละหลาย ๆ วันเหมือนกัน ที่วัด
นั้นในพรรษา ๗ วันประชุมธรรมกันหนหนึ่งตลอดไปจนออกพรรษา
เพื่อเป็นการส่งเสริมความเพียรทางใจให้ก้าวหน้าตามโอกาสอำนวย
ออกพรรษาแล้วงานยุ่งมากเกี่ยวกับประชาชนไปหามาสู่เพื่ออรรถ
เพื่อธรรม ศีลทานการกุศลต่างๆ ซึ่งเป็นนิสัยของคนไทยชาวพุทธ
เคยปฏิบัติกันมาแต่ปู่ย่าตายาย และถือเป็นจิตใจของชาวพุทธตลอด
มา จึงน่าอนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะกิจประเภทนี้นอกจาก
จะเป็นกุศลผลบุญแก่ผู้บำเพ็ญแล้ว ยังเป็นการวางรากฐานอันดีแก่
อนุชนรุ่นหลังได้เจริญรอยตามด้วย
วิธีการฝึกทรมานตนของพระธุดงคกรรมฐานสายท่าน
อาจารย์มั่นมีมาก และต่าง ๆ กันเป็นราย ๆ การเขียนก็จะต้อง
แยกแยะออกเป็นแขนง ตามรายที่มีวิธีฝึกอบรมต่างกัน เพื่อท่าน
ผู้อ่านด้วยความสนใจจะถือเอาประโยชน์จากวิธีการของท่าน ที่เห็น
ว่าเหมาะกับจริตนิสัยและเพศวัยของตน บางท่านนับแต่เริ่มออกปฏิบัติกรรมฐานด้วยความสนใจเป็นเวลานานแรมปี จิตไม่เคยแสดง
ความสงบลงเป็นหนึ่งให้เห็นเลยก็มี พอได้รับคำแนะนำอุบายการฝึก
ทรมานด้วยวิธีต่าง ๆ จากครูอาจารย์และเพื่อนสหธรรมิกด้วยกัน
ยึดไปทำทดลองดูตามวิธีที่ตนชอบ จิตได้รับความสงบเย็นเป็นลำดับ
และตั้งรากฐานจิตใจลงได้มั่นคง เพราะอุบายการฝึกอบรมที่ถูกกับ
จริตของตนก็มี ดังท่านที่ทำจิตให้รวมลงได้ขณะกลัวเสียงเสือกระหึ่ม
ที่บริเวณที่พักซึ่งไม่น่าเป็นไปได้
ฉะนั้นจริตกับธรรมเครื่องอบรมจึงเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็น
กับผู้บำเพ็ญเป็นราย ๆ ไป เช่นรายที่จิตผาดโผนไม่ค่อยลงครู
อาจารย์หรือใครง่าย ๆ อย่างนี้ โดยมากรายนั้นต้องเป็นอาจารย์
ฝึกทรมานตนเอง ด้วยอุบายวิธีที่เผ็ดร้อนเป็นพิเศษแฝงไปด้วย
รายเช่นนั้นท่านชอบเข้าไปอยู่ในที่คับขัน อด ๆ อยาก ๆ ด้วย
ปัจจัยสี่ อดบ้างอิ่มบ้าง ฝืดๆ เคืองๆ และชอบอยู่ในสถานที่น่ากลัว
มากเพื่อทรมานตน เพราะคนเราทุกเพศทุกวัยมีนิสัยชอบบังคับ
มาประจำกำเนิด จะปล่อยให้เจริญรุ่งเรืองเองไม่มีทางเป็นไปได้
ต้องทั้งตัวเองทั้งผู้อื่นช่วยบังคับเพื่อความดีทั้งหลาย จะเห็นได้จาก
การดุด่าขู่เข็ญของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติต่อเรา ย่อมมีคำ
ดุด่าขู่เข็ญเป็นคู่เคียงกับธรรมทั้งหลายที่นำมาอบรมสั่งสอนผู้อยู่ใน
ความปกครองเสมอไป จะมีแต่โอวาทที่ไพเราะอ่อนหวานอย่าง
เดียวย่อมไม่เหมาะกับเหตุการณ์เสมอไป เพราะบางรายอาจชอบรส
เผ็ดรสเค็มบ้าง การอบรมสั่งสอนจึงต้องมีทั้งดุทั้งดีสับปนกันไป
พูดถึงบทดุด่าขู่เข็ญก็ทำให้ระลึกถึงพระคุณท่านอาจารย์มั่น
อย่างถึงใจ ซึ่งเคยเห็นท่านดุด่าเราและพระอื่น ๆ ในบางคราวที่
ทำผิด ขณะนั้นมองดูกิริยาท่าทางท่านซึ่งกำลังเฆี่ยนตีหล่อหลอมลูกศิษย์ผู้โง่เขลาให้เป็นผู้เป็นคน ด้วยการดุด่าขู่เข็ญก็น่ากลัวอย่างยิ่ง
มองดูผู้ถูกดุด่าขู่เข็ญที่กำลังกลัวอย่างเต็มที่ จนตัวสั่นเหมือนลูกนก
ถูกฝนก็น่าสงสารมาก แต่ผลที่ได้รับเป็นที่ตรึงใจไปนาน นี่คือผลที่
เกิดจากท่านผู้อื่นช่วยฝึก ส่วนผลที่เกิดจากตนฝึกตนเองนั้น ท่านที่
เคยฝึกตนอย่างเต็มกำลังมาแล้วย่อมทราบชัดกับตัวเอง เช่นท่านที่
ได้รับความสงบทางจิตอย่างเต็มที่กับทางจงกรมขณะที่กำลังกลัว
เสียงเสือกระหึ่ม จิตกลับเกิดความอาจหาญขึ้นมาในขณะนั้นอย่าง
ไม่คาดฝันว่าจะเป็นไปได้เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ การฝึกทรมานตนจึง
เป็นงานสำคัญ ที่ผู้หวังความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกทางธรรมจะ
มองข้ามไปไม่ได้
ท่านผู้อ่านกรุณาทราบ ในบรรดาปฏิปทาที่นำมาแสดง
เกี่ยวกับการปฏิบัติของพระธุดงคกรรมฐาน ทั้งฝ่ายเหตุว่ารายนั้น
ท่านมีนิสัยชอบฝึกอบรมตนด้วยวิธีนั้น รายนั้นท่านชอบฝึกด้วย
วิธีนั้นเป็นต้น ทั้งฝ่ายผลที่ได้รับจากการฝึกตนซึ่งกำลังนำลง
คละเคล้ากันไปกับฝ่ายเหตุก็ดี ที่จะลงต่อไปตามลำดับ ทั้งเหตุและ
ผลคละเคล้ากันไปก็ดี ผู้เขียนได้พยายามเขียนตามความจริง ที่ได้
เห็นได้ยินมาจากอาจารย์ผู้เคยรับการอบรมกับท่านมาแล้ว เป็นแต่
ไม่ระบุนามท่านที่เป็นเจ้าของทั้งเหตุและผลเท่านั้น เพื่อรักษา
สิ่งที่ควรสงวนในองค์ท่านไว้ นอกจากจำเป็นที่อาจระบุบ้างเป็น
บางราย คำว่าบางองค์หรือบางรายท่านชอบฝึกตนด้วยวิธีนั้น ๆ
เป็นต้น โปรดทราบว่าเป็นการระบุนามท่านแล้วโดยปริยาย คำว่า
บางองค์หรือบางรายนั่นแลคือคำยืนยันว่า ท่านเป็นผู้ฝึกตนทรมาน
ตนด้วยวิธีนั้น เช่น อดอาหารหรือเดินจงกรมแข่งเสียงเสือกระหึ่ม
เป็นต้นทุก ๆ แขนงแห่งอุบายวิธีของการฝึกทรมานท่าน ล้วนเป็น
วิธีที่ท่านเคยได้รับผลเป็นที่แน่ใจมาแล้วจึงได้นำลง มิได้เขียนด้วย
การสุ่มเดาทั้งที่ไม่แน่ในผลเป็นที่ยืนยันและยอมรับกันในวงปฏิบัติ
ที่เขียนมาแล้วก็ดี ที่กำลังจะเขียนต่อไปก็ดี โปรดทราบว่าเขียน
ไปตามความเป็นมาของท่านโดยตรง ส่วนผิดหรือถูกอาจขึ้นอยู่
กับผู้เขียนซึ่งนำลงทั้งดุ้น ขาดความไตร่ตรองที่เคยมีประจำนิสัย
เสมอมา จึงหวังได้รับอภัยจากท่านผู้อ่านตามเคย
วิธีฝึกทรมานตนของท่าน จนได้มาเป็นอาจารย์สั่งสอน
ประชาชนพระเณรอยู่เวลานี้ รู้สึกจะเป็นการกระทำที่ผู้ไม่เคยได้
พบเห็น ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน และไม่เคยคิดว่าการฝึกตนด้วย
วิธีนั้น ๆ จะมีผู้กล้าทำกล้าเสี่ยงต่อชีวิตซึ่งเป็นสิ่งรักสงวนอย่างยิ่ง
เหนือสิ่งใด ๆ ในโลก และเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ในสังคม
มนุษย์ปัจจุบันที่ต้องการผลมากกว่าการบำรุงเหตุ แต่ก็มีผู้ทำผู้กล้า
เสี่ยงจนเป็นชีวิตอัตภาพที่เดนตายมาแล้ว ถ้าท่านรู้ธรรมจากวิธี
นั้น ๆ ก็น่าจะเรียกว่าธรรมเดนตายของท่านรายนั้น ๆ ได้ เพราะ
เหตุเดนตาย ผลก็ควรเดนตายเช่นกัน เหตุกับผลเหล่านี้ไม่น่า
จะมีท่านผู้ใดสนใจนำมาคิดในชีวิตที่ถือว่าเป็นของมีคุณค่ามาก
แม้คิดก็คงเข้ากันไม่ได้สนิท เพราะอำนาจแห่งความรักในชีวิตเป็น
เครื่องปิดบังคุณค่าแห่งธรรมที่มีในตน ซึ่งยังมองไม่เห็นในขณะนั้น
นอกจากท่านที่สนใจในหลักความจริงเสมอชีวิตหรือยิ่งกว่าชีวิต ที่
พลอยให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง และร่องรอยอยู่เป็น
ประจำเท่านั้น จะนำไปไตร่ตรองและทดสอบความเป็นมาของท่าน
กับความเป็นมาและเป็นอยู่ของตนเข้าสู่หลักความจริงว่า มีอะไร
ยิ่งหย่อนกว่ากันบ้างสำหรับเราทำอย่างนี้ แต่ท่านทำไมทำอย่างนั้นโดยไม่กลัว
พญามัจจุราชจะหัวเราะเย้ยบ้าง เรากับท่านมีอะไรลี้ลับและขัด
ความจริงแห่งธรรมต่างกันอย่างไรบ้าง ท่านทำไมทำได้เสี่ยงได้ และ
ทราบว่าท่านมีความรู้เห็นต่างๆ ทั้งตื้นทั้งลึกทั้งเปิดเผยทั้งลี้ลับจาก
วิธีนั้น ๆ ด้วย ไม่นำชีวิตไปทิ้งด้วยวิธีการฝึกทรมานนั้นเปล่า ๆ
เหตุกับผลซึ่งเป็นสมบัติของท่านยังปรากฏเป็นร่องรอยมาให้เราได้
อ่านอยู่ขณะนี้ ท่านก็มีร่างกายซึ่งเป็นสิ่งที่รักสงวนเช่นเดียวกับเรา
และท่านก็เป็นคน ๆ หนึ่ง อาจมีความรู้สึกคล้ายคลึงกันกับคน
ทั่ว ๆ ไป แต่ทำไมท่านกล้าสละ ท่านสละเพื่ออะไร สิ่งที่ท่านทำ
แต่เราไม่เคยทำ และสิ่งที่ท่านรู้แต่เรายังไม่เคยรู้ ทำไมคนเหมือนกัน
ทั้งที่สิ่งดีมีค่ามาก ต่างก็มีความต้องการด้วยกันทุกคน เราควรนำ
อุบายท่านอย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะกับจริตและความสามารถ ไป
ปฏิบัติจัดการกับตน ลองดูผลจะเป็นอย่างไรบ้างเหล่านี้ ถ้าสนใจ
ใคร่ครวญเพื่อต้อนเข้าสู่หลักความจริงตามธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้
ไม่ว่าเพศหรือวัยใดย่อมมีทางเชื่อและถือเอาประโยชน์ได้ เพราะ
ความจริงไม่ขึ้นอยู่กับเพศและวัยใดโดยเฉพาะ แต่ขึ้นอยู่กับการ
วินิจฉัยไตร่ตรองหามูลความจริงซึ่งมีอยู่กับทุกคน
พระธุดงคกรรมฐานที่ท่านปฏิบัติตนจนเป็นที่จับใจ ถึงกับได้
นำมาลงให้ท่านอ่านอยู่เวลานี้ รู้สึกท่านมีความมุ่งหวังอย่างแรงกล้า
ในผลที่ตนปรารถนา จึงมิได้คำนึงถึงการทุ่มเทความเพียรเพื่อผล
นั้น ๆ ว่าจะมีความหนักเบา หรือเป็นตายได้เสียอย่างไรบ้าง มีแต่
ความหมายมั่นปั้นมือจะให้ได้ให้ถึงถ่ายเดียว โดยมิได้คำนึงถึงความ
ลำบากเป็นตายจะพึงมีเพราะความเพียรที่กำลังเป็นไปอยู่ ประกอบ
กับผลที่พึงหวังก็แสดงขึ้นในลำดับแห่งความเพียรซึ่งเป็นผลที่ไม่เคยได้เคยมี จึงทำให้ลืมอะไรที่กลัว ๆ กันไปเสียหมด สิ่งที่น่าคิดพิศวง
สำหรับผู้ไม่เคยประสบมีอยู่มากมายในวงพระธุดงคกรรมฐาน
ดังท่านจะได้อ่านไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจบปฏิปทานี้
ขณะนี้ก็กำลังจะได้อ่านอีกเรื่องหนึ่ง คือ มีอาจารย์ท่านหนึ่ง
ขณะเดินจงกรมไปมาอยู่หน้าถ้ำ บนภูเขาในเวลากลางคืน โดยมิได้
สนใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในเวลานั้น เพราะขณะเดินจงกรมก็มีไฟ
เทียนไขตั้งในโคมผ้าสีขาวแขวนไว้สว่างไสว พอเห็นทางเดินได้อย่าง
ชัดเจน ปกติไฟเป็นเครื่องหมายของมนุษย์ซึ่งสัตว์ป่าโดยมาก
ทราบกัน แต่พอท่านเดินจงกรมไปมาเพลิน ๆ ก็ได้ยินเสียงเสือขู่
คำรามขึ้นข้างทางจงกรมซึ่งไม่สูงจากพื้นดินนัก ห่างกันประมาณ
๒ วา
เสียงเสือที่ขู่คำรามนั้นหยุดเป็นพัก ๆ พอท่านได้ยินก็จำได้
ทันทีว่าเป็นเสียงเสือคำราม ขณะนั้นจิตรู้สึกกลัวและหยุดมองดูเสือ
ตามทิศทางที่มาของเสียงนั้น แต่ก็ไม่เห็นตัวมันจึงเดินจงกรมต่อไป
สักครู่ก็ได้ยินเสียงคำรามขึ้นมาอีก ท่านก็หยุดเดินและมองดูมัน แต่
ไม่เห็นตัวมันอีกเช่นเคย ส่วนความกลัวรู้สึกเพิ่มขึ้นเป็นลำดับจน
ตัวสั่นและเหงื่อแตกโชกไปทั้งตัว ทั้งที่กำลังเป็นหน้าหนาวและกำลัง
หนาวจัดอยู่ด้วยในเวลานั้น แต่แข็งใจไว้ไม่ยอมหนีจากที่นั้น เสือก็
คำรามไม่หยุด
ท่านจึงหาอุบายปลุกปลอบและขู่เข็ญตัวเองว่า เรามาบำเพ็ญ
ธรรมเหมือนครั้งพุทธกาลที่ท่านบำเพ็ญด้วยความกล้าหาญและ
ยอมเสียสละทุกอย่าง แม้ชีวิตก็ไม่มีความอาลัยเสียดาย ครั้งโน้น
ก็ทราบว่ามีสัตว์มีเสือซึ่งบางชนิดก็ทำอันตรายแก่พระท่านได้ แต่ก็
ไม่ปรากฏว่าสัตว์ร้ายเหล่านั้นกินท่านเป็นอาหาร แม้มีบ้างตามประวัติก็น้อยเต็มทีเพียงรายสองรายเท่านั้น พระท่านยังได้บรรลุ
ธรรมถึงความสิ้นกิเลสและสั่งสอนโลกจนเกิดความเชื่อเลื่อมใส
นับถือท่านเป็นสรณะตลอดมาถึงปัจจุบัน ไม่ปรากฏว่าเสือเอาท่าน
ไปเป็นอาหารเสียหมด
ส่วนเราก็เป็นนักบวชในพุทธศาสนาอันเดียวกันกับท่าน
และบำเพ็ญตนเพื่อธรรมแท่งเดียวกันคือ มรรคผลนิพพาน แต่ทำไม
พอได้ยินเสียงเสือมาเยี่ยมและถามข่าวคราวความทุกข์สุกดิบบ้าง
กลับยืนตัวแข็งและสั่นอยู่แบบคนสิ้นท่า และหึงหวงร่างกายชีวิต
จิตใจ ราวกับจะไม่ยอมตายไปกับโลกเขาแม้ถึงคราวแล้ว ทำไมจึงมา
ดื้อดึงฝ่าฝืนคติธรรมที่โลกเคยเป็นกันแต่ผู้เดียว ถึงกับยืนตัวสั่น
หึงหวงชีวิตไม่อยากตายเอาท่าเดียว ทำไมจึงมายืนตัวแข็งขวาง
ธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนี้ ไม่นึกอายเสือตัวกำลังหัวเราะด้วย
เสียงกระหึ่ม ๆ อยู่เวลานี้บ้าง ถ้าไม่อายเสือก็ทำไมไม่คิดย้อนกลับ
มาอายตัวเองซึ่งเป็นพระธุดงคกรรมฐานทั้งองค์ที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่
นี้บ้าง จะพอมีสติตื่นตัวว่าตนเป็นพระซึ่งเป็นเพศที่ยอมเสียสละ
ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่กลับยืนตัวสั่นเพราะเห็นแก่ชีวิตยิ่งกว่าธรรม
เป็นความหยาบคายยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก เสือเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่
เราเองเป็นถึงมนุษย์และเป็นพระกรรมฐานทั้งองค์ ทำไมไปคิดกลัว
เสือไม่เข้าเรื่องเข้าราว
ขณะที่เรากำลังกลัวเสือและยืนตัวสั่นอยู่เหมือนลูกสุนัข
ตกน้ำเช่นนี้ เผื่อครูอาจารย์ส่งกระแสจิตมาเห็นเข้า ท่านก็จะ
หัวเราะเอาเช่นเสือหัวเราะอยู่เวลานี้ แล้วเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
กัน นี่ทำขายหน้าจริงเลยนะ และยังขายพระศาสนา ขายครู
อาจารย์ตลอดวงคณะปฏิบัติที่เป็นพระธุดงคกรรมฐานด้วยกันอย่างไม่มีประมาณอีกด้วย เวลานี้เท่ากับเรามาขายตัวให้เสือ
และเทวดาทั้งหลายที่สถิตอยู่แถบเขาลูกนี้ หัวเราะเยาะไม่มีชิ้นดีเลย
เราจะปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะสามารถกอบกู้พระศาสนาและวงคณะ
กลับคืนมาได้ ไม่ถูกขายทอดตลาดแบบปลาเน่า ที่เรากำลังเป็น
พ่อค้าประกาศขายท่านเสียเองอยู่เวลานี้
ขณะที่ท่านกำลังปลอบโยนและขู่เข็ญตัวเองอยู่อย่างวุ่นวาย
นั้น เสือก็แสดงอาการหัวเราะอยู่ด้วยเสียงกระหึ่ม ๆ และหยุดไป
เป็นพัก ๆ ราวกับจะเตือนให้ท่านได้สติยับยั้งตัวเอง ด้วยอุบายแห่ง
ธรรมที่กำลังคิดค้นอยู่อย่างชุลมุนและเอาจริงเอาจังในเวลานั้น ยัง
ไม่ยอมหนีไปไหนง่าย ๆ ลำดับต่อมาท่านระลึกสติได้ มีอุบาย
ขึ้นมาในเวลานั้นว่า สัตว์ก็ดี เสือก็ดี คนก็ดี เราก็ดี ในธรรมท่าน
ก็สอนไว้แล้วว่า เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้นไม่มี
ยกเว้น แม้เสือตัวกำลังคำรามเรา และเราผู้กำลังกลัวเสือจนจะ
เป็นบ้าอยู่เวลานี้ เมื่อต่างก็มีความเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันเช่นนี้ เรา
จะกลัวหาประโยชน์อะไร เรากลัวก็ต้องตาย ไม่กลัวก็ต้องตาย เมื่อ
ถึงเวลาแล้วไม่มีสัตว์ตัวใดหลีกพ้นไปได้
เรามาบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่นี่ก็ไม่มีเจตนาคิดอิจฉา
เบียดเบียนใคร ถ้าเสือตัวนี้ต้องการเลือดเนื้อของเราไปทำประโยชน์
เพื่อประทังชีวิตของมันพอสืบต่ออายุไปเป็นวัน ๆ เราควรยินดี
ยกให้เป็นทานแก่มันไป ยังจะดีกว่ามามัวยืนหวงซากผีดิบอยู่จน
ตัวสั่นยังไม่ยอมยกให้มันเลยเป็นไหน ๆ นักบวชคือนักเสียสละ
มิใช่นักหึงหวงห่วงชีวิตจนน่าอับอายขายตัวและพระศาสนา เราเกิด
มาแต่เล็กจนถึงวันนี้เคยเอาเนื้อหนังมังสาของสัตว์ทั้งหลาย ที่ธรรม
ท่านสอนไว้ว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มาเป็นอาหารจน



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและและที่ผ่านมาได้ทำบุญทอดผ้าป่าสร้างพระอุโบสถและพระประธานที่วัดตะโกโคก ต.ตาจั่น อ.คง จ.นครราชสีมา ร่วมบุญฉลองอุโบสถและกัณฑ์เทศ และร่วมบุญพลอยประดับรอยพระพุทธบาท ตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน ทำบุญทอดผ้าป่าสร้างพระอุโบสถและพระประธานที่วัดตะโกโคก ต.ตาจั่น อ.คง จ.นครราชสีมา ร่วมบุญฉลองอุโบสถและกัณฑ์เทศ และร่วมบุญพลอยประดับรอยพระพุทธบาท
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ



ขอเชิญปฏิบัติธรรมกำหนดการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสำหรับบุคคลทั่วไป ณ ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดผาณิตาราม
http://www.kondee.com/table.php


ขอเชิญทำบุญกับมูลนิธิดังนี้ โดยดูรายละเอียดได้จาก
แหล่งทำบุญวันเกิด-มูลนิธิที่น่าสนใจอื่น ๆ ที่สามารถโอนเงินเข้าบัญชีได้ทันที
มูลนิธิรามาธิบดี โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
โครงการที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออีกมาก โอนเข้าบัญชีได้โดยตรง
http://www.ramafoundation.or.th/
ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์
บริจาคช่วยเหลือวัดพระบาทน้ำพุ
http://www.phrabatnampu.com/
ช่วยเหลือพระสงฆ์
บริจาคช่วยเหลือโรงพยาบาลสงฆ์
http://www.priest-hospital.go.th
ช่วยเหลือเด็ก
ชมรมรุ้งกินน้ำ
http://www.rainbowclub.in.th/
มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก
http://www.iamchild.org/
มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ
http://www.doctordek.com/
มูลนิธิรักษ์เด็ก
http://www.rakdek.or.th/
มูลนิธิพิทักษ์สิทธิเด็ก
http://www.thaichildrights.org/
มูลนิธิเพื่อผู้ด้อยโอกาสศูนย์พลาญย่อย
http://foundations.plarnkhoi.com/
ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
มูลนิธิปอเต๊กตึ๊ง
http://www.pohtecktung.com
มูลนิธิร่วมกตัญญู
http://www.ruamkatanyu.or.th/
ช่วยเหลือคนพิการ
มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย
http://www.tddf.or.th
มูลนิธิขาเทียม
http://www.rehabmed.or.th/pros/
มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย
http://www.blind.or.th
ช่วยเหลือผู้หญิง
มูลนิธิเพื่อนหญิง
http://www.friendsofwomen.net/
มูลนิธิผู้หญิง
http://www.womenthai.org/
ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสังคมอื่น ๆ
มูลนิธิดวงประทีป
http://www.dpf.or.th/
มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม
http://www.thaivolunteer.org/
มูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศไทย
http://www.thaiheartfound.org/
สภากาชาดไทย
http://www.redcross.or.th/
ช่วยเหลือสัตว์
มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ
http://www.home4animals.org
มูลนิธิเพื่อนช้าง
http://www.elephant-soraida.com/
ช่วยเหลือสังคมด้านทรัพยากรธรรมชาติ
มูลนิธิชัยพัฒนา
http://www.chaipat.or.th/
มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ
http://www.terraper.org


ใครที่กำลังหาแหล่งทำบุญวันเกิดดี ๆ แวะเข้าชมเว็บต่าง ๆ ด้านล่างได้ครับ มีงานบุญหลากหลายจริง ๆ หรือหากต้องการบอกบุญก็ไปตั้งกระทู้ตามเว็บนั้น ๆ ได้ครับ ขออนุโมทนากับทุกท่าน (ทำทานแล้วก็อย่าลืมรักษาศีล กับเจริญภาวนาด้วยนะครับ จะได้บุญกันอย่างเทียบไม่ได้เลยทีเดียว)
ศูนย์รวมการบริจาคออนไลน์
เว็บศูนย์รวมการบริจาคออนไลน์ รวบรวมมูลนิธิต่าง ๆ ได้ดีที่สุดแล้วครับ ฐานข้อมูลการทำบุญที่ใหญ่ที่สุด มีแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่อผู้ที่ต้องการบริจาคในแบบที่ตนต้องการ เช่น บริจาคเงิน อวัยวะ เสื้อผ้า สถานสงเคราะห์ เด็ก คนชรา สัตว์ ฯลฯ
http://www.thaigiving.org/
ลานธรรม
ห้องสมาชิกสัมพันธ์ของเว็บลานธรรม เพื่อประกาศบอกบุญต่าง ๆ
http://larndham.net/index.php?s=c2ff0f9 ... howforum=4
เว็บบอร์ดธรรมจักร
กิจกรรมงานบุญต่าง ๆ เว็บบอร์ดธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/board/viewforu ... 4edd51356c
เว็บบอร์ดพลังจิต
สารพันงานบุญเว็บบอร์ดพลังจิต ทั้งงานวัด วิหาร พระพุทธรูป ธรรมทาน กฐิน ผ้าป่า ฯลฯ
http://www.palungjit.com/board/forumdisplay.php?f=7
เว็บบอร์ดธรรมะไทย
กิจกรรมทำบุญต่าง ๆ จากบอร์ดประชาสัมพันธ์ของเว็บธรรมะไทย
http://www.dhammathai.org/webbokboon/webboard.php
ลานพระพุทธศาสนา
ลานประกาศและบอกบุญของเว็บลานพระพุทธศาสนา
http://www.larnbuddhism.com/webboard/in ... ?board=4.0



ขอเชิญเข้าเว็ปธรรมะต่างๆดังนี้มีประโยชน์ มัดังนี้
ธรรมดา.net
ธรรมะบรรยายจากหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่แบ่งเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ เพื่อง่ายต่อการศึกษา พร้อมการดาวน์โหลดซีดีทุกแผ่นของหลวงพ่อ
http://www.dhammada.net
แสงธรรมส่องชีวิต
คลื่นธรรมะ 102.25 ตลอด 24 ชั่วโมง โดยพระอาจารย์สมชาติธรรมะโชโต
ดาวโหลดธรรมบรรยายของพระอาจารย์สมชาติได้ที่เว็บไซต์ ภาพสถานที่ปฏิบัติธรรมในป่าที่สงบร่มเย็น
http://www.sangdhamsongchevit.com
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
เว็บแนะนำสถานปฏิบัติธรรมของวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี รวมถึงเผยแผ่ธรรมบรรยาย ไฟล์วีดีโอ หนังสือธรรมต่างๆที่แสดงโดยพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)
http://www.jarun.org
ผลงานดังตฤณ
อักษรที่อาสาเป็นบันไดเลื่อน พาคุณเคลื่อนจากผืนหญ้าแห่งมายา สู่ฝั่งฟ้าสัมมาทิฐิและสติที่สมบูรณ์ ฟังเสียงอ่านหนังสือธรรมะออนไลน์ อ่านนิตยสารธรรมะออนไลน์ รายสัปดาห์ คำถาม-คำตอบเกี่ยวกับกรรมวิบากและการปฏิบัติธรรม
http://www.dungtrin.com
พระไตรปิฏก
เว็บพระไตรปิฎก มีครบทุกเล่ม ชาดก พระพุทธประวัติ ฯลฯ อีกมากมาย
http://www.84000.org/
ลานธรรม
กัลยามิตรทางธรรมผ่านเว็บบอร์ดที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ และมิตรภาพของนักปฏิบัติธรรม
http://www.larndham.net
ธรรมจักร
เว็บท่าที่รวบรวมข้อมูลทางพระพุทธศาสนาไว้จำนวนมาก
http://www.dhammajak.net/
ธรรมะไทย
มีครบทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
http://www.dhammathai.org/
ทำดีดอทเน็ต
รวมสื่อสร้างสรค์ด้านธรรมะ ในรูปแบบน่ารักและสบาย ๆ โดยท่านพระมหาวิฒิชัย (ว.วชิรเมธี)
http://www.tamdee.net
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
เว็บไซต์ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อหนึ่งสำหรับการศึกษาและเผยแพร่พระธรรมตามแนวพระตรีปิฎก ให้กับบุคคลผู้สนใจทั่วไป
http://www.dhammahome.com
วิปัสสนาไทยดอทคอม
ธรรมะสดใสกับเว็บวิปัสสนาไทยดอทคอม เว็บไซต์ของฝ่ายวิปัสสนาธุระ ส่วนธรรมนิเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
http://www.vipassanathai.com/
เว็บไซต์วัดป่า
เว็บเพื่อข่าวสารงานบุญพระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น วันต่อวัน
http://www.watpa.com
เว็บหลวงปู่มั่น
ประวัติหลวงปู่มั่น ภาพเก่าๆของพ่อแม่ครูบาอาจารย์
http://www.luangpumun.org
หลวงตามหาบัว
ฟังเทศน์จากหลวงตาสด ๆ ทุกวัน พร้อมฟังย้อนหลังได้ รวมถึงฟังธรรมะออนไลน์ของครูบาอาจารย์จากพระป่าสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เช่น หลวงปู่หลุย จันทสาโร, หลวงปู่ขาวอนาลโย, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงพ่อลี ธัมมธโร, หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท, หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ, หลวงพ่อชา สุภัทโท เป็นต้น
http://www.luangta.com/

ชมรมกัลยาณธรรม
มีแจกสื่อธรรมะและกิจกรรมทางธรรมต่าง ๆ เป็นประจำ
้http://www.kanlayanatam.com
ค่ายวัยใส.คอม
เว็บธรรมะสำหรับวัยใส มีกิจกรรมดี ๆ ส่งเสริมคุณธรรมมากมาย พร้อมข้อมูลสาระด้านธรรมะแบบเบา ๆ ที่มีประโยชน์และเพิ่มพูนสติปัญญาให้อ่านกัน
http://www.kaiwaisai.com
หลวงพ่ออุทัย สิริธโร
เว็บ official site ของหลวงพ่ออุทัย สิริธโร
http://www.lp-uthaiphuwua.com

Freerice.com
เว็บไซต์ที่ช่วยให้คนทำบุญด้วยวิธีง่าย ๆ โดยการตอบคำถาม
ฝึกการใช้ภาษา ด้านVocab หากตอบถูกจะบริจาคข้าวสารให้กับ
UN world food program. ครั้งละ 20 เม็ด ต่อคำถาม นอกจากจะทำบุญแล้วภาษาของผู้ฝึกจะดีด้วย ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
http://www.freerice.com

ประตูสู่ธรรม
แหล่งข้อมูลและความรู้เรื่องพระพุทธศาสนา แบ่งเป็นหมวดหลัก ๆ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา และปกิณกะ
http://www.dharma-gateway.com/
ขอเชิญทำบุญกับมูลนิธิการกุศลต่างๆดูรายละเอียดและทำบุญได้ที่
http://www.thaicharities.org/thai.htm
http://www.sookjai.com/index.php?board=50.0


ขอเชิญปฏิบัติธรรมที่วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษกและงานบุญอื่นๆของวัดได้ที่
http://www.rama9temple.org/

ขอเชิญปฏิบัติธรรมวัดตาลเอนดูรายละเอียดได้ที่
http://www.wattanen.org/med.php

ตารางปฏิบัติธรรม วัดพิชยญาติการาม วรวิหาร จ.กทม.ดูได้จาก

http://www.thossaporn.com/practicedham. ... 733a16558a


ตารางปฏิบัติธรรมเสถียรธรรมสถาน จ.กทม ดูได้จาก
http://www.sdsweb.org/th/index.php?topg ... tentid=493


ขอเชิญปฏิบัติธรรมกับสอนโดยท่านอาจารย์โกเอ็นกา ได้ที่
http://www.thai.dhamma.org/

โครงการปฏิบัติธรรม
อบรมพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญาและสันติสุข
หลักสูตรคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย วิสุทธิธรรมนครลำปาง
ณ สำนักปฏิบัติธรรม วัดทุ่งบ่อแป้น (สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดลำปาง แห่งที่ 2)

กำหนดการอบรม
วันแรกของการอบรม
เวลา 08.00น. - ลงทะเบียน
- ปฐมนิเทศและพิธีรับพระกรรมฐาน
วันสุดท้ายของการอบรม
ท่านสามารถนัดญาติมารับเวลาประมาณ 12.00น.

ตารางการปฏิบัติธรรม ณ สำนักปฏิบัติธรรมวัดทุ่งบ่อแป้น
วันที่ 10-16 ธันวาคม 2554 รับผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวน 120 คน
วันที่ 15-21 มกราคม 2555 รับผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวน 120 คน
วันที่ 20-26 กุมภาพันธ์ 2555 รับผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวน 120 คน
วันที่ 20-26 มีนาคม 2555 รับผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวน 120 คน
วันที่ 1-10 เมษายน 2555 บวชพระ , เณรเทิดพระเกียรติ
วันที่ 7-13 พฤษภาคม 2555 รับผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวน 120 คน
วันที่ 16-22 มิถุนายน 2555 รับผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวน 120 คน
วันที่ 17-23 กรกฎาคม 2555 รับผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวน 120 คน
วันที่ 9-15 สิงหาคม 2555 รับผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวน 120 คน
วันที่ 15-21 กันยายน 2555 รับผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวน 120 คน
วันที่ 8-14 ตุลาคม 2555 รับผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวน 120 คน
วันที่ 8-14 พฤศจิกายน 2555 รับผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวน 120 คน
วันที่ 10-16 ธันวาคม 2555 รับผู้เข้าปฏิบัติธรรมจำนวน 120 คน

ผู้ประสงค์เป็นเจ้าภาพร่วมในโครงการปฏิบัติธรรม สามารถแจ้งความประสงค์ที่เจ้าหน้าที่ หรือโอนเงินเข้าบัญชี
ชื่อบัญชี "วัดทุ่งบ่อแป้น ธนาคารกรุงไทย สาขาลำปาง" เลขที่บัญชี 503-0-05967-9
หากท่านโอนเงินเข้าบัญชีแล้วกรุณาแฟกซ์เอกสาการโอนเงินเพื่อรับใบอนุโมทนาบัตรต่อไป


ขอเชิญร่วมทำบุญฉลองพระอุโบสถ กัณฑ์เทศที่บริเวณร้านค้าชุมชนก่อนจะถึงวัด โคกพยุง จสุรินทร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2012, 08:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ใหญ่โตมาขนาดนี้ แทบหยิกข่วนไม่รู้จักเจ็บเพราะเนื้อหนังของ
สัตว์ทั้งหลายหุ้มห่ออยู่รอบตัว บทเวลาจะควรยอมสละเนื้อหนัง
ของตัวเพื่อเป็นทานแก่เสือเพียงตัวเดียว ทำไมจึงเหนียวแน่นแก่คน
ผู้ตระหนี่หึงหวงนักล่ะ มิหนำยังหวงจนตัวสั่นชนิดแกะไม่ออกบอก
ไม่ยอมเชื่อฟังธรรมเสียอีกด้วย ไม่เป็นการบวชมาเพื่อเห็นแก่ตัว
เพราะกลัวกิเลสตัวอุบาทว์จนไม่มองเห็นใคร ๆ ในโลกไปแล้วหรือ
ถ้าเชื่อกิเลสยิ่งกว่าธรรม จงยืนตัวสั่นเฝ้าร่างแห่งกองทุกข์อยู่
ที่นี่ ถ้าเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้า จงสละเลือดเนื้อให้เสือเอาไปเป็น
อาหารพอมีลมหายใจสืบชีวิตของมันต่อไปเดี๋ยวนี้อย่าชักช้า ว่า
อย่างไร จะไปตามธรรมหรือจะโดดลงหลุมอุบาทว์แห่งความตระหนี่
รีบตัดสินใจ อย่าให้เสียเวลาของเสือที่กำลังรอฟังนักบวชอันเป็นเพศ
แห่งบุคคลผู้เสียสละ จะประกาศความอาจหาญออกมาด้วยปัญญา
ที่ใคร่ครวญดีแล้วว่า “จะให้หรือจะหวง”
นับแต่สงครามอันเข้มข้นระหว่างเสือกับท่านกำลังเป็นไปอยู่
ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กันเป็นเวลาชั่วโมงเศษ ๆ
ท่านองค์นั้นจึงตัดสินใจลงได้ด้วยความเห็นภัยในความหึงหวงแห่ง
ชีวิต กลับเป็นใจที่กล้าหาญและเต็มเปี่ยมด้วยเมตตาสงสารเสือตัว
นั้นเป็นกำลัง โดยถือธรรมบทว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่
เจ็บตายด้วยกันหมดสิ้น เป็นหลักใจ มองเห็นภาพเสือตัวกำลังเป็น
ศัตรูกลายเป็นภาพแห่งมิตรอย่างสนิทใจ คิดอยากลูบคลำอวัยวะ
ของมันเล่น ด้วยความรักสงสารและสนิทสนมในใจจริง ๆ จึงก้าว
ออกจากทางจงกรม ถือเอาโคมไฟที่แขวนอยู่ข้างทาง เดินตรงไปที่
เสืออยู่ทันทีพร้อมด้วยจิตใจที่อ่อนโยนด้วยความเมตตา พอไปถึงที่
ที่เข้าใจว่าเสืออยู่ แต่ไม่ปรากฏมีเสืออยู่ที่นั้นเลย จึงเดินตามหาเสือตัวนั้นทั่วทั้งป่าแถบบริเวณนั้น ขณะที่เดินตามหาเสือด้วยความ
กล้าหาญและใจอ่อนโยนด้วยเมตตานั้น ก็ไม่เห็นเสือตัวนั้นอีกเลย
เสือก็ไม่ทราบว่าหายตัวไปที่ไหนอย่างลึกลับ
ขณะที่เดินตามหาเสือไม่พบจนอ่อนใจนั้น มีอะไรผุดขึ้น
ภายในใจราวกับคนมาเตือนว่า จะตามหามันทำไมกัน ความรู้
กับความหลงก็ตกอยู่กับเราคนเดียว มิได้อยู่กับสัตว์กับเสือ
ตัวไหนนี่ ความกลัวตายถึงกับจะเป็นบ้าไปในขณะนั้นก็คือ
ความหลงของตัวผู้เดียว ความรู้ว่าธรรมท่านสอนไว้ว่า สัตว์
ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น ถึงกับ
สละความหึงหวงเสียได้ กลายเป็นคนมีเมตตาจิตอ่อนโยนต่อ
เพื่อนร่วมโลกก็เป็นความรู้ของตัวผู้เดียว ทั้งสองประโยคนี้มิได้
เป็นสมบัติของใคร แต่เป็นสมบัติของตนโดยเฉพาะ แล้วจะ
เที่ยวหาอะไรอีก เมื่อรู้ก็ควรมีสติอยู่กับผู้รู้ เพียรไปกับผู้รู้ จัดว่า
เป็นความถูกต้องดีงามแล้ว จะไปตามเอาอะไรกับสัตว์กับเสือ
ให้กลายเป็นความเห็นผิดไปอีกเล่า พอความรู้ผุดขึ้นเตือนจบลง
ก็กลับได้สติขึ้นมาทันที
ท่านว่าขณะที่กำลังเดินไปหาเสือนั้น เป็นความแน่ใจว่าเสือ
เป็นมิตรกับตนอย่างสนิทสามารถจะลูบคลำหลังและอวัยวะต่าง ๆ
ของมันได้อย่างเต็มมือโดยมิได้นึกคิดว่ามันจะทำอะไรตนได้เลย แต่
ความจริงจะเป็นอย่างไรไม่ทราบได้ จากนั้นก็กลับมาเดินจงกรม
อย่างสบายหายห่วง ไม่มีความหวาดกลัวเหลืออยู่เลย เสียงเสือที่
คำรามและหยุดไปเป็นพัก ๆ นั้นก็หายไปในทันที ไม่มาปรากฏ
อีกเลยทั้งในคืนวันนั้นและคืนต่อ ๆ ไป จนท่านหนีจากที่นั้น ท่าน
ว่าน่าอัศจรรย์ที่จิตกลัวแทบตั้งตัวไม่อยู่และจวนจะเป็นบ้าในขณะนั้นอยู่แล้ว แต่พอถูกขู่เข็ญทรมานด้วยอุบายต่าง ๆ กลับเป็นจิตที่
กล้าหาญขึ้นมา สามารถสละเลือดเนื้อชีวิตจิตใจพลีต่อเสือได้
โดยไม่มีความสะทกสะท้านหวั่นไหวและอาลัยเสียดายเลย
นับแต่วันนั้นมา เวลาเดินจงกรมหรือนั่งภาวนา ถ้าจิต
ไม่ยอมสงบง่าย ใจคิดอยากให้เสือมาหาและกระหึ่มให้ฟังบ่อย ๆ
จิตจะได้มีความตื่นตัว อย่างน้อยก็ได้รับความสงบ มากกว่านั้นก็
เป็นใจมีเมตตาอ่อนโยนและเป็นสุขไปกับสัตว์กับเสือ เพราะขณะ
ที่ใจพลิกไปกับเสียงสัตว์ต่าง ๆ มีเสือเป็นต้น รู้สึกเป็นสุขอย่าง
ละเอียดที่บอกไม่ถูก
ขออภัยลืมประโยคที่อะไรผุดขึ้นในใจท่านขณะที่เดินตาม
หาเสือ ยังเก็บไม่หมด จำต้องวกเวียนมาอีก ท่านว่าอะไรผุดขึ้นมา
ว่า ความเมตตาที่แสดงเป็นความอ่อนโยนนั่นแล เป็นความ
สนิทสนมกับสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นศัตรูและทั่ว ๆ ไป ตลอด
มนุษย์มนาเทวดาอินทร์พรหมยมยักษ์ทั่วไตรโลกธาตุ ไม่มีอะไร
เป็นศัตรูในเวลานั้น ใจของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์
ทั้งหลาย เป็นใจที่เต็มไปด้วยเมตตาในสัตว์ไม่มีประมาณ
อย่างนั้นแล ผู้มีเมตตา หลับแลตื่นย่อมเป็นสุข สิ่งที่ผุดขึ้น
ในเวลานั้น เหมือนเป็นโอวาทสั่งสอนเราคนเดียว ปรากฏแว่ว ๆ
ขึ้นมาในจิต ฟังได้คนเดียว รู้ได้คนเดียว ชัดถ้อยชัดคำและผุดขึ้น
มากมาย แต่จำไม่ได้ทุกประโยค ยังรู้สึกเสียดายอยู่ไม่หายดังนี้
การอยู่ป่าอยู่เขาซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ๆ สำหรับผู้มุ่งต่อธรรม
อย่างยิ่งย่อมเกิดประโยชน์ผิดธรรมดาอยู่มาก ดังท่านอาจารย์องค์นี้
เล่าตอนจิตอ่อนโยนกับสัตว์เสือต่าง ๆ ไม่มีประมาณ คิดอยากไป
ลูบคลำหลังและอวัยวะต่าง ๆ ของมันเล่นด้วยความสงสารนั้นผู้เขียนเชื่ออย่างเต็มใจเพราะเคยได้ประสบมากับตัวเอง ขณะที่เกิด
ความกลัวมาก ๆ จนแทบตั้งตัวไม่อยู่ ได้พยายามใช้อุบายวิธีฝึก
ทรมานตนเช่นเดียวกับท่าน จนจิตหายพยศ ปรากฏเป็นความ
อาจหาญและอ่อนโยนด้วยเมตตาขึ้นมา สามารถเดินเข้าหาศัตรู
ทุกชนิดได้โดยไม่มีความหวั่นเกรงใด ๆ เลย พอได้ยินท่านเล่าให้ฟัง
ใจจึงรู้สึกซึ้งในความเป็นของท่านทันทีว่า ยังมีผู้ทำแบบป่า ๆ
เถื่อน ๆ เช่นเราอยู่เหมือนกัน นึกว่าเป็นอะไรไปเฉพาะเราคนเดียว
เพราะเป็นเรื่องที่พูดได้ยาก เนื่องจากเป็นเรื่องนอกบัญชีแห่ง
ความนึกคิดของคนทั่วไปที่จะคิดกัน
ธุดงค์ ๑๓ แต่ละข้อมีความหมายในการปราบปรามกิเลส
ทุกประเภทได้อย่างอัศจรรย์ยากที่จะคาดให้ทั่วถึงได้ แต่ได้อธิบายไว้
ในประวัติท่านพระอาจารย์มั่นพอสมควรแล้ว ในปฏิปทาฯนี้จึงคิดว่า
จะไม่ขออธิบายมากมายนัก ทั้งที่พระธุดงค์บรรดาที่เป็นศิษย์ท่าน
ต่างดำเนินตามปฏิปทาสายของท่านเป็นประจำตลอดมา ธุดงค์ ๑๓
ข้อที่ได้อธิบายไว้ในประวัติของท่านพระอาจารย์มั่น ปรากฏว่ามี
ดังนี้ถ้าจำไม่ลืม ข้ออยู่รุกขมูลร่มไม้ บิณฑบาตเป็นวัตร ฉันในบาตร
ฉันหนเดียวในวันหนึ่ง ๆ ถือผ้าบังสุกุล ข้อไม่รับอาหารที่ตามส่ง
ทีหลัง ที่อาจอธิบายซ้ำอีกบ้างก็เป็นเพียงเพิ่มเติมเล็กน้อย
พอเขียนธุดงค์นี้จบลง ไปปรึกษาหมู่เพื่อนว่าจะไม่เขียนซ้ำ
อีก เกรงว่าจะซ้ำกับที่เขียนไว้แล้วในประวัติท่านอาจารย์มั่น แต่
โดยมากมีความเห็นว่าอยากให้อธิบายธุดงค์ข้อที่เคยเขียนในประวัติ
ท่านอาจารย์แล้วซ้ำอีก ทั้งนี้ไม่แน่ใจว่าท่านผู้อ่านทั้งหลายอาจจะ
ไม่ได้รับหนังสือประวัติท่านอาจารย์มั่นโดยทั่วถึงก็เป็นได้ จะไม่มี
โอกาสทราบว่าธุดงควัตรมีความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมอย่างไรบ้างเลยจำต้องอธิบายไว้ในที่นี้ซ้ำอีกเล็กน้อย ขอความกรุณาท่านที่เคย
ได้อ่านธุดงค์ในประวัติท่านพระอาจารย์มั่นมาแล้ว อย่าได้รำคาญ
เพราะสำนวนซ้ำซาก โปรดคิดเสียว่าเพื่ออนุเคราะห์ท่านที่ยังไม่เคย
ทราบเรื่องธุดงควัตร ๑๓ ข้อ จะพอมีทางทราบจากที่นี่บ้าง
ธุดงค์ข้ออยู่รุกขมูลคือร่มไม้นี้ พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญ
มาก่อนธุดงค์ทั้งหลาย วันตรัสรู้ธรรมแดนโลกธาตุหวั่นไหวทั่ว
ไตรภพ ก็ตรัสรู้ใต้ร่มไม้คือร่มพระศรีมหาโพธิ์ ที่พุทธบริษัทถือเป็น
ไม้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคู่เคียงพระศาสนาและพระศาสดามาจนทุกวันนี้
เวลาปรินิพพานก็ทรงนิพพานใต้ร่มไม้คือนางรังทั้งคู่ ที่เรียกว่า
รุกขมูลแห่งธุดงค์ข้อนี้ การอยู่ในกุฎีที่มุงที่บังมิดชิดปลอดภัยจาก
อันตรายต่าง ๆ กับการอยู่ใต้ร่มไม้ มีความแตกต่างกันมาก ข้อนี้
จะทราบได้ชัดจากผู้ที่เคยอยู่ทั้งที่มุงที่บังคือกุฎีวิหาร ทั้งเคยอยู่
รุกขมูลคือร่มไม้เปลี่ยว ๆ มาแล้ว ใจจะรู้สึกและว้าเหว่ต่างกันมาก
ยิ่งกุฎีในป่าเปลี่ยวและร่มไม้ในป่าเปลี่ยวที่เต็มไปด้วยสัตว์เสือด้วย
แล้ว จะเห็นได้ชัดว่าระหว่างกุฎีกับร่มไม้มีความแปลกต่างกันอยู่มาก
ผู้ที่อยู่กุฎีในป่าเปลี่ยวจะสนุกนั่งสนุกนอนมากกว่าจะสนุก
ภาวนาเสียซ้ำ อย่างสบายหายระแวงต่าง ๆ ส่วนผู้ที่อยู่ใต้ร่มไม้
ในป่าเปลี่ยวปราศจากเครื่องอารักขา หาที่จะพอหลบซ่อนนั่งนอน
ให้สบายมิได้ จำต้องระวังภัยอยู่ทุกอิริยาบถ สติกับจิตไม่มีเวลาจาก
กันเพราะกลัวจะเสียท่าเวลามีอันตราย ซึ่งอาจเกิดได้ทุกอิริยาบถ
ความสุขทุกข์ของการอยู่ในที่ต่างกันนั้นรู้สึกต่างกันมาก ผู้อยู่ใต้
ร่มไม้จะเป็นทุกข์มากแทบทุกด้าน แต่ทางสมาธิภาวนาสำหรับผู้มุ่ง
ต่อธรรมแล้ว ผู้อยู่รุกขมูลร่มไม้มีทางเจริญมากกว่า เพราะอยู่ในท่า
แห่งความเพียรทุกอิริยาบถ นอกจากเวลาหลับเท่านั้น ความระวังรักษาสติไม่ให้พรากจากใจเนื่องจากความกลัวภัยเป็นเหตุนั้น เป็น
ประโยคแห่งความเพียรที่จะยังจิตให้เจริญทางสมาธิปัญญาได้ไม่มี
ทางสงสัย
ดังนั้นการอยู่รุกขมูลในป่าเปลี่ยวของนักรบผู้กล้าตาย
จึงเป็นเหมือนเข้าสู่แนวรบในอิริยาบถ แม้จิตที่ไม่เคยสงบ ไม่เคย
รู้ว่าสมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาเป็นอย่างไรหรือมรรคผลนิพพาน
เป็นอย่างไรก็ตาม เมื่อตั้งสติเข้าใกล้ชิดติดแนบกับใจ พยายามรักษา
ไม่ให้พลั้งเผลอ จะบริกรรมภาวนาด้วยธรรมบทต่าง ๆ ก็เป็นภาวนา
ขึ้นมาได้โดยถูกต้องด้วยสติ จะพิจารณาสภาวธรรมเพื่อความเห็น
แจ้งทางปัญญา ก็เป็นปัญญาขึ้นมาได้ด้วยสติเครื่องควบคุม สติ
จึงเป็นธรรมจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งเกี่ยวกับกิจการต่าง ๆ ทั้ง
ภายนอกภายใน
ผู้อยู่ในที่เปลี่ยวมีรุกขมูลเป็นต้นเป็นที่บำเพ็ญ จึงมีโอกาส
ส่งเสริมความเพียรได้ดีกว่าที่ที่เห็นว่าปลอดภัยไร้กังวลทั้งหลายมีกุฎี
เป็นต้น คุณสมบัติแห่งการอยู่รุกขมูลร่มไม้ทำให้ไม่นอนใจ มีสติอยู่
กับตัว อันเป็นทางเจริญแห่งสมาธิสมาบัติมรรคผลนิพพานโดย
ลำดับ ไม่ชักช้าหรือมัวสงสัยอยู่เพราะความประมาทนอนใจ ผู้ที่เคย
อยู่รุกขมูลในป่าเปลี่ยวมาจนเคยชินแล้ว ย่อมเป็นเหมือนผู้จัดเจนใน
สงครามไม่สะทกสะท้านต่อข้าศึก อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ผิดกับผู้ไม่เคย
ฝึกหัดอยู่มาก
ท่านอาจารย์มั่นท่านสรรเสริญการอยู่รุกขมูลอย่างถึงใจ
และติดปากติดใจท่านตลอดมาจนอวสานแห่งชีวิต และเคยพูดเป็น
เชิงเตือนสติพระลูกศิษย์ทั้งหลายให้สำนึกตัว เกิดความสนใจในการ
อยู่รุกขมูลว่า พระเราถ้าอยากทราบเรื่องหยาบละเอียดของตัวและเชื่อความสามารถของตนว่าเป็นพระปฏิบัติเต็มภูมิหรือไม่
เพียงไร จงพากันไปอยู่รุกขมูลร่มไม้ในป่าเปลี่ยว ที่เต็มไปด้วย
สัตว์เสือเป็นสิ่งเตือนใจ และทดลองความสามารถอาจหาญหรือ
ความขี้ขลาดไม่เป็นท่าของตัว จนรู้ความลึกตื้นแห่งความหมายของ
การอยู่รุกขมูลที่ทรงบัญญัติไว้ พอทราบความกลัวตามนิสัยดั้งเดิม
และความกล้าที่เกิดจากความเพียรที่ตนชำระได้ ศีล สมาธิ ปัญญา
ตลอดธรรมเบื้องสูงขึ้นไปเป็นขั้น ๆ ย่อมเจริญขึ้นตาม ๆ กัน และ
รู้ประจักษ์ใจตัวเองเป็นระยะไป นั่นแลจะเห็นคุณของธุดงค์ข้อนี้
อย่างถึงใจ
พระพุทธเจ้าและสาวกท่านทรงถือและถือธุดงค์ข้อนี้ เป็นคู่
กับชีวิตความเพียรไปตลอดสายไม่ทรงละเลย เพราะเป็นที่อยู่ของ
บุคคลผู้ตื่นตัวตื่นใจไม่ประมาทนิ่งนอน ความเพียรด้านจิตใจท่านจึง
เจริญและเจริญจนสุดขีดสุดแดน ไม่มีอะไรเทียบเท่าเสมอได้ในโลก
ทั้งสาม จึงทรงบัญญัติไว้เพื่อเป็นกรุยหมายป้ายบอก ราวกับท่าน
ตรัสว่า นี่น่ะทางเดินเพื่อพ้นภัยไร้ทุกข์ทั้งมวล เธอทั้งหลายมัว
งุ่มง่ามต้วมเตี้ยมอยู่ทำอะไรกัน สถานที่นี้มิใช่สถานที่งุ่มง่ามทราม
สติปัญญา แต่เป็นสถานที่ฟื้นฟูสติปัญญาความเพียรทุกด้านให้แก่
กล้าแหลมคม มา เราตถาคตจะพาไปไม่ชักช้า อย่ามัวพะรุงพะรัง
แบกภาระหนักโดยสำคัญว่าตนมีกำลังสามารถอยู่เลย เวลา
คับขันจะไม่มีอะไรติดตัว รีบแสวงหาชัยสมรภูมิที่บำเพ็ญ
เหมาะ ๆ มีรุกขมูลเป็นต้น จิตจะได้บรรลุธรรมที่เหมาะกับ
ใจ ไร้กิเลสกองทุกข์ทั้งหลายเสียได้
สถานที่เช่นนี้แลตถาคตปราบปรามกิเลสทั้งมวลให้หมอบ
เสียได้ โน้นต้นพระศรีมหาโพธิ์อย่างไรล่ะ ที่เป็นเครื่องหมายมหาชัย



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ของตถาคต ถ้าไม่เรียกว่ารุกขมูลควรจะเรียกว่าอะไร สิทธัตถราช
กุมารอุบัติตรัสเป็นพระพุทธเจ้าที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั่นแล
พวกเธอยังจะสงสัยและจะไปแสวงหาธรรมที่ไหนกันอีก ถ้าไม่หา
ดังที่ตถาคตพาหาพารู้นี้ สถานที่เช่นนี้แลคือที่อันศักดิ์สิทธิ์ของผู้
เห็นภัย จะพากันหลงงมงายไปหาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนกัน ความ
ศักดิ์สิทธิ์ในตัวเราเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่พึงปรารถนาอย่างยิ่ง
เหนือสิ่งใด ๆ จงพากันค้นหาให้เจอและค้นลงที่ใจนี้ โดยอาศัย
สถานที่เหมาะสมเป็นสนามขุดค้นดังนี้
ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงที่ไหน รู้สึกถึงใจดังที่เขียนผ่าน
มานี้ เพราะเป็นโอวาทที่ออกจากความรู้จริงเห็นจริงของท่านจริง ๆ
ไม่มีที่น่าสงสัยว่าข้อปฏิบัติมรรคผลนิพพานจะมีอยู่ในที่อื่นใด
นอกไปจากข้อปฏิบัติของผู้บำเพ็ญด้วยสามีจิกรรมเลย ยิ่งฟัง
ต่อหน้าท่านแสดงด้วยแล้ว ราวกับท่านถอดมรรคผลนิพพาน
ออกมาจากใจ ให้คณะศิษย์ผู้ตาบอดลูบคลำกันพอให้เสียดาย แล้ว
ท่านก็เก็บไว้ที่เดิมเสีย คือขณะท่านแสดงก็เหมือนท่านหยิบยก
ออกมาให้ดู พอจบการแสดงก็เหมือนท่านเก็บไว้ที่เดิมคือที่ใจ
ท่านเสีย ขณะฟังเหมือนจะพากันเหาะเหินเดินเมฆไปทางอากาศ
พอฟังจบแล้วเหมือนคนตาบอด ต่างลูบคลำแต่หาทางไปไม่ได้
อันนั้นก็สงสัยอันนี้ก็สงสัย อันนั้นก็เข้าใจว่าดี อันนี้ก็เข้าใจว่าเลิศ
แล้วคว้าเอาทั้งเปลือกทั้งกระพี้ทั้งรากแก้วรากฝอย ซึ่งทำประโยชน์
อะไรไม่ได้นั่นแล พอปลง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เราดี ๆ นี่เอง
การอยู่รุกขมูลนี้ท่านอาจารย์ท่านว่า ท่านเคยได้รับ
ประโยชน์ประทับใจเรื่อยมา จึงชอบอยู่ในสถานที่เช่นนั้นไม่จืดจาง
การอยู่ปราศจากที่มุงที่บังอันเป็นเครื่องป้องกันอันตราย จิตใจต้องหวาดระแวงแน่นอน ยิ่งตกกลางคืน ถ้าเป็นคนขี้ขลาดมองเห็นอะไร
ต้องเหมาว่าเป็นเสือไปหมด บางรายที่มีนิสัยขี้กลัว ตอนกลางวัน
ต้องสังเกตพุ่มไม้ข้างบริเวณที่อยู่ไว้อย่างรอบคอบ เพื่อสังเกตง่าย
ในเวลากลางคืน ไม่เช่นนั้นพุ่มไม้ที่อยู่รอบ ๆ บริเวณที่พักนั้นก็
จะกลายเป็นเสือขึ้นในมโนภาพความสำคัญ และหลอกหลอน
ตลอดคืนไม่เป็นอันอยู่หลับนอนและภาวนาได้ ผู้ที่อยู่รุกขมูลมี
ความระมัดระวังผิดกับผู้อยู่ในที่มุงที่บังอยู่มาก ทั้งด้านอิริยาบถ
เกี่ยวกับความเป็นอยู่หลับนอนและด้านสมาธิภาวนา ฉะนั้นจิตจึง
มักก้าวไปเร็วกว่ากัน
ทั้งนี้มิได้มีใครบังคับท่านให้จำต้องทำ แต่เป็นความสมัครใจ
ของแต่ละท่านจะหาอุบายฝึกทรมานตนเป็นราย ๆ ไป บางครั้ง
ขณะท่านนั่งทำสมาธิภาวนาอยู่ในมุ้งใต้ร่มไม้ที่เรียกว่ารุกขมูล เสือ
ยังแอบด้อมเข้ามาดูท่านอย่างเงียบ ๆ จนถึงที่อยู่ก็ยังมี พอทราบ
ว่าเป็นคนแล้วก็รีบถอยห่างออกไปไม่มาเกี่ยวข้องอีกเลย ที่มันแอบ
เข้ามาดูนั้น เข้าใจว่ามันคงสงสัยเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เสือ
บางตัวรู้สึกจะมีเจตนาซ่อนเร้นพิกลที่ไม่น่าไว้ใจแฝงอยู่ด้วย จะ
ทราบได้ขณะที่พระท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ที่มืด ๆ ไม่จุดไฟ มันยัง
แอบด้อมเข้ามาจนถึงที่สุดทางเดินจงกรม ห่างกันประมาณวาเศษ
เท่านั้น และหมอบราบดูอยู่ที่นั้นไม่ยอมหนีไปไหน จนพระท่าน
ได้ยินเสียงนิด ๆ ผิดสังเกตธรรมดา ฉายไฟไปดูก็เห็นมันโดดออก
ไปจากที่นั้นทันที แต่วันหลังไม่เห็นมันกลับมาอีก ที่กล่าวนี้หมายถึง
เสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอน ตัวขนาดเท่าม้าแข่งเราดี ๆ นี่เอง
มิใช่เสือดาวซึ่งเป็นสัตว์ชอบแอบหากินสุนัขกับคนที่ไปเที่ยวป่า ตาม
นิสัยของสัตว์ชนิดนั้นที่เคยหากินกับคนการอยู่รุกขมูลของพระธุดงค์ผู้เป็นเจ้าของเรื่องต่าง ๆ ที่น่า
หวาดกลัวซึ่งนำมาลงเพียงเล็กน้อยนี้ ถ้านึกวาดภาพเปลี่ยนให้ท่าน
ที่อยู่รุกขมูลและเรื่องที่ท่านประสบมา กลายมาเป็นเรื่องของเราเข้า
บ้าง ท่านผู้อ่านจะมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ถ้าทนได้และทรมานได้
จนกลายเป็นเจ้าของประวัติอันดีงามได้ก็นับว่าดี เป็นคติแก่อนุชน
ได้ยึดเป็นหลักใจต่อไป เผื่อทนไม่ได้ทรมานไม่ลงปลงไม่ตก น่ากลัว
จะเป็นประวัติที่ขายหน้าตัวเองและหมู่คณะตลอดพระศาสนาอัน
เป็นหัวใจของชาวพุทธให้มัวหมอง ชนิดไม่มีอะไรมาลบล้างให้หาย
ได้ตลอดกาลนาน และกลายเป็นบุคคลที่มีปมด้อย วงกรรมฐานที่มี
ปมด้อย และพระศาสนาที่มีปมด้อยตลอดไป เพราะอาศัยเราคน
ไม่เป็นท่าเพียงคนเดียว พาให้สิ่งที่มีคุณค่าไม่มีประมาณทั้งหลาย
เสียไปด้วย
เพียงนึกวาดภาพทดลองดูขณะเดียวก็พอทำให้ทราบได้ว่า
ท่านที่อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายด้วยวิธีนั้นแต่ขั้นเริ่มแรกชีวิต
แห่งธุดงคกรรมฐาน จนสามารถตั้งรากฐานมั่นคงในธรรมทั้งหลาย
ได้ เพราะความเดนตายนั้น จะเป็นความลำบากกายทรมานใจ
มากเพียงไร ซึ่งยากจะมีผู้กล้าเสียสละอย่างท่านได้ในวงมนุษย์ผู้
เห็นแก่ตัวกลัวทุกข์มากกว่าธรรมเครื่องนำออก การอยู่ปราศจาก
ที่มุงที่บังโดยประการทั้งปวงนั้น ย่อมเป็นเครื่องส่อให้เห็นแล้วว่า
เป็นนักเสียสละทุกอย่างไม่อาลัยเสียดาย จะตายไปเพราะเหตุใดก็
ย่อมให้เป็นไปตามคติธรรมดา ไม่คัดค้านต้านทานด้วยวิธีเห็นแก่ตัว
จะอดอยากขาดแคลนปัจจัยสี่ที่โลกอาศัยและถือกันเป็นสำคัญ ก็
ยอมอดโดยธรรม ไม่แสดงความอึดอัดขัดใจอันเป็นทางส่งเสริมทุกข์
ให้มากมูน จะเป็นทุกข์ทรมานเพราะความเพียรกล้าก็ยอมทนเพราะอยากพ้นทุกข์ด้วยความเพียรนั้น ๆ แม้สัตว์เสือตัวหิวโหย
อาหารจะมากัดและคาบเอาไปกิน ก็ยอมสละให้มันด้วยความเป็น
นักบวชและนักเสียสละอย่างพร้อมมูลอยู่แล้วภายในใจไม่มีอะไร
ขัดข้องหึงหวง
การเสียสละทุกอย่างเพื่อธรรมดวงเลิศ เป็นความอยู่สบาย
ในที่ทุกสถาน แม้ชีวิตของผู้อยู่รุกขมูลร่มไม้ด้วยความเสียสละ จะ
ไม่มีความหมายสำหรับคนทั่วไป แต่ใจกลับมีความหมายในธรรมอัน
มีค่ามาก ฉะนั้นแทนที่ชีวิตร่างกายท่านจะหมดความหมายไปตาม
ความเสกสรรของโลกทั่ว ๆ ไป แต่กลับเป็นสิ่งที่มีค่ามากยากจะมี
ผู้สละได้ พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นความสำคัญแห่งคุณค่าในธุดงค์
ข้อนี้ว่า เป็นธรรมเครื่องปราบปรามกิเลสภายในใจสัตว์โลกได้เป็น
อย่างดี จึงทรงบัญญัติเป็นแนวทางไว้ โลกจะได้ดำเนินตาม และ
เผื่อท่านผู้มีใจเป็นนักรบเพื่อการอยู่จบพรหมจรรย์ ประสงค์ธรรม
ข้อนี้เป็นยานพาหนะขับขี่ข้ามโลกสงสาร จะได้ยึดเป็นหลักชัยใน
การออกสงคราม ตามเสด็จให้ทันพระองค์โดยไม่ชักช้าเนิ่นนาน
เพราะธรรมข้อนี้เป็นเครื่องปลุกใจ ให้ผู้ปฏิบัติเกิดความ
อาจหาญต่อแดนพ้นทุกข์ไม่มีทางสงสัย โดยอาศัยสิ่งแวดล้อม
ชนิดต่าง ๆ เป็นเครื่องเตือนใจให้ประคองความเพียรด้วยความ
สม่ำเสมอ จนถึงจุดที่มุ่งหมายได้โดยไม่มีอุปสรรค ดังที่อธิบายมา
พอเป็นแนวทางเล็กน้อยแก่ท่านผู้สนใจจะได้นำไปเทียบเคียง
ระหว่างท่านกับเราซึ่งหวังความเจริญด้วยกัน จะควรปฏิบัติอย่างไร
บ้าง พอมีทางเล็ดลอดปลอดภัยที่ควรเป็นได้ ไม่นั่งนอนคอยรับ
ทุกข์น้อยใหญ่จากการกระทำของจิตผู้เป็นตัวการ ซึ่งมีนิสัยชอบ
ในสิ่งที่เลยขอบเขตประจำตน ธรรมข้อนี้แม้จะเรียกว่าเป็นหัวใจกรรมฐานข้อหนึ่งก็ไม่น่าจะผิด เพราะพระธุดงคกรรมฐานผู้มุ่งต่อ
อรรถต่อธรรมจริง ๆ ท่านชอบปฏิบัติธรรมข้อนี้แทบทั้งนั้น ผู้เขียน
เองแม้จะไม่มีความรู้ความฉลาดอะไรเลย แต่หัวใจมีก็อดจะชอบ
ธรรมข้อนี้ไม่ได้ นอกจากจะเอื้อมไม่ถึงเท่านั้น จึงยอมสารภาพตน
อย่างไม่อาย
ธุดงค์ข้อบิณฑบาตเป็นวัตร การบิณฑบาตเป็นกิจจำเป็น
ของพระผู้บวชเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ปรากฏในพระพุทธศาสนา
โดยทางเพศอย่างเปิดเผย ย่อมถือบิณฑบาตเป็นงานสำคัญประจำ
ชีวิต ดังอนุศาสน์ท่านสอนไว้ ซึ่งมีทั้งข้อรุกขมูล เสนาสนะและ
ข้อบิณฑบาต ซึ่งเป็นเครื่องพร่ำสอนที่สำคัญหลังจากการอุปสมบท
แล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงสนพระทัย และทรงถือเป็นกิจจำเป็นประจำ
พระองค์ตลอดมาจนถึงวันเสด็จปรินิพพาน หากจะทรงงดบ้างก็เป็น
บางสมัยที่ไม่อาจทรงปฏิบัติได้ เช่น สมัยทรงจำพรรษาที่ป่าเลไลยก์
กับช้างปาลิเลยยกะ เป็นต้น เพราะมิใช่แดนมนุษย์ที่ควรจะถวาย
ความสะดวกแก่พระองค์ได้
การบิณฑบาตเป็นกิจวัตรข้อหนึ่งที่อำนวยผลแก่ผู้บำเพ็ญ
ให้ได้รับความสงบสุขทางใจ คือ เวลาเดินไปในละแวกบ้านก็เป็น
การบำเพ็ญเพียรไปในตัวตลอดทั้งไปและกลับ เช่นเดียวกับ
เดินจงกรมอยู่ในสถานที่พัก หนึ่ง เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถในเวลา
นั้น หนึ่ง ผู้บำเพ็ญทางปัญญาโดยสม่ำเสมอแล้ว เวลาเดิน
บิณฑบาตขณะที่ได้เห็นหรือได้ยินสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาสัมผัส
ทางทวาร ย่อมเป็นเครื่องเสริมปัญญาและถือเอาประโยชน์จากสิ่ง
นั้น ๆ ได้โดยลำดับ หนึ่ง เพื่อดัดความเกียจคร้านประจำนิสัย
มนุษย์ที่ชอบแต่ผลอย่างเดียว แต่ขี้เกียจทำเหตุซึ่งเป็นคู่ควรแก่กันหนึ่ง เพื่อดัดทิฐิมานะ ที่เข้าใจว่าตนเป็นคนชั้นสูงออกจากตระกูล
สูงและมั่นคั่งสมบูรณ์ทุกอย่าง แล้วรังเกียจต่อการโคจรบิณฑบาต
อันเป็นลักษณะคนเที่ยวขอทานท่าเดียว
ได้อะไรมาจากบิณฑบาตก็ฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไป
ไม่พอกพูนส่งเสริมกำลังทางกายให้มาก อันเป็นข้าศึกต่อความเพียร
ทางใจให้ก้าวไปได้ยาก การฉันหนเดียวก็ควรฉันพอประมาณ
ไม่มากเกินจนท้องอืดเฟ้อย่อยไม่ทัน เพราะเหลือกำลังของไฟ
ในกองธาตุจะย่อยได้ ความอดความหิวถือเป็นเรื่องธรรมดาของ
ผู้พิจารณาธรรมทั้งหลายเพื่อความสิ้นทุกข์โดยไม่เหลือ นอกจาก
ฉันหนเดียวแล้วยังสังเกตอาหารอีกด้วยว่า อาหารชนิดใดเป็นคุณ
แก่ร่างกาย ไม่ทำให้ท้องเสียและเป็นคุณแก่จิต ภาวนาสะดวก จิต
ไม่มัวหมองเพราะพิษอาหารเข้าไปทำลาย
เช่น เผ็ดมากเกินไป เค็มมากเกินไป ซึ่งทำให้ออกร้อน
ภายในท้อง ก่อความกังวลแก่จิตใจไม่เป็นอันทำความเพียรได้
สะดวก เพราะกายกับใจเป็นสิ่งเกี่ยวเนื่องกันและกระเทือนถึงกัน
ได้เร็ว ท่านจึงสอนให้เลือกอาหารที่เป็นสัปปายะ ซึ่งเป็นคุณแก่
ร่างกายและจิตใจถ้าพอเลือกได้ ถ้าเลือกไม่ได้แต่ทราบอยู่ว่าอาหาร
นี้ไม่เป็นสัปปายะก็งดเสียดีกว่า ฝืนฉันลงไปแล้วเกิดโทษแก่ร่างกาย
ทำความทุกข์กังวลแก่จิตใจ ผู้ฉันหนเดียวมักทำความรู้สึกตัวได้ดี
ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในรสอาหารชนิดต่าง ๆ
การอยู่รุกขมูลร่มไม้เป็นวัตรก็ดี การบิณฑบาตเป็นวัตร
ก็ดี การฉันหนเดียวเป็นวัตรก็ดี สำหรับพระธุดงคกรรมฐาน
ล้วนเป็นอุบายวิธีฝึกทรมานกิเลสตัวพาดวงจิตดิ้นรนกวัดแกว่งให้
ลดกำลังลง ไม่ฮึกเหิมลำพองออกนอกลู่นอกทาง เหมือนม้าตัวพยศแหวกแนวจากสนามรบฉะนั้น คุณสมบัติแห่งธุดงค์เหล่านี้
ทำให้ร่างกายจิตใจเบา ฝึกหัดง่ายกว่าธรรมดา กายก็ไม่มีกำลังทับ
จิตใจได้มากเหมือนปล่อยให้ฉันตามต้องการ และฉันจิ๊บ ๆ จั๊บ ๆ
พร่ำเพรื่ออันเป็นการบำรุงมากไป ผิดกับลักษณะของพระธุดงค-
กรรมฐานผู้ศึกษาอบรมเพื่อรู้จักประมาณในทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัว
ฉันในบาตรเป็นวัตร ฉันในภาชนะเดียว นี้หมายถึงการ
ฉันสำรวมในบาตร บรรดาอาหารคาวหวานต่าง ๆ นำเข้ารวมลง
ในบาตรใบเดียวทั้งสิ้น ไม่แบ่งแยกไว้ในภาชนะใดที่อยู่นอกบาตร
อันเป็นความมักมากเหลือเฟือ เสียศักดิ์ศรีของพระธุดงค์ผู้ตั้งตนอยู่
ในความมักน้อยสันโดษซึ่งเป็นความเหมาะสมดีแล้ว ไม่พะรุงพะรัง
ทั้งการเตรียมฉันเตรียมนั่งเตรียมนอนต่าง ๆ คุณสมบัติที่เกิดจาก
การฉันในบาตรมีมากตามแต่กำลังสติปัญญาของแต่ละรายจะขุดค้น
ขวนขวายขึ้นมาใช้สำหรับตัว
ธุดงค์นี้มีอย่างต่ำ อย่างกลางและอย่างเยี่ยม อย่างต่ำ
แม้จะนำอาหารลงรวมในบาตร แต่ก็แยกไว้คนละด้านได้ เช่น
คาวอยู่ด้านหนึ่ง หวานอยู่ด้านหนึ่ง หรือมีอาหารชนิดที่ควรกั้นได้
เช่น กล้วยเป็นต้น กั้นไว้ไม่ให้คละเคล้ากัน อย่างกลางแม้นำอาหาร
รวมกันเช่นอย่างต่ำ แต่อาจแยกกันโดยปริยาย ไม่ผสมกันทีเดียว
อย่างเยี่ยม ไม่ว่าคาวหรือหวานนำเข้าผสมกัน ไม่ปรากฏว่าคาว
กับหวานอยู่คนละด้านเลย ทำให้ผสมกันหมด ก่อนจะลงมือฉันก็
รำพึงถึงปัจจเวกขณะก่อน คือ ปฏิสงฺขา โยนิโส ปิณฺฑปาตํ ปฏิเส
วามิ ฯลฯ เป็นเครื่องพิจารณาโดยแยบคาย ในบรรดาอาหารชนิด
ต่าง ๆ ที่รวมกันอยู่ในที่แห่งเดียว ตามกำลังสติปัญญาที่มีอยู่
อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งนาที เพราะของดีที่จะเกิดจากการพิจารณาด้วยดีนั้น มีซ่อนเร้นอยู่ในอาหารผสมอย่างลึกลับ ทั้งจะได้เห็นตัว
ตัณหา ที่คอยแอบแฝงมากับความหิวโหยอย่างไม่คาดฝันในวันหนึ่ง
แน่นอน
ตามปกติความหิวโหยของธาตุขันธ์ท่านมิได้จัดว่าเป็นตัณหา
แต่ความหิวอันเป็นตัวตัณหาที่คอยแอบตามมากับธาตุขันธ์นั้นเป็น
ความลึกลับอยู่มาก ยากจะเห็นและจับตัวมันได้ เพราะมันคอยกลบ
รอยและสอดแทรกไปกับธาตุขันธ์ที่กำลังหิวโหยในเวลานั้น จนมิได้
สนใจว่า ความหิวของธาตุก็มีกิเลสประเภทบังเงาแฝงมาด้วย การ
พิจารณาก่อนฉันหรือกำลังฉันไปตามลำดับแห่งการฉัน จึงมีทาง
รู้เรื่องของกิเลสชนิดแอบแฝงนี้ได้ดี และเห็นคุณของ ปฏิสงฺขา
โยนิโส ฯ ว่าเป็นอาวุธเครื่องประหารกิเลสประเภทบังเงาได้อย่างดี
เยี่ยม แม้กิจนอกการในใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตนก็จะไม่ลืมธรรมบทนี้
จนกลายเป็นผู้มีธรรมบทนี้ประจำใจอยู่ทุกอิริยาบถ การแยกแยะ
ต่าง ๆ ทั้งชนิดอาหารและวิธีพิจารณาจะไม่ขออธิบายไว้มาก
เกรงจะฟั่นเฝือเกินไป
ธุดงค์ข้อถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร การถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
เป็นการตัดทอนกิเลสตัวทะเยอทะยานชอบสวยชอบงามได้ดี
กิเลสชนิดนี้เป็นที่น่าเบื่อหน่ายในวงนักปราชญ์ทั้งหลาย แต่เป็นที่
กระหยิ่มลืมตัวของพาลชนทั้งหลาย พระธุดงค์ที่ต้องการความ
สวยงามภายใน คือ ใจสะอาดผ่องใส จำต้องฝืนกิเลสตัวชอบ
สวยงามราวกับจะเหาะเหินเดินเมฆไปทางอากาศนี้ เที่ยวเสาะ
แสวงหาผ้าบังสุกุลที่เขาทอดทิ้งไว้ตามป่าช้า หรือที่กองขยะของ
เศษเดนทั้งหลาย มาซักฟอกแล้วเย็บปะติดปะต่อเป็นสบงจีวรสังฆาฏิ
ใช้สอยพอปกปิดกาย และบำเพ็ญสมณธรรมไปตามสมณวิสัย



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2012, 04:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างหายกังวล ไม่คิดเป็นอารมณ์ห่วงใยผูกพันกับใครและสิ่งใด
นอกไปจากธรรมที่กำลังขุดค้นบำเพ็ญอยู่
ผ้าบังสุกุลในสมัยนั้นรู้สึกจะเป็นผ้าที่ไร้คุณค่าและความหมาย
จริง ๆ เช่น ผ้าพันศพ ผ้าที่ทิ้งอยู่ตามถนนหนทาง มิใช่ผ้าที่ศรัทธา
ตั้งใจถวายเป็นผ้าบังสุกุลดังที่เป็นอยู่ในเมืองเราทุกวันนี้ ผู้ที่สามารถ
ชักผ้าชนิดนั้นได้ก็ต้องเป็นผู้ตั้งหน้าสละความนิยมจากทางโลก
เปลี่ยนใจออกมาเป็นความมีคุณค่าและความมุ่งหมายในทางธรรม
นับแต่ชีวิตอัตภาพร่างกายลมหายใจทุกส่วน มอบเป็น พุทธทาส
ธรรมทาส สังฆทาส ด้วยความเทิดทูนโดยสิ้นเชิง การสลัดปัดทิ้ง
ซึ่งความมีคุณค่าและความนิยมทั้งหลายที่นับถือกัน แทนที่จะเป็น
ผู้หมดคุณค่าและความนิยมดังที่เข้าใจกัน แต่ใจกลับมีคุณค่าขึ้นมา
อย่างอัศจรรย์ผิดคาด เช่น พระพุทธเจ้าขณะที่สละราชสมบัติออก
ทรงผนวชที่เรียกว่าหมดคุณค่าแห่งความนิยมนับถือของโลกสมัยนั้น
แต่ผลกลับปรากฏขึ้นอย่างผิดคาดหมาย คือได้เป็นศาสดาของโลก
ทั้งสามมาจนปัจจุบันนี้ ซึ่งหมดทางที่จะแย้งได้ ธุดงควัตรที่เป็น
เครื่องพร่ำสอนพระให้ทำตนเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้ว ก็มีความมุ่งหมาย
ทำนองนั้นเหมือนกัน คือ เพื่อคุณค่าทางจิตใจ
ธุดงค์ข้ออยู่ป่าเป็นวัตร การอยู่ป่าเป็นวัตรเป็นธรรมเนียม
ของพระธุดงคกรรมฐานที่เคยปฏิบัติกันมา ในสายตาของท่าน
อาจารย์มั่น ท่านถือเป็นธุดงค์สำคัญข้อหนึ่งในบรรดาธุดงค์ทั้งหลาย
ธุดงค์ที่ท่านปฏิบัติกันมากมาเป็นประจำคือ ข้ออยู่ป่าเป็นวัตร
อยู่รุกขมูลร่มไม้เป็นวัตร ถือการบิณฑบาตเป็นวัตร ฉันหนเดียว
เป็นวัตร ฉันในบาตรเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร แต่มิได้
ปฏิเสธคหบดีจีวรที่ท่านผู้มีศรัทธาถวาย สำหรับท่านอาจารย์มั่นท่านไม่รับครองจริง ๆ จนอวสานสุดท้ายแห่งชีวิต ข้อนี้ไม่ค่อยมี
ท่านที่ยึดจากท่านได้กี่องค์ ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร ถือเนสัชชิ คือ
ไม่นอนเป็นคืน ๆ ไป ตามแต่จะกำหนด ถือห้ามอาหารที่ตามส่ง
ทีหลัง ฯลฯ
ข้อเหล่านี้ ท่านชอบปฏิบัติมากในสายท่านอาจารย์มั่น
ส่วนข้ออื่น ๆ นอกจากนี้ก็ปฏิบัติบ้างเป็นครั้งคราว แต่จะขอผ่านไป
เพราะได้เคยอธิบายไว้ในประวัติท่านอาจารย์มั่นบ้างแล้ว ท่าน
ผู้ประสงค์อยากทราบโดยละเอียด โปรดดูหมวดธุดงค์ ๑๓ ใน
ธรรมวิภาค ปริเฉท ๒ หากจะอธิบายบ้างก็ขอยกออกมาเป็น
ตอน ๆ ที่เกี่ยวกับปฏิปทาของพระธุดงค์แต่ละรายไป สำหรับสาย
ท่านอาจารย์มั่น ท่านชอบปฏิบัติเป็นประจำก็มีดังที่ระบุมานี้ ส่วน
ขันธวัตร ๑๔ มีเสนาสนวัตรเป็นต้น ก็จะไม่ขออธิบาย เพราะมีอยู่
ในหนังสือทั่วไป หาดูได้ง่าย เช่น วินัยมุขเล่ม ๒ เป็นต้น ถ้า
ประสงค์อยากทราบก็กรุณาหาดูตามนั้น
พระกรรมฐานท่านปฏิบัติตามธุดงค์ ๑๓ และขันธวัตร ๑๔
นี้เป็นประจำ แม้จะมีปลีกย่อยออกไปบ้างก็อยู่ในหลักใหญ่ที่
กล่าวแล้ว มิได้ปฏิบัตินอกลู่นอกทางไปอื่น แต่การปฏิบัติและ
ประสบเหตุการณ์นั้นมีแปลกต่างกันไปบ้างเป็นราย ๆ ตามจริต
นิสัยที่ไม่เหมือนกัน โดยมากรายที่ชอบอยู่ป่าอยู่เขาเป็นนิสัย มักจะ
ประสบเหตุการณ์มากกว่าการอยู่ป่าธรรมดา แม้ท่านอาจารย์มั่น
ผู้เป็นต้นตระกูลของพระธุดงคกรรมฐานสายนี้ ก็ชอบอยู่ป่าอยู่ถ้ำ
อยู่เขาเป็นนิสัย และชอบสั่งสอนพระให้สนใจในการอยู่ป่าอยู่เขา
มากกว่าจะสอนให้อยู่ในที่ธรรมดา ฉะนั้นการประสบเหตุการณ์ของ
พระผู้ชอบอยู่ป่าเปลี่ยวนั้นจึงมีมากและมีอยู่เสมอ เช่นเกี่ยวกับพวกภูตผี เทวดา อินทร์ พรหม นาค พวกสัตว์เสือต่าง ๆ บ้าง
พระสาวกอรหันต์มาเยี่ยมและอบรมสั่งสอนบ้าง
พูดมาถึงนี้ ก็จะขออาราธนาเรื่องพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็น
ศิษย์ท่านอาจารย์มั่นมาลงบ้าง พอท่านผู้อ่านได้ข้อคิดเล็กน้อย ที่
ท่านมีประสบการณ์คล้ายคลึงกับท่านอาจารย์มั่น ว่าจะมีความจริง
เพียงไรในความรู้สึกของพวกเรา ผู้เพียงอ่านเรื่องท่านผู้อื่นไป
ก่อน มิใช่เรื่องของตัวประสบเอง เมื่อถึงเวลาเราประสบบ้างถ้ามี
ความสามารถ จะมีความคิดความรู้สึกอย่างไรบ้าง จึงขอฝากข้อคิด
ไว้ พระเถระรูปนั้นปัจจุบันท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านชอบเที่ยวอยู่ในป่า
ในเขาเป็นนิสัย ไม่ชอบเกี่ยวข้องด้วยหมู่ชนพระเณร ท่านเห็น
ประโยชน์ในการอยู่โดยลำพังในป่าในเขาลึก ทั้งเพื่อประโยชน์ท่าน
เองและประโยชน์ผู้อื่นที่เป็นภูมิลึกลับ คือ พวกเทวบุตร เทวดา
อินทร์ พรหม ภูตผี นาค อสุรกาย ต่าง ๆ
ภพภูมิเหล่านี้เป็นสัตว์ลึกลับในสายตามนุษย์ทั้งหลาย
คล้ายกับไม่มีความหมายและไม่มีอยู่ในโลกมนุษย์และในตัวใน
สามภพนี้เลย สัตว์พิเศษเหล่านี้อาราธนาท่าน ขอให้เห็นแก่พวกเขา
ที่มีความเชื่อกรรมดีชั่ว บุญบาป นรกสวรรค์ และนิพพาน เช่น
เดียวกับมนุษย์ผู้เชื่อกรรมทั้งหลาย เป็นแต่ไม่สามารถแสดงตน
และความคิดเห็นต่าง ๆ ให้โลกรู้เห็นได้อย่างเปิดเผยเหมือนโลกที่
เปิดเผยทั้งหลายเท่านั้น นาน ๆ จะมีท่านที่มีสายตายาว คือ
ความรู้พิเศษ ไม่อคติลำเอียงต่อสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย มาโปรดสักครั้ง
สัตว์พิเศษเหล่านี้ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์หญิงชาย
ผู้หยาบทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ค่อยมีความให้อภัยสัตว์โลกกัน
แทรกอยู่ในจิตเลย นอกจากมนุษย์ที่มีศีลธรรมในใจ แม้กายจะหยาบก็ถือว่าเป็นหลักธรรมชาติของผู้อยู่ใต้กฎของกรรมจะยอมรับ
โดยทั่วกัน เทวดาทั้งหลายมิได้ถือมิได้รังเกียจ แต่มนุษย์จำพวกนี้
มีน้อยมากและหาคบได้ยาก แม้เขาจะสามารถให้ความร่มเย็นแก่
เรา เพราะความดีของเขาที่สละเพื่อผู้อื่นด้วยวิธีต่าง ๆ แต่เขาก็
ไม่สามารถรู้เรื่องและติดต่อกับเราโดยตรงได้ นอกจากความดีที่
ประสานกันอยู่เท่านั้น
มนุษย์พวกนี้ทำความร่มเย็นแก่โลกได้อย่างกว้างขวาง ทั้ง
ทางตรงและทางอ้อม ทั้งที่แจ้งแลที่ลับ ไม่มีกาลสถานที่ ไม่มี
ประมาณ แม้พวกภูตผีที่มีกรรมเบาพอประมาณ ก็ได้รับความเย็น
จากมนุษย์จำพวกนี้แผ่ส่วนความดีให้เป็นประจำ พวกกายทิพย์
พลอยอนุโมทนากับเขาอยู่โดยสม่ำเสมอ ขอให้เขามีความเจริญ
รุ่งเรืองและทำประโยชน์แก่โลกได้นาน ๆ กว่าจะละโลกนี้ไปเสวย
สมบัติอันมีค่าของตน ๆ สำหรับพระคุณเจ้าเป็นมนุษย์พิเศษ มีทั้ง
ศีลทั้งธรรม งามทั้งใจ สว่างไสวด้วยความรู้และคุณธรรม น่าเคารพ
เลื่อมใสมาก พวกข้าพเจ้าทั้งหลายขออาราธนาอยู่ที่นี่โปรดสัตว์ไป
นาน ๆ เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกผู้อาภัพ ความมีภพภูมิตามสายตา
ของมนุษย์ทั้งหลาย จะได้พากันมาฟังโอวาทคำสั่งสอนแลเพิ่มพูน
บุญญาบารมีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป และเป็นปัจจัยแก่มรรคผลนิพพานอัน
เป็นธรรมสุดโลกดังนี้
ท่านเล่าว่า เวลาท่านพักอยู่ในภูเขาลึก โดยมากมีแต่พวก
กายทิพย์มาเกี่ยวข้องทั้งใกล้ทั้งไกล ทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ตลอด
นาคและภูตผีทั้งหลายแทบไม่เว้นแต่ละคืน การทำความเพียรก็
เป็นไปตามเวลามิได้หยุดหย่อน การพักผ่อนร่างกายก็สะดวกสบาย
การต้อนรับแขกลึกลับก็มิได้หยุด วันคืนหนึ่ง ๆ ไม่ค่อยมีเวลาว่างอยู่เฉย ๆ แต่เป็นความสะดวกผิดธรรมดาที่อยู่กับผู้คนพระเณร
มาก ๆ ซึ่งหาความสงบไม่ค่อยได้ขณะที่มาเกี่ยวข้องกัน ส่วนพวก
กายทิพย์จะเป็นภูมิใดก็ตาม แม้มีมาเป็นจำนวนมากก็เป็นเหมือน
ไม่มี การแสดงธรรมก็เป็นมาจากใจล้วน ๆ ไม่ได้ใช้กำลังกาย
ขณะที่แสดงธรรมก็ไม่ปรากฏว่ากายมีในความรู้สึก มีแต่ความรู้
กับธรรมที่สัมผัสกันออกมาเท่านั้น ความเหน็ดเหนื่อยไม่ปรากฏใน
เวลาแสดงธรรมให้พวกนี้ฟัง ขณะฟังธรรมจบลงรู้สึกมีความยิ้มแย้ม
แจ่มใส และพร้อมกันสาธุการสามครั้ง เสียงสะเทือนไปทั่วโลกธาตุ
เช่นเดียวกับที่ท่านอาจารย์มั่นเคยเล่าให้ฟัง
การสนทนาธรรมก็มุ่งความรู้ความเข้าใจจริง ๆ เช่นเดียวกับ
ผู้เดินทางสายที่ตนยังไม่เคยเดิน กลัวผิดทาง ถามเขาด้วยความ
สนใจอยากรู้ทางจริงๆ ฉะนั้น บางพวกก็สนทนาด้วยภาษาใจ
ธรรมดา แต่บางพวกสนทนาด้วยภาษาบาลีเหมือนพุทธพจน์ แต่ก็
ทราบความหมายของบาลีนั้นๆ อันอยู่ในความหมายแห่งภาษาใจ
อันเดียวกัน ท่านเล่าว่าเวลาออกจากสมาธิแล้ว ท่านพยายามจด
บาลีปัญหาที่เทวดาถามไว้มากมาย สมัยท่านอาจารย์มั่นยังมีชีวิต
อยู่ ก็ไปเรียนถามให้ท่านแปลให้ฟัง
ท่านอาจารย์มั่นว่าบาลีเป็นศัพท์ตายตัวเวลาสู่โลกทั่ว ๆ ไป
แต่บาลีที่ผุดขึ้นมาก็ดี เทวดาถามก็ดี เป็นคำเฉพาะบุคคล กาล
สถานที่เท่านั้นจะนำออกไปใช้ทั่วไปย่อมไม่สะดวก แม้ได้ความชัด
เจนตามที่แปลออกจากบาลีทั่ว ๆ ไปก็จริง แต่บาลีที่ผุดขึ้นเฉพาะ
บุคคลในความหมายก็มุ่งเฉพาะบุคคลนั้นเท่านั้น มักไม่ทั่วไปแก่
ผู้อื่น แม้ผมแปลให้ท่านฟังได้ แต่ก็อาจไม่ตรงกับความหมายที่ท่าน
เข้าใจมากับบาลีนั้น ผมจึงไม่อยากแปล เพราะคำที่ผุดขึ้นมาจากใจจะเป็นคำบาลีก็ดี เป็นภาษาใจก็ดี เป็นคำห้ามหรือตักเตือนใด ๆ
ก็ดี ย่อมเข้าใจและแน่นอนเฉพาะผู้นั้น ผู้อื่นจะแยกความหมาย
ที่เกิดขึ้นเพื่อผู้นั้นไปเป็นอื่น ย่อมขัดต่อความมุ่งหมายของธรรมซึ่ง
ผุดขึ้นเพื่อผู้นั้น
ผมพอเข้าใจธรรมที่ผุดขึ้นภายในทั้งเพื่อตนเองทั้งเพื่อ
เทวบุตรเทวดา และเพื่อผู้อื่นใดที่มาเกี่ยวข้องได้พอสมควร เพราะ
ธรรมเหล่านี้เคยเกิดกับผมอยู่เสมอ แม้จะเรียกว่าเกิดคู่เคียงกับ
ปฏิบัติสมาธิภาวนาโดยสม่ำเสมอก็ไม่ผิด นอกจากนั้นเวลาปกติ
ธรรมดา ธรรมดังกล่าวยังเกิดได้ บางทีเดินจงกรมอยู่ก็เกิด นั่งอยู่
ธรรมดาก็เกิด เดินไปบิณฑบาตก็เกิด ฉันจังหันอยู่ก็เกิด พูดคุยอยู่
กับหมู่คณะพอหยุดพูดก็เกิด กำลังแสดงธรรมอยู่พอหยุดชั่วขณะ
เท่านั้นก็เกิด เกิดไม่เลือกกาลสถานที่และอิริยาบถ
ถ้าจะเรียกว่าเกิดประจำนิสัยก็ไม่ถนัดใจ เพราะแต่เริ่มแรก
ปฏิบัติที่ยังไม่รู้ภาษีภาษาอะไร ธรรมเหล่านี้ก็ไม่เห็นเกิด เพิ่งเริ่ม
เกิดบ้างก็เมื่อปฏิบัติพอรู้อะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ขึ้นบ้าง จนจิตเป็น
สมาธิและปัญญาเรื่อยมา ธรรมเหล่านี้ก็ค่อย ๆ เกิดเป็นคู่เคียงกัน
มาตามกำลังของจิต จนตลอดปัจจุบันนี้ ธรรมเหล่านี้เกิดไม่มี
ประมาณ ทั้งไม่เลือกว่าอิริยาบถใดสถานที่ใด เกิดได้ทั้งนั้น แต่จะ
เกิดในอิริยาบถใดสถานที่ใดก็ตาม ย่อมถือเป็นธรรมเฉพาะตัว
เข้าใจจำเพาะตัว ไม่คิดจะให้ใครแปลให้ฟัง นอกจากต้องการทราบ
ความหมายจากผู้อื่นที่แปลจากธรรมบทนั้น เพื่อเทียบเคียงกับ
ความเข้าใจของตนบ้างเท่านั้น จึงถามท่านผู้อื่นบ้างในบางครั้ง แต่
มิได้ถามด้วยความอยากรู้เพราะตนไม่รู้ความหมายของธรรมบท
นั้นมาก่อนที่ท่านเล่าให้ฟังผมเข้าใจดีทั้งหมดว่า เป็นธรรมจำเพาะตัว
ใครตัวเรา ฉะนั้น ผมจึงไม่อยากแปลให้ท่านฟัง แม้ผมจะเป็น
อาจารย์ท่าน แต่สาระสำคัญที่ท่านจะพึงรู้พึงเข้าใจจากธรรมที่ผุดขึ้น
กับท่าน เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าผมแปลให้ฟัง แล้วท่านก็ไม่แปล
ให้ฟังเสีย แต่เราก็มิได้ข้องใจสงสัยอะไรเลย ความจริงก็เป็นดังท่าน
พูดไม่มีผิด ผมยอบรับคำอย่างเทิดทูนไม่มีที่แย้ง
เทวดามาเยี่ยมฟังธรรมจากพระเถระรูปนี้เสมอ
เช่นเดียวกับท่านอาจารย์มั่น
ท่านเล่าว่าเทวดามาเยี่ยมฟังธรรมท่านแต่ละครั้งมีจำนวน
มากบ้างน้อยบ้าง แต่ไม่มากเหมือนที่มาเยี่ยมฟังธรรมท่านพระ
อาจารย์มั่น บางครั้งมาในราว ๕๐-๖๐ บางครั้งราว ๑๐๐-๒๐๐
บางครั้งราว ๕๐๐-๖๐๐ บางครั้งก็เป็นพัน ๆ แต่ห่าง ๆ มา
เครื่องนุ่งห่มของเทวดาทั้งเบื้องบนเบื้องล่างที่มาในบางครั้ง มีสีขาว
ล้วนบ้าง สีแดงล้วนบ้าง เป็นแบบเดียวกันหมดไม่ก้าวก่ายกัน
ทุกพวกและทุกครั้งที่มาไม่มีเครื่องประดับตบแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น เวลา
เข้ามาหาพระผู้ทรงศีลทรงธรรมเป็นที่เคารพมาก เทวดาถือกัน
หัวหน้าประกาศห้ามไม่ให้ใส่เครื่องประดับตบแต่งเข้าไปหาพระ ให้
นุ่งห่มแบบเรียบ ๆ เหมือนพุทธมามกะชาวพุทธ มีกิริยามารยาท
สวยงามมาก ติดตาติดใจ เห็นแล้วไม่จืดไม่จาง มนุษย์เราน่ายึดเอา
แบบอย่างของเขามาใช้ เมื่อเวลาเข้าไปหาพระหาสงฆ์ในวัดหรือ
ที่ใดก็ตาม จะน่าดู ไม่อุจาดบาดตาบาดใจเกิดไป เห็นแล้วทุเรศ
ปลงไม่ตก กลัวตกนรกมากกว่าแต่ใครล่ะจะสามารถนำเรื่องของเทวบุตรเทวดามาเล่า
มาสั่งสอนมนุษย์ให้เชื่อถือและยอมรับปฏิบัติตามได้บ้าง ใครจะกล้า
ยอมรับทำหน้าที่นี้เล่า เพียงได้ยินใครเล่าเรื่องเทวดาเปรตผีให้ฟัง
บ้าง ไม่ทราบว่าเล่าเล่นเล่าจริงก็จะถูกหัวเราะเยาะเย้ยแล้ว ขืนเอา
กฎระเบียบของเมืองเทพเมืองผีมาใช้ในเมืองมนุษย์ เขาก็จะหาว่า
บ้าไม่มีสติ โรงพยาบาลปากคลองสานก็จะไม่ยอบรับเป็นคนไข้ แล้ว
จะไม่ตายทิ้งเปล่า ๆ ทั้งที่บ้ายังติดตัวไปด้วยละหรือ ท่านพูดแล้ว
หัวเราะกันไปพักหนึ่ง ผู้เขียนก็ปากอยู่ไม่เป็นสุข จึงเรียนเล่นบ้าง
จริงบ้างเป็นการหยั่งเสียงดูว่าท่านจะว่าอย่างไร ก็ท่านอาจารย์เอง
จะเป็นไรไป โลกเขาไปเห็นอะไรในเมืองนอกเมืองนา เขายังนำ
มาเล่ากันฟังได้ และนำเอากิจการจากเมืองนอกมาปรับปรุงแก้ไข
ในบ้านเมืองของตน โดยออกกฎเกณฑ์ให้คนในประเทศปฏิบัติ
ตามได้
เช่น เมืองไทยเราการแต่งเนื้อแต่งตัวเวลานี้ ก็กำลังจะกลาย
เป็นเมืองนอกไปหมดแล้วทั้งหญิงชาย ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ เพราะ
คนไทยเราสั่งสอนง่าย ไม่เป็นคนหัวแข็งหัวดื้อรั้นเหมือนคนเมือง
อื่น ๆ ยิ่งการแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยแล้วคนไทยยิ่งชอบและถอดแบบ
ของใคร ๆ มาปฏิบัติได้อย่างถูกต้องแม่นยำ หรือยิ่งกว่าครูเสียอีก
ทั้งจำอะไร ๆ ที่แปลกหูแปลกตาได้อย่างอัศจรรย์ ยิ่งการแต่งกาย
แบบเมืองเทพซึ่งใคร ๆ ไม่เคยไปเห็น แม้พวกนักท่องเที่ยวอวกาศ
ก็ไม่มีหวังจะได้เจอได้ชมการแต่งกายของพวกเทพพอจะนำมา
อวดโลกได้เลยด้วยแล้ว ถ้ามนุษย์ได้รับการแนะนำแนวทางบ้างแล้ว
เข้าใจว่าจะมีผู้สนใจไม่น้อย เพราะเป็นแบบของคนชั้นสูงพอจบประโยคต่างคนต่างหัวเราะกันพักใหญ่ แล้วท่านว่า
ให้ผู้เขียนว่า คำพูดของท่านมักพิสดารเกินไป ถ้าขืนทำตามท่าน
ผมต้องไม่ได้อยู่ในเมืองไทยแน่ จะต้องถูกเนรเทศไปอยู่กับพวกเปรต
พวกผีโดยไม่ต้องสงสัย เพราะเขาจะหาว่าผมเป็นเพื่อนกับพวกนั้น
แล้วจะขับไล่ให้ไปอยู่กับพวกเปรตพวกผีนั้นแน่นอน ส่วนจะให้ไปอยู่
กับพวกเทพพวกพรหมคงไม่มีหวังแน่ ๆ เพราะภูมินี้เป็นภูมิดีมี
ศักดิ์สูง แต่ภูมิเปรตผีนั้นซิที่เขาจะไล่ผมไปอยู่ด้วย เพราะเป็นภูมิที่
ต่ำต้อยด้อยศักดิ์ศรีไม่มีใครปรารถนา เพื่อเป็นการประณาม ถ้า
เรื่องเป็นอย่างนี้ท่านจะว่าอย่างไร
ตอนนี้ทั้งท่านทั้งผู้เขียนต่างหัวเราะกันพักหนึ่ง แล้วท่านพูด
ต่อไปว่า ท่านกรุณาอย่าหาญคิดจะให้ผมเอาระเบียบของเทพของ
พรหมมาใช้ในเมืองมนุษย์เลย แม้แต่พวกดังกล่าวนี้ก็ยังเคารพ
ศาสนา เคารพพระพุทธเจ้าอย่างเทิดทูน ธรรมดังกล่าวก็อยู่ใน
มนุษย์เรานี้เอง ถ้าใครจะสนใจปฏิบัติตาม ก็ไม่เห็นอะไรบกพร่องใน
บรรดาธรรมสอนโลกที่มีอยู่ในแดนมนุษย์เรา ถ้าเราไม่โง่จนเกินไป
เท่าที่ผมเล่าให้ฟังก็ถือเป็นกันเอง มิได้คิดจะไปพูดไปเล่าที่ไหน แต่
พอเล่าให้ฟังตามเหตุการณ์ที่ปรากฏบ้าง ท่านกลับขอให้ผมนำเอา
ขนบธรรมเนียมของเทวดามาสั่งสอนมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องซวยที่สุด
สำหรับผู้จะเริ่มคิดนำธรรมเนียมลึกลับมาสอนโลก ผมทำไม่ลง
แม้แต่คิดก็ไม่เคยคิด ผู้เขียนเรียนท่านว่า กระผมก็เรียนไปตาม
ภาษาอย่างนั้นเอง ถ้าท่านอาจารย์ไม่สะดวกก็ไม่ควรฝืน เราคุยกัน
สนุกตามแบบพระโดยลำพังที่ถือเป็นกันเอง
บรรดาเทวดาหลายพวกที่มาเยี่ยมท่านในวาระต่าง ๆ กัน
นั้น มีความคิดเห็นรักชอบธรรมต่าง ๆ กัน บางพวกชอบรับศีลก่อนฟังธรรม บางพวกขอฟังธรรมเลยทีเดียว บางพวกชอบธรรม
สังโยชน์เบื้องบน บางพวกชอบฟังสังโยชน์เบื้องต่ำ แต่ที่ชอบฟัง
สังโยชน์เบื้องต่ำมากกว่า บางพวกชอบฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
บางพวกชอบฟังกรณียเมตตสูตร บางพวกชอบฟังสังคหธรรม
เกี่ยวกับการสงเคราะห์กัน ชอบแปลก ๆ ต่าง ๆ กันตามจำนวน
ของพวกเทพที่มานั้น ๆ ต่างมีความรักชอบธรรมไปตามนิสัย
เหมือนมนุษย์เรา บางพวกชอบฟังเมตตาพรหมวิหาร บางพวก
ชอบฟังสูตรที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลยก็มี เราจนใจต้อง
บอกกับเขาว่าไม่เคยรู้ไม่เคยเรียนมา เขาก็ขอฟังสูตรอื่น ๆ ที่เขา
ชอบต่อไป
ท่านว่าเทวดาเคารพรักท่านมาก ไม่อยากให้ท่านหนีไป
ที่ไหนเลย อยากให้ท่านพักอยู่กับเขานาน ๆ ขณะที่ท่านพักอยู่ที่
นั้น เทวดาว่ามีความสงบเย็นใจมาก กลางคืนก็ได้ยินเสียงท่าน
สวดมนต์และเจริญธรรมบทเมตตา เขามีความซาบซึ้งในธรรมที่ท่าน
สวดมาก ไม่อยากให้จบลงง่าย ๆ ท่านว่าการสวดมนต์ก็เพียงนึก
อยู่ในใจ มิได้สวดเสียงดังพอจะได้ยินถึงใครๆ แต่เวลาเทวดามา
เยี่ยม เขาขอให้สวดมนต์สูตรนั้น ๆ ให้มากกว่าสูตรอื่น ๆ เขา
เป็นสุขใจและชอบฟังมากกว่าสูตรอื่น ๆ ขณะท่านสวดมนต์เขา
สนใจฟังอย่างเพลิดเพลินดังนี้ ท่านถามเขาว่าทราบได้อย่างไรว่า
อาตมาสวดมนต์สูตรนั้น ๆ เขาตอบท่านทันทีว่าเสียงสวดมนต์
ของพระคุณท่านสะเทือนไปทั่วพิภพ จะไม่ให้ได้ยินอย่างไรได้ ธรรม
เป็นของละเอียดอ่อนอยู่แล้ว เมื่อยกขึ้นประกาศด้วยการสวดหรือ
สังวัธยาย ก็ต้องดังกังวานไปทั่วพิภพ ให้รู้ทั่วถึงกันทั้งโลกธาตุ
บรรดาผู้ควรจะทราบได้


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2012, 06:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.พ. 2012, 04:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


พระอรหันต์มาแสดงธรรมให้ท่านฟัง
ท่านพักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ตอนกลางคืนยามดึกสงัด ท่าน
กำลังเข้าที่ทำสมาธิภาวนาอยู่ มีพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อ พระ
ภากุละ รูปร่างขาวสูง สวยงามมาก มองเห็นแล้วน่าเคารพเลื่อมใส
ทันที ท่านเหาะทางอากาศมาเยี่ยมท่านทางสมาธิภาวนา ตอน
กลางวันของคืนวันนั้น บริขารชิ้นหนึ่งของท่านหาย หายังไงก็ไม่พบ
พอตกกลางคืนนั่งภาวนา พระอรหันต์องค์นี้ก็เหาะมาเยี่ยมท่าน
พอดี พอเหาะลงมาถึงพื้น นั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ถามขึ้นทันทีว่า
ทราบว่าบริขารชื่อนั้นของท่านหายเมื่อตอนกลางวันใช่ไหม ท่าน
เรียนตอบว่า ใช่ พระอรหันต์องค์นั้นก็ชี้มือบอกว่า “นั่น อยู่ที่นั่น
มิได้หาย ท่านลืมที่ไว้ต่างหาก” พอเช้าวันหลังไปดูที่ท่านชี้บอกก็
เห็นจริง ๆ ท่านรู้สึกแปลกใจว่าท่านก็มิได้บนบานศาลกล่าวอะไร
เลย แต่ท่านทำไมทราบได้ บริขารนั้นก็ได้คืนมาจริง ๆ ตามจุดที่
ท่านชี้บอก จึงน่าอัศจรรย์อยู่มากท่านว่า
ขณะที่พระอรหันต์ท่านเหาะมาเยี่ยมท่านอาจารย์องค์นั้น
ท่านชมเชยและสรรเสริญท่านที่ถือธุดงควัตร และปฏิบัติดีปฏิบัติ
ชอบน่าเคารพเลื่อมใส จึงดลบันดาลให้ท่านต้องมาเยี่ยมถึงที่อยู่
จากนั้นท่านก็แสดงธรรมเพื่อความรื่นเริงแก่ท่าน และสอนเน้นหนัก
ลงในธุดงควัตรว่า จงพยายามรักษาธุดงค์ไว้ให้มั่นคงต่อไป อย่าให้
เสื่อมร่วงโรยไปเสีย ธุดงควัตรเสื่อมก็เท่ากับว่าศาสนาเสื่อม แม้
คัมภีร์ธรรมทั้งหลายยังมีอยู่ก็ไม่อาจทรงคุณค่าแก่ผู้ไม่สนใจได้เท่าที่
ควร ธุดงควัตรเป็นธรรมขั้นสูงมาก ผู้รักษาธุดงค์ได้ต้องเป็นผู้มีจิตใจ
สูง ท่านควรทราบว่า พระอริยเจ้าทุกประเภทไปจากธุดงควัตรนี้
ทั้งนั้น เพราะธุดงค์เป็นธรรมเครื่องทำลายกิเลสได้ทุกประเภทธุดงควัตรจึงเป็นทางเดินเพื่ออริยธรรม อริยบุคคล
คนไม่มีธุดงควัตรคือคนวัตรร้าง เช่นเดียวกับบ้านร้าง
เมืองร้าง อะไรก็ตามถ้าลงได้ร้างแล้วไม่เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาเลย
ท่านจงรักษาธุดงค์อันเป็นเครื่องทำลายกิเลสไว้ให้ดีและมั่นคง อย่า
ให้เป็นพระวัตรร้าง จะเป็นทางรั่วไหลแตกซึมแห่งมรรคผลนิพพาน
ที่ควรจะได้จะถึง พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายบรรดาที่เลิศแล้ว
ล้วนแต่ท่านรักษาธุดงควัตรกันทั้งนั้น ใครประมาทธุดงค์ว่าไม่สำคัญ
ผู้นั้นคือผู้หมดสาระสำคัญในตัวเอง ท่านจงรักษาความสำคัญของ
ตนไว้ด้วยธุดงควัตร ผู้มีธุดงควัตรเป็นผู้มีอำนาจทั้งภายนอกภายใน
อย่างลึกลับจับใจที่บอกใครไม่ได้ เป็นผู้เด่นในวงแห่งทวยเทพชาว
ไตรภพทั้งหลาย มนุษย์และเทวดาทุกชั้นทุกภูมิเคารพรักผู้มีธุดงค-
วัตรประจำตัวอยู่ และไปที่ไหนไม่เป็นภัยแก่ตัวและผู้อื่น มีแต่ความ
เย็นฉ่ำอยู่ภายในทั้งกลางวันและกลางคืน
ธุดงควัตรเป็นธรรมลึกลับยากที่จะมองเห็นความสำคัญ ทั้งที่
ธุดงควัตรเป็นธรรมสำคัญในศาสนามาดั้งเดิม ธุดงควัตรเป็นหลัก
ใหญ่แห่งพระศาสนา ผู้มีธุดงค์ประจำตัว คือผู้รู้ความสำคัญของ
ตัวและรักษาถูกจุดแห่งความสำคัญได้ดี เป็นที่น่าชมเชยอย่างถึงใจ
ผู้มีธุดงควัตรดีเป็นผู้มีจิตใจเมตตาอ่อนโยนในสัตว์ทั้งหลาย ถ้ายังมี
ผู้ปฏิบัติรักษาธุดงควัตรอยู่ตราบใด ศาสนาก็ยังทรงดอกทรงผล
อยู่ตราบนั้น เพราะธุดงค์เป็นทางที่ไหลมาแห่งมรรคและผลทุกชั้น
ไม่มีสถานที่กาลเวลาหรือสิ่งใด ๆ มาเป็นอุปสรรคกีดขวางทางเดิน
เพื่อมรรคผลนิพพานได้ ถ้าธุดงควัตรยังเป็นไปอยู่กับผู้ปฏิบัติ
ทั้งหลาย ท่านจงจดจำให้ถึงจิต คิดไตร่ตรองให้ถึงธรรมคือธุดงควัตร
ดังกล่าวมา อยู่ที่ใดไปที่ใดจะชุ่มเย็นอยู่กับตัวท่านเอง ธุดงควัตรนี่แลคือบ่อเกิดแห่งธรรมทั้งหลายดังนี้
พอแสดงธรรมจบลง ท่านก็ลาจากไปโดยทางอากาศ
หายเงียบไปเลย เมื่อพระอรหันต์ท่านจากไปแล้ว ท่านนำธรรมที่
ท่านแสดงสั่งสอนมาคิดอ่านไตร่ตรอง เกิดความอัศจรรย์ใจตัวเองที่
ไม่คาดฝันว่าจะมีพระอรหันต์ผู้วิเศษ แม้นิพพานแล้วยังอุตส่าห์มา
เมตตาอบรมสั่งสอนเกี่ยวกับธุดงควัตรและธรรมอื่น ๆ มากมาย
เกิดความมั่นใจในธรรมทั้งหลายว่า ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์
ทั้งชาติ ได้จอมปราชญ์มาเมตตาสั่งสอน ซึ่งเป็นพระขีณาสพทั้งองค์
เหาะมาทางอากาศ เราคงมีวาสนาบารมีอยู่บ้างที่ได้เห็นสิ่งที่ไม่น่า
จะเห็น และได้ฟังสิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะได้ยินได้ฟังนับแต่เกิดมา การ
ดำเนินของเราคงไม่เป็นโมฆะในวงพระศาสนา มิฉะนั้นพระอรหันต์
องค์วิเศษคงไม่เหาะมาโปรดเมตตาให้เสียเวลา
คืนวันนั้นพอออกจากที่ทำสมาธิมาเดินจงกรม ราวกับตัวจะ
เหาะลอยขึ้นบนอากาศตามพระอรหันต์ท่านไปจนได้ ทำความเพียร
ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าใด ๆ เลย มรรคผลนิพพานเหมือนกับ
อยู่ชั่วเอื้อมมือถึง ทั้งที่จิตก็ยังมีกิเลสอยู่ในใจนั่นแล จิตใจสงบเย็น
กายก็เบา มองไปในทิศทางใดรู้สึกปลอดโปร่งโล่งไปหมด ไม่ปรากฏ
สิ่งและอารมณ์ใด ๆ มาเกี่ยวข้องพัวพันจิตใจให้ลำบากรำคาญ
เหมือนที่เคยเป็นมารต่อกันมาเลย เดินจงกรมจนถึงสว่างโดยไม่รู้สึก
เมื่อยขบใด ๆ ทั้งสิ้น
ที่เคยได้ยินธรรมท่านแสดงไว้ว่า ธมฺมปีติ สุขํ เสติ ผู้มี
ความปีติในธรรมย่อมอยู่หลับนอนเป็นสุขดังนี้ ก็เพิ่งมาปรากฏ
ชัดกับใจในคืนวันนั้นดังนี้ ฟังแล้วขนลุกซู่เพราะความปีติยินดีใน
ประสบการณ์ของท่านที่มีวาสนาบารมี บำเพ็ญธรรมจนเห็นมรรคเห็นผลอยัมภทันตา ทั้งภายนอกมีพระอรหันต์องค์วิเศษเหาะมา
โปรดเมตตา ทั้งภายในก็ได้ดื่มธรรมรสปรากฏซาบซ่านไปทั้งกาย
ทั้งใจ อันเป็นความเย็นที่หาได้ยาก ฟากฟ้าแดนดินถิ่นใกล้ถิ่นไกล
หรือถิ่นไหน ๆ ก็ไม่มีให้เจอ ถ้าไม่เจอจากความเพียรพยายาม
ปฏิบัติอบรมในธรรมนี้เท่านั้น ท่านที่เพียรทางนี้ย่อมมีวันเจอ
เพราะสิ่งที่จะให้เจออยู่กับธรรม และธรรมก็อยู่กับใจ ไม่แยกหรือ
อยู่ห่างไกลกันอะไรเลย
ท่านอาจารย์องค์นี้รู้สึกจะมีประวัติแปลกอยู่บ้างองค์หนึ่ง
ในบรรดาศิษย์ท่านอาจารย์มั่นในการเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่ง
โดยมากก็เป็นความอดอยากกันดารและสัตว์เสือที่เป็นเรื่องเสี่ยง
ต่อชีวิตที่โลกรักสงวนกันอย่างยิ่ง ผลที่ได้รับก็ประทับใจทั้งภายนอก
ภายใน คือภายนอกก็ได้เห็นสิ่งลึกลับที่เกินกว่าสายตาและหูของ
มนุษย์ทั้งหลายจะรู้เห็นและได้ยินได้ แต่ท่านก็ได้เห็นอยู่เสมอเป็น
คู่เคียงกับปฏิปทาตลอดมา และภายในคือธรรมรสก็ปรากฏอยู่กับใจ
โดยสม่ำเสมอ ต่อไปนี้ท่านผู้อ่านก็จะได้นึกวาดภาพไปตามความ
เป็นไปแห่งเรื่องของท่านต่อไปอีก ซึ่งจะขออาราธนาเรื่องท่านมา
ลงไปเรื่อย ๆ จนควรแก่การยุติ
คือท่านพักทำความเพียรอยู่ในถ้ำแห่งภูเขาลูกหนึ่ง ทราบว่า
ห่างจากหมู่บ้านมากผิดที่เคยอยู่มาก่อน บิณฑบาตทั้งไปและ
กลับก็กินเวลาราวสองชั่วโมงกว่า จนเหงื่อแตกโชกแทบไม่มีเหลือ
ติดตัวกว่าจะกลับถึงที่พักแต่ละครั้ง แต่ท่านก็พอใจที่จะอยู่บำเพ็ญ
ด้วยความสมัครใจ ไม่คิดถึงความลำบากกันดารใด ๆ ทั้งสิ้น การ
ภาวนาก็เป็นไปด้วยความดูดดื่มไม่จืดจาง คืนวันหนึ่งพอจิตสงบ
ตัวลงไม่นานนัก ก็ปรากฏเห็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ชื่อท่านว่าพระกัสสปเถระ เหาะลอยมาทางอากาศ มุ่งหน้ามาหาท่านและ
ค่อย ๆ เหาะลงมาราวกับมีเบรกห้ามล้อเหมือนรถยนต์เรา แล้วก็
ค่อย ๆ หย่อนองค์ท่านลงมาจนถึงพื้น เสร็จแล้วนั่งพับเพียบ
เรียบร้อยที่ตรงหน้าท่านด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่เต็มไปด้วยรัศมี
แพรวพราวรอบองค์ มีลักษณะท่าทางอ่อนโยนด้วยเมตตา ราวกับ
หมอผู้มีอัธยาศัยใจเอื้ออารีต่อคนไข้ เข้ามาถามดูอาการด้วยความ
เป็นห่วง หวังจะช่วยอนุเคราะห์ด้วยหยูกยาและวิธีการต่าง ๆ
อย่างเต็มสติกำลังความสามารถที่มีอยู่ฉะนั้น
พระอรหันต์องค์นั้นก็เช่นกัน พอนั่งพับเพียบเรียบร้อย
ด้วยทั้งอัธยาศัยที่เต็มไปด้วยเมตตาหวังธรรมานุเคราะห์แก่ท่าน
แล้วก็ถามด้วยความเอื้อเฟื้อว่า เป็นอย่างไร ขันธปัญจกกับใจที่เป็น
เจ้าของแห่งวัฏฏะของท่าน พอเป็นไปอยู่ละหรือ จิตพอจะเห็นโทษ
และเบื่อหน่ายต่อการเกิดตายบ้างหรือยัง ผมเป็นห่วงท่าน กลัวว่า
จิตที่เคยนอนไม่ตื่นมาเป็นอนันตกาลจนนับประมาณมิได้ จะไม่
สนใจอยากตื่นพอมองเห็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน อันเป็นแดน
ลึกลับสำหรับสัตว์โลกผู้ไม่สนใจจะตื่นจากหลับ คือความเพลินหลง
ในสิ่งหลอกลวงทั้งหลายที่มีประจำอยู่ในแดนของสัตว์โลกผู้ชอบ
ลุ่มหลง ยิ่งกว่าความชอบรู้จริงเห็นจริงทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในแดน
เดียวกัน จึงได้มุ่งมา เมื่อมาถึงแล้วก็น่าอนุโมทนาในกำลังศรัทธา
และข้อปฏิบัติที่ท่านบำเพ็ญอยู่เวลานี้ นี่เป็นประโยคแรกที่ท่าน
ทักทายไต่ถามด้วยความเป็นห่วงและเมตตา
ส่วนท่านอาจารย์องค์นั้นท่านปรากฏในนิมิตภาวนาว่า ท่าน
ลุกขึ้นกราบไหว้ท่านด้วยความตื้นตันใจ ทั้งที่ใจยังอยู่ในสมาธิขณะที่
ท่านเหาะลงมาถึงทีแรก ท่านเรียนตอบพระอรหันต์โดยทางสมาธิภาวนาว่า ขันธ์ของเกล้ากระผมก็พอทนกันไปแบบโลก ๆ เขาทน
กัน ส่วนจิตก็พยายามตะเกียกตะกายปลุกปล้ำกันไป เพื่อความเห็น
โทษแห่งการลืมตัวมั่วสุมกับสิ่งที่เป็นพาลภายใน ซึ่งคอยหลอกหลอน
ให้ลุ่มหลงไปตามตลอดเวลา พอได้รับความร่มเย็นเห็นโทษแห่ง
วัฏฏะบ้างเท่าที่สติปัญญาสามารถ
เมื่อจบลงท่านก็เริ่มแสดงธรรมให้ฟัง โดยเน้นหนักไปทาง
ธุดงควัตรเช่นเดียวกับองค์ก่อน แสดงพระวินัยเป็นวาระสุดท้าย
ใจความแห่งธรรมที่แสดง ท่านยกเอาธุดงควัตรที่อาจารย์องค์นั้น
กำลังปฏิบัติอยู่ขึ้นแสดง ว่าที่ท่านปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้นั้นเป็นสามี
จิกรรมอันชอบแล้ว พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายที่เป็น
อัจฉริยบุคคล ท่านชอบอยู่ในป่าเปลี่ยว อยู่ในถ้ำ เงื้อมผา รุกขมูล
ร่มไม้ อยู่ในป่าชัฏ อยู่ในป่าช้า อันเป็นสถานที่เตือนบอกเรื่อง
ความตายทุกวันเวลา เกี่ยวกับการที่ประชาชนมาทิ้งผี ทั้งผีหญิง
ผีชาย ผีชายหนุ่ม ผีหญิงสาว ผีเด็กผีคนเฒ่าคนแก่ อยู่ทุกวันเวลา
ท่านอยู่ด้วยความมีสติปัญญาไตร่ตรองกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่
ตลอดเวลา เพื่อสติปัญญาจะได้มีทางตื่นตัวและหาทางออก ท่าน
อยู่อย่างที่ท่านกำลังอยู่บำเพ็ญเวลานี้แล
การอยู่ของท่านจึงเป็นความถูกต้อง ไม่เกลื่อนกล่นวุ่นวาย
ด้วยเรื่องส่งเสริมวัฏทุกข์ให้พอกพูนหัวใจจนหาที่ปลงวางมิได้ แต่
สัตว์โลกไม่ค่อยคิดหาที่ปลงวางกัน นอกจากต่างคนต่างคิดสั่งสม
และส่งเสริมให้เชื้อและทุกข์เพิ่มขึ้นจนเป็นมหันตทุกข์เท่านั้น ฉะนั้น
การเกิดตายของสัตว์โลกจึงเกลื่อนไปทั่วดินแดน ไม่มีอะไรที่ไหนจะ
มากกว่าป่าช้าของสัตว์ที่ตั้งหน้าเกิดตายกัน แม้ที่เรากำลังนั่งอยู่
เวลานี้ก็คือป่าช้าของสัตว์ชนิดต่าง ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีที่ว่างว่าไม่มีป่าช้าของสัตว์แทรกอยู่ แม้ในตัวเราตัวท่านก็คือป่าช้าของสัตว์เราดี ๆ
นี่แล ก็เมื่อทุกหนทุกแห่งมีแต่ที่เกิดตายของสัตว์เช่นนี้ เราจะหา
ความสบายที่ไหนกัน
ท่านได้พิจารณาบ้างหรือยังว่า แม้ในตัวท่านเองก็เป็น
ป่าช้าที่เกิดตายของสัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่นเดียวกับภายนอก ถ้ายัง
ไม่พิจารณาก็แสดงว่าปัญญายังไม่รอบคอบพอที่วัฏฏะจะเกรงกลัว
และหาทางออก ไม่มารบกวนชวนให้เกิดตายซ้ำ ๆ ซาก ๆ ที่น่า
รำคาญของนักปราชญ์ทั้งหลาย คำว่าปัญญาก็ได้แก่ความแยบคาย
ของใจเอง ต้องสอดแทรกไปหมดไม่มีเว้นแม้ขนาดเท่าเม็ดหิน
เม็ดทราย ซึ่งล้วนเป็นสมมุติสิ่งทำให้ติดข้องได้ด้วยกัน ปราชญ์ท่าน
จึงพิจารณาและรื้อถอนออกจนหมดสิ้นไม่มีเหลืออยู่เลย
ท่านก็เป็นผู้หนึ่งในวงของพระธุดงค์ที่มีใจมุ่งมั่นต่อแดน
พ้นทุกข์ และปฏิบัติตามเยี่ยงอย่างปฏิปทาของอริยบุคคลอันสูงสุด
จึงควรใช้สติปัญญาแบบท่านบ้าง จะเป็นความถูกต้องเหมาะสมตาม
นโยบายของธุดงควัตรที่ทรงบัญญัติไว้ เพื่อส่งเสริมสติปัญญาของ
ผู้ดำเนินตามให้เกิดความฉลาดรอบรู้ในทุกแง่ทุกมุมที่เกี่ยวกับตน
และถอดถอนออกได้เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่นั่งเฝ้านอนเฝ้าธุดงควัตร
ต่าง ๆ อยู่โดยไม่ทราบความมุ่งหมายว่า ธุดงค์ข้อนั้น ๆ เพื่อแก้
กิเลสบาปธรรมต่างกันอย่างไรบ้าง และอำนวยประโยชน์แก่ผู้ดำเนิน
ตามโดยถูกต้องในทางใดบ้าง ซึ่งความจริงธุดงค์แต่ละข้อมีความ
มุ่งหมายในการแก้หรือถอดถอนกิเลสอยู่ในตัวอย่างพร้อมมูลแล้ว
ไม่ว่ากิเลสประเภทใดที่มีอยู่ในใจสัตว์โลก ธุดงค์นั้น ๆ สามารถ
รื้อถอนได้โดยสิ้นเชิง ถ้าผู้ปฏิบัติสามารถรู้ทั่วถึงความมุ่งหมาย
ของธุดงค์ได้โดยถูกต้อง เพราะธุดงค์เหล่านี้เป็นเครื่องกลั่นกรองสามัญมนุษย์ให้กลายเป็นอัจฉริยมนุษย์มามากต่อมากแล้ว
เท่าที่ท่านปฏิบัติอยู่เวลานี้ก็น่าชมเชยอยู่แล้ว แต่ที่อธิบาย
เพิ่มเติมบ้างก็เพื่อเป็นการส่งเสริมสติปัญญาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมกับ
ธุดงค์เป็นเครื่องกลั่นกรองคนให้ฉลาดแหลมคมขึ้นไปโดยลำดับ
ไม่ติดอยู่เพียงแค่คำว่าถือธุดงค์เท่านั้น ซึ่งเป็นความโง่เขลานอนใจ
ไม่คิดอ่านทางปัญญาหาความฉลาดใส่ตน ธุดงค์แต่ละข้อมี
ความหมายลึกซึ้งมากมายที่จะรู้ทั่วถึง จึงควรใช้สติปัญญา
ไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วนเป็นข้อ ๆ ไป ท่านจะได้รับประโยชน์
จากธุดงค์ไม่มีประมาณ แม้ความสิ้นสุดถึงวิมุตติพระนิพพาน ก็
ไม่นอกเหนือไปจากธุดงค์ดังกล่าวเป็นเครื่องส่งเสริมเลย
ท่านอัจฉริยชนทั้งหลายมีความรักชอบธรรมเหล่านี้มาก
และท่านฝากชีวิตจิตใจไว้กับธรรมเหล่านี้กันทั้งนั้น ทั้งชมเชยยกย่อง
ท่านผู้สนใจปฏิบัติธุดงค์ว่า เป็นผู้จะยังประโยชน์ตนให้สำเร็จไป
ด้วยดีไม่มีอุปสรรค และดำรงอริยประเพณีไว้ได้ เพราะนี้เป็นอริย
ประเพณีที่ท่านดำเนินมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าพระพุทธศาสนาของ
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัส ตรัสไว้ในสมัยใดและที่ใด จำต้อง
มีธุดงควัตรอันเป็นคู่เคียงพระศาสนาเสมอมา
อย่าเข้าใจว่าธุดงควัตรเหล่านี้ จะมีเฉพาะศาสนาของ
พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเท่านั้นเลย แต่มีประจำกับทุก ๆ
ศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์นั้น ๆ ตลอดมาจนถึงพุทธศาสนา
ปัจจุบัน จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสในพระนามของความ
บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส พระพุทธเจ้านั้น ๆ จำต้องประกาศสอน
ธุดงควัตรแก่ภิกษุบริษัทของพระองค์เช่นเดียวกันทุก ๆ ศาสนา
เพราะธุดงควัตรเป็นปฏิปทาที่เหมาะสมกับนักบวชอย่างยิ่ง ผู้หวังความหลุดพ้นอย่างเต็มใจอยู่แล้ว จะได้ปฏิบัติตามธุดงควัตรด้วย
ความมุ่งมั่นกลั่นกรองกิเลสออกจากใจ ได้ทันกับเหตุการณ์ไม่เนิ่น
ช้าล้าหลัง
ท่านอาจารย์องค์นั้นเรียนถามข้อข้องใจ ในระหว่าง
พระอรหันต์ท่านหยุดชั่วขณะว่า มีผู้สงสัยว่านับแต่พระพุทธองค์
ปรินิพพานจนถึงสมัยนี้ ถ้านับเวลาก็ได้สองพันกว่าปีแล้ว ถ้า
เป็นผลไม้และสิ่งต่าง ๆ ก็จำต้องร่วงโรยไปตามกฎอนิจจัง ไม่มี
อะไรเหลืออยู่แม้ซากแห่งลำต้นของมัน ถ้าเป็นบริษัทห้างร้าน
ต่าง ๆ ก็เป็นผุยผงของดินไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือพอเป็น
เครื่องหมายแห่งบริษัทและตึกรามบ้างเลย แม้แต่ภูเขาแท่งทึบ
ยังมีการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีอะไรเหนืออำนาจกฎอนิจจัง ส่วน
ธรรมาภิสมัยที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายตรัสรู้และบรรลุใน
สมัยนั้น พอตกมาสมัยนี้ น่าจะไม่มีเค้าโครงแห่งมรรคผลนิพพาน
เหลืออยู่พอกุลบุตรทั้งหลายได้ดื่มบ้าง ด้วยปฏิปทาข้อปฏิบัติของตน
น่าจะค่อยๆ เสื่อมสูญไปเช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลายฉะนั้น
กระผมเองไม่มีปัญญาสามารถแก้ไขเหตุการณ์ทำนองนี้ให้
สงบลงได้ แต่วันนี้เป็นโอกาสวาสนาสุดที่จะอัศจรรย์ของกระผม
เองที่คาดไม่ถึง ซึ่งพระผู้ประเสริฐเลิศโลกเหาะลอยลงมาโปรดด้วย
ความเมตตาสงสาร จึงขอประทานกราบเรียนถามข้อข้องใจที่เป็นมา
ว่า เรื่องมรรคผลนิพพานในวงพระศาสนาอันเป็นทางปฏิวัติกับสิ่ง
สมมุติทั้งหลาย ยังจะกลับเป็นธรรมานุวัติไปตามโลกแห่งอนิจจังอยู่
หรือประการใด คือเมื่อโลกแปรปรวน ธรรมก็แปรปรวน โลกเสื่อม
ธรรมก็เสื่อม โลกสูญธรรมก็สูญ สิ่งต่าง ๆ หมดความหมายลง
ธรรมก็อาจหมดความหมายไปตาม และอาจกระเทือนถึงมรรคผลนิพพานว่า จะต้องสิ้นสุดกุดด้วนไปตามกาลสถานที่แห่งการ
ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าด้วยหรือประการใด
เท่าที่ทราบมาการปรินิพพานของพระองค์นั้น เป็นเรื่อง
ของพระองค์โดยเฉพาะ มิได้เกี่ยวกับหลักธรรมวินัยที่ทรงประกาศ
สอนไว้เพื่อมรรคผลนิพพานแต่อย่างใด แต่แล้วผู้ที่สงสัยเกี่ยวกับ
กาลเวลาแห่งการปรินิพพานของพระองค์ ที่ทำให้มรรคผลนิพพาน
กระเทือนไปก็ยังมีอยู่ ดังคำว่าพระองค์ปรินิพพานได้สองพันกว่าปี
แล้ว ศาสนาของพระองค์ย่อมจะค่อย ๆ ร่วงโรยและหมดมรรค
หมดผลไปด้วย แม้ปฏิบัติกันไปก็ลำบากเปล่าโดยไม่มีผลตอบแทน
แต่อย่างใดเลยดังนี้ ฟังแล้วรู้สึกขัดกันกับพุทธพจน์อยู่มาก ทั้ง
เป็นการสร้างความสะเทือนใจแก่วงพระศาสนาและประชาชนพุทธ
บริษัท ให้เกิดความสงสัยลังเลได้พอดู ซึ่งความคิดเห็นเหล่านี้ไม่เกิด
ประโยชน์แต่อย่างใดเลย นอกจากเขย่าศาสนาและจิตใจประชาชน
ให้ขุ่นมัวเท่านั้น
พระอรหันต์ตอบท่านว่า ถ้าธรรมเป็นเหมือนผลไม้ เป็น
เหมือนบริษัทห้างร้าน เป็นเหมือนสิ่งต่าง ๆ ในแดนสมมุติที่ตกอยู่
ในกฎแห่งอนิจจัง ธรรมก็หายซากไปนานแสนนานแล้ว ไม่มีใครได้
ดื่มรสแม้เพียงผ่านชิวหาประสาทคือใจชั่วขณะเลย พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายและสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ที่มีจำนวนมหาศาล
ไม่สามารถจะนับจะประมาณ ก็ไม่มีโอกาสปรากฏขึ้นในโลกแห่ง
อนิจจังนี้ได้ แม้ที่จะมาตรัสรู้และบรรลุข้างหน้าซึ่งไม่มีประมาณ ก็
เป็นอันดับดิ้นสิ้นอริยชาติอริยวาสน์อริยวงศ์ไปตาม ๆ กัน เท่าที่
พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย ทั้งอดีตอนาคต ยังปรากฏสืบเนื่อง
กันมาเป็นลำดับไม่ขาดมูลสูญราก ยังปรากฏความดีและคนดีวิเศษ



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2012, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นร่างเหลืออยู่ให้สัตว์โลกได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ
สืบมาจนทุกวันนี้ ก็เพราะธรรมมิได้เป็นเหมือนตึกรามบ้านช่องที่
คอยแต่จะล้มทับคนตายด้วยกฎอนิจจังบังคับนั่นเอง
คำว่าธรรมเป็น อกาลิโก ถ้าไม่หมายเอาธรรมฟากแดน
สมมุติบริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว จะหมายอะไรเป็นธรรมสาระเล่า ธรรม
สาระที่เป็นอกาลิโกนั้นแลคือธรรมแท้ ไม่อยู่ในขอบเขตแห่งกุศล
ธรรมและอกุศลธรรมเป็นต้น ที่มีอนิจจังเป็นทางเดินเช่นเดียวกับ
สิ่งทั่ว ๆ ไป เช่น ธรรมเจริญบ้าง ธรรมเสื่อมบ้าง เป็นต้น อันเป็น
กฎเดียวกันกับโลกทั่ว ๆ ไป ซึ่งไม่จัดเข้าในธรรมสาระดังธรรมใน
พระทัยของพระพุทธเจ้า และธรรมในใจของพระขีณาสพทั้งหลาย
ที่เป็นอกาลิกธรรมล้วน ๆ ไม่มีกฎใด ๆ เข้าไปอาจเอื้อมทำลายได้
ธรรมประเภทนั้นแลคือธรรมสาระแท้ เป็นธรรมไม่มีเหตุปัจจัย
ปรุงแต่งให้เป็นต่าง ๆ เหมือนสิ่งทั้งหลาย
อะไรจะหมดความหมายไปมากน้อยเพียงไร จะเสื่อมสูญ
ไปไหนก็ตาม แต่ธรรมสาระนี้ยังเป็นธรรมที่มีความหมายในตัวเอง
ทั้งที่ใครจะเคารพนับถือหรือไม่ก็ตาม ธรรมนี้ยังสามารถทรงตัวอยู่
ด้วยความสมบูรณ์ และเป็นอกาลิกธรรมอยู่ตลอดกาล พระพุทธเจ้า
และสาวกทั้งหลายทรงกราบไหว้และกราบไหว้บูชาก็ดี โลกระลึกถึง
และกราบไหว้บูชากันก็ดี ก็กราบธรรมสาระนี้แล การปรินิพพาน
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่เพียงพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง มี
พระสมณโคดมของเราเป็นต้น นั่นเป็นเพียงเรือนร่างของพุทธะ
ก้าวเดินไปตามสายทางของไตรลักษณ์ที่มีประจำสัตว์สังขารทั่ว ๆ
ไปเท่านั้น มิได้เป็นความกระทบกระเทือนถึงองค์พุทธะที่บริสุทธิ์
อันเป็นธรรมสาระแท้ให้เสื่อมคลายหรือขาดสูญไปแต่อย่างใดพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ณ สถานที่ใด กาลเวลาใด ก็
ไม่กระทบกระเทือนถึงมรรคผลนิพพาน ที่จะพึงบรรลุของท่าน
ผู้ปฏิบัติด้วยสามีจิกรรม คือ ชอบยิ่งเช่นเดียวกัน ท่านผู้นั้นจะพึง
มีหวังในผลอันเกิดแต่ข้อปฏิบัติของตนอย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับ
พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
แม้ปรินิพพานไปแล้วกี่พันกี่หมื่นปี ก็เป็นเพียงเวลานาทีที่โลกถือกัน
เท่านั้น ส่วนธรรมนี้มิได้อยู่กับกาลสถานที่ดังที่เข้าใจกัน แต่ธรรมอยู่
กับธรรม มิได้อยู่กับอะไรอันเป็นการอาศัย ซึ่งไม่เข้าในลักษณะของ
ธรรมแท้ ธรรมสาระนี้แลเป็นสิ่งมหัศจรรย์อยู่ในโลกตลอดมา
ทั้งนี้ใครจะรู้หรือไม่รู้ ค้นพบหรือไม่ค้นพบว่าธรรมคืออะไร
มีอยู่ในโลกหรือหาไม่ก็ตาม ธรรมก็คือธรรมอยู่โดยธรรมชาติของ
ตน ฉะนั้นการที่ใคร ๆ จะพูดว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปนาน
แล้วตั้งสองพันปีสามพันปี มรรคผลนิพพานได้ร่วงโรยหมดเขต
หมดสมัยไปตามโดยสิ้นเชิงแล้ว แม้จะพากันปฏิบัติเคร่งครัดหรือ
ดีเยี่ยมเพียงไร ก็เป็นความลำบากเปล่าโดยไม่มีผลใด ๆ เป็น
เครื่องสนองตอบเลยดังนี้ นั้นมิใช่พระประสงค์ของพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงประกาศสอนโลกด้วยสัจธรรม นั้นมิใช่ทางเดินคือความ
มุ่งหมายของพระศาสนาที่พระศาสดาองค์สิ้นกิเลสถึงความประเสริฐ
ของโลกประทานไว้ นั้นมิใช่หลักวิชาธรรมในพระพุทธศาสนา พอที่
ผู้นับถือพระศาสดาและพระธรรมวินัยจะนำมาคิดและศึกษาให้
ถ่วงเวลาล้าสมัย และสร้างอุปสรรคแก่ตนโดยไม่เกิดผลดีใด ๆ เลย
นอกจากเป็นความคิดและศึกษาที่ปิดกั้นทางเดินของตนจนหา
ทางออกไม่ได้เท่านั้น ผู้เชื่อพระศาสนาอันเป็นธรรมของศาสดาองค์
บริสุทธิ์ประทานไว้ จึงไม่ควรนำคำพูดขวากหนามนั้นมาเสียบแทงตัวเอง ราวกับคนสิ้นท่าหาทางออกมิได้ทั้งที่ทางออกยังมีอยู่ และ
จะกลายเป็นบุคคลที่น่าสังเวชหมดหวัง ทั้งที่ชีวิตความสืบต่อในร่าง
ยังมีอยู่ ซึ่งควรนำไปทำประโยชน์อะไรได้
พระอรหันต์ท่านสอนซ้ำอย่างถึงใจอีกว่า ท่านทราบหรือ
เปล่าว่า คนที่จะคอยแซงหน้าพระศาสนา เพื่อเป็นพระศาสดา
องค์เอกของโลก ทั้งที่กิเลสและความโง่เขลายังมีในสันดานอย่าง
เต็มตัว ยังมีอยู่มากมายในโลกที่ผสมด้วยสิ่งโสมมอันนี้ แล้วยังมี
ท่านอีกองค์หนึ่งหรือที่กระหายรอความเป็นสาวกแห่งศาสดาองค์
โสมมนั้นอยู่
พระอาจารย์องค์นั้นเรียนตอบท่านว่า สำหรับกระผมเอง
มิได้มีความหวั่นไหวจากหลักธรรมไปตามคำพูดเช่นนั้นเลยแม้ขณะ
จิตหนึ่ง ทุก ๆ ขณะจิตและอิริยาบถต่าง ๆ เป็นความหมายมั่น
ปั้นมือเพื่อมรรคผลนิพพานจากสวากขาตธรรม อยู่อย่างเพลินใจ
เท่าที่กราบเรียนถามนี้ เห็นเป็นความจำเป็นที่ตัวเองก็เป็นผู้หนึ่ง ซึ่ง
มุ่งประโยชน์แก่โลกอยู่อย่างเต็มใจ หากแต่เพียงกำลังของตัวก็เกรงว่า
จะไม่สามารถพอในการชี้แจงแก่ท่านผู้ข้องใจในเรื่องดังกล่าวมา
เพราะเป็นเรื่องสะเทือนทั้งวงพระศาสนาและประชาชนพุทธบริษัท
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ไม่เบาเลย เมื่อเห็นเป็นกาลอันควรกับเวลาที่
พระคุณท่านผู้ประเสริฐมาโปรดเมตตา ซึ่งเป็นองค์แน่นอนในธรรม
ทั้งหลาย ยากจะหาพบได้ในโลกมนุษย์ จึงได้ถือโอกาสกราบเรียน
ศึกษา เพื่อเป็นประทีปดวงไฟอันสว่างแก่กระผมเองและประชาชน
ได้มีหูตาสว่างบ้าง เพราะความเมตตาที่ประพรมโสรจสรงไว้นี้
พระอรหันต์ท่านให้โอวาทต่อไปว่า การถามเพื่อประชาชน
ก็ถูก แต่จะให้ถูกแท้ท่านควรดูวาระจิตที่คิดเป็นภัยแก่ตัวเอง แม้นิดก็ควรทราบว่าเป็นภัยและมีทางกำจัดให้สิ้นไปได้ เพราะภัยภายใน
มีพิษสงยิ่งกว่าภัยภายนอกดังกล่าวมานั้นมาก ปราชญ์ทั้งหลาย
ท่านถือกัน เพื่อความแน่ใจจึงขอย้ำธรรมบทต้นให้ท่านทราบอีกครั้ง
ว่า ไม่มีผู้ใดและสิ่งใดในสามภพจะมีอำนาจมาบังคับธรรมให้ไร้ผล
แก่ผู้ปฏิบัติเป็นสามีจิกรรม ไม่เพียงแต่กาลสถานที่ดังกล่าวมา
เท่านั้น แม้อะไร ๆ ทั้งสามโลกธาตุจะยกพวกยกพลมาบังคับไม่ให้
ธรรมให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติชอบอยู่ อะไร ๆ ทั้งสามโลกนั้นจะไม่มีหวัง
ดังใจหมายเลย ธรรมต้องเป็นธรรมและให้ผลโดยธรรมอยู่ตลอดไป
เมื่อการปฏิบัติถูกต้องดีงามยังมีอยู่
สิ่งที่มีอำนาจสามารถปิดกั้นมรรคผลนิพพานได้ โดยไม่เลือก
กาลสถานที่และบุคคลนั้น มิใช่อะไร ๆ อื่นที่ไหน อย่าพากันคิด
งมตมงมโคลนเหยียบหนามให้เป็นทุกข์ทรมานตน ซึ่งเป็นสิ่งมี
คุณค่ามากให้ฉิบหายไปเปล่า ด้วยอำนาจความโง่เขลาบีบบังคับ
ฉุดลากไป นั้นคือสัจธรรมที่มีอยู่ในตัวเองแต่ละราย สัจธรรม
เบื้องต้นอันเป็นฝ่ายผูกมัด คือ ทุกข์กับสมุทัย ทั้งสองนี้แลที่
สัตว์โลกผู้ไม่รู้จักเป็นจักตาย เพราะฤทธิ์มันบีบคั้นชอบสั่งสมกันมาก
ไม่มีวันอิ่มพอ คือตัวปิดกั้นมรรคผลนิพพานโดยแท้ ไม่ให้เกิดขึ้น
ได้ในหัวใจสัตว์เมื่อยังมีความชอบพอและส่งเสริมมันอยู่ ทุกข์เวลา
เกิดขึ้นในภายในใจสัตว์ ย่อมทำให้หมดสติปัญญา ความคิดที่
เคยเฉลียวฉลาดก็กลายเป็นความปิดตันอั้นตู้ไปหมดไม่มีทางออก
นอกจากนั่งเฝ้านอนเฝ้าทุกข์ แสดงความทุรนทุรายไปตามเรื่องคน
ไม่มีทางออก ไม่สนใจแสวงหาทางออกโดยถูกทางเท่านั้น
สมุทัยคือความคิดปรุงหรือวาดภาพต่าง ๆ เกี่ยวกับตัณหา
สามตัว คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นผู้นำและนำให้คิดปรุงแบบไม่มีประมาณจนเลยขอบเขต และขนทุกข์มาเผาลน
จิตใจให้กลายเป็นไฟชนิดที่ก่อแล้วดับไม่ลง หรือไม่สนใจจะดับ
นอกจากเสริมให้แสดงเปลวขึ้น จนกลายเป็นไฟเผาโลกไปได้ไม่มีทาง
สิ้นสุด สมุทัยได้แก่ตัณหาสามนี่แล คือเครื่องปิดกั้นมรรคผล
นิพพานได้อย่างมืดมิดปิดตาย ไม่มีวันมีคืนหรือความสว่างใด
สามารถกำจัดได้ และก็มีสัจธรรมนี้เท่านั้น ที่สามารถรื้อถอนสมุทัย
ความมืดมนให้สูญสิ้นไปได้อย่างไม่มีปัญหา
สัจธรรมที่เป็นฝ่ายแก้เบื้องปลายคือนิโรธกับมรรค นี่คือ
เครื่องมือ แม้สมุทัยทุกชนิดไม่มีสิ่งใดสามารถเสมอเหมือนได้ นิโรธ
ย่อมทำหน้าที่ดับทุกข์ไปเป็นลำดับตามอำนาจของมรรคคือศีล
สมาธิ ปัญญาที่มีกำลัง เมื่อมรรคมีกำลังพอ กิเลสย่อมหาที่ซ่อนตัว
อยู่ไม่ได้ กลายเป็นความดับทุกข์ไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีกาลเวลาสถานที่
หรือสิ่งใดมาเกี่ยวข้องดังที่เข้าใจกัน มีนิโรธกับมรรคนี้เท่านั้นเป็น
ผู้ทำหน้าที่รื้อถอนกิเลสแต่ผู้เดียว
ความเชื่อสัจธรรมของพระพุทธเจ้าที่ผมอธิบายให้ฟังอยู่
ขณะนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยธรรมของจริงกับความเชื่อลมที่ไม่มีน้ำมีเนื้อ
ปรากฏแต่เสียงดังกล่าวมานั้น มีผลต่างกันอย่างไรบ้าง ควรพิจารณา
ด้วยปัญญาและถือเอาประโยชน์จากธรรม อย่าให้สัมผัสแล้วผ่านไป
เปล่า ท่านยังมีความสงสัยอะไรอยู่อีกก็ควรแสดงออก เพราะโอกาส
แห่งธรรมสากัจฉาที่เป็นมงคลอย่างนี้หายาก ไม่มีในกาลทั่วไป
เมื่อพระอรหันต์ท่านหยุดนิ่งไปชั่วระยะหนึ่ง ไม่เห็นอาจารย์
องค์นี้เรียนถามอะไร ท่านจึงอธิบายพระวินัยต่อไปว่า พระวินัย
เป็นเครื่องประดับสมณะให้สวยงามทางความประพฤติ มรรยาท
ผู้เคร่งครัดในพระวินัยคือผู้มีมรรยาทกายวาจาใจงดงาม ความงามของสมณะคือ ความประพฤติ การแสดงออกทุกอาการไม่มีที่ต้องติ
สมณะมีพระวินัยเป็นคู่ชีวิตความเป็นอยู่ คือสมณะที่เย็น เย็นทั้ง
อยู่คนเดียว เย็นทั้งอยู่กับหมู่คณะและสังคมทั่วไป อยู่ในป่าในเขา
หรือเผชิญอันตรายต่าง ๆ ก็ไม่มีอะไรกล้าทำลาย เทวดาอารักขา
ประชาชนรักชอบ
พระวินัยเป็นทั้งปุ๋ยเป็นทั้งรั้วกั้นมรรคและผลมิให้รั่วไหล
แตกซึม ชีวิตของสมณะคือ ความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เป็นชีวิต
อันสดชื่น เราเป็นสมณศากยบุตรที่มีศีลบริสุทธิ์ ไม่จำต้องเกิดทัน
พระพุทธเจ้าโดยถ่ายเดียว แม้เกิดกาลใด สถานที่ใด หรือเป็นลูกเต้า
เหล่าชาติชั้น วรรณะใด ก็คือ สมณศากยบุตรคนหัวปี คนกลางและ
คนสุดท้อง โดยสมบูรณ์อยู่นั่นเอง เช่นเดียวกับพ่อแม่มีลูกหลายคน
ซึ่งต่างเกิดในสถานที่และเวลาต่างกัน แต่ก็เป็นลูกของพ่อแม่โดย
สมบูรณ์ด้วยกันฉะนั้น
พอจบการแสดงธรรม ท่านพูดเป็นเชิงสั่งเสียด้วยความ
เป็นห่วงพระศาสนาและท่านอาจารย์องค์นั้นอย่างจับใจว่า จากนี้
ผมจะได้ลาท่านโดยทางภาพสมมุติ ท่านจงเป็นผู้มีศาสดาคือ
พระธรรมวินัยอยู่กับใจกายวาจาในทุกอิริยาบถเถิด ไม่มีสิ่งใด
จะแน่นอนและตายใจได้ในความหลุดพ้น ยิ่งกว่าพระธรรมวินัยอัน
เป็นนิยยานิกธรรมนี้เลย ท่านอย่ามองอย่าคิดเรื่องอะไรมากไป
กว่า การคิดเพื่อธรรมเพื่อวินัยอันเป็นพระนามของศาสดา น้อม
สงเคราะห์เข้าสู่ตน ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจะเป็นสมบัติอันล้นค่า
ของท่านแต่ผู้เดียวดังนี้
ขณะจะเคลื่อนย้ายองค์จากที่และเหาะลอยขึ้นบนอากาศ
ท่านได้มองดูท่านอาจารย์องค์นั้นด้วยความอ่อนโยนด้วยเมตตาอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อย ๆ เหาะลอยขึ้นอย่างเชื่องช้า อันเป็นเชิงเรียกความ
สนใจใฝ่ฝันยึดมั่นเป็นอตีตารมณ์ไปนาน ๆ แก่ท่านอาจารย์องค์นั่ง
เพ่งเล็งท่านด้วยความเลื่อมใส อาลัยเสียดายทางจิตตภาวนา ราวกับ
ไม่กะพริบตาใจเลยในขณะนั้น จากนั้นภาพท่านก็หายไปในท่ามกลาง
อากาศ ไม่มีอะไรเหลืออยู่ นอกจากภาพแห่งความทรงจำที่ฝังลึก
อยู่ภายใน ไม่มีวันลบเลือนตลอดอวสานแห่งชีวิตท่านเท่านั้น
อันเป็นที่น่าอัศจรรย์ซึ่งไม่ค่อยปรากฏแก่ท่านบ่อยนัก ท่านว่า
คืนนี้ท่านก็ภาวนาจนสว่าง เช่นเดียวกับคืนวันพระอรหันต์
ภาหุละเหาะมาเยี่ยมแสดงธรรมโปรดเช่นกัน คือพอภาพพระ
อรหันต์กัสสปะท่านจากไปแล้ว ซึ่งนับแต่ท่านมาแสดงธรรมให้ฟัง
และสนทนากันอยู่เป็นเวลา ๓ ชั่วโมงเศษ จิตถึงถอนออกมา
ลำดับต่อไปท่านได้นำพระธรรมวินัยที่ได้รับเมตตาจากพระอรหันต์
ท่าน มาขบคิดอีกต่อหนึ่ง ทำให้เกิดความซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์
ร่างกายและจิตใจ จนลืมหลับนอนในคืนวันนั้น เพราะธรรมที่ได้รับ
จากนิมิตที่ท่านมาแสดงให้ฟัง รู้สึกดื่มด่ำล้ำค่า ยากที่จะพรรณนา
ให้ถูกต้องตามความจริงได้ แม้เวลาอื่น ๆ ที่ไม่ได้เข้าสมาธิภาวนาก็
ทำให้จิตประหวัดถึงท่านไม่ว่างเว้นแต่ละเวลา รู้สึกเป็นกำลังใจ
ไปนาน การประกอบความเพียรก็เข้มแข็ง ความมุ่งมั่นในธรรมที่
จะพึงได้พึงถึงดังท่านเมตตาแสดงให้ฟัง ก็รู้สึกจดจ่อต่อเนื่อง
ผิดธรรมดาอยู่มาก ราวกับจะได้ถึงธรรมแดนพ้นทุกข์อยู่ทุกขณะที่
หวนระลึกถึงคำสั่งเสียท่าน (บางตอนท่านเน้นคำสำคัญ ๆ กับ
ท่านอาจารย์องค์นั้นโดยเฉพาะก็มี แต่ผู้เขียนไม่กล้านำลง เกรงจะ
เป็นการกระเทือนท่านและแสลงใจท่านผู้อ่านมากไป จึงขออภัย
ไว้ด้วยที่ไม่ได้นำลงให้บางท่านได้อ่านอย่างจุใจ)งูพิษที่เคยเป็นศัตรูต่อผู้คน
ได้กลายเป็นมิตรกับพระธุดงคกรรมฐาน
เป็นที่แปลกใจที่เรื่องไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปได้
อย่างน่าอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งคือ ก่อนที่ท่านจะขึ้นไปพักบำเพ็ญ
สมณธรรมในถ้ำแห่งหนึ่ง ชาวบ้านแถบนั้นบอกว่ามีงูพิษสีดำ
ตัวหนึ่ง ใหญ่ขนาดเท่าถ่านไฟฉายชนิดใหญ่ ยาวประมาณเมตรเศษ
แต่ดุมากเป็นพิเศษ อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นเป็นประจำมาหลายปี งูพิษ
ตัวนี้เคยทำอันตรายแก่คนมาแล้ว แต่ใคร ๆ ไม่กล้าทำไมมัน
กลัวว่าจะมีอะไรอยู่เบื้องหลัง จนชาวบ้านขนานนามให้มันว่า
“เจ้าถ้ำ” ใครขึ้นไปพักค้างคืนที่นั่นไม่ค่อยได้ เขาบอกว่าถ้ามีคน
ขึ้นไปพักค้างคืนในถ้ำนั้น ตอนเย็น ตอนกลางคืน หรือตอนเช้า ๆ
งูตัวนั้นจะออกมาแผ่แม่เบี้ยขู่ฟ่อ ๆ ถ้าพอกัดได้ก็กัดจริง ๆ ผู้คน
เคยเสียทีให้มันหลายรายแล้วจนเข็ดกัน ไม่มีใครกล้าไปพักค้างคืน
ในถ้ำนั้น
ท่านอาจารย์องค์นี้คิดอยากไปพักถ้ำนั้นเพื่อประกอบ
ความเพียร จึงวานให้ชาวบ้านไปส่ง แม้เขาบอกว่างูพิษตัวนี้ดุมาก
และอาจเป็นอันตรายได้เพราะมัน ก็ไม่มีใครทราบได้ จึงไม่อยากให้
ท่านไปพัก แต่ท่านก็ขอให้ญาติโยมไปส่งจนได้ โดยให้เหตุผลว่า
ถ้าถึงคราวแล้วแม้นอนอยู่ในบ้านก็ตาย ไม่มีใครห้ามได้ อาตมาเคย
เห็นมาแล้วจนเชื่อกรรมอย่างสนิทใจ การอยู่ถ้ำก็เคยอยู่มาจน
เคยชิน ร่างกายจิตใจของอาตมาถ้าเป็นวิสัยก็ควรเป็นได้ ก็น่าจะ
กลายเป็นหินเป็นเขาไปหมดแล้ว คงไม่ทนเป็นกายคนใจพระดังที่
เป็นอยู่นี้ได้เลย แม้อาตมาไปอยู่ในถ้ำนี้ถ้าไม่ถึงคราว ชีวิตก็คงจะ
เป็นชีวิตของพระของอาตมาอยู่ดังที่เคยเป็นมา ไม่น่าจะเป็นอื่นไปได้ งูเป็นสัตว์ เราเป็นคน และเป็นพระซึ่งถือศีลถือธรรมประจำใจ
มิได้ถือความอิจฉาบังเบียดทำลายใคร ถ้างูจะทำอันตรายก็ยอมตาย
เพราะกรรมไม่ดีของตนที่อาจหาญทำชั่วไว้ ดีกว่าการกลับกลัวผล
ไม่ดีจะตามสนองในภายหลังเป็นไหน ๆ นักปราชญ์ท่านยังจะ
ชมเชยว่าเป็นผู้เชื่อกรรมจริง แม้ตายเพราะเหตุดังกล่าวนี้ เสร็จแล้ว
ท่านก็ไปจริง ๆ โดยให้ญาติโยมตามส่ง
เมื่อไปพักอยู่ในถ้ำนั้นได้ความสะดวกกายสบายใจเพียง
คนเดียว พอตกวันที่สองตอนเย็นก็เห็นงูดำตัวนั้นเลื้อยออกมา
จากซอกหิน และค่อย ๆ เลื้อยตรงมายังท่านซึ่งกำลังนั่งรำพึง
อรรถธรรมอยู่บนแคร่เล็ก ๆ ด้วยสัญชาติญาณที่เคยถืออำนาจ
ในการทำลาย พอเห็นมันเลื้อยตรงเข้ามาหาอย่างไม่เกรงกลัว และ
ทำท่าจะเอาจริงเอาจังกับท่านจริง ๆ ท่านก็ระลึกคำที่ชาวบ้านเล่า
ให้ฟังได้ทันทีว่า ต้องเป็นงูเพชฌฆาตตัวที่ว่านั้นแน่ ๆ ไม่เช่นนั้น
จะไม่แสดงอาการอาจหาญถึงขนาดนี้เลย
เรามาบำเพ็ญธรรมอยู่ที่นี่ก็มิได้เบียดเบียนทำลายใคร
แม้สัตว์ตัวเล็ก ๆ ยังให้ความเมตตาต่อเขาเสมอด้วยชีวิตของตน
ไม่เคยคิดเย่อหยิ่งในตัวว่า ตนเป็นคนเป็นพระที่มีศักดิ์สูงกว่าสัตว์
ทั้งหลายซึ่งเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั่วไตรภพ แม้งูดำตัวนี้
ก็เป็นสัตว์ที่นับเข้าในจำนวนเพื่อนสุขเพื่อนทุกข์เพื่อนเกิดเพื่อนตาย
ด้วยกัน แต่เหตุไฉนอยู่ ๆ ไม่มีเรื่องทะเลาะทุบถองตะบองตีอะไร
กันเลย งูตัวนี้ยังอุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตาเลื้อยเข้ามาเพื่อจะทำลายเรา
ซึ่งเป็นเพื่อนที่เชื่อถือในความเป็นความตายได้ผู้หนึ่ง ไม่มีเพื่อนใด
ในเขาลูกนี้จะเป็นที่เชื่อถือได้ยิ่งไปกว่าเมื่อย้อนมาระลึกถึงศีลของตนก็บริสุทธิ์ ธรรมมีความเมตตา
เป็นต้นก็เปี่ยมในจิตใจ ตามอำนาจของจิตของธรรมซึ่งมีในตนที่
อบรมมา ถ้าสัตว์ตัวนี้ยังจะกล้าทำอันตรายเราได้ลงคอแล้วก็ถือว่า
เราเองในอดีตชาติต้องเป็นผู้ทารุณโหดร้ายเหลือประมาณ น่าจะ
ไม่มีนรกหลุมใดต้านทานไว้ได้ ให้พ้นจากผลกรรมอันทารุณนั้นมา
แล้ว จำต้องมาเจอกับความทารุณของงูพิษตัวนี้ ที่ตนเคยสร้าง
ความทารุณแก่เขามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และก็ไม่จำเป็นต้อง
หลีกกรรมของตัว เพราะตัวเองกล้าทำ ตัวก็ต้องกล้ารับผล จึงจะ
สมนามว่าเป็นผู้เชื่อกรรมจริง
พอคิดตกก็พูดกับงูตัวเลื้อยมาหยุดอยู่ห่างองค์ท่านประมาณ
หนึ่งวา และกำลังแผ่แม่เบี้ยคอยโอกาสอยู่ว่า เรามาอยู่ที่นี่มิได้
มาเพื่อความมุ่งร้ายหมายโทษใครเลย แต่มาบำเพ็ญธรรม
เพื่อความสุขแก่ตนและเพื่อนร่วมชาติ โดยไม่นิยมประเภทว่า
เป็นใคร เราแผ่เมตตาเพื่อความสุขแก่สัตว์ทั้งปวง มีเธอด้วย
ผู้หนึ่งที่อยู่ในข่ายควรรับได้ ถ้าเธอยังหวังความสุขกายสบายใจ
เช่นสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป ก็ควรรับเมตตาธรรมที่เย็นฉ่ำนี้ไปประดับตัว
ต่อไป ดีกว่ามาขู่เข็ญทำลายผู้อื่นซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไรเป็น
ไหน ๆ แม้ทำผู้อื่นให้เป็นอันตรายและตายไปด้วยพิษสงของเธอ
ส่วนตัวเองก็ไม่เห็นได้เลื่อนคุณงามความดีเป็นความสุขความเจริญ
ให้ยิ่งขึ้นไปอีก นอกจากจะลงไปจมอยู่ในกองทุกข์มีนรกเป็นต้น
เท่านั้น นี้เป็นผลที่ได้รับจากการเบียดเบียนทำลายผู้อื่น
เราไม่เห็นด้วย ไม่ยินดีด้วยกับการทำของเธอ เพราะ
เป็นงานส่งเสริมทุกข์เพื่อบีบบังคับตัวเอง เราเห็นด้วยเฉพาะผู้
ไม่เบียดเบียนทำลายผู้อื่น อันเป็นงานไม่สร้างความเดือดร้อนให้




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2012, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


แก่ใคร ตนก็เย็นผู้อื่นก็เย็น มองเห็นกันราวกับมิตรที่เคยสนิทกันมา
ตั้งพันกัปแสนกัลป์ เราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
ไม่บังควรที่จะทำความทุกข์ร้อนแก่กันอันเป็นการเพิ่มทุกข์แก่ตัว
อีกด้วย เรามาอยู่ที่นี่เพื่อสมานมิตรกับเธอและสัตว์ทั่วไป จงเห็นใจ
เราผู้เป็นมิตรด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เธอรับความเป็นมิตรและ
เมตตาธรรมจากเราแล้วจงไปอยู่เป็นสุขๆ เมื่อไปแล้วอยากมา
เยี่ยมเยียนเราอีกเป็นครั้งคราวก็มาได้ตามอัธยาศัย
เรายินดีเป็นมิตรกับเธอตลอดไป ไม่รังเกียจว่าเธอเป็นสัตว์
เราเป็นคนและเป็นพระ เราถือว่าเราเป็นเพื่อนเกิดเพื่อนตาย
ด้วยกัน จึงมิได้ถือว่าใครยิ่งหย่อนกว่าใคร ตลอดวาสนาบารมีก็
ต่างคนต่างมีตามกำลังของตนที่สร้างมา หรือเธออาจมีวาสนาบารมี
แก่กล้ายิ่งกว่าเราก็ไม่อาจทราบได้ เพราะต่างคนต่างมีกรรมดีและชั่ว
ติดแนบอยู่กับตัวด้วยกัน บางทีเธอละจากชาติเป็นสัตว์นี้แล้ว
เลื่อนฐานะขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์บรรลุถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นไป
ก่อนเรา ผู้กำลังกำดำกำขาวกับกิเลสตัวโสมมอยู่เวลานี้ก็เป็นได้ ถ้า
เธอไม่สร้างความชั่วทับถมตัวเข้าไปอีก ดังจะสร้างกรรมไม่ดีกับเรา
อยู่ขณะนี้
พอพูดกับงูจบลง ท่านนึกอธิษฐานจิตขออำนาจเมตตาธรรม
ที่เคยค้ำจุนโลกมาประจำแผ่นดิน จงดลบันดาลให้งูตัวนี้จงกลับใจ
จากความเป็นศัตรูกลายมาเป็นมิตรสนิทสนมกันโดยธรรมเถิด ดังนี้
เป็นที่ประหลาดและอัศจรรย์เกิดคาดว่าอะไรบันดาลก็ไม่น่าจะพูดได้
ถูกต้อง ทำให้งูตัวกำลังจะทำอันตรายท่านอยู่ในไม่กี่วินาทีข้างหน้า
กลับอาการที่เป็นศัตรูลงในทันทีทันใด คืองูตัวนั้นกลับเอาศีรษะลง
หมอบสงบนิ่งอยู่ประมาณ ๑๐ นาที แล้วหันศีรษะเลื้อยกลับไปและค่อย ๆ เลื้อยหายเงียบไปในเวลานั้น วันต่อมาก็มาหาท่านอีก
และมาแทบทุกวัน แต่มิได้แสดงอาการน่ากลัวเหมือนวันแรกเลย
เป็นเพียงค่อย ๆ เลื้อยเข้ามาถึงที่เก่า แล้วทำตัวสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วก็เลื้อยกลับไป
ท่านว่าท่านเห็นความอัศจรรย์ของเมตตาธรรมประจักษ์ใน
คราวนั้น อย่างถึงใจอีกครั้งหนึ่ง นับแต่วันนั้นมา ท่านกับงูตัวนั้น
เลยอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข ไม่มีอะไรเป็นที่ระแวงกันเลย ถึง
เวลางูตัวนั้นอยากออกมาเที่ยวป้วนเปี้ยนอยู่แถวบริเวณหน้าถ้ำที่
ท่านพักอยู่ ก็มาในฐานะสัตว์ที่คุ้นกับคนด้วยดีแล้ว ต่างไม่ระวัง
ระแวงซึ่งกันและกัน เมื่อคิดอยากออกมาเที่ยวตามภาษาของมัน
เวลาใดก็ออกมาตามสบาย ไม่ค่อยมีเวล่ำเวลาเหมือนแต่ก่อน เช่น
ที่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง
เรื่องทำนองนี้ผู้เขียนเชื่อมานานแล้ว จะว่าโง่ก็ยอมรับ
เพราะตัวเองก็เคยพบบ้างและครูบาอาจารย์ทั้งหลาย มีท่าน
อาจารย์มั่นเป็นต้น ก็เคยเล่าให้ฟังอยู่เสมอว่า สัตว์ทุกจำพวก
ไม่ค่อยกลัวพระ และชอบมาอยู่อาศัยตามบริเวณที่ท่านพักอยู่เป็น
พวก ๆ ฝูง ๆ ทั้งสัตว์ใหญ่ เช่น หมู กวาง อีเก้ง เป็นต้น ทั้งสัตว์
ตัวเล็ก เช่น กระจ้อน กระแต อีเห็น งู เป็นต้น เนื่องจากสัตว์ส่วน
มากรู้อากัปกิริยาของผู้ไม่เบียดเบียนและทำลายได้ดี พระไปพักอยู่
ที่ไหนนาน ๆ หน่อยมักจะมีสัตว์ต่าง ๆ เข้ามาอาศัยอยู่ด้วย ท่าน
เองก็เมตตาชอบเล่นกับมันและชอบเอาอาหารให้มันทานเสียด้วย
ซึ่งสัตว์บางชนิดชอบทานกล้วย ผลไม้ ข้าว ประจำชีวิตของมัน
ส่วนน้ำเป็นอาหารจำเป็นของสัตว์แทบทุกประเภท ฉะนั้นเวลา
พระท่านเห็นสัตว์ต่าง ๆ มาอาศัยมากเข้า จำต้องหาภาชนะใส่น้ำไปตั้งไว้ในที่ที่ควรแก่สัตว์เหล่านั้นจะมาดื่มกินกันได้
เพราะเหตุแห่งความมีเมตตาจิตเป็นมูลฐาน ทำให้สัตว์และ
คนมีความสนิทไว้ใจกับพระเป็นพิเศษ สมกับเป็นเพศที่เย็น ไม่เป็น
ภัยแก่ใคร ๆ มาแต่กาลไหน ๆ ดังนั้นเรื่องที่ท่านอาจารย์องค์นั้น
เล่าให้ฟัง จึงเป็นความจริงตามเหตุการณ์ที่เคยเป็นมาดั้งเดิม
โดยมากพระธุดงคกรรมฐานที่ปฏิบัติเด็ดเดี่ยวอาจหาญมักผจญภัย
เสมอ แต่ก็เอาตัวรอดไปได้ไม่เป็นเหยื่อแก่ภัยนั้น ๆ จึงทำให้คิด
และมั่นใจว่า ผู้มีธรรมในใจและผู้มุ่งมั่นต่อธรรมอย่างยิ่ง แม้จะ
เผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็มักมีชัยชนะโดยธรรมเสมอ ไม่ค่อยมี
อะไรทำร้ายให้ล่มจมฉิบหายเหมือนธรรมดาทั่ว ๆ ไป คล้ายกับมี
ปาฏิหาริย์ลึกลับอยู่ในตัว แบบพูดยาก ๆ บอกใครไม่ได้ แต่เรื่องก็
เป็นอย่างนั้นจริง ทั้งนี้ ทราบจากหมู่เพื่อนเคยเล่าเหตุการณ์ทำนอง
นี้ให้ฟังเสมอ
ท่านอาจารย์องค์นี้ท่านมีนิสัยเด็ดเดี่ยว และชอบไปและ
อยู่ลำพังคนเดียวไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเพื่อนฝูง โดยให้เหตุผลเป็นที่
จับใจว่า การไปคนเดียวอยู่คนเดียว ทำให้มีสติระลึกรู้ตัวอยู่
เสมอ ไม่ค่อยเผลอไผลไปกับเรื่องต่าง ๆ ดังอยู่กับหมู่เพื่อนที่
จำต้องพูดคุยกันบ้างในบางเวลา ส่วนการอยู่คนเดียวนั้นเป็น
เรื่องของคน ๆ เดียวแท้ ๆ ไม่มีอารมณ์เกี่ยวเกาะ อิริยาบถ
ต่าง ๆ เป็นไปกับความเพียร มีสติติดต่อสืบเนื่องกันไม่ขาดสาย
คนเราถ้าสติอยู่กับตัวย่อมมีทางทราบเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดกับตัว
ได้ดี แม้ถึงคราวจวนตัวก็ไม่พะวักพะวนกับใคร มีตัวคนเดียว
เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องของตัว หากจำเป็นถึงคราวเข้าจริง ๆ
ชีวิตจิตใจก็มอบไว้กับคติธรรมดา ไปอย่างเป็นธรรม ไม่ต้องยุ่งไม่ต้องห่วงไม่ต้องหวงให้เป็นภาระห่วงใย ยอมตายไปกับเหตุการณ์
นั้น ๆ อย่างสบายหายห่วง เรื่องศพเรื่องเมรุ เมื่อเจ้าของหมด
ความห่วงใยไร้กังวลแล้ว ก็เป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งที่ปราศจากราคา
ค่างวดใด ๆ ทั้งสิ้นเท่านั้น นอนจมไปกับดินกับหญ้า เช่นวัตถุ
ทั้งหลายนั่นเอง ไม่มีอะไรแปลกต่างกัน
ท่านพูดน่าฟัง ฟังแล้วจับใจไพเราะ ทั้งเหมาะกับจริตของ
ผู้ตั้งหน้าเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสตามรอยพระบาทแท้ นาน ๆ
จะได้เจอสักราย ฟังแล้วจำไว้เพื่อเป็นขวัญตาขวัญใจระลึกไว้นาน ๆ
ประวัติท่านจะเป็นคติตัวอย่างอันดีแก่คนรุ่นหลังสืบต่อก่อแขนงกัน
ต่อไปไม่มีสิ้นสุด ธุดงควัตรที่ประทานไว้เพื่อหมู่ชนก็ไม่เป็นโมฆะ
จมไปกับดินกับหญ้าเสียหมด เป็นที่น่าสังเวชสลดใจ ยังมีผู้อุตส่าห์
ดำเนินตามและเก็บดอกผลที่เกิดจากการปฏิบัติของตนไม่ขาดสาย
โดยเป็นความสงบสุขตามลำดับขั้นภูมิของจิตของธรรม นับแต่
ขั้นสมาธิถึงขั้นปัญญา จนกลายเป็นขั้นวิมุตติหลุดพ้นเหนืออำนาจ
แห่งไตรลักษณ์ คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่ผู้มีกิเลสทั้งหลาย
ติดข้องอยู่
พระที่ท่านชอบอยู่ป่าอยู่เขาอยู่ถ้ำและเงื้อมผา รู้สึกมีเรื่อง
สะดุดใจให้ท่านผู้อ่านได้คิดอยู่มากกว่าที่พักอยู่ในที่ธรรมดา
ดังท่านอาจารย์องค์ที่กำลังนำลงอยู่เวลานี้ แม้จะถวายนามท่านว่า
“นักเผชิญ” ก็ไม่น่าจะผิดและเสียความเคารพ เพราะการเผชิญก็
เพื่อบุกเบิกหาธรรมของจริง การถวายนามก็อนุวัติไปตามปฏิปทา
ของท่านที่หนักไปในทางเป็นนักต่อสู้หรือเผชิญ โดยไม่ลดละล่า
ถอยให้เหตุการณ์นั้น ๆ หัวเราะเยาะได้ การเป็นนักต่อสู้ในขณะที่
กำลังเผชิญกับเหตุการณ์นี้ ท่านยังจะได้อ่านเรื่องของท่านไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะยุติ นี่ก็กำลังนำท่านผู้อ่านชมเหตุการณ์ที่ท่าน
เผชิญมา
คือขณะที่ท่านพักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง คืนนั้นเดือนหงาย
ฟ้าขาว เดือนดาวสว่าง อากาศปลอดโปร่งสบาย ท่านกำลังเดิน
จงกรมอยู่หน้าถ้ำ ขณะนั้นได้มีเสือโคร่งใหญ่ตัวหนึ่งใหญ่มาก
ท่านว่าศีรษะกลม ๆ ของมันเท่าที่เห็นแล้ว ถ้าจะให้พูดตามความ
ถนัดใจแล้วอยากพูดว่าใหญ่เท่าโอ่งน้ำเราดี ๆ นี่เอง ทีแรกได้ยิน
เสียงมันคำรามเป็นเชิงขู่ให้กลัว อยู่ห่างจากท่านประมาณสิบวา พอ
เปลี่ยนจากคำรามก็เป็นกระหึ่ม และกระหึ่มอย่างเต็มเสียงของมัน
จนปรากฏสะเทือนไปทั่วภูเขา ตอนมันเริ่มคำรามมองไปไม่เห็นตัว
ได้ยินแต่เสียง สักครู่ต่อมาก็ได้เห็นมันโผล่เข้ามาหาท่านด้วย ทั้ง
เสียงกระหึ่มอย่างเต็มที่ และเดินเข้ามาหยุดยืนและนั่งแบบสุนัขนั่ง
ไม่หมอบทำท่าจะทำอะไรท่านเลย นั่งอยู่ห่างท่านประมาณสองวา
มองเห็นได้ถนัดชัดเจนตลอดลวดลายของมัน เพราะไฟเทียนไขที่จุด
เดินจงกรมก็สว่างไสวอยู่ขณะนั้น
เมื่อท่านเห็นมันมานั่งอยู่ต่อหน้า ท่านนึกขึ้นมาในใจว่า
เสือโคร่งตัวนี้จะมาทำไมกัน ดินทั้งแผ่นที่กว้างแสนกว้าง มันทำไม
ไม่ไป แต่มาคิดสร้างความสนุกบนหัวใจคนซึ่งกำลังกลัว ๆ เอา
อะไรกัน ท่านยืนดูมันที่กำลังนั่งกระหึ่มสนุกอยู่ครู่หนึ่ง ในใจมีรู้สึก
เสียว ๆ บ้างเพียงเล็กน้อย ไม่แสดงความกลัวออกมาอย่างเปิดเผย
อะไรเลย จึงค่อยเดินเข้าไปหาและพูดกับมันว่า ที่นี่เป็นที่ของพระ
ท่านบำเพ็ญสมณธรรมต่างหาก มิใช่ทำเลเที่ยวของเธอนี่นา
ขึ้นมาทำไมกัน โน้นไปเที่ยวสนุกสนานกับหมู่เพื่อนของเธอโน้นซิ
ไปเสีย พระก็มิใช่พระอิฐพระปูน สิ่งน่ากลัวก็ต้องกลัวเหมือนสัตว์ทั่วไปนั่นแล
พอพูดจบก็ก้าวเข้าไปหามัน ท่านว่าท่านเดินเข้าไปจวนจะ
ถึงตัวมันประมาณเมตรเศษเท่านั้น มันจึงโดดหนี ปุบเดียวไม่ทราบ
หายไปไหน และหายไปอย่างรวดเร็วยังกับปาฏิหาริย์ มองดักหน้า
ดักหลังที่ไหนก็ไม่เห็น ทำให้แปลกใจไม่หายแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เพราะสถานที่ท่านพักอยู่และที่ที่เสือโคร่งใหญ่ตัวนั้นมานั่งอยู่ก็
เตียนโล่ง ไม่มีอะไรปิดบังกีดขวางพอจะมองไม่เห็นขณะที่มันโดดหนี
ไป จึงทำให้ท่านแปลกใจตลอดมา พอมาหาท่านอาจารย์มั่น ได้
โอกาสจึงเล่าถวายท่านและเรียนถามถึงเรื่องเสือที่โดดหายตัวไป
อย่างรวดเร็วนั้น ว่าเป็นเพราะเหตุไร
ท่านอาจารย์มั่นชี้แจงให้ฟังว่า นั่นมิใช่เสือจริง แต่เป็น
เสือเทพบันดาลต่างหาก เพราะพวกเทพมีฤทธิ์มากผิดมนุษย์เรา
สามารถจำแลงกายหยาบกายละเอียด หรือนิรมิตเป็นสัตว์เป็นเสือ
หรือเป็นคนหญิงชายต่าง ๆ ได้ไม่ติดขัด บางครั้งเวลาเขามาหาเรา
ยังมาในรูปต่าง ๆ ได้ในเทพคนเดียวกัน เสือตัวที่มาหาท่านนั้น ถ้า
เป็นเสือจริงลงได้ตั้งหน้ามาขนาดนั้น ต้องมีความมุ่งหวังจะกินคน
เป็นอาหารแน่นอนถึงได้มา ทั้งที่รู้อยู่ว่าคนซึ่งเป็นที่เกรงขามของ
สัตว์ของเสือทั้งหลาย เสือที่เทพบันดาลใจก็มี เสือที่เทพนิรมิตเอง
ก็มี แต่เสือที่มาหาท่านนั้นเป็นเสือเทพนิรมิต ฉะนั้นการโดดหนีของ
เสือตัวนั้นจึงรวดเร็วผิดธรรมดาจนมองไม่ทันว่าไปยังไงมายังไง
สำหรับผมมันเคยชินกับพวกสัตว์เสือ เทวบุตรเทวธิดา
มาแล้ว เวลาไปอยู่ในป่าในเขาคนเดียว การอยู่ก็อยู่เพราะธรรม
เนื่องจากธรรมมีอำนาจมาก สัตว์ทั้งหลายเคารพรัก ใจที่มีธรรม
ย่อมทรงอำนาจในตัวเอง แต่อำนาจทางธรรมไม่เหมือนทางโลกซึ่งคอยแต่จะกำเริบอยู่เสมอ ผู้ถูกข่มขู่นั้นกลัวจริงในขณะที่ถูกขู่ แต่
ใจไม่ยอมลงตามอำนาจความข่มขู่ เมื่อมีโอกาสยังคอยแก้แค้นจนได้
ดังที่เห็น ๆ กันอยู่ ฉะนั้นการใช้อำนาจทางโลกเพียงอย่างเดียว
ไม่มีธรรมเข้าสนับสนุน โลกจึงหาความสงบเย็นได้ยาก ท่านจึงสอน
ให้ปกครองโลกโดยธรรม ปกครองกันโดยธรรม โดยอาศัยความ
ถูกต้องดีงามเป็นอำนาจ ไม่ใช่เอาอารมณ์หรือทิฐิมานะเป็นอำนาจ
คำว่าธรรมมิได้เป็นรูปเป็นร่างที่มองกันด้วยตาเนื้อ แต่ธรรม
เป็นธรรมชาติที่ละเอียดสุขุมสุดที่จะนำมาเทียบเคียงเปรียบเทียบกับ
สิ่งสมมุติทั้งหลายได้ ใจเป็นความละเอียดฉันใด ธรรมย่อมมีความ
ละเอียดฉันนั้น และใจเป็นที่สถิตอยู่ของธรรมทั้งหลาย นอกนั้นมิใช่
ที่สถิตอันถูกต้องของธรรม ธรรมจึงเป็นเรื่องพูดยากทั้งที่รู้อยู่อย่าง
เต็มใจ นอกจากผู้ปฏิบัติและรู้ธรรมเป็นขั้น ๆ นั่นพอพูดกันได้ และ
รู้เรื่องธรรมพอประมาณ ถ้ารู้ธรรมเต็มภูมิจิตภูมิธรรมโดยสมบูรณ์
แล้ว ย่อมพูดธรรมกันเข้าใจทุกแง่ทุกมุมไม่มีทางสงสัย คำว่าธรรม
คืออะไร และอยู่ที่ไหนก็ทราบกันทันทีโดยไม่ต้องตอบให้เสียเวลา
การอาศัยการถามและการตอบกันอยู่ ยังไม่เข้าในลักษณะของผู้รู้
ธรรมอย่างเต็มภูมิ นี่แล ธรรมแท้เป็นอย่างนี้
ถ้าใจปลอมพาให้เกิดธรรมปลอม แม้ถามและตอบกันวัน
ยังค่ำก็ได้แต่ตัวทิฐิมานะเต็มหัวใจไม่ลงรอยกันได้ นั่นคือธรรมชื่อ
คือได้แต่ชื่อของธรรม ไม่ได้ดวงธรรมแท้มาครองภายในใจ ธรรมชื่อ
ใครเรียนก็จำได้ เพราะเป็นสิ่งที่ควรจำได้ด้วยกัน แต่สำคัญที่
ดวงธรรมแท้ที่มีชื่อในตัวเอง โดยไม่ต้องเป็นกังวลท่องบ่นจดจำให้
ลำบากนั้น ปฏิบัติยาก มองเห็นได้ยาก รู้ได้ยาก ธรรมแท้ที่ถูก
กล่าวหาว่าปฏิบัติได้ยากรู้ได้ยากนี่แล ที่ไม่ขึ้นอยู่กับคำถามคำตอบเพราะเป็นความจริงล้วน หมดปัญหาโดยประการทั้งปวง และธรรม
นี่แลมีอยู่ในโลกตลอดอนันตกาล ไม่เจริญและไม่เสื่อมไปกับอะไร
คำว่าอำนาจธรรมก็คือธรรมนี่แลจะเป็นอะไรที่ไหนกัน ที่พูดนี้
ก็ไม่แน่ใจนักว่าหมู่คณะจะเข้าใจตามได้ทุกแง่แห่งธรรมที่พูดมา
แต่ถึงกาลที่ควรพูดบ้างก็จำต้องพูด พอเป็น กาเลน ธมฺมสากจฺฉา
เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
ที่จบลงนี้เป็นธรรมที่ท่านอาจารย์มั่นตอบ และอธิบายให้
ท่านอาจารย์องค์นั้นกับหมู่คณะฟัง ผู้เขียนก็เขียนสุ่ม ๆ เดา ๆ
ไปตามที่ได้ยินได้ฟังมาอย่างนั้นเอง มิได้มีความเข้าใจในคำที่ท่าน
สนทนากันทุกประโยคอะไรเลย ทั้งที่ไม่เข้าใจทุกคำแต่ก็ยังพยายาม
ถูไถมาลงจนได้นั้น เพราะแน่ใจว่าคนเรามีความรู้ความฉลาดและ
ความสามารถต่างกัน แม้ตนไม่รู้ไม่เข้าใจก็ยังมั่นใจว่า ท่านผู้
สามารถจะรู้จะเข้าใจในคำพูดของท่านอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนคงมีอยู่
จึงได้นำมาลงเพื่อช่วยกันขบคิดบ้าง หวังจะเกิดประโยชน์แก่พวกเรา
ตามฐานะที่ควรเป็นได้ เพราะคำพูดดังที่ท่านอาจารย์มั่นพูดสอง
สามประโยคนี้ เป็นธรรมที่ค่อนข้างหาฟังได้ยาก แม้ไม่เข้าใจก็ยัง
พอใจฟังและพอใจเขียน เพื่อท่านผู้อ่านได้ช่วยพิจารณาต่อไป ซึ่ง
อาจเป็นเครื่องเสริมสติปัญญาได้บ้าง คำพูดท่านอาจารย์มั่นใน
ลักษณะนี้ยังมีอีกมาก ผู้เขียนจะพยายามนำลงเรื่อยมาตามเรื่อง
ปฏิปทากับเรื่องท่านอาจารย์จะเข้าสัมผัสที่ควรนำลงเป็นตอน ๆ ไป
จนกว่าปฏิปทาจะจบลงด้วยดี
นี้เป็นอีกถ้ำหนึ่งที่ท่านอาจารย์องค์นั้นพักเป็นเวลานานกว่า
ที่อื่น ๆ แต่ไม่เคยปรากฏว่ามีสัตว์เสืออะไรมารบกวนให้ลำบาก แต่
จวน ๆ ท่านจะออกจากถ้ำนี้ไปเที่ยววิเวกแสวงธรรมตามอัธยาศัยเช้าวันหนึ่ง จวนเวลาท่านจะออกบิณฑบาต ก็ได้ยินเสียงเสือโคร่ง
ใหญ่ครวญครางกระหึ่มขึ้นมาหาท่านจนถึงที่ที่ท่านพักอยู่จริง ๆ
ขณะท่านมองเห็นตัวกำลังกระหึ่มขึ้นมา ทีแรกปรากฏขนลุกซ่าไป
ทั้งตัว ร่างกายทุกส่วนชาไปหมด รู้สึกกลัวมากแทบหัวใจหยุด
(ระยะนี้จิตใจท่านคงยังไม่เข้มแข็งพอ แต่การเขียนเรื่องก็ไม่ทราบว่า
เหตุการณ์ใดเกิดก่อนแลหลังกัน ไม่ได้เรียนถามกาลเวลากับท่าน
เป็นแต่พอท่านเล่าให้ฟังก็จดจำมาลงเลย จึงไม่ทราบระยะที่เกิด
เหตุนั้น ๆ ว่าเกิดขึ้นเมื่อไรของการบำเพ็ญ กรุณาถือเอาใจความ
ในเรื่องทีเดียวจะเป็นความสะดวกในการอ่าน)
เพราะมันเดินตรงมายังท่านด้วยความตั้งใจจริง ทั้งที่มันก็
มองเห็นท่านอยู่แล้วนับแต่ขณะที่โผล่หน้าขึ้นมา ซึ่งควรจะหยุดแค่
ระยะที่มันมองเห็นท่านอยู่แล้ว แต่ยังทั้งเดินทั้งทำเสียงครวญคราง
เข้ามาจนถึงท่าน ซึ่งห่างกันประมาณสองวาเศษเท่านั้น พอเข้ามา
ถึงที่นั้นแล้วก็หยุดนั่งเหมือนสุนัขบ้านนั่ง และจ้องมองหน้าท่าน
เขม็งแบบไม่กะพริบตาเลย แต่มิได้หมอบทำท่าจะทำอะไรท่าน
อาการของมันเหมือนตัวที่มาหาท่านคราวที่แล้วนั้น ไม่มีอาการว่า
จะเอาจริงเอาจังอะไรกับท่าน แต่ขึ้นชื่อว่าสัตว์น่ากลัวแล้ว แม้
ไม่แสดงอาการเป็นที่น่ากลัวก็จำต้องกลัวมันอยู่นั่นเอง
พอเห็นมันมองท่าน ท่านเองก็มองมันด้วยความกลัวอยู่
พักหนึ่ง พอตั้งสติได้ท่านก็ยกมือชี้บอกมันว่า ที่นี่มิใช่ที่สำหรับ
ท่องเที่ยวของเธอ แต่เป็นที่อยู่ของพระท่านบำเพ็ญภาวนาต่างหาก
จงไปเสียที่อื่นซึ่งมีป่าและเขามากยิ่งกว่าที่นี่ แต่มันก็ยังนั่งมองท่าน
อยู่ไม่ยอมไป ท่านจึงจับไม้เท้าชี้บอกมันอีกว่า จงไปที่โน้น ภูเขา
ลูกโน้นซึ่งมีที่เที่ยวถมไป อย่ามานั่งดูให้พระกลัว เรามิใช่สัตว์มิใช่เนื้อ มิใช่อาหารของเสือเช่นเธอ เราเป็นพระผู้ทรงศีลทรงธรรม
อย่ามาทำให้เรากลัว เดี๋ยวเวลาเธอตายไปตกนรกหลุมกลัว ๆ นะ
จะว่าไม่บอก แล้วก็ชี้ไม้เท้าบอกมันอีกว่า จงหนีไปเดี๋ยวนี้ เรากลัว
เธอมาก ตาเธอก็ตาเสือ แหลมคมยิ่งกว่าอะไร ถ้าขืนมองเรานานๆ
เผื่อเรากลัวมากและตายไปเธอจะตกนรกจริง ๆ นะ
พอจบคำ ท่านก็ลุกจากที่ชี้ไม้และเดินเข้าไปหามัน มันจึง
โดดหนีไปในขณะนั้น พอมันหนีไปแล้วนึกกลัวขึ้นมาอีก เพราะคิด
ว่ามันอาจตามเราไปเวลาไปบิณฑบาต เพราะเป็นป่าดงพงลึกทั้งสิ้น
แต่ไม่เห็นมันตามไปดังที่คิดไว้ วันนั้นนึกกลัวทั้งวัน เกรงว่ามันอาจ
ขึ้นมาหาเราอีกก็ได้ ตอนกลางคืนก็คิดแต่เรื่องเสือจะขึ้นมาหา
ท่าเดียว เลยไม่เป็นอันภาวนาให้สนิทใจได้ จำต้องสั่งสอนตนแทบ
ทั้งคืน ใจจึงยอมสงบลงได้ จากนั้นก็หายกลัวอยู่ได้ด้วยความสงบสุข
เสือตัวนั้นก็ไม่เห็นกลับมาอีก จนกระทั่งท่านจากที่นั้นไป ท่านว่า
เสือตัวนี้ใหญ่และยาวมาก น่ากลัวจริงๆ คล้ายกับเป็นเสือลึกลับ
ไม่ใช่เสือธรรมดา ใหญ่พอๆ กันกับตัวที่มาหาตอนกลางคืนวันนั้น
ลักษณะอาการก็คล้ายคลึงกัน ความรวดเร็วก็พอๆ กัน จึงทำให้คิด
ว่าน่าเป็นเสือเทพบันดาลดังท่านอาจารย์มั่นว่าไม่ผิด เห็นแล้วน่า
กลัวจนแทบตั้งสติไว้ไม่อยู่ดังนี้
ท่านพรรณนาคุณของการอยู่ป่าและคุณของจิตใจที่เผชิญ
เหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ฟังอย่างจับใจ แต่ผู้เขียนจำไม่ได้มากเพราะ
นิสัยขี้ลืม ท่านว่าเวลาจำเป็นด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ บังคับ ใจ
รู้สึกเหมือนมีอะไรป้องกันอยู่ภายในชอบกลชนิดบอกไม่ถูก การ
สร้างตัวของจิตในเวลาจำเป็นก็ง่ายและรวดเร็วผิดธรรมดา
อยู่มาก จึงทำให้จำต้องชอบอยู่ในที่คับขัน ทั้งที่ปกติเป็นคน



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2012, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องปัญหาของพระอานนท์เถระ [๑๕๑]



ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภปัญหาของพระอานนทเถระ

ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "สพฺพปาปสฺส อกรณํ" เป็นต้น.

กาลแห่งพระพุทธเจ้าต่างกัน แต่คำสอนเหมือนกัน

ได้ยินว่า พระเถระ นั่งในที่พักกลางวัน คิดว่า "พระศาสดา ตรัสบอกเหตุ

แห่งพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ทุกอย่าง คือ พระชนนีและพระชนก การกำหนดพระ

ชนมายุ ไม้เป็นที่ตรัสรู้ สาวกสันนิบาต อัครสาวก อุปัฏฐาก แต่อุโบสถ

มิได้ตรัสบอกไว้; อุโบสถ แห่งพระพุทธเจ้าแม้เหล่านั้นเหมือนอย่างนี้ หรือเป็น

อย่างอื่น." ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถามเนื้อความนั้น. ก็เพราะความ

แตกต่างแห่งกาลแห่งพระพุทธเจ้าเหล่านั้นเท่านั้น ได้มีแล้ว, ความแตกต่างแห่งคาถา

ไม่มี; ด้วยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงกระทำอุโบสถในทุก ๆ

๗ ปี, เพราะพระโอวาทที่พระองค์ประทานแล้ว ในวันหนึ่งเท่านั้น พอไปได้ ๗ ปี,

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี และ เวสสภู ทรงกระทำอุโบสถในทุกๆ ๖ ปี

(เพราะพระโอวาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๒ พระองค์นั้น ทรงประทานในวันหนึ่ง

เท่านั้นพอไปได้ ๖ ปี) พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ และ โกนาคมนะ

ได้ทรงกระทำอุโบสถ ทุกๆ ปี, (เพราะพระโอวาท ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒

พระองค์นั้น ทรงประทานในวันหนึ่งเท่านั้น พอไปได้ปีหนึ่ง ๆ);พระกัสสปทสพล ได้

ทรงกระทำอุโบสถทุก ๆ ๖ เดือน, เพราะพระโอวาทที่พระองค์ทรงประทานในวัน

หนึ่ง พอไปได้ ๖ เดือน; ฉะนั้น พระศาสดา จึงตรัสความแตกต่างกันเเห่งกาลนี้ของ

พระพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า "ส่วน โอวาทคาถาของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น

เป็นอย่างนี้นี่แหละ." ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงกระทำอุโบสถ แห่งพระพุทธเจ้าทุก ๆ

พระองค์ ซึ่งเป็นอันเดียวกันทั้งนั้นให้แจ่มแจ้ง จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-

๔. สพฺพปาปสฺส อกรณ กุสลสฺสูปสมฺปทา

สจิตฺตปริโยทปน เอต พุทฺธาน สาสน.

ขนฺตี ปรม ตโป ตีติกฺขา

นิพฺพาน ปรม วทนฺติ พุทฺธา

น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี

สมโณ โหติ ปร วิเหฐยนฺโต.

อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สวโร

มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสน

อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอต พุทฺธาน สาสน.

คำแปล

"ความไม่ทำบาปทั้งสิ้น ความยังกุศลให้ถึงพร้อม

ความทำจิตของตนให้ผ่องใส นี่เป็นคำสอนของพระพุทธ-

เจ้าทั้งหลาย.

ความอดทนคือความอดกลั้น เป็นธรรมเผาบาปอย่างยิ่ง

ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ย่อมกล่าวพระนิพพาน ว่า เป็นเยี่ยม,

ผู้ทำร้ายผู้อื่น ไม่ชื่อว่าบรรพชิต

ผู้เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ.

ความไม่กล่าวร้าย ๑

ความไม่ทำร้าย ๑

ความสำรวมในพระปาติโมกข์ ๑

ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑

ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑

ความประกอบโดยเอื้อเฟื้อในอธิจิต ๑

นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. "






เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2012, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ภิกษุเหล่านั้น

สนทนากันจบแล้ว จึงทรงกระแอมแล้วเคาะบานประตู ภิกษุเหล่านั้นได้เปิด

ประตูรับ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปที่อาศรมของพราหมณ์ชื่อรัมมกะ

ประทับนั่งบนอาสนะที่ได้จัดไว้ แล้วจึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนาเรื่องอะไรกัน และเรื่องอะไรที่พวกเธอ

สนทนากันค้างไว้. ภิกษุเหล่านั้นทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมีกถาปรารภ

ถึงพระผู้มีพระผู้มีภาคเจ้านั้นแล พวกข้าพระองค์พูดกันค้างอยู่ ก็พอดีพระผู้มี

พระภาคเจ้าเสด็จมาถึง. จึงตรัสว่า ดีละ. ภิกษุทั้งหลาย การที่พวกเธอผู้เป็น

กุลบุตร ออกจากเรือนไม่มีเรือนบวชด้วยศรัทธา นั่งสนทนาธรรมีกถากัน

เป็นการสมควร พวกเธอเมื่อนั่งประชุมกัน ควรทำกิจสองอย่าง คือสนทนา

ธรรมกันหรือนั่งนิ่งตามแบบพระอริยะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การแสวงหามี

สองอย่าง คือ การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐอย่างหนึ่ง การแสวงหาที่ประเสริฐ

อย่างหนึ่ง.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐเป็นไฉน. คน

บางคนในโลกนี้ ตนเองเป็นผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีชาติ

เป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ เป็นผู้มีชราความแก่เป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมี

ชราความแก่เป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ เป็นผู้มีพยาธิความเจ็บไข้เป็นธรรมดา

ก็ยังแสวงหาสิ่งนี้พยาธิความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ เป็นผู้มีมรณะความ

ตายเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งมีมรณะความตายเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ เป็น

ผู้มีโศกเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งมีโศกเศร้าเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ

เป็นผู้มีสังกิเลสความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งมีสังกิเลสความ

เศร้าหมองเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ. เธอบอกได้ไหมว่าอะไรคือสิ่งมีชาติเป็น

ธรรมดา. บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง

โค ม้า ลา ทอง เงิน เรียกว่าสิ่งนี้ชาติเป็นธรรมดา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

สิ่งมีชาติเป็นธรรมดาเหล่านั้นเป็นอุปธิ ผู้ที่ติดพัน ลุ่มหลง เกี่ยวข้องในสิ่ง

มีชาติเป็นธรรมดาเหล่านั้น ชื่อว่าตนเองเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ยังแสวงหา

สิ่งมีชาติเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ. เธอบอกได้ไหมว่าอะไรคือ สิ่งมีชราเป็น

ธรรมดา. บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค

ม้า ลา ทอง เงิน เรียกว่าสิ่งมีชราเป็นธรรมดา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งมี

ชราเป็นธรรมดาเหล่านั้นเป็นอุปธิ ผู้ที่ติดพัน ลุ่มหลง เกี่ยวข้อง ในสิ่งมีชรา

เป็นธรรมดาเหล่านั้นชื่อว่าตนเองเป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งนี้ชรา

เป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ. เธอบอกได้ไหมว่า อะไรเล่า คือ สิ่งมีพยาธิเป็น

ธรรมดา. บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง

โค ม้า ลา ทอง เงิน เรียกว่า สิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดา. ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย สิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดาเหล่านั้นเป็นอุปธิ ผู้ที่ติดพันลุ่มหลงเกี่ยวข้อง

ในสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดาเหล่านั้น ชื่อว่าตนเองเป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา

ยังแสวงหาสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ. เธอบอกได้ไหมว่า อะไรเล่า

คือสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดา. บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย แพะ แกะ

ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ทอง เงิน เรียกว่าสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งมีมรณะเป็นธรรมดาเหล่านั้นเป็นอุปธิ ผู้ที่ติดพัน ลุ่ม

หลง เกี่ยวข้อง ในสิ่งมีนรกเป็นธรรมดาเหล่านั้น ชื่อว่าตนเองเป็นผู้มีมรณะ

เป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ. เธอบอกได้ไหม

ว่าอะไรคือสิ่งมีความโศกเป็นธรรมดา. บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย

แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ทอง เงิน เรียกว่าสิ่งมีความโศก

เป็นธรรมดา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งมีความโศกเป็นธรรมดาเหล่านั้นเป็น

อุปธิ ผู้ที่ติดพัน ลุ่มหลง เกี่ยวข้อง ในสิ่งมีความโศกเป็นธรรมดาเหล่านั้น

ชื่อว่าตนเองเป็นผู้มีความโศกเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งมีความโศกเป็นธรรมดา

อยู่นั่นแหละ. เธอบอกได้ไหมว่าอะไรคือสิ่งมีกิเลสเป็นธรรมดา. บุตร ภรรยา

ทาสหญิง ทาสชาย แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ทอง เงิน

เรียกว่าสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา

เหล่านั้นเป็นอุปธิ ผู้ที่ติดพัน ลุ่มหลง เกี่ยวข้อง ในสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา

เหล่านั้น ชื่อว่าตนเองเป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งมีสังกิเลสเป็น

ธรรมดาอยู่นั่นแหละ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้คือการแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การแสวงหาที่ประเสริฐเป็นไฉน. คน

บางคนในโลกนี้ ตนเองเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีชาติเป็น

ธรรมดา ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เกิด หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษม

จากโยคะ ตนเองเป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีชราเป็นธรรมดา

ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่แก่ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้เกษมจากโยคะ ตนเอง

เป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหา

พระนิพพาน หาพยาธิมิได้ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะตนเอง

มีมรณะเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหา

พระนิพพาน ที่ไม่ตาย หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ ตนเองเป็น

ผู้มีโศกเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีโศกเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระ-

นิพพาน ที่หาโศกมิได้ เกษมจากโยคะ ตนเองเป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา

ทราบชัดโทษในสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่

เศร้าหมอง หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้เกษมจากโยคะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้แล

คือการแสวงที่ประเสริฐ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เราก่อนแต่ตรัสรู้ ยังไม่ได้ตรัสรู้

เป็นโพธิสัตว์อยู่ ตนเองเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีชาติเป็น

ธรรมดานั่นแล เป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีชราเป็นธรรมดา

นั่นแล เป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดานั่นแล

เป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดานั่นแล เป็นผู้มี

โศกเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีความโศกเป็นธรรมดานั่นแล เป็นผู้มี

สังกิเลสเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดานั่นแล เราจึงคิด

ดังนี้ว่า เราเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ทำไมจึงยังแสวงหาสิ่งมีชาติเป็นธรรมดา

อยู่เล่า เรามีชราเป็นธรรมดา ทำไมจึงแสวงหาสิ่งมีชราเป็นธรรมดาอยู่เล่า

เราเป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดาทำไมจึงยังแสวงหาสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดาอยู่เล่า

เป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ทำไมจึงยังแสวงหาสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดาอยู่เล่า

เป็นผู้มีโศกเป็นธรรมดา ทำไมจึงยังแสวงหาสิ่งมีโศกเป็นธรรมดาอยู่เล่า

เป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา ทำไมจึงยังแสวงหาสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดาอยู่เล่า

ถ้ากระไร เราเมื่อเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ก็ควรทราบชัดโทษในสิ่งมีชาติ

เป็นธรรมดา แล้วแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เกิด หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้

เกษมจากโยคะ เมื่อเป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา ก็ควรทราบชัด โทษในสิ่งมีชรา

เป็นธรรมดา แล้วแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่แก่ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้

เกษมจากโยคะ เมื่อเป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา ก็ควรทราบชัดโทษในสิ่งมี

พยาธิเป็นธรรมดา แล้วแสวงหาพระนิพพาน ที่หาพยาธิมิได้ หาธรรมอื่น

ยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ เมื่อเป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดาก็ควรทราบชัด

โทษในสิ่งมีมรณะเป็นธรรม แล้วแสวงหาพระนิพพานที่ไม่ตาย หาธรรมอื่น

ยิ่งกว่ามิได้เกษมจากโยคะ เมื่อเป็นผู้มีโศกเป็นธรรมดา ก็ควรทราบชัดโทษ

ในสิ่งมีโศกเป็นธรรมดา แล้วแสวงหาพระนิพพาน ที่หาโศกมิได้ หาธรรม

อื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ เมื่อเป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา ก็ควรทราบชัด

โทษในสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา แล้วแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เศร้าหมอง

หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้เกษมจากโยคะ.



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2012, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ตราบใดที่ยังมีการเวียนว่ายตายเกิด ของสรรพสัตว์ ก็ยังมีการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า

เป็นธรรมดา แต่แม้พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นต่อในอนาคตมากเท่าไหร่ก็ตาม ก็ไม่สามารถ

ช่วยสรรพสัตว์ได้หมด เพราะเหล่าสัตว์มีจำนวนเป็นอนันตะ นับประมาณไมได้ ครับ

ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ยังจะต้องมีพระพุทธเจ้าอุบัคิขึ้น หากยังมีการเกิด ยังมีความแก่

ความเจ็บ ความตาย ก็ต้องมีการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย และผู้ที่จะไม่เกิดอีก ไม่แก่

ไม่เจ็บ ไม่ตายอีก และมีผู้รู้หนทางแห่งการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายด้วยพระองค์ คือ

พระพุทธเจ้านั่นเองครับ ดังนั้น ต่อไปในอนาคตก็ยังมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย

ก็ต้องมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในอนาคตต่อไป ครับ


ในความเป็นจริง ตั้งแต่ในอดีตกาลนับประมาณไม่ได้จนถึงปัจจุบัน พระพุทธเจ้า

อุบัติขึ้นมาแล้วในโลก นับประมาณไม่ได้ เพราะ สังสารวัฏฏ์เบื้องต้นในอดีต นับ

ชาติไม่ได้ ดังนั้นก็มีพระพุทธเจ้าบังเกิดในโลกมาแล้วนับไม่ถ้วนครับ เปรียบเหมือน

เม็ดทรายในแม่น้ำคงคา มีมากอย่างนั้นครับ เพียงแต่ว่า ที่แสดงว่ามีพระพุทธเจ้า 28

พระองค์ นั้น นับจาก สมัยพระพุทธเจ้าทีปังกร จนถึงพระพุทธเจ้าเรา คือ พระพุทธเจ้า

ตัณหังกร ไล่เรื่อยไป จนถึงพระพุทธเจ้าเราได้ 28 พระองค์ หรือ ถ้านับจากเฉพาะ

กัปนี้ คือ ภัทรกัป พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก กัปนี้ 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าสมณ

โคดม เป็นองค์ที่ 4 ครับ ดังนั้นก็แล่้้วแต่ว่าเรานับจากกัป ช่วงเวลาไหน ก็ทำให้มี

จำนวนของพระพุทธเจ้าแตกต่างกันไปตามการนับช่วงเวลาที่เป็นกัปแต่ละกัป ครับ


พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุก ๆ พระองค์ ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ

ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็น

เวลาที่นานมาก พระคุณของพระองค์นั้นมีมากมาย พระองค์ทรงอุบัติขึ้นในโลกเพื่อ

ประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง ด้วยการทรงแสดงพระธรรม ประกาศความ

จริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง เป็นผู้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง ไม่ว่า

จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ในอดีต ซึ่งมีมากมายนับไม่ถ้วน พระองค์ปัจจุบัน และ

พระองค์ในอนาคต ก็คือ ผู้ที่ทรงอุบัติขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก

เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2012, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


หลายบทว่า อิเม เทฺว ธมฺมา พหูการา ความว่า ธรรม คือ สติ และ สัมปชัญญะ

๒ เหล่านี้ มีอุปการะ คือ นำประโยชน์เกื้อกูลมาให้ในที่ทั้งปวง เหมือนความไม่ประมาท

มีอุปการะในกิจทั้งหลายมีการบำเพ็ญศีลเป็นต้น ฉะนั้น. สติ ก็คือ สตินั่นเอง.

สัมปชัญญะ คือ ญาณ (ปัญญา)

หลายบทว่า สมโถ จ วิปสฺสนา จ ความว่า ธรรมอันเป็นโลกิยะ และโลกุตตระ ทั้ง ๒

เหล่านี้ ท่านกล่าวไว้ในสังคีติสูตร. สมถะ คือ สมาธิ. วิปัสสนา คือ ปัญญา.

นาม ได้แก่อรูปขันธ์ ๔ และนิพพาน ๑. อนึ่ง ขันธ์ ๔ ในบรรดาธรรมเหล่านั้น ก็ชื่อว่า

นาม แม้ด้วยอรรถว่า น้อมไป เพราะขันธ์เหล่านั้น ย่อมมุ่งหน้าน้อมไปในอารมณ์.

ขันธ์ ๔ ย่อมยังกันและกันให้น้อมไปในอารมณ์. นิพพานย่อมยังธรรมอันไม่มีโทษให้

น้อมไปในตน เพราะเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นใหญ่ในอารมณ์.

คำว่ารูป หมายถึงมหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔. ทั้งหมดนั้นชื่อว่า รูป

เพราะอรรถว่า ต้องย่อยยับไป.

คำว่า อวิชฺชา ได้แก่ความไม่รู้ในสัจจะ มีทุกข์เป็นต้น. แม้เรื่องนี้ก็ได้กล่าวไว้โดย

ละเอียดแล้วในวิสุทธิมรรคเช่นกัน.

คำว่า ภวตณฺหา หมายถึงความปรารถนาภพ. สมดังที่ตรัสไว้ว่า "บรรดาตัณหาเหล่า

นั้น ภวตัณหา คืออะไร คือความพอใจความเป็นในภพทั้งหลาย" ดังนี้เป็นต้น.

คำว่า ภวทิฏฺฐิ ( นี้ ) ความเที่ยง ท่านเรียกว่า ภวะ คือ ทิฏฐิ ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจความ

เห็นว่าเที่ยง แม้ทิฏฐินั้นท่านก็แถลงรายละเอียด ไว้แล้วในพระอภิธรรมโดยนัยเป็นต้น

ว่า "บรรดาทิฏฐิเหล่านั้น ภวทิฏฐิคืออะไร คือ ทิฏฐิ ได้แก่ความเห็นที่เกิดขึ้นว่า "ตนมี

โลกมี" ดังนี้.

คำว่าวิภวทิฏฺฐิ (นี้) ความขาดสูญ ท่านเรียกว่า วิภวะ คือทิฏฐิที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจเห็น

ว่าขาดสูญ แม้ที่นั้นท่านก็แถลงรายละเอียดไว้แล้วในพระอภิธรรมเช่นเดียวกันโดยนัย

เป็นต้นว่า "บรรดาทิฐิเหล่านั้น วิภวทิฏฐิ คือ อะไร คือ ทิฏฐิ ได้แก่ ความเห็นที่ว่า "ตน

ไม่มี โลกไม่มี" ดังนี้.

คำว่า โทวจสฺสตา มีบทอธิบายดังนี้ - การว่ากล่าวในบุคคลนี้ ผู้มักถือเอาแต่สิ่งน่า

รังเกียจ ติดใจในสิ่งที่เป็นข้าศึก ไม่เอื้อเฟื้อเชื่อฟัง เป็นการยาก ดังนั้น บุคคลผู้นี้จึงชื่อ

ทุพฺพโจ (ผู้ว่ายาก) การกระทำของบุคคลผู้ว่ายากนั้น ชื่อว่า โทวจสฺสํ, ภาวะของ

โทวจัสสะนั้น ชื่อว่า โทวจสฺสตา ภาวะแห่งการกระทำของผู้ว่ายาก - ความเป็นผู้ว่ายาก.

ความเป็นผู้ว่ายากนี้ รายละเอียดมีมาในพระอภิธรรมว่า "บรรดาธรรมเหล่านั้น

โทวจัสสตา คือ อะไร คือความเป็นผู้ว่ายากสอนยาก ในเมื่อเพื่อนสหธรรมิกกำลังว่า

กล่าวตักเตือนอยู่ โทวจัสสตานั้น โดยความหมาย ย่อมเป็นสังขารขันธ์ แต่บาง

ท่านกล่าวว่า คำนี้เป็นชื่อของขันธ์ทั้ง ๔ ที่เป็นไปโดยอาการเช่นนี้.

คำว่า ปาปมิตฺตตา มีบทอธิบายดังนี้ คนชั่วทั้งหลาย มีคนไร้ศรัทธาเป็นต้น เป็นมิตร

ของผู้นั้น ดังนั้น เขาจึงชื่อว่า ปาปมิตฺโต ภาวะแห่งปาปมิตตะนั้น ชื่อว่า ปาปมิตฺตตา

(ความเป็นผู้มีคนชั่วเป็นมิตร ). ความเป็นผู้มีคนชั่วเป็นมิตรนี้ รายละเอียดมีมาในพระ

อภิธรรม อย่างนี้ว่า "บรรดาธรรมเหล่านั้น ปาปมิตฺตตา คืออะไร ? คือ การคบหา

สมาคมส้องเสพ มั่วสุม จงรักภักดี ประพฤติคล้อยตามบุคคลผู้ไร้ศรัทธา ทุศีล ขาดการ

ศึกษา ตระหนี่ และไม่มีปัญญา"

แม้ปาปมิตตตานั้น โดยความหมาย ก็พึงทราบเช่นเดียวกับ โทวจัสสตา. ความเป็น

ผู้ว่าง่าย และความมีคนดีเป็นมิตร พึงทราบโดยนัยตรง กันข้ามจากที่กล่าวมาแล้ว.

คุณธรรมทั้ง ๒ ประการนี้ ในที่นี้ ท่านกล่าวระคนกันทั้งโลกิยะ และโลกุตตระ.

หลายบทว่า สตฺตานํ สงฺกิเลสาย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา ความว่า อโยนิโสมนสิการ เป็น

เหตุ และเป็นปัจจัยเพื่อความเศร้าหมองแห่งสัตว์ทั้งหลาย โยนิโสมนสิการเป็นเหตุและ

เป็นปัจจัย เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย. เหมือนอย่างนั้นความเป็นผู้ว่ายาก

ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัยเพื่อความเศร้าหมองแห่งสัตว์ทั้งหลาย ความ

เป็นผู้ว่าง่าย ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัยเพื่อความหมดจด แห่ง

สัตว์ทั้งหลาย เหมือนกัน.

อกุศลมูล ๓ (โลภะ โทสะ โมหะ) กุศลมูล ๓ (อโลภะ อโทสะ อโมหะ) โยคะ ๔

วิสังโยคะ ๔ เจโตขีละ ๕ อินทรีย์ ๕ อคารวะ ๖ คารวะ ๖ อสัทธรรม ๗ สัทธรรม ๗

กุสีตวัตถุ ๘ อารัพภวัตถุ ๘ อาฆาตวัตถุ ๙ อาฆาตปฏิวินัย ๙ อกุศลกรรมบถ ๑๐ กุศล-

กรรมบถ ๑๐ ตกเป็นธรรมอย่างละ ๒ มีประเภทดังที่กล่าวมาเหล่านี้ บัณฑิต พึงทราบ

ว่า แทงตลอดได้ยาก

สองบทว่า สงฺขตา ธาตุ ความว่า ขันธ์ห้าอันปัจจัยทั้งหลาย กระทำแล้ว. สองบทว่า

อสงฺขตา ธาตุ ความว่า พระนิพพาน อันปัจจัยทั้งหลายมิได้กระทำ.

พึงทราบวินิจฉัยในสองบทนี้ว่าวิชฺชา จ วิมุตฺติ จ ดังต่อไปนี้ วิชชา ๓ ชื่อว่า วิชชา

อรหัตตผล ชื่อว่าวิมุตติ

คำว่า ขเย ญานํ ได้แก่ ญาณในอริยมรรค อันทำให้กิเลสสิ้นไป. คำว่า อนุปฺปเท

ญาณํ ได้แก่ญาณในอริยผล อันเป็นผลที่ยังไม่เกิดโดยปฏิสนธิ หรือที่เกิดขึ้นในที่สุด

แห่งความไม่เกิดขึ้นแห่งกิเลสที่มรรคนั้น ๆ ฆ่าได้แล้ว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

คำว่า ขเย ญาณํ คือ ญาณของผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรค. คำว่า อนุปฺปเท ญาณํ คือ ญาณ

ของผู้พรั่งพร้อมด้วยผล.



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ถวายเทียน ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 59 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron