วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 13:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2011, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุพเพกตเหตุวาท- ลัทธิกรรมเก่า ถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวง ที่ประสบในบัดนี้ เป็นเพราะกรรมเก่า
ที่ทำไว้ในปางก่อน (past-action determinism) เรียกสั้นๆว่า ปุพเพกตวาท



Quote Tipitaka:
. สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็
ดี อย่างหนึ่งใดก็ตาม ที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะกรรมที่กระทำไว้ในปางก่อน
(ปุพฺเพกตเหตุ)




Quote Tipitaka:
เราเข้าไปหา (พวกที่ 1) แล้วถามว่า “ทราบว่า ท่าน
ทั้งหลายมีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้...จริงหรือ ?” ถ้าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว รับว่า จริง
เราก็กล่าวกะเขาว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็จักต้องเป็นผู้ทำปาณาติบาต เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ
จะต้องเป็นผู้ทำอทินนาทาน เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ จะต้องเป็นผู้ประพฤติอพรหมจรรย์...
เป็นผู้กล่าวมุสาวาท...ฯลฯ เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุน่ะสิ”
“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลยึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดี ว่า
“สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี เมื่อไม่กำหนดถือเอาสิ่งที่ควรทำและสิ่งนี้ไม่ควรทำ โดยจริงจัง
มั่นคงดังนี้ สมณพราหมณ์พวกนี้ ก็อยู่กับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา จะมีสมณวาทะที่ชอบธรรม
เฉพาะตนไม่ได้ นี้แล เป็นนิคหะอันชอบธรรมอย่างแรกของเราต่อสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะ




Quote Tipitaka:
(ปุพฺเพกตเหตุ) เป็นลัทธิของนิครนถ์ ดังพุทธพจน์ว่า


“ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า “สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดที่
บุคคลได้เสวย ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะกรรมที่ตัวทำไว้ในปางก่อน โดยนัยดังนี้ เพราะกรรมสิ้นไปด้วยตบะ ไม่ทำกรรมใหม่ ก็จะไม่ถูกบังคับต่อไป เพราะไม่ถูกบังคับต่อไป ก็สิ้นกรรม เพราะสิ้นกรรม ก็สิ้นทุกข์ เพราะสิ้นทุกข์ ก็สิ้นเวทนา เพราะสิ้นเวทนา ก็จักเป็นอันสลัดทุกข์ได้หมดสิ้น ภิกษุทั้งหลาย พวกนิครนถ์
มีวาทะอย่างนี้” (ม.อุ.14/2/1)


พุทธพจน์อีกดังนี้

“ดูกรสิวกะ เวทนาบางอย่างเกิดขึ้น มีดีเป็นสมุฏฐานก็มี ฯลฯ เกิดจากความแปรปรวนแห่งอุตุก็มี ...
เกิดจากการบริหารตนไม่สม่ำเสมอก็มี...เกิดจากถูกทำร้ายก็มี...เกิดจากผลกรรมก็มี ฯลฯ สมณพราหมณ์
เหล่าใด มีวาทะมีความเห็นอย่างนี้ว่า “บุคคลได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี
ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดี เวทนานั้นเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้ในปางก่อน” เรากล่าวว่า เป็นความผิดของ
สมณพราหมณ์เหล่านั้นเอง”
(สํ.สฬ.18/427/294)



ปัจจุบันมีผู้นำเรื่องกรรมเก่ามาแสดงผิดอย่างมากมายเช่น

ให้เชื่อเรื่องลัทธิกรรมเก่าอย่างสุดขั้ว อย่างเช่นการแก้กรรม สะแกนกรรม จนลื่มหลักพุทธธรรม





.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2011, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลักกรรมสำหรับคนสมัยใหม่
โ ด ย : พระธรรมปิฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต )

"มีปัญหาที่ท่านถามมาหลายข้อด้วยกัน ปัญหาหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องบุพเพกตวาทเป็นเรื่องที่
ถามในหลักนี้ น่าจะตอบ ถามว่า ทารกที่คลอดมา บางครั้งมีโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ หรือถือ
กำเนิดในครอบครัวที่ลำบาก ขาดแคลน ถ้าไม่อธิบายในแนวบุพเพกตวาทแล้ว เราควรอธิบาย
อย่างไรให้เข้าใจง่าย

ในการตอบปัญหานี้ ต้องพูดให้เข้าใจกันก่อนว่า การปฏิเสธบุพเพกตวาทไม่ได้หมายความว่า
เราถือว่ากรรมเก่าไม่มีผล แต่ลัทธิบุพเพกตวาท ถือว่าเป็นอะไรๆก็เพราะกรรมเก่าทั้งสิ้น เอาตัว
กรรมเก่าเป็นเกณฑ์ตัดสินโดยสิ้นเชิง ฉะนั้นทำอะไรก็ไม่มีความหมาย เพราะแล้วแต่กรรมเก่า
ต่อไปจะเป็นอย่างไร กรรมเก่าก็ให้เป็นไป ทำไปก็ไม่มีประโยชน์ นี้คือลัทธิกรรมเก่า แต่ในทาง
พระพุทธศาสนา กรรมเก่านั้น ท่านก็ถือว่าเป็นกรรมอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นแล้วมีผลมาถึงปัจจุบัน

ทีนี้มาถึงเรื่อง ที่เด็กคลอดออกมา มีโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ เกิดในครอบครัวที่ลำบากขาดแคลน
นี้เราสามารถอธิบายด้วยเรื่องกรรมเก่า ตามหลักกรรมนิยมได้ด้วย และอธิบายตามหลักนิยาม
อื่นๆ ด้วย เช่น ในด้านพีชนิยามว่า พ่อแม่เป็นอย่างไรในส่วนกรรมพันธุ์ เพราะกรรมพันธุ์เป็น
ตัวกำหนดได้ด้วย ถ้าพ่อแม่มีความบกพร่องในเรื่องบางอย่าง เช่นเป็นโรคเบาหวาน ลูกก็มีทาง
เป็นไปได้เหมือนกัน นี้พีชนิยามส่วนกรรมนิยาม ถ้าจะอธิบายออกมาในรูปที่ว่าความเหมาะสม
ของคนที่จะมาเกิด กับคนที่จะเป็นพ่อแม่ มันเหมาะกัน ในแง่กรรมก็สงเคราะห์ตรงนี้ ทำให้มา
เกิดเป็นลูกของคนนี้ และมีความบกพร่องตรงนี้ โดยมีพีชนิยามเข้ามาประกอบช่วยกำหนด
สำหรับกรณีที่มาเกิดในครอบครัวที่ลำบากขาดแคลน ถ้าเราจะยกให้เป็นเรื่องกรรมเก่า ก็ตัด
ตอนไป ในเมื่อเขาเกิดมาแล้วในครอบครัวอย่างนี้ เราก็ตามไม่เห็น แต่ก็ต้องตัดตอน ไปว่าทำ
กรรมเก่าไม่ดี จึงมาเกิดในครอบครัวขาดแคลนแต่เมื่อเกิดแล้วตามกรรม ที่ถูกต้องก็ต้องคิดไป
อีกว่า เพราะเหตุที่เกิดในครอบครัวขาดแคลน แสดงว่าเรามีทุนเก่าที่ ดีมาน้อย ก็ยิ่งจะต้อง
พยายามทำกรรมดีให้มากขึ้น เพื่อจะให้ผลต่อไปข้างหน้าดี ไม่ใช่คิดว่าทำกรรมมาไม่ดีก็ต้อง
ปล่อยแล้วแต่กรรมเก่าจะให้เป็นไป ถ้าคิดอย่างนี้ก็ไม่ถูก

แต่ในทางที่ถูก จะต้องคำนึงให้ครบทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ ในเมื่อกรรมเดิมมีมาไม่ดี ก็ยิ่ง
ทำให้จะต้องมีกำลัง มีความเพียรพยายามแก้ไขปรับปรุงเช่นถ้าหากคนที่เขาเกิดมาร่ำรวยแล้ว
เขามีความเพียรพยายามเพียงเท่านี้ เขาก็สามารถประสบความสำเร็จก้าวหน้าได้ เราเกิดมาใน
ตระกูลที่ขาดแคลนเราก็ต้องยิ่งมีความเพียรพยายามให้มากกว่าเขาอีกมากมาย เราจึงจะมีชีวิต
ที่เจริญก้าวหน้าได้ ต้องตั้งจิตอย่างนี้จึงจะถูกต้องในส่วนที่เป็นกรรมเก่านี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้
อย่างนี้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ ชื่อว่า กรรมเก่า"

กรรมเก่าก็คือ สภาพชีวิตที่เรามีอยู่ในปัจจุบันขณะนี้ สภาพชีวิตของเราก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย
ใจ ที่เป็นอยู่ มีอยู่นี้ คือกรรมเก่า คือผลจากกรรมเท่าที่เป็นมาก่อนหน้าเวลานี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะ
ได้ทำอะไรมา สั่งสมอะไรมา ก็รวมอยู่ที่นี้กรรรมเก่ามีเท่าไร ก็เรียกว่ามีทุนเท่านั้น จะทำงาน
อะไรก็ตาม จะต้องมองดูทุนในตัวก่อน เมื่อรวมทุน รู้กำลังของตัวถูกต้องแล้ว ก็เริ่ม งานต่อไป
ได้ ถ้าเรารู้ว่าทุนของเราน้อย แพ้เขา เราก็ต้องพิจารณาหาวิธีที่จะลงทุนให้ได้ผลดีบางคนทุน
น้อย แต่มีวิธีการทำงานดี รู้จักลงทุนอย่างได้ผล กลับได้ประสบความสำเร็จดีกว่าคน ที่มีทุน
มากก็มี

ฉะนั้น แม้ว่ากรรมเก่าอาจจะไม่ดี คือร่างกาย ตลอดจนสภาพชีวิตทั้งหมดของเราไม่ดี แต่เรา
ฉลาดและเข้มแข็ง ไม่ท้อถอย เราก็พยายามปรับปรุงตัว หาวิธีการที่ดีมาใช้ ถึงแม้ทุนไม่ค่อยดี
มีน้อย ก็ทำให้เกิดผลดีได้ กลับบรรลุผลสำเร็จ ก้าวหน้ายิ่งกว่าคนที่ทุนดีด้วยซ้ำไป ส่วนคนที่ทุน
ดีนั้น หากรู้จักใช้ทุนดีของตัว ก็ยิ่งประสบความสำเร็จมากขึ้น บางคนทุนดี แต่ไม่รู้จักใช้ มัวเมา
ประมาทเสียก็หมดทุน กลับยิ่งแย่ลงไปอีก

ดังนั้น การปฏิบัติที่ถูกต้อง จึงไม่ใช่มัวท้อแท้ ท้อถอย อยู่กับทุนเก่าหรือกรรมเก่ากรรมเก่านี้
ถือเป็นทุนเดิม ซึ่งจะต้องกำหนดรู้ แล้วพยายามแก้ไข ปรับปรุงส่งเสริมเพิ่มพูนให้ดี ให้ก้าวหน้า
ยิ่งๆ ขึ้นไป"

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2011, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หนังสือ อริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคต้น ของท่านพุทธทาส (หน้า ๓๓๕)

“ เพราะอาศัยซึ่งจักษุด้วย ซึ่งรูปทั้งหลายด้วย, จึงเกิดจักขุวิญญาณ ; การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (จักษุ + รูป + จักษุวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัสะอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้”

(ในกรณีแห่ง โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ มนะ ก็ได้ตรัสไว้โดยนัยอย่างเดียวกันกับกรณีแห่งจักษุ)

สฬา.สํ.๑๘/๑๑๑/๑๖๓

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2011, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ส.ค. 2010, 13:02
โพสต์: 129

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุค่ะ

.....................................................
ชีวิตที่เหลือ ขออยู่เพื่อธรรมะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2011, 12:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
mes เขียน
“ เพราะอาศัยซึ่งจักษุด้วย ซึ่งรูปทั้งหลายด้วย, จึงเกิดจักขุวิญญาณ ; การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ (จักษุ + รูป + จักษุวิญญาณ) นั่นคือผัสสะ ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ; เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัสะอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้”

อนุโมทนาครับ
สัตว์โลกทั้งหลาย ย่อมตกอยู่ในสภาพของความเหมือนอย่างเท่าเทียมกัน ภายใต้กฏของพระไตรลักษณ์ ย่อมปรากฏออกมาคือความเสื่อมลงของสังขาร ธรรมที่ใครไม่อาจครอบครองได้ เท่าเทียมกัน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2011, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาสาธุครับคุณmes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2011, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=V5wcxi7JvNU&feature=related[/youtube]

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2011, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว





ทำให้ govit เรื่องอื่นๆก็ว่ากันไปตามอัธยาศัย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2011, 18:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ทุกท่าน


กรัชกาย เขียน:



ทำให้ govit เรื่องอื่นๆก็ว่ากันไปตามอัธยาศัย :b1:


ท่านคือผู้ที่มี

อ(สังหา)ภิญญา)ครับ

สังขารที่ท่านปรุ่งแต่งมี

เหล็กหินและปูนเป็นอิทัปปัจจยตาครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2011, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อานิสงส์ของการสร้างพระธรรมกายประจำตัว

1. ทำให้กำลังใจสูงส่ง และมีอานุภาพที่เกิดจากอำนาจพุทธคุณ แผ่คุ้มครองป้องกันภัย สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ โดยง่าย
2. ทำให้เกิดในตระกูลสูง เป็นตระกูลสัมมาทิฏฐิ เป็นที่เคารพกราบไหว้ของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
3. ทำให้เป็นผู้ที่มีรูปร่างงาม ผิวพรรณวรรณะผ่องใส ร่างกายได้สัดส่วน สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน
4. ทำให้มีสติปัญญา เฉลียวฉลาด รู้เหตุ รู้ผล สามารถประกอบกิจการงานต่างๆ สำเร็จได้โดยง่าย
5. ทำให้เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความคิดดี คิดสร้างสรรค์ประโยชน์ และความสุขให้แก่ตนเอง และเพื่อนร่วมโลก
6. ทำให้จิตใจหนักแน่นมั่งคงในธรรมะ ใจไม่ตกไปในอกุศลธรรม มีใจน้อมไปในสมาธิ(Meditation) ทำให้ปฏิบัติธรรมเข้าถึงพระธรรมกายได้โดยง่าย
7. ทำให้เข้ถึงฐานะอันเลิศจะเกิดในที่ใดก็สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ ทั่วโลกกิยทรัพย์ และอริยาทรัพย์ ติดตัวไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
8. ทำให้ไปตักรอนวิบากกรรมเก่า ที่ตนได้เคยผิดพราดทำมา ตั่งแต่ในอดีตชาติให้เบาบางลง
9. ทำให้ผลบุญนี้ติดตามเราไป ทุกภพทุกชาติ และดึงดูดให้มาสร้างบารมีร่วมกันตราบวันถึงที่สุดแห่งธรรม


.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2011, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
การระลึกชาติและชดใช้กรรมในกรรมฐานสามประเภท


การระลึกชาติและชดใช้กรรมในกรรมฐานสามประเภท


คนเราเกิดตายเวียนว่ายหลายชาติภพ การตัดกรรมในกรรมฐาน ขณะที่ระลึกชาติได้นั้น จะตัดกรรมได้เป็นชาติๆ ไป จำต้องอาศัยความเพียรกว่าจะชดใช้กรรมจนหมดทุกชาติภพ เพราะแต่ละชาติภพไม่ได้ก่อกรรมแค่เล็กน้อย แม้กรรมหนึ่งอย่าง อาจรับเป็นร้อยชาติพันชาติ ดังนั้น จึงต้องตัดชาติตัดภพกันเป็นร้อยๆ พันๆ ชาติ อุปมาวิธีนี้เสมือนการฝนทั่งให้เป็นเข็ม ช้าแต่ก็ได้ผลตรง กรณีที่ต้องการถอนรากถอนโคนอย่างรวดเร็ว ต้องขุดรากหยั่งลึกออกมา ขุดสันดอนกิเลสออกมา จนละคลายการยึดมั่นถือมั่น ความโลภ โกรธ หลง อย่างแท้จริง ก็จะไม่ต้องนั่งสมาธิดับภพชาติทีละชาติ คือ กำลังจิตสูงตัดกิเลสขาดสะบั้นในคราวเดียวได้ อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะมีกำลังจิตสูงขนาดนั้น สามารถใช้กรรมฐานบางชนิด เพื่อทดลองชำระกรรมเป็นชาติๆ ไปเพื่อความศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ ด้วยการเจริญกรรมฐานประเภท “รูปฌาน” ซึ่งเป็นฌานไม่ลึก เป็นฌานระดับตื้น ทำได้เร็ว ไม่ต้องนั่งสมาธินาน แต่ต้องหัดเพ่งกสิณจนสำเร็จตาทิพย์ ก็สามารถพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ว่าจริงแท้แน่นอน ทั้งนี้ หากสำเร็จตาทิพย์แล้ว ตาทิพย์ก็ทำงานเหมือนอวัยวะหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิมาก แต่ต้องใช้กำลังจิตพอควร กล่าวคือ ถ้าพลังจิตน้อย การเพ่งมองของทิพย์ทำได้ไม่ลึกจะเห็นแค่เปลือก เช่น มองเห็นร่างท้าวจตุคามรามเทพ จะเห็นเหมือนในนิมิตที่ท่านอื่นเห็น แต่หากตาทิพย์มีกำลังจิต ทะลวงลึกลงไปอีก จะเห็นร่างกายทิพย์แท้อีกร่างปรากฏ เป็น อสูรที่ชื่อ “ราหู” เป็นต้น การใช้ตาทิพย์ใช้สมาธิไม่ลึก เหมือนการใช้ชีวิตปกติ แต่จำต้องเพ่งด้วยพลังจิตพอควรดังกล่าวมาแล้ว ในขณะที่การนั่งสมาธิเดินฌาน เป็นอัปปนาสมาธิ คือ สมาธิขั้นสูง ไม่สามารถเทียบกันได้ตรงๆ เฉกเช่นการถอดกายทิพย์ ที่ทำได้ง่ายไม่ต้องใช้สมาธิมาก แต่ถอดกายทิพย์ไปแล้ว จะมีปัญญา เข้าใจในสิ่งที่เห็นจริงหรือไม่ เช่น เห็นกายทิพย์พระเยซู อาจคิดว่านี่คือพระเยซูที่เราอ่านในหนังสือบนโลก แต่หากเราถามท่านดีๆ ท่านอาจตอบเราว่าท่านคือพระเยซูองค์ที่สาม องค์ปฐมอาจไปจุติแล้ว ท่านมารับตำแหน่งต่อได้เป็นลำดับที่สาม เป็นต้น ดังนั้น ผู้ถอดกายทิพย์แม้ง่ายไม่ใช้สมาธิมาก แต่อาจเข้าใจผิดในสิ่งที่เห็นได้ กล่าวคือ เห็นจริง แต่ที่เห็นนั้น เราเข้าใจเพียงใด หากเข้าใจผิดก็คิดว่าพระเยซูยังไม่จุติเป็นต้น ซึ่งหากองค์ที่เราเห็นไม่ใช่องค์ปฐม เราก็จะเข้าใจผิดไปทันที


อนึ่ง เมื่อสำเร็จตาทิพย์เห็นสิ่งต่างๆ เช่น นรกสวรรค์ ว่ามีอยู่จริงแล้ว ท่านสาธุชนหลายท่าน อาจเกิดศรัทธาตรงต่อนิพพานแน่วแน่และแน่นอน ถัดจากนั้นจึงให้ดำเนินการฝึกฌานลึกประเภท อรูปฌาน ซึ่งยังผลให้สามารถตัดกิเลสได้ขาดสะบั้นแบบขุดรากถอนโคนในคราวเดียว ได้ผลชะงักมากกว่าการนั่งสมาธิตัดชาติภพทีละชาติ ซึ่งเป็นสมาธิขั้นลึกกว่า จำเป็นต้องใช้ความสงบมากกว่า แต่ละคลายกิเลสได้ผลชะงักมากกว่า กล่าวคือ การเดินฌานให้ชำนาญ ทั้งอนุโลมและปฏิโลม (ไปหน้า ถอยหลัง) เพื่อดำดิ่งลึกสู่จิตใต้สำนึก แก้ไขสันดาน สันดอนกิเลสทั้งมวลให้หมดสิ้นลงในคราวเดียว ทั้งนี้เพราะฌานนั้นให้ผลเป็นความสงบสุข ความสงบสุขก็เป็นเหตุใกล้แห่งนิพพานอยู่แล้ว การบรรลุแบบสุขวิปัสโก จึงเกิดขึ้นด้วยการเจริญฌาน บุคคลใดก็ตามเมื่อมีความสงบสุขจากฌานแล้ว จิตย่อมถอยออกจากสุขทางโลก เพราะสุขทางโลกนั้นหยาบกว่าความสุขที่ได้จากฌาน ทำให้จิตมุ่งเข้าหาความสงบเงียบระงับ และค่อยๆ คลายความวุ่นวายสับสน จากความโลภ, ความโกรธ, ความหลงได้ ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า รูปฌานใช้ง่าย ใช้สมาธิน้อย แต่ให้ผลเบาบาง ในขณะที่อรูปฌานและฌานลึกต่างๆ ให้ผลหนักแน่นมั่นคง ตัดกิเลสแบบขุดรากถอนโคนได้มากกว่า แต่ต้องใช้สมาธิลึก นั่งสมาธิมากและนาน ทั้งนี้ หากบุคคลมีศรัทธาในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงด้วยตาตนเอง ก็ไม่จำเป็นต้องฝึกรูปฌานและตาทิพย์ สามารถฝึกอรูปฌาน หรือฌานหนึ่งถึงฌานสี่ได้เลย ก็จะย่อย่นระยะเวลาบรรลุธรรมเร็วขึ้น อนึ่ง ในบทความฉบับนี้ ขอกล่าวถึง กรรมฐานประเภทรูปฌาน ที่ต้องมีรูปให้เห็น (แต่การตัดกิเลสทำได้ไม่ลึก เท่าแบบอรูปฌาน และฌานหนึ่งถึงสี่) เพื่อการพิสูจน์ให้เห็นจริงด้วยตนเอง ดังต่อไปนี้


๑) การระลึกชาติและชดใช้กรรมใน “ธรรมกาย”
คือ การฝึกวิชชาธรรมกายเพื่อระลึกชาติ แล้วชดใช้กรรมในกรรมฐานขณะเข้าวิชชาธรรมกาย เพื่อชดใช้กรรม ตัดภพตัดชาติให้สั้นลง จนกว่าจะสิ้นภพชาติ (นิพพาน)


วิธีการ เพ่งหาลูกแก้วธรรมกาย ว่าอยู่ส่วนใดของร่างกาย ถ้าอยู่ที่ๆ เพ่งลำบากให้ย้ายมาอยู่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด แต่ถ้าเพ่งไม่ลำบากก็ไม่เป็นไรไม่ต้องย้ายก็ได้ จากนั้น จะพบว่าลูกแก้วธรรมกาย มีกายคนอยู่ กายนี้เป็นกายทิพย์แสดงตัวเราเอง ให้เพ่งเข้าไปกายในกาย จะพบลูกแก้วอีกชั้นหนึ่ง ในลูกแก้วนี้ มีตัวเราอยู่ อีกกายหนึ่ง แต่เป็นกายนิมิต ไม่ใช้กายทิพย์จริง เช่น เห็นเป็นช้างสามเศียร ให้เพ่งเข้าไปในกายนี้อีก ก็จะพบอดีตชาติของกายทิพย์นี้ สมมุติว่า ตอนแรกเห็นลูกแก้วธรรมกายแล้ว มีกายทิพย์เซียนอยู่ แสดงว่าเรามาจากภพสวรรค์ชั้นดุสิต เคยเกิดเป็นเซียน จากนั้นเพ่งเข้าไปเห็นลูกแก้วอีกลูกบรรจุหัวช้างสามเศียร หมายความว่านี่เป็นนิมิตปริศนาธรรม ช้าง คือ โพธิสัตว์ สามเศียรคือ บารมีมาก อาจหมายถึงชาตินี้เราได้บำเพ็ญบารมีมากจนเกิดในชั้นดุสิตนั่นเอง เพ่งเข้าไปในหัวช้างสามเศียร จะพบเรื่องราวที่เราทำไว้ในอดีตได้ ว่าทำไมเราจึงได้จุติที่ชั้นดุสิต ดูจบจนเรื่อง เราจะรู้สึกราวกับเกิดขึ้นจริง ถ้ารบแล้วถูกทำร้ายก็เจ็บปวดจริง สิ่งเหล่านี้คือ การชดใช้กรรมในกรรมฐาน ให้อดทนรับกรรมนั้น จนกระทั่งชาตินั้นจบหมดสิ้น ก็สามารถตัดชาติภพได้หนึ่งชาติ ไม่ต้องเกิดไปรับกรรมเพราะผลกรรมจากชาตินั้นอีกไม่ว่าชาติภพหน้าหรือชาตินี้ก็ตาม เพราะได้ชดใช้แล้ว


๒) การระลึกชาติและชดใช้กรรมใน “ธรรมจักร”
คือ การฝึกวิชชาธรรมจักรเพื่อระลึกชาติ แล้วชดใช้กรรมในกรรมฐานขณะเข้าวิชชาธรรมจักร เพื่อชดใช้กรรม ตัดภพตัดชาติให้สั้นลง จนกว่าจะสิ้นภพชาติ (นิพพาน)


วิธีการ นั่งสมาธิแบบธรรมจักร (สมาธิหมุน) จนกว่าจะเกิดอาการหมุนอย่างไม่อาจควบคุมได้ แรงหมุนจะทำให้ร่างกายเราหมุนไป พัดเพไป เช่น ล้มลงแล้วกลิ้งไปมาก็ดี ทำท่าทางต่างๆ ก็ดี อย่าได้ตกใจ ทำไป ปล่อยไป ปล่อยให้เป็นไปตามกรรม ชำระกรรมเสียในกรรมฐานนี้ จะเห็นว่าตัวเราทำท่าต่างๆ เหมือนในอดีตชาติที่ระลึกได้นั้น และต้องชดใช้กรรมนั้นๆ ในขณะปฏิบัติ กล่าวคือ หากเคยฆ่าคนก็ต้องเจ็บปวดเหมือนถูกคนฆ่า บางรายเห็นภาพตนเองในอดีตชาติด้วย บางรายระลึกได้เพราะอาศัยพิจารณาจากการทำท่าต่างๆ ของตนก็มี ทำซ้ำๆ ก็จะชดใช้กรรมได้เป็นชาติๆ ไปแบบธรรมกาย แต่จะรู้สึกคลื่นไส้เวียนหัว เหมือนเมา เพราะหมุนไปมาได้ ขอให้อดทน จะทำให้เราไม่ต้องรับกรรมในชีวิตจริงหรือชาติต่อๆ ไปได้เพราะได้ชดใช้กรรมจากอดีตชาติในกรรมฐานแล้ว แบบนี้ก็ยังต้องรับทุกขเวทนาเพราะกรรมเก่าบ้างเช่นกัน (ไม่ต่างจากอรูปฌานแบบสุขวิปัสสโก ที่ต้องนั่งสมาธินานจนเกิดเวทนาทางกายเหมือนกัน) นี่คือ การชดใช้กรรมแบบธรรมจักร


๓) การระลึกชาติและชดใช้กรรมใน “ธรรมจักรวาล”
คือ การฝึกวิชชาธรรมจักรวาลเพื่อระลึกชาติ แล้วชดใช้กรรมในกรรมฐานขณะเข้าวิชชาธรรมจักรวาล เพื่อชดใช้กรรม ตัดภพตัดชาติให้สั้นลง จนกว่าจะสิ้นภพชาติ (นิพพาน)


วิธีการ ฝึกสมาธิเปิดจักระ โดยเฉพาะจักระที่เจ็ด หรือกระหม่อม เมื่อเปิดแล้ว ร่างกายเราจะเปิดโล่งรับพลังจักรวาลได้ หากฝึกพลังจักรวาล จะดึงพลังจักรวาลโดยไม่มีการควบคุม ไม่อาจเลือกได้ว่าพลังใดจะมา บางครั้งเทพบางองค์ประทับก็ฝืนไม่ได้ เป็นไปตามกรรม ในวิชชาธรรมจักรวาล เมื่อเปิดจักระแล้ว จะรับพลังจักรวาลโดยมีธรรมะของพระพุทธเจ้าคอยควบคุม ทำให้หลงทางได้ยาก เมื่อเรามีกรรมเก่า เราต้องชดใช้กรรมด้วยการบำเพ็ญบารมีให้หมดหนี้กรรม พอเราสร้างบุญบารมีหนีกรรมได้แล้ว เราก็แทบไม่ต้องรับกรรม เหลือเพียงเศษกรรมให้เราเห็นเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ จะมีเทพเทวดาที่มีกรรมคล้ายเราลงมาประทับทรงหรืออาศัยร่างเรา ร่วมบำเพ็ญบารมี เขาได้อาศัยร่างเรา เราได้อาศัยบารมีเขา ช่วยเหลือกันในการบำเพ็ญบารมีปลดภาระหนี้กรรมของทั้งคู่


ทำไมจึงต้องมาทำกรรมฐานแก้กรรม


๑) เพื่อความสุขแท้ทั้งร่างกายและจิตใจ
ท่านคงทราบดีว่า พระโมคคัลลานะ ได้อรหันต์แล้ว แต่เพราะผลกรรมที่เคยทุบตีพ่อแม่จนตายในอดีตชาตินั้น ตามมาทำให้ต้องชำระชดใช้ ในวาระถึงสิ้นอายุขัย ท่านก็ถูกทุบตายจนกระดูกแหลกเหลว หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ไม่อาจหนีกรรมพ้น ระหว่างเผยแพร่ธรรมะ ท่านยังต้องถูกพระเทวทัตกลั่นแกล้งอยู่ตลอด แต่ด้วยเพราะความบริสุทธิ์ของจิตมีมาก จึงไม่ได้เห็นกรรมเหล่านี้เป็นสาระ จิตภายในสงบสุขด้วยปัญญาญาณที่สว่างไสวอยู่ตลอด จึงมิได้คิดแก้กรรมแต่อย่างใด มนุษย์ปัจจุบันมีกรรมพอกพูนมากมายเหลือคณานับ มากกว่าท่านทั้งหลายในครั้งสมัยพระพุทธเจ้า ยังทรงมีพระชนม์อยู่ บางท่านอาจต้องทรมานกายจนไม่อาจปฏิบัติธรรม บางท่านต้องทรมานกายจนไม่อาจบรรลุธรรมก็มี ดังนั้น เพื่อความเหมาะสมตามยุคสมัยในปัจจุบัน ธรรมะ จึงได้ขยายวงกว้างออกไปนอกเหนือจากเรื่องนิพพาน เป็นประโยชน์ในปัจจุบันด้วย กล่าวคือ หากสามารถลดกรรมปัจจุบัน เพิ่มบุญบารมีได้ในปัจจุบัน จะยังความเลื่อมใสศรัทธามากมายต่อพระพุทธศาสนา ว่าปฏิบัติได้มรรคผลจริงแท้ ดังนั้น การแก้กรรมนี้ จึงเป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยให้เกิดความสุขทั้งกายและใจแท้จริง


๒) เพื่อความรวดเร็วในการปฏิบัติธรรม
บางท่านปฏิบัติธรรมได้ช้า อีกทั้งยุคสมัยปัจจุบัน มนุษย์มีอายุขัยลดลง เหลืออายุขัยประมาณ ๗๕ ปีก็สิ้นอายุขัย ปกติ พระพุทธศาสนาจะเจริญได้ต้องอาศัยยุคที่มนุษย์มีอายุ ๑๐๐ ปี ถึง ๑ แสนปี เพราะหากอายุมนุษย์สั้นเกินไป จะก่อกรรมมาก สอนยาก ดื้อด้าน ไม่เปิดจิตรับคุณธรรมความดี พระพุทธศาสนาก็สร้างได้ยาก ดังนั้น การแก้กรรมด้วยกรรมฐานนี้ จึงเป็นเครื่องช่วยพุทธศาสนาให้เจริญได้อีกครั้งในยุคที่มนุษย์มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่จะรับพระพุทธศาสนา การแก้กรรมจะช่วยให้การปฏิบัติธรรมได้ผลเร็วขึ้น สามารถปฏิบัติให้ได้มรรคผลก่อนตาย ก่อนละสังขารได้มากขึ้น ดังนี้ จึงเหมาะสมกับยุคสมัยในปัจจุบันมากขึ้น ธรรมะในส่วนนี้จึงช่วยยืดอายุศาสนาได้


๓) เพื่อขจัดอุปสรรคที่ขวางการฝึกจิต
มนุษย์ยุคปัจจุบันก่อกรรมมาก จึงมาเกิดในยุคที่มนุษย์มีอายุขัยน้อย ทุกกรรมที่ก่อล้วนแต่มีเจ้ากรรมนายเวรรอแก้แค้น รอชำระอยู่ทุกกรรม ไม่ว่ามนุษย์จะมองเห็นด้วยตาหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น หากมนุษย์จะพึงปฏิบัติธรรมให้ได้มรรคผลจึงยากเย็นยิ่งนัก เพราะเจ้ากรรมนายเวรไม่ยอมปล่อยไป จะกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นอยู่ตลอดเวลา เช่น การฝึกสมาธิ ก็จะมียุงแมลง ฯลฯ รบกวนตลอดเวลา จนไม่มีสมาธิเลยก็ได้ ดังนั้น การปฏิบัติธรรมในยุคที่มนุษย์มีเจ้ากรรมนายเวรมากนี้ จึงควรใช้กรรมฐานแก้กรรม ช่วยเพื่อขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางการปฏิบัติธรรม ก็จะได้ผลรวดเร็วมากขึ้น


อนึ่ง กรรมฐานแก้กรรมทั้งสามวิธีนี้ ไม่ได้ใช้เพื่อการบรรลุธรรมโดยตรง ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า อุปมาเหมือนฝนทั่งให้เป็นเข็ม ต้องแก้ไล่ไปทีละชาติๆ ซึ่งจะต้องใช้ความเพียรพยายามมาก ไม่ได้ให้ผลรวดเร็วถึงนิพพานง่ายอย่างที่คิด ดังนั้น การใช้กรรมฐานแก้กรรม จึงเป็นวิธีที่ช่วยเสริมวิธีขจัดกิเลสตามปกติเท่านั้น บางท่าน ไม่สามารถที่จะต่อสู้กับจิตใจตนเอง ไม่พร้อมต่อสู้กับกิเลสในทันที ก็สามารถฝึกกรรมฐานเหล่านี้ เพื่อพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ก่อนก็ดี เพื่อชำระกรรมให้เบาบาง เปิดทางให้ฝึกจิตละกิเลสได้เร็วก่อนก็ดี ทั้งนี้ เพื่อวัตถุประสงค์ใหญ่ที่สำคัญที่สุดเพียงประการเดียว คือ การละกิเลส ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เกิดปัญญารู้แจ้งแทงตลอดไม่หลงโลก หลงมายาต่างๆ อีกต่อไป นั่นเอง อนึ่ง การใช้กรรมฐานแก้กรรม ร่วมกับการปฏิบัติจิตเพื่อละกิเลสนี้ ให้ผลดีเหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบัน หากไม่สามารถฝึกได้สำเร็จ ก็สามารถใช้วิธีปกติได้ คือ การฝึกสมาธิ ฝึกฌาน พิจารณาธรรม ด้วยวิปัสสนากรรมฐาน ตัดลัดตรงสู่การละกิเลสนั่นเอง
โดย physigmund_foid



กลับไปที่ www.oknation.net

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2011, 09:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/ind ... ic=43728.0

อ้างคำพูด:
ไปเจอมาครับ ควร วิสัชนา เอา ครับ

หนังสือ เจาะลึกที่มาวัดพระธรรมกาย

เขียนโดย พุทธมามิกา

สมาคมศิษย์เก่ามหาจุฬาฯ ร่วมกับ ผู้ศรัทธาในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง จัดพิมพ์

เรื่องวัดพระธรรมกาย มีข่าวออกมาให้ได้เห็น ได้ยิน และได้อ่าน ทั้งจากทางวัดเอง และจากสื่อต่างๆ มากมายหลายด้านแต่เรื่องในอดีตที่เกี่ยวกับการได้ที่ดินแปลงแรกมาเป็นสมบัติกระทั่งเกิดทีวัดพระธรรมกายขึ้นมา
เวลาล่วงเลยมาถึง 30 ปีเศษแล้ว ก็ยังไม่ปรากฎว่ามีผู้ใดนำความจริงมาเปิดเผย มีแต่ทางวัดเองซึ่งพูดถึงบ้าง แต่ก็เป็นการบิดเบือนความจริง จนผู้คนหลงเชื่อ
เจ้าของที่ดินดั่งเดิมทั้ง ๓ ท่านก็หาชีวิตไม่แล้ว ไม่มีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาบอกเล่า หรือชี้แจงแถลงไขให้ความจริงอย่างใดได้
น่าจะถึงเวลาเสียที ที่จะนำเรื่องราวเหล่านั้นมาเปิดเผยเพื่อเป็นปากเสียงแทนเจ้าของที่ดินดั่งเดิมทั้ง ๓ ท่าน และเพื่อเปิดเผยโฉมหน้าตลอดจนพฤติกรรมของคน (ที่ชอบอ้างตัวว่ามีธรรมอยู่ในกาย) กลุ่มหนึ่ง ที่ใช้เล่ห์เพทุบายต่างๆ นานาหลอกลวงให้บุคคลที่เป็นเป้าหมายหลงเชื่อ เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินที่กลุ่มของตนปรารถนา
แต่ก่อนที่จะเปิดเผยเรื่องราว จำเป็นจะต้องกล่าวถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องแต่ละท่าน แต่ละคนเสียก่อน เพื่อให้มองเห็น
ภาพลักษณ์จะได้เกิดความเข้าใจง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้นซึ่งบางท่านอาจจะต้องเล่าท้าวความย้อนหลังยืดยาวไปบ้างอัน
เป็นสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
โปรดทำความเข้าใจเสียก่อนว่า เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ทั้งตัวบุคคล สถานที่ และพฤติกรรมต่างๆ เป็นเหตุการณ์ที่
ย้อนหลังไปถึง 30ปีเศษ มิใช่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันดังที่เป็นข่าวครึกโครมอยู่ในขณะนี้ และเป็นเรื่องจริงที่มิได้
อิงนิยายหรือเป็นนิทานหลอกเด็ก รวมทั้งหลอกผู้ใหญ่ที่ไร้ปัญญาอีกด้วย
ดังนั้นขณะที่ท่านอ่าน หากนำความรู้สึกนึกคิดเข้าไปในเหตุการณ์เหล่านั้นด้วย จะช่วยทำให้มองเห็นภาพลักษณ์ต่างๆ
ชัดเจน และเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งมากขึ้น

๑.) พระยาแพทยพงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) ท่านเป็นแพทย์ประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ครั้งที่ทรงดำรงพระอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าสยามมกุฎราชกุมาร ท่านได้กราบ
ถวายบังคมลาออกจากราชการเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๙ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตได้ไม่นาน ตำแหน่งสุดท้ายของท่านคือ องคมนตรี
จากนั้นท่านได้ไปทำสวนอยู่ที่ตำบลบ้านอ่าง อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี อันเป็นงานที่ท่านรัก ในวัยชราเมื่อเลิก
ทำสวนแล้ว ท่านได้เขียนหนังสือและบทความทั้งทางด้านการแพทย์และการเพาะปลูก อันเป็นประโยชน์สำหรับกสิกร
และนิสิตนักศึกษามากมาย จวบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน หากท่านยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ท่านจะมีอายุถึง
๑๑๙ปีแล้ว
ท่านเจ้าคุณแพทยฯ เป็นเจ้าของที่ดินที่เป็นที่นาจำนวน ๑๙๖ไร่ ที่ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งชาวนาเช่าทำนาอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเขา หลังจากท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
๒๕o๘ แล้ว ที่ดินแปลงนี้ก็เป็นมรดกตกทอดของคุณหญิงแพทยพงศาวิสุทธาธิบดี ภริยาของท่าน

๒.) คุณหญิงแพทยพงศาวิสุทธาธิบดี นามเดิมของท่านคือ "คุณประหยัด วิเศษกุล" ผู้ได้รับมรดกที่นาจำนวน ๑๙๖
ไร่แปลงนั้น นอกจากทรัพย์สินมรดกจากท่านเจ้าคุณแพทยฯแล้ว คุณหญิงยังมีทรัพย์สิน รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์อีก
มากมายในกรุงเทพฯ จากตระกูลวิเศษกุลองท่าน ในบรรดาที่ดินทั้งหลาย มีอยู่แปลงหนึ่งซึ่งมีอาณาบริเวณอยู่ด้าน
หลังโรงพยาบาลกลาง และตอนหลังถูกเวนคืน ที่ดินแปลงนี้ได้มีส่วนเข้ามาเกี่ยวขัองกับเรื่องราวที่จะเล่าเล็กน้อย
จะได้กล่าวถึงต่อไป
เมื่อท่านชรามากแล้ว มีอาการเจ็บป่วยทางสมอง แพทย์ได้ผ่าตัดสมอง เป็นผลให้ท่านไม่สามารถเคลื่อนไหวอิริยาบถ
เพื่อทำกิจกรรมใดๆ ได้ จึงได้มอบอำนาจให้บุตรสาวคนเดียวของท่าน เป็นผู้ดูแลจัดการทรัพย์สินมรดกทั้งหมดแทน
ท่านตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะถึงแก่อนิจกรรม

๓.) อาจารย์กรณี สุนทรเวช บุตรสาวคนเดียวของคุณหญิงฯและท่านเจ้าคุณแพทยฯ ยังเป็นโสด จบการศึกษาชั้นต้นจาก
โรงเรียนมาแตร์เดอี จบปริญญาตรีทั้งอักษรศาสตร์ และครุศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโททางการ
ศึกษาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐอเมริกา อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนดาราคาม กรมสามัญศึกษาเกษียณ
อายุราชการเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๓๒ และถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔o
อาจารย์วรณีเป็นผู้ได้รับมรดกตกทอด จากทั้งทางฝ่ายบิดาและมารดาจำนวนมากมายรวมทั้งที่นา ๑๙๖ ไร่ที่ตำบลคลอง
สามนั้นด้วย
อุปนิสัยส่วนตัวของท่าน เป็นคนซื่อ เปิดเผย ตรงไปตรงมา ชอบความเรียบง่ายสมถะ ไม่แสดงตัวว่าเป็นคนร่ำรวย
ใจดีมีเมตตา เห็นอกเห็นใจและให้ความช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นอยู่เสมอๆ ผู้ใต้บังคับบัญชารักและเคารพนับ
ถือท่านมาก
ทางด้านราชการ ท่านก็เป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูงมีความเสียสละ และมีผลงานอันเป็นประโยชน์แก่ทางราชการ
มากมายหลายด้าน
ทั้งคุณสมบัติส่วนตัวและส่วนราชการดังกล่าวมาแล้วข้างต้น เป็นที่รู้จักและทราบกันดีในวงการศึกษา จากการที่เป็น
ผู้มีชาติตระกูลดี มีการศึกษาสูง ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี และมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีตลอดมา ประกอบกับอุปนิสัยส่วนตัวที่กอปรไปด้วยคุณธรรมดังกล่าวและการมองโลกแต่ในแง่ดีของท่าน
ดังนั้นท่านจึงคิดว่าผู้ที่มาเกี่ยวข้องกับชีวิตของท่านคงจะเป็นคนดีมีความซื่อตรงเช่นเดียวกับตัวท่าน
จากจุดนี้เองที่เป็นผลให้ผู้ไม่สำนึกในบาป บุญ คุณ โทษ กลุ่มหนึ่ง ใช้เป็นช่องทางฉกฉวยโอกาสเข้ามา แล้วใช้เล่ห์กล
ลวงให้หลงเชื่อ เพื่อเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์

๔.) นายอาลี คนขับรถเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยท่านเจ้าคุณแพทยฯทำงานกับครอบครัวของท่านเจ้าคุณฯมาช้านาน
กระทั่งเขาเอง ถึงแก่กรรม
นายอาลีเป็นมุสลิม และมีความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อครอบครัวของท่านเจ้าคุณฯมาก เขาเป็นผู้เดียวที่รู้จักและ
ทราบดีว่าที่นา ๑๙๖ ไร่แปลงนี้อยู่ที่ไหน และเป็นผู้พาอาจารย์วรณีและคนอื่นๆ ไปดูที่ดินแปลงนี้ เนื่องจากในสมัย
ที่ท่านเจ้าคุณฯ มีชีวิตอยู่ ได้เคยไปกับท่านเจ้าคุณฯ เพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวชาวนา ที่เช่าที่นาแปลงนี้ทำอยู่
ไหนๆ ก็ได้พูดถึงชาวนาแล้ว จึงอยากจะเล่าความจริงต่อไปอีกเล็กน้อย หลังจากที่ดินแปลงนี้ถูกยกให้สร้างวัดไปแล้ว ชาวนาหลายครอบครัวที่เคยอาศัยทำกินอยู่ในที่ดินแปลงนี้ก็ต้องพากันอพยพย้ายไปเช่าที่ทำกินใหม่ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน ต่อมาเมื่อวัดขยายพื้นที่ออกไปอีกเรื่อยๆพวกเขาก็จำเป็นต้องอพยพย้ายครอบครัวไกลออกไปอีกเรื่อยๆเช่นกัน เพราะพวกเขายากจน ไม่สามารถซื้อที่ดินมาเป็นกรรมสิทธิ์ได้ และแล้วในที่สุดก็ได้เกิดมีปัญหาทะเลาะวิวาท
กันระหว่างชาวนาและชาววัด ดังที่เคยเป็นข่าว

๕.) แม่กิมซา แม่บ้านเก่าแก่ของครอบครับท่านเจ้าคุณแพทยฯ เป็นผู้เลี้ยงดูอาจารย์วรณีมาตั้งแต่เล็กจน
โตจึงรู้จักและเข้าใจนิสัยใจคอของอาจารย์ดี
แม่กิมซาก็เป็นคนเก่าแก่อีกคนหนึ่งที่มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีกับครอบครัวของท่านเจ้าคุณแพทยฯมาก เช่นเดียวกับนายอาลีคนขับรถ ขณะนี้แม่กิมซายังมีชีวิตอยู่แต่ชรามากแล้ว และเป็นผู้หนึ่งที่รู้เห็นพฤติกรรม ของบุคคลกลุ่มที่ได้กล่าวถึงข้างต้น แต่ไม่อาจทัดทานได้
ต่อไปนี้จะกล่าวถึงความเป็นมาและเป็นไป ของกลุ่มคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับฝ่ายท่านเจ้าของที่ดินข้างต้น

๑.) นางถวิล วัติรางกูร อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนประถม นนทรี สังกัดกรมเดียวกันกับอาจารย์วรณี และเป็น
ที่รู้จักคุ้นเคยกัน เนื่องจากต้องทำงานร่วมกันอยู่เสมอ ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว และยังมีชีวิตอยู่
นางถวิล เลื่อมในศรัทธาวัดปากน้ำภาษีเจริญมาก แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวตลอด บอกกับใครๆว่า ตนถือศีลอย่าง
เคร่งครัด และไปปฎิบัติสมาธิอยู่ที่วัดเป็นประจำ เป็นผู้หนึ่งที่ทราบว่าอาจารย์วรณีมีทรัพย์สิน และอสังหาริมทรัพย์
มากมาย รวมทั้งที่ดิน ๑๙๖ไร่นี้ด้วย และเป็นผู้ชักนำกลุ่มคนในลำดับต่อไป เข้ามารู้จักกับอาจารย์วรณี

๒.) นางชีจันทร์ ขนนกยูง ขณะนั้นมีสำนักอยู่วัดปากน้ำภาษีเจริญเป็นคนที่นางถวิล ชักนำให้มารู้จักกับอาจารย์วรณี โดยอวดอ้างถึงความวิเศษมหัศจรรย์พันลึกของนางชีจันทร์ต่างๆนานา จนอาจารย์วรณี (คนเดียว) หลงเชื่อสนิท จะได้กล่าวรายละเอียดต่อไป

๓.) นายเผด็จ ผ่องสวัสดิ์ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดูเหมือนขณะนั้นจะมีอาชีพเป็นเซลล์แมน
(จะขายอะไร มิได้อยู่ในความสนใจของผู้เขียน) เป็นอีกคนหนึ่งที่นางถวิลชักนำให้มารู้จักกับอาจารย์วรณี เช่นกัน เพื่อมาทำหน้าที่สนับสนุนบทบาทของนางชีจันทร์ให้ดูน่าเชื่อถือเป็นจริง เป็นจัง และสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น คนผู้นี้ก็มีบทบาทสำคัญมากเช่นกัน

๔.) ผู้ชายคนหนึ่ง ซ่อนร่างอยู่ในผ้าเหลือง และซ่อนดวงตาไว้หลังแว่นสีดำ คนผู้นี้แม้ว่าทั้ง ๓ คนข้างต้นจะไม่นำ
เข้ามาแต่ก็ได้นำเอาสรรพคุณ ความดี ความงาม อันน่านิยมนับถือมาบอกเล่าอยู่เป็นนิจ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเลื่อม
ใสศรัทธา
ได้เคยอ่านพบในนิตยสารฉบับหนึ่ง เมื่อประมาณ ๑o ปีเศษมาแล้ว ผู้ชายคนนี้ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารฉบับนั้นสรุป
เป็นใจความได้ว่า เมื่อตนยังเป็นเด็ก หมอดูคนหนึ่งเห็นท่าทีหน่วยก้านของตนแล้วได้ทำนายว่า ต่อไปข้างหน้าหาก
เป็นนักบวช จะได้เป็นศาสดาทางศาสนาหากอยู่ในเพศคฤหัสถ์ ก็จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน(ไม่อาจเขียนตรงๆ ตามคำที่ให้สัมภาษณ์ได้ เพราะออกจะหมิ่นเหม่มากเกินไป แต่แม้จะเขียนอย่างนี้ ก็คิดว่าท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจดีว่า
หมายถึงอะไร) นอกจากนั้นยังได้อวดอ้างสรรพคุณของตนเองอีกว่า คุณหญิง (ประหยัด) แพทยพงศาฯ มีจิตเลื่อมใสศรัทธาตนม๊าก...ก ถึงกับยกที่ดินให้เพื่อสร้างวัด
ก็ไม่ทราบว่า คุณหญิงแพทยฯ (โดยบุตรสาวของท่าน) ยกที่ดินให้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจริงๆ หรือเพราะถูกหลอก
ลวงด้วยเล่ห์เพทุบายให้หลงเชื่อกันแน่
เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ หากท่านผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณควบคู่ไปในการอ่าน จะเห็นว่ากลุ่มคนดังกล่าวนี้ มีการวางแผนงานไว้ล่วงหน้า แล้วดำเนินการตามแผนงานทีละขั้นตอนไปตามลำดับ กระทั่งบรรลุผลสำเร็จตาม
แผนการณ์ที่วางไว้
เพื่อความถูกต้องชอบธรรม จะเล่าเฉพาะความเป็นจริงที่ได้รู้ได้เห็นมาด้วยตัวเอง ส่วนที่ได้มาจากคำบอกเล่าของ
บุคคลภายนอกนั้น จะไม่นำมาพูดถึง ด้วยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่บอกเล่ากันต่อๆ มานั้นจะคลาดเคลื่อนไปจากความจริง
หรือไม่ ดังนั้น เมื่อไม่มีความแน่ใจก็จะไม่นำมากล่าว เพราะแม้ว่าจะมิใช่คนเคร่งครัดในศีลก็ตาม แต่ก็มีความาละอาย
ชั่วกลัวบาป

แผนแรก เริ่มจากนางถวิลในชุดอาภรณ์สีขาว ทำทีร้องห่มร้องไห้ไปหาอาจารย์วรณี และคุณหญิงแพทยฯ
ที่บ้าน(โดยปกติไม่ปรากฎว่าเคยไปมาหาสู่ที่บ้านเลย เพราะมีความรู้จักคุ้นเคยก็เพียงเฉพาะด้านงานในราช
การเท่านั้น) โดยให้เหตุผลว่า มีปัญหากับสามี และตนมีความเสียใจมากเพราะสามีได้เสียกับน้องสาวของตน ซึ่งอยู่ในบ้านเดียวกันเป็นภรรยาน้อยพร้อมกับรำพันถึงความทุกข์อีกต่างๆนานาเพื่อให้เกิดความเห็นใจ
อุปนิสัยของอาจารย์วรณี ดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา มักให้ความช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้ที่มี
ความเดือดร้อนอยู่เสมอ ดังนั้นจึงได้เกิดความสงสาร และเชื่อโดยสนิทใจ สำหรับตัวคุณหญิงแพทยฯนั้น ย่อมไม่มี
ปัญหาอะไร เพราะทุกอย่างสุดแท้แต่บุตรสาวของท่านทั้งสิ้น
หลังจากหาโอกาสเข้าไปตีสนิทใกล้ชิดจนถึงในบ้าน อันเป็นการโยนหินเพื่อถามทางแล้ว ก็หาเหตุเข้าไปเยี่ยมเยียนอีก
บ่อยครั้ง ตอนขอกลับอาจารย์วรณีมักจะให้รถไปส่งถึงบ้าน
นายอาลีคนขับรถ แม้จะเป็นมุสลิม แต่ก็ทำงานอยู่กับชาวพุทธมาเป็นเวลาช้านาน จึงมีความเข้าใจในหลักธรรมทาง
พระพุทธศาสนาดีพอสมควร และคงจะอดรนทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของนางถวิล ดังนั้นในวันหนึ่งระหว่างที่ขับรถ
ไปส่งจึงได้ถามว่า ในเมื่อนุ่งขาวห่มขาวถือศีลทำสมาธิแล้วอย่างนี้ จะกลับไปอยู่ร่วมกับสามีอีก จะไม่ทำให้ผิดศีลหรือ
อย่างไร คำตอบที่นายอาลีได้รับจากนางถวิลก็คือ ขณะนี้ตนสละและปล่อยว่างเรื่องโลกหมดแล้ว แม้ร่างกายก็ไม่ได้คิดว่า
เป็นของตน แต่คิดว่าเป็นเหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากความรู้สึก (ฟังแล้วก็เป็นงง ไม่รู้ว่าปล่อยวางอะไร ตามลัทธิไหน ในเมื่อสละทุกสิ่งหมดแล้วจะมาร้องไห้ฟูมฟายด้วยเรื่องสามีมีภรรยาน้อย ไปหามีดด้ามยามทำไมกัน)
เกือบจะลืมเล่าไปว่า อาจารย์วรณีนั้นท่านรักสุนัขมาก สุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นอัลเซเชี่ยนพันธุ์ผสมหลายตัว และสุนัขก็รักเจ้า
นายของมันมากเช่นกัน เมื่อมีผู้ไปเยี่ยมเยียน มันจะนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ เพื่อคอยระแวดระวังภัยให้เจ้าของ แต่ก็ยังไม่
ปรากฎว่ามันเคยกัดใคร
สำหรับรายนางถวิลนี้มาแปลก สุนัขจะคอยติดตามดูพฤติกรรม พร้อมกับมีเสียงคำรามเบาๆ อยู่ในคอ ซึ่งท่านเจ้าของบ้านต้องคอยปรามอยู่เสมอ ครั้งสุดท้ายขณะที่กำลังคุยกันอยู่บนโซฟา คงจะเกิดคันศีรษะจึงยกมือขึ้น เพียงแค่แตะศีรษะ สุนัขซึ่งตั้งท่าคอยทีอยู่แล้ว ก็กระโดดขึ้นงับแขนทันทีเพราะมันเข้าใจว่าจะทำร้ายนายของมัน ตั้งแต่นั้นมาก็ได้ไปที่บ้านอีกเลย คงกลัวสุนัข
มีคติของชาวตะวันตกอยู่เรื่องหนึ่งว่า การจะพิสูจน์คนว่าเป็นคน (ใจ) ดี หรือ (ใจ) ไม่ดีนั้น ให้ใช้ทารกหรือสุนัขเป็น
เครื่องทดสอบ หากทารกเห็นแล้วเบือนหน้าหรือไม่ยอม เข้าไปหาสุนัขไม่เป็นมิตรด้วย เห็นแล้วคำรามเข้าใส่ ท่านว่า
ใช่เลย คนๆนั้นจิตใจไม่ซื่อ การจะคบหาต้องระมัดระวังให้มากหรือทำได้ควรหลีกให้ห่าง คตินี้คิดว่าน่าจะใช้ได้กับชาว
ตะวันออกเหมือนกัน(หมายเหตุ : ยกเว้นสุนัขแม่ลูกอ่อน)
จากคำบอกเล่าของคนขับรถและแม่บ้าน สรุปรวมแล้วได้ความว่า ในระยะแรกๆ นางถวิลจะชี้นำให้เห็นว่า การไปนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ที่วัดนั้นให้ผลดีอย่างไร เช่น สามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ย้อยไปข้างหลังได้ และมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆล่วงหน้าได้ในสมาธิ โดยมีนางชีจันทร์ ผู้มีญาณอันแก่กล้าเป็นคนฝึกสอนให้
หลังจากเห็นว่าเหยื่อตายใจ เชื่อสิ่งที่ตนบอกเล่าว่าเป็นความจริงแล้ว ต่อจากนั้นก็บรรยายและสรรเสริญในความ
มหัศจรรย์ พันลึกของนางชีจันทร์ต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงเป้าหมายสำคัญที่ว่าคือ บอกว่า นางชีจันทร์มองเห็นในสมาธิว่า มีวัดๆหนึ่งชื่อว่า "วัดวรณีธรรมกาโย"(ตอนแรกตั้งชื่อมั่วๆไปก่อน เพียงขอให้มีคำว่า "วรณี" อยู่ในชื่อวัดเท่านั้นเป็นพอ) อยู่เหนือขึ้นไปเล็กน้อยมีโบสถ์ก็สวยงาม มีกำแพงแก้ว มีน้ำล้อมรอบบริเวณวัดกว้างขวางร่มรื่นสวยงามมาก
ครั้งต่อไป นางชีจันทร์ก็มองเห็นทางสมาธิอีกว่า อาจารย์วรณีนั้นคือพระพุทธเจ้ามาเกิด เพื่อมาสืบพระศาสนา
ความอันเป็นเท็จนี้ แม้อาจารย์วรณีจะถูกเล่ห์กลดลใจให้หลงเชื่ออย่างไรก็ตามที แต่เมื่อใครๆได้ฟังต่างก็ไม่มีใครเชื่อ
เห็นว่าเป็นการหลอกลวงเสียมากกว่า เพราะชาวพุทธทุกคนก็รู้ดีว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ท่านเสด็จ
ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ขันธ์ของท่านดับสิ้นไปแล้ว ไม่มีกิเลสเหลือเป็นเชื้อให้เกิดได้อีก อย่างนี้ไม่เรียกว่าหลอกลวง
แล้วจะให้เรียกว่าอะไรดี?
คนกลุ่มนี้ใช้วิธีการชั่วร้ายชักจูงอาจารย์วรณี ให้หลงออกนอกทางไปแล้วอย่างไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้ ผู้ใด
ที่เตือนสติ ช่วยชี้แจงให้เข้าใจความจริงที่ถูกต้อง จะถูกหาว่าเป็นคน "มืด" ทั้งสิ้น
หมายเหตุมิจฉาทิฎฐิที่เห็นว่าพระพุทธเจ้ายังมีตัวตนอยู่หรือพระพุทธเจ้ามาเกิดเป็นคนนั้นคนนี้และผู้ใดที่มิใช่อยู่
ฝ่ายตนจะถูกหาว่า"มืด" ทั้งหมด คือเป็นสีดำ ฝ่ายตนเท่านั้นที่เป็นสีขาว ทั้ง ๒ ประการนี้ มิจฉาทิฎฐิกลุ่มนี้ยึดถือ
กันมานานกว่า ๓o ปีแล้วไม่ใช่เพิ่งมากระทำกันในปัจจุบันก็หาไม่หลังจากแผนแรกดำเนินมาด้วยดีบรรลุเป้าหมาย
เกินคาดต่อไปก็เริ่มดำเนินการตามแผนที่ ๒ ตามขั้นตอนและวิธีการแบบเดิม คือใช้เล่ห์หลอกลวง

แผนที่ ๒ เมื่อนางถวิลไม่ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากสุนัขภายในบ้านของอาจารย์วรณีแล้วพื้นที่ดำเนินงานตาม
แผนนี้ก็คือ สถานที่ทำงานของอาจารย์วรณี คือ โรงเรียน ดาราคาม ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหลังท้องฟ้าจำลอง ถนนสุขุมวิทซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านของอาจารย์วรณีมากนัก โดยใช้สถานที่ห้องสมุดของโรงเรียนในการพบปะปรึกษา
หารือบรรณารักษ์ห้องสมุดของโรงเรียนซึ่งเป็นเลขานุการของคณะกรรมการโรงเรียนเป็นผู้หนึ่งที่รับรู้และจดบันทึก
การประชุมปรึกษา
เนื่องจากบางครั้งต้องเชิญคณะกรรมการโรงเรียนเข้าร่วมปรึกษาหารือด้วยช่วงนั้นคุณปลุกวัชราภัย อดีตรองปลัด
กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นญาติกับอาจารย์วรณี เป็นประธานคณะกรรมการฯ ซึ่งคุณปลุกท่านเป็นผู้ทราบเรื่องเหล่า
นี้เป็นอย่างดี และไม่เชื่อถือไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย ปัจจุบันท่านถึงแก่อนิจกรรมแล้ว นางถวิลเริ่มนำนางชีจันทร์เข้า
มาพบปะกับอาจารย์วรณี(ก่อนหน้านี้อาจจะเคยพาอาจารย์วรณีไปพบนางชี และผู้ชายเบอร์ ๔ ที่อาศัยซ่อนร่างอยู่
ในผ้าเหลือง ที่วัดแล้วก็เป็นได้ผู้เขียน ไม่ได้เห็นและรับรู้จึงไม่ขอกล่าวถึง) ระยะเริ่มแรกก็ด้วยการชี้ชวน ให้ครูและ
นักเรียนฝึกนั่งสมาธิ อันเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับหลักสูตรจริยศึกษาพอดี นางถวิลใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้าง เพราะใช้เวลาราชการออกมาทำกิจกรรมอื่น นอกเหนือจากงานในหน้าที่
นางถวิลอวดอ้างสรรพคุณของนางชีจันทร์ให้ครูและนักเรียนฟังว่า ได้ไปฝึกสมาธิให้นักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษามา
แล้วหลายโรงเรียน เด็กบางคนสามารถมองเห็นพระพุทธรูปกลางกาย บางคนมองเห็นเหตุการณ์ได้ในสมาธิ และเด็กบาง
คนเมื่อทำสมาธิในขณะสอบไล่ก็สามารถเห็นคำตอบแต่ละข้อชัดเจนจนทำสอบได้ถูกหมดทุกข้อ(ช่างเป็นเรื่องเท็จที่(ไม่)
เหลือ(ความ)เชื่อจริงๆ)
ขณะฝึกสมาธินางชีจันทร์จะคุมอยู่ใกล้ๆ คอยถามอยู่ตลอดเวลาว่า เห็นหรือยัง เห็นพระพุทธรูปกลางกายหรือยัง บางครั้งอาจารย์วรณีจะเข้ามาช่วยฝึกด้วย (แสดงว่าต้องเคยไปที่วัดมาแล้ว) ซึ่งปรากฎว่าไม่มีใครเห็นอะไรเลย และการฝึกสมาธิก็มิได้จริงจังเท่าไรนัก คงเพียงอาศัยใช้เป็นเครื่องอำพรางวัตถุประสงค์ เบื้องลึกเท่านั้น
ได้มีการกล่าวถึงความมีบุญบารมี ความสง่างามอันน่าเลื่อมใสศรัทธา ของผู้ชายเบอร์ ๔ คนนั้น ด้วยความหลงใหล
ได้ปลื้ม เมื่อมีผู้ถามถึงสาเหตุที่ต้องพรางดวงตาไว้ด้วยแว่นสีดำก็จะได้รับคำตอบว่า นัยน์ตานั้นงามมีเสน่ห์มาก และจะเป็นภัยแก่ผู้หญิงหากถอดแว่นออกเมื่อใดโลกอาจจะต้องลุกเป็นไฟก็ได้...(เฮ้อ!มหัศจรรย์อะไรจะขนาดนั้น)
ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเต็มเปี่ยมหลังจากอาจารย์วรณีได้ปรึกษาคุณหญิงแพทยฯแล้วและคุณหญิงฯท่านก็ไม่ขัดข้อง
สุดแล้วแต่บุตรสาวจะเห็นดีเห็นงาม ดังนั้นอาจารย์วรณี จึงได้ตกลงใจยกที่ดินที่คลองสามแปลงนั้นให้สร้างวัดสำหรับ
ปฎิบัติธรรม และเพื่อผู้ชายคนนั้น ?
เป็นอันว่าประสบผลสำเร็จอันงดงามตามแผนที่วางไว้

แผนที่ ๓ นายเผด็จเข้ามาร่วมปรึกษาหารือ โดยขั้นแรกไปดูที่ดินก่อน สำหรับที่ดินนี้ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า ไม่มีผู้ใดทราบว่าตั้งอยู่ที่ไหน แม้แต่อาจารย์วรณีเอง ผู้ที่ทราบคือนายอาลีคนขับรถ ดังนั้นนายอาลีจึงเป็น
ผู้พาทุกคนไปดูที่ดินมิจฉาทิฎฐิกลุ่มนี้ล้วนดีใจกันถ้วนหน้าเมื่อเห็นที่ดิน
ต่อไปเป็นการวางแผนสร้างวัด เนื่องจากเป็นที่นา และชาวนาหลายครอบครัวเช่าทำอยู่ จึงต้องจัดการให้ชาวนา
เหล่านั้นออกไปจากที่ดินก่อน แล้วปรับพื้นที่ให้เรียบเสมอกัน จึงจะดำเนินการสร้างโบสถ์ได้
นายเผด็จเสนอรับจัดการเรื่องแบบแปลนโบสถ์ ทุกคนเห็นชอบด้วย ค่าแบบแปลนราคา ๔ หมื่นบาท (เมื่อ ๓o กว่า
ปีมาแล้วนะ ไม่ใช่ ๔ หมื่นบาทในปัจจุบัน) อาจารย์วรณีได้จ่ายเงินให้ไปเรียบร้อยโดยไม่มีการทักท้วงต่อรอง แล้วยังปวารณาไว้อีกว่า หลังจากได้รับเงินชดเชยจากการเวนคืนที่ดินเริเวณหลังโรงพยาบาลกลางจำนวน ๑๘ ล้าน
บาทแล้ว จะยกเงินจำนวนนี้ให้ทั้งหมด เพื่อสร้างวัด และนายเผด็จอีกนั่นแหละที่เสนอตัวขอไปอยู่ในที่ดินเพื่อควบคุม
ดูแลการก่อสร้างวัดทุกคนก็เห็นชอบอีกก็เพราะเป็นผู้ชายอยู่คนเดียว นอกนั้นคือผู้หญิงทั้งสิ้น ทุกคนต่างชื่นชมว่า
เป็นผู้เอาใจใส่และมีความเสียสละ ที่ว่าเสียสละก็เพราะต้องละทิ้งงานประจำที่ทำอยู่ ละทิ้งรายได้ที่เคยได้ มาทำงานให้วัด
ก็อาจารย์วรณีอีกนั่นแหละ เป็นผู้จ่ายเงินสร้างบ้านขึ้น ๑ หลังบริเวณใกล้ๆ กับคลอง เพื่อให้เป็นที่พักของนายเผด็จ
เป็นบ้านไม้ทั้งหลังใต้ถุนสูง สร้างอย่างแข็งแรงและเกือบจะเป็นบ้านถาวร ค่าก่อสร้างเท่าไรไม่ทราบได้ พร้อมกับจ่าย
เงินให้นายเผด็จเดือนละ ๑ หมื่นบาทเพื่อทดแทนที่ต้องออกจากงานเก่าเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นตลอดจนเครื่องอำนวยความ
สะดวกซื้อให้ใหม่ทั้งหมด
ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ นายอาลีจะขับรถพาอาจารย์วรณีไปซื้อกับข้าว ของใช้ต่างๆ แล้วนำเอาไปให้ พร้อมกับดูแลจัด
บ้านช่อง ปัดกวาดทำความสะอาดให้อย่างเรียบร้อย
นายอาลีเป็นคนขับรถ เฝ้าแต่ยืนดูคุณหนูของเขา(เพราะรับใช้มาตั้งแต่อาจารย์วรณียังเป็นเด็ก) ทำงานด้วยความ
ห่วงใยและละเหี่ยใจ แต่ไม่สามารถออกความดิดเห็นอะไรได้เพียงแต่รำพึงกับคนใกล้ชิดว่าสงสารคุณหนู
เหลือเกินไม่เคยทำงานอย่างนี้มาก่อนเลย แต่ต้องมาทำเพราะอะไร ? เพื่ออะไร ? และทำเพื่อใคร ?
นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายที่เป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งอาจารย์วรณีเป็นผู้จ่ายดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายด้าน
อื่นอีก จิปาถะเช่นค่าปรับพื้นที่ดินค่าข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านอันได้แก่เครื่องนอนตู้ โตะ พัดลม ฯลฯ ตลอดจนค่าอาหารการกินที่ได้จัดซื้อหาไปให้เป็นประจำทุกวันหยุดสุดสัปดาห์อีกด้วยเป็นการจ่ายด้วยความ
เต็มใจ และเลื่อมใสศรัทธา ด้วยมีความตั้งมั่นอยู่ในใจจริงจังว่า วัดนี้เป็นวัดของท่าน
เมื่อมีข่าวแพร่ออกไปว่า อาจารย์วรณียกที่ดินร้อยกว่าไร่ที่คลองสาม ให้สร้างวัดสำหรับปฎิบัติสมาธิ ความทราบ
ถึงคุณหญิงดิฐการภักดี ซึ่งขณะนั้นดูเหมือนท่านจะปฎิบัติธรรมอยู่ที่สำนักวัดมหาธาตุฯ (หากคลาดเคลื่อนจาก
ความจริงก็ขอประทานอภัย) ได้ติดต่อมาขอพบบุคคลกลุ่มนี้ เพื่อจะรวบรวมเอาสำนักปฎิบัติธรรมวัดมหาธาตุฯ มารวมเป็นสำนักเดียวกัน ณ. สถานที่ใหม่ เนื่องจากทีพื้นที่กว้างขวาง และบรรยากาศก็เหมาะสมในการปฎิบัติธรรมมาก
คุณหญิงฯ ท่านได้มาพบบุคคลกลุ่มนี้ ที่ห้องสมุดของโรงเรียนดาราคาม ซึ่งในวันนั้นได้มีคณะกรรมการโรงเรียนหลาย
ท่านเข้ามาร่วมปรึกษาหารือด้วยนายเผด็จเป็นผู้ตอบปฎิเสธข้อเสนอของคุณหญิงฯด้วยน้ำเสียงและท่าทีแข็งกร้าว แสดงความเป็นเจ้าของอย่างเด่นชัด โดยให้เหตุผลว่า "สำนักปฎิบัติธรรมของกลุ่มพวกตนนั้น ปฎิบัติในชั้นสูง เป็นคนละแนวทางกันกับสำนักวัดมหาธาตุฯ จึงให้มารวมด้วยไม่ได้" ก็เพิ่งได้รู้ในตอนหลัง ๆ นี่เองว่า คนกลุ่มนี้เขาปฎิบัติธรรมกันแบบไหน ผิดแผกแตกต่างไปจากที่มนุษย์มนา กลุ่มอื่นๆเขาปฎิบัติกันอย่างไร
การสร้างวัดดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โดยมีอาจารย์วรณีเป็นสปอนเซอร์
ตัวผู้เขียน ไม่ได้พบปะ ติดต่อกับอาจารย์วรณีอีกเป็นเวลานานพอสมควร เมื่อเดินทางไปตามถนนสาย
พหลโยธินผ่านรังสิต บริเวณปากทางแยกเข้าอำเภอองครักษ์ มองเห็นป้ายว่า "วัดวรณีธรรมกายาราม"
ตั้งอยู่ที่บริเวณด้านหน้าของศาลเจ้าก็คิดว่าทุกอย่างคงเรียบร้อยแล้วไม่มีปัญหา
แต่ต่อมาไม่นาน เมื่อผ่านแถวนั้นอีก มองไปที่ป้ายก็เห็นเปลี่ยนเป็น "วัดพระธรรมกาย" ไปแล้ว เกิดความสงสัยว่า ทำไมและเพราะอะไร ?

แผนสุดท้าย คือการขจัดเจ้าของที่ดินเดิมออกไปให้พ้นทาง
เวลาผ่านมาอีกระยะหนึ่ง เมื่อมีโอกาสได้พบกับอาจารย์วรณีอีก ความสงสัยก็กระจ่างชัดเจนขึ้น เมื่อท่านเล่าให้ฟังว่า
ได้ถอนตัวออกมาจากคนกลุ่มนี้แล้ว (มิน่าล่ะชื่อวัดจึงเปลี่ยนใหม่) เนื่องจากในวันทำพิธีวางศิลาฤกษ์ แต่ถูกนาง
ชีจันทร์กีดกันไม่ให้เข้าไปภายในบริเวณที่ทำพิธี ก็ต้องกลับออกมาด้วยความเสียใจและผิดหวังอย่างมาก แล้วตัดสินใจเลิกคบหากับคนเจ้าเล่ห์กลุ่มนี้โดยเด็ดขาด
เงินจำนวน ๑๘ ล้านบาท ที่ได้เคยปวารณาไว้ว่าจะยกให้สร้างวัดทั้งหมดนั้น ก็ได้นำไปสร้างอาคารสำหรับปฎิบัติธรรม
ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ และอีกส่วนหนึ่งได้นำไปสร้างโรงเรียนให้ตำรวจตระเวนชายแดน ที่จังหวัดกาณจนบุรีจำนวน
๒ โรงเรียน เพื่อสนองพระราชดำริและน้อมเกล้าฯถวายสมเด็จพระบรมราชนนี โรงเรียนทั้งสองนั้นได้แก่ โรงเรียน
วิเศษกุล และโรงเรียนสุนทรเวช อันเป็นชื่อสกุลของมารดาและบิดาของท่าน หลายคนต่างก็อนุโมทนา
ในที่สุด อาจารย์วรณีก็ได้เกิดปัญญามองเห็นความจริงแล้วปลีกตัวออกมา แม้จะสายไปสักหน่อย กระทั่งได้สูญเสียที่ดิน
และทรัพย์สินเงินทองไปไม่ใช่น้อย แต่ก็นับว่าเป็นผลดีอยู่มาก เพราะหากยังหลงเชื่องมงายอยู่ ก็ยังไม่แน่ว่าจะสูญเสีย
อีกเท่าใด แม้ว่าท่านจะยังมีให้เสียก็ตามทีน่าขอบใจนางชีจันทร์ที่ทำให้อาจารย์วรณีได้เห็นสัจธรรม
ตามหลักพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงการให้ทานไว้อย่างชัดเจนว่า "ให้สิ่งที่ควรให้ แก่คนที่ควรให้" จึงเป็นการให้ทาน
ที่ถูกต้อง และได้กุศล แต่ถ้า "ให้คนที่ไม่ควรให้" ก็จัดว่าเป็นการให้ในทางที่ผิด ย่อมได้แต่อกุศล
การได้รับทรัพย์สินที่เขาทำทานมา ด้วยวิธีการใช้เล่ห์เพทุบายหลอกลวง ทรัพย์นั้นจัดว่าเป็นทรัพย์ที่ไม่บริสุทธิ์ จะเอามาซักมาฟอกก็ไม่มีทางสะอาดได้ และสมบัติย่อมคู่กับวิบัติเสมอกรรมนั้นมีอยู่จริง ผู้ใดทำสิ่งใดได้ ย่อมได้รับผลนั้นตอบสนองไม่ช้าก็เร็ว ยิ่งยุคนี้เป็นยุคไฮเทค กรรมจะติดจรวดมาเร็วมากไม่ต้องรอชาติหน้า แต่จะทันตาเห็นชาติ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2011, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.thaiwashington.org/node/296


อ้างคำพูด:
ความคิดเห็น

ความแตกต่างระหว่างงานศพ ท่านพุทธทาส กับ แม่ชีจันทร์ วัดธรรมกาย
"ไปทำบุญที่นี่มันยากนะ เพราะนอกจากต้องมีเงินมากๆแล้ว...
...ต้องโง่ด้วย"

งานศพท่านพุทธทาส ยึดแนวทางปฏิบิติ "เป็นอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง"
แม้แต่งานศพของอินทปัญโญก็ยังแฝงไว้ด้วยการสอนธรรมของตัวท่านใน พินัยกรรม ของท่านที่ทำไว้ก่อนมรณภาพ ท่านเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ให้เผาศพท่านในสามเดือนโดยจัดการอย่างง่ายที่สุด ไม่จัดงานพิธี โดยให้เผาศพในบริเวณเขาพุทธทอง โดยปักเสาสี่มุมและคาดผ้าขาวเป็นเพดานเท่านั้น นี่เป็นเจตนาของท่านที่ต้องการให้งานศพของท่านเป็นแบบอย่างเหมือนสมัยพุทธกาล โดยมุ่งหวังให้สงฆ์รุ่นหลังยึดถือปฏิบัติต่อไปในภายหน้า
งานศพแบบสวนโมกข์ได้ปรากฏขึ้นแก่สายตาของพระ และฆราวาสจำนวนมากที่มาร่วมงานตามจุดประสงค์ของอินทปัญโญทุกประการ นี่เป็นการจัดการ ศพโดยวิธีเผากลางแจ้ง โดยตั้งโลงศพบนกองฟืน แล้วจุดไฟเผาต่อหน้าสายตาของผู้มาร่วมรับการสอนธรรมอย่างไม่มีสิ่งปิดบัง
ในประเทศนี้มีชาวพุทธจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้พยายามด้วยวิธีการต่างๆ ตาม "ความจริง" และ "ความเชื่อ" ของตน เพื่อที่จะเข้าใกล้พระพุทธเจ้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จะมีใครสักกี่คนกันที่สามารถเป็นผู้อยู่ใกล้พระพุทธองค์อย่างที่สุด เหมือนอย่างท่านผู้ที่กำลังถูกเผาไหม้อยู่เบื้องหน้านี้






ภาพงานศพ แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง วัดธรรมกาย เมื่อกันยายนปีที่แล้ว อลังการงานสร้าง เทียบชั้นงานเปิด โอลิมปิค "ปักกิ่งเกมส์" และยังจัดได้แบบพิธีเปิดฟุตบอลโลก 2010 ยังต้องอาย






ขอบคุณ จินดารัตน์ ศักดิ์สุภา <double-sugar@hotmail.com>
คำว่า บุญ นั้น ใจความสำคัญมันอยู่ที่ว่า เป็นเครื่องชำระชะล้างบาป การทำบุญหวังให้สวย ให้รวย ให้ได้วิมาน ให้ได้สวรรค์ เต็มไปด้วยกามารมณ์ เหล่านี้ มันเป็นการชำระชะล้างบาปหรือเปล่า
ท่านพุทธทาสภิกขุ
kanokwan

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2011, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


http://share.yotathongthin.com/index.php?topic=1678.0

อ้างคำพูด:
วันศุกร์ที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๒
ครั้งที่ ๓๐
นรกขุม ๖ แดนไฟนรก

ดวงจิตผมลงสู่นรกด้วยกายธรรมกาย อันเป็นสุดทางแห่งสวรรค์ในปรนิพพาน มนุษย์ทั้งหลายที่ปฏิบัติจิตจนถึงสุดทางนี้ เขาจะได้รับกายธรรมกายเป็นผลแห่งการกระทำ
จิตตวิมังสาแห่งกายนั้นเป็นปรมกายแห่งตน สัตว์ตนใดกระทำตนเป็นที่ตั้งด้วยฐานแห่งธรรมกายฐานเจ็ดนั้นจะได้รับผล ตวิมังสา (กายธรรมกายที่ปรากฏแห่งฐานที่เจ็ด)
ดวงจิตแห่งธรรมกายนั้น สะอาด ประเสริฐ บริสุทธิ์ ผุดใสด้วยใจที่สงบแห่งฐานเจ็ด
กายที่มีในกายคนนั้น ผู้ใดค้นพบย่อมลึกซึ้งสู่ธรรมกาย ?.
ไฟนรกอันร้อนแรง แผดเผาสัตว์ทั้งหลายให้ดับสลายไปกับกองไฟ แสงไฟแห่งกรรมนั้นไม่มีใครดับได้ หากสัตว์ตนนั้นไม่กระทำตนเป็นที่ตั้งด้วยกายธรรมกายแห่งฐานเจ็ด หนนรกทางสุดนั้นจะเป็นที่สุดแห่งวิญญาณนั้น
ผลกรรมแห่งตนนั้นมีแต่สัตว์ผู้นั้นเป็นผู้รับกำหนดในกรรมแห่งตน มีสิ่งกำเนิดด้วยจิต อันเจตนานั้นเป็นผู้กระทำ ส่งผลที่ก่อให้กรรมนั้นได้รับเป็นกายกรรม มโนกรรม วาจากรรม รวมเรียกว่า มนุษยกรรม นี่เป็นกรรมแห่งสัตว์ (เจตต (อ่านว่า เจต-ตะ) แปลว่า ดวงจิตแห่งตน) เจตตสัตว์อันกำเนิดด้วยฤทธิ์ธรรมในธาตุแห่งสัตว์ที่ก่อกำเนิดด้วยบรมธาตุ จะสิ้นสุดด้วยผลแห่งกรรมเป็นที่ตั้ง และเจริญด้วยธรรมเป็นที่สุดในภพภูมิบรมสุทธิ์ ศีลธรรม(ธรรมอันเจริญด้วยธรรม ที่ก่อในกายวิสุทธิกายในกายตน นั่นเป็นสัทธรรมอันประเสริฐ ที่ยังให้สัตว์นั้นข้ามสู่ห้วงสัตยภพ (ห้วงที่สัตว์ทั้งหลายเวียนว่าย)
โบราณกาลเก่านั้น ผู้เฒ่าแก่มักจะสอนลูกหลานว่า อย่าทำบาปนะลูก ระวังจะตกนรกหมกไหม้ บรรดาลูกหลานที่ดีก็เชื่อฟังคำตักเตือนสั่งสอนของท่าน ชีวิตก็จะมีแต่ความผาสุกร่มเย็น ดำเนินชีวิตตามหลักของพระพุทธศาสนาเมื่อตายจากภพนี้ไปแล้วก็จะได้ไปเสวยผล บุญตามที่ตนได้สร้างมาทุกคน แต่ถ้าใครที่ทำบาปสร้างแต่กรรมชั่วเป็นนิจ นรกเป็นที่สุดแห่งคนเหล่านั้น
วิญญาณบาปที่ถูกเผาด้วยไฟนรก มีผู้นั่งกรรมฐานไปสู่นรกและนำกลับมาเล่าความที่พบว่า ใครที่ทำบาปกรรม นรกมีไฟเผาตนให้ร้อนแรง มักพูดว่า ระวังจะตกนรกหมกไหม้และถูกไฟนรกเผาผลาญจนกว่าจะสิ้นกรรม
ดวงไฟดวงใหญ่หล่นออกมาจากที่สูง คล้ายสะเก็ดเพลิงหล่นกระจาย แต่มีลักษณะเป็นก้อนใหญ่กว่ามีวิญญาณหลายตนกระจายหนีออกากดวงไฟดวงใหญ่นั้น ต่างคนต่างหลบหนีไปคนละทาง ยมทูตที่ยืนอยู่รอบข้างก็ได้ใช้หอกแหลมทิ่มแทงไล่ให้กลับเข้าไปอีก วิญญาณที่อยู่ในสะเก็ดไฟกระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะเพลิง ผิวที่โดนสะเก็ดเพลิง เป็นรอยต่างดวงตามตัว เลือดหนองไหลเยิ้มออกมา และส่งกลิ่นเหม็นออกมาอยู่ห่าง ๆ กลิ่นคล้ายเนื้อสุก แต่ก็มีกลิ่นของความสกปรกรวมอยู่
มีวิญญาณผู้หญิงตนหนึ่งถูกนำออกมาจากที่ลงทัณฑ์นี้ ผมเดินตามเขาไปพร้อมกับยมทูต สักครู่ก็ถึงสถานที่ลงทัณฑ์ที่สอง เป็นหลุมลึกลงไปในดิน มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาเหนือปากหลุม ภายในหลุมมองเห็นวิญญาณหลายตนนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ในหลุม ยมทูตนำตัววิญญาณหญิงตนนั้นไปยืนที่ปากหลุมแล้วผลักหญิงตนนั้นลงไปในหลุม เธอร้องขึ้นด้วยความตกใจ เสียงหล่นดัง ตุ๊บ ดังขึ้น และเสียงกรีดร้องของสัตว์ตนนี้ก็ดังขึ้นอย่างโหยหวนที่สุด กลิ่นเหม็นของเนื้อที่ถูกไฟเผาโชยขึ้นมาพอได้กลิ่น ผมยืนรออยู่สักพักก็มียมทูตเข้าไปใช้วัตถุคล้าย ๆ กับที่ตักทรายโกยขี้เถ้าขึ้นมาจากหลุม
ภูตของวิญญาณที่ถูกเผานั้นมีลักษณะพอจะมองออกเป็นรูปร่างได้ แต่ไม่เด่นชัดนัก ได้ลอยเข้าสิงเถ้าธุลีนั้นต่อ และยมทูตก็เอาเถ้าธุลีนั้นเดินไปยังที่ลงทัณฑ์ที่สามต่อไป เมื่อถึงที่ลงทัณฑ์ ยมทูตก็ได้เทเถ้านั้นลงไปในหลุมอีก เสียงกรีดร้องดังขึ้นพร้อมกับขี้เถ้าที่ถูกโยนลงไปในหลุม กายวิญญาณก็กลับชีวิตขึ้นมาใหม่ และพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาให้พ้นจากหลุม มีเสียงคำรามของสุนัขดังขึ้นมาจากปากหลุม เมื่อสุนัขปากเหล็กกัดเนื้อหนังจนหลุดออกมาได้ มันจึงจะปล่อยวิญญาณนั้นขึ้นมาจากหลุม รูปร่างของวิญญาณที่หนีขึ้นมาไม่สวมเสื้อผ้าและตามเนื้อตัวเป็นแผลเหวอะหวะ ร่างกายที่ดูสวยงามเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ก็หมดสิ้นลง เนื้อหนังที่น่าจับต้องเมื่อถูกกัดจนเหวอะหวะก็ไม่ต่างอะไรกับเนื้อสัตว์ที่ ถูกกัดทำลายเช่นเดียวกัน
สภาพวิญญาณตนนี้ มีรูปร่างอะไรไม่ผิดไปจากสัตว์ตนหนึ่ง ที่หลบหนีภัยขึ้นมารอยแผลตามร่างกายมีอยู่ทั่วไปตามตัว ผมเผ้ากระเซิง หน้าตาดำคล้ำ และตรงน่องของผีตนนี้ถูกสุนัขปากเหล็กกัดเนื้อตรงนั้นหลุดออกมาจนเห็น กระดูก
จากนั้นยมทูตก็ได้นำตัววิญญาณตนนี้ไปยังที่ลงทัณฑ์แห่งสุดท้าย ซึ่งดูแล้วเป็นที่ลงทัณฑ์มากกว่าที่อื่นที่ผ่านมา เมื่อถึงที่ลงทัณฑ์นี้ ตรงเบื้องหน้ามีกองไฟกองใหญ่ลุกโชนอยู่ วิญญาณตนนั้นก็ได้แสดงอาการกลัวอย่างลนลานและตระหนก ยมทูตตะคอกเสือกไสให้ไป วิญญาณตนนี้ก็ถูกจับโยนเข้าไปในกองไฟที่ลุกท่วมหัวคน ความร้อนแรงของเปลวเพลิงนั้นแผ่รัศมีร้อนออกมากว้างพอสมควร วิญญาณตนนี้ถูกเผาในกองไฟ น้ำเลือดน้ำหนองไหลสด ๆ ออกมา เส้นผมบนศีรษะถูกไฟเผาจนเกลี้ยง ตามตัวเริ่มพุพองและส่งกลิ่นเหม็นสาบโชยมาอย่างแรง ร่างกายของผีตนนี้ถูกไฟเผา สภาพไม่ต่างอะไรกับวัตถุที่ถูกเผาตามเชิงตะกอน เมื่อหมดเวลาโทษ ยมทูตก็ใช้น้ำพิเศษดับไฟนั้นให้มอดลง แล้วเข้าไปเอาตัววิญญาณตนนั้นออกมา
เมื่อวิญญาณนั้นถูกนำตัวออกมาจากกองไฟ ก็จะมีความรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง ร่างกายเริ่มเคลื่อนไหวทีละน้อยรูปร่างร่างกายเริ่มเปลี่ยนไปตามเดิม กายที่หายไปก็คืนกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้งหนึ่ง ผมบอกให้ยมทูตเอาตัวมาหาผม เพื่อสัมภาษณ์บาปที่สัตว์ตนนี้ได้ก่อ
วิญญาณเพศหญิงตนนี้บอกผมว่า ในอดีตเธอเป็นผู้หญิงขายบริการ เนื่องด้วยฐานะทางบ้านยากจน จึงออกมาทำงานในกรุงเทพฯ และถูกล่อลวงให้เข้าสถานบริการทางเพศ นับตั้งแต่นั้นมา เธอก็ถูกให้ขายบริการเพศกับแขกที่มาเที่ยวเรื่อยมา ต่อมาเธอก็ถูกผู้ชายที่เธอไปเที่ยวด้วยรุมข่มขืน
วิญญาณเพศหญิงตนนี้ได้เล่าให้ผมฟังว่า ในอดีตชาติของเธอเป็นหญิงโสเภณีมาก่อน มีอาชีพขายบริการเพศให้กับชายที่มาเที่ยว เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินที่หาได้มา เธอใช้มันอย่างสุรุ่ยสุร่าย และหาใหม่เมื่อหมดไปเป็นเช่นนี้เรื่อยมาในชีวิต ชีวิตเธอผันเปลี่ยนเรื่อยไป เธอได้กลับมาสู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนของเธอไม่รู้ว่าเธอไปทำงานขายตัว มีครั้งหนึ่งเธอได้ถูกเพื่อนชายข่มขืนและเสียตัวให้กับเขา เมื่อพ่อแม่ทราบเรื่องก็ขับไล่ไสส่งเธอออกจากบ้าน เธอหนีมาอยู่บ้านเพื่อน และอาศัยกินนอนอยู่ที่นั่น เมื่อไม่มีเงินเธอก็หันกลับทำงานเดิมอีก เธอไม่มีความสำนึกในใจ และในบาปที่เธอกระทำ เมื่อสิ้นชีพเธอจึงได้มาเสวยบาปในนรกชุมนี้

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2011, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สังคมชาวพุทธกำลังเป็นอะไรไปครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 119 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร