วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 18:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2011, 01:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 22:47
โพสต์: 7


 ข้อมูลส่วนตัว


จากกระทู้ viewtopic.php?f=1&t=39946 และอีกบางเหตุการณ์หลังจากนั้น ทำให้แม่ และ ภรรยา บอกว่าผมควรพบจิตแพทย์
แต่เนื่องจากผมยังเชื่อว่าผมเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีความผิดปกติทางจิตแต่อย่างใด และที่สำคัญผมเชื่อว่าพุทธศาสนาจะช่วยผมได้ ผมจึงเกิดความลังเลที่จะพบจิตแพทย์ ถึงแม้ผมจะเคยรักษากับจิตแพทย์มาแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน
สาเหตุที่ผมยังไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก ผมคิดว่ามาจากการที่ผมไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้ถ่องแท้ และปฏิบัติธรรมอย่างลูบๆ คลำๆ " ผมสามารถทำให้ดีขึ้นกว่านี้ได้รึเปล่าครับ หรือ ผมจะต้องพบจิตแพทย์เพื่อช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2011, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องศึกษาพระไตรปิฎกให้มากเมื่อศึกษาแล้วก็ควรลงมือปฏิบัติ

ให้ครบปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ถ้าเกิดว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่ ถ้าจำเป็นจริงถึงจะอยู่ มันก็ขึ้นอยู่กับความฉลาดในการปรับตัว ความฉลาดในการหลีกเลี่ยงด้วย ถ้าคุณถูกบังคับให้ไปพบจิตแพทย์จนรำคาญ ก็ไปพบให้พวกเขาหน่อย โรคจิตก็คือโรคนามธรรมนี่แหละค่อยๆศึกษาค่อยๆแก้ไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2011, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ผมเองเคยผ่านประสพกาณ์คล้ายกับคุณมาบ้างเหมือนกัน ครับ

ความที่พยายามจะข่มฝืนบังคับอารมณ์เอาไว้ไม่ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
มันจะเกิดภาวะความฟุ้งกระจาย เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่มันเอาไม่อยู่
สมองมันจะระเบิด มันปรุงแต่งไปสารพัด... เราจะตายไหม เราจะเป็นบ้าไหม
จะตัดสินใจอย่างไรดีฯลฯ :b45:

คำสอนอันเป็นหัวใจหลักของพระพุทธศาสนา
คือ"ความไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งหลายทั้งปวง"

เมื่อเรากำหนดถือกำอย่างใดอย่างหนึ่งเอาไว้อย่างเหนียวแน่นไม่ยอมผ่อนคลาย
สิ่งที่เราถือกำเอาไว้นั้น มันจะส่งผลให้เราเป็นทุกข์ได้ในที่สุด ครับ...


จิตแพทย์บางท่าน ก็ยังต้องพึงพาคำสอนทางพระพุทธศาสนา


โค้ด:
สาเหตุที่ผมยังไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก ผมคิดว่ามาจากการที่ผมไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้ถ่องแท้ และปฏิบัติธรรมอย่างลูบๆ คลำๆ "


มีส่วน ครับ


โค้ด:
ผมสามารถทำให้ดีขึ้นกว่านี้ได้รึเปล่าครับ


เป็นไปได้ ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2011, 10:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พฤติกรรมหลาย ๆ อย่าง...เกิดจากจิตสร้าง...แล้วก็สะสม...แม้เล็ก ๆ น้อย ๆ...ก็ตาม

การจะแก้พฤติกรรมนั้น ๆ ..ต้องลงไปแก้ที่จิต...อาจจะสร้างชุดความคิดชุดใหม่เพื่อหักเหไม่ให้จิตไปจับกับความคิดชุดเดิม...การสร้างก็ต้องทำโดยการทำซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ มันบ่อย ๆ...เช่นเดียวกับที่มันสะสมของไม่ดีมา

การแก้พฤติกรรมทางจิตนั้น...ต้องโน้นน้าวที่จิต...จิตแพทย์เก่ง ๆ...ก็ทำได้...แต่การแก้ด้วยยาเพียงอย่างเดียวแก้ไม่ได้หรอก....อาจใช้ประกอบได้เท่านั้น

เรื่องจิตนี้พระพุทธศาสนารู้หมด....แต่เน้นเอามาเฉพาะที่แก้ให้พ้นจากทุกข์

ความรู้ของจิตแพทย์..ก็เป็นธรรมะได้เหมือนกัน..

เขาถนัดทางนี้...ก็ลองไปปรึกษาดู...ไม่เสียหายอะไร...หากบังเอิญเขาแก้ได้ก็ถือว่าดีไป

แก้ไม่ดีขึ้น...ก็เลิก..ไปหาคนใหม่..วิธีใหม่

หากเอาแต่ทำเอาเอง..หรือไปถามพระที่ไม่รู้เรื่องนี้..ก็ลงทะเลได้เหมือนกัน

อาการผิดปกติทางจิตมีด้วยกันทุกคน...คนมีน้อยก็ไปว่าคนมีมากกว่า...เป็นโรค..เท่านั้นแหละ

ไม่ได้ผิดปกติมากกว่ากันเท่าไรหรอก

ดังนั้น..คุณอย่าไปกลัวหรือกังวลกับคำว่าโรค...เลย

ไปพบจิตแพทย์เพื่อปรับจิตใจให้มาอยู่ในฐานะที่ดีเพื่อมาศึกษาธรรมะของพระพุทธองค์..ให้ได้มรรคได้ผล..ดีกว่าครับ

อย่าลืม..ทำบุญทำท่าน..รักษาศีล...บุญเล็กๆน้อย ๆก็อย่าไปประมาท..มีโอกาสทำให้ทำ

จำใว้ให้ดีว่า...พระพุทธองค์สอนว่า..ไม่มีสิ่งใดไม่เกิดจากเหตุ

จิตแพทย์ก็เอา...ธรรมะก็เอา

คุณเป็นคนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง...แต่ต้องทำมากกว่าคนอื่น.เฉย ๆ

ครับ


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 16 พ.ย. 2011, 10:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2011, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


broom_anupong เขียน:
จากกระทู้ viewtopic.php?f=1&t=39946 และอีกบางเหตุการณ์หลังจากนั้น ทำให้แม่ และ ภรรยา บอกว่าผมควรพบจิตแพทย์
แต่เนื่องจากผมยังเชื่อว่าผมเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีความผิดปกติทางจิตแต่อย่างใด และที่สำคัญผมเชื่อว่าพุทธศาสนาจะช่วยผมได้ ผมจึงเกิดความลังเลที่จะพบจิตแพทย์ ถึงแม้ผมจะเคยรักษากับจิตแพทย์มาแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน
สาเหตุที่ผมยังไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก ผมคิดว่ามาจากการที่ผมไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้ถ่องแท้ และปฏิบัติธรรมอย่างลูบๆ คลำๆ " ผมสามารถทำให้ดีขึ้นกว่านี้ได้รึเปล่าครับ หรือ ผมจะต้องพบจิตแพทย์เพื่อช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง "


tongue สวัสดีค่ะคุณ broom_anupong

จากที่อ่านเรื่องราวที่คุณ จขกท ได้ลงไว้ก็อยากจะแนะนำว่าคุณควรจะพบจิตแพทย์ควบคู่ไปกับการ
ปฏิบัติธรรม น่าจะดีกว่านะคะการปฏิบัติธรรมไม่อาจหวังผลให้ได้อย่างใจเราได้..ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาเปรียบดั่งน้ำที่ค่อยๆซึมบ่อทราย...

...คุณมีปมที่ถูกฝังไว้ในจิตใจตั้งแต่วัยเด็ก...และยังไม่ได้รับการแก้ไขจึงทำให้มีผลต่อพฤติกรรมของคุณและยิ่งนานวันอาจจะทวีความรุนแรงขึ้นดังนั้นคุณต้องรีบไปแก้ไขที่ต้นเหตุเสีย...
...ด้วยความปรารถนาดี...ขออภัยที่กล่าวตรงๆ

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2011, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จากที่ได้อ่านดู คิดว่าคุณ คงเป็นคนที่มีโทสะรุนแรง
เมื่อโกรธควบคุมตัวเองไม่อยู่ สติขาด ไปทำร้ายเขา
ก็มีหลาย ๆคน ในสังคมเป็นอย่างนี้เหมือนกัน
ถึงได้มีผู้ก่อคดีอาชญากรรม ตามหน้าหนังสือพิมพ์
หรือตามสื่อโทรทัศน์ให้เห็นกันเนือง ๆ
การกำจัดโทสะนั้น พระพุทธเจ้าได้ให้ยามาแล้ว
นั่นก็คือ การรักษาศีล และการแผ่เมตตา
เมื่อคุณรักษาศีล กระแสความโกรธจะลดน้อยถอยลง
ให้ลองถือศีล 8 ดู และให้ฝึกแผ่เมตตาด้วย
ส่วนวิธีการแผ่ ลองค้นหาดูในเว็บกูเกิ้ล
ซึ่งมีเนื้อหา ที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ซึ่งการที่มีโทสะแรงนั้น ส่อให้เห็นว่า
เป็นผู้ที่สั่งสมจิตมาในทางด้านนี้อยู่มาก
เมื่อเกิดความขัดเคืองขึ้น จึงแสดงความโกรธเหมือนอัติโนมัติ
แต่ไม่มีนิสัยความเคยชินใดที่แก้ไม่ได้ ค่อยๆเด็ด ค่อย ๆถอน
ออกไป โทสะรุนแรง ก็จะลดลง จนสามารถดำรงชีวิต
ในสังคมได้โดยปกติสุข

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2011, 17:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


วิัปัสสนาอย่างเดียวครับ
สิ่งที่คุณได้เห็น ได้ฟัง ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส ใจคิดลึก นี่คือเหตุแห่งทุกข์ที่สะสมในตัวเราตลอดเวลาเพราะคุณมีความเชื่อ ปรุงแต่งความคิด สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติห้ามไม่ได้ ห้ามฝนตก ห้ามฟ้าร้อง ห้ามคนด่า ห้ามกลิ่นเหม็น เราต้องหยุดด้วยการวิปัสสนาเห็นว่าสิ่งนั้นไม่เที่ยง มีเกิดขึ้น สุดท้ายก็ต้องดับไป
พิจารณาเมื่อมีสิ่งนั้นมากระทบตัวเรา ได้ยินเสียงด่า นึกในใจว่าเสียงด่าไม่เที่ยง เกิดดับ
คนเด่าก็ไม่เที่ยง เกิดดับ เราก็ก็ไม่เที่ยง เกิดดับ รสก็ไม่เที่ยง เกิดดับ เป็นต้น
อย่าให้เลยถึงเวทนา (ความรู้สึก) ไม่งั้นเราก็จะคิดปรุงแต่ง และทำในสิ่งที่เราคิดไปทำร้ายเขา ไปด่า
นี่แหละบำเพ็ญเพียรไปนรก เดรัจฉาน ปัญหาต่างๆ ก็จะตามมาให้ดับทีุ่เหตุแห่งทุกข์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรานั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2011, 21:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2011, 02:08
โพสต์: 45

อายุ: 0
ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว www


ต้องให้จิตอยู่แต่กับลมหายใจ

.....................................................
อย่าหลงเหยื่อ เชื่ออยาก จะยากจิต อย่าหลงติดรสเหยื่อ เชื่อตัณหา อย่าหลงนอน หลงกินสิ้นเวลา อย่าหลงว่า ชีวิตเราจะยาวนาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2011, 20:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเจ้าของกระทู้ขอรับ คำว่า ปฏิบัติธรม ที่คุณกล่าวถึง หมายถึง การปฏิบัติ อย่างไรขอรับ คุณต้องทำความเข้าใจไว้ว่า การปฏิบัติธรรมนั้น มีอยู่ ๓ ชนิด หรือ ๓ รูปแบบ คือ
๑.ปฏิบัติธรรมด้วย กาย,วาจา,(รวมไปถึงจิตใจด้วย) ที่ข้าพเจ้าวงเล็บไว้ ก็เพราะ
๒.การปฏิบัติธรรม ด้วยการฝึกอบรมจิต ฝึกควบคุมจิต หรือการฝึกปฏิบัติสมาธิ หรือฝึกกสิณ(การเอาจิตใจเข้าไปผูกอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง) ซึ่งล้วนจัดอยู่ในการปฏิบัติธรรมในข้อ ,อิทธิบาทสี่,โดยอนุโลมคือ ธรรมข้อ "พรหมวิหารสี่"
๓.การปฏิบัติวิปัสสนา ในข้อนี้ไม่อธิบายนะขอรับ เพราะอธิบายไป พวกคุณก็ทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ เอาเป็นว่า ถ้าปฏิบัติตาม ๒ ข้อ(สองข้อ)แรก พร้อมกัน ก็เป็นการวิปัสสนานะขอรับ
ส่วนการที่จะไปพบจิตแพทย์หรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าอายนะขอรับ คนเราย่อมไม่ได้มีความรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง และไม่ได้รู้หมดไปทุกเรื่อง บางเรื่องก็ต้องอาศัยคำแนะนำจากผู้อื่น หรือจากผู้รู้ เพื่อขจัดปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ไปพบแล้วปรีกษาสักหน่อยก็ไม่แปลกขอรับ
ข้าพเจ้าเองเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๕ (สองพันสองร้อยยี่สิบห้า)ยังเคยถูกส่งตัวไป ร.พ.สวนปรุง (เชียงใหม่)เพื่อให้แพทย์ตรวจรักษา ไม่หายขอรับ เพราะข้าพเจ้าคิดว่า "ข้าพเจ้าเป็นลูกคนหนึ่ง ของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี" พอถามแพทย์ ว่าทำไมข้าพเจ้าจึงคิดอย่างนั้น แพทย์คนนั้น ตอบว่า "ข้าพเจ้าอยู่ในภาวะสับสน" เท่านั้นแหละขอรับ ข้าพเจ้าก็เลิกคิดหายเป็นปกติกลับไปทำงานได้อย่างสบายใจขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2011, 04:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


นิสสยปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2011, 10:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 22:47
โพสต์: 7


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณทุกท่านครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 12:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 07:32
โพสต์: 95

แนวปฏิบัติ: หลักวิถีธรรมชาติ - อานาปานสติ,บริกรรมภาวนา
ชื่อเล่น: นุ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอยากให้คุณ broom_anupong เริ่มจากพื้นฐานก่อนอันดับแรก คือ ศีล สำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆ
ก็เอาแค่เริ่มจาก ศีล๕ก่อนหรือจะลองปฎิบัติควบคู่กันไปกับกุศลกรรมบถ๑๐
แรกๆเลยก็ลองเอาข้อห้ามในศีล๕ มานั่งอ่านนั่งคิดพิจารณาไปเป็นข้อๆถึงเหตุและผล
เปรียบเทียบกับตัวเราเองและผุ้อื่น
เช่น ข้อ๑ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามทำร้ายสัตว์ หรือ ทารุณกรรมใดๆ เอาแค่ลองคิดกับคนอย่างเราๆก่อน อย่าพึ่งไปคิดกับสัตว์อื่นๆ แลัวลองเปรียบเทียบกับตัวเราเอง ถ้ามีคนมาทำร้ายเรา หรือมีคนจะมาฆ่าเราให้ตาย ด้วยความโกรธ ความเกลียด ด้วยอารมณ์ต่างๆหรือด้วยเหตุใดก็ตาม เราเจ็บปวดไหม เราทรมาณไหม ถ้าเอาปืนยิงโป้งเดียว ถ้าเราตายชีวิตเราจบแค่นั้น ถ้าไม่ตาย เราก็ต้องเจ็บ ทรมาณทุรนทุราย ต้องรักษาเยียวยา หรือบางทีอาจจะพิการไปเลย ผลกับตัวเราเองก็มีแค่นั้น ถ้าคนที่อารมณ์รุนแรงก็คงจะจ้องกลับไปทำกับคนที่มาทำกับเราอีก ก็จะเป็นเวรเป็นกรรมไปทุกภพทุกชาติไม่หมดไม่สิ้น และผลอย่างอื่นที่ตามมาก็กับคนรอบข้าง คนในครอบครัวของเราและเค้าต้องทุกข์ใจเดือดร้อนอย่างแน่นอน ผลอย่างอื่นต้องมีตามมาแน่นอน เมื่อลองคิดได้คล้ายๆแบบนี้ ก็ลองมองให้มันกว้างๆ ครุ่นคิดบ่อยๆ เมื่อเริ่มคิดได้แล้วก็จะรู้ว่าไม่ควรทำกับผู้อื่น แล้เมื่อจิตใจผ่อนคลายลง ก็จะเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์เดรัจฉาน บางครั้งก็จะเกิดความเมตตากรุณากับคนด้วยกัน กับสัตว์เดรัจฉานด้วยกัน ว่าชีวิตของเราๆก็รัก คนอื่น สัตวือื่เค้าก็รักชีวิตของเค้าเช่นเดียวกัน เมื่อลองคิดและห้ามใจตัวเองแบบนี้ไปบ่อยๆมันจะเคยชินและติดเ็ป็นนิสัยไปเอง แล้วใจเราก็จะปล่อยวางได้เองคือไม่คิดที่จะทำแบบนี้
สำหรับบางท่าน เมื่อนานๆเข้าจากนิสัยก็จะฝั่งไปในจิตใต้สำนึกหรือพูดง่ายๆคือ ฝั่งอยู่ในสันดานของเรา(ขออภัยด้วยครับอาจใช้ถ้อยคำไม่ดีไปบ้าง) บางท่า่นมองของผลที่เกิดในเฉพาะหน้าไม่พอ ยังมองไปถึงเวลาเมื่อเราตายลงไปผลของกรรมชั่วที่เราทำไว้ ก็จะมาถึง
ส่วนข้อห้ามอื่นๆคือ
ข้อ๒ ไม่ลักทรัพย์ ลักขโมยของผู้อื่น
ข้อ๓ ไม่ประพฤติผิดลูกผิดเมียผู้อื่น
ข้อ๔ ไมู่พูดโกหก
ข้อ๕ ไม่ดื่มสุราและของที่ทำให้มึนเมา ให้ขาดสติ
คุณ broom_anupong ลองอ่านแล้วมานั่งคิดนอนคิด แล้วละเว้น ไม่ทำมันไปเรื่อยๆ แล้วจะเป็นเอง

อันดับแรกควรเริ่มที่ตัวเราเองก่อนนะครับ แก้ที่ใจตัวเองก่อน เมื่อเริ่มทำได้แล้ว ใจเราก็จะเริ่มผ่อนคลาย อารมณ์็ก็จะเริ่มดีขึ้น ใจของเรา็ก็จะไม่ว้าวุ่นไม่เอามาคิดให้ปวดสมอง บางคืนเวลาหลับๆอยู่ก็ฝันในเรื่องเหล่านี้ได้ แต่ไม่ได้ฝันว่าเราทำบาปนะ ฝันว่าเราห้ามตัวเองทำบาปได้
(แต่อย่าพึ่งไปมองว่าใครจะดีจะเลวจะเป็นยังไงก็ตาม มันเรื่องของเค้า)
เมื่อเรามีศีลเ็ป็นพื้นฐานที่ดีแล้ว ใจเรา อารมณ์เราดีขึ้น แล้วคุณธรรมอย่างอื่นจะเริ่มเข้ามาเอง อย่างเช่น

กุศลกรรมบถ๑๐ จะคล้าย ศีล๕ แต่จะแบ่งเป็นเรื่องของ การกระทำด้วยกาย(กายกรรม) การพูด(วจีกรรม) การคิดของใจ(มโนกรรม) คือจะเพิ่มขึ้นมาจากศีล๕ ได้แก่
วจีกรรม ...ไม่พูดหยาบคาย ไม่พุดยุยงส่อเสียดนินทาว่าร้ายผู้อื่น ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล
มโนกรรม ...ไม่คิดโลภอยากได้ของผู้อื่น ไม่คิดอาฆาตพยาบาทจองเวรและไม่คิดร้ายกับผู้อื่น มีสัมมาทิฐฐิ(เห็นชอบในสื่งที่ถูกที่ควรตามหลักพระพุทธศาสนา รู้ว่าอะไรผิด(ก็ปล่อยวาง) อะไรถูก(ก็เห็นด้วย) )
ข้อที่เราจะปฎิบัติให้ลองมองไปกว้างๆ หรือ หาอ่านจากตำราที่เค้าแจงไว้กว้างๆ แล้วคิดตาม หรือจะเริ่มจากพื้นฐานคือศีลก็ได้ครับ

เมื่อใจเราดีขึ้นๆไป จะเห็นว่าการทำบาป ทำความชั่ว แม้เล็กๆน้อยๆ ก็ทำไม่ลง คือมีความละอายใจ(หิริ) แล้วก็รู้ว่าผลของการทำบาปทำความชั่วเป็นอย่างไร ทั้งผลในเบื้องหน้า และผลในบั้นปลายทำให้เรากลัวผลของการทำบาปทำความชั่ว(โอตัปปะ)

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นประสบการณ์ของตัวผมเอง
แต่อาจจะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนท่านอื่นคนอื่น แต่ทุกวันนี้ ใจมันค่อยเตือนตัวเองตลอด เมื่อคิดหรือจะพูดหรือจะทำ มันจะค่อยเตือนตัวเองเสมอ ...สุดท้ายขอกราบขออภัย :b8: :b8: :b8: ถ้าถ้อยคำต่างๆหรือความคิดความเห็นอาจจะไม่ถูกต้อง ตามที่ภูมิรู้ภูมิธรรมหลายๆท่านรู้และเข้าใจ :b44: :b44: :b44:

.....................................................
จงทำศีลให้เป็น อธิศีล
ทำจิตให้เเป็น อธิจิต
ทำปัญญาให้เป็น อธิปัญญา


พื้นฐานคุณธรรมความเป็นมนุษย์คือ ศีล๕ กุศลกรรมบถ๑๐ หิริโอตัปปะ และความกตัญญู กตเวทิตา

จุดสูงสุดของการรู้ธรรม เห็นธรรม ก็คือ
...สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 54 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร