วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2018, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าเป็นผู้ขอ แต่ขอถูกหลัก ไม่ได้เอ่ยปากขอ แต่มีผู้ยินดีให้ ประเภทเรา ไม่มีศีลธรรมรองรับ ไปขอเขา เขาเบื่อ ..

วัดใดก็ตามถ้าไม่มีศีลธรรมรองรับ ขอบริจาค ทำอะไรเป็นสิบๆ ปี ก็ไม่เสร็จ เพราะไม่มีศีลธรรมรองรับทางใจ ถ้าไม่มีศีลธรรมรองรับ อย่าไปพูดเลยเข้าวัดไหนก็ตามไม่เป็นกุศลได้ ..

พระพุทธเจ้ามีความดีรองรับ จึงมีผู้ทำบุญให้ทานมากกว่า ๒๕๐๐ ปี ..

ให้พวกเราให้ทานเรื่องอารมณ์ คือ อภัยทาน ไม่ถือโทษโกรธเคืองใคร ไม่ยินดียินร้ายกับผู้นั้นผู้นี้ ความห่วงมี แต่ไม่หวง ..

ให้พิจารณาดูหลวงปู่ลี ท่านนั่งอยู่เฉย ก็มีผู้ถวายปัจจัยได้เงินมากกว่าเราหาเป็นปีๆ นั่นแหละอำนาจของธรรม อำนาจความดีของใจ เราเป็นผู้ฝืดเคืองทางจิตใจ ก็เป็นไปได้ยาก พวกเราเป็นผู้ขัดๆ เขินๆ เพราะทำอะไรไม่สม่ำเสมอ พระพุทธเจ้าไม่อยากได้วัตถุสมบัติของผู้ใด แต่มีแต่ผู้อยากให้ ..

ถ้าชำระใจได้แล้ว มันมาเอง
ไม่อยากให้มา มันก็มา

หลวงพ่อจันมี อนาลโย
วัดป่าแก้งใหม่ อ.สังคม จ.หนองคาย
๒๙ ส.ค.๒๕๕๖



คำถามของคนหูหนวก ผู้หนึ่งชื่อ นายคำ
เป็นคนมีสัตย์มีศีลธรรมดีคนหนึ่ง และเป็นนักภาวนา
ที่หาตัวจับยากในบรรดาชาวบ้านด้วยกัน
แกมีอาการแปลก ๆเกี่ยวกับการภาวนามาเล่าถวาย
หลวงปู่เสมอ ซึ่งท่านก็เมตตาแนะนำ เมื่อแกหายหน้าไป
ท่านจะถามหาและเมตตาแกมาตลอดเวลาร่วม ๒๐ ปี
วันหนึ่งได้โอกาส แกเรียนถามหลวงปู่ว่า

หลวงปู่ครับ : เป็นเพราะกรรมอันใดหรือ ทำไมหูผม
จึงหนวก ผมเคยได้ทำกรรมอะไรไว้บ้างครับ

หลวงปู่ : แต่ก่อนเวลาพระกำลังเทศน์ มีญาติโยม
นั่งฟังอยู่หลาย ที่ศาลาโรงธรรม แล้วบ่สนใจฟัง
ซ้ำยังเป่าแคน ตีฉิ่ง ตีกลอง มารอบศาลาที่
พระเทศน์ให้โยมฟังอยู่ แล้วเว้าหยอกผู้สาว
เวลาผู้สาวเหลียวมากะพากันเฮ !
จนพระที่กำลังเทศน์อยู่เสียสมาธิ ทำให้ลืมคำเทศน์
ต้องตั้งนะโมฯ ขึ้นใหม่ ตั้งเทื่อสองเทื่อ (ครั้งสองครั้ง)...
กรรมอันนี้จึงทำให้หูหนวก
ถาม... ชาตินี้สิพ้นกรรมบ่ หลวงปู่
หลวงปู่ อือ

กรรมที่ทำให้หูหนวก โดย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม




อานิสงส์ของ “การเจริญเมตตา”

...หลวงปู่ขาวเคยเล่าว่า เดิมทีนั้นตัวท่านเป็นคนโทสจริต มีอะไรนิดหน่อยก็โกรธ ในครั้งนั้นท่านนั่งสมาธิภาวนาแต่ว่าจิตไม่สงบดังปรารถนา

...ขณะที่นั่งภาวนาอยู่ข้างล่าง ท่านก็ไม่สบายใจ นึกบ่นว่าทำอย่างไร ๆ ทำไมจิตมันจึงแข็งอยู่อย่างนั้น ทำสมาธิก็ไม่ลง ทำอย่างไร ๆ ก็ไม่ลง ทำอย่างไร ๆ มันก็ไม่สงบ ท่านรำคาญเต็มที จึงโกรธว่าตัวเองขึ้นมาว่า นี่มันผีนรกวิ่งขึ้นมาจากอเวจีนี่นา จิตมันถึงได้แข็งกระด้างอย่างนี้ ไฟเผามันอย่างนี้ น่าจะกลับให้มันลงไปอเวจีอีก อย่าให้มันขึ้นมา ให้อเวจีมันเผา ท่านดุว่าตนเองแล้วจึงจำวัด
...ต่อมาเมื่อไปปฏิบัติท่านพระอาจารย์ใหญ่ในตอนเช้า หลวงปู่มั่นจึงตักเตือนว่า
'เอ๊ะ ท่านขาว ท่านทำไมทำอย่างนี้ ท่านก็เป็นผู้ประเสริฐ เป็นมนุษย์ประเสริฐอยู่แล้ว มาด่าตัวเองเฮ็ดหยัง (ทำไม) ให้ลงนรกอเวจีอย่างไร ไม่ถูกนี่ ท่านมาประจานตน ว่าตนอย่างนี้ไม่ได้ ท่านก็ทำความเพียรอย่างดีแล้ว จะไปว่ามันทำไม ถ้าว่าหนัก ๆ เข้า ท่านอาจฆ่าตัวตายได้นะ และถ้าเผลอไปฆ่าตัวตายเข้าแล้วชาตินี้ ต่อไปนับชาติไม่ได้นะ ที่จะต้องวกวนกลับไปฆ่าตัวตายอีก ฆ่าตัวตายนี่ถ้าท่านเริ่มขึ้นชาติหนึ่งแล้ว ก็จะต้องต่ออีก ๕๐๐ ชาติ แล้วก็ไปเที่ยวเอาภพเอาชาติผูกเวรผูกกรรมกัน ฆ่าตัวตายอยู่อย่างนั้น อย่าไปทำอีกนะท่าน ไม่ถูก ตัวเองบริสุทธิ์อยู่ ทำไมถึงไปทำตน ไปด่าตนอย่างนี้'
...แม้ว่าจะถูกท่านพระอาจารย์ใหญ่ปราม และตัวท่านก็กลัวแต่ยังคงนึกโกรธตนอยู่ไม่คลาย

...ขึ้นไปอยู่ดอยมูเซอกับพวกมูเซอ เสือก็มีตัวใหญ่ ๆ ลายพาดกลอน เดินอยู่กลางคืนก็นึกบอก “เจ้านี่มันเลวจริง ๆ มันเป็นหยัง มันหยาบแท้ มันแข็งแท้ ให้เสือมาคาบมึงไปกินซะ ด่าตัวเอง นึกว่าตัวเอง โกรธที่จิตไม่ลง ให้เสือมาเอาไปกินซะ นึกว่าฆ่ามันได้แล้ว จิตมันจะได้กล้า มันจะได้เกรง อ่อนน้อมยอมต่อเรา

...ด่าตนเองแล้วก็ไปเดินจงกรม นั่งสมาธิ แต่จิตก็ไม่ลง ท่านจึงจำวัด พอหลับไปก็ปรากฏนิมิตเห็นโยมมารดามานั่งอยู่ข้าง ๆ และพวกมูเซอมาจากไร่ หอบผักใส่ตะกร้าแบกขึ้นหลังมา โยมมารดาท่านบ่นขึ้นว่า
“ขาว..ขาว นี่ ทำอย่างไรถึงเป็นหนอ” พวกมูเซอก็พูดว่า “ไม่ยาก ๆ เอาของอ่อนให้กินเด้อ อย่าไปกินของแข็ง ถ้ากินของแข็งไม่เป็น กินของอ่อนล่ะเป็น” แม่ท่านก็เลยบอกว่า “ไม่เข้าใจ เป็นอย่างไร ของอ่อน ของแข็ง” แม่ท่านก็เอิ้น (เรียก) ถามขึ้นว่า “ของอ่อนมีอะไรไหม” “ของอ่อนก็อย่างสาหร่ายไงล่ะ” แม่ท่านก็บอกว่า “ขาว..ขาว กินของอ่อนเด้อ ”

...เมื่อท่านตื่นขึ้นจึงไปนั่งสมาธิ เริ่มต้นพิจารณา พิจารณาของแข็งก่อน อะไรหนอที่มูเซอว่าเป็นของแข็ง เรามีอะไรที่เขาว่าเรากินของแข็ง พิจารณาไป ๆ มา ๆ ผู้รู้ก็ตอบขึ้นว่า
“ที่ว่าของแข็งคือความโกรธ ความมักโกรธ นั่นแหละของแข็งล่ะ”
แล้วอ่อนล่ะ ที่บอกว่าให้เอาของอ่อนมากิน อะไรคือของอ่อน พิจารณาไป ๆ มา ๆ ก็รู้ขึ้นว่า ของอ่อนก็ต้องเอา ''เมตตา”

...เมื่อได้คำตอบแล้ว ท่านจึงแผ่เมตตาทั่วสารทิศแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง ทั้งญาติพี่น้อง มิตรสหาย ไม่เว้นแม้แต่ศัตรู แผ่ไปโดยไม่มีประมาณความโกรธที่เคยสิงอยู่ในดวงจิตนั้นก็ค่อย ๆ อ่อนลงอ่อนลงแทบจะไม่นึกโกรธอะไรเลย

...มีแต่ความเมตตาสงสารสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วโลก ให้นึกเห็นใจเขา เขาจะทำอะไรที่ผิดไปบ้าง เขาก็ไม่ตั้งใจ หากเขาตั้งใจ ก็เห็นใจว่าเขาเป็นอย่างนั้น เขาถึงได้ทำอย่างนั้น เป็นความลำบากของเขาเอง ที่เขาไม่ดี ไม่ได้เกี่ยวอะไร ให้นึกสงสารเขา
...เมื่อแผ่เมตตาไป ๆ ความโกรธนั้นก็ค่อย ๆ อ่อนลง จิตก็ไม่ค่อยแข็ง จิตอ่อนแล้ว จิตอ่อนควรแก่การงานแล้ว นึกจะทำอะไรก็ได้ เป็นจิตที่ดี เป็นจิตที่ควรชม ควรแก่การงาน จะพิจารณาอะไรก็ได้ จิตอ่อนหมายถึงว่าจิตเบา จิตว่าง ”

...ด้วยความฉลาดในอุบายธรรมอันนำมาต่อกรกับกิเลสได้อย่างเหมาะสม และความพากเพียรอย่างไม่ย่อท้อในการบำเพ็ญสมณธรรม หลวงปู่ขาว อนาลโย จึงสามารถเอาชนะกิเลส จวบจนถึงสิ้นชาติขาดภพ นับเป็นพระสุปฏิปันโนผู้ควรแก่การกราบไหว้บูชา และนำปฏิปทามาเป็นแบบอย่างอย่างแท้จริง

..........
ที่มา: พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน (๒๕๒๗) ชีวประวัติของหลวงปู่ขาว กรุงเทพฯ )


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร