วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 15:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


ผู้ถึงไตรสรณคมน์แบบมั่นคง เชื่อว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพึ่งได้จริง ไม่มีอะไรยิ่งกว่านี้
แม้ชีวิตก็ไม่เสียดายที่จะสละ เพื่อรักษาไว้ซึ่งไตรสรณคมน์นี้ บางครั้งเรียก พุทธมามะกะ

เชื่อว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ และพระปัญญาคุณ ไม่มีประมาณ
เชื่อว่า พระธรรม ปฏิบัติแล้วพาพ้นทุกข์ พ้นโศก ได้จริง ฯลฯ
เชื่อว่า พระสงฆ์ สาวกผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ฯลฯ

เชื่อกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ความเชื่ออย่างนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
เมื่อเกิดสัมมาทิฏฐิที่มั่นคง ก็ไม่มีอะไรมาโยกคอนความเชื่อความศรัทธาต่อพระรัตนตรัยนี้ได้
เปรียบได้กับการขับรถขึ้นทางด่วน ไม่มีทางเลี้ยวทางแยก มุ่งตรงต่อพระนิพพาน ไม่ย้อนกลับ

ความเชื่อความศรัทธานอกจากนี้ ไม่เรียก สัมมาทิฏฐิ
ถามตัวเองว่า ท่านมีความเชื่อความศรัทธาลักษณะใด?

:b8:

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ความศรัทธา เป็น1 ใน 5 ของ การปรับอินทรีย์ทั้ง 5 อันได้แก่

ความศรัทธา
ความวิริยะ หรือความเพียร
สติ หรือความระลึกชอบ
สมาธิ
ปัญญา

อันความศรัทธาต้องมาคู่กันกับปัญญา
แล้วความเพียรมาคู่กันกับสมาธิ
ส่วนสติยิ่งมีพลังเท่าไหร่ยิ่งดี

อันความศรัทธาต้องอาศัยปัญญาพิจารณาให้มา
ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นความเชื่อความศรัทธาที่งมงาย

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ต.ค. 2010, 13:19
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 22:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


I am เขียน:
ผู้ถึงไตรสรณคมน์แบบมั่นคง เชื่อว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพึ่งได้จริง ไม่มีอะไรยิ่งกว่านี้
แม้ชีวิตก็ไม่เสียดายที่จะสละ เพื่อรักษาไว้ซึ่งไตรสรณคมน์นี้ บางครั้งเรียก พุทธมามะกะ

เชื่อว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริง พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ และพระปัญญาคุณ ไม่มีประมาณ
เชื่อว่า พระธรรม ปฏิบัติแล้วพาพ้นทุกข์ พ้นโศก ได้จริง ฯลฯ
เชื่อว่า พระสงฆ์ สาวกผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ฯลฯ

เชื่อกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ความเชื่ออย่างนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
เมื่อเกิดสัมมาทิฏฐิที่มั่นคง ก็ไม่มีอะไรมาโยกคอนความเชื่อความศรัทธาต่อพระรัตนตรัยนี้ได้
เปรียบได้กับการขับรถขึ้นทางด่วน ไม่มีทางเลี้ยวทางแยก มุ่งตรงต่อพระนิพพาน ไม่ย้อนกลับ

ความเชื่อความศรัทธานอกจากนี้ ไม่เรียก สัมมาทิฏฐิ

:b8:

แล้ว..จะแยกอย่างไรว่า..

เชื่อ..เพราะเห็นว่า..เป็นสิ่งที่ควรเชื่อ
กับ..
เชื่อ..เพราะเห็นว่า..เป็นความจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 00:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 23:17
โพสต์: 257

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประเภทธรรมะ
ชื่อเล่น: หยุย
อายุ: 0
ที่อยู่: ห้วยขวาง

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่เราจะมีศรัทธาอะไรสักอย่างต้องมีการศึกษาประวัติของสิ่งนั้นก่อน แต่ถ้าถือตาม ๆ กันไปนั่นยังไม่เรียกว่าศรัทธาครับ เพราะการมีศรัทธาต้องประกอบด้วยเหตุผลอยู่เสมอจะได้ออกมาจากใจจริงโดยเฉพาะพระธรรม ถ้าเราศึกษาพุทธประวัติของพระองค์ท่านแล้วก็จะรู้ว่ากว่าที่ท่านจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้บำเพ็ญบารมีมาอย่างยาวนานมากครับ และนี่ก็คือความศรัทธาของพระโพธิสัตว์ที่มีความตั้งใจที่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฎนี้ และยิ่งไปกว่านั้นทรงมีพระดำริในใจว่า เราตรัสรู้และจักให้ผู้อื่นรู้ด้วย เราข้ามได้แล้วจักให้ผู้อื่นข้ามได้ด้วย และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์นั้นเป็นความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสองแน่นอน แต่เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยปัญญาที่จะรู้ตามว่าพระองค์ทรงสอนอะไรแก่เราโดยที่เรานั้นต้องฟังพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ แล้วนำมาพิจารณาไปเรื่อย ๆครับไม่ต้องไปเครียด เพราะพระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ให้แครู้แต่ต้องเข้าใจตามธรรมของพระองค์ที่ทรงแสดงไว้ด้วยถึงจะเป็นผู้รู้อย่างแท้จริง และก็จะเป็นผู้ตื่นก็ตื่นจากความหลง(อวิชชา)จิตก็จะเป็นสัมมาทิฎฐิไปทุกเรื่อง ทีนี้แหละครับถึงเราจะอยู่ทางโลกซึ่งมีแต่ปัญหา ความวุ่นวายเข้ามาก็ไม่หวั่นไหวเพราะเรามีธรรมะคอยกำจัดออกไปอยู่เรื่อย ๆ จิตของเราก็จะไม่เป็นทุกข์หรือถ้าเป็นก็ทุกข์น้อยลงกว่าแต่ก่อน เพราะเราเรียนรู้ทุกข์โดยใช้สติเท่านั้นไม่ให้ตัวเรา(อัตตา)เข้าไปเป็นทุกข์เหมือนแต่ก่อนแล้ว เราก็จะเห็นทุกข์และก็จะสามารถใช้สติกำจัดทุกข์ได้ ความเป็นผู้เบิกบานก็จะเกิดขึ้นมาในใจเราทันทีครับ เพราะกิเลสทำให้เราเป็นทุกข์ แต่ธรรมะทำให้เราเห็นทุกข์และก็เห็นทางดับทุกข์ได้ เพราะที่พึ่งอื่นที่ดีกว่าพระธรรมนี้ย่อมไม่มีแน่นอน เพราะอย่างอื่นพึ่งได้ก็แต่เฉพาะในโลกนี้เท่านั้น แต่พระธรรมเป็นที่พึ่งติดตามเราไปข้ามภพข้ามชาติตลอดจนกว่าจะบรรลุธรรมตั้งแต่อริยะชั้นต้น(โสดาบัน)ถึงพระอรหันต์ได้ครับ

.....................................................
สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม
ทุกอย่างไม่ควรยึดถือ
อกุศลน้อยนิด อย่าคิดทำ
กุศลน้อยนิด ให้คิดทำ
ทำกุศลวันละนิด ดีกว่าคิดที่จะทำ

พระพุทธองค์ยังถูกนินทา
ประชาชนธรรมดามีหรือจะหนีพ้น

ไม่อยากทุกข์แต่ก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่เรียนรู้ทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 48 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร