วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 10:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2011, 11:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ย. 2011, 01:30
โพสต์: 5

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


--------------------------------------------------------------------------------

ประสบการณ์ปฎิบัติธรรม






มันเป็นเรื่องสมัยเป็นเด็กนะครับ ไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะ
ปฎิบัติแล้วเพี้ยน ได้บวชเป็นเณรภาคฤดูร้อน ไม่ได้บวชเพราะศรัทธาในศาสนา แต่บวชตามประเพณี
แม่ให้บวชก็บวช เป็นเณรดื้อที่สุดในวัด ผิดศิลอยู่เนืองนิจ โชคพาวาสนาช่วยไม่ให้ทำกรรมมาก
ให้มาเจอพระภิกษุรูปหนึ่งเป็นพระภิกษุบวชใหม่ ท่านเคยบวชมาก่อนแล้ว มีความรู้เรื่องการทำสมาธิ
ท่านเล่าเรื่องอิทธิฤทธิ์ปฎิหารของครูอาจารย์ต่างๆให้ฟัง ได้ฟังอยากได้แบบท่านมั่ง เลยถามว่าครูบาอาจารย์เหล่านั้นท่านทำยังไง ถึงได้เก่งขนาดนั้น พระองค์นั้นบอกว่า
ท่านภาวนาพุทโธตามลมหายใจเข้าออก คืนนั้นลองทำตามที่พระท่านบอก ตามลมหายใจเข้าพุท ออกโธ
นั่งกับพระภิกษุรูปนั้น พระรูปนั้น ออกสมาธิก่อน แต่เราไม่ออกสมาธิ กำหนดพุทโทตามที่ท่านสอน
สักพักรู้สึกตัวเองพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า มองเห็นดาวล้อมรอบตัวไปหมด รู้สึกว่าอยู่บนท้องฟ้า แล้วสักพักความ
รู้สึกรับรู้ทางกายไม่มี เหลือแต่ผู้รู้ รู้สึกตัวอีกทีไก่ขัน ออกสมาธิไม่รู้สึกว่ามีความเจ็บปวดอะไรเลย รู้สึกตัวเบาไปหมด เดินออกไปกลางคืนคนเดียวเดินรอบศาลา บ่นสุขจริงหนอ สุขจริงหนอ
เวลาประมาณตี 4 ไม่มีความง่วงอะไรเลยรู้สึกแต่ว่าทำไมเราถึงมีความสุขขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้เล่าให้พระรูปนั้นฟัง
พระรูปนั้นชวนออกธุดงค์ ท่านสอนว่าเราจะเรียนไปทำไม เรียนแล้วก็ตาย เราฟังรู้สึกเห็นด้วยหนีออกจากวัด
เดินธุดงค์ไปกับพระบวชใหม่ไม่มีพรรษา เดินถึงภูเขียวที่ชัยภูมิ



หลงป่าภูเขียว 10 วัน



พอถึงป่าภูเขียวขอกรมป่าไม้เดินผ่าน เพื่อไปทุ่งกระมัง กรมป่าไม้บอกว่าให้เดินตามสีนะ
จะแต้มสีตามต้นไม้ไปเรื่อยๆ เดินตามสี ไม่หลงหรอก เจอภิกษุอีก 1 รูป ขอร่วมทางไปด้วย ท่านมีประสบการณ์เดินธุดงค์ในป่า ท่านสอนเราหลายอย่างเวลาเดินป่า ท่านสอนว่า
1. เวลาเดินป่าให้พกยาสูบด้วย เพราะเวลาเดินป้องกันเห็บและทาก ให้เอาไปขยำน้ำก่อน แล้วเอามาทาตามตัวแขนขา

2. เวลาเดินป่าอย่าพูดมาก เห็นอะไรอย่าทัก ให้สำรวมคำพูด เพราะเราอาจเจอสิ่งไม่คลาดฝัน
3. เวลาปักกลดแล้วไม่ควรย้ายที่ เวลาใครมาเรียกดึกๆห้ามออกเพราะอาจไม่ใช่คน
4. ควรรักษาจิต รักษาศิลให้เคร่งครัด เพราะเราอาจเจอความตายเมื่อไหร่ไม่รู้
5. อธิฐานปักกลดแล้ว ไม่ควรย้ายที่โดยเด็ดขาด ท่านก็พูดเรื่องเสือสมิง เรื่องผี และเรื่องที่ท่านเคยเดินในป่าห้วยขาแข้ง ฟังแล้วรู้สึกเดินป่ามันน่ากลัว
ขนาดนี้เลยหรือ
เราเดินตามที่กรมป่าไม้บอก รู้สึกเดินสนุกมากรู้สึกไม่ร้อนเลย เพราะลำธารเยอะมาก และป่าชุ่มชื่น และเจอสัตว์ป่าทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น
เดินได้ 1 วัน นั่งพักลืมกลด เดินมาไกลนึกขึ้นได้ไม่ได้เอากลดมา จะกลับไปเอา ก็ไม่รู้อยู่ตรงไหน
ต้องอาศัยนอนกับพระ รู้สึกในป่าทากจะเยอะมาก
เดินในป่า 2 วัน 3 วันก็ไม่โผล่ป่าสักที ใจเราเริ่มเสีย 2-3 วันแรกอยู่ได้เพราะท่านให้พกมาม่ามาด้วย
มาม่าหมดรู้สึกหิวมากๆ อาศัยเก็บผักกูด มะเขือพวง เห็ดหูหนูเยอะมากในป่า เก็บมาต้มกิน
อาศัยฟันต้นกล้วยต้นไหนมีลูกสุกก็กินลูก ลูกไม่มีก็กินหยวกกล้วย บางวันโชคดีเจอผลไม้เยอะมาก
หล่นตามพื้น พวกลิงกินแล้วทิ้งลงมา อาศัยเก็บมากินแล้วนำมาถวายพระ อยู่ในป่ารู้สึกฝนจะชอบตก รู้สึกลำบากมาก
เพราะต้องคอยตื่นมาดึกๆ ไม่ให้น้ำไหลเข้ากลด แต่พระที่ท่านมีประสบการณ์ในป่า รู้สึกท่านจะสบาย
เพราะใช้กลดแบบรูดซิบ เป็นผ้ายางนอนไม่ต้องกลัวฝน
เวลากางกลดก็ต้องขึ้นภูสูงๆหน่อย เพราะต้องสังเกตุว่า ทางช้างผ่านหรือเปล่า
ชื้นมากทากก็เยอะ ตื่นขึ้นมาทากเกาะกินตามง่ามเท้า เวลานอนทีต้องขึ้นที่สูงๆ บางวันเราเดิน
ไปรู้สึกน้อยใจในวาสนาตัวเอง
เราต้องมาทิ้งชีวิตในป่านี้หรือ คิดไปน้ำตาก็ไหลสงสารตัวเอง กำหนดแผ่ส่วนบุญที่ได้บำเพ็ญมา
ให้แก่มารดา บิดา บางวันหาทางเดินไม่เจอต้องเอากรดบาตรผูกที่หลังแล้วว่ายน้ำข้ามไป
เจอรอยสัตว์ป่าเยอะมาก รู้สึกมีไก่ป่าด้วยแต่มันไม่ได้บินหนีเลย เดินจนถึงน้ำสายหนึ่งใหญ่พอประมาณ
ตกลงกันว่าเราควร จะเดินตามน้ำหรือทวนน้ำดี ท่านบอกว่าเดินทวนน้ำดิ เพราะน้ำต้องไหลผ่านหมู่บ้าน
เลยตกลงเดินทวนน้ำ เดินไปทั้งวัน ทางตัน น้ำไหลออกจากถ้ำ หมดแรงเดินอุตส่าห์เดินมาทั้งวัน
คิดว่า คิดถูกแล้ว เลยชวนกันขึ้นบนภูเขาและขึ้นบนต้นไม้ส่องหาบ้านคน แต่ไม่เจอ ต่างองค์ต่างโทษกัน
หิวก็หิว ใจหนึ่งก็คิดว่าเมื่อไหร่พระท่านจะตายสักว้า จะได้กินเนื้อ ด้วยความหิวข้าวมาก
เจอผลไม้ หล่นเยอะมาก เลยเก็บมาถวายพระ พระท่านถามว่าเห็นพวกสัตว์มันกินหรือเปล่า
เราโกหกว่าลิงมันกินเยอะแยะ เลยเก็บมาถวาย ด้วยความหิวเรากินเข้าไปเยอะมาก
รู้สึกเวียนหัว อ้วกออกแทบตาย พระต้องเอารากไม้มาฝนให้กิน จนอาการปกติ เดินทางต่อ เจอสีแดง
ดีใจกันแทบตาย เรารอดตายแล้ว เป็นสีที่กรมป่าไม้แต้มเอาไว้
เลยเดินตามสีไปเรื่อยๆ เจอถนนพอดี เราดีใจมาก ร้องลั่นป่า เย้ รอดตายแล้ว
เดินมาเรื่อยๆ เจอรถกรมป่าไม้จอดรับ นิมนต์ให้ไปพักบ้านพักกรมป่าไม้
ที่กรมป่าไม้มีสหกรณ์ด้วย ตอนนั้นเราเป็นพระ-เณร มหานิกายจะพกเงินด้วย เลยเข้าไปเลือกซื้อ
ขนม กาแฟ เลือกมาเยอะมากด้วยความหิว แต่ไม่รู้ว่ามีเงินหรือป่าว ดูในกระเป๋ามี ร้อยกว่าบาท
แต่ของที่เอามา 500 กว่าบาท กำแหละ กำลังคิดอยู่ว่าทำไง พอดีมีโยมผู้หญิงมาเที่ยวทุ่งกระมัง บอกว่าขอจ่าย
ค่าสิ่งของทั้งหมดนี่เอง ดีใจมาก พอเข้าบ้านที่พักกรมป่าไม้เรากินเยอะมากเพราะหิวมากๆๆ
ตอนนั้นเวลา 17.00 น. แล้ว พระท่านก็ฉันด้วย..................
เราไม่รู้หรอกว่าศิลคืออะไร ศิลมันต่อได้ ตามความรู้สึกคนทั่วไป และเราก็ถูกปลูกฝังมาเช่นนั้น
เลยทำผิดศิลบ่อยๆ ผิดวินัยบ่อยๆ คิดว่าศิลขาดก็ขอศิล ผิดวินัยก็ปลงอาบัติ แต่พอเราศึกษาเรื่อง ศิล
สมาธิ ปัญญา มากขึ้น มันไม่ใช่สิ่งที่คนเขาสอนมา ไม่ผิดศิลเพราะไม่มีโอกาศทำ แล้วบอกว่าเราคือผู้มีศิล
ที่เราขอศิลหรือ ปลงอาบัติกัน เพราะเราเห็นโทษจากความผิดนั้นๆ แล้วให้ท่านเป็นพยานและยกโทษให้
เราจักเป็นผู้สำรวมระวังต่อไป แต่บาปกรรมอันนั้นไม่ได้หายไป

อรหันต์เสื่อม



ท่านชวนมาวัดที่ท่านเคยอยู่ ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นวัดที่เงียบมากเพราะเป็นวัดร้าง พระที่มาด้วยตอนอยู่ภูเขียวท่านบอกว่า
เราไปนะ ท่านจะขึ้นห้วยขาแข้ง เพราะท่านชอบเดินตามป่า ท่านชวนเราแต่เราไม่ไป
ด้านหลังวัดเป็นป่า เราจะเข้าไปนั่งสมาธิเดินจงกรมทุกวัน
พระองค์นั้นบอกเราท่านสำเร็จเป็นอรหันต์แล้ว ใจเรารู้สึกศรัทธาท่านมาก แต่ท่านก็มักทำผิดศิลผิดวินัยบ่อยๆ
เราถามท่านทำไมถึงทำได้ ท่านบอกว่า เราไม่มีความยึดมั่นถือมั่น อรหันต์นี่เสื่อมไหม ท่านบอกว่าอรหันต์เสื่อม เพราะบางทีเราก็เสื่อมจากพระอรหันต์ และก็มาสำเร็จใหม่ พอเรามาศึกษาทีหลังมีแต่ความเพี๊ยนทั้งนั้น มีคนจำนวนมากที่ออกบวชด้วยศรัทธา มีความเพียร แต่ไม่ครูบาอาจารย์คอยชี้แนะ ปฎิบัติไปมักผิดพลาดมาก มักหลงไปตามนิมิต หลงไปตามความเห็นของตัวเองและคิดว่าตัวเราสำเร็จโน่นนี่ ถ้ามีวาสนาบารมีเก่า ก็ไปได้ไกลก็มี
ท่านบอกเราว่าสามเณร ไม่ต้องบิฑบาตรนะ เดียวอาจารย์ส่งอาหารให้เอง 7 วัน
ให้เข้าป่าไปทำความเพียร เราก็เก็บของเข้าป่า แต่เราไม่รู้หรอกว่าเราต้องทำยังไงบ้าง
ค่ำมาก็รีบเข้ามุ้งกรด เพราะกลัวผี ตอนเช้าท่านก็เอาอาหารมาส่งเย็นก็เข้ามุ้งทำสมาธิ แต่ไม่รู้ตัวเองล้มตัวลงนอนไหน รู้สึกตัวอีกทีเช้าแล้ว มานั่งคิด เออเราหลับตอนไหนหว่าเป็นยังงี้ 7 วัน ครบ 7 วัน ท่านถามเราว่า 7 วันการปฎิบัติเป็นไงบ้าง เราบอกว่าปฎิบัติไม่ได้อะไรเลย ท่านเลยบอกว่า สามเณรสึกไปเรียนหนังสือ เอาความดีทางโลกเถอะเณร ทางธรรมเณรไม่ได้แล้ว เณรไปเถอะเราก็ลาท่านแต่เราไม่กลับไปบ้านหรอก
ใจเราศรัทธาในพระศาสนาแล้ว เราเดินคนเดียวมุ่งหน้าไปโคราช เจอป่าแห่งหนึ่งเงียบสงบมาก
เป็นป่าเต็งรัง มีน้ำซึมตลอด ต้นไม้เลยร่มรื่น ได้ยินเสียงจั๊กจั่นร้อง รู้สึกใจเรามีความสุขมาก เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง
ใจกำลังคิดอะไรเพลิน ก็มีพระมาทัก ท่านก็มาปฎิบัติแถวนั้นเหมือนกัน เราเลยปฎิบัติอยู่ในป่าแห่งนั้น เพราะมีเงื้อมถ้ำอยู่การปฎิบัติเรายังไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไงบ้าง รู้แต่ว่าต้องพุทโธ เราปฎิบัติโดยไม่มีใครปรึกษา และไม่รู้เลยว่าจะปรึกษาใครเราภาวนาพุทโธ ตลอด เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้นอน นอนหลับใจก็พุทโธตลอด ตื่นขึ้นมาก็พุทโธต่อ เรารู้สึกว่าตัวเอง ไม่ได้หลับได้นอน เป็นอยู่หลายวัน เลยเลิกพุทโธ เราอยากมีฤทธิ์ อยากเหาะได้ เลยไปถามพระว่าเขาเหาะกันยังไง พระท่านบอกว่าเขาเอาลมเป็นอารมณ์กรรมฐาน เวลาลมพัดกระทบตัวก็จับจุดตรงนั้น และให้จิตเข้าฌาณ แล้วอธิฐานให้ลมพัดไป เราก็ทำตาม แต่ทำไม่ได้นานหรอก รู้สึกต้องคอยแต่ลมมากระทบตัว เลยมาพุทโธต่อ เวลาเราทำสมาธิ เรารู้สึกว่าตัวเองทำๆไป แล้วรู้สึกดับ ไม่รับรู้อะไร
แล้วจิตก็ถอยออกมาก็จะเห็นนิมิตต่างๆ เห็นโน่นนี่ คล้ายฝันแต่ไม่ใช่เพราะเรารู้สึกตัวอยู่ บางทีก็รู้สึกตัวพุ่งลอยกลางอากาศ บางทีก็พุ่งลงใต้แผ่นดิน แล้วจิตของเราก็ถอยออกมาเป็นปกติ เราไม่รู้เลยว่าเราจะทำยังไงต่อ ถึงจะก้าวหน้า ไม่รู้จะปรึกษาใคร ถามพระท่านก็ไม่รู้ เราก็ทำแบบไม่มีคนสอน


สำคัญตัวสำเร็จอรหันต์


เราขยันนั่งสมาธิ นอน 5 ทุ่ม ตื่นตี 3 แต่การปฎิบัติไม่มีคนชี้แนะ อาศัยศรัทธาตัวเดียว กำหนดพิจารณาสังขารร่างกาย พิจารณาแล้ว ใจมันเบา มันโล่ง เดินไปไหนรู้สึกเบา มีความความสุข กูนี่สำเร็จเป็นเณรอรหันต์แล้วหรอ ใจมันคิดดูถกพระสมัยพุทธกาล อะไรกันอยู่กับพุทธเจ้าไม่ค่อยสำเร็จกัน หรือก็ได้อริยะขั้นต้น ตัวกูนี่ไม่มีครูบาอาจารย์ และเป็นเณรยังสำเร็จอรหันต์เลย ใจครึ้มเพลินมีความสุขทั้งวัน พอโดนกระทบความสุขหายไป อรหันต์เสื่อม เออกูนี่มันบาปมากนะ หลงตัวเองไม่พอยังคิดดูถูกคนอื่นอีก

นิสัยแล้วเป็นชอบกลัวผี คิดจะดัดสันดานตัวเอง เลยเข้าไปอยู่ป่าช้า 7 วัน จะไม่ยอมออก และจะไม่ยอมกินข้าว
ตอนเก็บของก็ไม่ค่อยได้คิดเท่าไหร่ โยมมาเล่าเรื่องผีให้ฟัง ใจมันไม่อยากไปแล้ว แต่ก็ต้องไปเพราะได้พูดออกไปแล้ว พอไปจริงๆ ใจมันปรุงแต่งแต่เรื่องผีตลอด พอตะวันลับขอบฟ้า ก็รีบเข้ากลด กลัวเห็นผี ไม่กล้าออกมาเดินจงกลม จนครบ 7 วันการปฎิบัติไม่ได้อะไรเลย ใจมันปรุงแต่งจะกินโลก อยากกินโน่นนี่ เพราะมันไม่ได้กินข้าว ค่ำมาก็ปรุงแต่งเรื่องผี เวรกำ....................

กูจะทำยังไงดีหนอจะดัดสันดานเรื่องกลัวผีได้ เออพระสมัยพุทธกาลท่านก็ไม่มีกลด ท่านบรรลุธรรมกันมากมาย
สงสัยกูจะมีที่พึ่ง กลัวผีก็วิ่งเข้ากลด ต่อไปนี้กูจะไม่ขออาศัยกลด ทิ้งกลด บอกลาญาติโยม เดินตัวเปล่ามีแต่บาตรผ้าอาบน้ำ จีวร เดินไปตามป่าเขา ค่ำมาใจมันยิ่งกลัว ใช้ผ้าพันหัว พันตา พอจะนอนก็คลุมโปง กำ อนาถยิ่งกว่าเก่า

โรคกรรม


วันหนึ่งรู้สึกปวดหลังมากๆ ต้องออกจากสมาธิ เดินไปหาต้นไม้ดัดหลัง แต่มันก็ไม่หาย เริ่มเป็นแรงขึ้นทุกวัน
เริ่มชาตามแขนและขา ไปหาหมอ ทั้งหมอบ้านและหมอผี แต่โรคก็ไม่ทุเลาลง
ใจเรารู้สึกเริ่มท้อแท้ไปหมด เรานั่งสมาธิน้อยมาก นอนมากขึ้น ใจเราคิดมาว่า โอหนอกูคงหมดบุญในพุทธศาสนาแล้ว
เราคงไม่อาจสำเร็จมรรคผลอะไรแล้ว เรานั่งสมาธิไม่ได้แล้ว เราคือคนอาภัพในศาสนา เราจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
เราควรตายเสียดีกว่า อ่านเจอหนังสือพุทธประวัติ และประวัติพระพาหิยะสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าที่
ท่านเกิดในสมัยนั้น
ภิกษุ 6 รูปขึ้นบนยอดเขาทำเพื่อทำความความเพียร แล้วอธิฐานว่าถ้าเราไม่บรรลุคุณธรรมก็ให้ตายบนยอดเขา
แล้วผลักบันใดออกเพื่อไม่ให้ตัวเองลงได้ เลยมาคิดว่าเออตัวเราก็ควรตายแบบนั้นเหมือนกัน
เมื่อไม่อาจสำเร็จมรรคผลอะไรได้ เราขอตายแบบท่านมั่ง เลยมุ่งหน้าเข้าไปในป่าที่ไม่มีคน
เพื่อทำความเพียร จะไม่กินข้าว อยู่ในป่า 3 วันหน้ามืด เริ่มรู้สึกกลัวตายขึ้นมา อยากตายแต่กลัวตาย
เลยรีบออกจากป่า ไปเจอภิกษุรูปหนึ่งท่านอยู่ในป่าเหมือนกันแต่ไม่บิฑบาต อาศัยปลูกเผือกปลุกมัน กล้วยและ
ทำกับข้าวกินเอง ท่านบอกเราว่าท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว ที่มาอยู่แบบนี้เพราะอีตชาติเคยเป็นฤษี ติดนิสัยอยู่ป่าเขาหุงหากินเอง เราเลยขออาศัยอยู่ด้วยเพื่อศึกษาธรรม ครึ่งเดือนก็จะมีคนเอาข้าวและอาหารไปให้ท่าน
ในพรรษานั้นอยู่กับท่าน แต่ไม่ได้ทำความเพียรอะไรมาก มีแต่ความท้อแท้ท้อถอยและ
อยากตาย ค่ำมาก็นอน ตื่นเช้ามาก็ไปหุงข้าว หาบน้ำมาให้ท่าน เลยมาคิดว่าเราจะทำยังไงดีหนอ เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มีแต่ความทุกข์ หากเราเกิดขยับตัวไม่ได้ เป็นอัมพาตใครจะดูแลเรา อย่ากระนั้นเลยเราหาที่ตายดีกว่า ออกพรรษาพอดี ค้นหาถ้ำ ไปเจอถ้ำหนึ่งถูกใจมาก เพราะมันต้องใช้ไม้ใต่ลงในถ้ำก็กว้างพอที่เราจะเดินจงกรมได้
ในความคิดตอนนั้น เราควรตายในถ้ำนี้ดีกว่า คิดว่าลงไปแล้วจะทำลายบันใดทิ้ง
แล้วเราจะทำความเพียรเพื่อถวายสังขารนี้เป็นครั้งสุดท้ายต้อพุทธเจ้า
เลยทำความสะอาดถ้ำคิดว่าพรุ่งนี้แหละ เราจะมาทำความเพียร และจะไม่ขึ้นจากถ้ำอีก
พอถึงตอนเช้ากำลังเตียมของ หลวงพ่อเดินบอกว่าโยมแม่มาหา เดินไปเจอโยมแม่จริง ๆด้วย
ท่านร้องให้ แล้วบอกว่าทำไมไม่กลับบ้าน รู้ใหมแม่คิดถึง เราก็ร้องให้เหมือนกัน
จากบ้านมาหลายปี เลยถามโยมแม่ว่ารู้ได้ไง ว่าอยู่นี่ แม่บอกว่าอยู่พัทยาเขาลือว่า
มีเณรเก่งมากบอกเลขถูก แล้วหนีไปอยู่ป่า แม่เลยคิดว่าใช่ลูกของเราหรือเปล่า เลยตามมาดู
เลยถามเขาว่าแล้วเข้ามาได้ไง จ้างชาวบ้านมาส่ง
ก่อนที่จะเข้าป่าเคยบอกเลขคนถูก นั่งสมาธิอยู่ดีๆมองเห็นคนแก่ยื่นเลขให้
บอกเขาถูก 2-3 งวด ก็เลยกลับบ้าน สงสารโยมแม่เลยกลับบ้าน แต่ความคิดอยากตายของเรา
ยังมีอยู่....................................



เราก็กลับมา แล้วเราก็หาที่ภาวนา ภาวนาในป่า เจอภิกษุรูปหนึ่ง อาการท่านน่าเลื่อมใส ห่มจีวรสีคล้ำ
ที่ย้อมเองตัดเอง เคารพในศิลในวินัย ไม่จับเงินทอง เราไม่เคยเห็นพระแบบนี้ รู้สึกศรัทธาท่าน เลยถามท่านว่าท่านว่า
ท่านมาจากไหน ท่านบอกว่ามาจากสาขาหนองป่าพงที่โคราช ท่านบอกวัดที่ท่านอยู่ เราเลยคิดว่า เราควรไปศึกษา
ธรรมะที่วัดท่านดีกว่า เลยมุ่งหน้าเดินไปที่โคราช เข้าวัดป่าครั้งแรกรู้สึกร่มเย็นดีมาก ดูอาการพระ อาการของพระทุกรูป
ดูสงบและว่องไว มีข้อวัตรทุกองค์ล้วนมาทำข้อวัตรพร้อมกัน บ่าย 3 ฉันน้ำร้อน กวาดถูกุฎิ ศาลาต่างพร้อมพากันทำ
เวลาจะคุยกับพระที่มีพรรษามากกว่าก็ยกมือพนม เพื่อโอกาสท่าน เราเลยเข้าไปขอศึกษาธรรมะด้วย
ท่านให้ขอนิสัย เราไม่รู้เลยขอนิสัยคืออะไร ท่านบอกว่านิสัยคือการยอมตนให้ท่านสั่งสอนได้
ตักเตือนได้ เราเลยได้อยู่กับท่าน เราทำอะไรก็เงอะงะๆ ผิดๆถูก ก็โดนพระอาจารย์ท่านดุ เราทำอะไรไม่ค่อยถูก เพราะไม่ได้ศึกษา ข้อวัตร
ปฎิบัติในวัดป่า ท่านทำยังไง มีนิสัยแข็งกระด้าง ติดนิสัยอยู่คนเดียว พอมาอยู่แล้วกลับไม่ชอบใจ ทำไมพระวัดนี้กลางวันก็พากันทำงาน ไม่ไปกุฎิภาวนากัน ตี 3 ก็ออกมาสวดมนต์ นั่งสมาธิแค่ 1 ชั่วโมง ทำแบบนี้เมื่อไหร่จะสำเร็จมรรคผลกัน มันคิดไปโน่น เพราะไม่เคยศึกษาการปฎิบัติแบบจริงว่าการปฎิบัติคืออะไร คิดว่า นั่งสมาธิเดินจงกรม คือการปฎิบัติธรรม


เหมือนหลวงปู่ชาท่านสอนวัยรุ่น
วันหนึ่งหลวงพ่อนำคณะสงฆ์ทำงานวัด
มีวัยรุ่นมาเดินชมวัดถามท่านเชิงตำหนิ
"ทำไมท่านไม่นำพระเณรนั่งสมาธิ ชอบพาพระเณรทำงานไม่หยุด"
"นั่งมากขี้ไม่ออกว่ะ" หลวงพ่อสวนกลับ ยกไม้เท้าชี้หน้าคนถาม
"ที่ถูกนั้น นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ต้องนั่งบ้าง
ทำประโยชน์บ้าง ทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที
อย่างนี้จึงถูก กลับไปเรียนใหม่ ยังงี้ยังอ่อนอยู่มาก
เรื่องการปฏิบัตินี้ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูด มันขายขี้หน้าตนเอง"


ธรรมสอนตน


ตอนที่เดินป่าเหนื่อยมาก เลยล้มตัวลงนอน เคลิ้มๆ
มีพระภิกษุรูปหนึ่งท่านเดินเข้ามาบอกว่า พระกรรมฐานเขาไม่เกียจคร้านกันหรอก แล้วเดินหนีหายไป
และก็ตั้งสัจจะ ว่าวันนี้ข้าพเจ้าจะไม่ขอนอน จะไม่เอนหลังพิง เพราะมันชอบอ้างว่าปวดหลัง แล้วนอน จะถวายกายเป็นพุทธบูชา จะตายก็ตายพอทำได้สักพัก ไม่รู้เวทนามาแต่ไหน รู้สึกชาตามแขนและขาไปหมด เหมือนกายจะแตก เลยพิงผนัง ก็เห็นภิกษุเดินเข้ามา แล้วบอกว่าพระกรรมฐานมันต้องมีสัจจะ.....แล้วก็เดินหายไป..... ธรรมนี้นำมาสอนตัวเองเสมอ

แต่ก่อนนี้ไม่เคยรู้เลยว่าทำไมครูบาอาจารย์ไม่ให้นอนหน้าพระประธาน คืนหนึ่งเราไปนอนในถ้ำที่วัดนี้มีศพเด็กทำแท้งดองในขวดโหลเยอะมาก ขี้เกียจกลับไปนอนกุฎิเลยล้มตัวลงนอนหน้าพระประธาน
กำลังจะหลับรู้สึกมีใครมาดึงขาออกจากหน้าพระประธาน เราเลยตื่นขึ้นพูดลั่นถ้ำ ว่า เราไม่กลัวท่านดอก เรามาปฎิบัติธรรมไม่มีเวรภัยต่อผู้ใด และเรามั่นใจว่าศิลของเราบริสุทธิ์ เลยล้มตัวลงนอนต่อ พอจะหลับก็โดนดึงขาอีก เลยนึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ ห้ามนอนหน้าพระประธาน เลยเข้าใจว่าทำไม 1. เป็นการไม่เคารพต่อพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า บางครั้งนอนตูดเปิด นอนเกาตูด เป็นการไม่สมควร และเทวดาจะมากราบพระกัน เลยเดินกลับไปนอนที่กุฏิ

สังขารมันเป็นทุกข์แต่ไม่มีปัญญาพิจารณา


พอออกพรรษาเราคิดไม่อยากอยู่แล้วในวัดนี้ มีแต่ภาวนารวมกัน เมื่อไหร่จะสำเร็จมรรคผลนิพพาน
และเราก็เป็นโรคปวดหลัง จะทำสมาธิก็ยากลำบาก ความคิดที่อยากตายครั้งก่อนเข้ามาเตือน ว่าเราควรจะตายเสีย
ดีกว่า ร่างกายนี้ไม่เหมาะกับเราแล้ว เราควรหาที่ทำความเพียรครั้งสุดท้าย เลยออกจากวัดไม่ได้ลาพระอาจารย์
เพราะใจคิดไม่อยากอยู่แล้วในโลกนี้ เลยเดินไปเขาใหญ่เดินเท้าเปล่าหินลูกลังเยอะมาก เท้าเราพองขึ้นมา
เอาเข็มเจาะ น้ำใสๆไหลออก เดินขึ้นเขาใหญ่เจอกรมป่าไม้ บอกว่าทางห้ามเดินเพราะสัตว์ออกมาหากิน
เลยโบกรถให้ไปส่งปราจีนบุรี พอเราลงรถเลยเดินอ้อมเขาใหญ่ไปทางนครนายกเพื่อหาทางเข้า เจอแต่ป่ารกมาก
เลยย้อนกลับมาที่เดิมเพื่อจะขึ้นเขาใหญ่อีกครั้ง ว่าจะขึ้นไปแล้วไปทางที่คนเข้าน้ำตกกัน แล้วเราจะเดินเข้าป่าไป
เดินขึ้นเขาใหญ่ทางปราจีน เจอกรมป่าไม้อีก บอกว่าเดินไม่ได้ หมีออกมาทำร้ายคน และช้างด้วย แล้วโบกรถให้เรา ส่งที่ปากช่อง มีคนถวายเงินเรา เลยไปซื้อแผนที่ป่าเจอป่าภูหลวง คิดว่าอืมป่านี่แหละที่เราจะทิ้งสังขาร
เลยขึ้นไปที่จังหวัดเลย เจอวัดหนึ่งเป็นวัดร้าง
ก่อนจะเข้าป่า เราควรอดข้าวทำความเพียรเสียก่อน เลยอดข้าวอยู่ 10 วันกินแต่น้ำหวาน เพื่อให้ร่างกายมันชิน
กับการอด อยู่จังหวัดเลยหนาวมาก เราเป็นโรคปวดอยู่แล้ว พอโดนความหนาวยิ่งปวดไปใหญ่
พอครบ 10 วัน ก็ฉันข้าวอยู่ 3 วัน ลาชาวบ้าน เดินไปเรื่อยๆ พอเข้าป่าจริงๆมันรู้สึกกลัวมาก ไม่รู้เอาพลังมาแต่ไหนเดินแบบไม่พัก เดินจ้ำใหญ่เลย ทั้งที่ๆความคิดว่าตัวเราจะมาตายในป่าภูหลวง พอจะตายจริงมันหาทางเพื่อจะอยู่รอด เดินจนค่ำรู้สึกระบมร่างกายไปหมด และเราเดินไม่ได้พัก
หาไม้มาก่อไฟ แต่เราไม่ได้ภาวนาอะไรล้มตัวลงก็หลับเลย เพราะเหนื่อยมาก

เราเดินอยู่ 2 วันรู้สึกกำลังจะหมดแรง คิดว่าคงตายในป่านี้เป็นแน่แท้ เราเดินเจอผลไม้หล่นอยู่ข้างลำน้ำ
เราหิวมากๆ หยิบขึ้นมาจะกิน เลยถามมันว่า มึงเข้าป่ามาทำไม มึงตั้งใจอุทิศร่างกาย ต่อพระรัตนตรัยใช่หรือไม่
ไหนมึงว่าอยากตาย มึงจะตายหยิบขึ้นมากินทำไม เป็นความตั้งใจของมึงเองไม่ใช่รึ
ตัดสินโยนผลไม้ทิ้ง ไม่ได้กิน แล้วเดินไปเรื่อยๆเจอแต่ขี้ช้างและรอยหมูป่าหากิน นั่งอยู่กำลังหมดอาลัยตายอยาก
กูจะตายเสียแล้วหนอ ใจมันไม่อยากตายแล้ว ทั้งๆที่ก่อนเข้ามาอยากตาย แต่พอจะตายมันก็กลัวตาย ได้ยินเสียงเรียกชื่อเรา เอ๊ะ....ใครเรียกว่ะ เลยเดินจากเขา เห็นเป็นรอยทางคนเดิน ใจมันดีใจมากเจอรอยทางคนเดิน เลยต่อไปตามทางเจอคนมาหาของป่า กลุ่มแรกผ่านไปไม่ทักเราเลย มาคิดโอ๋ย.... พวกนี้ใจดำจังจะถามเราสักคำว่าฉันข้าวหรือยัง จะถามไม่มีเลย เลยเดินเรื่อย เจอ 2 ผัวเมีย หาของป่าเหมือนกัน ถามเราว่าฉันข้าวหรือยัง โอ๊ย!! ใจดีใจมากมีคนถามเลยบอกว่ายังเลยโยม เขานิมนต์เราฉันข้าวกับมะขามเปียก รู้สึกกับข้าวอร่อยที่สุดในโลกใน เป็นกับข้าวสำหรับคนใกล้ตาย หิวมากๆ มันอร่อยแบบนี้นี่เอง ฉันเสร็จ เราให้พร
แล้วเดินมาเจอหัวหน้ากรมป่าไม้ ถามเราว่าเข้าป่ามาได้ไง ด่าเราชุดใหญ่ บอกว่าเจอมีแต่พวกพระปลอมเณรปลอม
แกล้งทำท่ามาเดินธุดงค ์ ที่ไหนได้ในย่ามพกปืน เข้าป่าหายิงสัตว์ เลยมาคิด โอ๋....ถ้าคิดแค่จะฆ่าสัตว์
ไม่ต้องลงทุนห่มจีวรให้เป็นบาปเป็นกรรมต่อตัวเองหรอก บางคนก็ทึ่งมาได้ไง ไม่ถูกสัตว์ทำร้ายรึ
จะมาขอของดีกับเรา เราเฉยเสีย เพราะรู้สึกหน้าโดนตบฉาดใหญ่...........................................

พระธาตุมีจริง


เราก็เดินลัดเลาะตามป่ามาเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้านต่างๆ ปีนั้นจำพรรษาที่น้ำหนาว หนาวสมชื่อ
ฤดูร้อนเดือน 5-6 เช้าๆหมอกลงคลุมพื้นดินยังกะเดินบนเมฆเพลินดี เราขออาศัยอยู่ในเงื้อมถ้ำ เราเริ่มอดข้าวมากขึ้น เพราะชอบอด เวลาหิวจัดๆมันปรุงแต่งจะกินทั้งโลก อยากเอาโลกมาเคี๊ยวซะงั้น
แต่เรารู้สึกการภาวนาของเราไม่ก้าวหน้า พอถึงเวลาทำสมาธิ กำหนดไปรู้สึก ว่าไม่รับรู้
อะไรสักพักหนึ่ง เราจิตจะถอยออกมาเห็นนิมิตต่างๆ ถ้าสงสัยอะไร มันก็จะแสดงให้เห็น แล้วจิตของเราก็ถอยออกมาสู่ปกติจิต ไม่ก้าวไปมากกว่านี้ เราไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร และจะต้องทำยังไง
เรามีโอกาสได้ไปที่จังหวัดอุดร พระที่วัดป่าท่านอัฎฐิของ หลวงปู่หลวงปู่อุ่น ชาคโร ท่านให้เราเอาไปบูชาท่านบอกว่าของดี เลยนำมาบูชาที่กุฎิ เริ่มเห็นสิ่งผิดที่อัฎฐิ เริ่มมีเม็ดสีแดงๆใสๆ ผุดขึ้นรอบอัฎฐินั้น
อัศจรรย์ใจมาก เลยมาคิดถ้าเราเก็บไว้บูชาคนเดียว เราก็คงได้บุญคนเดียว เลยให้ช่างทำผอบไม้ แล้วเอาไปไว้ที่หน้าพระประธาน ในพรรษานั้นภิกษุรูปเกิดอาการเพี้ยน ถอด สบง เหลือแต่กายเปล่าวิ่งขึ้นบนศาลา แล้วล็อกประตูหน้าต่างศาลาทั้งหมด
แล้วขนหนังสือพระไตรปิฎกขนพระพุทธรูปมากองๆแล้วเผาตัวท่านนั่งอยู่ในกองไฟ แต่ไฟยังลุกไม่มาก เผาแต่หนังสือ พระเณรเห็นควันออกจากมาศาลาเลยต้องวิ่งไปงัดประตูศาลา
ท่านตกใจวิ่งลงศาลาหนีเข้าป่า จับตัวท่านได้ ท่านบอกว่าเราสำเร็จอรหันต์แล้ว อรหันต์ไม่ต้องการอะไร แม้ชีวิตก็ไม่ต้องการ พระอาจารย์เจ้าอาวาสต้องพูดกระแทกอารมณ์แรงๆ ให้ท่านโกรธ ใจท่านถึงกลับมาเป็นปกติ
ต้องคอยระวังอาการจะกำเริบ ถามท่านว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ท่านบอกว่าหยิบธรรมอะไรมาพิจารณา
ใจมันรู้สึกโล่งเบา ทุกสิ่งล้วนหาใช่ตัวตน แล้วมีความเห็นผิดว่าเราบรรลุอรหันต์แล้ว กายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา
และไม่ยึดติดอะไร เลยถอดสบงจีวรหมด เปลือยเปล่า และคิดว่าทุกอย่างไม่ใช่ของเรา ควรเข้านิพพาน
เลยจัดการเผาทุกอย่างที่กุฎิ และมาที่ศาลาขนหนังสือพระไตรปิฎกพระพุทธรูป มาเป็นเชื้อเพลิง เผาตัวเองสู่เมืองนิพพาน

ศึกษาชีวิตการอยู่ป่า


เราเริ่มอยากสึกแล้ว ไม่อยากอยู่ในเพศสมณะ อยากไปอยู่คนเดียวในป่า เพราะคิดว่าเพศสมณะไม่ควรถากถาง
ไม่เหมาะในการหากินเอง อยากไปตายในป่าไม่อยากให้เป็นภาระแก่ใคร
เราจะคิดมากเวลาที่เราเจ็บมากๆ ตามร่างกาย อยากไปอยู่ในป่าคนเดียว เริ่มศึกษาชีวิตการอยู่ป่า
ถามคนเฒ่าคนแก่ว่าสมัยก่อน ไม่มีไม้ขีดทำไง อยู่บนเขาทำไมถึงอยู่ได้ อยู่กันยังไงโดยไม่ข้าว เขาก็สอนให้ การปั่นไฟ การดูว่าสิ่งไหนกินได้ กินไม่ได้ ให้สังเกตุว่าพืช ผัก ผลไม้ ว่ามีสัตว์มากินหรือเปล่า พวกกอยมันคัน
ก็ให้เอาแช่น้ำที่ไหล เพื่อจะได้เอาสิ่งคันๆออกไป แล้วใช้เท้าย่ำ ทำอยู่ 3 วัน เอามาหุงกินแทนข้าวได้
ใช้กระบอกไม้ใผ่แทนหม้อ แทนกระติกน้ำ ถ้าอยู่ในป่า น้ำไม่ไหลไปที่อื่น ถ้าน้ำเป็นสีเขียว
ผิดปกติ ก็ไม่ควรจะกิน เพราะน้ำเป็นหินปูน และเราไม่รู้ต้นไม้ไหนที่เป็นสารพิษ มันหล่นตกสะสม กินเข้าไปอาจเกิดอันตรายได้ ถ้าไม่มีจริงๆก็ควรต้มเสียก่อน ปล่อยทิ้งไว้ให้มันตกตะกอน แล้วนำมากรอง เดินในป่าถ้าหิวน้ำให้ดูเคลือเถาวัลย์ เรียกว่าเคลือน้ำ มีทั่วไปในป่า ตัดโคลนก่อน แล้วมาตัดปลาย น้ำจะไหลออก ถ้าแถวนั้นมีกอใผ่ ก็ตัดกอใผ่ ตัดต้นยังไม่แก่ดี มันจะดูดน้ำไปขังที่กระบอกปลายๆตัดกระบอกกินน้ำได้
ถ้าแถวไหนสัตว์เดินผ่านประจำ ไม่ควรอยู่ใกล้เพราะอาจเจอเสือ เดินป่าถ้าทางเราไม่รู้จักไม่ชำนาญ
ให้ทำสัญลักษณ์ด้วย จะได้ไม่หลงให้ฟังเสียงลิงเสียงชนี ถ้าได้ยินเสียงมันร้องแสดงว่าแถวนั้นมีผลไม้ ถ้ามันร้องแบบแตกตื่นแสดงว่ามันเจอเสือเวลาเจอเสือซึ่งหน้าๆ ห้ามวิ่งหนี ให้จ้องตามันไว้ ห้ามกระพริบตาถ้าเจอช้างถ้ามีไฟให้จุดไฟ เพราะพวกช้างกลัวไฟ ถ้ามีบี๊ปให้ตี ถ้าไม่อะไรเลย เวลาวิ่งอย่าวิ่งทางตรง ให้วิ่งเลี้ยวเหมือนงู เวลาเจอหมี ถ้าไม่อาวุธหรือจวนตัวจริงๆ ให้แกล้งตาย อันนี้ไม่รู้จริงหรือเปล่ามันอยู่ในดุจพินิจของท่าน เพราะผมเองก็ไม่เคยประสบพบเจอจังๆ

เจอพระอริยะเจ้าทั้งวัด


เจอมากพระเณรที่ออกบวชด้วยศรัทธา แต่หาบุคคลที่ท่านรู้จริงชี้แนะไม่ได้
บางท่านอุปโลกตัวเองสั่งสอนธรรม เลยทำให้ลูกศิษย์เพี้ยนไปต่างๆนาๆ บางครั้งเจอพระอริยะเจ้าทั้งวัด ท่านบอกบรรลุอรหันต์แล้วลูกศิษย์สำเร็จอนาคามี คนนั้นสำเร็จโสดาบัน การเดินทางของข้าพเจ้าเยอะมากที่เจอแบบนี้เยอะมากแต่ก่อนอาจจะดีใจ ว่าเป็นลาภของเราหนอ เป็นโชคของเราหนอ เราสร้างบุญมาดีหนอ ได้เจอพระอริยะเจ้า
แต่เดวนี้ใจกลับคิดว่าเป็นกรรมของเราหนอ ทำไมชีวิตของเราถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้ซ้ำซาก
เพราะตัวเราก็เคยคิดว่าตัวเอง สำเร็จโสดาบันบ้าง อนาคามีบ้าง อรหันต์บ้าง สาเหตุว่าตัวเราเองสำเร็จขั้นขั้นนี้ เวลาปฎิบัติธรรมใจของเรามันเย็นสบาย ไม่มีอะไมากระทบหยิบยกธรรมอะไรขึ้นมาพิจารณาก็ไหลลื่นเทศน์ได้ทั้งวันทั้งคืน เดินไปไหนมีแต่สุข แต่พออะไรเข้ามากระทบจิตแรงๆก็จะกลับมาสู่ปกติจิต ทำไมเวลาที่พระปฎิบัติเกิดอาการวิปลาส
ต่างๆนาๆ ครูบาอาจารย์ท่านถึงต้องดุด่า ให้กระทบจิตแรงๆ เพื่อต้องการให้ศิษย์กลับมาสู่ปกติจิต
ให้ได้สติ..............................
บางท่านท่านเปิดเผย เพราะมีสาเหตุ ว่าท่านดำเนินมาอย่างไร ปฎิบัติมาอย่างไร เพื่อผู้มาศึกษา
จะได้จำเป็นแบบอย่าง และในการแก้ปัญหาของตัวเองต่อไป...........................
เมื่อปฎิบัติธรรมไม่มีผู้ชี้แนะควรทำอย่างไร อย่าไปตั้งความอยาก ว่าจะสำเร็จอะไร เรามีหน้าที่คือ รักษาจิตให้เป็นปกติจิต ทุกๆขณะจิต ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เราจะเห็นว่าสิ่งนั้นหาใช่ตัวตนไม่
เป็นเพียงอาการของจิต เป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้ที่แสดงออกมาต่างๆนาๆ ให้ย้อนกลับมาที่ผู้รู้
ทำไมครูบาอาจารย์ถึงไม่ให้สนใจนิมิตที่เกิดขึ้น เพราะใจเรายังไม่เป็นกลาง
กระทบดี ใจเราก็หลงไปตามดี กระทบไม่ดี ใจเราก็เศร้าหมอง ใจมันจึงยังหลอก สร้างภาพต่างๆ ตอนที่ใจเราสงบ
นิมิตจึงเป็นของหลอกลวง ท่านไม่ให้สนใจ ย้อนกลับมาจิตคือผู้รู้ เมื่อเราเพ่งออกนอกใจเราเคลิ้มไปตามมัน
แล้วคิดว่าสิ่งนี้ใช่ เลยทิ้งผู้รู้เพี้ยนไปต่างๆนาๆ ให้กลับมาอยู่ที่จิต รักษาจิตให้เป็นกลาง
พิจารณาทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าทำได้แบบนี้ใจเราจะไม่วิปลาส

ทุกข์มากไม่อยากอยู่แล้ว


เรารู้สึกว่าเราทุกข์มาก เพราะเป็นโรคปวดตามเส้น รู้สึกร่างกายระบมไปหมด มีแต่ทุกข์เวทนา
ทำความเพียรก็ยากลำบาก ( เพราะเรายังไม่ได้ศึกษาความเพียรคืออะไร คิดว่าการนั่งสมาธินานๆ นั่นแหละเรียกผู้มีความเพียร ) มีความท้อแท้ใจ เราอยู่เพื่ออะไร มีแต่ทุกข์ หากเราเกิดเป็นอัมภาตใครจะดูแลเรา ต้องเป็นภาระของคนอื่น อย่ากระนั้นเลยเราควรทำความเพียรครั้งสุดท้าย เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเถอะ
เลยดูแผนที่ว่า ที่ไหนเหมาะแก่การทำความเพียรครั้งสุดท้าย ดูแผนที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรนี่แหละเหมาะ
เพราะป่าใหญ่ ป่าที่แล้วๆมามันเล็ก เราถึงออกได้ เลยมุ่งหน้าที่จังหวัดกาญจน์ ไปพักหมู่บ้านกระเหรี่ยง
เพื่อจะถามทางว่า ทางไหนที่เราจะเข้าป่าได้ ไม่ต้องผ่านกรมป่าไม้ ชาวบ้านก็ชี้ทางให้
เลยคิดว่าก่อนที่เราจะตายควรไปกราบ เจดีย์สามองค์ เจอสามเณรด้วย 1 รูปขอไปด้วย นั่งรถไปลงเจดีย์ 3 องค์
พอไปถึงต้องแปลกใจ เจดีย์ 3 องค์เล็กและอยู่ริมถนน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปกราบ เลยเดินหาวัดกระเหรี่ยงเพื่อขออาศัยนอนด้วยที่วัดมีถ้ำ ขอท่านเจ้าอาวาสขออาศัยในถ้ำท่านไม่ให้อาศัย ให้พักในกุฎิ และเราก็ได้สนทนากับพระว่า เส้นทางไหนบ้างที่จะเข้าทุ่งใหญ่ได้ ท่านก็ชี้ทางให้เป็นทางไปน้ำตกและจะมีทางคนเดินไปเรื่อยๆ ท่านบอกอย่าไปเลยมีคนหลงป่าตาย บางคนก็เป็นไข้ป่าตาย เพราะเชื้อมันแรงมาก สามเณรอีกองค์กลัว บอกว่าจะกลับบ้านที่ชัยนาท
เราเลยต้องเดินไปคนเดียว ใจเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าตลอด นี่คือชีวิตครั้งสุดท้ายแล้ว ที่ข้าพเจ้าจะถวายสังขารร่างกายนี้บูชาต่อพระรัตนตรัย พุทโธ เมนาโถ ธัมโม เมนาโถ สังโฆเมนาโถ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า

อยากตายแต่กลัวตาย


ไม่ได้กำหนดว่าจะไปไหน จะทำอะไร คิดแต่ว่าเราจะเดินกำหนดจิตไปเรื่อยๆ จะตายก็ตาย ดูใจตัวเอง พอมันรู้ว่ามันจะตายจริงๆ มันรีบเดินเผื่อจะเจอบ้านคน เดินแบบจ้ำอ้าว เดินจน มืดพอดี หาที่พัก
รู้สึกร่างกายเราระบมไปหมด ปวดไปหมด หาที่พักได้ข้างลำน้ำ รู้สึกอากศหนาวมาก เราปวดตามร่างกายอยู่แล้ว
พอโดนความหนาวเข้าไปรู้สึกปวดเท่าทวีคูณ กางกลด ฝนเริ่มตก รู้สึกหนาวทรมานมาก ต้องนอนใต้กลดน้ำก็ไหลผ่าน โอหนอ...ชีวิตกูนี่ทำไมมันทรมานแบบนี้ กูทำกรรมอะไรมาหนอ คิดไปน้ำตาก็ไหลไป สงสารตัวเอง ฝนหยุดตกรู้สึกมีเสียงดังมาก เดินตามลำน้ำมา โอ๊ย..... ความกลัวสุดขีดในชีวิต ผมเริ่มตั้ง ขนก็ตั้ง จะตายจริงๆหรือ แผ่เมตตา บัดนี้ข้าพเจ้ามาปฎิบัติธรรม เพื่อบูชาต่อพุทธเจ้าขอท่านจงหลีกทางแก่ข้าพเถิด ตัวเราเริ่มสั่น เลยสวดอิติปิโส สวดแบบถี่ยิบ ไม่รู้นานแค่ไหนรู้สึกอีกทีเช้าแล้วสวดจนหลับไป ตื่นขึ้นมา รู้สึกทรมานมาก รู้สึกปวดไปหมด เริ่มหิวข้าว ไปไหนดีว่ะ เก็บของเดินจนถึงหมู่บ้านไล่ป้าเป็นหมู่บ้านกระเหรี่ยง เห็นพระธุดงค์ 3-4 องค์ กำลังบิฑบาตรท่านเรียกให้มาบิฑบาตรด้วย โอหนอ...กูอุตส่าห์เข้าป่าเพื่อจะมาตายแท้ๆ ยังมีหมู่บ้านกระเหรี่ยงอีก แล้วกูจะไปไหนดีนี่ เลยฉันข้าวเช้าที่นี่ พระท่านชวนให้ร่วมทางด้วย เราบอกว่าข้าพเจ้าไม่ไปดอก ชอบเดินคนเดียว
ฉันข้าวเสร็จเดินมุ่งหน้าต่อ จนถึงหมู่บ้านวาชุคุ หมูบ้านกระเหรี่ยง คนพูดไทยได้มาก เพราะพระเดินธุดงค์จะผ่านที่นี่มากและมีพระอยู่ที่นี่ 10 กว่าองค์ เดินธุดงค์มาพัก


พอถึงวัดวาชุคุเห็นพระอาจารย์เสถียร สมาจาโรที่ท่านมรณะภาพอัฎฐิท่านกลายเป็นพระธาตุ เรามองดูว่าตัวเรา
มีอะไรบ้างที่จะบูชาต่อท่านได้ เห็นในย่ามมีลูกแก้วพยานาคที่พระท่านมาติดตัว เลยน้อมถวายบูชาต่อท่าน แล้ว
เราก็ลาท่านอาจารย์ที่วัดวาชุคุ มีภิกษุรูปหนึ่งให้ผ้าอังษะเรามา 1 ผืน เดินข้ามเขาไปจังหวัดตากเจอสัตว์ป่าเยอะมาก เก้งกวาง หมูป่า ถึงหมู่บ้านกระเหรี่ยงที่นี่สาวน่ารักมาก ผิวสวย อมชมพู ใส่ชุดขาว ไม่มีชุดใน เวลาเจอแดดทำให้เกิดความหนัดมาก เพราะแดดมันส่องทำให้เห็นหุ่นข้างใน บางคนก็เดินเปิดนม ตอนนี้ใจเราอยากสึกอยากมีเมีย ใจปรุงแต่งเตลิด ความอยากตายหายไป คนที่นี่จะรักษาศิลกันวันพระ ทั้งหมู่บ้าน เขาจะเคาะไม้ จะมาชุมนุมกันจะมีคนแก่เล่านิทาน เราเลือกนอนที่ถ้ำ ในถ้ำ จะมีหินที่เกิดขึ้นเอง คล้ายเจดีย์ ชาวบ้านจะมาบูชากันทุกวันพระ เลยน้อมถวายอังสะที่พระท่านให้มาพันเจดีย์ แล้วอธิฐานหากข้าพเจ้าไม่อาจทำให้แจ้ง ซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ได้ เมื่อเกิดภพใดชาติใด ขอให้ข้าพเกิดเป็นนักปราชญ์ เป็นบัณฑิต เป็นถึงพร้อมด้วยศิล สมาธิ ปัญญา เมื่อใดเป็นชาติสุดท้าย ขอให้ข้าพเจ้าบรรลุ วิชชา3 จตุปฏิสัมภิทาญาณ 4 อภิญญา6 และขอให้ข้าพเจ้าบรรลุ หลังพุทธเจ้าปรินิพพาน พระธรรมเสื่อมถอย เมื่อนั้นขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ฟื้นฟูพระศาสนา ยังพระสัทธรรมให้รุ่งเรืองเถิด..........................
อยู่ในถ้ำจิตเราเข้าสมาธิดีมาก ที่นี่อาหารไม่ค่อยถูกกับเรา กินแล้วท้องเสีย เพราะชาวบ้านจะนำลิง ค่าง ชะนี
ฆ่าแล้วมาหมักทำคล้ายปลาร้า ตอนเช้าก็ต้มกับข้ามต้มมาให้ฉัน รู้สึกปวดท้องมาก วันไหนมีมาม่าถือว่าลาภปาก
พักอยู่ 7 วันเลยถามชาวบ้านว่าทางไหนไม่มีหมูบ้านคน ชาวบ้านชีทางให้ว่าไปเขาบันใดต้องใช้เวลาเดิน 3 วันถ้าคนรู้ทาง ถ้าไม่รู้อาจหลงตาย เพราะมีคนหลงตายมามากต่อมาก พอได้ฟังเราคิดว่านี่แหละป่าที่เราจะไป เลยลาชาวบ้านมุ่งหน้าไปเขาบันใด ป่ารกมากทางที่เดินหายไป มีแต่ป่าหนาม เดินวนอยู่ที่เก่าเพื่อทาง จนหิวน้ำ เลยหาผ้ากรองน้ำที่พกติดตัวเสมอ ผ้ากรองน้ำหาย เราใช้กรองน้ำฉันเสมอ กำผ้าหาย เลยเดินหาผ้ากรองน้ำ เดินกลับมาจนถึงหมู่บ้านกระเหรี่ยง ตกอยู่ข้างหมู่บ้าน เลยนอนที่ในป่าหมู่กระเหรี่ยง


เช้าขึ้นมาเลยมานึกเราควรจะบำเพ็ญศิลสมาธิปัญญาให้มากขึ้น ที่นี่มีไข้มาลาเรียเยอะอยู่แล้ว เราจะจำพรรษาที่กระเหรี่ยง ถ้ามันไม่ดีก็ให้มันตาย ลาชาวบ้านหาหมู่บ้านและป่าเหมาะๆ ที่จะจำพรรษา เดินข้ามเขาเห็นเจดีย์บนเขาที่กระเหรี่ยงทำขึ้น เลยหยุดทำความสะอาด
ปัดกราดเจดีย์ ทำจนเสร็จค่ำพอดี เลยคิดว่าคืนนี้เราจักปฎิบัติบูชาต่อพุทธเจ้ามีดอกจำปา เยอะเลยเก็บมาบูชาและจุดเทียนรอบเจดีย์ บูชาพระรัตนตรัย อธิฐานขอให้ข้าพเจ้าเป็น ผู้รุ่งเรืองแล้วในศิลสมาธิปัญญาทั้ง4 ทิศเถิด ตั้งใจว่าจะไม่นอน ทำความเพียรได้ไม่นาน กำเจ้าเอ๋ย........... โรคปวดเกิดขึ้นอีกแล้ว รู้สึกร่างกายของเราไม่ไหวแล้ว เลยล้มตัวนอนเสียงนกในป่า เสียงสัตว์ ร้องน่ากลัวมาก ใจเรารู้สึกเริ่มกลัว เพราะแถวนั้นไม่มีบ้านคน ภาวนาจนหลับไปถึงเช้าตื่นขึ้นได้ยินเสียงชนีเสียงลิงร้องกันระงม พวกกวางเยอะมาก ออกหากิน เดินจนเที่ยงถึงหมู่บ้านกระเหรี่ยง เจอภิกษุ 2 รูปท่านอยู่ในป่าอยู่แล้วเลยขออยู่ด้วย อยู่ที่นี่อาหารไม่ถูกกับร่างกายของเรามาก น้ำหนักลดทุกวัน ท้องเดิน วันละหลายรอบอาหารเป็นพิษ เราจะตายแล้วจริงหนอ พระอาจารย์ท่านมียา ให้ยามาฉันรู้สึกเริ่มดีขึ้น พอหายก็เป็นไข้มาราเลียอีก

กำหนดเวทนา รู้สึกไม่ไหวประสาทเริ่มหลอน เห็นภาพต่างๆนาๆ รู้สึกหนาวถึงกระดูก กินอะไรเข้าไปอ๊วกออกหมด
จะตายจริงๆหรือนี่ ระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ จนผล่อยหลับไปหมอกระเหรี่ยงเอายาจากกรมป่าไม้ มาให้ฉัน รู้สึกร่างกายเริ่มดีขึ้น รู้สึกกินอะไรเข้าไปไม่มีแรง ต้องคอยกินน้ำตาล
เพื่อจะให้ร่างกายมีแรงขึ้นบ้าง จำพรรษาที่นี่ แต่ใจไม่ค่อยสงบ เพราะพวกกระเหรี่ยงชอบเข้ามาวัด ทำให้เราเกิดราคะขึ้นมาก จิตคิดไปต่างๆ เลยอดข้าวอยู่ 7 วัน วันที่ 7 กำหนดร่างกายโดยพิงเสา สักพักรู้สึกเหมือนตัวเอง
ลอยอยู่เหนือศาลา แล้วลอยมาตรงกองกระดูก ที่นอนทับถมอยู่ในป่าช้า
สักพักจิตก็ถอยมาปกติจิต ออกมาฉันข้าวรู้สึกเราฉันข้าวมาก พอฉันเสร็จรู้สึกปวดท้องมากๆ โอย........กูจะตายแน่แล้ว กำหนดดูเวทนาและระลึกถึงพระรัตนตรัยอาการปวดเริ่มหายไป....................


พระผู้ปฎิบัติดี


ในพรรษา มีภิกษุอีกรูปหนึ่ง ท่านแยกออกไปจำพรรษาทางฝั่งอุ้มผาง ท่านเกิดเป็นไข้มาราเลีย ท่านเล่าว่า ชีวิตของท่านไม่รอดแล้ว เพราะไม่หยูกยาอะไรอะไร ออกมาข้างนอก ก็ออกมาไม่ได้ เพราะหน้าฝน ถนนหนทางถูกตัดขาด คืนนั้นท่านคิดว่า ท่านไม่รอดจากไข้มาราเลียได้แล้ว ท่านกำหนดพิจารณาร่างกาย เห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาจนถึงเช้า โดยไม่ออกจากสมาธิ ไข้มาราเลียท่านหายไป และท่านบอกว่าท่านได้สิ่งที่ประเสริฐเลิศโลกมาด้วย เราฟังก็พลอยได้อนุโมทนาสาธุกับท่าน ต่างจากเรา พอไข้มาราเลียมาเยือน สมองเพ้อไปต่างๆ นาๆ

ในพรรษาภิกษุอีก 1 รูปท่านแยกไปจำพรรษาฝั่งพม่าอยู่รูปเดียวกลางพรรษาชาวบ้านบอกว่าให้ไปดูพระท่านหน่อย พูดอยู่องค์เดียวทั้งวันเลยไปรับท่านมา ท่านบอกว่ากำลังคุยกับอาจารย์ที่อินเดียคุยทั้งวัน อาการของวิปลาส เพ้อไปต่างๆนาๆ พอท่านมาอยู่ด้วย ท่านก็หนีเข้าป่าตามหาตัวกันจ้าละหวั่น กลัวว่าจะโดนเสือคาบไปกิน
เจอในถ้ำแอบอยู่คนเดียวนั่งคุยกับอาจารย์ดูแล้วน่าเวทนามาก พระต้องคอยดูแลท่านอย่างใกล้ชิด
อยู่ในป่ามันเงียบมาก เพราะในป่าไม่เครื่องเสียงไม่มีอะไรมีแต่เสียงสัตว์ ป่าทึบมาก ถ้าไม่มีเครื่องอยู่ ไม่มีสติที่ตั้งมั่น ย่อมแสดงอาการออกมาต่างๆได้ๆ ในพรรษาความเพียรในการเดินจงกรม นั่งสมาธิน้อยมาก เพราะรู้สึกปวดหลังมาก
คิดว่าเราจะสึกดีกว่า เราอยู่แบบนี้ไม่สมเป็นศิษย์ตถาคตเลย พอออกพรรษา ท่านอาจารย์ชวนไปตั้งวัด ก็เดินไปที่พม่า เห็นหมู่บ้านเหลือแต่ตอชาวบ้านเหลือไม่กี่คนไม่รู้จะไปไหน เพราะโดนทหารพม่าไล่ยิง ผู้หญิงบางคนก็โดนข่มขืน แล้วก็เผาหมู่บ้าน จะเข้ามาประเทศเทศไทย ทหารก็ผลักไม่ให้เข้า จะกลับไป ทหารพม่าก็ยิง ที่วัดยังมีรอยกระสุนที่ทหารพม่ายิงกราดใส่ เลยไม่รู้จะไปไหนไม่มีที่ไปไปหลบตามป่า พอดูเหตุการณ์สงบก็ออกมาสร้างบ้านขึ้นใหม่ เพราะไม่รู้จะไปไหนท่านอาจารย์ท่านต้องการเป็นหลักของชาวบ้านเลยไปทำวัดใหม่ ลาท่านอาจารย์กลับมาบ้าน การทำความเพียรของเรามันน้อยมาก ไม่สมกับเป็นนักปฎิบัติเลย เราไปอยู่เพศฆารวาส สั่งสมบารมีดีกว่า กลับมาที่บ้านเลยสึก

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... t&group=20


แก้ไขล่าสุดโดย ขอนไม้แห้ง เมื่อ 11 ต.ค. 2011, 23:47, แก้ไขแล้ว 8 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2011, 16:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ดี ดี ดี เป็นการนำเสนอประสพการณ์ที่ดี

smiley smiley smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2011, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านจนจบ เพลินดีครับ
ไม่รู้ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 00:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่น่าจะเป็นสมัยนี้เพราะว่าความอุดมสมบูรณ์ของป่าแทบไม่เหลือให้เห็น
อนุโมทนาครับ กิจของเราคือตั้งใจศึกษาต่อไป ไม่ถอยหลังเช่นกัน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 14:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ระหว่างที่รอ

เชื่อมั๊ย ว่าครั้งหนึ่งเมื่อตอนเริ่มปฏิบัติสมาธิใหม่ ๆ
เอกอนเคยสนทนาธรรมกะ ทิด ท่านหนึ่ง ที่บวชมากว่า 20 ปี
แต่ก็ลาสิกขาออกมาแต่งงาน
สนทนาเรื่องการปฏิบัติ และเอกอนเคยหลุดความเห็นหนึ่งออกมาว่า
"ถ้าหากว่าทุกคนรู้ว่านิพพานเป็นอย่างไรแล้วจะไม่มีใครอยากไป" ... :b14: :b14:

โหยยยย ทันทีที่จบประโยค ทิดท่านนั้น เลิกคิ้วมองอย่างเป็นเรื่องทันที
และผู้ที่อยู่ในวงสนทนาด้วยกันในตอนนั้นท่านหนึ่ง ก็ถลึงตามองทันที

อิอิ
อ้าวววว นี่ความเห็นมันออกแววเพี้ยนอีกแย๊ววววว :b9: :b9:

ทำไม นะ ทำไม อิอิ

คือนึกถึงภาพ ผู้ที่ยังชมชื่นอยู่ในกองตัณหา ปราถนา เสพคุ้น สิ่
และ นึกถึงภาพ นรก สวรรค์ นิพพาน ที่ผู้ที่ยังชื่นชมอยู่ในกองตัณหา คิดว่าเป็นไปสิ่
และ นึกถึงภาพ นิพพาน ตามคำสอนของพระพุทธองค์

มันเป็นไปในทางเดียวกันตรงไหนล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มังกรน้อย ...สบายดีไหม s006

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 15:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
มังกรน้อย ...สบายดีไหม s006


จ้า สงสัยความเพี้ยนของเอกอนตรงไหน จ๊ะ
สงสัย ถามได้ เอกอนจะตอบท่านเช่นนั้นให้หายสงสัย

เพราะ เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็น เรื่องราวในอดีตเกือบจะยี่สิบปีแย๊วน่ะ
แต่ก็จำได้ ว่าทำไมจึงมีความเห็นเช่นนั้น ๆ ออกมาได้อย่างไร
อิอิ หง่ะ


:b16: :b16: :b16:

:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มังกรน้อย

เอิ๊กๆๆ... ถามเฉยๆ น่ะ
ไม่ได้ทักทายกันนานล่ะ........
v
v
onion

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิภาวนา เจริญให้มาก ทำให้มาก ย่อมให้ผลอย่างไร?

สมาธิภาวนา เจริญให้มากทำให้มาก ย่อมมีอานิสงส์ 4 ประการ
๑. สมาธิภาวนาที่ผู้ปฎิบัติธรรมอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรมมีอยู่ ฯ (คือให้ความเป็นอยู่สุขในปัจจุบันทันตาเห็น)

๒. สมาธิภาวนาที่ผู้ปฏิบัติธรรมอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะมีอยู่ ฯ

๓. สมาธิภาวนาที่ผู้ปฏิบัติธรรมอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติและสัมปชัญญะมีอยู่ ฯ

๔. สมาธิภาวนาที่ผู้ปฏิบัติธรรมอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายมีอยู่ ฯ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิบัติธรรม แล้วเพี้ยน

หรือ ผู้ปฏิบัติในไตรสิกขา แล้วเพี้ยน

หรือ ไม่ได้ปฏิบัติธรรม แต่คิดว่าปฏิบัติธรรม แล้วเพี้ยน

หรือ อะไร ต่างๆ อีกล่ะ

ขอบคุณขอนไม้แห้ง จ้ะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 15:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ระหว่างที่รอ
"ถ้าหากว่าทุกคนรู้ว่านิพพานเป็นอย่างไรแล้วจะไม่มีใครอยากไป" ... :b14: :b14:


ตรงนี้เหร๋อ
....
ก็ตรงนี้ไง

eragon_joe เขียน:
คือนึกถึงภาพ ผู้ที่ยังชมชื่นอยู่ในกองตัณหา ปราถนา เสพคุ้น สิ่
และ นึกถึงภาพ นรก สวรรค์ นิพพาน ที่ผู้ที่ยังชื่นชมอยู่ในกองตัณหา คิดว่าเป็นไปสิ่
และ นึกถึงภาพ นิพพาน ตามคำสอนของพระพุทธองค์
มันเป็นไปในทางเดียวกันตรงไหนล่ะ


เหมือนคนที่ยังเสพสุขอันเนื่องมาจากการคอยสนองตัณหา เป็นประหนึ่งของหวาน
นิพพานในมุมมองเขา ก็จะสอดคล้องกับความสุขอันเนื่องมาจากการสนองตัณหา

แต่นิพพานตามที่เอกอนเข้าใจตอนนั้น เป็นของขมสำหรับความเห็นนั้น น่ะ

:b12: :b12: :b12:

แต่ตอนนั้นสงสัยจะใช้คำพูดแรงไป หง่ะ :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 15:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่แรงหรอก มังกรน้อย

เป็นอย่างนั้น ล่ะ สำหรับ บุคคลผู้บริโภคกาม อย่างอเร็ดอร่อย ล่ะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 15:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่งอ่านมาหลายรอบ
ยิ่งเห็นความสำคัญของ

กัลยาณมิตร ผู้เป็นผู้รู้ผู้เห็นที่ถูกต้อง
และ
ปริยัติ ที่ต้องศึกษาเล่าเรียน ให้ถ้วนถี่

เพื่อนำไปเป็นคลองธรรม สู่สัมมาปฏิบัติ

ผู้เขียนกระทู้นี้ ....สำแดงออกมาอย่างเปิดเผย และชัดเจน

smiley

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2011, 00:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตใจแข็งแกร่งพอใช้

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2011, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2011, 10:28
โพสต์: 439


 ข้อมูลส่วนตัว




567.jpg
567.jpg [ 33.53 KiB | เปิดดู 7488 ครั้ง ]
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สรรพสิ่งทุกอย่าง ล้วนมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

.................................................................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเหตุและผลอยู่ในตัว
การกระทำของตนย่อมเป็นกรรมที่ตนกำหนดเอง
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 53 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร