วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 20:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2010, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2010, 09:03
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันชื่อ น.ส.กุมารี สาริกบุตร อายุ 22 ปี เกิดวันที่ 10 เม.ย. 2531 ปีมะโรง เกิดวันอาทิตย์ เวลาเกิด 14.10 น. อยากทราบว่ากรรมของดิฉันมีอะไรบ้างควรแก้กรรมอย่างไร เพราะว่าเมื่อไม่วันที่ 17 กค. 53 กับวันที่ 31 ตค. 53 ได้เสียคนรักไปทั้ง 2 คน แล้วดิฉันก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยแต่ดิฉันไม่ได้รับบาดเจ็บแต่แม่กับคนรักเสียชีวิต ดิฉันต้องแก้กรรมอย่างไรบ้าง ขอให้แม่ชีธนพรช่วยแนะนำให้ด้วย ดิฉันขอขอบพระคุณแม่ชีธนพร มา ณ ที่นี้ด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2010, 13:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: เสียใจด้วยกับการสูญเสีย....อะไรทำให้คุณเชื่อว่าแม่ชีธนพรตรวจกรรมได้ อะไรทำให้คุณคิดว่าแม่ชีธนพรมี ญาณวิเศษขนาดนั้น....คนทุกข์ต้องมีสติเข้าไว้ การเชื่ออะไรต้องกอร์ปด้วยเหตุผล นี่เป็นกระดานธรรมมะ หมายถึงต้องเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และมีสติอยู่เสมอ....เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2010, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


กุมารี เขียน:
ดิฉันชื่อ น.ส.กุมารี สาริกบุตร อายุ 22 ปี เกิดวันที่ 10 เม.ย. 2531 ปีมะโรง เกิดวันอาทิตย์ เวลาเกิด 14.10 น. อยากทราบว่ากรรมของดิฉันมีอะไรบ้างควรแก้กรรมอย่างไร เพราะว่าเมื่อไม่วันที่ 17 กค. 53 กับวันที่ 31 ตค. 53 ได้เสียคนรักไปทั้ง 2 คน แล้วดิฉันก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยแต่ดิฉันไม่ได้รับบาดเจ็บแต่แม่กับคนรักเสียชีวิต ดิฉันต้องแก้กรรมอย่างไรบ้าง ขอให้แม่ชีธนพรช่วยแนะนำให้ด้วย ดิฉันขอขอบพระคุณแม่ชีธนพร มา ณ ที่นี้ด้วย


ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับคุณโยม กุมารี

พุทธฏีกา ขออนุญาตเว้นคำตอบของคุณโยม กุมารีให้กับ คุณแม่ชีธนพรเรื่องตรวจกรรมนะครับ ที่จะแสดงความเห็นต่อไปนี้ เพื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อกัลยาณมิตรท่านอื่น ๆ ในเรื่องกรรมวิปากกรรม ที่คล้าย ๆ กันกับกระทู้นี้ขออนุญาตนะครับ

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@



ก่อนอื่นขออธิบายความหมายเรื่องกรรม
กรรมนั้นมี ๓ อย่าง กรรมคือเจตนา กรรมคือ การกระทำ เป็นกลาง ๆ ไม่ดีไม่เลว

๑)กายกรรม การกระทำทางกาย
๒)วจีกรรม การกระทำทางคำพูด
๓)มโนกรรม การกระทำการนึกคิดปรุงแต่งในใจ

คนเราไม่ว่าชายหรือหญิงเด็กหรือแก่ ล้วนมีกรรมเป็นของตน คือมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นของตนเอง คืออาศัยกายกระทำสิ่งต่าง ๆ อาศัยวาจาคำพูด พูดในสิ่งต่าง ๆ อาศัยใจรุ้สึกคิดนึกต่าง ๆ ดังนั้นเรามีกรรมอย่างนี้ เป็นเหมือน ผ้าสะอาดรอย้อมสี

ดีชั่ว บุญหรือบาป กุศลหรืออกุศล คือ สุขคติ หรือทุคติที่จะพาเราไปตกทุกข์ได้ยากลำบากหรือเป็นสุขก็เพราะอาศัย ใจคิดนึกปรุงแต่ง ทำบุญและบาป โดยอาศัยกาย วาจา ใจ ประกอบกระทำขึ้น

เมื่อประกอบด้วย อกุศล + กรรม ๓ = ทุจริต มีอกุศลมีความชั่วมีบาป เป็นต้นเหตุ มีกรรมคือการกระทำด้วยกายวาจาใจ เมื่อประกอบกันจึงเรียกว่า กายทุจริต ๑ วจีทุจริต ๑ มโนทุจริต ๑ เป็นข้างฝ่ายอกุศล เป็นเหตุคือประกอบด้วยการกระทำ ทางคำพูด ทางความคิด ไปในทางชั่วทางเสื่อมเรียก ทุจริต ๓

เช่นกันเมื่อประกอบกับ กุศล + กรรม ๓ = สุจริต มีกุศลมีความดี เป็นต้นเหตุ มีกรรมคือการกระทำด้วยกายวาจาใจ เมื่อประกอบกันจึงเรียกว่า กายสุจริต ๑ วจีสุจริต ๑ มโนสุจริต ๑ เป็นข้างฝ่ายกุศล เป็นเหตุคือประกอบด้วยการกระทำ ทางคำพูด ทางความคิด ไปในทางดีทางเจริญเรียก สุจริต ๓

ความดี บุญ กุศลที่ตนประกอบ เป็นกรรมขึ้น ด้วยกายวาจาใจ จากผ้าสะอาด ๆ เมื่อนำสีขาวผสมในน้ำย้อมผ้า ผ้าก็ขาวด้วยสีขาวนั้นอย่างนี้

ความชั่ว บาป อกุศลที่ตนประกอบ เป็นกรรมขึ้น ด้วยกายวาจาใจ จากผ้าสะอาด ๆ เมื่อนำสีดำแดงหรือสีอื่น ๆ ผสมในน้ำย้อมผ้า ผ้าก็มีสีดำแดงหรือสีอื่น ๆ นั้นอย่างนั้น

วิปาก+กรรม แปลว่า ผลจากการกระทำทางกายวาจาใจ ที่บุคคลประกอบ เหมือนผ้าย้อมสีใด ก็ติดสีนั้น ๆ บุคคลเมื่อประกอบ กระทำบุญทำกุศลก็ย่อมได้รับผลบุญ เหมือนอย่างผ้าย้อมสีขาว บุคคลเมื่อประกอบ กระทำบาปอกุศล ก็ย่อมได้รับผลบาปอกุศล เหมือนอย่างผ้าย้อมสีต่าง ๆ คนเราทุกคนล้วนเป็นไปตามกฏแห่งกรรม คือกฏของเหตุและผล กรรม ๓ ที่ประกอบกุศล เป็นกุศลกรรม ที่ประกอบอกุสลเป็นอกุศลกรรม ดังนั้นเหตุมาแล้ว คือการกระทำดีหรือชั่ว ผลย่อมติดตามเพราะเราเป็นทายาทเป็นเจ้าของ ของกรรม นั่นคือ ได้รับวิปากทางกาย ทางวาจา ทางใจ เป็นสุขบ้างทุกข์บ้าง ก็เพราะอาศัยเหตุ คือการกระทำของตนเองนั่นเอง แล้วก็รับผลจากการกระทำของตน

@@@@@


เมื่อพอจะเห็นหลักของเหตุและผล กฏแห่งกรรม หากมีคำถาม ในลักษณะที่ว่า เกิดสูญเสียคนที่รัก คนในครอบครัวไปจะจัดการกับ สถานการณ์อย่างไร หรือแก้กรรมอย่างไร แน่นอนเลย บุคคลที่สูญเสียคนเป็นที่รัก จากอุบัติเหตุ จากโรคภัยไข้เจ็บ พระองค์ตรัสว่า ทุกคนมีความเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา ข้อนี้บุคคล คนเราสามารถหมายรู้ได้ ไม่ต้องสงสัย ว่าทำไมต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เพราะชีวิตคนเราประกอบด้วย รูปธรรมคือร่างกาย นามธรรมคือจิตใจ

เมื่อร่างกายคนเรามีอยู่ การกระทำทางกายมีอยู่ มีกรรมเป็นของตน เมื่อมีกรรมคือมีการเกิด ก็ต้องมีความแก่ มีความเจ็บ มีความตายเป็นไปโดยปกติธรรมดา ของร่างกายจิตใจ คือมีกรรมเป็นของตนนั่นเอง

คนเราไม่สามารถรู้เห็น ไม่สามารถรู้ได้ว่า ความแก่ที่ปรากฏช้า ความเจ็บและ ความตาย ของบุคคลอื่นจะมาถึงเมื่อใด แม้แต่ของเราเองก็ยังรู้ไม่ได้เห็นไม่ได้โดยง่าย ไม่มีนิมิตหมายไม่มีเครื่องบอก ดังนั้น เพื่อความเห็นชอบที่ถูกต้อง สิ่งที่รู้ได้เห็นได้นั้นคือ การกระทำ หรือกรรมของเรานั้นเอง

เมื่อบุคคลสูญเสียญาติอันเป็นที่รัก ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจเป็นทุกข์เหล่านี้ คือวิปาก เกิดจากเหตุปัจจัยคือบุคคลทุกคนมีความเกิด ความปรากฏแห่ง ชาติ ความปรากฏแห่งชันธ์ ๕ คือรูปธรรม นามธรรม ที่เป็นตัวตนบุคคลขึ้นมานี้ นี่คือผลแห่งกรรมที่ปรากฏอยู่ มาเกิดเป็นหญิงเป็นชาย เกิดเป็นคนมีลาภ ยศ สุข สรรเสริญ มีทรัพย์มีปัญญา มีอายุมีสุขภาพดี มีเพื่อนมีบริวารมาก ต่าง ๆ เหล่านี้ก็เพราะมี การประกอบกุศลกรรม สะสมบุญบารมีมาก่อนเป็นเหตุและได้รับผลในปัจจุบัน

ตรงกันข้าม หากพิการ ตาบอดหูหนวก ไม่สมประกอบมีอายุสั้น มีสุขภาพไม่แข็งแรง เสื่อมจากลาภ ยศ สุข สรรเสริญต่าง ๆ ยากจนขัดสนไม่มีปัญญา มีแต่ความทุกข์ไม่พอไม่สมปรารถนาอยู่มาก นั้นก็เพราะเป็นผลจาก การประกอบอกุศลกรรม สะสมบาปทำลายบุญบารมี ที่มีไว้ในอดีตเป็นเหตุได้รับผลวิปากนั้นๆ ในปัจจุบัน

ยิ่งบุคคล ขาดกัลยาณมิตร ขาดคุณความดี คือ ขาดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ขาดการสมาทานศึกษา ข้อศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อนำมาสร้างความดี สร้างกุศล สร้างบุญบารมีให้แก่ตน ชีวิตที่เป็นของไม่แน่นอนนี้ก็จะมีอยู่เพื่อทำลายความดี ทำลายบารมีของตนเองและบุคคลอื่น ทำความฉิบหายความเสื่อมให้ปรากฏแก่ตนเองและบุคคลอื่น

@@@@@


ศีลสมาธิปัญญานั้น คือยอดของกุศลกรรม คือบุญกิริยวัตถุ ๑๐ คือกุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นการสร้างกรรมดี เพื่อประกอบประโยชน์ของตนให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน และอนาคต ทั้งในชาตินี้ และชาติหน้า ตามกรรมและวิปากกรรมที่ได้แสดงไปแล้วในเบื้องต้น หากได้ประกอบกุศลเอาไว้ ก็จะได้รับแต่ความสุขความเจริญอย่างเดียวนั้นก็ไม่ได้ เพราะแท้จริงแล้ว ชีวิตที่ดำเนินไปย่อมต้อง ประสบพบเจอกับสิ่งที่ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง

มาถึงคราวที่ต้องสูบเสียคนรักและญาติไปนั้น วิปากที่เกิดขึ้นกับตนคือ ความพลัดพรากที่เป็นทุกข์ ความเสียใจ ความทุกข์ใจ ความรำไรรำพัน สิ่งเหล่านี้เป็น ทุกข์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ใช่ว่าคนเราจะมีความสุขสมหวังไปได้ตลอด มีพบมีจาก มีแล้วกลับไม่มีในสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะคน สัตว์ สิ่งของ กันด้วยกันทั้งนั้น ทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างเปลี่ยนแปลงกระทันหันนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น จากอุปัตติเหตุ จากอุปัจเฉทกรรม คือกรรมตัดรอนชีวิต ตัดรอนบุญและบาป ตัดรอนรูปธรรมนามธรรม ทำขันธ์ ๕ หรือกายใจของบุคคลไม่ว่าจะตัวเรา ตัวเขานี้ให้ไม่สืบต่อ ไม่เป็นไปอีกต่อไป

วิปากกรรมที่เกิดขึ้นอย่างนี้ อาศัยร่างกายคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจที่พบเห็นที่ได้ยิน ที่รู้สึกนึกคิดจดจำ ในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อบุคคลอาศัย ใจคิดนึกขึ้นมาทางใจ ก็จะเกิดความเศร้าใจเสียใจ อาลัยอาวรณ์ มากน้อยต่างกันไป ในแต่ละบุคคล

บางคนเป็นคนจัดการกับอารมณ์ จัดการกับชีวิตตนเองเป็น บางคนจัดการกับอารมณ์ กับชีวิตตนเองไม่ได้ เพราะเหตุที่มี ความรู้สึกนึกคิด มีกรรมต่างกัน มีวิปากที่ได้รับต่างกัน สุดแท้แต่เหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามาประกอบ ท้ายที่สุดคือ บุญที่ทำ บาปที่ทำ จะเป็นสิ่งตัดสิน โดยส่วนใหญ่ บุคคลที่รักษาศีล อบรมสมาธิ และปัญญา มีการให้ทาน ก็จะสามารถดำรงตนเอง ให้ผ่านพ้นสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตไปได้ บางคนที่ไม่สามารถผ่านไปได้ ก็เพราะไม่รู้เหตุและผล ไม่เข้าใจเรื่องกรรม ไม่เชื่อในเหตุและผล ไม่เชื่อในบุญและบาป ไม่เชื่อในกรรมและวิปากกรรม ที่เป็นไปตามเหตุและปัจจัย

หรือเชื่อโดยขาดปัญญา ขาดการพิจารณาอย่างถ่องแท้ ถึงเหตุและผลต่าง ๆ ก็จะหลงงมงาย หาทางออกให้กับตนเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าตนเองนั้นมีกรรมเป็นของตนเอง ไม่รู้ว่าตนเองเป็นทายาทแห่งกรรม ไม่รู้ว่าตนเองมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย ไม่ว่าจะทำดีก็ตาม ทำชั่วก็ตามจะได้รับผลของวิปากกรรมตามเหตุปัจจัยที่กระทำนั้นอย่างนั้น

@@@@@@@@



บุคคลในโลกที่ยังมีชีวิต ต่างต้องสร้างกุสลสร้างบารมีเอาไว้ ตราบใดที่ยังไม่สิ้นตัณหาอุปาทาน ก็ยังจะต้องเวียนว่ายอยู่ใน วัฏฏสงสาร ใช้บุญและบาปไปตามที่ตนสะสม ตามที่ตนกระทำ การได้พบพระพุทธศาสนาเป็นของยาก การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางหลักเอาไว้แล้วในการ แก้ปัญหาชีวิต ตลอดจนดำรงตนให้หมดจดและดีงามไปตามครรลองธรรม วาง ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติ และฝากโอวาทปฏิโมกข์ให้เป็นหลักสำคัญในการหาคำตอบให้กับปัญหาชีวิต เปลี่ยนความไม่รู้ให้กลายเป็นความรู้ ประกอบแต่กุศลกรรม ด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาสู่ตัว เพื่อเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีงาม เพื่อเป็นพุทธบริษัทที่แข็มแข็ง เพื่อเป็นศาสนาทายาท เพื่อประโยชน์และความสุขของตนเองและผู้อื่นสืบไปเจริญพร.

อ้างคำพูด:
สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ
เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ

การไม่ทำความชั่วทั้งปวง
การบำเพ็ญแต่ความดี
การทำจิตของตนให้ผ่องใส
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
------------------------------------------
โอวาทปาฏิโมกข์

รูปภาพ


Credit image by :
http://www.oknation.net/blog/phutanow/2 ... 08/entry-2

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2010, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนากับหลวงพ่อด้วยจริงๆ กับการกล่าวอะไรที่กอร์ปด้วยเหตุผล เช่นนี้ นี่แหละสิ่งที่ผู้เดินเข้ามาหาธรรมมะ ผู้ที่ด้องการประโยชน์จากธรรมมะ ต้องการธรรมมะเป็นที่พึ่ง พึงได้รู้ได้เข้าใจ เมื่อมีเหต-มันจึงมีผล เหตุที่ทำขึ้นดีแล้ว-ผลจึงจักดีตาม คนเราเมื่อทุกข์ร้อนขาดสติ มันย่อมมีมือคอยยื่นออกมาให้ ให้ยึดให้สัมผัสเสมอ แต่อย่า ลืมว่ามือที่ยื่นออกมานั้น มันอาจเป็นได้ทั้งพระหัตถ์แห่งพระอรหันต์ และมือของพยามาร ที่คอยตักตวงผลประโยชน์จากเรา หรือดึงเราให้ตกต่ำยิ่งกว่า.....สติตัวเดียวเท่านั้นที่จะควบคุม ความผิด-ถูกไว้ได้ เมื่อใดขาดสติปล่อยให่ศรัทธาบังปัญญาไว้จนหมด มันก็อาจพาเราหลงทางวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของพยามารได้ เมื่อไรปัญญา มันบดบังศรัทธาไว้จนหมด เราก็อาจผิดพลาดจนถึงจาบจ้วงพระอรหันต์ สร้างอนันตริยะกรรมให้กับชีวิตตนเองได้ อะไรที่ไม่ควรเชื่อเพราะมันยังต้องการเหตุผลรับรองที่จะทำใหเชื่อ เมื่อยังไม่มีเราก็ไม่ควรยุงเกี่ยว แต่ก็ยังไม่ควรลบหลู่เช่นกัน ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ และก็ต้องดับที่เหต่ ทุกข์อยู่ในตัวเราต้องดับมันลงที่ตัวเรา นั่นแหละเป็นธรรมมะแท้....เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีค่ะ คุณกุมารี

การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็น สัจจธรรม ของโลก :b11: มนุษย์ทุกคนตกอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์นี้ :b4: ไม่มีผู้ใดหลีกพ้น
ทำใจให้ยอมรับกับความจริง และคุณจะทุกข์น้อยลง :b2: วิบากกรรมเมื่อส่งผลกับผู้ใดแล้วต้องทำใจยอมรับผล
ยิ่งดิ้นรน ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น :b32:

ธรรมย่อมรักษาผุ้ปฏิบัติธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ธ.ค. 2010, 14:56
โพสต์: 122

โฮมเพจ: chanachai20102553@gmail.com
แนวปฏิบัติ: ค้นหาธรรมของพุทธเจ้า
งานอดิเรก: มองธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่ม
ชื่อเล่น: แค่นามสมมุติ
อายุ: 32

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ท่านเอ๋ย ทุกสิ่งในโลกนี้มีบุคคลที่ได้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
ย่อมมีความเสียใจเป็นธรรมดา ไม่มีบุคคลใดที่ไม่มีความสูญเสีย
ท่านเอ๋ย. ท่านลองตรอกดูเถิด บุคคลในโลกนี้มีบ้างไหมที่ไม่มีใครเคยสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
ท่านอย่าเศร้าโศกไปเลย แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ยังเสด็จปรินิพพาน
ข้าพเจ้าขอให้ท่านแต่นี้เป็นต้นไปขอให้ท่านพบแความสุข เทอญฯ สาธุ..... :b8:

.....................................................
เราจักขออำนาจบุญกุศลที่ตัวเราได้กระทำไว้ในอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
จงแผ่อำนาจแห่งบุญกุศลทั้งหลายไปสู่ทั่วทั้งสากลโลก ทั้ง16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน วิญญาณที่มีรูป และ ไม่มีรูป ทั่วทั้งทุกอณูใน 3 โลกจงได้รับแห่งบุญกุศลที่เราได้จักกระทำไว้ด้วยเทอญ สาธุ.................................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2010, 21:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ธ.ค. 2010, 21:22
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ คุณกุมารี
ทุกสิ่งล้วนมีเหตุ แม้แต่การที่ผมพบชื่อคุณกุมารีในนี้ ก็มีเหตุด้วยเช่นกัน ผมขอให้คุณกุมารีทำใจให้สบายนะครับ และหมั่นสร้างบุญกุศล แผ่ส่วนบุญให้ผู้เป็นที่รักทั้งสองนั้นและสรรพสัตว์ทั้งหลาย

ผมเองก็มีเชื้อสาย สาริกบุตร เหมือนกัน

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ

ปล. ติดต่อผมได้ทาง NOK.SARIKA@hotmail.com


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร