วันเวลาปัจจุบัน 17 เม.ย. 2024, 02:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1414 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 37, 38, 39, 40, 41, 42, 43 ... 95  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2013, 12:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การปฎิบัติเดินสู่ทางมรรคมีองค์ 8 แล้วถึงอย่างไร สักวันหนึ่ง วันใดก็ต้องถึงที่หมาย การกล่าวเช่นนี้ถึงแม้ถูกต้อง แต่ก็ยังเลื่อนลอย ที่เป็นเช่นนี้เพราะผลการปฎิบัติที่ผ่านมาสัมทิฎฐิ สัมมาสังกัปปะยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจากยังขาดปัจจัยสำคัญ 2 เรื่อง คือ
1.ความเข้าใจในความหมายของการเป็นเหตุเป็นผลที่สมบูรณ์ ซึ่งพระพุทธองค์ได้กล่าวแล้วว่า ธรรมทุกอย่างเกิดแต่เหตุ หรือทุกข์เกิดเพราะยังมีสมุทัย จึงจำเป็นต้องเข้าใจกฎของเหตุผลในแต่ละระดับ
2.กำลังหรืออินทรีย์ 5 ที่จะทำให้เกิดการหยั่งรู้ลงในรูปนามอย่างต่อเนื่อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2013, 19:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่กล่าวมาในหลายวันนี้ เป็นการพูดถึงหลักการ กระผมจึงขอแทรกด้วยผลการปฎิบัติที่กล่าวค้างไว้ตั้งแต่เมื่อปฎิบัติโดยไม่เลือกสภาวะโดยรู้ถึงความอุ่น การเคลื่อนไหว ความเหนื่อยล้า เป็นการรู้รวมๆภายในร่างกาย จะมีการหาวต่อเนื่องหลายร้อยครั้งน้ำตาไหลเป็นอย่างมาก เป็นการรู้สลับกันทั้งส่วนของปรากฎการณ์ภายในร่างกายสลับกับการหาว ต่อมารู้สึกเหมือนมีอะไรวูบวาบลอยออกตรงจักกระกลางกระหม่อม ความรู้สึกกายเบาใจเบาและกระจายออก รอบตัว ต่อมามีระลอกการไหวภายในและกลายเป็นการสั่นสะเทือนในที่สุด จึงรู้การสั่นสะเทือนต่อไป(อนิจจัง) จนกระทั่งเข้าสู่ความว่าง เมื่อรู้ในความว่างนานๆ ไปก็ซึมง่วงในที่สุด ตั้งแต่นั้นมาปฎิบัติทีไรก็เข้าสู่สภาวะอย่างนี้ ไม่ก้าวหน้าไปกว่านี้รู้สึกถึงทางตัน กระผมเห็นว่าคงมีผู้ปฎิบัติจำนวนมากที่เป็นอย่างกระผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2013, 01:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะวิญญาณขันธ์เราตั้งอยู่ตรงนั้น มีเหตุเพราะผัสสะที่เกิดจากกายวิญญาณ ผมคิดว่านะครับ คือเมื่อรู้พร้อมแล้ว อะไรต่อ ก็ต้องลงสู่พระไตรลักษณ์ รออ่านต่อนะครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2013, 11:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นกระทู้ที่ดีมากๆครับ
แต่ยังอ่านไม่หมด มันยาวจัง
s002

:b8: ขออนุโมทนา กับเจ้าขอกระทู้ด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2013, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร


ความจริงตั้งคำถามยังไม่ถูกนัก ที่ถูกควรตั้งว่า ปฏิบัติอย่างไร จึงจะเข้าใจปฏิจจสมุปบาท

หมายความว่า เมื่อผู้ใดปฏิบัติจนรู้เห็นเข้าใจปฏิจสมุปบาทแล้ว ผู้นั้นก็รู้เห็นธรรมะ ดังพุทธพจน์ที่ว่า

"ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้น เห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น เห็นปฏิจสมุปบาท"

ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหนอีกแล้ว จบตรงนี้ เพราะรู้เห็นธรรมะแล้ว :b1:


สรุป ก็คือจะต้องเริ่มที่การปฏิบัติ แล้ว...ปฏิบัติกันอย่างไรล่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2013, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร


ความจริงตั้งคำถามยังไม่ถูกนัก ที่ถูกควรตั้งว่า ปฏิบัติอย่างไร จึงจะเข้าใจปฏิจจสมุปบาท

หมายความว่า เมื่อผู้ใดปฏิบัติจนรู้เห็นเข้าใจปฏิจสมุปบาทแล้ว ผู้นั้นก็รู้เห็นธรรมะ ดังพุทธพจน์ที่ว่า

"ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้น เห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น เห็นปฏิจสมุปบาท"

ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหนอีกแล้ว จบตรงนี้ เพราะรู้เห็นธรรมะแล้ว :b1:


สรุป ก็คือจะต้องเริ่มที่การปฏิบัติ แล้ว...ปฏิบัติกันอย่างไรล่ะ

พี่กรัชกายเป็นอะไรมากป่าวค่ะ :b32: คุนน้องว่าพี่สับสนในสมมติบัญญัติจนไปตีความว่า นามธรรมของผู้อื่น สื่อออกมาไม่ถูกต้องกับสมมติบัญญัติ จขกท เค้าเข้าใจปฏิจสมุปปบาทแล้วแต่ไม่รู้วิธีปฏิบัติ เค้าจะสื่อแบบนี้ก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหน :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2013, 14:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ คุณ choochu ตั้งแต่ได้เริ่มเข้ามาในลานธรรมแห่งนี้ ได้พบผู้รู้หลายท่าน ได้แลกเปลี่ยนความรู้ทางธรรม และทุกท่านก็สละเวลา ซึ่งมีส่วนในการเผยแผ่ธรรม บางครั้งอาจมีความเห็นต่าง กระทบอัตตา การอภัยให้กัน มองให้เห็นส่วนดีที่มีครูมาสอนธรรมให้เห็นจิตปฎิฆะ มีส่วนดีต่อธรรมวิจัย และเกิความภูมิใจที่มีส่วนได้สร้างความสามัคคีในครอบครัวพุทธศาสนิกชน สร้างรากฐานความมั่นคงของศาสนา

ข้อมูลที่กระผมนำมาโพสต์เป็นผลจากการปฎิบัติ เมื่อเข้าถึงและเข้าใจธรรมแล้ว จึงนำความรู้จากผลที่ได้รับกลับมาประยุกต์กับความรู้ทางปริยัติ ที่แรกไม่คิดว่าจะนำมาเปิดเผย เนื่องจากมีความลึกซึ้งมาก การฎิบัติเรียกได้ว่าล้มลุกคลุกคลาน ดังนั้นเมื่อถึงปลายทางแล้วกลับไปมองต้นทาง บอกได้ยากว่ามาถึงอย่างไร และการเล่าสภาวธรรมมีทั้งข้อดีและเสีย ซึ่งคิดว่าเสียมากกว่าดี เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งรู้ได้เฉพาะตน ใครได้ลิ้มรส ผู้นั้นจึงรู้รส การบอกกล่าวไม่อาจสื่อสารด้วยตัวอักษรได้ทั้งหมด อีกประการหนึ่ง อาจทำให้เกิดสัญญา และอุปาทาน ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อผู้รับข้อมูล รวมถึงอาจเกิดการปรามาส จึงไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้เล่า ด้วยประการทั้งปวง แต่อย่างไรก็ตามยังเห็นว่าการเล่าถึงประสบการณ์อาจเกิดผลดีต่อผู้มีอุปนิสัยและติดปัญหาในสภาวะธรรมเช่นเดียวกับเราในอดีต อีกทั้งเป็นการบอก trick ในการแก้สภาวะ แต่จะไม่บอกสภาวะผล เพราะอันตรายต่อผู้ปฎิบัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2013, 14:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร


ความจริงตั้งคำถามยังไม่ถูกนัก ที่ถูกควรตั้งว่า ปฏิบัติอย่างไร จึงจะเข้าใจปฏิจจสมุปบาท

หมายความว่า เมื่อผู้ใดปฏิบัติจนรู้เห็นเข้าใจปฏิจสมุปบาทแล้ว ผู้นั้นก็รู้เห็นธรรมะ ดังพุทธพจน์ที่ว่า

"ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้น เห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น เห็นปฏิจสมุปบาท"

ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหนอีกแล้ว จบตรงนี้ เพราะรู้เห็นธรรมะแล้ว :b1:


สรุป ก็คือจะต้องเริ่มที่การปฏิบัติ แล้ว...ปฏิบัติกันอย่างไรล่ะ

พี่กรัชกายเป็นอะไรมากป่าวค่ะ :b32: คุนน้องว่าพี่สับสนในสมมติบัญญัติจนไปตีความว่า นามธรรมของผู้อื่น สื่อออกมาไม่ถูกต้องกับสมมติบัญญัติ จขกท เค้าเข้าใจปฏิจสมุปปบาทแล้วแต่ไม่รู้วิธีปฏิบัติ เค้าจะสื่อแบบนี้ก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหน :b32:


ปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมชาติ การปฏิบัติหรือวิธีปฏิบัติ ก็เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจธรรมชาติ ถูกไหม ?


ตั้งคำถามนี่
อ้างคำพูด:
ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร


จึงดูชอบกลๆอยู่ คือว่าเข้าใจธรรมชาติแล้ว แต่ถามว่าควรจะปฏิบัติ (ตาม) อย่างไร :b1:


คุณ nong เคยติดกระดุมเม็ดแรกผิดไหม คือเมื่อติดกระดุมเม็ดแรกผิดเสียแล้วเนี่ย เม็ดต่อๆไปผิดหมดครับ

ตอบยังไงๆผิดหมด เพราะเข้าใจผิดตั้งแต่ต้นแล้ว :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2013, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ถ้าเข้าใจเรื่องของปฏิจสมุปบาทแล้ว ควรจะปฏิบัติตามอย่างไร


ความจริงตั้งคำถามยังไม่ถูกนัก ที่ถูกควรตั้งว่า ปฏิบัติอย่างไร จึงจะเข้าใจปฏิจจสมุปบาท

หมายความว่า เมื่อผู้ใดปฏิบัติจนรู้เห็นเข้าใจปฏิจสมุปบาทแล้ว ผู้นั้นก็รู้เห็นธรรมะ ดังพุทธพจน์ที่ว่า

"ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้น เห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น เห็นปฏิจสมุปบาท"

ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหนอีกแล้ว จบตรงนี้ เพราะรู้เห็นธรรมะแล้ว :b1:


สรุป ก็คือจะต้องเริ่มที่การปฏิบัติ แล้ว...ปฏิบัติกันอย่างไรล่ะ

พี่กรัชกายเป็นอะไรมากป่าวค่ะ :b32: คุนน้องว่าพี่สับสนในสมมติบัญญัติจนไปตีความว่า นามธรรมของผู้อื่น สื่อออกมาไม่ถูกต้องกับสมมติบัญญัติ จขกท เค้าเข้าใจปฏิจสมุปปบาทแล้วแต่ไม่รู้วิธีปฏิบัติ เค้าจะสื่อแบบนี้ก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหน :b32:



ถามอีกดีไหม

ไหนลองยกตัวอย่างดิสมมติ เป็นไงบัญญัติเป็นไง นี่แหละอนุบาลล่ะ ถ้าไม่เข้าใจชั้นอนุบาลแล้วจะไปมหาลัยก็โดนมหาหลอก คิกๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2013, 22:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


จากผลการปฎิบัติธรรมตั้งแต่ปี 2526 จนถึง ปี 2549 รวม 23 ปี พบสภาวไตรลักษณ์แล้ว แต่ไม่สมบูรณ์ และอีก 6 เดือนที่พบความว่าง(เม.ย.-ก.ย.49) และในเดือน ก.ย.นั้นได้เข้าปฎิบัติธรรมที่รพ.สมุทรปราการเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน (เย็นวันศุกร์-เที่ยงวันอาทิตย์) ก็เริ่มปฎิบัติโดยรู้สภาวภายในของกายได้แก่ ความอบอุ่น ความไหว ความเปลี่ยนแปลงเป็นการรู้แบบรวมๆไม่เข้าไปแยกแยะ การปฎิบัติรู้สภาวะธรรมในระดับนี้มักเป็นผู้ที่ปฎิบัติมานาน สำหรับผู้เริ่มใหม่จะเป็นการรู้เจตสิกหยาบ เช่น ระลึกรู้ว่าเกิดความคิดนึก ความฟุ้งซ่าน เป็นต้น ซึ่งกายในกายก็แสดงความเกิดดับจนกระทั่งเกิดความสั่นสะเทือน ก็รู้ความสั่นสะเทือนจนกระทั่งเข้าสู่ความว่าง ในวันเสาร์เริ่มปฎิบัติตั้งแต่ตี 4.30-6.00 น. และเริ่ม 8.00 น.,มาปฎิบัติที่นี่ ไม่เห็นว่ามีการเดินจงกรม ในเวลานั้นคิดว่าคงต้องการให้เรียนรู้เวทนา ก็นั่งจนกระทั่ง 10.00 น ในเวลานั้นก็เกิดพิจาณาว่าวิธีที่เราทำอยู่นี้คงมีจุดอ่อน และเคยได้ยินครูอาจารย์เคยบอกว่าการตามรู้สภาพธรรมเกิดดับนานๆก็จะถึงความว่าง (เกิดความสงบ สว่าง และความว่าง)ยังเป็นอารมณ์ของใจ(วิญญาณขันธ์) แสดงความเป็นภพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2013, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


suttiyan เขียน:
จากผลการปฎิบัติธรรมตั้งแต่ปี 2526 จนถึง ปี 2549 รวม 23 ปี พบสภาวไตรลักษณ์แล้ว แต่ไม่สมบูรณ์ และอีก 6 เดือนที่พบความว่าง(เม.ย.-ก.ย.49) และในเดือน ก.ย.นั้นได้เข้าปฎิบัติธรรมที่รพ.สมุทรปราการเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน (เย็นวันศุกร์-เที่ยงวันอาทิตย์) ก็เริ่มปฎิบัติโดยรู้สภาวภายในของกายได้แก่ ความอบอุ่น ความไหว ความเปลี่ยนแปลงเป็นการรู้แบบรวมๆไม่เข้าไปแยกแยะ การปฎิบัติรู้สภาวะธรรมในระดับนี้มักเป็นผู้ที่ปฎิบัติมานาน สำหรับผู้เริ่มใหม่จะเป็นการรู้เจตสิกหยาบ เช่น ระลึกรู้ว่าเกิดความคิดนึก ความฟุ้งซ่าน เป็นต้น ซึ่งกายในกายก็แสดงความเกิดดับจนกระทั่งเกิดความสั่นสะเทือน ก็รู้ความสั่นสะเทือนจนกระทั่งเข้าสู่ความว่าง ในวันเสาร์เริ่มปฎิบัติตั้งแต่ตี 4.30-6.00 น. และเริ่ม 8.00 น.,มาปฎิบัติที่นี่ ไม่เห็นว่ามีการเดินจงกรม ในเวลานั้นคิดว่าคงต้องการให้เรียนรู้เวทนา ก็นั่งจนกระทั่ง 10.00 น ในเวลานั้นก็เกิดพิจาณาว่าวิธีที่เราทำอยู่นี้คงมีจุดอ่อน และเคยได้ยินครูอาจารย์เคยบอกว่าการตามรู้สภาพธรรมเกิดดับนานๆก็จะถึงความว่าง (เกิดความสงบ สว่าง และความว่าง)ยังเป็นอารมณ์ของใจ(วิญญาณขันธ์) แสดงความเป็นภพ


สวัสดีค่ะ คุณ Suttiyan

ติดตามอ่านอยู่ค่ะ ขออนุโมทนาที่นำประสบการณ์มาแบ่งปัน
และขอแบ่งปันประสบการ์เช่นกันค่ะ...
เบื้องหลังความเป็นชีวิต คือพลังงานชนิดหนึ่งที่กระพริบ (ON OFF)หรือจะเรียกว่าแรงสั่นสะเทือนก็ได้ ด้วยความถี่ที่รวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ถ้าใช้สมาธิที่มีกำลังเข้าไปจับอาการจะรู้สึกได้ถึงช่วงที่ขาดตอนหรือรอยต่อระหว่าง ON OFF รูปที่เห็นขาดตอนลง เสียงที่ได้ยินขาดตอนลง ฯลฯ เมื่อเข้าไปรู้สภาวะอย่างนี้บ่อยๆจะทำให้เราเข้าใจว่ามันเป็นเพียงสภาวะที่เกิดขั้นเพื่อสนองตอบต่อเหตุปัจจัยที่เข้ากระทบเกิดดับเป็นขณะๆๆ ไปไม่มี สัตว์ บุคคล อยู่ในนั้น..ไม่มีเราอยู่ที่ไหน เป็นเพียงสิ่งๆหนึ่งที่เกิดขึ้นและหมดไปเท่านั้น...
ขอเจริญในธรรมค่ะ

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2013, 09:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley smiley smiley

เอกอนก็ติดตามความเห็นอยู่ ...
และยิ่งเจอความเห็นของคุณปลีก...
เพราะตอนแรกเอกอนคิดว่า...
จิตคนเราไม่น่าจะไวได้ถึงขนาดนั้น ...
...
แต่เห็นคุณปลีกแสดงความเห็นเช่นนี้
แสดงว่า...มีคนเห็นมันได้...จริง ๆ
เอกอนมีคำเรียกสิ่งนั้นอยู่แล้วในใจ เป็นคำที่มีในบัญญัติที่พระพุทธเจ้าสอนด้วย...
แต่ก็ไม่ค่อยมีใครพูดถึง...

เอกอนเคยถามคนทำสมาธิเก่ง ๆ ก็ไม่มีใครเห็นนะ...

แต่เมื่ออ่านคุณปลีก ออกมาแสดงความเห็นในความเห็นของคุณ สุทธิญาณ
เอกอนก็เข้าใจว่า คุณปลีกน่าจะเห็น...

ก็เป็นไปได้ ... เพราะเอกอนก็นั่งติดตามดูคุณสุทธิญาณอยู่มาตั้งแต่ต้น
ลักษณะ...การดำเนินจิตในสมาธิของคุณสุทธิญาณ คุณปลีก และเอกอน
เป็นไปในรอยใกล้เคียงกัน...
ดังนั้นเป็นไปได้ที่จะมีความเห็น มีความเข้าใจอะไรคล้าย ๆ กันอยู่บ้าง

ว่าแต่คุณปลีก คุณสุทธิญาณพอจะรู้มั๊ยว่าทำไมเราจึงเห็นมัน กระพริบ...
และอะไรที่ทำให้เกิดการกระพริบนั่น
ตรงนี้แหละที่เอกอน ... เฝ้ารอผู้จะมาแย้มน่ะ ...


smiley smiley smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2013, 16:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ คุณ ergon_joe จริงแล้ว ความเปลี่ยนแปลงหรือความเกิดดับเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง เมื่อจิตเป็นกลางผลจากสติ จึงไปเห็นความจริงนี้ คือการแตกสลายของอนุภาค และเมื่อเกิดคว่มเป็นกลางอย่งต่อเนื่อง ก็จะพบความจริงตั้งแต่เป็นจุดของ การแตกตัวของอนุภาคหนึ่งก็จะไปสะเทือนให้อนุภาคอื่นแตกตัวตาม เกิดการปลดปล่อยพลังงานออกมา ในรูปของความร้อน แสงสว่าง คลื่นความถี่ อย่างที่คุณได้สัมผัส

ขอยินดีกับความก้าวหน้าของคุณตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ผลการปฎิบัติของตุณเกิดการหมุนของสภาวธรรมในร่างกายเป็นผลจากการมีจุด 2 จุด คือ สิ่งรู้กับถูกรู้ แต่ปัจจุบันผมพบว่า ภายในร่างกายของคุณเกิดการแตกตัวกระจายออกเป็นความระยิยระยับ พร้อมแสงสว่าง นั่นแสดงถึงความเกิดดับที่ละเอียด ซึ่งเกิดจากความเป็นกลางที่ไม่ได้มั่นหมายในสิ่งรู้ เป็นการยกระดับความเข้าใจ ในการปฎิบัติ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังเป็นร่องรอยของแรงที่เกิดจากเจตนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องรู้เช่นเดียวกัน คือมีแรงแตะตั้งแต่ลิ้นปี่ลงไปถึงท้องซึ่งเมื่อเข้าสมาธิจะสังเกตได้ และที่ท้องข้างขวาจะปวดนิดๆ นั่นเป็นสิ่งที่ต้องรู้เช่นเดียวกัน หากมีข้อสงสัยปรึกษาได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2013, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
smiley smiley smiley

เอกอนก็ติดตามความเห็นอยู่ ...
และยิ่งเจอความเห็นของคุณปลีก...
เพราะตอนแรกเอกอนคิดว่า...
จิตคนเราไม่น่าจะไวได้ถึงขนาดนั้น ...
...
แต่เห็นคุณปลีกแสดงความเห็นเช่นนี้
แสดงว่า...มีคนเห็นมันได้...จริง ๆ
เอกอนมีคำเรียกสิ่งนั้นอยู่แล้วในใจ เป็นคำที่มีในบัญญัติที่พระพุทธเจ้าสอนด้วย...
แต่ก็ไม่ค่อยมีใครพูดถึง...

เอกอนเคยถามคนทำสมาธิเก่ง ๆ ก็ไม่มีใครเห็นนะ...

แต่เมื่ออ่านคุณปลีก ออกมาแสดงความเห็นในความเห็นของคุณ สุทธิญาณ
เอกอนก็เข้าใจว่า คุณปลีกน่าจะเห็น...

ก็เป็นไปได้ ... เพราะเอกอนก็นั่งติดตามดูคุณสุทธิญาณอยู่มาตั้งแต่ต้น
ลักษณะ...การดำเนินจิตในสมาธิของคุณสุทธิญาณ คุณปลีก และเอกอน
เป็นไปในรอยใกล้เคียงกัน...
ดังนั้นเป็นไปได้ที่จะมีความเห็น มีความเข้าใจอะไรคล้าย ๆ กันอยู่บ้าง

ว่าแต่คุณปลีก คุณสุทธิญาณพอจะรู้มั๊ยว่าทำไมเราจึงเห็นมัน กระพริบ...
และอะไรที่ทำให้เกิดการกระพริบนั่น
ตรงนี้แหละที่เอกอน ... เฝ้ารอผู้จะมาแย้มน่ะ ...


smiley smiley smiley


tongue สวัสดีคุณเอกอน

ว่าแต่สิ่งที่อยู่ในใจคุณเอกอน จะขยายความให้ฟังได้ไหมคะ?

เราจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนหรือจะเรียกว่าการกระพริบที่ถี่มากได้เกือบตลอดเวลาซึ่งเกิดเป็นปกติในการใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้เกิดจากการต้องนั่งสมาธิ...ก็ต้องบอกตรงๆว่าไม่ทราบเหมือนกันแต่การเข้าไปเห็นรอยต่อระหว่างการกระพริบที่รวดเร็วหรือจะเรียกว่าเกิด..ดับแล้วการเห็น หรือการได้ยินขาดตอนลงเราต้องเพ่งเท่านั้นต้องใช้สมาธิที่มีกำลังมาก..บางครั้งเกิดขึ้นเอง..บางครั้งก็อาจเข้าไปกำหนดหรือมีเจตนาเข้าไปเพ่ง... :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2013, 10:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:

tongue สวัสดีคุณเอกอน

ว่าแต่สิ่งที่อยู่ในใจคุณเอกอน จะขยายความให้ฟังได้ไหมคะ?

เราจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนหรือจะเรียกว่าการกระพริบที่ถี่มากได้เกือบตลอดเวลาซึ่งเกิดเป็นปกติในการใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้เกิดจากการต้องนั่งสมาธิ...ก็ต้องบอกตรงๆว่าไม่ทราบเหมือนกัน :b41:


ใช่ค่ะ ... เห็นได้ตลอด
...
แล้วสิ่งที่เห็น..การกระพริบ...มันกระพริบไปด้วยมั๊ยคะ ...

คือ ... มันเป็นเรื่องของสิ่งที่เห็นการกระพริบ กับ การกระพริบ นี่ล่ะค่ะ

นั่นคือ ... สิ่งที่เห็นการกระพริบ กับ สิ่งที่กระพริบ ไม่ใช่สิ่งเดียวกันแล้ว

คราวนี้ก็คือ ... สิ่งที่กระพริบ คือ อะไร
และสิ่งที่เห็นการกระพริบ ... คือ อะไร

ตรงนี้ล่ะ ที่เอกอนกำลังเฝ้ารอดูคนที่เชี่ยวกว่าเรา ที่เขาสามารถเทียบเคียงพระไตรได้

ตรงนี้เอกอนต้องเงียบไว้
เพราะ อย่างที่คุณสุทธิญาณว่า
การแสดงความเห็นเกี่ยวกับสภาวะการปฏิบัติเป็นเรื่องที่ต้องระวัง ...

ปลีกวิเวก เขียน:

...แต่การเข้าไปเห็นรอยต่อระหว่างการกระพริบที่รวดเร็วหรือจะเรียกว่าเกิด..ดับแล้วการเห็น หรือการได้ยินขาดตอนลงเราต้องเพ่งเท่านั้นต้องใช้สมาธิที่มีกำลังมาก..บางครั้งเกิดขึ้นเอง..บางครั้งก็อาจเข้าไปกำหนดหรือมีเจตนาเข้าไปเพ่ง... :b41:


เช่นกันค่ะ ...

นี่เอกอนจึงเฝ้าแอบรอดูคนที่เห็นเช่นเดียวกัน...ที่เขาเชี่ยวกว่า...
มาแย้ม...

:b12: :b12: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1414 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 37, 38, 39, 40, 41, 42, 43 ... 95  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร