วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 15:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้อยตีวิด เขียน:
ต้อยตีวิดไม่ติดใจคำสอนของใครๆ หรอกคะ แม่ชีแก้ว แม่ชีศันสนีย์ ท่าน ก.เขาสวนหลวง หรือหมู่กัลยาณมิตรใน webboard นี้ก็รับได้และนำมาคิดมาสอนตนเสมอ และคิดว่าหลายๆ ท่านคงติดใจในเรื่องการได้มาซึ่งพระภิกษุณี ขอถามว่า การบวชที่ศรีลังกานั้น ยอมรับพระวินัยของพระพุทธเจ้าที่แสดงไว้ครั้งแรก คือ ครุธรรมแปดข้อนั้นหรือไม่?

คุณเป็นคนที่ ไม่ได้อย่างจะเอาอย่าง เหมือนนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแกะนะครับ
อย่าลืมซิครับ เหตุที่มีการสังคายนาเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่การที่มีความเห็นในเรื่องพระวินัย
ที่ขัดกันหรือ ฉะนั้นทั้งนิกายเถรวาทและมหายานต่างก็เป็นเอกเทศไม่เกี่ยวกัน พระวินัยหรือกฎเกณท์
ก็ต้องเป็นของใครของมัน
แล้วการที่เถรวาทจะมาถามหาวินัยเถรวาทกับมหายาน คุณว่ามันตลกมั้ยครับ

ต้อยตีวิด เขียน:
อีกเรื่องคือ เห็นคุณโฮฮับ ตอบคำถามคุณ eragon_joe แล้วสงสัย เห็นตอบคนอื่นฉาดฉาน แต่เรื่องนี้กับอ้ำอึ่ง หรือว่ารู้ว่าถ้าตอบแล้วมันจะทำลายความน่าเชื่อถือของคุณไป

อ๋อ! จริงแท้แน่นอนเลยครับ สมมุติน่ะว่า คุณไปเห็นสมภารเจ้าอาวาส
กำลังเล่นลูกหินหรือทอยกองกับเด็กวัดอยู่ คุณจะมีความรู้สึกอย่างไรต่อท่านสมภารครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 07:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้อยตีวิด เขียน:
ขอบคุณนะค่ะ ต้อยตีวิดชอบใจคำถามคุณ eragon_joe มากเป็นสิ่งที่สื่อถึงสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติขึ้น เป็นเหตุเป็นผลเสมอ ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ น่ารักจังเลยคะ :b17: :b8:

เอ้า!ดีใจหน่อยหายกลัวไปเยอะเลย มีเพื่อนแล้ว ถามจริงคุณอ่านภาษาของเพื่อนคุณออกด้วยหรือ
ผมดูแล้วให้นึกถึง น้าเด๋อถามสายัญว่า "สายัญ"2บวก2เป็นเท่าไร สายัญตอบ สะๆๆๆสอง
น้าเด๋อถาม เมื่อเช้ากินข้าวกับอะไร สายัญตอบ..... ขี้
เอ้าฮากันเข้าไป ฮี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 10:10
โพสต์: 104

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
คุณต้อยตีวิตครับ เรื่องบางเรื่องผู้รู้ที่เขารู้จริง เขาไม่อยากตอบก็เพราะ...

อิอิ..ไม่จริงหรอกคะ คุณโฮ่งงับ ๆ ..เอ้ย คุณโฮฮับ พระองค์ตรัสไว้สั้นเองคะ

จัทร์เพ็ญ เขียน:
ดูก่อนอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี

ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว
บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง ๕๐๐ ปีเท่านั้น

ดูก่อนอานนท์ สตรีได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด
ธรรมวินัยนั้นเป็นพรหมจรรย์ ไม่ตั้งอยู่ได้นาน


เปรียบเหมือนตระกูลเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีหญิงมากมีชายน้อย
ตระกูลเหล่านั้นถูกพวกโจรผู้ลักทรัพย์กำจัดได้ง่าย

อีกประการหนึ่ง ...
เปรียบเหมือนหนอนขยอกที่ลงในนาข้าวสาลีที่สมบูรณ์ นาข้าวสาลีนั้นไม่ตั้งอยู่ได้
นานอีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนเพลี้ยที่ลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้น
ไม่ตั้งอยู่ได้นาน


ดูก่อนอานนท์ บุรุษกั้นทำนบแห่งสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลไป
แม้ฉันใด เราบัญญัติครุธรรม ๘ ประการแก่ภิกษุณี เพื่อไม่ให้
ภิกษุณีละเมิดตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน


เพราะคุณความกลัวความจริงต่างหาก ความจริงที่ทำลายวาทะ ทำลายทิฏฐของคุณทั้งหมด คุณจึงอ้างโน้นอ้างนี่ปฏิเสธพุทธดำรัส ไม่ใช่ของจริง เชื่อถือไม่ได้ ที่คุณทำไปก็เพื่อให้ป้องกันความคิดความเห็นและทิฏฐิกระด้างของตน เหมือนผีเจอน้ำมนต์ ต้องหลีกเลี่ยงและมองข้ามพระดำรัสนี้และหลายคนก็มองข้ามไปเสีย เพราะไม่ต้องด้วยทิฏฐิของตน ถามคุณหน่อยนะ คุณแกล้งมองไม่เห็นหรือว่าคุณปัญญาน้อยจริงๆ คะ

คุณโฮ่งงับ ๆ เอ้ย..คุณโฮฮับคะ คุณเป็นผู้มีปัญญาคนหนึ่ง เสียดายใช้ปัญญาแบบศรีธนญชัย ไม่เป็นประโยชน์ต่อคุณเอง ต่อผู้อื่นหรือต่อพระศาสนาเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้อยตีวิด เขียน:
โฮฮับ เขียน:
คุณต้อยตีวิตครับ เรื่องบางเรื่องผู้รู้ที่เขารู้จริง เขาไม่อยากตอบก็เพราะ...

อิอิ..ไม่จริงหรอกคะ คุณโฮ่งงับ ๆ ..เอ้ย คุณโฮฮับ พระองค์ตรัสไว้สั้นเองคะ

เห็นมั้ยล่ะผมบอกว่า การพูดการแสดงความเห็นของคุณเหมือนอยู่ในระดับเดียวกับเพื่อนคุณเลย
ฟังแล้วงง ไม่รู้เรื่องครับ

ต้อยตีวิด เขียน:
เพราะคุณความกลัวความจริงต่างหาก ความจริงที่ทำลายวาทะ ทำลายทิฏฐของคุณทั้งหมด คุณจึงอ้างโน้นอ้างนี่ปฏิเสธพุทธดำรัส ไม่ใช่ของจริง เชื่อถือไม่ได้

คนที่กล้าพูดด้วยหลักแห่งเหตุเป็นคนกล้วความจริงก็แล้วแต่คุณจะคิดครับ พูดไปก็เปล่าประโยชน์
แต่ผมอยากให้คุณมาดูในกรณีที่ว่าผมอ้างโน้นอ้างนี่ ผมว่าคุณคงไม่เข้าใจว่าการกระทำแบบไหนถึงจะเรียกว่า
เป็นการอ้าง ถ้าอยากรู้ก็ดูได้ในความเห็นของคุณเองนั้นแหล่ะ
คนที่ชอบอ้างมันเป็นพวกคุณ เดี๋ยวอ้างพระไตรปิฎกฉบับกูเกิล เดี๋ยวอ้างพระ เดี๋ยวอ้างชี
โดยเฉพาะคุณแม้กระทั้งเพื่อนสมาชิกในระดับเดียวกันคุณยังอ้างเลย ประเภทอ้างซ้อนอ้างเสียด้วยซิ
กลับไปดูว่าคุณอ้างชื่อจันทร์เพ็ญ จันทร์เพ็ญอ้างพระพระไตรปิฎก

ตกลงใครกลัวความจริงกันแน่ครับ ใครเชื่อถือไม่ได้กันแน่ครับ
กล้วแม้กระทั้งความจริงของตัวเอง เที่ยวได้โยนไปให้คนอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้อยตีวิด เขียน:
ที่คุณทำไปก็เพื่อให้ป้องกันความคิดความเห็นและทิฏฐิกระด้างของตน เหมือนผีเจอน้ำมนต์ ต้องหลีกเลี่ยงและมองข้ามพระดำรัสนี้และหลายคนก็มองข้ามไปเสีย เพราะไม่ต้องด้วยทิฏฐิของตน ถามคุณหน่อยนะ คุณแกล้งมองไม่เห็นหรือว่าคุณปัญญาน้อยจริงๆ คะ

คุณโฮ่งงับ ๆ เอ้ย..คุณโฮฮับคะ คุณเป็นผู้มีปัญญาคนหนึ่ง เสียดายใช้ปัญญาแบบศรีธนญชัย ไม่เป็นประโยชน์ต่อคุณเอง ต่อผู้อื่นหรือต่อพระศาสนาเลย

ผมยอมรับครับว่าความคิดการพูดจาผมกระด้าง แต่คุณต้องรู้ไว้ครับกริยาอาการหรือแม้กระทั้ง
ความคิดเห็นของผมมันเป็นอย่างนี้มาแต่ต้นจนบัดนี้ ผมว่ามันไม่แปลกเลยครับ

ที่มันแปลกก็คือใหม่ๆพูดจาดีอ่อนหวานไพเราะ แต่เมื่อเกิดอาการไม่พอใจกิริยาวาจาเปลี่ยนไปทันที
แบบนี้จะให้เรียกว่าอะไรดีครับ เป็นพวกมือถือสากปากถือศีลหรือเปล่า หรือปีศาจคาบคัมภีร์ครับ

แล้วมันอะไรของคุณครับ เดี๋ยวปัญญาน้อย เดี๋ยวมีปัญญาคนหนึ่ง คุณจะเอาอย่างไรกันแน่
เอาให้มันเป็นอย่างๆซิครับ สมแล้วที่ผมเอาคำท่านกรัชกายมาว่า ไม้หลักป้กขี้เลน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้อยตีวิด เขียน:
จัทร์เพ็ญ เขียน:
ดูก่อนอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี

ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว
บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง ๕๐๐ ปีเท่านั้น

ดูก่อนอานนท์ สตรีได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด
ธรรมวินัยนั้นเป็นพรหมจรรย์ ไม่ตั้งอยู่ได้นาน


เปรียบเหมือนตระกูลเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีหญิงมากมีชายน้อย
ตระกูลเหล่านั้นถูกพวกโจรผู้ลักทรัพย์กำจัดได้ง่าย

อีกประการหนึ่ง ...
เปรียบเหมือนหนอนขยอกที่ลงในนาข้าวสาลีที่สมบูรณ์ นาข้าวสาลีนั้นไม่ตั้งอยู่ได้
นานอีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนเพลี้ยที่ลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้น
ไม่ตั้งอยู่ได้นาน


ดูก่อนอานนท์ บุรุษกั้นทำนบแห่งสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลไป
แม้ฉันใด เราบัญญัติครุธรรม ๘ ประการแก่ภิกษุณี เพื่อไม่ให้
ภิกษุณีละเมิดตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน


คุณไปเอาคำคนอื่นมาอ้างแล้วไม่คิดจะอธิบายหน่อยหรือว่า ผมผิดตรงไหนอย่างไร
ผมก็ว่าอธิบายไปแล้วนะ หรือเพียงแด่ว่าโพสไว้ขู่ให้กลัวเฉย ดูเหมือนกับเอายันต์คาถา
มาปะไว้หน้าบ้าน แต่ไม่รู้ว่าคาถาอ่านอย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.youtube.com/watch?v=lH-UskS0EHI

เพลงไม้หลักปักเลน สงวนสิขสิทธิ์นะครับท่านโฮฮับ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เนื้อหาข้างล่างนี้ นำมาจากการโพสต์ของ คุณธรรมโฆษ ค่ะ
ในกระทู้..ประวัติและปฏิปทาภิกษุณีนันทญาณี (อดีตแม่ชีรุ้งเดือน สุวรรณ)

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=35661

ธรรมโฆษ เขียน:
กุหลาบสีชา เขียน:
:b42: ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา ๘ :b42:
( ข้อปฏิบัติของภิกษุณี ๘ ประการ )


ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา คือ เงื่อนไขอย่างเข้มงวด ประการ
ที่ภิกษุณีจะต้องปฏิบัติตลอดชีวิต


๑. ต้องเคารพภิกษุแม้จะอ่อนพรรษากว่า

๒. ต้องไม่จำพรรษาในวัดที่ไม่มีภิกษุ

๓. ต้องทำอุโบสถและรับโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน

๔. เมื่อออกพรรษาต้องปวารณาตนต่อภิกษุและภิกษุณีอื่นให้ตักเตือนตน

๕. เมื่อต้องอาบัติหนัก ต้องรับมานัต (รับโทษ) จากสงฆ์สองฝ่าย
คือ ทั้งฝ่ายภิกษุและภิกษุณี ๑๕ วัน

๖. ต้องบวชจากสงฆ์ทั้งสองฝ่าย หลังจากเป็น *สิกขามานา เต็มแล้วสองปี

๗. จะด่าว่าค่อนแคะภิกษุไม่ได้

๘. ห้ามสอนภิกษุเด็ดขาด


*คำว่า "สิกขามานา" แปลว่า ผู้ศึกษา
สตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณีต้องเป็นนางสิกขามานา ก่อน ๒ ปี


รูปภาพ

ศีลข้อแปดนี้ผิดหรือเปล่าครับ


************************************************

ขอตอบ...คุณธรรมโฆษ

จากภาพ..เป็นรูปสมัยท่านภิกษุณีนันทญาณี เมื่อครั้งยังเป็น สามเณรีนันทญาณี

ข้อปฏิบัติของภิกษุณีข้อที่ ๘ “ห้ามสอนภิกษุเด็ดขาด” กับคำว่า “ถวายความรู้”
มีความหมายแตกต่างกันอย่างชัดเจนแน่นอนเลยค่ะ

การ “ถวายความรู้” ของท่านภิกษุณีนันทญาณี กล่าวได้ว่า
เป็นการถวายความเข้าใจในเรื่องบางเรื่องหรือสิ่งบางสิ่งเกี่ยวกับธรรม ฯลฯ
รวมทั้งหมายถึงการสนทนาธรรมด้วย ไม่ถือว่าเป็นการ “สอน” ภิกษุ

เพราะคำว่า “สอน” ตามความหมายในข้อปฏิบัติของภิกษุณีข้อที่ ๘ นั้น
หมายถึง ตักเตือน, ว่ากล่าวตักเตือน, สั่งสอน ค่ะ


ดังนั้น ท่านภิกษุณีนันทญาณี จึงไม่ได้ทำผิดข้อปฏิบัติฯ ข้อที่ ๘ แต่อย่างใดค่ะ

หมายเหตุ...ขอเสริมอีกเล็กน้อยค่ะ

:b42: - “ห้ามสอนภิกษุเด็ดขาด”
ในที่นี้คำว่า สอน ภาษาอังกฤษใช้ว่า warn and instruct
หมายถึง ตักเตือน, ว่ากล่าวตักเตือน, สั่งสอน

:b42: - “ถวายความรู้
ในที่นี้คำว่า ความรู้ ภาษาอังกฤษใช้ว่า knowledge
คำว่า ถวาย ภาษาอังกฤษใช้ว่า to offer, give or present (to a monk or a prince)
แปลว่า ให้, มอบให้ (ใช้กับพระสงฆ์ หรือเจ้านาย)


ณ วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๔

************************************************

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ครุธรรม ๘ ประการ (วิ.จุล.ทุติย ๗/๕๑๖)

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการ ข้อนั้นแหละ จงเป็นอุปสัมปทาของพระนาง คือ

๑. ภิกษุณีอุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี ต้องกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุที่อุปสมบทในวันนั้น
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

๒. ภิกษุณีไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

๓. ภิกษุณีต้องหวังธรรม ๒ ประการ คือ ถามวันอุโบสถ ๑เข้าไปฟัง คำสั่งสอน จากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ๑
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย โดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน หรือโดยรังเกียจ
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

๕. ภิกษุณีต้องธรรมที่หนักแล้ว ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ ๒ ฝ่าย
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

๖. ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย เพื่อสิกขมานาผู้มีสิกขา อันศึกษาแล้วในธรรม ๖ ประการครบ ๒ ปีแล้ว
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

๗. ภิกษุณีไม่พึงด่า บริภาษภิกษุ โดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต

๘. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ปิดทางไม่ให้ภิกษุณีทั้งหลายสอนภิกษุ เปิดทางให้ภิกษุทั้งหลายสอนภิกษุณี
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต


ดูกรอานนท์ ก็ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้ ข้อนั้นแหละ จงเป็นอุปสัมปทาของพระนาง ฯ

เทียบเคียง ภาคภาษาอังกฤษ มีเนื้อความดังนี้ค่ะ
(ที่มา : http://www.buddhaleela.com/)



Mãtikã 195. Bhikkhunĩsṅgha (Buddhist nuns) must possess Garudhamma (the eight strict conditions to be observed by a Buddhist nun throughout her life), as follows:

(1) Even though a Bhikkhunĩ has been ordained for 100 rainy seasons (Vassã), she must pay respect to a Buddhist monk who has been ordained only for 1 day.

(2) A Bhikkhunĩ must not reside in a residence without monks.

(3) A Bhikkhunĩ must inquire about Uposathadivasa (the day on which the Fundamental Rules of the Buddhist monks are recited), and she must follow the Saṅgha’s advice dealing with moral conduct during every bi-weekly recitation.

(4) During a rainy season (Vassãvãsa), a Bhikkhunĩ must give the opportunity (Pavãranฺã) to both Bhikkhusaṅgha and Bhikkhunĩsaṅgha to speak of any offences or unbecoming behavior she has seen, heard or suspected to have been committed during the rains.

(5) When committing the offence “Ãpatti Saṅghãdisesa” a Bhikkhunĩ must confess the offence to both Bhikkhu and Bhikkhunĩ and does penance for 15 days.

(6) A Bhikkhunĩ, who is a preceptor, is responsible for taking Sikkhamãnã to be ordained as a Bhikkhunĩ in the presence of Bhikkhusaṅgha and Bhikkhunĩsaṅgha.

(7) A Bhikkhunĩ does not curse Bhikkhu about any cases.

(8) A Bhikkhunĩ is not allowed to warn and instruct Bhikkhu, but they can warn and instruct her.

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2011, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนคุณสาวิกาน้อยครับ ผมว่าคุณสาวิกาน้อยไม่ต้องโพสอะไรมากไปกว่านี้แล้วครับ
ปัญหาหรือประเด็นของกระทู้นี้ มันมีแค่สมาชิกเขาเข้าใจไปเองว่าภิกษุณีนันทญาณี
บวชโดยผิดพระวินัยเถรวาท แต่เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่เขาเข้าใจ และตัวภิกษุณี
ก็บอกเองว่าท่านเป็นภิกษุณีนิกายมหายาน ฉะนั้นเรื่องมันเคลียร์แล้ว

ส่วนที่มีปัญหามาจับผิดอีกมันก็ไม่เกี่ยวกับท่านนันทญานีและตัวคุณสาวิกาน้อย
มันเป็นเรื่องของกิเลสของคน ดังนั้นอย่าไปใส่ใจมันเลยครับ ขื่นคุณโพสข้อความอีก
เรื่องมันก็ไม่จบเสียที ผมขี้เกียจคุยกับคนไม่มีเหตุผล แถมเจ้าคิดเจ้าแค้นพาลไม่เลิก
แนะนำครับอยู่เฉยๆรอเวลาล็อกกระทู้ ตามที่คุณประกาศไว้ดีกว่าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2011, 15:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


โฮฮับ เขียน:
เรียนคุณสาวิกาน้อยครับ ผมว่าคุณสาวิกาน้อยไม่ต้องโพสอะไรมากไปกว่านี้แล้วครับ
ปัญหาหรือประเด็นของกระทู้นี้ มันมีแค่สมาชิกเขาเข้าใจไปเองว่าภิกษุณีนันทญาณี
บวชโดยผิดพระวินัยเถรวาท แต่เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่เขาเข้าใจ และตัวภิกษุณี
ก็บอกเองว่าท่านเป็นภิกษุณีนิกายมหายาน ฉะนั้นเรื่องมันเคลียร์แล้ว

ส่วนที่มีปัญหามาจับผิดอีกมันก็ไม่เกี่ยวกับท่านนันทญานีและตัวคุณสาวิกาน้อย
มันเป็นเรื่องของกิเลสของคน ดังนั้นอย่าไปใส่ใจมันเลยครับ ขื่นคุณโพสข้อความอีก
เรื่องมันก็ไม่จบเสียที ผมขี้เกียจคุยกับคนไม่มีเหตุผล แถมเจ้าคิดเจ้าแค้นพาลไม่เลิก
แนะนำครับอยู่เฉยๆรอเวลาล็อกกระทู้ ตามที่คุณประกาศไว้ดีกว่าครับ


:b8: :b8: :b8: ขอขอบพระคุณมากค่ะ คุณโฮฮับ สำหรับคำแนะนำ


--------------------------------------------------------------------------

:b8: :b8: :b8: พร้อมนี้ สาวิกาฯ ขอขอบพระคุณมากค่ะ คุณวิริยะ
สำหรับความห่วงใย-ความคิดเห็น...จากกระทู้ข้างล่างนี้

จะรักษาพระพุทธศาสนา ต้องใช้ปัญญา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=36154



:b8: :b8: :b8: คุณ I am ด้วยค่ะ สำหรับกระทู้อันทรงคุณค่า

ศรัทธา ความเชื่อ?
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=36122

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2011, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
จากภาพ : เป็นพิธีบรรพชาเป็น “สามเณรี” ของท่านแม่ชีนันทญาณี
ณ วัดสัทธัมมการะ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา
ต่อมาท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็น “พระภิกษุณี”
เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๑ ณ ประเทศศรีลังกา อีกครั้ง


:b47: :b50: :b47:

ว่าโดยย่อ “ท่านภิกษุณีนันทญาณี” ได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีที่ประเทศศรีลังกา
ท่านจึงเป็นภิกษุณีต่างประเทศ เป็นภิกษุณีฝ่ายมหายานจากประเทศศรีลังกา
(แต่ก็มีหลายท่านค้านว่า...เป็นภิกษุณีฝ่ายเถรวาทจากประเทศศรีลังกา)

เพราะสงฆ์ ๒ ฝ่าย คือภิกษุสงฆ์ศรีลังกาและภิกษุณีสงฆ์ศรีลังกา ทำพิธีบวชให้อย่างถูกต้อง
(การอุปสมบทเป็นภิกษุณีในสงฆ์ ๒ ฝ่ายนี้ เป็นการอุปสมบทตามพระวินัยในฝ่ายเถรวาท)

ดังนั้น ท่านไม่ใช่เป็นภิกษุณีไทย ไม่ใช่เป็นภิกษุณีฝ่ายเถรวาทไทย
เพียงแต่มาพำนักในประเทศไทยเท่านั้น เพราะมีมูลนิธิ-สำนักฯ ตั้งอยู่ในประเทศไทย
ในเมื่อบวชมาทางฝ่ายไหน พระวินัยต่างๆ ก็ต้องเป็นไปตามฝ่ายที่ท่านบวชมาเป็นหลัก


ทั้งนี้ ปัจจุบัน ภิกษุณีในฝ่ายเถรวาทได้เสื่อมสูญ ขาดสายไปนานแล้ว
หากพระภิกษุสงฆ์ไทยทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุณีให้แก่สตรี
ย่อมขัดต่อทั้งพระวินัยในฝ่ายเถรวาท และกฎระเบียบของคณะสงฆ์ไทย


เนื่องจากประวัติศาสตร์การปกครองคณะสงฆ์ไทย ได้ประกาศเจตนารมณ์
ต่อกรณีการบวชภิกษุณีและสามเณรีในประเทศไทย ไว้อย่างชัดเจนตลอดมา กล่าวคือ

(๑) พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พ.ศ. ๒๔๗๑
ห้ามพระภิกษุสงฆ์ในประเทศไทยทำการอุปสมบทหรือบรรพชาให้แก่สตรี

(๒) คำวินิจฉัยของมหาเถรสมาคมในการประชุมครั้งที่ ๒๘/๒๕๒๗ และครั้งที่ ๑๘/๒๕๓๐
ห้ามพระภิกษุสงฆ์ทำพิธีอุปสมบทให้สตรีเป็นภิกษุณี หรือบรรพชาให้สตรีเป็นสามเณรี

(๓) พระวรธรรมคติสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๔

ห้ามอุปสมบทให้แก่สตรีเพื่อเป็นภิกษุณี หรือบรรพชาให้แก่สตรีเพื่อเป็นสามเณรี

ซึ่งกฎระเบียบของคณะสงฆ์ไทยดังกล่าว ใช้บังคับแก่พระภิกษุสงฆ์
ที่อยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม (มส.) เท่านั้น
ซึ่งก็ได้แก่ คณะสงฆ์ไทย และ คณะสงฆ์อื่น
คณะสงฆ์อื่น ตาม พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดย
พรบ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มีเพียง ๒ นิกายเท่านั้น คือ
คณะสงฆ์จีนนิกาย (พระจีนมหายาน) และ คณะสงฆ์อนัมนิกาย (พระญวนมหายาน)

แต่อย่างไรก็ตาม ภิกษุณีที่ได้รับการอุปสมบทจากประเทศศรีลังกา
มีสถานะเป็นเพียง “นักบวชหรือภิกษุณี” นอกกฎหมายไทย

เพราะยังมิได้มีการรับรองสถานะความเป็น “นักบวชหรือภิกษุณี” อย่างถูกต้อง
ตามกฎหมายไทย คือ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฯ ดังกล่าว แต่อย่างใด

:b47: :b50: :b47:

สาวิกาฯ ประทับใจคำกล่าวของ ท่านภิกษุณีนันทญาณี ใน ๒ กรณี ดังนี้ค่ะ
(ก) ภิกษุ Mettananda พระอุปัชฌาย์ชาวศรีลังกาของท่านภิกษุณีนันทญาณี
เคยบอกท่านว่า “ภิกษุณีไม่ต้องเป็นเถรวาทหรือมหายาน”
ไม่ต้องเป็นอะไรเพิ่มมากไปกว่าการเป็น “ภิกษุณี”
ซึ่งหมายถึง “ผู้เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด” และหมายถึง “ผู้ขอ”

(ข) ความเป็นเถรวาทหรือมหายานนั้น ต้องดูที่ “ความรู้” และ “ความประพฤติ”
ถึงแม้จะผ่านพิธีกรรมและแต่งตัวตามชื่อเถรวาท
แต่ไม่ยอมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมพระวินัยอย่างเคร่งครัด
ดังที่ท่านพระมหากัสสปะมหาเถระได้เสนอไว้ในครั้งการทำสังคายนา ครั้งที่ ๑
แต่กลับประพฤติปฏิบัติย่อหย่อนในศีลสิกขาบท
ผู้นั้นก็น่าจะเป็นเถรวาทแต่เพียงชื่อ แต่เป็นมหายานโดยความประพฤติ
ในทำนองเดียวกันแม้จะได้ชื่อว่าเป็นมหายาน
แต่ถ้าไม่ยอมประพฤติตามแบบมหายานเลย
กลับพยายามประพฤติตามพระธรรมพระวินัยตามรอยพระพุทธเจ้า
ตามมติที่ท่านพระมหากัสสปะมหาเถระเสนอไว้
ผู้นั้นก็ย่อมเป็นมหายานแต่เพียงชื่อ แต่เป็นเถรวาทโดยความประพฤติ

:b47: :b50: :b47:

สาวิกาฯ รู้จักนาม เคยฟังธรรม และติดตามผลงานของท่านภิกษุณีนันทญาณี
มาถึงตอนนี้ก็ร่วม ๕ ปีแล้ว จึงทราบความเป็นมาของการบรรพชาเป็นสามเณรี
และการอุปสมบทเป็นภิกษุณีของท่านพอสมควรค่ะ

ก่อนหน้านี้ ไม่เคยรู้จักท่านเป็นการส่วนตัว
ไม่เคยเห็นหน้าตาตัวจริงของท่าน ไม่เคยสนทนาพูดคุยกับท่าน
รวมทั้ง ไม่เคยไปปฏิบัติที่สำนักฯ ของท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว


จุดประสงค์ที่สาวิกาฯ นำประวัติและปฏิปทาของ “ท่านภิกษุณีนันทญาณี”
มาเผยแผ่ลงในเว็บธรรมจักร ก็เป็นจุดประสงค์เดียวกันกับที่นำประวัติและปฏิปทา
ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ แม่ชี อุบาสก อุบาสิกาท่านอื่นๆ
มาเผยแผ่ลงในเว็บธรรมจักรนั่นแหละค่ะ กล่าวคือ
มีกุศลเจตนาอันมั่นคงเป็นที่ตั้ง เพื่อเผยแผ่คุณงามความดี
โดยเฉพาะปฏิปทาและหลักธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ฯลฯ
ทั้งนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างให้สาธุชนนักภาวนารุ่นหลังได้รับรู้เป็นแบบอย่าง
และเจริญรอยตาม
ทั้งนี้ ไม่ได้มีอกุศลเจตนาเป็นที่ตั้ง
และไม่ได้มีผลประโยชน์เคลือบแฝงกับสำนักฯ นิโรธารามแต่อย่างใดเลยค่ะ

:b47: :b50: :b47:

:b41: จากการเรียนรู้เหตุการณ์ในกระทู้นี้
สาวิกาฯ จะพิจารณาใช้ปัญญาให้แยบคายยิ่งๆ ขึ้นไป
ในการนำประวัติและปฏิปทาของท่านผู้ใด มาเผยแผ่ลงในเว็บธรรมจักรค่ะ

สำหรับประวัติและปฏิปทาของ “ท่านภิกษุณีนันทญาณี” นั้น
ขอให้เพื่อนๆ เลือกรับเฉพาะส่วนที่เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์
ท่านใดสนใจก็เข้าไปอ่านได้ หากไม่สนใจก็ขอให้มองผ่านไปค่ะ :b41:


ประวัติและปฏิปทาภิกษุณีนันทญาณี (อดีตแม่ชีรุ้งเดือน สุวรรณ)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=35661

:b47: :b50: :b47:

ท้ายนี้ :b8: :b8: :b8: ขอขอบพระคุณเพื่อนๆ ลานธรรมจักรทุกท่านอีกครั้ง
ที่ได้เมตตาแสดงความคิดเห็น-ความห่วงใย ในทุกกรณีค่ะ :b8: :b8: :b8:


ณ วันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๔
แก้ไขเพิ่มเติม ณ วันพุธที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๖

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2011, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b44: ทัศนะของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ท่าน ว.วชิรเมธี)
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรณีการบวชเป็น “พระภิกษุณี” มีดังนี้ค่ะ

---

• บทสัมภาษณ์พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) •
“พระธรรมดา..ที่ ‘ไม่’ ธรรมดา” จากนิตยสาร Secret

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=33457

:b8: ๏ พระอาจารย์คิดว่าผู้หญิงควรจะได้รับการยอมรับให้บวชเป็นภิกษุณีไหมคะ

ผู้หญิงมีศักยภาพที่จะบวชได้ และควรส่งเสริมให้บวช และพระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตอยู่แล้ว แต่ที่เป็นปัญหาขึ้นมาในเมืองไทยเพราะวงศ์ของภิกษุณีขาดไป การบวชเป็นภิกษุณีต้องบวชจากสงฆ์สองฝ่าย บวชจากภิกษุณีเสร็จแล้วไปบวชจากภิกษุ ถ้าครบสองอย่างนี้ผู้หญิงก็ไปบวชเป็นภิกษุณีได้ทุกเมื่อ ปัญหาของสังคมไทยคือ ไม่มีภิกษุณีที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์ แต่ตอนนี้มีทางออกแล้ว คือ ไปบวชเป็นภิกษุณีที่ศรีลังกาแล้วเข้ามาประเทศไทย ต่อไปถ้ามีคณะสงฆ์มากพอก็ไปตั้งภิกษุณีสงฆ์ เช่นนี้แล้วก็สามารถบวชให้ผู้หญิงไทยได้ ฉะนั้น แนวโน้มในอนาคต ก็คือ ผู้หญิงในเมืองไทยจะสามารถบวชเป็นภิกษุณีได้เหมือนในสมัยพุทธกาล ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นอาตมาคิดว่าสังคมไทยจะมีมาตราฐานทางจริยธรรมที่ดีขึ้น เพราะรอให้พระทำงานอย่างเดียวไม่ไหวหรอก เรื่องบางเรื่องผู้หญิงทำได้ดีกว่า เราต้องก้าวข้ามอคติทางเพศให้ได้


:b47: :b50: :b47:

:b44: ทัศนะของ ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรณีการบวชเป็น “พระภิกษุณี” มีดังนี้ค่ะ

---

• หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) •
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=37014

:b8: ๏ อาจารย์คะ ถ้าผู้หญิงมีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ไม่ต่างจากผู้ชาย แล้วทำไมปัจจุบันนี้การบวชเป็นภิกษุณี จึงเป็นสิ่งที่เป็นประเด็นปัญหาในบ้านเมืองเราล่ะคะ

อาจารย์ต้องเท้าความอดีตก่อนว่า ในครั้งพุทธกาล พุทธบริษัท ๔ นั้นประกอบไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา

ภิกษุณีรูปแรกของพระพุทธศาสนาคือ พระมหาปชาบดีโคตรมี ซึ่งเป็นพระมาตุจฉาหรือพระน้านางของพระพุทธเจ้า แต่กว่าจะได้บวช พระพุทธเจ้าทรงไม่อนุญาตอยู่ถึง ๒ ครั้งจนกระทั่งในครั้งที่ ๓ พระนางมหาปชาบดีโคตรมีทรงปลงผมและนุ่งผ้าย้อมฝาด แล้วเดินเท้าเปล่าจากรุงกบิลพัสดุ์มายืนร้องไห้อยู่หน้ากุฏาคารศาลาที่แคว้นวัชชี พระอานนท์ออกไปเห็นเข้าจึงไปถามไถ่ดู เมื่อได้ความแล้วจึงรับอาสาไปจัดการให้และเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เมื่อผู้หญิงปฏิบัติธรรมแล้วจะบรรลุธรรมได้ไหม เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตอบว่าได้ พระอานนท์จึงทูลถามต่อว่า แล้วเหตุใดจึงทรงไม่อนุญาตให้พระนางมหาปชาบดีโคตรมีบวช ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวชได้ โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องประพฤติครุธรรม ๘ ประการ ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติเพื่อวัดใจผู้บวชที่เป็นหญิงว่ามีความมั่นคงต่อพระพุทธศาสนาจริงๆ


:b8: ๏ ทำไมพระพุทธเจ้าถึงไม่ทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวชได้ตั้งแต่แรกคะอาจารย์

เพราะทรงเกรงว่า หากรับเพศหญิงที่ไม่มีความมั่นคงในพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นนักบวชแล้ว อาจเกิดข้อครหาที่จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการประพฤติพรหมจรรย์ของภิกษุได้ เนื่องจากในสมัยพุทธกาลไม่เคยมีศาสนาใดอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาเป็นนักบวชมาก่อน ด้วยเหตุนี้เมื่อทรงอนุญาตแล้วจึงทรงบัญญัติไว้ด้วยว่า การบวชเป็นภิกษุณีนั้นต้องบวชด้วยสงฆ์สองฝ่าย คือทั้งฝ่ายภิกษุณีสงฆ์และฝ่ายภิกษุสงฆ์

ทุกวันนี้ประเทศที่ปฏิบัติตามพระวินัยข้อนี้ได้ มีเหลืออยู่เพียงประเทศศรีลังกา ด้วยเหตุนี้ภิกษุณีในประเทศไทยของเราจึงต้องไปบวชมาจากประเทศศรีลังกา แล้วค่อยกลับมาเป็นภิกษุณีสงฆ์อยู่ที่บ้านเรา แต่อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทย


:b8: ๏ แล้วอย่างนี้ในฐานะชาวพุทธ เราควรจะเห็นด้วยกับการมีภิกษุณีในเมืองไทยไหมคะ

ขึ้นอยู่กับสภาวะความรู้แจ้งของจิต หากจิตของเรามีปัญญาเห็นแจ้งแล้ว เราย่อมรู้ว่าไม่ว่าจิตจะอยู่ในเพศชายหรือหญิงก็สามารถบรรลุธรรมได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจิตจึงไม่มีเพศ ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จริงจึงเห็นด้วยกับการอนุญาตให้ผู้หญิงบวช เพราะรู้ว่าการบวชเป็นเรื่องของจิตที่มีศักยภาพในการบรรลุธรรมได้เท่าเทียมกัน ส่วนใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เข้าใจนะลูก

:b8: ๏ เข้าใจแล้วค่ะอาจารย์

ครุธรรม ๘ ประการ (โดยสรุป) ได้แก่

๑. ภิกษุณีต้องกราบไหว้ภิกษุ แม้มีอายุพรรษาน้อยกว่าเสมอ

๒. ภิกษุณีต้องจำพรรษาในวัดที่มีภิกษุอยู่ด้วยเสมอ

๓. ภิกษุรีต้องเป็นฝ่ายรับการสั่งสอนจากภิกษุเสมอ

๔. ภิกษุต้องปวารณาในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์

๕. เมื่อต้องอาบัติสังฆาทิเสส (อาบัติหนักรองจากปาราชิก) จะต้องประพฤติมานัตต์ (การเข้าปริวาสกรรม-การอยู่ในบริเวณที่กำจัดและปฏิบัติธรรมเป็นเวลาต่อเนื่องเพื่อลดละกิเลส) ตลอดปักษ์ในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย

๖. ภิกษุณีต้องเป็นผู้ศึกษาธรรมและรักษาศีล ๖ ข้อ (เพิ่มข้อห้ามกินยามวิกาลจากศีล ๕) เป็นเวลา ๒ ปี ก่อนจะได้รับการบวชโดยสงฆ์ทั้งสองฝ่ายคือ ทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์

๗. ห้ามมิให้ภิกษุณีด่าว่าภิกษุไม่ว่าในกรณีใดๆ

๘. ห้ามมิให้ภิกษุณีว่ากล่าวสั่งสอนภิกษุ

ทั้งหมดนี้เป็นธรรมที่ภิกษุณีพึงสักการะ นับถือ เคารพ บูชาและไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 33 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร