วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 06:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2011, 06:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจโตวิมุติ เขียน:
ความที่พุทธศาสนิกชน หรือผู้สนใจในธรรมและการปฏิบัติธรรมทั้งหลายนั้นยังมีวุฒิภาวะ และความรู้ความเข้าใจ ในแก่นแท้ของพุทธศาสนาที่ต่างกัน การนำข้อมูลมานำเสนอ ถ้าเป็นข้อมูลที่ได้วิเคราะห์แล้ว หรือยอมรับกันเป็นการสากลแล้ว ย่อมไม่เกิดโทษภัย

ท่านเจโตครับ ผมขออนุญาตสนทนากับท่านหน่อยครับ ด้วยเหตุที่ท่านกล่าวถึงแก่นธรรมของพุทธศาสนา
ขอถามท่านครับ อะไรเป็นแก่นธรรมที่ท่านกล่าวครับ แต่สำหรับผม แก่นธรรมที่แท้จริง
คือการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น และผมก็ว่าท่านคงเข้าใจดีว่า แนวการปฏิบัติก็คือ
การสลัดหรือละทิ้งทุกสิ่งอย่าง ทิ้งอย่าไปยึดติดกับเรื่องต่างๆ หรือแม้กระทั้งกฎเกณท์ทางโลก
และที่สำคัญที่สุดเราต้องสลัดหรือละที่จะยึดมั่นถือมั่นกายและใจตัวเอง
ตัวผมมองแก่นธรรมในลักษณะนี้ เลยรู้สึกแปลกใจกับพวกท่าน ที่ออกมาแสดงอาการต่อต้าน
กับมนุษย์ที่เป็นพุทธศาสนิกคนหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นสตรีเพศ

ท่านเจโตครับ คำว่าสากล ในความหมายของท่านมันเป็นอย่างไรครับ
ผมเข้าใจคำว่าสากล คือการที่คนในหลายๆ ประเทศยินยอมพร้อมใจที่จะปฏิบัติในทางเดียวกัน
แต่ทำไมในหลายประเทศจึงบวชให้สตรีเพศได้ละครับ
คำว่าสากลของท่านผมว่า ไปยึดเอาแนวทางอนุรักษ์นิยมโบราณที่ว่า ผู้ชายย่อมเป็นใหญ่หรือเปล่าครับ

เจโตวิมุติ เขียน:
:......แต่เรามีคำถามเพื่อเพื่อนทุกคนในกระดานนี้ ว่าทำไมท่านต้องใช้ความพยายามที่จะเป็นภิกษุณีถึงขนาดนั้น ในเมื่อถ้าท่านต้องการเพียงเพื่อการหลุดพ้นจริง จิตของท่านอย่างเดียวที่หลุดพ้น และการหลุดพ้นก็อาศัยเพียงกายนี้เป็นทางผ่าน ซึ่งจะอยู่ในเพศใดไม่เห็นสำคํญ และน่าจะไม่มีข้อจำกัด..

ผมจะตอบให้ครับแต่มันเป็นการแสดงความเห็นเฉพาะตัวนะครับ ที่ท่านถามว่า...
"ทำไมท่านต้องใช้ความพยายามที่จะเป็นภิกษุณีถึงขนาดนั้น" ก็เพราะว่า.
เท่าที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมา ไม่ทราบว่าจะมีอยู่ในพระไตรปิฎกหรือเปล่า
มันมีคำบอกไว้ครับว่า การจะเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานได้นั้น บุคคลนั้นจะต้อง
บวชเป็นพระเสียก่อน หรือแม้กระทั่งว่า ถ้าได้อนาคามีแล้วจะต้องบวชมิฉะนั้น
จะไม่สำเร็จหรือเสียชีวิต
ไม่ทราบว่าเรื่องเหล่านี้จะจริงเท็จประการใด ผมเพียงยกให้ดูว่า
นี่ก็เป็นเหตุผลประการหนึ่งครับ


ท่านเจโตครับ ที่ท่านกล่าวสอนว่า การหลุดพ้นไม่เกี่ยวกับกายมันเป็นเรื่องของจิต
อันนี้มันถูกเสียยิ่งกว่าถูกครับ แต่อย่าลืมครับว่า มันเป็นการปฏิบัติเฉพาะตัว
ใครทำใครได้ ความหมายมันน่าจะบอกเป็นแนวว่า
ปฏิบัติของเราไปอย่าไปยุ่งกับสิ่งเหนี่ยวรั้งภายนอก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับคนอื่น
แต่ถ้าท่านไปเอาเรื่องของคนอื่นมาคิด ในแง่ท่านเป็นผู้ชาย อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง
ทำไมท่านไม่เอาสิ่งที่ท่านกล่าวมาปฏิบัติเอง ให้คิดเสียว่ากายหรือเพศไม่สำคัญ
อย่าไปตั้งข้อจำกัดให้คนอื่น เพราะการปฏิบัติเป็นสิ่งเฉพาะตัว และมันเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล
ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าชี้แนะครับ

เจโตวิมุติ เขียน:
:แต่การทำอะไรให้ดูเคร่งกว่าทางสายกลาง แนวปฏิบัติที่แต่กต่าง รูปแบบใหม่ที่ดูเคร่งครัด น่าศรัทธากว่า มันมีแนวโน้มที่จะชักจูงคนประเภทศรัทธานำหน้าปัญญาให้หันเหและเดินตามไป และมันหมิ่นเหม่ต่อการเป็นทฤษฎีใหม่ ศาสดาองค์ใหม่ ซึ่งมีหลายสำนักกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน อย่าลืมว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้นั้นถึงที่สุดแล้ว...โปรดอย่าพยายามเอาไปต่อยอดกันอีกเลย ทฤษฏีใหม่จะไม่เกิดขึ้นจริงแท้ จนกว่าศาสนานี้จะสิ้นสุดลงเมื่อครบ 5000 ปีตามพุทธทำนาย ใช้สติปัญญา ไม่ต้องเชื่อเรา......ขออภัยอีกครั้ง/เจโตวิมุติ..

ท่านเจโตครับ ทางสายกลางที่ท่านบอก ก่อนอื่นท่านต้องรู้ว่า
ทางสูงสุดและต่ำสุดมันมีมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ว่า ฉันปฏิบัติแบบนี้ฉันเป็นทางสายกลาง
สิ่งที่คนอื่นปฏิบัติแล้วฉันทำไม่ได้ก็ว่าสุดโต่งหรือเป็นคนนอกศาสนา และที่สำคัญไปว่าคนที่
ปฏิบัติน้อยกว่าหรือทำไม่เหมือนเราว่า มีแต่ศรัทธาไร้ปัญญา

เรื่องที่ท่านบอกว่า การปฏิบัติที่เคร่งแล้วกลัวเกิดลัทธิหรือศาสดาองค์ใหม่ ผมว่า
มันไม่ค่อยมีเหตุผลนะครับ
สิ่งที่เราเห็นอยู่ไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่า ศาสนาของเรามันจะเสื่อมก็เพราะ
มีนักบวชเขามาแสวงหาผลประโยชน์ หรือไม่ก็บวชเข้ามาแล้วไม่ยอมปฏิบัติ
อยู่ไปวันๆ ได้แค่สวดมนต์รอเวลาให้ญาติโยมนิมนต์ไปทำบุญบ้านหรือปลุกเสกของขลัง

ไม่ว่าศรัทธาหรือปัญญา เป็นสิ่งดีครับ แค่เราต้องแยกให้ออกครับว่าใครควรมี
ศรัทธา ใครควรมีปัญญา ปัญญาเกิดกับผู้ปฏิบัติ ส่วนศรัทธาเกิดกับปุถุชนธรรมดา
พุทธศาสนาจะคงอยู่ได้ก็ด้วยคนส่วนใหญ่ที่เป็นปุถุชนที่มีศรัทธาครับ
และอะไรที่ทำให้มีศรัทธา ก็ด้วยการได้เห็นผู้ที่ปฏิบัติเคร่งและจริงจังในแนวทางที่
ทุกคนเห็นว่าเป็นกุศลไม่ด่างพร้อยครับ

ขอถามทิ้งท้ายหน่อยครับ มันมีหรือท่านเคยได้ยินว่า ผู้หญิงที่เขาบวชเป็น
ภิกษุณีเขาจะมีศาสดาองค์ใหม่ ผมไม่เคยได้ยินเห็นแต่เขาเหล่านั้นเชื่อมั่นและศรัทธา
พระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า พระโคดม เขาจึงเข้ามาบวช

แต่ที่แน่ๆ ผมเห็นมีแต่พวกท่าน ที่พยายามกรีดกันไม่เขาเข้าใกล้พระพุทธเจ้า
แสดงกิริยาว่า พระศาสดาของฉัน พระพุทธเจ้าของฉัน อย่ามายุ่ง !


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2011, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2010, 07:19
โพสต์: 89


 ข้อมูลส่วนตัว



เรียนถามท่านผู้รู้....
ขอความรู้พร้อมหลักฐานในพระไตรปิฎก..ในเรื่อง พุทธบริษัท ๔
มีความเป็นมาอย่างไร? มีความสำคัญอย่างไร?
ขอบพระคุณล่วงหน้า :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2011, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2010, 19:15
โพสต์: 19

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
"ไม่มีการทำบาปกรรมใดจะยิ่งใหญ่เท่าทำต่อพระพุทธศาสนา และในทางตรงกันข้าม ก็ไม่มีการทำคุณงามความดีจะยิ่งใหญ่เท่าทำต่อพระพุทธศาสนา"

สมเด็จพระญาณสังวรฯ


เชื่อใครดีละ ?

เชื่อพระพุทธเจ้า ก็ทำตามที่พระองค์ตรัสสอนไว้
เชื่อตัวเอง ก็ทำตามที่ตัวเองเชื่อและคิดว่าถูก

บาป-บุญ ที่ทำไว้กับพุทธศาสนา ใครทำใครก็รับไป

:b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2011, 11:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: เราไม่ตอบแล้ว และที่บอกว่าเรากีดกันภิกษุณี ยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่ เป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้ มันอยู่ที่เจตนา ถ้าเป็นแล้ว เห็นแล้วว่ามันเป็นทางพ้นทุกข์ ก็อนุโมทนา ที่ต้องระวังคือผ้าเหลืองที่เอาไปห่มมันเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนาพุทธ ธรรมมะที่เอาไปอ้างมันเป็นของพระพุทธเจ้า อย่าเหยียบบ่าพระองค์ เพื่อเอาธรรมมะของท่านไปต่อยอดดัดแปลง เพื่อสร้างอาณาจักร เพื่อสร้างทฤษฏีใหม่ และตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิรูปแบบใหม่ ไม่เหมือนใครแล้วอ้างเป็นพุทธ ซึ่งคนศรัทธาจริต ยังผ่อนบุญคู่กับผ่อนบ้านอยู่ มีให้เห็นจำนวนมาก อย่ามาจุดไฟในใจเรา จุดไม่ติดหรอกเราวางเป็น และรู้ว่าเมื่อไรควรวาง.....เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2011, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Yodyood เขียน:
สิ่งที่คุณโฮฮับพูดขึ้นมาก็ชี้ชัดถึงปัญหาของคนที่เข้ามาบวชเรียนแต่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน มันก็แสดงให้เห็นความบอบช้ำของพระศาสนาที่เป็นอยู่ในขณะนี้อยู่แล้ว หากต้องการที่จะบวชภิกษุณีเข้าทางเถรวาทให้ได้จริงๆ ก็ต้องเพิกถอน (และแก้ไข) บทบัญญัติของการบวชภิกษุณี แล้วต่อไปในอนาคตจะควบคุมการเพิ่ม หรือแก้ไขบทบัญญัติของพระพุทธเจ้ากันตามความต้องการได้อย่างไร? พระพุทธศาสนาในไทยที่บอบช้ำอยู่แล้วจะไม่ยิ่งแย่ลงไปอีกเหรอครับ?

คุณครับการศึกษาพระธรรม มันจะต้องศึกษาด้วยเหตุและผล และนำเหตุผลนั้นมาพิจารณาให้เกิดปัญญา
ไม้ใช่สักแต่ว่า นั่งท่องอ่านกฎข้อบังคับทฤษฎีต่างแล้วก็มาพูดข่มชาวบ้าน แสดงตัวว่ารู้ดีทุกอย่าง แต่แท้ที่
จริงแล้วมันไม่ใช่สาระเนื้อแท้ของพุทธศาสนาเลย พุทธศาสนาเน้นสอนให้ปฏิบัติ ไม่ได้เน้นสอนให้มานั่งท่อง
บ่นตำรา ผมจะแนะนำให้คุณรู้ครับว่า ผู้มีปัญญาต้องพิจารณาธรรมทำเป็นครับ ต้องดูว่ากฏข้อห้าม
ต่างๆ มันแย้งกับหลักคำสอนที่แท้ของพระพุทธเจ้าหรือไม่


เรื่องความบอบช้ำของพุทธศาสนามันไม่ได้อยู่กับการที่ผู้ที่หญิงจะบวชหรือไม่เลยครับ
คุณอย่าพยายามบิดสิ่งที่เป็นกุศลให้เป็นอกุศลหน่อยเลย มันบาปน่ะ
มันอะไรกันครับ คนเขาจะเขามาบวชก็ด้วยศรัทธาและเชื่อมั่นต่อองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ไงไปว่ามาทำให้พุทธศาสนาบอบช่ำ พุทธศาสนาบอบช่ำมานานแล้วครับ แต่มันเกิดจาก
การที่พระสงฆ์บวชเขามาแสวงหาผลประโยชน์ เรี่ยไรสร้างวัตถุสารพัดที่จะกล่าวเยอะแยะไปหมด
ทำไมคุณไม่ไปจัดการทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ขัดกับพระวินัย


ผมจะบอกให้อีกอย่างครับ ภิกษุณีที่ท่านว่า เขาไม่ได้บวชที่ประเทศไทยหรือไปบังคับให้อุปฌาฯคนไทย
บวชให้สักหน่อย เขาบวชที่ประเทศอื่น
แล้วการที่จขกท.นำเอาสิ่งเหล่านี้มาโพส ผมก็ว่าจขกท.มีความปรารถดี ที่จะชี้ให้เห็น
แรงศรัทธาของสตรีเพศที่มีต่อพุทธศาสนา สงสัยจริงอะไรดลใจให้พวกคุณเห็นเป็นอย่างอื่นไปได้


คุณครับผมถามจริง ทีเวลาพวกฝรั่งตาน้ำข้าวมันมาบวชทั้งๆที่มันไม่มีความรู้ในเรื่องพุทธศาสนา
หรือผลสุดท้ายของการปฏิบัติว่าคืออะไร เพียงแค่ว่ามันอยากรู้เรื่องการทำสมาธิเท่านั้น ผมเห็นไปแสดงความ
ยินดีปรีดาจนออกนอกหน้า ผมว่าพวกคุณจะเชิดชูฝรั่งเสียสูงส่งแล้วเหยียดยามผู้หญิงไทยจนต่ำต้อยนะ

แล้วเรื่องแม่ชีล่ะทำไมไม่ไปแอนตี้ แม่ชีก็เป็นผู้หญิง แถมอาศัยอยู่ในวัดใกล้พระใกล้เจ้าอย่างนี้
ไม่หมิ่นเหม่ต่อการเสื่อมเสียต่อพระต่อศาสนาหรอกหรือ
ผมจะบอกให้ครับว่า ทำไมพวกท่านถึงไม่ต่อต้านแม่ชี เพราะสถานะของแม่ชีมันต่ำกว่า
สถานะของสงฆ์ที่เป็นชายไงครับ แต่ภิกษุณีถือศีลมากกว่าชาย ถ้าดูกันที่ศีลแล้วสถานะหรือความน่าศรัทธา ใครจะมีมากกว่ากันครับ เพราะแบบนี้ผู้ชายไทยมันถึงยอมไม่ได้มาเก่งกว่าฉันได้อย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2011, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Yodyood เขียน:
ความเคารพในตัวพระภิกษุณีต่างนิกายเป็นสิ่งที่ดี และควรกระทำ
หากแต่ถ้าไม่ระวัง
เกิดมีกระทำการใดๆที่จะเป็นการแก้ไขหรือเพิกถอนบทบัญญัติที่มีอยู่แล้ว ถึงแม้จะมีเจตนาดีก็ตามที
แล้วต่อไปจะควบคุม ป้องกันการแก้ไขบทบัญญัติอื่นๆกันอย่างไร?
คนไม่ดีก็จะใช้เหตุการณ์นั้นเป็นข้ออ้างในการแก้ไขบทบัญญัติที่เป็นเสี้ยนหนามแก่ตัวเองได้
อยากให้ทุกฝ่ายค่อยๆคิดและทำความเข้าใจจุดนี้ด้วย

ผมเรียนถามคุณหน่อยนะว่าประเทศที่ภิกษุณีไปบวช มันเป็นประเทศอะไรครับ
มันเป็นประเทศศรีลังกาไม่ใช่หรือ แล้วประเทศศรีลังกาเป็นพุทธนิกายอะไรครับไม่เหมือนเราหรอกหรือ

คุณนี่ก็มาตีโพยตีพาย ใครจะไปแก้ไขบัญญัติ เมื่อที่นี่ไม่ให้บวช เขาก็ไปบวชที่อื่น
แล้วเขาบวชที่ไหนเขาบอกตามความจริง ไม่ได้มาโกหกถึงที่มาเสียหน่อย

เดี๋ยวนี้พระไทยก็ทำพิธีที่ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา แถมพุทธศาสนาห้ามด้วย
ผมยังไม่เห็นมีใครออกมาตีโพยตีพายกลัวคนพวกนั้นมาแก้บัญญัติเหมือนคุณเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2011, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 16:44
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จัทร์เพ็ญ เขียน:
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 447

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี

ก็เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว
บัดนี้ พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง ๕๐๐ ปีเท่านั้น

สาธุครับ ขอโมทนา :b8:
ผมเชือพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์และพระธรรมพระวินัยที่พระองค์ตรัสสอนไว้
"พระธรรมและพระวินัย ที่ตถาคตแสดงไว้ จะเป็นศาสดาสอนเธอสืบไป"

การจรรโลงพระศาสนา ต้องรู้พระธรรมรู้พระวินัย และต้องเป็นผู้เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ ไม่เช่นนั้น แทนที่จะเป็นสืบต่อพระศาสนา กลายเป็นทำลายพระศาสนาอย่างไม่รู้ตัว

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2011, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ได้อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้ระลึกถึงถ้อยคำของพระมหากัสสปะองค์ประธานแห่งการสังคายนาครั้งที่ ๑ ปฐมสังคายนาว่า...

"...เอาเถิด ท่านทั้งหลาย พวกเราจงสังคายนาพระธรรมและพระวินัยเถิด ในภายหน้าสภาวะมิใช่ธรรมจักรุ่งเรือง ธรรมจักเสื่อมถอย สภาวะมิใช่วินัยจักรุ่งเรือง วินัยจักเสื่อมถอย ภายหน้าอธรรมวาทีบุคคลจะมีกำลัง ธรรมวาทีบุคคลจักเสื่อมกำลัง อวินยวาทีบุคคลจักมีกำลัง วินยวาทีบุคคลจักเสื่อมกำลังฯ..."

ที่มา : http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0

วินัยเปรียบเหมือนรากแก้ว หากรากไม่แข็งแรงแล้ว ลำต้น กิ่งก้าน และสาขาของต้นไม้ย่อมไม่แข็งแรง ตั้งอยู่ไม่ได้...

ธรรมวินัยนี้พระพุทธเจ้าเป็นประมุขทรงประกาศตั้งขึ้นมา เป็นผู้ออกกฎระเบียบต่างๆ อย่าได้คัดค้าน หรือหักล้างบัญญัติของพระพุทธเจ้าด้วยเหตุผลใดๆ เลย เพราะพระองค์ทรงมี "สัพพัญญุตญาณ" ทรงบัญญัติสิ่งต่างๆ ด้วยปรีชาญาณรอบคอบอย่างประเสริฐสุดแล้ว เพื่อประโยชน์สุขแก่พระศาสนาเพื่อให้สรรพสัตว์ล่วงพ้นจากทุกข์โดยแท้...

ขอให้เจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2011, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมไม่ขอต่อความยาวสาวความยืดแล้ว อยากจะเข้าใจอย่างไรก็ตามสบายครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2011, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Yodyood เขียน:
เหตุ 1
ผู้หญิงมีสิทธิบวชเป็นภิกษุณี(ในฝ่ายเถรวาท) แต่คนที่มีสิทธิบวชให้ไม่มี เพราะภิกษุณีในนิกายเถรวาทได้ขาดสูญไปแล้ว และพระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว
ผล 1
ผู้หญิงจึงไม่สามารถบวชเป็นภิกษุณีได้(ในฝ่ายเถรวาท) (มีสิทธิ์ แต่ผู้ที่สามารถบวชให้ได้ไม่มีเหลืออยู่แล้วในโลก)

คุณจะอ้างเหตุให้ผลมาทำไมกันครับ กรุณามีสติให้อยู่ในเนื้อหาที่จขกท.เขาโพสหน่อยนะครับ
ผมเข้าไปอ่านในลิ้งของจขกท.ดู ก็ไม่เห็นมีตรงไหนที่ภิกษุณีรูปนั้น จะบอกว่าตัวเองเป็นเถรวาท
หรือมหายานเลย เห็นมีแต่เป็นสามเณรีแล้วเป็นภิกษุณีบวชที่โคลอมโบ ศรีลังกา
กรุณาอย่าอ้างเหตุหาผลเองแบบนี้ซิครับมันบาป
คุณครับจะยกคำสอนของครูบาอาจารย์มาทำไมครับ เราไม่ได้เถียงกันถึงเรื่องคำสอน
หรือเนื้อหาของพระไตรปิฎกว่าผิดหรือถูกนะ เรากำลังถกกันถึงพุทธศาสนาในประเทศไทยที่เป็นเถรวาท
ไม่สามารถบวชภิกษุณีได้ ผมก็ไม่ได้เถียงว่าบวชได้ เพราะเขาไม่ได้บวชในประเทศไทย
แบบนี้ต้องเรียกว่า อ้างไปเลย เกี่ยวไม่เกี่ยวขอให้ได้อ้าง ประเภทไม่กล้าสู้เอาผู้ใหญ่ขู่ไว้ก่อน


Yodyood เขียน:
เหตุ 2
ภิกษุณีนันทญาณีบวชมาทางฝ่ายมหายาน
ผล 2
ภิกษุณีนันทญาณีเป็นภิกษุณีในฝ่ายมหายาน และไม่สามารถเป็นภิกษุณีในฝ่ายเถรวาทด้วยเหตุผลข้อ 1

ท่านภิกษุณีนันทญาณี จะเป็นภิกษุณีฝ่ายไหนไม่ทราบ แต่ที่รู้ๆคือ ท่านไม่ได้บอกว่าท่านเป็นพระ
ฝ่ายหรือลัทธิไหน ไม่ทราบว่าทำไมคุณถึงไปเจ้ากี้เจ้าการกับท่านนัก

Yodyood เขียน:
หวังว่าจะเป็นเหตุ และผลที่เพียงพอนะครับ? ผมจะได้จบและให้คุณสาวิกาน้อยนำข้อมูลอื่นๆมาโพสต่อไป

เหตุผลอะไรของคุณครับ มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย มันคนละเรื่อง พูดเองเออเอง เพราะใจคติกับผู้หญิง
ผมก็บอกแล้วศึกษาพระธรรม ต้องรู้จักพิจารณาธรรมเป็นถึงจะรู้เรื่องเหตุและผล
อ้างแต่พระไตรปิฎก อ้างแต่ครูบาอาจารย์ อ้างไปเรื่อยทั้งๆที่ไม่ได้เกี่ยวกันเลย
เรื่องมันคนละประเด็นแท้ๆยกมาอ้างได้
จะบอกให้นะครับว่า ต่อให้คุณจำข้อความในพระไตรปิฎกได้หมด มันก็
หาได้เกิดประโยชน์อันใดไม่ ถ้าคุณยังไม่รู้จักการตีความหรือพิจารณาธรรมในพระไตปิฎก
มันก็เหมือนนกแก้วนกขุนทองแค่นั้นครับ


Yodyood เขียน:
คำถาม
เหตุใดมหายานจึงบวชภิกษุณีได้
ตอบ
เพราะข้อบังคับต่างๆ ไม่เหมือนกับเถรวาท
ในอดีตพระบางกลุ่มมีความต้องการดัดแปลงแก้ไข ยกเลิก หรือเพิ่มเติม บทบัญญัติที่มีอยู่เดิมจึงแยกออกไปเป็นนิกายต่างๆมากมาย (มูลเหตุสังคายนาครั้งที่ 2)

ที่แน่ๆเขาก็บวชมาแล้ว และก็ไม่ได้บวชในประเทศไทยเสียด้วย
ไม่ให้เขาเป็นเถรวาทไทย หรือพระไทย ผมก็ไม่เห็นเขาจะตอบโต้อะไร
ไม่ยอมรับ เขาก็อยู่ส่วนเขา เห็นมีแต่พวกคุณเท่านั้นที่เดือดร้อน

เอ่อครับเห็นชอบอ้างเถรวาทหินยานบ่อยๆ ขอถามหน่อยครับ
ศาสนาพุทธของศรีลังกาเป็นนิกายอะไรครับ ตอบให้หายข้องใจหน่อยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2011, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจโตวิมุติ เขียน:
:b42: เราไม่ตอบแล้ว และที่บอกว่าเรากีดกันภิกษุณี ยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่ เป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้ มันอยู่ที่เจตนา ถ้าเป็นแล้ว เห็นแล้วว่ามันเป็นทางพ้นทุกข์ ก็อนุโมทนา ที่ต้องระวังคือผ้าเหลืองที่เอาไปห่มมันเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนาพุทธ ธรรมมะที่เอาไปอ้างมันเป็นของพระพุทธเจ้า อย่าเหยียบบ่าพระองค์ เพื่อเอาธรรมมะของท่านไปต่อยอดดัดแปลง เพื่อสร้างอาณาจักร เพื่อสร้างทฤษฏีใหม่ และตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิรูปแบบใหม่ ไม่เหมือนใครแล้วอ้างเป็นพุทธ ซึ่งคนศรัทธาจริต ยังผ่อนบุญคู่กับผ่อนบ้านอยู่ มีให้เห็นจำนวนมาก อย่ามาจุดไฟในใจเรา จุดไม่ติดหรอกเราวางเป็น และรู้ว่าเมื่อไรควรวาง.....เจโตวิมุติ

จุดฟงจุดไฟอะไรกันครับ ผมพึ่งเห็นท่านไปว่ากล่าวสั่งสอนจขกท.อยู่แหม็บๆ
ผมบอกแล้วไงว่าจะถกธรรมต้องเอาเหตุผลมาถก มันถึงเรียกการสนทนาธรรม
ไอ้ประเภทคุยไปยกตนข่มท่านไปนี้ มันใช่ไม่ได้หรอกครับ
ชอบเอาพระไตรปิฎกมาเหยียบย่ำคนอื่น
สักวันสิ่งนั้นมันก็จะหวนมาเล่นงานตัวเองครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2011, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีลังกาเป็นเถรวาท แต่ผู้ที่มาทำการบวชภิกษุณีในลังกาตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์เชื่อได้ว่าเป็นภิกษุณีฝ่ายมหายานไม่ใช่เถรวาท

กรุณาอ่านด้วยครับจะเป็นพระคุณอย่างสูง
http://www.mcu.ac.th/site/articleconten ... oup_id=253

หากท่านสามารถหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์มายืนยันว่าการบวชภิกษุณีในลังกาในอดีตทำมาอย่างถูกต้องเรื่องทั้งหมดก็จบ
ก็จะมีผู้ที่มีสิทธิ์ในการบวชภิกษุณีตามพระวินัย ไม่ขัดกับบทบัญญัติใดๆทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 06:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Yodyood เขียน:
ศรีลังกาเป็นเถรวาท แต่ผู้ที่มาทำการบวชภิกษุณีในลังกาตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์เชื่อได้ว่าเป็นภิกษุณีฝ่ายมหายานไม่ใช่เถรวาท

ตอนที่จะด่าจะว่าใคร ก็ใส่เสียเต็มปากเต็มคำ แต่เวลาแสดงหลักฐานบอกแค่"เชื่อได้ว่า"
ฟังดูแล้วมันก็ประเภทเดียวกับ"เดาเอาว่า"นั้นแหล่ะครับ

ประเด็นที่เราต้องดูหรือวิเคาระห์มันอยู่ตรงที่ ศรีลังกาเป็นเถรวาทเหมือนเราอันนี้เป็นเรื่องจริงพิสูจน์ได้
ถ้ามาลองดูในสิ่งที่คุณบอกว่า พระที่บวชเป็นมหายาน ผมจึงสงสัยว่า ทำไมศรีลังกาถึงบวชได้ ไม่เห็นมี
ฆราวาสชาวลังกา ออกมาตีโพยตีพาย จะเป็นจะตายเหมือนคนไทยเลย
ผมขอลงความเห็นไว้ล่วงหน้าเลยครับ อีกหน่อยพวกท่านจะต้องลงความเห็นว่า.
พุทธศาสนาในลังกาเป็นลัทธิอื่นไม่ใช่เถรวาท ไม่แน่อาจเรียกว่าลัทธิเทวทัตเลยก็ว่าได้

เหตุใดหนอสิ่งที่เขาพยายามทำดีเป็นกุศล คนที่ได้ชื่อว่าคนไทยจะต้อง
หาเรื่องโจมตีให้เสื่อมเสีย ที่สำคัญเขาไม่ได้ทำในขบวนการขั้นตอนที่เรากล่าวหาเลย
แบบนี้มันตรงกับสุภาษิตที่ว่า เห็นใครดีไม่ได้ เห็นใครได้ไม่ดี

ขอถามคุณอีกอย่างครับว่า การปกครองสงฆ์ไทยคุณว่ามีบัญญัติไว้ในพระวินัยไหมครับ
ที่ถามนี่ก็เพราะเคยเห็น พระแถวบ้านได้ยศอะไรมาไม่รู้ จัดงานฉลองที่วัดสามวันสามคืน
แถมตั้งขบวนแห่ เล่นเอารถติดเป็นกิโล สรุปเถรวาทไทยทำได้ใช่ไหมครับ


อีกเรื่องที่คุณเคยบอกว่า ที่มีนิกายมหายานเกิดขึ้นก็เพราะ เขาจะไปแก้พระวินัยอย่างโน้นอย่างนี้
ตามความเห็นผมว่าไม่ใช่หรอกครับ ผมว่าที่ต้องแตกแยกกันเพราะ มีคนจำพพวกที่ว่า
สิ่งที่ทำได้ฉันเอา ฉันถูก สิ่งที่ฉันทำไม่ได้ไม่เอา มันผิดมันเป็นเทวทัต


Yodyood เขียน:
กรุณาอ่านด้วยครับจะเป็นพระคุณอย่างสูง
http://www.mcu.ac.th/site/articleconten ... oup_id=253

คุณครับคุณนี่ยังไม่รู้จักโตนะครับ ผมบอกให้ดูประเด็นในกระทู้นี้ว่า
ประเด็นมันอยู่ตรงไหน จขกท.เขาโพสกระทู้ประวัติของภิกษุณีรูปนี้
และสาเหตุที่เขาโพส ดูแล้วก็รู้ได้ว่า เขารู้สึกชื่นชมการกระทำของภิกษุณีรูปนี้
ถึงเป็นหญิงก็มีใจเด็ดเดียวในเรื่องธรรม เขาไม่ได้มาว่า ต้องบวชในไทยหรือบวช
ในนิกายเถรวาทไทยสักหน่อย

ขอแนะนำคุณอีกอย่างนะครับ การจะถกธรรมกับใคร เขาต้องใช้วิจารณาณของตัวเอง
คนที่จะคุยเรื่องธรรมจะต้องมีความรู้ด้วยการปฏิบัติมา จะโต้จะแย้งอะไรจะต้องมาจากความคิด
ความเห็นของตัวเอง นั้นแหล่ะถึงจะกล่าวได้ว่าเป็นจริงในความเห็นของตัว
การปฏิบัติธรรมสิ่งสำคัญที่สุดต้องเชื่อมั่นตนเองครับ ผิดถูกไม่มีใครว่าหรอก เพราะมันเกิดที่จิตเราเอง
มันเป็นจริงเป็นธรรมชาติ

ขอย้ำอีกทีเพื่อความฉลาด เราไม่ได้เถียงกันเรื่องของแม่ชี หรือเนื้อหาบทความของแม่ชีที่คุณยกมานะ
ผมเข้าใจไปเองว่า คุณกำลังเอาคุณวุติของแม่ชีมาข่มผม ผมเห็นว่ามันไร้สาระครับ แล้วนึกย้อนไปว่า
คุณนี้ไม่มีดีอะไรเลย เที่ยวได้อ้างคนนั้น คนนี้ ผมจะบอกให้ คนที่เชื่อมั่นตัวเองน่ะ ต่อให้เอาคนที่มีคุณวุฒิ
สูงกว่าแม่ชี 100 เท่าเขาก็ไม่กลัวหรอกครับ(คุณครับอ้างใครยกใครมา เมื่อเกิดการกระทบไปถึงคนที่คุณอ้าง
ก็กรุณารับในสิ่งที่กระทำด้วยนะครับ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 06:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในเมื่อหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่มีประโยชน์ก็ทิ้งมันซะ ไม่ต้องไปศึกษาเผามันไปเสียเลย
ขอให้มีคนยอมรับจะบวชก็บวชได้
ต่อไปมีคนนุ่งเหลืองห่มเหลืองขอแค่มีคนยอมรับก็บวชพระให้คนอื่นได้จะเป็นพระจริงพระปลอมไม่ต้องไปสนใจ
จะเอาแบบนั้นไหม?
ประเพณีดั้งเดิมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาก็โยนทิ้งไปเสียไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นก็ดีเหมือนกัน
[เพิ่ม] เผื่อจะได้มุ่งไปที่การปฏิบัติกันตรงๆไม่ต้องมีพิธีรีตรอง

ก็ดีอยากจะทำอะไรทำครับ ผมขอหุบปากแล้วให้คุณสาวิกาน้อยโพสต่อไป


แก้ไขล่าสุดโดย Yodyood เมื่อ 05 ม.ค. 2011, 06:56, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2011, 06:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Yodyood เขียน:
หากท่านสามารถหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์มายืนยันว่าการบวชภิกษุณีในลังกาในอดีตทำมาอย่างถูกต้องเรื่องทั้งหมดก็จบ
ก็จะมีผู้ที่มีสิทธิ์ในการบวชภิกษุณีตามพระวินัย ไม่ขัดกับบทบัญญัติใดๆทั้งสิ้น

คุณนี่ไม่รู้อะไรเลยนะ แถมหัวดั้นอีกต่างหาก แก่นหรือหัวใจ ของพุทธศาสนามันอยู่ที่ การปฏิบัติ
ไหนพวกคุณบอก ไม่ต้องบวชก็ปฏิบัติได้ แล้วพวกคุณจะมาเอาสาระนิยายอะไรกับเรื่องบวชไม่บวช
จะบอกให้ครับถ้าเราทุกคน คิดตรงกันว่า การปฏิบัติคือสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ไปใส่ใจกับเรื่องอื่น
อาทิเช่น ผู้หญิงคิดว่าไม่ต้องบวชก็ปฏิบัติได้ หรือพวกท่านคิดว่า ผู้หญิงจะบวชหรือไม่บวชก็ได้
มันไม่ใช่สาระสำคัญ นี่แหล่ะคือทางสายกลาง(มีบางคนเอาเรื่องทางสายกลางมาอ้างแต่อ้างแบบไม่รู้จริงครับ)
เมื่อคิดได้ดังนี้ พวกท่านเห็นผู้หญิงบวชก็ต้องว่าเป็นเรื่องของเขา หรือผู้หญิงที่บวชถูกด่าถูกว่า
ก็คิดว่ามันเรื่องของเขาปากของเขา เราไม่เกี่ยว
แต่ที่เห็นๆอยู่มันไม่ใช่ มีคนบางคนเอาเรื่องทุกเรื่องมาเป็นเรื่องของตนหมด
แล้วก็ตะโกนว่า "ผมทำไปเพื่อนิพพาน"


สุดท้ายเพื่อความเข้าใจ ที่คุณยกมาหรือให้ไปหาหลักฐานมา
มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณเลยครับ คุณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าฐานะอะไร
คนที่จะมาบอกมาหาหลักฐานต้องเป็นคนศรีลังกาโน้น
หวังว่าคงเข้าใจเรื่องมันจะได้จบ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 109 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร