ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=35471 |
หน้า 91 จากทั้งหมด 95 |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 02 ต.ค. 2017, 21:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
ยกตัวอย่างเช่น การเสพผัสสะผ่านทางหู ได้แก่การฟังเพลง ไล่ตั้งแต่เพลงในแนวกระตุ้นความมันส์ในแนว heavy metal หรือกระตุ้นความสนุกสนานเพลิดเพลินในแนว Pop Dance หรือ Easy Listening .. ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเลยนะครับว่า ความสุขที่มาจากความมันส์ ความสนุกสนาน หรือความตื่นเต้นเพลิดเพลินแห่งจิตอันเนื่องมาจากเพลงในแนวเหล่านี้ จะตรงข้าม และเป็นตัวทำลายความสุข อันเนื่องมาจากความสงบสุขความเบิกบานแห่งจิต ด้วยเหตุผลที่ว่า เพลงในแนวเหล่านี้ เมื่อฟังแล้วก็จะทำให้จิตกระเพื่อมและส่งออกนอก ไม่สามารถทำสติสัมปชัญญะและสมาธิลงได้ง่ายๆ หรือแนวเพลงที่ปราณีตขึ้นมาหน่อย คือเพลงในแนวผ่อนคลายอย่างเช่น เพลงบรรเลง เพลงคลาสสิก รวมไปถึงบทสวดมนต์ที่เป็นทำนองเพลง ก็ยังมีส่วนในการทำลายสติสัมปชัญญะ โดยเฉพาะสมาธิได้อยู่ดี โดยเพลงเหล่านี้ เมื่อฟังจนติดหูแล้ว จะฝังตัวลงไปเป็นความจำได้หมายรู้ หรือตัวสัญญา ซึ่งจะผุดเกิดขึ้นมาได้เองเวลาผู้ปฏิบัติฝึกสมาธิ ทำให้เวลาฝึกสมาธิ จิตจะซัดส่ายไม่ตั้งมั่นอันเนื่องจากมีสัญญาของเพลงเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัว ซึ่งถ้าเราสังเกตดีๆ ก็จะเห็นจิตร้องเพลงของเขาได้เองระหว่างทำสมาธิ หรือแม้แต่ระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันเลยนะครับ และเนื่องจากเพลงเหล่านี้ จะมีเนื้อเพลงหรือทำนองเพลงที่ติดหู ซึ่งเมื่อผุดเกิดขึ้นมาในสมาธิหรือในชีวิตประจำวันแล้ว ก็จะวนเวียนมาหลอกหลอน ทำให้เอาออกจากหัวได้ยากกว่าสัญญาประเภทอื่นนะครับ ซึ่งจะเป็นเหตุให้การทำสมาธิและความสุขสงบเบิกบานอันเนื่องมาจากสติสัมปชัญญะและสมาธินั้น เสียไป และตามที่เคยเล่าเอาไว้แล้วนะครับว่า แม้กระทั่งการฟังหรือการสวดมนต์ที่ประกอบด้วยทำนองเพลงตรงนี้ พระบรมครูยังทรงชี้ให้เห็นถึงโทษอันเป็นเหตุให้สมาธิไม่ตั้งมั่น นั่นคือ "สมาธิของผู้พอใจการทำเสียงย่อมเสียไป" ไม่ว่าผู้ฟังหรือผู้สวดก็ตาม พร้อมกำหนดเป็นข้อห้ามในพระวินัยของพระภิกษุโดยตรงเลยทีเดียว http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=7&A=152&Z=173 ดูขยายความได้ในพระอรรถกถา http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=7&i=1 |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 02 ต.ค. 2017, 21:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
ส่วนการเสพผัสสะทางโลกด้วยอายตนะอื่นๆก็เช่นเดียวกันกับการเสพผัสสะทางโลกด้วยหูนะครับ ล้วนแล้วแต่ทำให้ความสงบสุขและความเบิกบานแห่งจิตอันเนื่องมาจากสติสัมปชัญญะและสมาธินั้น เสียไป ไม่มากก็น้อย โดยการเสพผัสสะด้วยอายตนะอื่นๆจนติดเพลินแล้วนั้น จะทำให้เกิดความอยากเสพขึ้นมาอีกอยู่เนืองๆ และเจ้าความอยากเสพ หรือตัวโลภะ/ราคะนี้เอง เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะคอยเฝ้าเข้ามาวนเวียนรบกวนจิตใจ จนทำให้สติสัมปชัญญะและสมาธิตั้งอยู่ไม่ได้ และเมื่อสติสัมปชัญญะและสมาธิตั้งอยู่ไม่ได้ ความสุขสงบเบิกบานแห่งจิตก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน เนื่องเพราะจิตนั้น ถูกไฟของโลภะ/ราคะเข้ากลุ้มรุมเสียแล้ว แต่ในระดับของโสดาบันเข้าสู่สกทาคามีนั้น ความเพลิดเพลินจากการเสพผัสสะในทางโลกนั้นยังมีอยู่ เพียงแต่เป็นการเสพในระดับที่ไม่ผิดศีล แต่ผู้ปฏิบัติก็ควรรู้เท่าทันความติดเพลินเหล่านั้น และหมั่นสังเกตและเปรียบเทียบความสุขความเพลิดเพลินอันเป็นของชั่วคราวจากการเสพผัสสะทางโลก กับความสงบสุขความเบิกบานที่ยั่งยืนกว่าอันเนื่องมาจากความมีสติสัมปชัญญะและสมาธิ เพื่อเอาไว้สอนใจตนเองให้รู้ว่า ความสุขใดที่ถูกกิเลสตัณหาผลักดันให้ต้องลำบากดิ้นรนไปไขว่คว้ามา .. กับความสุขใดที่เพียงแค่กลับมาอยู่กับกายใจก็สามารถเกิดขึ้นได้แล้ว ความสุขใดเมื่อได้เสพเหมือนเดิมซ้ำๆกันแล้ว (เช่น ทานอาหารอร่อยชนิดเดิมซ้ำๆกัน ฟังเพลงเพราะเพลงเดิมซ้ำๆกัน ดูหนังที่สนุกเรื่องเดิมซ้ำๆกัน ฯลฯ) ก็จะเริ่มเกิดความเบื่อในรสของผัสสะที่ซ้ำๆเดิมนั้น จนต้องพลิกผันให้การเสพนั้น เปลี่ยนแปลง หรือพิศดารขึ้นไปเรื่อยๆ .. กับความสุขใดที่ยิ่งได้เสพซ้ำๆกันแล้วก็ยิ่งเบิกบานขึ้นไปได้เรื่อยๆ และความสุขใดที่เป็นของหยาบของชั่วคราว .. กับความสุขใดที่เป็นของปราณีตและยั่งยืนกว่า นะครับ |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 02 ต.ค. 2017, 22:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
๑๖) ผู้ปฏิบัติจะมี ความโกรธ ความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ความรำคาญ ความกังวลใจ ความกลัว (โทสะ) น้อยลง ตามระดับของสติสัมปชัญญะและสมาธิที่ได้รับการพัฒนาขึ้น อธิบายเหตุผลตามสภาวะที่เกิดขึ้นได้ว่า ผู้ที่อบรมสติสัมปชัญญะและสมาธิมาดีแล้ว จะมีระบบตรวจจับความขัดข้อง ความขัดเคือง อันเนื่องมาจากการกระทบกระทั่งแห่งจิต (ปฏิฆะ) ที่ดีขึ้น พูดในเชิงเปรียบเทียบได้ว่า ระบบ Sensor สำหรับตรวจจับความขัดข้องแห่งจิตสำหรับผู้ปฏิบัตินั้น ดีขึ้นนั่นเอง ทำให้ผู้ปฏิบัตินั้น สามารถมีสติระลึกรู้ความกระทบกระทั่งแห่งจิตได้เร็วกว่าคนที่ไม่ได้ฝึกมา และการตรวจจับการกระทบกระทั่งแห่งจิตได้เร็วนี้เอง ทำให้เกิดการตัดวงจรแห่งการปรุงแต่งความโกรธ ความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ความรำคาญ ความกังวลใจ หรือความกลัวลงไปได้ ก่อนที่การปรุงแต่งนั้น จะลากความโกรธ ความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ความรำคาญ ความกังวลใจ หรือความกลัว ที่มีไม่มากในตอนเริ่มต้น ให้ก่อตัวจนมีกำลังมากขึ้น กระทั่งทำให้ผู้นั้น สั่งการกระทำต่อในแง่ความรุนแรงจนผิดศีลทางกายและ/หรือวาจาไปได้นะครับ เปรียบเทียบได้กับการที่เราเห็นไฟไหม้ในระยะเริ่มแรกซึ่งเป็นการไหม้แค่เพียงเปลวไฟเล็กๆขนาดก้นบุหรี่หรือหัวไม่ขีดไฟ ซึ่งถ้าเราสามารถตรวจจับการไหม้นั้นได้ไวตั้งแต่เริ่มต้น การดับก็จะทำได้ง่าย ไม่เปลืองทรัพยากรมากในการดับไฟ แต่ถ้าเราไม่สามารถตรวจจับไฟนั้นได้ จนกระทั่งไฟในใจนั้นได้เชื้อเพลิงเพิ่ม (คือการปรุงแต่งโทสะอันเนื่องจากจิตไม่ยอมปล่อยเหตุแห่งโทสะ) ทำให้เกิดการลุกลามต่อไปจนกองไฟนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้การดับไฟนั้นก็จะต้องใช้ทรัพยากรและความพยายามมากมายกว่ากันเยอะเลยนะครับ และกว่าจะดับลงไปได้ ก็อาจจะเกิดความสูญเสียที่ไม่อาจประเมินค่าได้ไปเสียแล้ว |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 02 ต.ค. 2017, 22:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
ยกตัวอย่างที่เห็นกันได้บ่อยๆในชีวิตประจำวัน เช่น ขณะรถติดเป็นแถวยาว หากมีใครสักคนขับรถเบียดแทรกเข้ามาในช่องทางของเราด้วยอาการที่ไม่เป็นมิตร เช่น ไม่เปิดไฟเลี้ยวขอเข้า แถมยังขับจี้ติดๆคันหน้าเพื่อที่จะแทรกเข้ามาในช่องทางของเราให้ได้ สำหรับบุคคลที่ไม่ได้ฝึกสติสัมปชัญญะมาดีแล้ว จากผัสสะที่เกิดขึ้นก็จะทำให้เกิดความขุ่นข้องขึ้นในจิต จนต้องสั่งการกระทำต่อให้ขับรถจี้ติดคันข้างหน้าเพื่อหยุดยั้งการเบียดแทรกนั้น และถ้าเหตุการณ์ยังดำเนินไปเรื่อยๆแบบไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายก็อาจจะเกิดการเฉี่ยวชน จนต้องจอดรถลงมาโต้เถียง หรือถึงกับลงไม้ลงมือจนบาดเจ็บกันไปข้าง หรือถ้ามีใครถ่ายคลิปเอาไว้ได้ ก็อาจจะได้ออกอากาศเผยแพร่ผลของโทสะของทั้งคู่ ให้ได้อับอายกันไปทั่วประเทศก็ได้นะครับ แต่สำหรับผู้ที่ฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิมาดีแล้ว การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะไม่เป็นไปตามอารมณ์โกรธ แต่จะเป็นไปด้วยเมตตาปัญญามากกว่า เช่น อาจจะให้ทางปล่อยให้อีกคันแทรกได้ไป โดยคิดว่าเป็นการเผื่อแผ่ผู้ร่วมทาง หรือถ้าเห็นว่าการกระทำนั้นไม่ถูกต้อง ก็อาจจะให้ทางแต่ทำการอัดคลิปไว้เผยแพร่ เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะครับ |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 02 ต.ค. 2017, 22:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
อีกสถานการณ์หนึ่งที่เป็นการกระทบกระทั่งแห่งจิต และโดยมากมักจะภาวนากันไม่ค่อยลง ก็คือเมื่อผู้ปฏิบัติเกิดความกลัว ความกลุ้มใจ ความกังวลใจขึ้นมา ซึ่งอาจจะมาจากการงานที่มีเหตุให้มีโอกาสที่จะไม่ประสบผลสำเร็จตามที่คาดหวัง หรือมีโอกาสที่จะทำไม่เสร็จตามกำหนดที่วางเอาไว้ หรือตนเองหรือบุคคลอันเป็นที่รักเป็นโรคร้ายที่มีโอกาสรักษาไม่หาย ฯลฯ ทำให้เกิดความกลุ้ม กลัว กังวลขึ้นมาในจิต อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอน และเหตุแห่งความไม่แน่นอนนั้น ยังปรากฏอยู่ ซึ่งสำหรับบุคคลโดยทั่วไปแล้ว ความทุกข์ ความหวาดกลัว ความกังวล ที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ประเภทนี้นั้น จะมาจากสาเหตุใหญ่สาเหตุเดียว นั่นก็คือ อาการ "คิดไปเอง" หรือ "มโนไปเอง" ล่วงหน้าถึงผลลัพท์ในเชิงลบ ของสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนั้น นั่นเอง เช่น ถ้าเป็นเรื่องการงาน ผู้ที่ตกอยู่ในความกังวลนั้น ก็จะ "คิด" หรือ "มโน" ไปเองว่า งานนั้นจะไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง หรือเสร็จไม่ทันตามกำหนด ทำให้ถูกตำหนิ ถูกต่อว่า ถูกตัด KPI ถูกตัดเงินเดือน ฯลฯ ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้ ยังเป็นเรื่องของอนาคต ยังไม่เกิดขึ้นมาเลยสักนิด หรือในทางกลับกัน อาจเกิดผลที่ดีในทางตรงกันข้ามก็ได้ แต่คนเราส่วนใหญ่ ก็มักจะมโนไปในทางที่เป็นลบ จนตัวเองกังวลจนเป็นทุกข์ได้อยู่เรื่อย หรือถ้าเป็นเรื่องสุขภาพของตนหรือของบุคคลอันเป็นที่รัก ผู้ที่ตกอยู่ในความกังวลนั้น ก็จะ "คิด" หรือ "มโน" ไปเองว่า ความเสื่อมไปของสังขารนั้นอาจจะรักษาไม่หาย อาการอาจจะทรุดลงจนทรมานมากขึ้น หรือถึงกับตายจากไปก็เป็นได้ ฯลฯ ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้ ยังเป็นเรื่องของอนาคต ยังไม่เกิดขึ้นมาเลยสักนิด หรือในทางกลับกัน อาจเกิดผลที่ดีในทางตรงกันข้ามก็ได้ แต่คนเราส่วนใหญ่ ก็มักจะมโนไปในทางที่เป็นลบ จนตัวเองกังวลจนเป็นทุกข์ได้อยู่เรื่อย และนี่เอง คือสิ่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า คนเรานั้น มักจะเป็นทุกข์อันเนื่องมาจากความคิด คือคิดฟุ้งปรุงแต่ง มโนกันไปเองในทางลบถึงเรื่องที่ยังไม่เกิด ยิ่งคิดฟุ้งปรุงแต่ง ยิ่งมโนมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเครียด ยิ่งกลัว ยิ่งกลุ้ม ยิ่งกังวล และยิ่งเป็นทุกข์กันมากขึ้นเท่านั้น |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 02 ต.ค. 2017, 22:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
แต่สำหรับผู้ที่ฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิมาดีแล้ว โดยเฉพาะการฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิผ่านการรู้ใจ นั่นคือการรู้เท่าทันในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของความคิด (วิตก) จนถึงการรู้เท่าทันในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในต้นรากของความคิด (อันได้แก่เวทนาและสัญญา) ก็จะสามารถรู้เท่าทันในการเกิดขึ้นของสาเหตุแห่งความเครียด ความกลัว ความกลุ้มใจ ความกังวลใจนั้น (ซึ่งก็คือความคิด ที่เจือไปด้วยตัณหา อยากมีอยากเป็น อยากให้เกิดขึ้น (ภวตัณหา) หรือไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากให้เกิดขึ้น (วิภวตัณหา)) และเมื่อรู้เท่าทันในสาเหตุแห่งความเครียด ความกลัว ความกลุ้มใจ ความกังวลใจนั้นได้ ด้วยจิตที่ฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิด้วยการรู้ทันใจตนเองมาดีแล้ว ก็จะเห็นในการตั้งอยู่ และดับลงไปของความคิดได้ไว ทำให้ความคิดไปในทางลบของผู้ปฏิบัตินั้น ดับลงไปได้ไว ไม่ก่อร่างสร้างตัวจนเป็นความคิดฟุ้งซ่าน จนเกิดเป็นความจำได้หมายรู้ที่ซับซ้อน อันเกิดจากความคิดฟุ้งปรุงแต่งที่เจือด้วยกิเลสและตัณหาที่มากยิ่งขึ้นไปอีก (ปปัญจสัญญา) ดังนั้น ความเครียด ความกลัว ความกลุ้มใจ ความกังวลใจ หรือความทุกข์ใจที่ก่อกำเนิดจากความคิดฟุ้งปรุงแต่ง สำหรับผู้ปฏิบัติด้วยการฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิฝ่านการรู้ทันใจตนเองมาดีแล้วนั้น ก็จะมีทั้งระยะเวลา ความถี่ และดีกรีแห่งความเข้มข้นที่น้อยลงกว่าผู้ที่ไม่ได้ฝึกมานะครับ ดังนั้น สำหรับผู้ที่ฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิมาดีแล้วนั้น ก็จะมีโทสะ คือความโกรธ ความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ความรำคาญใจ ความกังวลใจ ความกลัว ฯลฯ น้อยลง โดยเฉพาะในระดับสกทาคามีแล้ว ถึงแม้จะยังมีจุดเดือดยู่ (คือยังมีโทสะอันเนื่องมาจากปฏิฆะสังโยชน์อยู่) แต่จุดเดือดนั้นก็อยู่สูงมาก จากจิตใจที่อ่อนเหลวเหมือนน้ำในระดับปุถุชน ซึ่งแค่ได้รับความร้อนหรือปฏิฆผัสสะมากระตุ้นเพียงแค่ ๑๐๐ องศาก็เดือนพลุ่งพล่านกลายเป็นไอได้แล้ว กลายมาเป็นจิตใจที่ทนทานเหมือนโลหะ คือต้องได้รับปฏิฆผัสสะเป็น ๑,๐๐๐ องศาถึงค่อยเดือด และถึงเดือดก็จะเดือดไม่นาน ไม่คิดฟุ้งปรุงแต่งจนเดือดมากขึ้น ทำให้โทสะของผู้ปฏิบัติ โดยเฉพาะในระดับสกทาคามีนั้น ลดลงทั้งความถี่ ระยะเวลา และความรุนแรงที่เกิดขึ้นนะครับ |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 02 ต.ค. 2017, 22:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
๑๗) ผู้ปฏิบัติจะมี ความหลง (โมหะ) น้อยลง ตามระดับของสติสัมปชัญญะและสมาธิที่ได้รับการพัฒนาขึ้น อธิบายเหตุผลตามสภาวะที่เกิดขึ้นได้ว่า ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (สติ + ปัญญาสัมปชัญญะ) ได้อย่างจดจ่อต่อเนื่องยาวนาน (สมาธิ) นั้น เป็นองค์ธรรมคู่ปรับกับความหลง ความไม่รู้ชัดกายใจตามความเป็นจริง หรือโมหะ นั่นเอง ดังนั้น ผู้ที่อบรมสติสัมปชัญญะและสมาธิมาด้วยดีแล้ว จึงมีความหลง ความไม่รู้ชัดกายใจตามความเป็นจริงน้อยลงไปตามลำดับ จนถึงกับหมดไปได้ด้วยกำลังของโลกุตรปัญญาในระดับอรหัตตมรรคนะครับ และเนื่องด้วยกิเลสที่กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว คือโลภะ/ราคะ กับโทสะ จะเป็นกิเลสที่ต้องมีความ "หลง" ไม่รู้กายใจตามความเป็นจริง ยืนพื้นอยู่ก่อน จึงจะเกิดโลภะ/ราคะ กับโทสะได้ ดังนั้น ด้วยอีกเหตุผลหนึ่งที่ว่า ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (สติ + ปัญญาสัมปชัญญะ) ได้อย่างจดจ่อต่อเนื่องยาวนาน (สมาธิ) นั้น เป็นองค์ธรรมคู่ปรับกับความหลง ความไม่รู้ชัดกายใจตามความเป็นจริง หรือโมหะ นั้นเอง ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัตินั้น มีโลภะ/ราคะ กับโทสะ น้อยลงไปด้วยในตัว สรุปรวมแล้วก็คือ ผู้ปฏิบัติที่มีสติสัมปชัญญะและสมาธิที่ถูกอบรมมาดีแล้ว ก็จะมีกิเลส (โลภะ โทสะ โมหะ) ลดลงในเบื้องต้น จนกระทั่งปฏิบัติต่อไปจนเกิดโลกุตรปัญญาเข้ามาตัดกิเลสทั้งสามให้หมดไปทีละตัว เริ่มตั้งแต่โทสะและโลภะ/ราคะชนิดหยาบในระดับอนาคามี จนกระทั่งตัดโลภะ/ราคะชนิดละเอียด รวมถึงโมหะ (หรืออวิชชา) ให้หมดไปโดยสิ้นเชิงในระดับอรหันต์นะครับ แล้วมาต่อข้ออื่นๆกันในคราวหน้า เจริญในธรรมครับ |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 12 พ.ย. 2017, 21:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
ขออนุญาตมาต่อกันที่สภาวะ และผลที่ได้จากสติสัมปชัญญะและสมาธิที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาในระดับโสดาบันเข้าสู่สกทาคามีกันนะครับ ๑๘) ผู้ปฏิบัติจะมีศีลทางกาย (กายสุจริต - เว้นจากการฆ่าสัตว์, เว้นจากการลักทรัพย์, เว้นจากการประพฤติผิดในกาม), ทางวาจา (วจีสุจริต - เว้นจากการพูดเท็จ, เว้นจากการพูดส่อเสียด, เว้นจากการพูดคำหยาบ, เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ), และทางใจ (มโนสุจริต - เว้นจากการอยากได้ของเขา, เว้นจากการปองร้าย, เห็นชอบตามคลองธรรม) หรือสุจริต ๓ - กุศลกรรมบถ ๑๐ ที่พัฒนามากขึ้น ตามคำของพระบรมครูในตัณหาสูตรและอวิชชาสูตรที่ว่า สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ และการสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ได้ นะครับ กุศลกรรมบถ ๑๐ ที่เป็นพุทธพจน์ http://84000.org/tipitaka/read/?%F2%F4/%F1%F6%F5 อธิบายสภาวะและผลที่เกิดขึ้นได้ว่า เมื่อผู้ปฏิบัติฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิผ่านการรู้ใจและรู้กาย จนมีสติสัมปชัญญะและสมาธิ เข้ามากำกับทั้งความคิด (ใจ) และการกระทำ (กาย วาจา) อยู่เนืองๆได้แล้ว จิตของผู้ปฏิบัติ จะมีความละเอียด ปราณีต และมีความสุขสงบเบิกบานเป็นเครื่องอยู่ เป็นวิหารธรรมของจิต เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เมื่อเกิดความคิดความเห็นที่เป็นอกุศล อันเป็นมโนทุจริตขึ้นในจิต หรือถ้าจะพูดให้เคร่งครัดขึ้นอีกว่า เมื่อสังขารเขาปรุงความคิดที่เป็นอกุศลให้จิตได้รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นความอยากได้ของผู้อื่น อาการเพ่งร้ายคิดร้ายต่อผู้อื่น หรือมีความเห็นที่ผิดไปจากคลองธรรมแล้วละก็ ความละเอียดปราณีต ความสงบสุขเบิกบานที่มีอยู่ในจิตนั้นก็จะถูกรบกวนด้วยความคิดความเห็นที่เป็นอกุศล ทำให้จิตของผู้ปฏิบัติ เคลื่อนออกจากความสงบสุขเบิกบาน เคลื่อนออกจากความเป็นกลางตั้งมั่น โดยจิตจะรู้ได้ด้วยตัวจิตเองถึงความหมอง ความไม่สบาย ความเสื่อมลงไปแห่งความละเอียดปราณีต ความเสื่อมลงไปแห่งความสงบสุขเบิกบานแห่งจิต |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 12 พ.ย. 2017, 21:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
เมื่อนั้น สติที่ฝึกดีแล้วจะตามการเคลื่อนของจิตที่ถูกปรุงไปด้วยความคิดอกุศลนั้นได้ทัน ทำให้โดยทั่วไปแล้ว ผู้ปฏิบัติจะมีความคิดที่โน้มเอียงไปในทางที่เป็นกลางหรือเป็นกุศล ซึ่งก็คือสัมมาสังกัปปะ กุศลวิตก หรือดำริชอบ อันได้แก่ ความคิดในการออกจากกาม (เนกขัมมะ) ความไม่พยาบาท (อพยาบาทะ) และการไม่เบียดเบียน (อวิหิงสา) ซึ่งสอดคล้องกับมโนสุจริต คือเว้นจากการอยากได้ของเขา, เว้นจากการจากการปองร้าย, และมีความเห็นชอบตามคลองธรรม (สัมมาทิฏฐิ) และความคิดความเห็นที่เป็นกุศล หรือมโนสุจริตนี้ ก็จะทำให้การกระทำที่ต่อเนื่องออกมาทั้งทางวาจาและกายนั้น เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรด้วย (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ) ทำให้ชีวิตไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจอันเนื่องมาจากการผิดศีลธรรม ชีวิตมีความสงบสุข เบิกบานเป็นปรกติมากขึ้น ซึ่งผู้ปฏิบัติจะสังเกตได้ว่า จิตใจของตนเองนั้น มีความละเอียดปราณีต และซื่อตรงมากขึ้น และจิตที่ละเอียดปราณีตและซื่อตรงมากขึ้นนี้ ในเรื่องของวจีสุจริตแล้ว ผู้ปฏิบัติก็จะพูดโกหกได้ไม่เต็มปาก มีความละอายต่อบาปที่จะพูดคำที่ไม่เป็นจริงออกไป นอกจากนี้ จิตที่ละเอียดปราณีตและซื่อตรงมากขึ้นนี้ จะไม่มีการหลุดคำพูดที่หยาบหรือส่อเสียดออกมาจากปาก ซึ่งต่างจากจิตใจของคนที่หยาบทราม ซึ่งจะหลุดคำหยาบ คำสบถ คำเหน็บแนม หรือคำส่อเสียดออกมาอยู่เนืองๆ |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 12 พ.ย. 2017, 21:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
และผู้ปฏิบัติที่มีสติสัมปชัญญะและสมาธิที่ดีแล้วนั้น จะมีความสุขสงบอยู่ในจิตใจในระดับสูง ซึ่งถ้ามีสิ่งใดที่เข้ามารบกวนจิตใจให้เผลอเพลิน ฟุ้งซ่านซัดส่ายออกจากความสงบที่เป็นวิหารธรรมนั้น สติก็จะเข้ามาเป็นเครื่องเตือนจิตให้หยุดเผลอเพลิน หยุดฟุ้งซ่านซัดส่ายออกไปจากความสุขสงบ ทำให้ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะและสมาธิที่อบรมมาดีแล้วนั้น จะไม่ค่อยมีจิตที่ฟุ้งซ่านซัดส่าย ซึ่งตรงนี้จะมีผลทำให้การพูดจานั้น ก็จะพูดเฉพาะแต่ในเรื่องที่จำเป็น หรือเป็นประโยชน์เท่านั้น ทำให้การพูดที่ออกไปในทางเพ้อเจ้อ หรือพูดเล่นไร้สาระ เลื่อนลอย หาประโยชน์มิได้ อันเนื่องมาจากจิตที่เผลอเพลิน ฟุ้งซ่านซัดส่ายไม่ตั้งมั่นนั้น น้อยลงหรือหมดไปเลยนะครับ ตรงนี้ยังไม่ต้องพูดถึงส่วนของการผิดศีลที่ออกมาทางกาย ทางการกระทำ อันได้แก่การจงใจฆ่าหรือทำร้ายสิ่งมีชีวิต (โมหะ + โทสะ) การล่อลวงลักทรัพย์ (โมหะ + โลภะ) และการประพฤติผิดในกาม (โมหะ + โลภะ หรือ ราคะ) ซึ่งเป็นสิ่งที่หยาบกว่าคำพูดหรือวาจา โดยผู้ปฏิบัติที่มีสติสัมปชัญญะและสมาธิอันอบรมมาดีแล้ว จะรู้สึกได้ถึงความไม่สบายในจิตตั้งแต่เริ่มคิดที่จะทำร้าย หรือโขมยฉ้อโกง หรือประพฤติผิดในกาม โดยที่ยังไม่ได้กระทำผิดทางกายเลยนะครับ |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 12 พ.ย. 2017, 21:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
๑๙) ผู้ปฏิบัติจะมีความเข้าใจโลก เนื่องจากมองโลกได้ตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น ทั้งลักษณะเฉพาะขององค์ธรรม (วิเสสลักษณะ) และลักษณะร่วมที่เป็นธรรมดาสามัญขององค์ธรรม (สามัญลักษณะ, ไตรลักษณะ) อธิบายสภาวะและผลที่เกิดขึ้นได้ว่า เมื่อผู้ปฏิบัติมีสติสัมปชัญญะและสมาธิที่ดีมากขึ้น สิ่งรบกวนการรับรู้ของจิต (noise ของจิต) หรือกิเลสต่างๆอันได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ โดยเฉพาะโมหะหรือความหลงที่เป็นขั้วตรงข้ามกับสติและปัญญานั้น จะมาบังตาน้อยลง ทำให้การรับรู้เรื่องราวต่างๆ รวมถึงการประมวลผลจากการรับรู้ และการสั่งการกระทำต่อ จะเต็มเปี่ยม บริบูรณ์ไปด้วยสติสัมปชัญญะและสมาธิ ทำให้เมื่อมีองค์ธรรมหรือกระบวนธรรมใดๆเกิดขึ้นให้จิตได้รับรู้ ก็จะเกิดการรับรู้ที่คมชัดในรายละเอียดของลักษณะเฉพาะ (วิเสสลักษณะ) ขององค์ธรรมหรือกระบวนธรรมที่เกิดขึ้น และทั้งการรับรู้ ประมวลผล และสั่งการกระทำต่อ ก็จะเป็นไปด้วยปัญญาที่ปราศจากวิปลาสทั้ง ๓ (สัญญาวิปลาส, จิตวิปลาส, ทิฏฐิวิปลาส) ในภาคส่วนของการรับรู้ และปราศจาอคติทั้ง ๔ (ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะชอบ, โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง, ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว, โมหาคติ ลำเอียงเพราะไม่รู้) ในภาคส่วนของการประมวลผลและสั่งการกระทำต่อ ซึ่งในภาคส่วนของการรับรู้ที่ปราศจากวิปลาสทั้ง ๓ นั้น ก็จะเป็นไปด้วยความคมชัดในทั้ง ๔ ด้านขององค์ธรรมหรือกระบวนธรรมที่เกิดขึ้น ก็คือ รับรู้และจดจำในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าไม่เที่ยง (อนิจจสัญญา), รับรู้และจดจำในสิ่งที่ทุกข์ ว่าเป็นทุกข์ (ทุกขสัญญา), รับรู้และจดจำในสิ่งที่ไม่เป็นตัวตน ว่าไม่เป็นตัวตน (อนัตตสัญญา), และรับรู้และจดจำในสิ่งที่ไม่งาม ว่าไม่งาม (อสุภสัญญา) ตรงตามความเป็นจริงตามธรรมชาติขององค์ธรรมหรือกระบวนธรรม โดยไม่มีกิเลสเข้ามาปิดบังให้การรับรู้นั้น ปราศจากความคมชัดทางปัญญาไป |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 12 พ.ย. 2017, 21:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
นั่นคือ ผู้ปฏิบัติจะรับรู้โลกได้ตรงตามลักษณะสามัญของเขาเอง ว่าทุกองค์ธรรมและกระบวนธรรม หรือทุกกระแสของธรรมชาติที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาในโลกนั้น ล้วนตกอยู่ภายใต้การบีบคั้นเป็นทุกข์ (ทุกขัง) จึงมีความไม่เที่ยง คงตัวอยู่อย่างถาวรไม่ได้ (อนิจจัง) เนื่องเพราะองค์ธรรมและกระบวนธรรมที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาทั้งหลายในโลกนั้น เป็นไปตามกระแสแห่งเหตุปัจจัยของเขาเอง ไม่เป็นตัวเป็นตนที่ใครจะสามารถสั่งให้เป็นไปตามอยากได้ไม่ (อนัตตา) ซึ่งพื้นฐานของการรับรู้โลกได้ตรงตามความเป็นจริงของผู้ปฏิบัติที่มีสติสัมปชัญญะและสมาธิอันอบรมมาดีแล้วนี้ ก็จะต่อยอดให้ผู้ปฏิบัตินั้น มีญาณปัญญาที่เข้าใจโลกได้มากขึ้นโดยผ่านกระบวนการพิจารณาโลกใน ๔ ด้าน คือทางกาย เวทนา จิต และธรรม (สติปัฏฐาน ๔) และเกิดการพัฒนาทางจิต โดยมีความบริบูรณ์ขึ้นใน ๗ ด้าน คือ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา (โพชฌงค์ ๗) จนกำจัดไปได้เสียซึ่งความไม่รู้ นั่นคืออวิชชา และทำให้เกิดวิชชา และวิมุตติ คือความหลุดพ้นจากกิเลสได้ในท้ายที่สุด ตามคำของพระบรมครูในตัณหาสูตรและอวิชชาสูตรนั่นเองนะครับ ตัณหาสูตร http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=24&A=2782&Z=2853 อวิชชาสูตร http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=24&A=2712&Z=2781 |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 12 พ.ย. 2017, 21:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
นอกจากในภาคส่วนของการรับรู้ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นแล้ว ในภาคส่วนของการประมวลผลและสั่งการกระทำต่อก็ได้รับการพัฒนาขึ้นไปด้วย ผู้ปฏิบัติจะเป็นคนที่มีเหตุผลมากขึ้น ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจน้อยลง เนื่องจากผู้ปฏิบัติจะมีความลึกซึ้งและเข้าใจในเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดความเป็นไปในโลกตามหลักแห่งอนัตตา ทำให้การเห็นโลก การประมวลผล และการตอบสนองต่อโลกนั้น เป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้งต่อกระบวนธรรมแห่งเหตุปัจจัย โดยปราศจากเสียซึ่งอคติ ๔ ตามที่ได้ให้รายละเอียดไว้แล้วนะครับ ด้วยเหตุนี้ ผู้ปฏิบัติจึงเป็นผู้ที่มีความเป็นกลางในอารมณ์ที่มากระทบมากขึ้น (ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก การวางจิตที่เป็นกลางต่ออารมณ์นั้นๆ) เนื่องด้วยการมองเห็นโลกที่มากระทบ จะเป็นการมองเห็นเป็นแค่เพียงกระบวนธรรมของเหตุปัจจัยที่ไหลผ่านเข้ามาและไหลผ่านออกไป ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน ด้วยเหตุนี้ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติเป็นคนที่นิ่งขึ้น ซึ่งไม่ใช่นิ่งเฉยไม่เอาเรื่องเอาราวอะไร แต่เป็นการนิ่งแบบนิ่งรู้ พร้อมที่จะประมวลผลและสั่งการกระทำต่อด้วยสติและปัญญา บนพื้นฐานของการแก้ไขปัญหาหรือสั่งการกระทำต่อที่เหตุปัจจัยโดยปราศจากอาการชอบชัง จิตของผู้ปฏิบัติจะไม่แกว่งมากเมื่อกระทบผัสสะ ไม่ว่าผัสสะนั้นจะก่อให้เกิดเวทนาใดๆ ทั้งสุขทั้งทุกข์ทั้งเฉยๆ เวลารับรู้เรื่องที่ควรจะขำขันมากๆก็จะยิ้มหรือหัวเราะแต่พอประมาณ เวลารับรู้เรื่องที่ควรจะเศร้ามากๆก็เพียงแค่รับรู้ว่าเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปไม่จีรัง ไม่อนาทรร้อนใจจนเกิดความครวญคร่ำรำพันขึ้นมานะครับ แล้วมาต่อกันในคราวหน้า เจริญในธรรมครับ |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 13 ก.พ. 2018, 22:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
ขออนุญาตมาต่อกันที่สภาวะ และผลที่ได้จากสติสัมปชัญญะและสมาธิที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาในระดับโสดาบันเข้าสู่สกทาคามีกันนะครับ ๒๐) ผู้ปฏิบัติจะมีความเพียรในการปฏิบัติมากขึ้น ซึ่งความเพียรในที่นี้ หมายถึงการเป็นผู้ที่ได้ฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิที่ถี่และยาวนานมากขึ้น ทั้งการฝึกในรูปแบบ และโดยเฉพาะการฝึกในชีวิตประจำวันจนติดเป็นนิสัยไป ผู้ปฏิบัติจากเดิมที่มีสติขาดๆหายๆ จะกลายเป็นมีสติมากขึ้น นั่นคือ การได้ปฏิบัติมากขึ้นอย่างเป็นไปเองโดยธรรมชาติ ด้วยการที่เห็นประโยชน์ของการมีสติสัมปชัญญะและสมาธิอย่างซาบซึ้งถึงจิตถึงใจแล้ว ทำให้มีความพากเพียรในการปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ โดยเฉพาะเรื่องสติสัมปชัญญะและสมาธิ เพื่อมุ่งตรงต่อพระนิพพานโดยไม่หวั่นไหววอกแวกไปในทางปฏิบัติอย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากมรรคทั้ง ๘ โดยจิตเขาจะมีความระลึกรู้เนื้อรู้ตัวลงในไม่กายก็ใจอยู่เนืองๆอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติ และการมีความเพียรในการเจริญสติสัมปชัญญะและสมาธิในที่นี้ ก็ทำให้เกิดเป็นทั้งการปฏิบัติ และเป็นทั้งผลในเรื่องเดียวกันกับการเจริญสัมมาวายามะในมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งก็คือ วิริยเจตสิกที่เกิดกับกุศลจิตที่เป็นไปในวิปัสสนาภาวนา หรือสัมมัปปธานทั้ง ๔ อันได้แก่ ๑) การเพียรระวังการกระทำอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น (เพียรระวัง - สังวรปธาน) ๒) การเพียรละเลิกอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว (เพียรละ - ปหานปธาน) ๓) การเพียรฝึกฝนบำรุงกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดและเจริญยิ่งขึ้น (เพียรเจริญ - ภาวนาปธาน) และ ๔) การเพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว (เพียรรักษา - อนุรักขนาปธาน) ซึ่งทั้ง ๔ ข้อ ก็เป็นทั้งผล และเป็นทั้งการปฏิบัติในสิ่งเดียวกันกับการที่ได้เจริญสติสัมปชัญญะและสมาธิที่มากขึ้นนั่นเองครับ |
เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 13 ก.พ. 2018, 22:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร |
๒๑) ผู้ปฏิบัติจะมีหน้าตาที่ผ่องใส มีสุขภาพทั้งกายและทั้งใจที่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ปฏิบัติมานะครับ ทั้งนี้จากผลของการฝึกสติสัมปชัญญะและสมาธิ ทำให้ผู้ปฏิบัติมีธรรมสมาธิ ๕ ตามที่ได้เคยกล่าวเอาไว้แล้ว นั่นคือ ผู้ปฏิบัติจะมี ปราโมทย์ ปีติ ปัสสัทธิ สุข และสมาธิ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งธรรมสมาธิทั้ง ๕ นี้ จะทำให้ร่างกายหลั่งสาร endogenous morphine หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า Endorphins ออกมา และสาร Endorphins ที่ว่า จะมีผลทำให้ผู้ปฏิบัติ มีหน้าตาที่สดใส มีร่างกายที่สดชื่น สุขภาพแข็งแรง นอกจากนี้ สาร Endorphins ยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายทำลายเซลล์ที่มีปัญหารวมถึงเซลล์มะเร็ง และช่วยทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและไม่ตัน ทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นปกติ ช่วยป้องกันโรคหัวใจเพราะเส้นเลือดในหัวใจตีบตัน ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานดีขึ้น ควบคุมความดัน โลหิตสูง เบาหวาน ภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ สาร Endorphins ยังช่วยชะลอความแก่และเพิ่มสมรรถนะในการบำบัดโรคตามธรรมชาติของร่างกายให้สูงขึ้นได้ด้วย ลดความเจ็บปวดและความเครียดต่างๆ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย สามารถปรับสมดุลในร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไหลเวียนเลือดและภูมิคุ้มกันของร่างกายของเรา เช่น การทำงานของเม็ดเลือดขาว นอกจากนี้ สาร Endorphins ยังช่วยให้เรามีความจำและการเรียนรู้ที่ดีขึ้นและลดการเกิดภาวะผิดปกติทางจิตใจ อย่างอาการของโรคซึมเศร้า เพราะเมื่อใดก็ตามที่เรามีอารมณ์ดี สุขภาพจิตดี ก็จะทำให้มีฮอร์โมน Endorphins มากขึ้นไปอีก สุขภาพร่างกายก็ดีมากขึ้นตามไปด้วย แถมยังช่วยลดอาการปวดเมื่อยต่างๆ ในร่างกายได้อีกทาง กลางคืนนอนหลับสนิท ร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ออกมาในระดับที่สมดุล ทำให้การกระจายของไขมันในร่างกายไปอยู่ในที่ ๆ ควรอยู่ ไม่อยู่ในที่ ๆ ไม่ควรอยู่ รูปร่างก็จะสมส่วน ฯลฯ ซึ่งข้อดีทั้งหมดของสาร Endorphins นี้ก็มาจากข้อมูลใน Internet โดยผู้อ่านสามารถหาเพิ่มเติมได้ด้วยการค้นผ่าน search engine ต่างๆนะครับ |
หน้า 91 จากทั้งหมด 95 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |