วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 15:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 01:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อสักครูได้สนทนาธรรม กับเพือนสนิท ที่ปฎิบัติตามสายของ หลวงพ่อฤษีลิงดำ มาพักใหญ่
ในเรื่อง ทำไมเราเห็นการสอนธรรม ได้ 3 รูปแบบ และจบลงที่ ใครสอนถูกต้อง
ท่านได้ตอบได้กระจ่างนัก ว่า พระอรหันต์แบ่งตามคุณวิเศษ ได้ 4 ประเภท ดังนั้น จึงมีการสอน ตามรูปแบบ ที่ตนได้เห็น หรือตามคุณวิเศษ ของตนนั้นเอง และพระอรหันต์ แบ่งได้ 3 รูปแบบอีกด้วย ดังนี้

1 แบ่งตามวิธีการในการพัฒนาตน
พระอรหันต์ 2 แบบคือ
1.พระวิปัสสนยานิก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน แล้วได้ฌานในภายหลัง
2.พระสมถยานิก ผู้มีสมถะเป็นญาณ ผู้เจริญสมถะกรรมฐาน จนได้ฌานก่อนแล้ว จึงเจริญวิปัสสนาต่อ

2 แบ่งตามคุณวิเศษ
พระอรหันต์ 4 แบบ คือ

1.พระสุกขวิปัสสก (ไม่มีญาณวิเศษใดๆ นอกจากรู้การทำอาสวะให้สิ้นไป (อาสวักขยญาณ) อย่างเดียว) อานิสงค์จากการที่ปฏิบัติวิปัสสนาเพียงอย่างเดียว
2.พระเตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา 3 คือบุพเพนิวาสานุสสติญาณ (รู้ระลึกชาติได้) จุตูปปาตญาณ (รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย)อันเป็นที่เกิดจากการเข้าใจในกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริงจึงรู้เหตุการณ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งสิ้น อาสวักขยญาณ (รู้ทำอาสวะให้สิ้น) อานิสงค์จากการที่ปฏิบัติวิปัสสนา และถือวัตรธุดงค์
3.พระฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา 6 คือทิพฺพจักขุ ตาทิพย์ (คือฤทธิที่สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ใกล้ไกลได้ มีพระอนุรุทธะ เป็นเอกทัคคะ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านการมีตาทิพย์ คือสามารถมองเห็นโลกใบนี้ ราวกับ มองเม็ดมะขามป้อมบนฝ่ามือ) ทิพยโสต หูทิพย์อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ (โดยเฉพาะมโนมยิทธิการแยกร่างและจิต เป็นฤทธิที่แสดงได้เฉพาะพระอรหันต์ประเภทฉฬภิญโญเท่านั้น ) เจโตปริยญาณ (ทายใจผู้อื่นได้) บุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติได้ ) และอาสวักขยะญาณ (ญานที่ทำให้อาสวะสิ้นไป) อานิสงค์จากการปฏิบัติวิปัสสนาและเจริญสมาธิจนได้ฌานสมาปัตติ
4.พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4) คือแตกฉานในความรู้อันยิ่ง 4 ประการ ได้แก่ อัตถปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในอรรถ ธัมมะปฏิสัมภิทาความแตกฉานในธรรม นิรุตติปฏิสัมภิทาความแตกฉานในภาษา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในปฏิภาณไหวพริบ
อานิสงค์จากการปฏิบัติวิปัสสนา และเล่าเรียน ตรึกตรอง ทรงจำและแสดง ซึ่งพระธรรมวินัยที่พระศาสดาทรงตรัสสอน (ไตรปิฎก) ซึ่ง
1.การเล่าเรียนธรรมอานิสงค์ได้ธรรมปฏิสัมภิทา รู้จริงในเหตุของสรรพสิ่งในธรรมชาติ
2.การตรึกตรองธรรม อานิสงค์ได้อัตถปฏิสัมภิทารู้จริงในผลลัพที่ลึกซึ้ง
3.การท่องทรงจำธรรม อานิสงค์ได้นิรุตติปฏิสัมภิทา รู้จริงในภาษาต่างๆในโลก
4.การเทศนาแสดงธรรม อานิสงค์ได้ปฏิภาณปฏิสัมภิทา รู้จริงในการแก้ไขปัญหาเข้าใจในนิสัยสันดานของสัตว์โลก

3 แบ่งตามคุณสมบัติเฉพาะตนพระอรหันต์ 5 แบบ คือ

1.พระปัญญาวิมุต
2.พระอุภโตภาควิมุต
3.พระเตวิชชะ
4.พระฉฬภิญญะ
5.พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ
พระอรรถกถาจารย์แสดงความหมายของพระอรหันต์ไว้ 5 นัย คือ

1.ไกลจากกิเลส
2.กำจัดกิเลสได้หมดสิ้น
3.เป็นผู้หมดสังสารวัฏ คือ การเวียนว่ายตายเกิด
4.เป็นผู้ควรแก่การบูชาพิเศษของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย
5.ไม่มีที่ลับในการทำบาป ไม่มีความชั่วเสียหายที่จะต้องปิดบัง

เมื่อทุกท่านรู้ตามนี้แล้ว ก็อย่าปรามาส ธรรมของผู้ใดอีกเลย :b8: :b8: :b8:
ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 03:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
เมื่อสักครูได้สนทนาธรรม กับเพือนสนิท ที่ปฎิบัติตามสายของ
หลวงพ่อฤษีลิงดำ มาพักใหญ่
ในเรื่อง ทำไมเราเห็นการสอนธรรม ได้ 3 รูปแบบ และจบลงที่ ใครสอนถูกต้อง
ท่านได้ตอบได้กระจ่างนัก

ฝึกจิต เขียน:
เมื่อทุกท่านรู้ตามนี้แล้ว ก็อย่าปรามาส ธรรมของผู้ใดอีกเลย :b8: :b8: :b8:
ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

ผมว่าไม่มีใครอยากปรามาสหรอกนะครับ ถ้าทุกคนแสดงความเห็นด้วยความใส่ใจ
มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเอามาแสดง ไม่ใช่สักแต่ว่าโพส สักแต่ว่าพูด
โดยไม่ใส่ใจว่า สิ่งที่ตัวทำมัน มันอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในธรรมครับ

คุณฝึกจิตครับ ถ้าคุณกลัวหรือไม่ต้องการให้ใครเขามาแสดงความเห็นแย้ง
ซึ่งคุณไปเรียกมันว่าปรามาสนั้น ผมมีข้อแนะนำครับ อย่าเข้ามาแสดงความเห็น
ในห้องนี้ หรือเข้ามาอ่านเฉยๆ แค่นี้คุณก็จะสมหวังในสิ่งที่คุณต้องการ

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติกับกายใจตัวเองครับ
ไม่ใช่สอนให้ไปบังคับกายคนอื่นให้ตามใจตัวเอง


คุณฝึกจิตครับเรื่องความรับผิดชอบใส่ใจ
ผมว่าคุณควรมีและปฏิบัติให้มากแล้วจึงค่อยมาสอนคนอื่นนะครับ
อย่างเช่นกระทู้นี้ของคุณ
คุณบอกว่า "ไปสนทนาธรรมกับเพื่อนมาจนได้คำตอบเรื่องธรรม"
แต่มาตอนท้ายความเห็นมีข้อความว่า"ข้อมูลจากวิกิพีเดีย"


อยากทราบครับ ข้อมูลหรือความเห็นที่เอามาแสดงมันเป็นของ
เพื่อนคุณหรือของวิกิพีเดียกันแน่ หรือเพื่อนคุณชื่อวิกิพีเดียครับ


ไม่อยากให้ใครเขาปรามาสก็ควรแสดงให้เห็นว่า
คำพูดตัวเองน่าเชื่อถือซิครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 06:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
เมื่อสักครูได้สนทนาธรรม กับเพือนสนิท ที่ปฎิบัติตามสายของ
หลวงพ่อฤษีลิงดำ มาพักใหญ่
ในเรื่อง ทำไมเราเห็นการสอนธรรม ได้ 3 รูปแบบ และจบลงที่ ใครสอนถูกต้อง
ท่านได้ตอบได้กระจ่างนัก

ฝึกจิต เขียน:
เมื่อทุกท่านรู้ตามนี้แล้ว ก็อย่าปรามาส ธรรมของผู้ใดอีกเลย :b8: :b8: :b8:
ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

ผมว่าไม่มีใครอยากปรามาสหรอกนะครับ ถ้าทุกคนแสดงความเห็นด้วยความใส่ใจ
มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเอามาแสดง ไม่ใช่สักแต่ว่าโพส สักแต่ว่าพูด
โดยไม่ใส่ใจว่า สิ่งที่ตัวทำมัน มันอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในธรรมครับ

คุณฝึกจิตครับ ถ้าคุณกลัวหรือไม่ต้องการให้ใครเขามาแสดงความเห็นแย้ง
ซึ่งคุณไปเรียกมันว่าปรามาสนั้น ผมมีข้อแนะนำครับ อย่าเข้ามาแสดงความเห็น
ในห้องนี้ หรือเข้ามาอ่านเฉยๆ แค่นี้คุณก็จะสมหวังในสิ่งที่คุณต้องการ

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติกับกายใจตัวเองครับ
ไม่ใช่สอนให้ไปบังคับกายคนอื่นให้ตามใจตัวเอง


คุณฝึกจิตครับเรื่องความรับผิดชอบใส่ใจ
ผมว่าคุณควรมีและปฏิบัติให้มากแล้วจึงค่อยมาสอนคนอื่นนะครับ
อย่างเช่นกระทู้นี้ของคุณ
คุณบอกว่า "ไปสนทนาธรรมกับเพื่อนมาจนได้คำตอบเรื่องธรรม"
แต่มาตอนท้ายความเห็นมีข้อความว่า"ข้อมูลจากวิกิพีเดีย"


อยากทราบครับ ข้อมูลหรือความเห็นที่เอามาแสดงมันเป็นของ
เพื่อนคุณหรือของวิกิพีเดียกันแน่ หรือเพื่อนคุณชื่อวิกิพีเดียครับ


ไม่อยากให้ใครเขาปรามาสก็ควรแสดงให้เห็นว่า
คำพูดตัวเองน่าเชื่อถือซิครับ


เวลาท่านสนทนากับใครท่านจำรายละเอียดได้ขนาดนี้หรือครับ โอ้!!! อัจฉริยะ :b8:
เพือนมันบอกแค่รายละเอียดตามคุณวิเศษ อย่างเดียว ผมยังไม่เชื่อมันนัก เลยมาหาข้อมูลซ้ำอีกที่เพื่อยืนยันครับ ส่วนเรื่องที่ผมว่าปรามาสธรรมนั้น ผมหมายถึง คำสอนของ พระอาจารย์ต่างๆครับ เพราะมันอาจไม่ตรงกับที่เราคิด คิดว่าพระนั้นเป็นอรหันต์ของแท้ของเทียม พระนั้นแสดงธรรมไม่จริงไม่ตรงกับที่เรารู้ ครับ แต่ท่านอาจจะสอนตามคุณวิเศษ ที่ท่านรู้มาก็ได้ครับ กลัวว่าพวกเราซึ่งใฝในธรรมจะไปจะล่วงเกินพระอรหันต์ท่านเข้านะครับ ส่วนเรื่องในนี้นั้น ตอนแรกผมก็ใส่ใจ แต่ตอนหลังๆนี้ ผมเฉยๆที่ใครจะว่าใครหรือผม หรือปรามาสใครหรือผม ใครจะเก่งเหนือใครหรือผม ก็เรื่องของคนนั้น เพราะคงไม่มีพระอรหันต์ในนี้แน่นอน

แต่ก็ขอขอบคุณที่แนะนำ ด้วยความหวังดีนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
เวลาท่านสนทนากับใครท่านจำรายละเอียดได้ขนาดนี้หรือครับ โอ้!!! อัจฉริยะ :b8:
เพือนมันบอกแค่รายละเอียดตามคุณวิเศษ อย่างเดียว ผมยังไม่เชื่อมันนัก เลยมาหาข้อมูลซ้ำอีกที่เพื่อยืนยันครับ

แหม่! ยังเถียงได้อีกนะครับ เถียงน่ะไม่ว่าแต่ควรเอาสื่งที่ผมแนะนำ
กลับไปปฏิบัติเสียก่อนแล้วจีงค่อยลงมือเถียงจะได้ ไม่กลายเป็นแถครับ :b13:
ที่บอกว่า"เพื่อนบอกรายละเอียด ตามคุณวิเศษอย่างเดียว ผมยังไม่เชื่อมันนัก"
ผมฟังครั้งแรก กลับครั้งหลังมันแปลกๆนะครับ ที่คุณบอกยังไม่เชื่อมันนัก
แล้วคำพูดของคุณครั้งแรกนี้หมายความว่าอย่างไรครับ
ฝึกจิต เขียน:
เมื่อสักครูได้สนทนาธรรม กับเพือนสนิท ที่ปฎิบัติตามสายของ หลวงพ่อฤษีลิงดำ มาพักใหญ่
ในเรื่อง ทำไมเราเห็นการสอนธรรม ได้ 3 รูปแบบ และจบลงที่ ใครสอนถูกต้อง
ท่านได้ตอบได้กระจ่างนัก

คุณฝึกจิตครับ คำว่ากระจ่างนัก คำพูดนี้ของคุณมันแปลว่าอะไรครับ
ถามครับ ตอนแรกบอกว่า"เพื่อนตอบได้กระจ่างนัก"
พอมาอีกทีบอกว่า "ไม่ค่อยเชื่อมันนัก"

ฝึกจิต เขียน:
ส่วนเรื่องที่ผมว่าปรามาสธรรมนั้น ผมหมายถึง คำสอนของ พระอาจารย์ต่างๆครับ เพราะมันอาจไม่ตรงกับที่เราคิด คิดว่าพระนั้นเป็นอรหันต์ของแท้ของเทียม พระนั้นแสดงธรรมไม่จริงไม่ตรงกับที่เรารู้ ครับ แต่ท่านอาจจะสอนตามคุณวิเศษ ที่ท่านรู้มาก็ได้ครับ กลัวว่าพวกเราซึ่งใฝในธรรมจะไปจะล่วงเกินพระอรหันต์ท่านเข้านะครับ ส่วนเรื่องในนี้นั้น ตอนแรกผมก็ใส่ใจ แต่ตอนหลังๆนี้ ผมเฉยๆที่ใครจะว่าใครหรือผม หรือปรามาสใครหรือผม ใครจะเก่งเหนือใครหรือผม ก็เรื่องของคนนั้น เพราะคงไม่มีพระอรหันต์ในนี้แน่นอน
แต่ก็ขอขอบคุณที่แนะนำ ด้วยความหวังดีนะครับ

คุณฝึกจิตครับ คุณอัจฉริยะจริงๆครับอย่าถ่อมตัวเลย คุณรู้ลึกรู้ดีทุกอย่าง
แต่ถ้ามันเป็นการรู้แบบสุจริตใจก็ดีน่ะ หยิบโยงมาพระอรหันต์เข้าไปโน้น
จะเถียงจะย้อนก็ให้มันเข้าท่าหน่อยครับ

มันจะธรรมใครปรามาสใคร มันไม่สำคัญหรอกครับ ที่เขามาเถียงกัน
เขาเถียงธรรมของพระพุทธเจ้ากัน มันใหญ่โตกว่าพระอรหันต์ของคุณเป็นไหนๆ
มัวแต่กล้วว่าคนนั้นเป็นอรหันต์คนนี้เป็นผู้วิเศษ มันก็ไม่ต้องได้รับความรู้ที่ถูกต้อง
เขาเถียงเพื่อให้ได้ธรรมแท้ของพระพุทธเจ้า อรหันต์องค์ไหนไม่อยากให้ใคร
ปรามาสก็พูดธรรมให้ชาวบ้านเขารู้เรื่องซิ
ไม่ใช่ให้ลูกศิษย์อย่างคุณมาข่มขู่ชาวบ้าน ว่ากำลังปรามาสพระอรหันต์
และถ้าพระอรหันต์กลัวคนปรามาส ท่านก็คงไม่เข้ามาในนี้แบบคุณหรอก
ที่ชอบอ้างโน้นอ้างนี้ อย่าทำโน้นอย่าทำนี้
ทั้งๆที่ปัญหามันแก้ง่ายนิดเดียว คือไม่ต้องเข้ามาสนทนาก็สิ้นเรื่อง
คุณฝึกจิตว่าผมพูดถูกมั้ยครับ


สุดท้ายจะบอกให้นะครับ การจะนำข้อมูลอะไรมายัน
กับคำพูดในทางธรรมของคนอื่น มันต้องเทียบเคียงกับพระไตรปิฎก
ไม่ใช่เอาวิกิพีเดียมายัน พระธรรมของศาสนาพุทธคือพระไตรปิฎก ไม่ใช่
วิกิพีเดีย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 13:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
เวลาท่านสนทนากับใครท่านจำรายละเอียดได้ขนาดนี้หรือครับ โอ้!!! อัจฉริยะ :b8:
เพือนมันบอกแค่รายละเอียดตามคุณวิเศษ อย่างเดียว ผมยังไม่เชื่อมันนัก เลยมาหาข้อมูลซ้ำอีกที่เพื่อยืนยันครับ

แหม่! ยังเถียงได้อีกนะครับ เถียงน่ะไม่ว่าแต่ควรเอาสื่งที่ผมแนะนำ
กลับไปปฏิบัติเสียก่อนแล้วจีงค่อยลงมือเถียงจะได้ ไม่กลายเป็นแถครับ :b13:
ที่บอกว่า"เพื่อนบอกรายละเอียด ตามคุณวิเศษอย่างเดียว ผมยังไม่เชื่อมันนัก"
ผมฟังครั้งแรก กลับครั้งหลังมันแปลกๆนะครับ ที่คุณบอกยังไม่เชื่อมันนัก
แล้วคำพูดของคุณครั้งแรกนี้หมายความว่าอย่างไรครับ
ฝึกจิต เขียน:
เมื่อสักครูได้สนทนาธรรม กับเพือนสนิท ที่ปฎิบัติตามสายของ หลวงพ่อฤษีลิงดำ มาพักใหญ่
ในเรื่อง ทำไมเราเห็นการสอนธรรม ได้ 3 รูปแบบ และจบลงที่ ใครสอนถูกต้อง
ท่านได้ตอบได้กระจ่างนัก

คุณฝึกจิตครับ คำว่ากระจ่างนัก คำพูดนี้ของคุณมันแปลว่าอะไรครับ
ถามครับ ตอนแรกบอกว่า"เพื่อนตอบได้กระจ่างนัก"
พอมาอีกทีบอกว่า "ไม่ค่อยเชื่อมันนัก"

ฝึกจิต เขียน:
ส่วนเรื่องที่ผมว่าปรามาสธรรมนั้น ผมหมายถึง คำสอนของ พระอาจารย์ต่างๆครับ เพราะมันอาจไม่ตรงกับที่เราคิด คิดว่าพระนั้นเป็นอรหันต์ของแท้ของเทียม พระนั้นแสดงธรรมไม่จริงไม่ตรงกับที่เรารู้ ครับ แต่ท่านอาจจะสอนตามคุณวิเศษ ที่ท่านรู้มาก็ได้ครับ กลัวว่าพวกเราซึ่งใฝในธรรมจะไปจะล่วงเกินพระอรหันต์ท่านเข้านะครับ ส่วนเรื่องในนี้นั้น ตอนแรกผมก็ใส่ใจ แต่ตอนหลังๆนี้ ผมเฉยๆที่ใครจะว่าใครหรือผม หรือปรามาสใครหรือผม ใครจะเก่งเหนือใครหรือผม ก็เรื่องของคนนั้น เพราะคงไม่มีพระอรหันต์ในนี้แน่นอน
แต่ก็ขอขอบคุณที่แนะนำ ด้วยความหวังดีนะครับ

คุณฝึกจิตครับ คุณอัจฉริยะจริงๆครับอย่าถ่อมตัวเลย คุณรู้ลึกรู้ดีทุกอย่าง
แต่ถ้ามันเป็นการรู้แบบสุจริตใจก็ดีน่ะ หยิบโยงมาพระอรหันต์เข้าไปโน้น
จะเถียงจะย้อนก็ให้มันเข้าท่าหน่อยครับ

มันจะธรรมใครปรามาสใคร มันไม่สำคัญหรอกครับ ที่เขามาเถียงกัน
เขาเถียงธรรมของพระพุทธเจ้ากัน มันใหญ่โตกว่าพระอรหันต์ของคุณเป็นไหนๆ
มัวแต่กล้วว่าคนนั้นเป็นอรหันต์คนนี้เป็นผู้วิเศษ มันก็ไม่ต้องได้รับความรู้ที่ถูกต้อง
เขาเถียงเพื่อให้ได้ธรรมแท้ของพระพุทธเจ้า อรหันต์องค์ไหนไม่อยากให้ใคร
ปรามาสก็พูดธรรมให้ชาวบ้านเขารู้เรื่องซิ
ไม่ใช่ให้ลูกศิษย์อย่างคุณมาข่มขู่ชาวบ้าน ว่ากำลังปรามาสพระอรหันต์
และถ้าพระอรหันต์กลัวคนปรามาส ท่านก็คงไม่เข้ามาในนี้แบบคุณหรอก
ที่ชอบอ้างโน้นอ้างนี้ อย่าทำโน้นอย่าทำนี้
ทั้งๆที่ปัญหามันแก้ง่ายนิดเดียว คือไม่ต้องเข้ามาสนทนาก็สิ้นเรื่อง
คุณฝึกจิตว่าผมพูดถูกมั้ยครับ


สุดท้ายจะบอกให้นะครับ การจะนำข้อมูลอะไรมายัน
กับคำพูดในทางธรรมของคนอื่น มันต้องเทียบเคียงกับพระไตรปิฎก
ไม่ใช่เอาวิกิพีเดียมายัน พระธรรมของศาสนาพุทธคือพระไตรปิฎก ไม่ใช่
วิกิพีเดีย


คุยแล้วเราเป็นแบบว่า ออ! มันเป็นแบบนั้นหรอกหรือ เข้าใจแล้ว จากนั้นมานักพิจารณาสิ่งที่เขาพูด เอ! แล้วมันมีหลักฐานรองรับมั้ยหน่า เลยหาข้อมูลดู แล้วนำสิ่งนั้นที่คิดว่ามันเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นอยู่บ้างมาให้พิจารณากันดู ครับ
และถ้าสิ่งที่ผมทำไปไม่มีความสุจริตใจใดๆแม้เพียงเล็กน้อย ก็ขอให้ผมตกนรกและไม่พบพุทธศาสนาอีกเลย สาธุ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 17:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าไปมีอารมณ์กับแก่...เลยครับ
:b12:

การอยู่กับสิ่งที่ไม่เข้าใจเรา...ไม่เข้าใจเจตนาดีของเรา...หรือ...อื่นๆ

มันต้องเข้าใจธรรมะ..พอสมควร..เหมือนกันนะ

พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ทำนองว่า...

ปัญหาเกิดที่ใด...ก็แก้ที่นั้น...ก่อน..แล้วค่อยไป

อันนี้...ผมจะนึกเสมอเวลามีปัญหา..

เพื่อน..ๆ...จึงมักแปลกใจ...ว่าทำไมผมฤึงหน้าทน

ไล่ก็ไมยอมไป.. :b32:

หากเกิดที่ใจเรา...ก็แก้ที่ใจเรา

จะวิ่งไปแก้ที่ไหน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เพื่อน..ๆ...จึงมักแปลกใจ...ว่าทำไมผมฤึงหน้าทน

ไล่ก็ไมยอมไป.. :b32:

หากเกิดที่ใจเรา...ก็แก้ที่ใจเรา

จะวิ่งไปแก้ที่ไหน

อิอิ .. บางคนเรียก คนหน้ามึน :b32: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 19:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:

ยิ่งไล่....ยิ่งกอด

อิ...อิ....อิ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2012, 21:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะ...ไม่ได้ไพเราะเสนาะโสต...อะไร ๆ ก็จะต้องดูดีไปหมด...เพียงเพราะเราหันมาหาธรรมะแล้ว...

แต่...ทุกขั้นทุกตอน...มีอุปสรรค...มีความยากลำบากเสมอ...นี้แหละบททดสอบ

แต่กิเลสมันไม่ชอบนะ...เพราะหากเราชนะบททดสอบเหล่านี้..ก็เท่ากับชนะกิเลสมันไปด้วย

มันชอบให้เราคิดว่าเราเก่ง..เราดี...มันยอเราใว้นะ...เราจะได้ประมาทไม่คิดจะฆ่ากิเลส(เพราะคิดว่าได้ฆ่าแล้ว)

ดังนั้น...ทางเรียบ ๆ ร้อย ๆ ...รื่นหูรื่นตาไปหมด...นั้นแหละทางกิเลส...กิเลสมันแฝงอยู่ในนั้น

เราต้องก้าวข้ามทุกอุปสรรค

เราต้องเข้าใจความคิด...ทันความคิด...รู้ให้ได้ว่าต้นตอที่เราคิดอย่างนี้...ทำอย่างนี้...มีกิเลสอะไรแฝงอยู่

มันมีอะไรเป็นเป้าหมายแห่งการคิด...การกระทำ...นั้น..รึ

ลาภ..รึ

ยศ...รึ

สรรเสริฐ...รึ

รึว่า..สุข

แต่กิเลสมันไม่ชอบให้เรารู้เท่าทันความคิดหรอก...มันยอว่าเราคิดอย่างนี้ดีแล้ว...ทำอย่างนี้ดีแล้ว

เสมอ
....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2012, 03:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32: :b32:
ยิ่งไล่....ยิ่งกอด
อิ...อิ....อิ...

ถ้าเราเป็นคุณฝึกจิต จะบอกว่า " เราหยุดแล้วแต่ท่านซิยังไม่หยุด"
เราสลัดกิเลสตัวเก่าหลุดแล้ว กิเลสตัวใหม่ ก็มากอดอีก

โทสะไปแล้วโลภะมาแทนที่ "ยิ่งไล่ ยิ่งกอด" อิ...อิ :b13:
กบนอกกะลา เขียน:
ธรรมะ...ไม่ได้ไพเราะเสนาะโสต...อะไร ๆ ก็จะต้องดูดีไปหมด...เพียงเพราะเราหันมาหาธรรมะแล้ว...

แต่...ทุกขั้นทุกตอน...มีอุปสรรค...มีความยากลำบากเสมอ...นี้แหละบททดสอบ

แต่กิเลสมันไม่ชอบนะ...เพราะหากเราชนะบททดสอบเหล่านี้..ก็เท่ากับชนะกิเลสมันไปด้วย

มันชอบให้เราคิดว่าเราเก่ง..เราดี...มันยอเราใว้นะ...เราจะได้ประมาทไม่คิดจะฆ่ากิเลส(เพราะคิดว่าได้ฆ่าแล้ว)

ดังนั้น...ทางเรียบ ๆ ร้อย ๆ ...รื่นหูรื่นตาไปหมด...นั้นแหละทางกิเลส...กิเลสมันแฝงอยู่ในนั้น

เราต้องก้าวข้ามทุกอุปสรรค

เราต้องเข้าใจความคิด...ทันความคิด...รู้ให้ได้ว่าต้นตอที่เราคิดอย่างนี้...ทำอย่างนี้...มีกิเลสอะไรแฝงอยู่

มันมีอะไรเป็นเป้าหมายแห่งการคิด...การกระทำ...นั้น..รึ

ลาภ..รึ

ยศ...รึ

สรรเสริฐ...รึ

รึว่า..สุข

แต่กิเลสมันไม่ชอบให้เรารู้เท่าทันความคิดหรอก...มันยอว่าเราคิดอย่างนี้ดีแล้ว...ทำอย่างนี้ดีแล้ว

เสมอ
....

กิเลสเป็นอย่างนี้นี่เอง หาตั้งนานไอ้กิเลสลากยาวเนี่ย :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2012, 05:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


โค้ด:
ปัญหาเกิดที่ใด...ก็แก้ที่นั้น...ก่อน..แล้วค่อยไป

หากเกิดที่ใจเรา...ก็แก้ที่ใจเรา

จะวิ่งไปแก้ที่ไหน


:b8: :b8: :b8:

ทุกข์เกิดที่ความคิดตัวเอง

แก้ใจคนอื่น ฝืนธรรมชาติ ทุกข์ไม่หาย (อาจจะทุกข์หนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ)

แก้ใจตัวเอง ปรับความเห็นให้ถูก ทุกอย่างถูงต้องสอดคล้องกับธรรมชาติ อะไรจะดีจะร้ายก็เป็นไปตามธรรมชาติของสิ่งนั้น ไม่เป็นไปตามใจเรา

แก้ใจตัวเอง แก้เหตุของทุกข์ หายทุกข์ :b39:

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2012, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
2.พระเตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา 3 คือบุพเพนิวาสานุสสติญาณ (รู้ระลึกชาติได้) จุตูปปาตญาณ (รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย)อันเป็นที่เกิดจากการเข้าใจในกฎแห่ง กรรมอย่างแท้จริงจึงรู้เหตุการณ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งสิ้น อาสวักขยญาณ (รู้ทำอาสวะให้สิ้น) อานิสงค์จากการที่ปฏิบัติวิปัสสนา และถือวัตรธุดงค์
ดูแล้วพระเกจิอ่า่จารย์ในไทย น่าจะเป็นแบบ3 ซะส่วนมาก

แต่อยากจะเสริมอีกนิด ถ้าพูดกันจริงๆ พระอริยเจ้าของไทย ที่ได้หลุดพ้นแล้ว ท่านมักจะมีอภิญญาข้อใดข้อนึงในอภิญญา6พ่วงมาด้วย นอกจากได้ข้อสุดท้ายที่ตัดกิเลสได้ :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2012, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


วิปัสสนาล้วนๆไม่มีหรอก หนูฝึกจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2012, 22:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าแตกฉานในธรรมะของพระองค์และบรรลุจริง จะกล่าวตัดไม่ให้ผู้คนศึกษาสุริยะสูตรไปทำไมล่ะหรือไม่ยอมรับญานทัศนะของพระพุทธเจ้า? หัดดูยูทูปซะมั่งนะว่านักวิทยาศาสตร์เขาไปถึงไหนกันแล้ว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 68 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร