วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 18:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 131 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
:b8: :b8: สวัสดีค่ะ นักธรรม และผู้รู้ทุกท่าน :b8: :b8:

วันนี้ดิฉันเลยมาขอความช่วยเหลือค่ะ..เพราะดิฉันไม่มั่นใจในตัวเองว่าคิดถูกไหม

ดิฉันอยากถามว่า การละขันธ์5 ในทางมหาสตินั้น คือละขันธ์5 แบบไหน

ละแบบเพิกขันธ์5 หรือ ละขันธ์5 คือ การวางเฉยต่อขันธ์5 ค่ะ

ละขันธ์5 แบบไหน ถูกต้องในมหาสติค่ะ.

:b8: :b8: ขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b8: :b8:


สวัสดีค่ะ คุณชาวโลก
ไม่ทราบมีครูบาอาจารย์หรือเปล่า การเจริญสมถะควรจะมีครูบาอาจารย์ เพราะบางคนพอจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิก็จะเห็นภาพนิมิตไปต่าง ๆ นาๆ บางคนเข้าใจไปว่าตนบรรลุมรรคผลนิพพาน บางคนก็เข้าใจไปว่าตนเป็นอวตาลของเทพไปนั่น บางคนก็ว่าไปไหนก็มีแต่วิญญาณเต็มไปหมด คือคนที่เค้าเห็นจริงนั้นมีอยู่แต่ต้องรู้เท่าทัน..เล่าจากประสบการณ์ที่พบเห็นมาน่ะ.. :b1:

เราเองก็ยังไม่ได้เป็นผู้รู้ เป็นแค่ผู้ที่กำลังศึกษาค่ะ..ผู้รู้ในบอร์ดนี้ก็มีอยู่ที่ถึงพร้อมด้วย ปริยัติ ปฏิบัติ
และปฏิเวธ..เดี๋ยวท่านอาจจะเข้ามาตอบให้คุณ...
...แต่เราขอแค่แสดงความคิดเห็นว่าอาการที่คุณเป็นอยู่คือการที่จิตเพิกกาย และไม่อาจจะพิจารณากายได้อีกและเห็นหน้าตาตนเองเหมือนซากศพ (ถ้าไม่ใช่ต้องขออภัยนะ) เกิดจากการพิจารณากายว่ากายนี้ไม่น่ารักใคร่ปรารถนาพอถึงจุด ๆนึงจิตจะเห็นเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ไม่ใช่เป็นการวิปัสสนาดังนั้นอาการเพิกกายแบบนี้จึงไม่ใช่เป็นการปล่อยวางอุปาทานที่มีในขันธ์ห้า
การเจริญวิปัสสนาต้องมีรูปนามเป็นอารมณ์หรือเรียกว่าปรมัตถ์ จิตต้องเห็นสภาวะธรรม กระบวนการทำงานของรูปนาม (ขันธ์ห้า) ที่เกิดดับภายในตนและตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ เมื่อเห็นบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ จะทำให้จิตเกิดอาการปล่อยวางในอุปาทานเนื่องด้วยรู้แจ้งว่าเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง ต้องเสื่อมสลายไปในที่สุดไม่มีรูปร่างสัณฐานที่จะเอาใจไปยึดไว้ให้อยู่ในสภาพอย่างนั้น ๆ ได้...
...คุณมีสมาธิเป็นบาทฐานที่ค่อนข้างแข็งแรงแล้วให้ยกจิตขึ้นสู่การเจริญวิปัสสนาให้ได้ในขณะที่ความว่างปรากฏเมื่อไม่มีกายให้พิจารณาให้เปลี่ยนไปพิจารณาที่อาการของจิตในขณะปัจจุบัน เช่นจิตมีปิติ
จิตเบาสบาย อาการที่ปรากฏก็เกิดจากเหตุปัจจัยมิได้เป็นเราทำให้เกิดเป็นกระบวนการทำงานของรูปนามและตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์เช่นกัน... :b41:

ขอเจริญในธรรมค่ะ :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




83324525.jpg
83324525.jpg [ 269.77 KiB | เปิดดู 3580 ครั้ง ]
ชาวโลก เขียน:
วันนี้ดิฉันเลยมาขอความช่วยเหลือค่ะ..เพราะดิฉันไม่มั่นใจในตัวเองว่าคิดถูกไหม

ดิฉันอยากถามว่า การละขันธ์5 ในทางมหาสตินั้น คือละขันธ์5 แบบไหน

ละแบบเพิกขันธ์5 หรือ ละขันธ์ 5 คือ การวางเฉยต่อขันธ์5 ค่ะ

ละขันธ์5 แบบไหน ถูกต้องในมหาสติค่ะ.


บางทีหรือหลายๆที พวกเราคิดติดวนอยู่กับศัพท์แสงเกินไป จึงหลงศัพท์อีก ยกตัวอย่าง "ละ" ถ้าไปถามพวกนิครนถ์ จะได้คำตอบแบบสุดๆ คือ แก้ผ้าเลย เช่นตัวอย่างข้างบน

แต่ ละ ในความหมายของพุทธะ "ละ" คือ ความรู้สึกซึ่งเกิดต่อจาก "รู้ คือ รู้ความจริง" ครั้นรู้ความจริงนั่นแล้วเนี่ย มันละของมันเอง โดยไม่ต้องมีพิธีรีตองหรือทำท่าทำทางละอะไร :b1:

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า พวกเราจะทำยังไงถึงจะรู้เข้าใจความจริงซึ่งมีเป็นของมันอยู่แล้วตามธรรมดาๆนี่

ศึกษาอุเบกขาลิงค์นี้

viewtopic.php?f=7&t=40956&start=15

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 14:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ไม่ใช่การเดินผิดซะทีเดียวตราบใดที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งและทางปฏิบัติ เช่น ความเมตตา เป็นธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นสัมมาสังกัปปะ นี่คือทางเดินที่ถูก แต่การตระหนี่ขี้เหนียวนี่คือการเดินผิด ผมอ่านแนวปฏิบัติของคุณต้องขอโทษที่จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร เกี่ยวกับการเดินผิดเดินถูกอย่างไร

คุณบอกว่าพิจารณากายเห็นตัวเองในกระจกเหมือนซากศพ อยากถามว่าสังขารเกิดขึ้นไหมครับ คือเห็นตัวเองเหมือนซากศพเพราะจิตปรุงแต่ง นั่นคือเห็นแสงตรงหน้าแต่เข้าใจว่าเป็นภาพมีตัวตนมีเรามีเขา เพราะจริงๆสิ่งที่เห็นเป็นแค่แสง ถ้าคุณดับไฟแล้วมองตัวเองในกระจกตอนดึกคุณจะเห็นอะไร คุณจะมองไม่ค่อยออกว่าเป็นภาพอะไร เหตุเพราะมีแสงกระทบ ดังนั้นจิตปรุงแต่งเพราะเห็นแสงว่าเป็นตัวเราตัวเขา สังขารจึงเกิด


:b8: :b8: ขอบคุณที่ให้กำลังใจและประคองใจค่ะ และน้อมรับความรู้ค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 14:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


อรูปะ เขียน:
ชาวโลก เขียน:
ละขันธ์5 แบบไหน ถูกต้องในมหาสติค่ะ.


ขอตอบตามความเข้าใจครับ

ผมคิดว่าคุณกำลังเข้าฌาณ ที่ย้ายจากกายนุสติปัฏฐาน ไปเป็น อรูปฌาณ

แล้วติดอยู่ใน อรูปฌาณ จึงต้องเพิกขันธ์ 5 ไปครับ


:b8: :b8: น้อมรับความรู้ค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 14:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิต เขียน:
ชาวโลก เขียน:
การละความเห็นผิดของจิตที่มีต่อขันธ์ 5 ที่ยึดเอาขันธ์ 5 เป็นตน แปลว่า ละความยึดถือยึดมั่นในขันธ์5 แต่ขันธ์ ยังคงอยู่ตามสภาพของมัน...ดิฉันเข้าใจถูกไหมค่ะ


ถูกต้องครับแต่การละความยึดมั่นในขันธ์ 5 ไม่ใช่การปล่อยปละไม่สนใจ แต่อยู่ด้วยปัญญา เปรียบดังที่ครูอาจารย์ท่านเปรียบขันธ์ 5 ดังแพสวะ ต้องบำรุงดูแล เพื่อพาประคองข้าม ห้วงวัฏฏะ เป็นเครื่องมือพาออกจากทุกข์ ไม่ถือมั่นขันธ์ กาย จิต แต่รู้อยู่ ดูอยู่ พอกพูน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้แข้มแข็ง มีกำลัง ปลด ปละ ละ วาง คาย สำรอก กิเลส ตัณหา อุปทาน จนขันธ์ทั้งหลายเบาลง เย็นลง จนถึงที่สุด เป็นนิพพาน ที่ผมเห็นอยู่ กำลังทำอยู่เป็นอย่างนี้


:b8: :b8: ขอบคุณที่ให้ความกระจ่างค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 14:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อสุภะ....ทำให้เราละ...เราคลายความกำหนัดในราคะ

สักกายทิฏฐิ...พิจารณาหาความเป็นเราในอาการ 32 (ซึ่งมันไม่มี)...ขั้นหยาบ..เห็นความเสื่อมสลายคือการตายของทุกสิ่ง...ขั้นกลาง...เห็นร่างกายเป็นของสกปรกเน่าเหม็น...ขั้นละเอียด...หาความเป็นเราไม่มีในขันธ์5...นี้จำขี้ปากของอาจารย์มา..

หากคุณถนัดอสุภะ...ก็เอาอสุภะมาพิจารณา....โดยมองที่กายเรา....เน้นว่าต้องเป็นกายเรา(เพราะอวิชชามันรักที่สุดก็กายเรานี้แหละ...ไม่ใช่กายไหน)....ถามมันไปว่านี้หรือเรา...ถามจี้มันไปเรื่อย ๆ...ซากศพเน่าเหม็นนี้หรือคือเรา....จนมันลงใจจริง ๆ ว่า...ไม่..เมื่อไร..ก็โอเค

อีกอย่าง....คือเอาร่างกายเรามาผ่าดูเล่น...บางคนอาจจะเห็นด้วยกำลังญาณหรือฌาณ....บางคนอาจเห็นด้วยความคิดพิจารณา...จะอย่างไหนก็แล้วแต่...แต่ผลที่ได้จะเหมือนกันคือ....ไม่เห็นมีเราในร่างนี้นั้นเอง....อันนี้ลองแล้ว..ดี..แต่ยังลองไม่สุด


:b8: :b8: ขอบพระคุณที่ให้ความรู้ค่ะ :b8: :b8:

อ้างคำพูด:
ทีนี้....ก็เข้ามาที่อาการ...การเข้าอวกาศ

พอคิดว่า...ขันธ์ 5 นี้ไม่ใช่เรา...มันก็พรึมไปอวกาศเลยหรือ?

พอเข้าอวกาศแล้ว...รู้สึกอย่างไร?


การพิจารณา ของดิฉันเป็นลำดับขั้นตอนไปค่ะ ทุกครั้งจะเริ่มต้นจากกายก่อน พอกายตื่นทุกรูขุมขนเห็นทั่ว

ตัวแล้ว ดิฉันถึงเพิ่ม พิจารณา ปฎิกูลบรรพ ธาตุบรรพ และนวสีค่ะ พอพิจารณา ไปตามความเป็นจริงสักพัก

จากที่ดูพิจารณาอยู่ อยู่ๆ มันก็เพิกรูปเห็นเป็นอวกาศค่ะ เดิมเมื่อตอนพิจารณากายดิฉันพิจารณาที่ตัวก่อน พอ

มองไม่เห็นตัวเป็นอวกาศแล้ว ดิฉันก็ย้ายไปพิจารณาหัวแทน เพราะมองเห็นว่า หัวยังอยู่ ยังสามารถพิจารณา

ปฎิกูลบรรพ ธาตุบรรพ และนวสี ได้ค่ะ เมื่อพิจารณาดู สมอง ดูความสกปรก ดูความเน่า ดูตามแบบปฎิกูล

บรรพนะค่ะ ดูและพิจารณาไปเรื่อยๆ มันก็เพิกรูปของมันเอง พอดิฉันเห็นว่า เมื่อพิจารณากายไม่ได้ เห็นเป็น

ความว่างเปล่า แล้ว ดิฉันเลยหันไปเพิ่มพิจารณา จิตในจิตต่อ..ทุกครั้ง ดิฉันจะทำเป็นลำดับขั้นตอนเสมอ คือ

เริ่มจาก หนึ่งที่กายก่อน เสมอค่ะ


อ้างคำพูด:
ก็แปลก....ที่เล่า ๆ มานี้...ก็เห็นแต่อ่านเองทำเอง...ก็ทำมาได้ตั้งเยอะ
ไปวัดไปวาบ้างมั้ยละครับนี้.


ปกติ อยู่แต่บ้านค่ะ ช่วงทุกข์มากๆอยากเข้าวัดเหมือนกัน แต่พิจารณาแล้วว่า อยู่ไหนก็ทุกข์ เพราะทุกข์มัน

ทุกข์ที่ใจเรา ถึงไปวัดหวังว่าเพื่อบรรเทา เราก็ทุกข์อยู่ดี..เลยตัดสินใจอยู่บ้านต่อค่ะ..และหันมาหาทางแก้

ทุกข์ที่ใจอย่างที่เป็นอยู่นะค่ะ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาวโลก เมื่อ 03 ก.พ. 2012, 15:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 14:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=28061


:b8: :b8: กราบขอบพระคุณที่ให้ความรู้ค่ะ ขออนุญาติเซฟไว้น่ะค่ะ เพราะธรรมเป็นของละเอียดต้อง

ค่อยๆศึกษาทำความเข้าใจ ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 15:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ชาวโลก :b8:
**พิจารณาจากที่พี่กล่าวมาในผลการปฏิบัติของพี่นั้นอยู่สูงกว่าภูมิปัญญาที่ผมมีจึงไม่อาจกล่าวว่าผิดหรือถูกอะไรได้เต็มปากมากนัก แต่ก็พอทราบลักษณะอาการดังกล่าวจากคำบอกกล่าวของพระอาจารย์ท่านที่ได้สั่งสอนไว้ แต่ยังไงก็ไม่ขอแนะนำอะไรดีกว่าครับในเรื่องการแก้ไข แต่อยากถามว่าพี่เป็นคนพื้นเพที่ไหนครับหรอทำงานอยู่ที่ไหน เผื่อมีครูบาอาจารย์ที่อยู่ใกล้ๆที่ผมพอจะทราบ ผมจะได้แนะนำให้พี่ไปปรึกษาเพื่อขอหลักธรรมเพื่อนำไปปฏิบัติต่อหรือแก้ไขได้ครับ เพราะนักปฏิบัติเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีครูบาอาจารย์ที่พึ่งได้เป็นสรณะด้วยนะครับ เพื่อเวลาอย่างนี้แหละครับ
ขอบคุณครับ :b8:


ดิฉันอยู่ภาคอิสานค่ะ.. :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 15:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
ชาวโลก เขียน:
:b8: :b8: สวัสดีค่ะ นักธรรม และผู้รู้ทุกท่าน :b8: :b8:

วันนี้ดิฉันเลยมาขอความช่วยเหลือค่ะ..เพราะดิฉันไม่มั่นใจในตัวเองว่าคิดถูกไหม

ดิฉันอยากถามว่า การละขันธ์5 ในทางมหาสตินั้น คือละขันธ์5 แบบไหน

ละแบบเพิกขันธ์5 หรือ ละขันธ์5 คือ การวางเฉยต่อขันธ์5 ค่ะ

ละขันธ์5 แบบไหน ถูกต้องในมหาสติค่ะ.

:b8: :b8: ขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b8: :b8:


สวัสดีค่ะ คุณชาวโลก
ไม่ทราบมีครูบาอาจารย์หรือเปล่า การเจริญสมถะควรจะมีครูบาอาจารย์ เพราะบางคนพอจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิก็จะเห็นภาพนิมิตไปต่าง ๆ นาๆ บางคนเข้าใจไปว่าตนบรรลุมรรคผลนิพพาน บางคนก็เข้าใจไปว่าตนเป็นอวตาลของเทพไปนั่น บางคนก็ว่าไปไหนก็มีแต่วิญญาณเต็มไปหมด คือคนที่เค้าเห็นจริงนั้นมีอยู่แต่ต้องรู้เท่าทัน..เล่าจากประสบการณ์ที่พบเห็นมาน่ะ.. :b1:

เราเองก็ยังไม่ได้เป็นผู้รู้ เป็นแค่ผู้ที่กำลังศึกษาค่ะ..ผู้รู้ในบอร์ดนี้ก็มีอยู่ที่ถึงพร้อมด้วย ปริยัติ ปฏิบัติ
และปฏิเวธ..เดี๋ยวท่านอาจจะเข้ามาตอบให้คุณ...
...แต่เราขอแค่แสดงความคิดเห็นว่าอาการที่คุณเป็นอยู่คือการที่จิตเพิกกาย และไม่อาจจะพิจารณากายได้อีกและเห็นหน้าตาตนเองเหมือนซากศพ (ถ้าไม่ใช่ต้องขออภัยนะ) เกิดจากการพิจารณากายว่ากายนี้ไม่น่ารักใคร่ปรารถนาพอถึงจุด ๆนึงจิตจะเห็นเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ไม่ใช่เป็นการวิปัสสนาดังนั้นอาการเพิกกายแบบนี้จึงไม่ใช่เป็นการปล่อยวางอุปาทานที่มีในขันธ์ห้า
การเจริญวิปัสสนาต้องมีรูปนามเป็นอารมณ์หรือเรียกว่าปรมัตถ์ จิตต้องเห็นสภาวะธรรม กระบวนการทำงานของรูปนาม (ขันธ์ห้า) ที่เกิดดับภายในตนและตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ เมื่อเห็นบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ จะทำให้จิตเกิดอาการปล่อยวางในอุปาทานเนื่องด้วยรู้แจ้งว่าเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง ต้องเสื่อมสลายไปในที่สุดไม่มีรูปร่างสัณฐานที่จะเอาใจไปยึดไว้ให้อยู่ในสภาพอย่างนั้น ๆ ได้...
...คุณมีสมาธิเป็นบาทฐานที่ค่อนข้างแข็งแรงแล้วให้ยกจิตขึ้นสู่การเจริญวิปัสสนาให้ได้ในขณะที่ความว่างปรากฏเมื่อไม่มีกายให้พิจารณาให้เปลี่ยนไปพิจารณาที่อาการของจิตในขณะปัจจุบัน เช่นจิตมีปิติ
จิตเบาสบาย อาการที่ปรากฏก็เกิดจากเหตุปัจจัยมิได้เป็นเราทำให้เกิดเป็นกระบวนการทำงานของรูปนามและตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์เช่นกัน... :b41:

ขอเจริญในธรรมค่ะ :b8:


:b8: :b8: ขอบคุณที่ให้ความรู้ค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 15:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ชาวโลก เขียน:
วันนี้ดิฉันเลยมาขอความช่วยเหลือค่ะ..เพราะดิฉันไม่มั่นใจในตัวเองว่าคิดถูกไหม

ดิฉันอยากถามว่า การละขันธ์5 ในทางมหาสตินั้น คือละขันธ์5 แบบไหน

ละแบบเพิกขันธ์5 หรือ ละขันธ์ 5 คือ การวางเฉยต่อขันธ์5 ค่ะ

ละขันธ์5 แบบไหน ถูกต้องในมหาสติค่ะ.


บางทีหรือหลายๆที พวกเราคิดติดวนอยู่กับศัพท์แสงเกินไป จึงหลงศัพท์อีก ยกตัวอย่าง "ละ" ถ้าไปถามพวกนิครนถ์ จะได้คำตอบแบบสุดๆ คือ แก้ผ้าเลย เช่นตัวอย่างข้างบน

แต่ ละ ในความหมายของพุทธะ "ละ" คือ ความรู้สึกซึ่งเกิดต่อจาก "รู้ คือ รู้ความจริง" ครั้นรู้ความจริงนั่นแล้วเนี่ย มันละของมันเอง โดยไม่ต้องมีพิธีรีตองหรือทำท่าทำทางละอะไร :b1:

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า พวกเราจะทำยังไงถึงจะรู้เข้าใจความจริงซึ่งมีเป็นของมันอยู่แล้วตามธรรมดาๆนี่

ศึกษาอุเบกขาลิงค์นี้

viewtopic.php?f=7&t=40956&start=15


:b8: :b8: ขอบพระคุณที่ให้ความรู้ค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 15:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
...คุณมีสมาธิเป็นบาทฐานที่ค่อนข้างแข็งแรงแล้วให้ยกจิตขึ้นสู่การเจริญวิปัสสนาให้ได้ในขณะที่ความว่างปรากฏเมื่อไม่มีกายให้พิจารณาให้เปลี่ยนไปพิจารณาที่อาการของจิตในขณะปัจจุบัน เช่นจิตมีปิติ
จิตเบาสบาย อาการที่ปรากฏก็เกิดจากเหตุปัจจัยมิได้เป็นเราทำให้เกิดเป็นกระบวนการทำงานของรูปนามและตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์เช่นกัน... :b41:

ขอเจริญในธรรมค่ะ :b8:



:b16: :b16: :b8: ดิฉันมาขอบคุณ คุณปลีกวิเวกค่ะ ที่ทำให้ดิฉันได้พิจารณา ตรงคำว่า เมื่อไม่มีกายให้พิจารณาให้เปลี่ยนไปพิจารณาที่อาการของจิตในขณะปัจจุบัน แล้ว ทำให้ดิฉันคิดได้ว่า การเพิกความว่างเปล่าออกไปนั้นเป็นอย่างไร ดิฉันไม่แน่ใจว่าดิฉันคิดถูกหรือไป แต่จะลองไปปฎิบัติดูค่ะ..ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ :b8: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 15:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:

การพิจารณา ของดิฉันเป็นลำดับขั้นตอนไปค่ะ ทุกครั้งจะเริ่มต้นจากกายก่อน พอกายตื่นทุกรูขุมขนเห็นทั่ว

ตัวแล้ว ดิฉันถึงเพิ่ม พิจารณา ปฎิกูลบรรพ ธาตุบรรพ และนวสีค่ะ พอพิจารณา ไปตามความเป็นจริงสักพัก

จากที่ดูพิจารณาอยู่ อยู่ๆ มันก็เพิกรูปเห็นเป็นอวกาศค่ะ เดิมเมื่อตอนพิจารณากายดิฉันพิจารณาที่ตัวก่อน พอ

มองไม่เห็นตัวเป็นอวกาศแล้ว ดิฉันก็ย้ายไปพิจารณาหัวแทน เพราะมองเห็นว่า หัวยังอยู่ ยังสามารถพิจารณา

ปฎิกูลบรรพ ธาตุบรรพ และนวสี ได้ค่ะ เมื่อพิจารณาดู สมอง ดูความสกปรก ดูความเน่า ดูตามแบบปฎิกูล

บรรพนะค่ะ ดูและพิจารณาไปเรื่อยๆ มันก็เพิกรูปของมันเอง พอดิฉันเห็นว่า เมื่อพิจารณากายไม่ได้ เห็นเป็น

ความว่างเปล่า แล้ว ดิฉันเลยหันไปเพิ่มพิจารณา จิตในจิตต่อ..ทุกครั้ง ดิฉันจะทำเป็นลำดับขั้นตอนเสมอ คือ

เริ่มจาก หนึ่งที่กายก่อน เสมอค่ะ


การภาวนาของคุณชาวโลกข้างบน เหมือนว่าภาวนาไปๆๆๆ สิ่งที่ยกขึ้นภาวนา (พิจารณา) มันหายไป มันว่าง มันเวิ้งว้างว่างเปล่า จิตไม่มีที่เกาะที่ยึดจับใช่ไหมครับ

แนะนำให้ไปอ่านๆที่นี่ ซึ่งได้รวบรวมกระทู้จากผู้ปฏิบัติกรรมฐานแล้วมีปัญหาต่างๆไว้มากมาย

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?board=3.0

บ้างก็ตัวหาย แขนขาหาย บ้างก็เห็นผีเห็นคนมานั่งข้างๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 18:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นภาวะ อรูปฌาณ หรือเปล่านะ

อวกาศคือ ความมืด ใช่ปะ แล้วก่อนหน้านี้ มันมืดมาตลอดหรือเปล่า แต่ยังไงก็เห็นจะไม่ใช่สมถะเพียวๆ

ในเวลาปกติที่ไม่ได้เข้าสมาธิ มีอาการ เกิดอารมณ์ยาก ไหม คือมีการวางเฉยจนเป็นปกติ ไม่ค่อยโกรธ หงุดหงิด รำคาญ สงสาร เมตตา หรืออารมณ์อื่นๆ ...

ในเวลาที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร จะอยู่นิ่งๆ แบบไม่คิดอะไรหรือเปล่า

ในเวลาที่เข้าสมาธิจนกลายเป็น อวกาศ อยู่นั้น ลมหายใจยังอยู่ไหม หรือไม่เหลืออะไรเลย... ได้ยินเสียงหรือเปล่า

ความรู้สึกก่อนเข้าสมาธิ กับในขณะที่อยู่ในสมาธิ ต่างกันมากไหม...

วิธีที่ฝึกค่อนข้างแปลกนะ onion onion onion

แก้ไขเพิ่มเติม: จริงๆ เราไม่ค่อยเห็นด้วยกับการฝึกแบบอสุภะ มันอาจเป็นวิธีหนึ่ง ที่จะเหมาะกับคนที่มีกามราคะสูงเกินกว่าปกติ (กามราคะ ไม่ได้แปลว่าเรื่องเพศอย่างเดียวนะ)
แต่มันก็เหมาะในขณะที่ยังติดใจในกามราคะอย่างรุนแรงเท่านั้น เมื่อกามราคะลดระดับลง ก็ควรจะหันไปใช้วิธีอื่นๆ ดีกว่า

แก้ไขเพิ่มเติม 2: เอางี้ดีกว่า ไม่ต้องตอบก็ได้ ลองแบบนี้... ลองฝึกแบบ อานาปานสติ ดูความเคลื่อนไหวของลมหายใจและร่างกาย แล้วดูว่า มันจะเหลือเฉพาะช่วงอกหรือเปล่า (แต่ควรจะได้ยินเสียงครบถ้วนนะ)

ถ้าเหลือเฉพาะช่วงอก ก็ถือว่าเพียงพอกับวิปัสสนาญาณแล้ว ก็ฝึกไปเรื่อยๆ วันละสักครึ่งชั่วโมง จนถึงเวลาที่...
1. ความรู้สึกก่อนเข้าสมาธิ กับในขณะที่อยู่ในสมาธิ ไม่ต่างกัน
2. อารมณ์ในชีวิตปกติ ไม่ใช่อารมณ์ในภาวะ ทรงฌาณ

ถ้าได้ 2 อย่างนี้ ที่เหลือก็อยู่ที่เวลา ความเพียร และการได้อยู่ในที่ที่เหมาะสมต่อธรรม (สัปปายะ) เท่านั้น... การเข้าถึงโสดาปัตติผล ย่อมเป็นที่หวังได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 20:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวโลก เขียน:
ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ชาวโลก :b8:
**พิจารณาจากที่พี่กล่าวมาในผลการปฏิบัติของพี่นั้นอยู่สูงกว่าภูมิปัญญาที่ผมมีจึงไม่อาจกล่าวว่าผิดหรือถูกอะไรได้เต็มปากมากนัก แต่ก็พอทราบลักษณะอาการดังกล่าวจากคำบอกกล่าวของพระอาจารย์ท่านที่ได้สั่งสอนไว้ แต่ยังไงก็ไม่ขอแนะนำอะไรดีกว่าครับในเรื่องการแก้ไข แต่อยากถามว่าพี่เป็นคนพื้นเพที่ไหนครับหรอทำงานอยู่ที่ไหน เผื่อมีครูบาอาจารย์ที่อยู่ใกล้ๆที่ผมพอจะทราบ ผมจะได้แนะนำให้พี่ไปปรึกษาเพื่อขอหลักธรรมเพื่อนำไปปฏิบัติต่อหรือแก้ไขได้ครับ เพราะนักปฏิบัติเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีครูบาอาจารย์ที่พึ่งได้เป็นสรณะด้วยนะครับ เพื่อเวลาอย่างนี้แหละครับ
ขอบคุณครับ :b8:


ดิฉันอยู่ภาคอิสานค่ะ.. :b1:

สวัสดีครับพี่ชาวโลก :b8:
ถ้าพี่อยู่อีสานก็ถือว่าดีมากๆเลยครับเพราะเป็นถิ่นที่มีครูบาอาจารย์ผู้สำเร็จด้วยชอบแล้วอยู่มากมาย แต่ถ้าจะให้เป็นเฉพาะเจาะจงผมขอแนะนำให้พี่ไปหาท่านแม่ชีจันดี ที่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานีดูครับ ท่านเป็นน้องสาวของหลวงตามหาบัว ที่สำคัญท่านก็เป็นผู้สำเร็จด้วยชอบแล้วเหมือนกันครับ ผมเชื่อว่าถ้าพี่เข้าไปกราบขอธรรมปฏิบัติจากท่านแม่ชีจันดี พี่จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ครับ มีอาจารย์นำทางย่อมไปได้ไวขึ้นครับพี่
ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2012, 21:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 16:35
โพสต์: 110


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
การภาวนาของคุณชาวโลกข้างบน เหมือนว่าภาวนาไปๆๆๆ สิ่งที่ยกขึ้นภาวนา (พิจารณา) มันหายไป มันว่าง มันเวิ้งว้างว่างเปล่า จิตไม่มีที่เกาะที่ยึดจับใช่ไหมครับ

แนะนำให้ไปอ่านๆที่นี่ ซึ่งได้รวบรวมกระทู้จากผู้ปฏิบัติกรรมฐานแล้วมีปัญหาต่างๆไว้มากมาย

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?board=3.0

บ้างก็ตัวหาย แขนขาหาย บ้างก็เห็นผีเห็นคนมานั่งข้างๆ


:b8: :b8: ขอบคุณนะค่ะ :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 131 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 43 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร