วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 06:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2011, 17:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2011, 18:38
โพสต์: 33


 ข้อมูลส่วนตัว


1.ประโยคที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดติด ในความหมายของพระพุทธศาสนา หมายถึงอย่างไรละครับ
2.คำว่า ใช้พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งทางใจนี่ทำอย่างไรหรอครับ เพราะว่าผมก็อยากยึดพระรัตนตรัยเช่นกันแต่ทำไม่เป็น เมื่อก่อนผมหลงไปยึดกับ เพื่อน หรือสิ่งอื่นๆๆ มากมาย ทั้งๆที่ได้รู้ว่าสิ่งพวกนี้อยู่ในกฏไตรลักษณ์ 3 และบทเรียนว่า สิ่งพวกนี้สิ่งยึดมาก ก็ยิ่งทุกข์มาก แต่ใจมันไม่ยอมปล่อย ไม่จำซะที ทำจะต้องทำอย่างไรดีอะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2011, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ธ.ค. 2010, 14:56
โพสต์: 122

โฮมเพจ: chanachai20102553@gmail.com
แนวปฏิบัติ: ค้นหาธรรมของพุทธเจ้า
งานอดิเรก: มองธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่ม
ชื่อเล่น: แค่นามสมมุติ
อายุ: 32

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ดูก่อนท่านทั้งหลาย..............................
somamomiji เขียน:
1.ประโยคที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดติด ในความหมายของพระพุทธศาสนา หมายถึงอย่างไรละครับ

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น........... เปรียบเสมือน............กาวที่เหนียว
เพื่อคอยดักตัวเรา คอยให้เราเข้ามาติดกับ ซึ่งน้อยนักที่บุคคลใดจะหลุดออกมาได้


somamomiji เขียน:
2.คำว่า ใช้พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งทางใจ

พระพุทธ..............ระลึกถึงความดีอันใหญ่หลวงของพระพุทธเจ้า
พระธรรม..............ระลึกถึงคำสั่งสอน ของ พระพุทธเจ้า
พระสงฆ์...............ระลึกถึงพระที่ประฏิบัติดี
ถ้าท่านมีในสิ่งใดสิ่งหนึ่งถือว่าท่านเริ่มมี องค์พระรัตนตรัยอยู่ในใจ

ขอให้ท่านเจริญในธรรมเทอญฯ...........................

.....................................................
เราจักขออำนาจบุญกุศลที่ตัวเราได้กระทำไว้ในอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
จงแผ่อำนาจแห่งบุญกุศลทั้งหลายไปสู่ทั่วทั้งสากลโลก ทั้ง16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน วิญญาณที่มีรูป และ ไม่มีรูป ทั่วทั้งทุกอณูใน 3 โลกจงได้รับแห่งบุญกุศลที่เราได้จักกระทำไว้ด้วยเทอญ สาธุ.................................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2011, 20:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2011, 17:26
โพสต์: 353


 ข้อมูลส่วนตัว


1.ประโยคที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดติด ในความหมายของพระพุทธศาสนา หมายถึงอย่างไรละครับ

(เพราะสิ่งทั้งปวง มีอายุ มีเกิด และมีสูญสลายแทบทั้งสิ้น บ้านเรา เสื้อผ้าเรา แม้แต่คนรักของเรา ล้วนแล้วแต่ย่อมพลัดพรากดับสูญสลายไปได้่ทั้งนั้น ไม่มีอะไรยั่งยืน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราไม่ควรไปยีึดติดมัน ถ้าเราไปยึดติดมัน วันที่พลัดพราด ล้มตาย สูญสลายมาถึง เราก็จะเสียใจ เกิดความทุกข์ เกิดห่วงการยึดติด ทำให้จิตผูกกับความอยาก ทำให้จิตไม่พ้นไปไหน วนเวียนอยู่อย่างนี้ เป็นล้านๆชาติ ไม่หลุดพ้นไปใหน)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2011, 22:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


somamomiji เขียน:
1.ประโยคที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดติด ในความหมายของพระพุทธศาสนา หมายถึงอย่างไรละครับ

สิ่งทั้งปวง....ในที่นี้หมายถึง...สิ่งทั้งหลายที่แสดงความเป็นไตรลักษณ์..คือแปรปรวนไปไม่เที่ยง...

หากเรารักคนหลายใจ..ผลที่ได้คือความทุกข์..ใช่มั้ย??..
เราจึงไม่ควรรักคนหลายใจ...
เราจึงไม่ควรที่จะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง...

อ้างคำพูด:
2.คำว่า ใช้พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งทางใจนี่ทำอย่างไรหรอครับ เพราะว่าผมก็อยากยึดพระรัตนตรัยเช่นกันแต่ทำไม่เป็น เมื่อก่อนผมหลงไปยึดกับ เพื่อน หรือสิ่งอื่นๆๆ มากมาย ทั้งๆที่ได้รู้ว่าสิ่งพวกนี้อยู่ในกฏไตรลักษณ์

เราคือใจ..รางกายไม่ใช่เรา..ร่างกายเป็นเพียงธาตุ 4 ขันธ์ 5 ถึงเวลาก็เสื่อมก็สลาย...แต่ใจไม่เคยตาย..

เราจึงต้องรักษาใจ...ไม่ให้ทุกข์...กายเสื่อมได้ทุกข์ได้...แต่อย่าให้ใจทุกข์...ใจที่เศร้าหมองใจทุกข์มีทุคติภูมิเป็นที่ไป..ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์เข้าไปใหญ่...หากใจผ่องใสบริสุทธ์ก็มีสุคติภูมิเป็นที่ไป...มันก็ทุกข์น้อยลงไปเรื่อย ๆ...จนถึงไม่ทุกข์

ดังนั้น..เราต้องหาทางรักษาใจของเราให้ดี...พระสัทธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ดี...พระอริยะเจ้าก็ดี...มุ่งสอนลงที่ใจรักษาใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์...ดั่งคำที่ว่า..

"
สพฺพปาปสฺส อกรณํ ....การละความชั่วทั้งปวง
กุสลสฺสูปสมฺปทา .......การทำความดีให้ถึงพร้อม
สจิตฺตปริโยทปนํ ........การชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส
เอตํ พุทฺธานสาสนํ ......นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


ศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..พระอรหันตเจ้า..จนเห็นว่าทุกข์มีจริง..กรรมมีจริง..นรกสวรรค์นิพพาน(ก็น่าจะ)มีจริง...คำสอนให้พ้นจากทุกข์มีจริง...หากเราทำได้ดั่งที่ท่านสอนก็สามารถพ้นทุกข์ได้จริง..

เมื่อใจคิดได้อย่างนี้แล้ว...จึงจะเห็นคุณค่าของพระรัตนตรัยจริง...เมื่อนั้นเราจะยอมรับนับถือว่าพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง....

แต่ที่ทั่วไปพูดว่า..เป็น(แค่)ที่พึ่งทางใจ..นั้น..ยังผิดความหมายที่แท้จริงอยู่มาก

อ้างคำพูด:
3 และบทเรียนว่า สิ่งพวกนี้สิ่งยึดมาก ก็ยิ่งทุกข์มาก แต่ใจมันไม่ยอมปล่อย ไม่จำซะที ทำจะต้องทำอย่างไรดีอะครับ


ทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนครับ...

การละความชั่วทั้งปวง........มีศีลสมบูรณ์
การทำความดีให้ถึงพร้อม....ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8
การชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส...ผลคือนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2011, 22:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อยึดก็ติด เมื่อไม่ยึดก้ไม่ติด


อ้างคำพูด:
2.คำว่า ใช้พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งทางใจนี่ทำอย่างไรหรอครับ เพราะว่าผมก็อยากยึดพระรัตนตรัยเช่นกันแต่ทำไม่เป็น เมื่อก่อนผมหลงไปยึดกับ เพื่อน หรือสิ่งอื่นๆๆ มากมาย ทั้งๆที่ได้รู้ว่าสิ่งพวกนี้อยู่ในกฏไตรลักษณ์


ต้องมีสติปัญญาหาความเหตุผลในความจริงข้อนี้เสียก่อน ถึงจะเข้าใจในสิ่งที่พึ่งพาได้ ถึงแม้จะยึดพระไตรรัตน
เป็นที่พึ่งของชีวิต แต่สุดท้ายก้ต้องใช้กำลังความสามารถของตนและพึ่งลำแข้งของตัวเองให้ได้ด้วย :b53:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2011, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


1.สิ่งทั้งปวงเป็นสักแต่เพียงว่าเป็นสภาวะธรรม สักแต่ว่าเป็นธาตุ ให้กำหนดรู้แล้วละ ไม่อย่างนั้นจะเกิดการยึดมั่น ที่เรียกกันว่าอุปาทาน

2.ให้นึกถึงความดีของพระรัตนตรัย อย่างเช่นคำแปลในบทสวด ส่วนที่ใจมันไม่ยอมปล่อยนั้นเกิดเพราะความเคยชินในการก่อน หมั่นปฏิบัติเลื่อยๆเดี๋ยวก็จะหลุดเอง ไม่ต้องรีบมากเดี๋ยวจะเกิดการท้อแท้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2011, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนา ในทุกคำตอบ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2011, 21:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2011, 18:38
โพสต์: 33


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคูรครับบบบบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 00:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ต.ค. 2010, 17:27
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


somamomiji เขียน:
1.ประโยคที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดติด ในความหมายของพระพุทธศาสนา หมายถึงอย่างไรละครับ
2.คำว่า ใช้พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งทางใจนี่ทำอย่างไรหรอครับ เพราะว่าผมก็อยากยึดพระรัตนตรัยเช่นกันแต่ทำไม่เป็น เมื่อก่อนผมหลงไปยึดกับ เพื่อน หรือสิ่งอื่นๆๆ มากมาย ทั้งๆที่ได้รู้ว่าสิ่งพวกนี้อยู่ในกฏไตรลักษณ์ 3 และบทเรียนว่า สิ่งพวกนี้สิ่งยึดมาก ก็ยิ่งทุกข์มาก แต่ใจมันไม่ยอมปล่อย ไม่จำซะที ทำจะต้องทำอย่างไรดีอะครับ


1. ที่ไม่ควรยึดก็เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้มันมีเกืดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเท่านั้นเพราะถ้าเราเอาจิตไปยึดสิ่งใดไว้ก็ตามมันจะทำให้เราเกิดทุกข์ขึ้นมาทันทีและถ้าสติเราไม่แข็งแรงพอก็จะเข้าไปเป็นทุกข์ และเมื่อเข้าไปเป็นทุกข์จะเกิดอะไรขึ้น เช่นทุกวันเวลาผ่านไปเราทุกคนก็ต้องแก่ลงไป ผิวหนังเหี่ยวย่น ผมดำกลับขาว ถ้าเราไปยึดตึดหลงติดในร่างกายเราว่าไม่อยากให้มันแก่สามารถจะห้ามความแก่ได้ไหม แม้กระทั่งความดีก็ไม่ให้ยึดเพราะจะทำให้เราเป็นคนที่มีอัตตาตัวตนสูงขึ้นซึ่งนั่นก็แปลว่ายึดความดีแล้ว จริง ๆการทำดีที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนานั้นก็คือ การทำดีเพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่นด้วยความเมตตาธรรม การทำความดีแบบนี้พระพุทธเจ้าทรงกล่าวสรรเสริญบุคคลผู้นั้น :b18:

2.ถ้าอยากจะยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งทางใจขอบกว่ายึดได้เลยเพราะปราศจากกิเลส แต่ถ้านอกจากนี้นั้นเป็นกิเลสจึงไม่ควรยึดเอาไว้อย่างเด็ดขาด ทำอย่างไรเหรอก็พยายามศึกษาพระธรรม ฟังธรรมจากพระเกจิอาจารย์หรือผู้ที่รู้ในหลักธรรมคำสอน และก็หัดสงสัยในพระธรรมของพระองค์ไปด เพราะจะทำให้เราต้องการหาคำตอบที่เป็นหลักธรรมซึ่งเป็นความจริงถ้าเราได้คำตอบที่แท้จริงแล้วเราก็จะรู้สึกว่าจิตของเรามีความสว่างจากพระธรรมแล้ว แต่ขั้นตอนนี้ต้องอาศัยรู้ได้เฉพาะบุคคลเท่านั้นนะ เพราะถึงจะบอกก็ได้แค่รับรู้แต่ยังไม่เข้าใจแน่นอน ตอนนี้เพิ่งเริ่มก็ขอแนะนำว่าควรจะสวดมนต์ทุกวันก่อนนอน แล้วแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ เสร็จแล้วก็นั่งสมาธิไปสักระยะนึง ครั้งแรกอาจจะนั่งสัก 5-10 นาทีก็พอ ผ่านไป 1 สัปดาห์ก็ให้เพิ่มเวลาขึ้นมาอีกหน่อยให้ทำไปเรื่อย ๆ ทุกวันแล้วก็หาหนังสือธรรมะมาอ่านจะเป็นธรรมะอะไรก็ได้แล้วแต่จริตเรา ทำได้ตามนี้รับรองว่าจิตจะสงบแล้วเราก็จะไม่ไปยึดติดกับสิ่งอื่น(ถึงจะยืดอยู่แต่ก็ละได้มาพอสมควร) นอกจากพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น :b18:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2011, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2011, 16:58
โพสต์: 144

งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: มุก
อายุ: 29
ที่อยู่: จ.ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุสำหรับคำตอบทุกๆท่านค่ะ :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2011, 04:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อุปมาเหมือนบุรุษที่ตาบอด(ปุถุชน)ประสงค์จะข้ามสะพาน(โอฆะ) ต้องอาศัยบุรุษผู้มีตาดี(พระรัตนตรัย)พาข้ามสะพาน จนถึงอึกฝั่ง(คือ พระนิพพาน)

หรือเปรียบเสมือนบุรุษที่หลงทาง(ปุถุชนผู้มีอวิชชา)อยู่ในป่า(กิเลส) ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ป่าไม้(พระรัตนตรัย)พาออกจากป่า(วิมุตติ)

ผิดถูกประการใดขออภัยด้วยนะครับ

ขอให้เจริญในธรรม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร