วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 20:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2011, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้อะไรๆ นั้นง่าย แต่แจ้งในใจ นั้นยากจริงหนอ :b41:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2011, 11:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.พ. 2011, 22:55
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านครับที่กรุณาตอบคำถาม ทำให้ได้รับทราบอุบายที่หลากหลาย
แต่ทว่ากิเลสนี่มันละเอียดอ่อนลึกซึ้งยิ่งนัก เปรียบเหมือนอสรพิษที่จะคอยแว้งกัดได้ทุกเมื่อ
การที่จะอยู่รวมกันกับมันโดยเพียงแต่คอยสำรวมระวังตัวนั้น เป็นอันวางใจได้ยาก
ควรจะใช้ธรรมประหารมันเสียให้สิ้นซาก ไม่ให้เหลืออยู่ในจิตใจอีกต่อไป

นิพพานคือการดับสนิทแห่งกองทุกข์นั้น ย่อมมีแก่พระอรหันตร์ที่สิ้นอาสวกิเลส
ไม่เหลือภพชาติและการเกิดต่อไปอีกโดยสิ้นเชิงเท่านั้น ปุถุชนธรรมดาความสงบในจิตใจ
ที่ยังมีกิเลสอยู่ช่างห่างไกลกับท่านผู้พ้นจากสมมุติทั้งสิ้น และเป็นของกลับไปกลับมาเอาแน่เอานอนไม่ได้
และผมยังเห็นว่าปุถุชนส่วนใหญ่จริงๆ ความเย็นมีน้อยนะครับ ส่วนมากมักยุ่งและวุ่นวายอยู่กับกิเลสมากกว่า

ถ้ากิเลสไม่ใช่ของจริง เราคงไม่ต้องมาเกิดอยู่ทุกวันนี้มั้งครับ ก็ตัวที่พาเรามาทุกข์ยากลำบาก
ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติก็กิเลสตัวเดียวนี้ไม่ใช่หรอ มันไม่ใช่ของจะเอาออกได้ๆ ง่าย เพียงแค่เรารู้จัก
ว่ามันไม่ดีหรือเป็นมายาเท่านั้น เพราะมันติดสนิทแน่นอยู่กับใจเรา ไม่ได้ยอมทิ้งไปง่ายๆ
จริงอยู่ที่มันเกิดแล้วก็ดับๆ แต่ปัญหามันมีอยู่ที่ว่า มันไม่ยอมหยุดเกิดขึ้นใหม่น่ะสิครับ เป็นตัวหมุนเวียน
สร้างภพชาติต่อไปได้เรื่อย ถ้าเราไม่เด็ดขาดมั่นคงในการจะกำจัดมันออกจากใจ

ตายก่อนตายเป็นนิพพานแน่ไม่ต้องสงสัย แต่กว่าจะไปถึงขั้นนั้น มันเป็นของง่ายๆ
ที่จะสั่งเอาได้เมื่อไรครับ เรื่องการระวังและตัดกระแสที่ผัสสะ เป็นของที่ทำได้ยากมาก
ถ้าขาดกำลังสติ สมาธิ และปัญญาที่เพียบพร้อม เพราะความทุกข์ที่เป็นปัญหากับชีวิตส่วนมาก
มันไม่ใช่ทุกข์ประเภทเด็กอนุบาล อย่างได้เห็นรูปไม่สวย ได้ฟังเสียงไม่เพราะ ดมกลิ่นเหม็น
ลิ้มรสของไม่อร่อย สัมผัสไม่สะดวกสบาย แบบนั้นน่ะถึงไม่ต้องระวังผัสสะ ก็ไม่ได้เคยเก็บมาเป็นอารมณ์เลย
แต่การพรัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ การหวังสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ดังนี้เป็นต้น
ผัสสะที่ใจกับเรื่องที่ล่วงเลยไปแล้วเหล่านี้ ซึ่งบทจะมามันรวดเร็ว แล้วก็ไม่เป็นรูปธรรม
ถึงจะได้ปิดหู ตา จมูก ลิ้นหนีได้ แต่มันอยู่ที่ในใจ ที่จะไปหักห้ามให้มันหยุดผัสสะนั้นยากครับ
จะยืน เดิน นั่ง นอน มันก็อยู่ด้วยตลอด

คนเรายึดมั่นในกายนี้มาก ทุกข์เกิดขึ้นกับความเป็นไปของกาย เวลาจะตายบอกมันสิครับ
ไม่ได้มีตัวกูเป็นผู้ตายเป็นการตายของกู พูดไปเถอะ ถ้ามันจะเชื่อ และไม่ทุกข์ร้อนวุ่นวาย
ผู้ไม่มีตัวกูของกูก็มีแต่พระอรหันตร์เท่านั้น ปุถุชนอย่างๆ เรานั้น ย่อมมีอยู่เป็นแน่นอน
ถึงจะเกิดๆ ดับๆ ก็เรียกว่ามันมี หลงในกายคนอื่นก็สุดๆ อีกเหมือนกัน ทุ่มความรักแรงปรารถนา
ลงไปยังกายของผู้อื่น ผู้จะตายก่อนตายนั้นได้พิจารณาสกลกายนี้ให้ทั่วแทงตลอด
จนเห็นไตรลักษณ์ชัดแจ้งดีแล้วหรือ ถึงจะละลงไปได้

ปริยัติเป็นเรื่องฟุ้งเฟ้อ ถ้าจะพูดสาธยายให้ลึกซึ้งพิสดารเท่าไรก็ได้ กิเลสยิ่งจะชอบ
เพราะมีแต่จะทำให้มันหลอกเราได้แนบเนียนไปอีก จนกว่าจะรู้ตัวว่ามีทุกข์หนักจริงๆ เท่านั้นแล้ว
คนจึงจะมาหาพระกรรมฐานกัน ที่สุดแล้วผมก็พอจะหาทางออกสำหรับตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
โดยได้จากการภาวนา เมื่อนังไปนานๆ สักพัก ทุกขเวทนาทางกายจะกล้ามาก เนื่องจากเหน็บและตะคริว
เจ็บและหนักแผ่ไปทั่วขา จิตไม่ยอมลงสู่ความสงบ เพราะพยายามจะดิ้นรนที่จะหนีจากทุกข์ทางกาย
อันเป็นสภาวะบีบคั้นทนอยู่ได้ยากนั้น ขันธ์ ๕ เป็อนัตตา เราจะไปสั่งว่าทุกขเวทนาอย่าเกิด
เมื่อมีผัสสะนี่นะย่อมไม่ได้ เรื่องมันเป็นอย่างนั้น บอกว่ามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แต่กลับจะไปบีบบังคับมัน

มีแต่ความคิดที่จะขยับพลิกขาอยู่ตลอดเวลา พอเราเปลี่ยนท่านั่งต่อไปนานๆ อีก ก็จะเป็นเหมือนเดิม
เลยจะหาความสงบไม่ได้ จนกระทั่งหมดหวังที่จะนั่งเอาดีในครั้งนี้แล้ว มีแต่ความลำบากทางกาย
ทนไม่ไหวก็คิดจะลุกหนีเสีย แต่ตัดสินใจว่าไหนลองทดดูสิ มันจะตายไหมกับการนั่งภาวนา
เลยน้อมจิตที่ดิ้นร้นหาทางออกจากทุกข์นั้น เข้าไปพิจารณากำหนดรู้สภาวะทุกข์
ซึ่งยิ่งปรากฏความทุกข์แสนสาหัสบีบคั้นหนักขึ้นๆ อย่างไม่เคยปรากฏ
ทฤษฏีกับปฏิบัติมันต่างกันนะครับ จิตที่เสวยเวทนาเกิดๆ ดับ ทุกขเวทนาไม่ได้มีอยู่ตลอด
ถ้าว่าอย่างนั้นก็ลุกหนีไปเลย มันก็ไม่มีแน่ แต่นี่ยิ่งเพ่งไปความทรมานในทุกขเวทนายิ่งชัดๆๆ
แต่กลับได้รับความสงบยิ่งขึ้นๆ ถึงที่สุดแล้วก็ละเวทนาไปเลย อยู่กับความสงบอย่างเดียว

ความทุกข์ทางใจก็คล้ายๆ กัน เมื่อเกิดขึ้นมามากจริงๆ แล้ว อย่าไปพยายามห้ามหรือหยุด
โดยการตัดผัสสะนั้นก็เช่นกัน จะเป็นการดิ้นรนพยายามออกจากทุกข์ให้เหนื่อยเปล่าเฉยๆ
ธรรมดาสภาวะบีบคั้นทนอยู่ได้ยากของทุกข์ จิตจะรับไม่ได้มักดิ้นรนกระเสือกกระสนแต่จะหนีให้พ้น
แต่กลับจะยิ่งดื่งลึกลงวังวน จนดที่สุดหาทางออกไม่ได้ ก็จะฆ่าตัวตายหนีเสีย
คนที่ฆ่าตัวตายจึงมักเป็นผู้ที่พลาด ต่อการจะได้ปฏิบัติเวทนานุปัสนาอย่างยิ่งยวด

ลองทำใจให้อยู่กับทุกข์ปล่อยให้มันเป็นไปเต็มที่ตามธรรมชาติของมัน
แล้วกำหนดรู้เพ่งเข้าไป มันจะเห็นทางออก และละของมันได้เอง
ขณะนี้ผมก็พอทนอยู่ได้ด้วยวิธีดังกล่าว เป็นวิธีที่น่ากลัว เพราะใครๆ ก็ดีดหนีทุกข์ทั้งนั้น
เวลามันมาแล้วรีบทบทวนคัมภีร์ สาธยายปริยัติกันปากสั่นไป แต่ทุกข์มันอยู่ในใจนี้
เราก็ควรจะแก้ที่ในใจ ดังท่านว่าเห็นทุกข์ก็เห็นธรรมนั่นเอง
ผมเชื่อว่าถ้าถึงที่สุดของมันแล้วจริงๆ กิเลสเป็นมายา ไม่มีตัวกูของกู
มันจะเห็นได้เอง เป็นความรู้ที่มั่นคงหนักแน่น จากภาวนามยปัญญาแท้
ไม่ต้องให้ใครได้มาบอกยากเลยครับ แต่ที่บอกกันอยู่ทุกวันนี้ๆ ก็ได้แต่บอกๆกันไป
ไอ้เราคนฟังมันก็รู้ เข้าใจ แต่ทำไม่ได้

แล้วผมอยากเรียนว่าที่ผมทุกข์อยู่นั่นด้วยสาเหตุอื่นนะครับ จึงทำให้อยากได้มรรคผลนิพพาน
โดยลำพังตัวความอยากได้มรรคผลนิพพานเองนั้น ไม่ได้ทำให้ทุกข์เลยแม้แต่น้อย
ผมยังเชื่อว่าเป็นกิเลสดีด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องกำจัด ซ้ำยังค่อนข้างรอบคอบปลอดภัย
เพราะผมไม่ได้อยากไปนิพพาน เพราะเป็นเมืองแก้วบรมสุข อยากหาความสุขให้ตัวกูของกู
แต่อยากหลุดอยากพ้นจากทุกข์ๆ ที่มันกำลังปรากฏชัดแจ้งอยู่ ให้เบื่อหน่ายอิดหนาระอาใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2011, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีค่ะ คุณจขกท

เท่าที่อ่านเนื้อหาคุณก็ถือว่าเป็นผู้มีความรู้ทางธรรมเป็นอย่างดีคนนึง
แต่อยากจะบอกว่า ความอยาก ไม่ว่าอยาก..ที่เป็นไปในทางกุศลหรืออกุศลนั้น
ก็ไม่อาจเข้าถึงนิพพานได้...ยิ่งมีความปรารถนา..ก็จะเกิดสภาวะที่จิตเข้าไปยึดใน
สิ่งนั้น ๆ เพื่อต้องการตอบสนอง...จิตจะยิ่งดิ้นรน...หาความสุขไม่ได้...
ซึ่งไม่ใช่อาการของการรู้เพื่อ "ปล่อยวาง"
..รู้สภาวะของทุกข์..ปล่อยวาง..ถ้าอยากหนีทุกข์หรือเกลียดทุกข์ ก็จะยิ่งทุกข์
..จิตจะยิ่งดิ้นรน....เพื่อตอบสนองความอยากหนีทุกข์ เป็นการเพิ่มกิเลสเข้าไปอีก
เกลียดมาก....รักมาก อะไรที่มากเกินไปนั้น "เป็นโทษ"
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตรัสสอน ให้เรารู้จักที่จะเดินทางสายกลาง นั่นเอง
สิ่งที่กล่าวอ้างนี้ก็ได้เรียนรู้จากการปฏิบัติธรรมของเราเอง...ซึ่งพอปฏิบัติได้ถูกตรง
ความทุกข์ที่มีลดลงได้ 80-90% และทุกข์ที่เราได้รับนั้นเรียกว่า ขั้นเทพ เชียวแหละ

ขอเจริญในธรรม

ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2011, 17:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.พ. 2011, 22:55
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับผมยิ่งความทุกข์มาก ความอยากพ้นทุกข์ยิ่งมาก แต่ความอยากพ้นทุกข์กลับไม่ได้ทำให้ทุกข์สักนิด
เพราะมันไม่ใช่สักแต่ว่าอยากๆ เท่านั้น แต่ยังรู้ถึงเหตุให้เกิดทุกข์ และอยากจะดับเหตุนั้นให้ได้
ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าเสียหายครับ และแม้ในหมู่นักปฏิบัติ ความรู้ความเห็นจากการภาวนาก็เป็นเรื่องเฉพาะตน
แตกต่างไปตามอุปนิสัย คงจะลงรอยเดียวกันหมดไม่ได้ เราจะบังคับใจให้ไร้อยากโดยสิ้นเชิงแต่แรกนั้น
เป็นไปไม่ได้ เหมือนกับเป็นการจะอุปโลกน์ตนเองให้เป็นพระอรหันตร์ ตรัสรู้ว่างจากตัณหาขึ้นมาเลย
ดังนั้นแล้วเราจึงควรที่จะต้องมีกิเลส ที่อยากจะหลุดจะพ้นจากกองทุกข์ก่อน จึงจะสามารถดิ้นรนขวนขวาย
หาทางปฏิบัติให้จิตตนหลุดพ้นจากสมมุติได้ ถูกอยู่ถ้าเป็นพระอรหันตร์ท่านย่อมวางเฉยแล้ว
ไม่อยากหลุดอยากพ้น แต่นี่เราเป็นคนธรรมดา อยู่ๆ ก็จะให้มีความวางเฉยไม่อยากพ้นทุกข์สิ้นกิเลสขึ้นมาเลย
มันไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับ ผมจึงเห็นว่ามีไปเถอะครับกิเลสตัวนี้ ยิ่งเห็นโทษเห็นภัยในวัฏสงสารยิ่งเบื่อยิ่งหน่าย
ยิ่งอยากหลุดอยากพ้นมากก็ยิ่งดี จะได้ยิ่งปฏิบัติทำความเพียรให้มาก ดิ้นรนไปตามความอยากอื่นพาไปก็ยังไปได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2011, 00:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2010, 07:19
โพสต์: 89


 ข้อมูลส่วนตัว



ธรรมของหลวงพ่อชา สุภัทโท
:b8: :b8: :b8:

~~~อยากก็ บ่ได้กิน...~~~~



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2011, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
No_name เขียน
ดังนั้นแล้วเราจึงควรที่จะต้องมีกิเลส ที่อยากจะหลุดจะพ้นจากกองทุกข์ก่อน จึงจะสามารถดิ้นรนขวนขวาย
หาทางปฏิบัติให้จิตตนหลุดพ้นจากสมมุติได้

ภวะตัญหา เป็นตัญหาที่เป็นกุศล สร้างกุศลธรรมให้เกิดขึ้นในใจ เราควรจะเป็นผู้ไม่ท้อแท้ในการปฎิบัติธรรม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2011, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


No_name เขียน:
ดังนั้นแล้วเราจึงควรที่จะต้องมีกิเลส ที่อยากจะหลุดจะพ้นจากกองทุกข์ก่อน จึงจะสามารถดิ้นรนขวนขวาย
หาทางปฏิบัติให้จิตตนหลุดพ้นจากสมมุติได้

:b8:
ตัณหาประเภทนี้ถ้าใช้ให้ถูกย่อมสามารถสร้างฉันทะในการปฏิบัติธรรมได้
เมื่อเจริญฉันทะในการปฏิบัติธรรมจนมั่นคงได้แล้วก็ให้ละตัณหาตัวนี้ไปเสียให้เหลือแต่ฉันทะล้วนๆ

พึงพิจารณา [อัง. จุตกก. 21/159/195]
"แน่ะน้องหญิง ข้อที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดจากตัณหา พึงอาศัยตัณหาละเสียซึ่งตัณหาดังนี้
เราอาศัยเหตุผลอะไรกล่าว; ในข้อนี้ ภิกษุได้สดับข่าวว่า ภิกษุมีชื่ออย่างนี้ได้ ประจักษ์แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในปัจจุบันทีเดียว ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เข้าถึงอยู่ดังนี้ เธอจึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่อไรเล่าหนอแม้เราก็จักประจักษ์แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ...
เข้าถึงอยู่บ้าง ดังนี้, กาลต่อมา ภิกษุนั้นอาศัยตัณหา ละตัณหาได้"
[ที่มา พุทธธรรม(ฉบับปรับปรุงและขยายความ)หน้า 517]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2011, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: คนทุกข์ นั้นมีเยอะ ก็ทุกคนนั้นแหละ
แต่ที่เราต้องการคือ คนที่เห็นทุกข์ เห็นว่าอะไรเป็นตัวทุกข์
นั่นแหละพบแล้ว เห็นทางแล้ว คนไม่เห็นทุกข์ ก็จะไม่มีทางเห็นธรรม
และไม่มีโอกาส เข้าถึงธรรมได้ มีทุกข์มาชั่วชีวิต ก็ไม่เป็นไร ถ้ามีสักครั้งได้เห็นทุกข์จริงๆ
ก็อย่าปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป อันนี้ไม่ใช่โชคร้าย แต่เป็นโชคดีแล้ว เราอ่านคร่าวๆ เจ้าของกระทู้นี้ไม่น่าธรรมดานะ.../เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2011, 23:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


555555 วัฏจักรแห่งความทุกข์ มีสุขก็ลืมทุกข์ เมื่อมีทุกข์กับทุกข์หนัก พระท่านว่าชอบแบกของหนักไม่ยอมทิ้งมัน
ต้องยอมรับในผลของกรรมให้ได้ก่อนเมื่อนั้นตาที่มีฝ้าก็จะสว่างเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 10:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 10:50
โพสต์: 2


 ข้อมูลส่วนตัว


สงบนิ่ง ทำใจให้สงบนิ่ง ปัญหาเกิดได้ก็ดับได้ แต่ทางดับปัญหาแต่ละคนไม่เหมือนกัน และแก้ปัญหาได้ไม่เท่ากัน เพียงแต่ว่าไปหวังว่าจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แก้เท่าที่ทำได้ และทำได้ดีที่สุด ที่เหลือปล่อยออกไปเดี๋ยว วงแห่งเวลาจะจัดการให้เอง อย่าไปหวังกับการแก้ปัญหาให้หมดเสียทีเดียว แต่จงหวังกับการกระทำที่ดีที่สุดของเราในการแก้ปัญหาจ้ะ :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 17:32
โพสต์: 37

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนทางที่จะดับทุกข์ได้ ให้เจริญ อริยมรรคมีองค์ 8 คะ

.....................................................
ความสุขคือการให้ การทำทาน การปฏิบัติธรรม และการคิดแต่ในสิ่งที่ดีๆ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 55 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร