วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 22:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 00:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2011, 23:02
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันไม่สบายใจเลยที่ตัวเองขี้อิจฉาทำไงดีค่ะ
ต้นเหตุด้วยว่า ดิฉันอยู่บ้านเดี่ยวกับคนๆหนึ่งตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรกับเค้าเลยสักอย่าง แต่มาหลังๆดิฉันสังเกตุว่าเค้าชอบมองดิฉันเวลาดิฉันแต่งตัว แล้วดิฉันเริ่มสังเกตเห็นว่าเค้าเริ่มแต่งตัวแข่งกับดิฉัน จากผู้หญิงธรรมดาเริ่มแต่งตัว เริ่มทำไฮไซ ทำตัวแอ๊บทำเป็นน่ารัก คือผู้หญิงเหมือนกันมันดูออก และการกระทำหลายอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นทำกับดิฉันเช่น ทำเป็นหยิ่ง เชิด ไม่พูดไม่ทักเวลาเจอกับดิฉัน แม้ว่าดิฉันจะอยู่ในฐานะที่อายุมากกว่า ในเมื่อเค้าไม่ทัก ดิฉันก็ไม่ทักเช่นกัน แม้จะอยู่บ้านเดียวกัน ซึ่งคนในบ้านก็ถามว่ามีอะไรกันรึป่าว ต่างฝ่ายต่างบอกว่าไม่มี จากนั้นมันก็ทำให้ดิฉันเริ่มเกียจผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาทันที จากปกติที่ดิฉันไม่เคยเกียจใครเลย แล้วเค้าก็ชอบอวดรวย อวดของแบรนเนม อวดโน้นนี่ อวดว่าแฟนรวยมาก มันทำให้ดิฉันยิ่งเกียจ หยิ่งหมั่นใส้ แล้วกายเป็นความอิจฉา เพราะดิฉันจนกว่า ดิฉันก็เริ่มคิดว่าจากที่ผู้หญิงคนนี้มันอัพตัวเองเป็นไฮไซแล้ว ที่มันทำเป็นเชิด หยิ่งใส่เรา เพราะว่าเราจนแน่เลย เพราะเราไม่ได้ไฮไซเหมือนเค้า เราไม่ได้รวยเท่าเค้า ไม่ได้มีรถหรูขับ เราไม่ได้เรียนจบคณะที่ไฮไซเท่าเค้า จากนั้นดิฉันก็เริ่มอิจฉาและเกียจมากเข้าไปอีก

ดิฉันรู้ตัวเสมอว่าเรากำลังตกอยู่ในความเกียจ ความอิจฉา จะเป็นทำไม เป็นไปคนที่ร้อนในใจคือเรา บอกตัวเองว่าคนเราบุญวาสนามันไม่เท่ากัน เราคงทำบุญมาน้อย แต่มันก็ยังไม่หายอยู่ดีอะค่ะ เพราะดิฉันยู่บ้านเดียวกัน เจอกัน เค้าก็ยังเป็นเหมือนเดิมคือ เชิด หยิ่ง ชอบอวด หยิ่งเห็นมันก็หยิ่งหมั่นไส้ หยิ่งเกียจ หยิ่งอิจฉา เหมือนตัวเค้าเองก็แข่งกับดิฉัน แต่เค้าได้ดีกว่าฉัน ชนะฉันทุกอย่าง ดิฉันไม่มีทางที่สามารถสู้เค้าได้เลยในตอนนี้ ไม่ว่าจะฐานะทางการเงิน การศึกษา สามีที่รวยกว่า นิสัยดีกว่ารึป่าวนั้นไม่แน่ใจ แต่เรื่องเดียวที่ดิฉันอาจจะพอสู้ได้คือหน้าตา คือพอพอกัน เค้าได้ทุกอย่างที่ดิฉันอยากได้ เค้ามีทุกอย่างที่ดิฉันอยากมี ความฝันทุกๆอย่างที่ฉันฝันไว้ เค้าได้มันมาทุกอย่างและได้มันมาอย่างง่ายดายสิ้นดี

ดิฉันอยากหายจากอาการอย่างนี้มากมากเลยค่ะ ดิฉันไม่สบายใจ ไม่อยากอิจฉาใคร ไม่อยากเกียจใคร จะทำอย่างไรดีค่ะ มันช่างยากเหลือเกิน ขนาดตอนพิมพ์อยู่นี้ในใจยังคิดว่า ฉันเกียจมัน ฉันเกียจมัน ทำอย่างไรฉันจะรวยกว่ามันดี ฉันจะรวยกว่ามันให้ได้ มันจะได้ไม่ทำมาเป็น เริ่ด เชิด ใส่ดิฉัน เครียดมากค่ะ มันช่างร้อนรุ่มใจสิ้นดี
ใครก็ได้โปรดสงเคาระห์ดิฉันด้วยเถอะค่ะ ช่วยบอกวิธีกับดิฉันที ดิฉันอยากเป็นปกติสักที จะขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งนัก ถือเสียว่าเป็นการโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์เถอะค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 00:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 03:39
โพสต์: 55

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


No self confidence.
If continue thinking like that, you will feel smaller and smaller. You will hate her and yourself more and more.

Believe in your own goodness.
You are so much luckier than so many people.

Should read the book "GOOD LUCK" by Ajahn มิตซูโอะ .


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 06:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าไปคิดถึงเขามากสิคะ นี่ลมหายใจเข้าออกมีแต่เธอคนนั้นเลยหรือเปล่าคะ :b9:

แทนที่จะไปดูเขา เอาเวลามาดูตัวเราเอง

วันนี้เราแต่งตัวเรียบร้อยหรือยัง
วันนี้เราเก็บกวาดห้องหับเราหรือยัง
เราได้เสียสละความเห็นแก่ตัวบ้างหรือเปล่าวันนี้
เพื่อนร่วมงานนินทา เราปล่อยวางได้ไหม
เรากินอาหาร เราสำรวมหรือเปล่า กินเพราะความอยากจนแน่นท้อง จนอึดอัดหรือเปล่า
ฯลฯ

เรื่องที่เราต้องดูตัวเองมันเยอะมากๆ ถ้าเอาเวลามาสนใจตัวเอง มันก็จะเลิกสนใจเขาไปเอง
ยิ่งตามดูเขามากก็เหมือนให้อาหารความขี้อิจฉาในใจ
มันมีแต่ยิ่งเพิ่มมากขึ้นๆจนรุนแรงไปเรื่อยนะคะตัวขี้อิจฉามันโตเร็ว แป๊บเดียวโตเป็นความเกลียดเขาแล้ว

เอาเข้าจริงๆ่อะ เขายังไม่เคยมาพูดอะไรกับคุณตรงๆเลยด้วยซ้ำไปนะ
ถ้าเขามาพุดตรงๆว่า เธอทำทั้งหมดนี่เพื่อแข่งกับคุณ เพื่อต้องการดูถูกคุณ
แบบนั้นแล้วคุณเจ็บใจก็ยังพอมีเหตุผล


:b16: :b16:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดง่ายๆ ว่า จ้องจับผิดคนอื่น เพราะเห็นเขารวยกว่า เรียนสูงกว่า ชาติตระกูลสูงกว่า มีทุกสิ่งที่เราไม่มี เห็นเราด้อยกว่าเขา อยากมีอยากรวยเหมือนเขา แถมไม่เจียมตัวไปอิจฉาเขาอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม เลยเกิดความทุกข์ใหญ่

อ่านแล้วเหมือนในหนังในละครเลยนะครับ ตอนดูแย่งกันเป็นนางเอก พอชีวิตจริงกลับแย่งกันเป็นตัวอิจฉาเสียนี้ ชีวิตในละครกับชีวิตจริงเหมือนหน้ามือกับหลังมือ ....

วิธีแก้มีสองวิธี คือ ...

๑. ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นเสีย จะลดการจับผิดเขาลงไปได้ เพราะไม่ต้องเจอกันทุกวัน
๒. ต้องทำใจ เพราะเขารวย เขาเรียนสูงจริง จะมานั่งอิจฉาริษยากันเหมือนในหนังก็ต้องทุกข์อย่างที่เล่ามา ต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเรานี้แหละ นางเอก ถึงจะจน เรียนไม่สูง เครื่องนุ่งห่มไม่เริดหรู่เหมือนชาวไฮโซทั้งหลาย แต่ก็สะอาดน่ามอง กิริยามารยาทการแสดงออก เหมาะกับวัยของเรา พูดจาอ่อนหวาน การวางตัวพอเหมาะพองาม ไม่หยิ่งยะโส ไม่ดูถูกคน

วาสนาเขา วาสนาเรา ต่างคนต่างทำมาไม่เท่ากัน เขาทำมากกว่าย่อมได้มากกว่า ตอนนี้เราก็ต้องทำให้มากขึ้น เผื่อชาติหน้า จะได้เชิดหน้าชูตา เหมือนคนอื่นๆ ชาติก็อยู่แบบพอเพียง ไม่ดิ้นร้นเป็นหนี้เป็นสินเพราะแข่งวาสนากับคนอื่น

แก้อิจฉาริษยา ต้องแก้ด้วย มุทิตา เช่น ถ้าเรามีเหมือนเขา เราเป็นเหมือนเขา เราก็ต้องยินดีและมีความสุข เพราะฉะนั้นถ้าคนอื่นมีบ้าง เราควรยินดีที่เขาเป็น เขามี ไม่ใช่หรือ

หยุดจ้องจับผิดเขาเสีย เพราะมีแต่โทษไม่มีคุณเลย หยุดคิดเอาชนะผู้อื่น อีกไม่นานก็ตายจากกันแล้ว ทำบุญกุศลประดับตนก่อนไปดีกว่า ความอิจฉาริษยานั้น ฝังลึก ฝังนาน ทุกข์นานด้วย ถ้าไม่หยุด สามารถทำลายทั้งตนเองและผู้ถูกอิจฉาริษยา

อรติ โลกะ นาสิกา = ความริษยาเป็นเหตุทำให้โลกฉิบหาย

ถามว่าในชีวิตจริงนี้ คุณ namwan_a อยากเป็นตัวเอกหรือเป็นตัวอิจฉาดีละ .. :b12:

ผมนะ ..ดีบ้างร้ายบ้าง ไปตามประสาแหละคร้าบบ .. :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 09:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
หยุดจ้องจับผิดเขาเสีย เพราะมีแต่โทษไม่มีคุณเลย หยุดคิดเอาชนะผู้อื่น อีกไม่นานก็ตายจากกันแล้ว ทำบุญกุศลประดับตนก่อนไปดีกว่า ความอิจฉาริษยานั้น ฝังลึก ฝังนาน ทุกข์นานด้วย ถ้าไม่หยุด สามารถทำลายทั้งตนเองและผู้ถูกอิจฉาริษยา

อรติ โลกะ นาสิกา = ความริษยาเป็นเหตุทำให้โลกฉิบหาย

ถามว่าในชีวิตจริงนี้ ..... อยากเป็นตัวเอกหรือเป็นตัวอิจฉาดีละ .. :b12:

ผมนะ ..ดีบ้างร้ายบ้าง ไปตามประสาแหละคร้าบบ .. :b13:


:b1: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


มนุษย์เรามองเห็นได้ เพราะ แสงสะท้อนจากวัตถุเข้าสู่ดวงตา

ในแสงที่สะท้อนนั้น พบว่า ไม่มีองค์ประกอบใดเลยที่ทำให้ผู้ที่เห็นโกรธ หลง อิจฉา ริษยา เป็นต้น

แต่ทำไมแสงที่สะท้อนมาจึงย่ำยีจิตใจผู้เห็นได้มากขนาดนั้น

นั่นเพราะว่า สมองมนุษย์ทำการเชื่อมโยงสิ่งที่เห็นนั้นกับประสบการณ์เก่าในอดีตที่เคยเห็นได้ยินมา เป็นต้น

เมื่อไม่รู้ จึงเผลอคิดปรุงแต่ง สิ่งที่เกิดจากการเห็นนั้น จนเกิดความพอใจ ไม่พอใจ อยาก ไม่อยากและเข้าไปรองรับอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้น จนเป็นทุกข์

กระบวนการเหล่านี้เกิดเร็วมาก ทำงานโดยสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก

ทางแก้มีอยู่ พระพุทธองค์ได้ชี้แนะวิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันไม่ให้สิ่งใดย่ำยีจิตใจจนเป็นทุกข์ได้

นั่นคือ ให้มีสติ ให้เจริญสติ

สิ่งนึงที่ควรมีอีกอย่างคือศีล คือ ไม่เบียดเบียนสิ่งใด ทั้งด้วยความคิด คำพูดและการกระทำ

การระลึกได้ว่าควรมีศีล เป็นผลจากการมีสติ

สรุปว่า แนะนำให้เจริญสติครับ วิธีใดก็ได้ และอย่าเบียดเบียนสิ่งใด ไม่ว่าทางกาย วาจาหรือใจครับ

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1: :b13: :b13:

หวัดดี ตุ๊กกี๊ ตอนนี้น้ำมาแล้วจ้า :b11: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...แก้ที่ตัวเราเองเป็นอันดับแรกค่ะ...จะเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับเขาทำไมล่ะคะ...
...เพราะจิตที่รับรู้ทุกสิ่งผ่านทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นสมมุติที่ทุกคนได้รับมาตามกรรม...
...เรียกการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นำเข้ามาสู่ใจว่าจิตส่งออกกว้านภาระจากภายนอกมาคิดค่ะ...
...หัดฝึกจิตให้ละและปล่อยวางบ้าง...จะได้ทุกข์ไม่มาก...ทุกคนเกิดมามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน...
...แล้วก็คิดอยู่แค่คิดดีกับคิดไม่ดี...แต่ละคนก็ต่างความคิดคือไม่มีใครคิดดีและไม่ดีได้เท่ากันเลย...
...ก็การส่งจิตออกนอกนี่แหละที่เป็นจิตปรุงแต่งไปตามกรรม...ซึ่งคิดได้หยาบและละเอียดต่างกัน...
...พระพุทธเจ้าถึงสอนให้ฝึกการทำสมาธิ โดยกำหนดสติระลึกรู้อยู่ฐานที่ตั้งแห่งกายตนคือกรรมฐาน...
...การปฏิบัติกรรมฐานจึงช่วยแก้ทุกข์ที่จิตส่งออกไปรับรู้สิ่งต่างๆตามกิเลสของแต่ละคนที่ต่างกันค่ะ...
:b20:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสน่ห์ของคน ไม่ใช่อยู่แค่เรื่อง ฐานะ หน้าตา หรือ ชาติตระกูลที่สูงส่ง

เสน่ห์ของบางคน ก็อยู่ที่ สติปัญญา บางคนมีปัญญาดีก็มีเสน่ห์ ถึงแม้เรื่องอื่นๆจะพร่องและ
ธรรมดา

เสน่ห์ ของบางคนอยู่ที่นิสัย ที่งดงามบ้าง เข้มแข็งบ้าง อ่อนโยนบ้าง เด็ดเดี่ยวบ้าง ขยันบ้าง
ซื่อบริสุทธิ์บ้าง หรื่อแก่นกระโหลกบ้าง สาระพัดจะนิสัยที่มีปมเด่นในทางสร้างเสน่ห์

คนเราต้องมองหาตัวตนของตัวเองให้เจอ แล้วก็พยายามที่จะเป็นตัวของตัวเอง
เมื่อเราเป็นตัวของเราเองได้ เราก็จะวางความใส่ใจในใครต่อใครได้มาก

สร้างความเข้าใจตัวเอง มั่นใจตัวเอง พอใจตัวเอง และ พยายามสร้างเสน่ห์ของตนในแง่ที่
เป็นตัวเรา และเสน่ห์ที่แท้จริงอันจะดึงดูดคนให้สนใจให้เห็นเรา คือเสน่ห์ที่เกิดจากใจอันงดงาม
และ เสน่ห์ ที่เกิดจากพลังความสามารถ ส่วนหน้าตา การตกแต่ง เป็นเพียงเสน่ห์ฉาบฉวย
ที่ดึงดูดคนให้หลงชอบ เมื่อพบเจอ แต่ถ้านิสัยมีอะไรที่ขาดเสน่ห์ มีอะไรที่พร่อง ความเบื่อหน่าย
ก็จะมีแก่บุคคลที่เข้ามาใกล้ชิด และก็จะถูกมองผ่านไปในที่สุด

คนทุกคนย่อมมีส่วนดี บางส่วนของบางคนอาจดีกว่าเรา แต่บางส่วนของเราก็อาจดีกว่าบางคน
และเราสามารถมองโลกให้กว้าง เราก็จะพบว่าเรามีอะไรที่ดีมากแล้วกว่าใครอีกหลายๆคนในโลกใบนี้

เมื่อความเข้าใจในตัวเองเกิดขึ้น ความพอใจในตัวเองก็จะเกิด แล้วความสันโดดในตัวเองก็จะเริ่มมี

ขอชื่นชมที่ใจมีความใฝ่ในการเอาชนะความอิจฉาด้วยครับ ..........และขอให้คุณเอาชนะมันได้

cool :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2011, 23:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2011, 23:02
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะค่่ะ ถึงแม้บางเม้นดูแรง แต่ดิฉันก็ชอบเพราะว่ามันตรงดี ดิฉันอยากเป็นคนดี ไม่อยากอิจฉาใคร ถึงแม้วันนี้ดิฉันยังทำไม่ได้ แต่ดิฉันจะพยายามทำให้ได้ เพื่อหลุด พ้นจากความทุกข์นี้ให้จนได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2011, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุปัจจัยให้สำเร็จนั้นมีอยู่

ความพอใจที่จะทำนั้นถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ

จากนั้นให้ทุ่มเทแรงกาย

ทุ่มเทแรงใจ

ทุ่มเทกำลังปัญญา

ทำทั้ง 4 อย่างนี้อย่างเต็มที่ โอกาสสำเร็จย่อมมีมาก

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2011, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พุทธวัจน์
การเจริญภาวนาธรรม ๖ อย่าง

ดูกรราหุล เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่จักละพยาบาทได้
(การผูกใจเจ็บคิดจะแก้แค้น).

เธอจงเจริญกรุณาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญกรุณาภาวนาอยู่ จักละวิหิงสาได้ (ความเบียดเบียน).

เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่ จักละอรติได้ (ความริษยา).

เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่ จักละปฏิฆะได้ (ความขัดใจ ).

เธอจงเจริญอสุภภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวนาอยู่ จักละราคะได้ (ความกำหนัด).

เธอจงเจริญอนิจจสัญญาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่จักละอัสมิมานะได้
(การถือเขาถือเรา.).


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2011, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องความอิจฉาโดยตรง แต่ก็อยากให้ลองฟังดูครับ
เรื่อง ขันติวาทีดาบส

http://www.dhammahome.com/front/media_c ... 150c4d7883

....

มุทิตา แก้ความริษยา (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
http://variety.teenee.com/saladharm/40419.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2011, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


การพลอยอนุโมทนายินดี กับสิ่งที่เป็นกุศล สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่ผู้อื่นได้กระทำสำเร็จแล้ว ก็เป็นการอบรมมุทิตาให้เจริญขึ้นครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2011, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 19:55
โพสต์: 146


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


การแก้อิจฉาที่ดีที่สุดก็คือการไม่อิจฉาไงครับ การพูดแบบนี้ไม่ได้ยียวนหรือตีรวนนะครับ
แต่คุณยอมรับหรือเปล่าล่ะว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นมันก็ต้นเหตุมาจากใจของคุณเองที่ต้อง
การแข่งบุญแข่งวาสนากันผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นเขาเกิดมามีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกว่า
ในขณะที่คุณมีไม่เท่าเขา ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของผู้หญิงคนนั้น เพียงแต่คุณไม่ชอบที่ผู้หญิง
คนนั้นชอบพูดจาโอ้อวดแถมใช้ของแบรนด์เนมเฉิดฉายไปมา คือพูดง่ายๆว่าชอบทำใส่
ชอบอวดนั่นอวดนี่ เลยทำให้คุณรู้สึกหมั่นไส้ แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของผู้หญิงคนนั้นที่เขา
เผอิญเกิดมาล่ำซำ แต่มันผิดเพราะการที่คุณไปหมั่นไส้เขานี่แหละ เพราะคุณไปสนใจเขาเอง
เลยพลอยทำให้จิตใจของคุณร้อนรนไปเอง ประมาณว่า "หนอยแน่ะ ถ้าฉันรวย จะสวยให้ดู
รับรองเลิศหรู เฉิดฉายไฉไล"
หรือ "ถ้าฉนรวยนะ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอสวยข้ามหน้าข้ามตาแน่นอน" เมื่อคุณคิดแบบนี้ มันเลยส่งผลให้คุณตำหนิตนเองว่าทำไมฉันไม่รวยเหมือนเขานะ ไปๆมาๆเลย
กลายเป็นอิจฉาเขาโดยไม่รู้ตัว


รูปภาพ


เพราะฉะนั้นทางแก้ก็คือ แก้ที่ใจของคุณเอง อย่าไปยึดติดกับความสวยงาม หรือสิ่งของนอกกาย
ตายไปก็เอาไปไม่ได้ สวยแค่ไหนหรือขี้เหล่แค่ไหน พอตายไปก็แค่นอนให้หนอนเจาะทุกรายไป หนีไม่
พ้นสักราย ไม่ต้องไปสนใจเขา เขาจะมีอะไรก็ช่างเขา ไม่เกี่ยวกับเรา เขาซื้อนั่นซื้อนี่มาอวดก็ไม่ต้อง
ไปเห่อกับเขา ไม่ต้องสนใจ ให้นึกซะว่า
"อ๋อเหรอ เธอมีแล้วยังไงเหรอเรื่องของเธอ มีแล้วไง มีก็มีไปดิ่
ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันเลย ฉันไม่มีก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร ฉันมีปัญญาหาได้แค่นี้ฉันก็ใช้แค่นี้ ฉันก็แต่งแค่
นี้ ก็ไม่เห็นฉันจะเดือนร้อนอะไร ฉันก็อยู่ของฉันได้ ฉันมีไม่เท่าเธอก็ไม่เห็นว่าฉันจะดิ้นตาย ไม่เห็นแคร์
เลย ฉันไม่มีฉันก็ไม่ได้ไปขอเธอกิน ฉันหาทุกสิ่งทุกอย่างมาได้ก็ด้วยสติปัญญาของฉัน หามาด้วยน้ำพัก
น้ำแรงทั้งนั้น เธอสวยเธอเลิศแค่ไหนก็ไม่เห็นว่าความสวยความเลิศของเธอจะทำให้ชีวิตฉันดีขึ้นมา
เลย แล้วฉันจะไปใส่ใจกับความล่ำซำของเธอเพื่ออะไรกัน ฉันไม่มีฉันก็ไม่เห็นง้อเลย"
นี่แหละครับ
คิดแบบนี้แหละ คนเราแข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้ กรรมของใครก็ของ
คนนั้น คุณต้องรู้จักปลงแล้วบอกกับตัวเองว่า
"ฉันมีปัญญาหาทรัพย์สมบัตินอกกายมาได้แค่นี้
ฉันก็ใช้แค่นี้ ฉันหาของฉันด้วยความสุจริต ไม่ได้ไปโกงใครมา ฉันภูมิใจกับสิ่งที่ฉันหามาได้"
ส่วน
คนอื่นจะหาได้มากได้น้อยอันนั้นก็อยู่ที่กำลังของเขา กรรมของใครของคนนั้น วาสนาของใครก็
ของคนนั้น อย่าไปอิจฉาเลยครับ


สรุปสั้นๆคือ อย่าไปยึดติด รู้จักปลง อย่าไปอาวรณ์กับรูปสมบัตินอกกาย ใช้เท่าที่มี เก็บออม
ส่วนที่เหลือเพื่ออนาคตข้างหน้า ตายไปเอาอะไรไปไม่ได้ซักอย่าง


ขอเป็นกำลังใจให้ครับ และขออภัย หากผมใช้คำพูดตรงไปตรงมานิดนึง หวังว่าคงไม่มีมี
ส่วนไหนที่ทำให้คุณเกิดความไม่สบายใจนะครับ พิมพ์ยาวไปหน่อยครับ ยังไงก็อดทนอ่าน
เอานะครับ

.....................................................
เก็บธรรมใส่กล่อง.....เรียนรู้จากบัณฑิต.....คบหากัลยาณมิตร.....จิตอ่อนน้อมในพระธรรม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 55 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร