วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 06:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2010, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แนบไฟล์:
2ee1bfcf5d436eb5a62e255a1ebe4092.jpg
2ee1bfcf5d436eb5a62e255a1ebe4092.jpg [ 73.25 KiB | เปิดดู 5967 ครั้ง ]


หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร

ลูกศิษย์ร่วมระลึกถึงหลวงปู่อ่อนสา ในลิงค์นี้ได้นะครับ :b8:
http://www.udon108.com/board/index.php?topic=12316.0


รออ่านอยู่นะครับ อย่าลืมมาโพสต่อนะครับ พี่ภัทรพงศ์ :b16:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


แก้ไขล่าสุดโดย ผงธุลีดิน เมื่อ 08 พ.ย. 2010, 11:32, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2010, 22:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ คุณธุลีดินมากเลยครับสำหรับรูปหลวงปู่ tongue
ขอให้เจริญในธรรมครับ tongue tongue tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2010, 23:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วาระจิต

เหตุเกิดที่ศาลาอีกครั้ง ขณะที่หลวงปู่ท่านฉันจังหัน (ภัตราหารเช้า) เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านจะนั่งผ่อนคลายอิริยาบทสบายๆ โยมคนหนึ่งมากราบหลวงปู่แต่เป็นผู้หวังในเลขเด็ดและโชคลาภจากท่าน มาคอยเลียบๆเคียงๆเกี่ยวกับตัวเลขจากท่านแต่ไม่ว่าจะถามอย่างไรท่านก็ไม่ตอบ ซึ่งองค์หลวงปู่ท่านเองก็ไม่ปรารถนาที่จะให้ญาติโยมไปลุ่มหลงกับอบายมุข เหล่านั้น

ขณะนั้นมีลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่านหนึ่ง นั่งเห็นเหตุการณ์และได้รำพึงในใจว่า

"การมากราบครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดี แต่ยังหวังในโชคลาภอยู่อย่างนี้ มันไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง มีแต่จะตกต่ำและลุ่มหลงในอบายมุข..."
หลวงปู่ท่านได้ชะโงกหน้ามองมาทางลูกศิษย์ผู้นั้นแล้วพูดว่า

"เอ้อ...แม่น" (เอ้อ...ใช่)


แค่ตานอก

ญาติโยมบางท่านที่ได้เคยมากราบนมัสการหลวงปู่อาจจะเห็นกิริยาที่ง่ายๆ สบายๆของท่าน หรือเห็นท่านนั่งดูทีวีอยู่ก็อาจจะอดนึกตำหนิในใจไม่ได้ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ ถามท่านในลักษณะปรามาสท่านว่า

"หลวงปู่ชอบดูทีวีหรือครับ?"
หลวงปู่ท่านตอบกลับทันทีเลยว่า

"เบิ่งก็เบิ่งแต่ตานอกดอกเฮ้ย" (ดูก็ดูแต่ตานอกหรอกเฮ้ย)

ซึ่งคำตอบของท่านนั้น มีความหมายในตัวเองอยู่แล้ว "บางครั้งการได้ใกล้ชิดกับพระสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ต้องระวังใจให้มาก อาจจะบาปได้โดยไม่รู้ตัว"


หลวงปู่ตื้อนักเทศน์

หลวงปู่อ่อนสา ท่านเคยกล่าวถึง หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม พระอาจารย์รุ่นใหญ่ในสายกรรมฐานของท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งท่านมีความสนิทสนมและพูดถึงอยู่บ่อยๆอย่างอารมณ์ดีว่า

"หลวงปู่ตื้อเพิ่นมักเทศน์ หลับตาเทศน์ เทศน์จนแม่ออกขี้แตกคาศาลา ย่านเพิ่นบ่กล้าลุกไป บางเทื่อหลับตาเทศน์ ลืมตาขึ้นมาอีกทีญาติโยมลักหนีลงศาลาเบิ่ดแล้ว ยังแต่หมาน้อย ๒-๓ ตัวนั่งกระดิกหางอยู่..."

(หลวงปู่ตื้อท่านชอบเทศน์ หลับตาเทศน์ เทศน์จนโยมผู้หญิงขี้แตกคาศาลา กลัวท่านจนไม่กล้าลุกไป บางครั้งหลับตาเทศน์ ลืมตาขึ้นมาอีกทีญาติโยมแอบหนีลงศาลากันไปหมดแล้ว เหลือแต่หมาน้อย ๒-๓ ตัวนั่งกระดิกหางอยู่...)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2010, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมบทสั้น

ผู้ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมบางท่าน ที่มีความตั้งใจในการปฏิบัติจิตภาวนาเมื่อมีโอกาสก็จะกราบนมัสการเรียนถาม ปัญหาและข้อติดขัดในการปฏิบัติกับท่าน แต่หากเป็นการถามกันเพื่ออวดภูมิความรู้ของตน มักต้องผิดหวังเนื่องจากหลวงปู่ท่านไม่ตอบ และไม่พูดด้วย ท่านจะเคี้ยวหมากอยู่เฉยๆไม่พูด จนบางคนต้องกราบลากลับไปเอง หากเป็นผู้มีข้อสงสัยและเป็นผู้ปฏิบัติจริงแล้ว ก็จะได้รับคำตอบจากท่านแบบสั้นๆ แล้วแต่คำถาม มีคำตอบหนึ่งซึ่งหลวงปู่ตอบเพียงสั้นๆแต่มีความหมายอย่างละเอียดลึกซึ่งมาก คือ

"สติรักษาใจ"



ยานิ โสตานิ โลกสฺมิ สติ เตสํ นิวารณํ
"อารมณ์เหล่าใดบรรดามีในโลก สติเป็นสิ่งกั้นอารมณ์เหล่านั้น"
อชิตปัญหา ๒๕/๔๗๕


เอาไปทำไม

แม่ครัวที่วัดเคยเล่าให้ฟังว่า ได้เคยเอ่ยปากขอเหรียญจากท่านเพื่อความเป็นสิริมงคล
"หลวงปู่...ขอเหรียญสักเหรียญไม่ได้เหรอเจ้าค่ะ?"
หลวงปู่ท่านตอบว่า

"สิเอาไปเฮ็ดหยัง ยังมีโตให้ได้เห็นอยู่แม้"
(จะเอาไปทำไม ก็ยังมีตัวให้ได้เห็นอยู่นี่)

ก็ไม่รู้จะเอ่ยปากขอท่านต่ออย่างไร? เมื่อท่านพูดตอบกลับมาอย่างนี่


ไม่ใช่คนเหรอ

ผู้ที่เคารพในองค์หลวงปู่มักจะพาญาติพี่น้องหรือเพื่อนพ้องมากราบท่านเพื่อ เป็นมงคลแก่ตน เคยมีลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดท่านหนึ่ง พาเพื่อนซึ่มีดีกรีเป็นถึงด๊อกเตอร์มากราบท่าน

"หลวงปู่ครับ วันนี้ผมพาด๊อกเตอร์มากราบหลวงปู่ครับ"
เป็นการกล่าวแนะนำ หลวงปู่ท่านก็ถามกลับว่า

"ด๊อกเตอร์ มันบ่แม่นคนบ่?"
(ด๊อกเตอร์ มันไม่ใช่คนเหรอ?)

ผู่ที่เคยมากราบนมัสการหลวงปู่คงจะทราบว่า "หลวงปู่ท่านไม่เคยถือยศถือศักดิ์ อะไรใครทั้งนั้น ท่านให้ความเมตตากับทุกคนเท่าเทียมกันหมด และไม่มีใครพิเศษกว่าใคร"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2010, 13:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปออกรบเหรอ

ตามธรรมเนียมของพระป่าแล้ว ท่านจะให้ความเคารพต่อพระผู้มีอาวุโสมาก และในช่วงก่อนเข้าพรรษา ท่านก็จะถือโอกาสไปกราบคารวะและรับโอวาท เพื่อแสดงถึงความเคารพต่อครูบาอาจารย์

ครั้งหนึ่งก่อนวันเข้าพรรษาได้มีพระอาจารย์รูปหนึ่ง นำพาคณะศิษย์มากราบคารวะหลวงปู่ ซึ่งการมาครั้งนี้มีคณะศิษย์ติดตามท่านมารวมๆ แล้วเกือบร้อยคน ขบวนรถมีกว่า ๒๐ คันเห็นจะได้ เมื่อเข้ากราบคารวะหลวงปู่ท่านก็กล่างทักทายอย่างอารามณ์ดีว่า

"มาหยังหลายแท้ สิพากันไปออกรบบ่?"
(มาทำไมกันมากนัก จะไปออกรบเหรอ?)


ฉันด้วยกันทุกวัน

เณรที่เคยอุปัฏฐากหลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ขณะที่นวดถวายหลวงปู่ ก็เลยขอโอกาสเรียนถามท่านว่า
"หลวงปู่ไม่แวะไปหาหลวงตามหาบัว (วัดป่าบ้านตาด) บ้างเหรอ?"
หลวงปู่ท่านตอบว่า

"เฮาไปยามได๋ เฮาสิบอกโตบ่..นั่งฉันจังหันนำกันซูมื้อ โตบ่เห็นนำเฮาดอก"
(เราไปเมื่อไหร่ เราจะบอกเธอเหรอ..นั่งฉันจังหัน(ภัตตราหารเช้า)ด้วยกันทุกวัน เธอไม่เห็นกับเราหรอก)

คำตอบของท่าน เล่นเอาเณรรูปนั้นนิ่งอึ้งและทึ่งในภูมิจิตภูมิธรรมของครูบาอาจารย์ที่ไม่ อาจประมาณได้ ก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่ท่านพูดเย้าเณรเล่นหรือเป็นอุบายอันใดก็ไม่อาจทราบได้


ไม่ติดรูปแบบ

เมื่อหลายปีมาแล้ว ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๔ หลวงปู่ท่านมีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา ต้องเข้ารับการผ่าตัด หลังจากที่ทางคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาเรียบร้อยแล้ว ท่านก็กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่วัด แต่หลวงปู่ท่านก็ไม่เคยละทิ้งในการบิณฑบาตเลย ยังคงบิณฑบาตอยู่ทุกๆเช้า

สิ่งที่น่าแปลกอยู่อย่างก็คือ "ท่านสวมแว่นตาอันใหญ่มากเป็นแว่นกันฝุ่นแบบ ที่มีสายรัดคาดศรีษะเหมือนกับที่บรรดานักแข่งมอเตอร์ไซด์ทั่วไปใช้กัน ออกบิณฑบาต" นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการไม่ยึดถือในรูปแบบว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ หรือจะเป็นอุบายธรรมอันใดให้เหล่าลูกศิษย์ลูกหาชวนคิดหนอ?


ตุฏฺฐี สุขา ยา อิตรีตเรน
"พอใจตามมี ยินดีตามได้ นำสุขมาให้"
ธรรมบท ๒๕/๔๙


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2010, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิภาณโวหาร

ในสมัยที่หลวงปู่ท่านอยู่ที่กุฏิหลังเก่า ท่านมักจะชอบเล่าเรื่องความหลังเก่าๆของท่านในสมัยที่อยู่จำพรรษาร่วมกับ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่เสนาสนะ วัดป่าบ้านหนองผือ(นาใน) ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ราวๆปี พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๔๙๒

หลวงปู่เล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยถกเถียงกับพรัที่ร่วมจำพรรษาอยู่ด้วยกันเกี่ยวกับเรื่อง เหตุผลในข้ออรรถข้อธรรม ขณะที่กำลังถกกันอยู่นั้นหลวงปู่มั่นท่านเดินผ่านมาพอดีและได้ยินเข้าจึงพูด กับพระรูปนั้นขึ้นว่า

"อย่าไปเถียงกับท่านอ่อนสาเลย.. เถียงไม่มีชนะหรอก"

แสดงว่าหลวงปู่ท่านมีปฏิภาณไหวพริบ และการตอบการแย้งในเหตุในผลอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านพระอาจารย์ใหญ่เองยังเคยออกปาก


ณ. หินหมากเป้ง (๑)

ครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านได้พาคณะลูกศิษย์ไปกราบเยี่ยมคารวะ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย เมื่อทางคณะของหลวงปู่ไปถึงท่านก็นั่งพักรอกันอยู่ที่ศาลาบริเวณกุฏิของหลวง ปู่เทสก์พร้อมกับคณะลูกศิษย์ก็พากันนั่งรอด้วย แล้วหลวงปู่ท่านก็ลุกเดินดูบริเวณรอบๆวัด ขณะนั้นมีคนงานของวัดกำลังถางหญ้าและบริเวณนั้นมีรูปปั้นกวางตั้งอยู่ หลวงปู่จึงกล่าวทักทายคนงานของวัดว่า

"เสียหญ้าให้กวงกินบ่?" (ถางหญ้าให้กวางกินเหรอ?)

เหล่าคนงานได้ยินท่านกล่าวเช่นนั้นก็พากันหัวเราะในความมีอารมณ์ขันของท่าน สักพักหนึ่งมีสามเณรออกมาจากกุฏิหลวงปู่เทสก์เดินเข้ามาบอกว่า

"หลวงปู่เทสก์ ท่านให้มานิมนต์หลวงปู่อ่อนสาขึ้นไปบนกุฏิ"

เนื่องจากขณะนั้นหลวงปู่เทสก์เอง ท่านอาพาธอยู่จึงไม่สามรถที่จะให้ทางคณะศิษย์ของหลวงปู่เข้ากราบนมัสการได้ ทั้งหมด หลวงปู่และลูกศิษย์บางคนเข้ากราบเยี่ยมคารวะสักครู่ก็กราบลาหลวงปู่เทสก์ กลับ ที่น่าแปลกคือ "การไปกราบเยี่ยมคารวะครั้งนี้มิได้แจ้งให้หลวงปู่เทสก์ท่านทราบก่อนล่วงหน้า" นั้นเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงภูมิจิตภูมิธรรมของครูบาอาจารย์อันเหลือวิสัยเกินกว่าที่พวกเราจะสามารถเข้าใจได้


ณ. หินหมากเป้ง (๒)

หลังจากที่กราบเยี่ยมคารวะหลวงปู่เทสก์เรียบร้อยแล้วหลวงปู่ท่านบอกกับคณะลูกศิษย์ว่า
"มา.. สิพาไปกราบแม่ชี" ( มา.. จะพาไปกราบแม่ชี)

เมื่อไปถึงกุฏิแม่ชีท่านหนึ่ง ซึ่งท่านชราภาพมากแล้ว (ขออนุญาติไม่กล่าวนามของท่าน) คุณแม่ชีท่านนี้ก็นิมนต์หลวงปู่นั่งบนโซฟาและท่านก็ปู่เสื่อนั่งข้างล่าง คุณแม่ชีท่านนี้ท่านก้มกราบหลวงปู่ด้วยความนอบน้อมมากจากนั้นท่านก็ตำหมาก ถวายหลวงปู่ และคุณแม่ชีท่านก็พนมมือพูดขึ้นว่า

"หลวงปู่... มาโปรดข้าน่อยแน" (หลวงปู่... มาโปรดข้าน้อยหน่อย)
หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า

"สิให้โปรดอันใด๋อีก ซุอันซุแนวก็ซอดเบิ่ดแล้วแม้"

(จะให้โปรดอะไรอีก ทุกอันทุกสิ่งก็รู้แจ้งหมดแล้วนี่)

คุณแม่ชีท่านก็ยิ้มๆไม่ว่าอะไรต่อ นั่นเป็นภาพที่น่าประทับใจมากที่ผู้อาวุโสท่านปฏิบัติต่อกันอย่างอ่อนน้อม ไม่มีการถือตนถือตัว


*คุณแม่ชีท่านนี้ หลวงปู่เทสก์เคยกล่าวรับรองในคุณธรรมของท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2010, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แจกเอาบุญ

ครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านเคยปรารภเกี่ยวกับวัตถุมงคลต่างๆที่มีผู้จัดสร้างมาถวายให้ท่านแจกให้กับญาติโยมที่มากราบนมัสการท่านว่า

"...เฮาแจกเบิ่ดล่ะ เฮ็ดอีหยังมาก็ตาม แจกเอาบุญ..."
(...เราแจกหมดล่ะ ทำอะไรมาก็ตาม แจกเอาบุญ...)

หลวงปู่ท่านแจกหมดจริงๆและไม่เคยคิดถึงสิ่งเหล่านี้เป็นราคาค่างวดอะไร ใครจะสร้างจะทำอะไรมาถวาย ท่านก็แจกให้กับญาติโยมที่มากราบนมัสการ "ได้บุญกันทั้งผู้ทำและผู้รับ ส่วนผู้แจกนั้นไม่ต้องสงสัยท่านพ้นไปแล้ว"


มาวมญฺเญถ ปุญฺญสฺส น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
"ไม่พึงดูหมิ่นว่าบุญเล็กน้อยจะไม่มีผล"
ธรรมบท ๒๕/๒๖


อาการ ๓๒

เช้าวันหนึ่งขณะที่หลวงปู่ท่านกำลังใช้มือกวนอาหารเพื่อจะลงมือฉันอยู่นั้น มีโยมผู้หญิงท่านหนึ่งได้กราบเรียนถามปัญหาธรรมกับท่านว่า
"หลวงปู่เจ้าค่ะ เราจะพิจารณาอาการ ๓๒ ได้อย่างไรเจ้าค่ะ?"

หลวงปู่ท่านวางมือจากการเตรียมจะฉัน พร้อมกับตอบโยมผู้หญิงท่านนั้นอย่างจริงจังทันทีว่า
"ให้พิจารณาอันใด๋อันหนึ่งในนั้น บ่ต้องไปเบิ่งทั้ง ๓๒ อัน ให้มันฮู้แจ้งเด่นชัดในอันเดียว คั้นมันแจ้งแล้วมันสิแตกหากันเบิ่ด..."
(ให้พิจารณาอันใดอันหนึ่งในนั้น ไม่ต้องไปดูทั้ง ๓๒ อัน ให้มันรู้แจ้งเด่นชัดในอันเดียว เมื่อมันรู้แจ้งแล้ว มันจะรู้แจ้งหากันทั้งหมด...)

ธรรมอันละเอียดลึกซึ้งแห่ง "มหาสติปัฏฐานสี่" ว่าด้วยเรื่อง "กายานุปัสสนา" ในการพิจารณากายให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นของไม่เที่ยง ธรรมวาทะเช่นนี้ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้ยินจากท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2010, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มวยคู่เอก

ครั้งหนึ่งบรรดาลูกศิษย์กำลังนั่งดูทีวี ซึ่งกำลังมีการถ่ายทอดรายการมวย ขณะที่กำลังเชียร์มวยคู่เอกของรายการอย่างออกรสออกชาด ในยกที่ ๕ ทั้งฝ่ายแดงและฝ่ายน้ำเงินกำลังแลกหมัดกันอย่างเมามัน พร้อมกับส่งเสียงเฮลุ้นฝ่ายที่เป็นต่ออยู่นั้น หลวงปู่ท่านก็ปิดทีวีพร้อมกับพูดว่า

"ซุมหมู่นี่...บ่ฮู้จักรักษาใจ..." (พวกนี้...ไม่รู้จักรักษาใจ...)

คำตอบของท่านนั้นมีความหมายว่า "อย่าปล่อยให้ใจเพลิดเพลินอยู่กับสิ่งที่ได้ดู ได้เห็น โดยไม่พิจารณาและมีสติประคองรักษาไว้" นั้นเป็นการสอนแบบปัจจุบันทันด่วน กำราบลูกศิษย์ได้ผลชะงัดนักสำหรับบรรดาเซียนมวยทั้งหลาย เปิดทีวีมาอีกครั้งก็ถ่ายทอดจบแล้ว


ผู้เป็นปกติ

ไม่บ่อยนักที่หลวงปู่ท่านจะมาโปรดลูกศิษย์ที่จังหวัดขอนแก่น ครั้งหนึ่งท่านมาถึงประมาณ ๗ โมงเช้า แล้งท่านก็ออกบิณฑบาตทันที เดินบิณฑบาตได้ไม่ไกลนัก ครั้งนี้หลวงปู่ท่านได้ปลากระป๋องเพียงประป๋องเดียว แล้วหลวงปู่ก็พูดอย่างอารมณ์ดีกับลูกศิษย์ว่า

"คนแถวนี้ เขาบ่ค่อยใส่บาตรเน๊าะ?"
(คนแถวนี้ เขาไม่ค่อยใส่บาตรเน๊าะ?)

ทางลูกศิษย์ก็เรียนท่านว่า
"คนที่นี้ เขาใส่บาตรกันตั้งแต่เช้าราวๆตี ๕ ถึง ๖ โมงเช้า ถ้าเกินกว่า ๖ โมงครึ่งก็ไม่ค่อยมีพระแล้ว"

หลวงปู่ท่านก็ไม่ว่าอะไร สิ่งหนึ่งที่เราสามารถเห็นได้กับเรื่องนี้คือ "หลวงปู่ท่านไม่เคยละทิ้งเรื่องการบิณฑบาตวัตรเลย" ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อย่างไรก็ตาม อันเป็นแนวปฏิปทาของท่านพระอาจารย์ใหญ่แห่งภาคอีสานคือ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านพาดำเนินมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2010, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเด็ดเดี่ยว

พระที่เคยอุปัฏฐากหลวงปู่รูปหนึ่งเล่าว่า หลวงปู่ท่านเคยเล่าว่าในสมัยก่อนนั้นท่านเคยได้จำพรรษาร่วมกับหมู่คณะสงฆ์ แห่งหนึ่ง แต่หลวงปู่ท่านก็ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะซึ่งเป็นตามจริตของท่านที่ถือความ วิเวกชอบอยู่องค์เดียวเป็นสำคัญ ทำให้คณะสงฆ์หมู่นั้นไม่ค่อยพอใจท่านเท่าใดนัก หลวงปู่ท่านจึงบอกแก่คณะสงฆ์นั้นว่า

"ในเมื่อพวกคุณบ่เอากระผม กระผมก็สิบ่เอาพวกคุณคือกัน"

(ในเมื่อพวกคุณบ่เอากระผม กระผมก็จะไม่เอาพวกคุณเหมือนกัน)

แล้วท่านก็เก็บบริขารออกธุดงค์ทันที นี่เป็นความเด็ดเดี่ยวในวัตรปฏิปทาของท่าน ปกติแล้วหลวงปู่ท่านยินดีกับการอยู่องค์เดียว ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะมาโดยตลอด อาจจะด้วยเหตุนี้เองท่านจึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก


น คเณน ปุรกฺขโต จเร วิมโน โหติ สมาธิ ทุลฺลโภ
"ไม่ควรคลุกคลีด้วยหมู่คณะ เพราะจะทำให้จิตฟุ้งซ่านและสมาธิเกิดยาก"
มหากัสสปเถรคาถา ๒๖/๔๐๙


ธรรมจากท่านพ่อลี

"พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์" หรือ ท่านลี ธัมมธโร แห่งวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ท่านเป็นพระกรรมฐานในสาย ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่าน พ่อลีท่านเป็นผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติภาวนาอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันท่านก็นำพาเหล่าบรรดาญาติโยมศิษยานุศิษย์จัดการจัดงานในการ บุญการกุศลอย่างยิ่งใหญ่เสมอๆ ครั้งหนึ่งเคยมีท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งนึกสงสัยในปฏิปทาของท่านจึงเอ่ยถามท่าน ว่า
"ในเมื่อเป็นพระกรรมฐานดำเนินในปฏิปทาของท่านพระ อาจารย์มั่น แล้วทำไมท่านจึงชอบนำพาเหล่าบรรดาญาติโยมจัดงานบุญงานกุศลเป็นประจำไม่มุ่ง เน้นพาเหล่าบรรดาญาติโยมให้ปฏิบัติภาวนาล่ะ?"

ท่านพ่อลีท่านก็ตอบท่านเจ้าคุณรูปนั้นอย่างน่าฟังว่า
"เกล้ากระผม ทำนาไม่ได้เอาข้าวอย่างเดียว แกลบผมก็เอา รำผมก็เอา ฟางผมก็เอา ขอรับ"

เมื่อท่านเจ้าคุณรูปนั้นได้ฟังคำตอบของท่าน ก็ไม่กล่าวอะไรต่อ เนื่องจากมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว หลวงปู่อ่อนสาท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องทำนองนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำบุญต่างๆตลอดจนเรื่องวัตถุมงคลต่างๆที่มีผู้ทำมา ถวายให้ท่านแจก คำตอบของท่านพ่อลีคงจะพออธิบายในปฏิปทาบางอย่างของหลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2010, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วัตถุมงคล

หลายท่านอาจเคยสงสัยว่า ทำไมบรรดาครูบาอาจารย์บางท่านอนุญาตให้เหล่าบรรดาลูกศิษย์ลูกหาจัดสร้าง วัตถุมงคลขึ้น ท่านมีความหมายอันใดหรือ? แม้แต่องค์หลวงปู่ท่านก็เคยอนุญาตให้จัดสร้างวัตถุมงคลบ้างตามวาระโอกาส และตามเจตนาที่เหมาะสม ซึ่งทุกครั้งหลวงปู่ท่านก็จะแจกให้ฟรีกับผู้ที่มากราบนมัสการโดยไม่เคยคิด เป็นมูลค่าใดๆ

ข้อความตอนหนึ่งจากหนังสือ "อตุโล ไม่มีใดเทียม" (หน้า ๑๘๑) ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ เล่าว่าครั้งหนึ่งมีพวกสาธุชนกลุ่มหนึ่งมาสนทนาธรรมด้วยและถามท่านว่า
"วัตถุมงคลมีความศักดิ์สิทธิ์จริงหรือหลวงปู่จึงได้สร้างหรืออนุญาตให้สร้างเหรียญขึ้น?"

หลวงปู่ดูลย์จึงวิสัชนาว่า

"พวกท่านทั้งหลายแสดงความสนใจในการบำเพ็ญภาวนา ก็พากันบำเพ็ญภาวนาไป ไม่ต้องไปห่วงไปสนใจกับวัตถุมงคลอันเป็นของภายนอกนี้ แต่สำหรับผู้มีจิตใจเพลิดเพลินอยู่ ยังยินดีในการเกิดตายในวัฏฏสงสารยังไม่สามารถหันมาสู่การปฏิบัติธรรมได้ ก็ให้อาศัยวัตถุภายนอกเช่นวัตถุมงคลนี้ เป็นที่พึ่งไปก่อน อย่าไปตำหนิติเตียนอะไรเลย
ครั้นเขาเหล่านั้น ประสบเหตุเภทภัยมีอันตรายแก่ตนแล้วเกิดแคล้วคลาดด้วยคุณแห่งพระรัตนตรัยก็ดี ด้วยบังเอิญก็ดี ก็จะเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ในภายหลัง ซึ่งจะเป็นเหตุให้เจริญงอกงามในทางที่ถูกต้องได้เอง สำหรับผู้ที่มีศรัทธามากแล้ว ชอบการบำเพ็ญภาวนาจิตใจในธรรมปฏิบัติอันยิ่งๆขึ้นไป ในเรื่องวัตถุมงคลนี้ หลวงปู่จะบอกตามสัจจธรรมว่าไม่มีอะไร เป็นเพียงช่วยด้านกำลังใจเท่านั้น..."

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งวัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ท่านก็เคยพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับวัตถุมงคลของท่านอยู่เสมอว่า

"วัตถุมงคลก็เป็นเพียงวัตถุเท่านั้น ของจริงก็คือ พระสัจจธรรมทั้งปวง มีวัตถุมงคลแล้วไม่ทำตัวให้ดีไม่ทำใจให้เป็นกุศล ก็หวังอะไรไม่ได้สักอย่าง มีวัตถุมงคลแล้วต้องทำความดีด้วย จึงจะเกิดผลต่างๆเป็นนานาประการ หากหวังพึ่งวัตถุมงคลอย่างเดียวโดยไม่สร้างบุญกุศลย่อมไม่ได้อะไรขึ้นมา..."

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ พระสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง แห่งวัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเคยกล่าวในเรื่องทำนองนี้ไว้ว่า

"ติดวัตถุมงคล ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปรารภเรื่องการภาวนา

เมื่อก่อนนั้นสมัยที่หลวงปู่ท่านยังแข็งแรงและยังไม่ค่อยมีคนรู้จักหลวงปู่ ท่านมากนัก ท่านจึงมีเวลาพักผ่อนและสนทนากับลูกศิษย์ที่ไปกราบนมัสการได้เป็นเวลานาน ครั้งหนึ่งท่านเคยปรารภในเรื่องเกี่ยวกับการภาวนาว่า

"...ต้องเฮ็ดดุๆ คือจั่งคนตาบอดเทียวทางนี่ล่ะ ทีแรกๆมันก็สิตำนั้นตำนี้แหละ ย่างดุๆมันก็สิแปนเองดอก.."
(...ต้องทำบ่อยๆ เหมือนคนตาบอดเดินทางนี่ล่ะ ทีแรกๆมันก็จะชนนั้นชนนี่แหละ เดินบ่อยๆมันก็จะเรียบ (ชำนาญ)เองหรอก..)


วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา
"เป็นคนควรพยายามไปจนกว่าจะสำเร็จ
วิโรจนอสุรินสูตร ๑๕/๓๑๖


ไม่ตามใจผู้ขอ

เคยมีพระอาจารย์รูปหนึ่งพาคณะศิษยานุศิษย์ทั้งพระและฆราวาสมากราบคารวะหลวง ปู่ราวๆ ๕๐ คนเห็นจะได้ และในครั้งนี้หวังกันว่า จะได้รับคติธรรมหรืออุบายธรรมในการพิจารณาเพื่อการปฏิบัติภาวนาให้ก้าวหน้า ยิ่งๆขึ้นไปจากหลวงปู่ โยมคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า
"ขอโอกาสหลวงปู่ เทศน์โปรดพวกหมู่คณะกระผมด้วย ขอรับ"
หลวงปู่ท่านก็นั่งเฉยไม่พูดไม่กล่าวอะไรต่อ ต่างคนต่างก็นั่งคอยด้วยความใจจดใจจ่อในธรรมที่หลวงปู่ท่านจะเทศน์ให้ฟัง สักพักใหญ่ท่านจึงพูดขึ้นว่า

"อั่น.. บ่แม่นสิพอได้เวลาพากันไปทางหน้าแล้วบ่? ไปกันซะ
(เอ.. ไม่ใช่จะพอได้เวลาพากันไปต่อแล้วเหรอ? ไปกันซะ)

ทั้งพระทั้งโยมก็พากันยิ้มในคำของท่าน เพราะต่างก็พอจะทราบกันอยู่บ้างแล้วว่า "หลวงปู่ท่านไม่ชอบเทศน์" แต่ก็ไม่นึกว่าท่านจะตอบกลับมาแบบนี้คาดกันไม่ถึงจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครูผู้ให้สติ

หลวงปู่ท่านเคยเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยไปธุดงค์กับเณรรูปหนึ่งในป่า ซึ่งในสมัยก่อนนั้นยังมีสัตว์ป่าชุกชุมอยู่มาก และในป่าที่ท่านไปธุดงค็ครั้งนี้ก็เป็นดงเสือ หลวงปู่ท่านก็ปักกลดอยู่ที่หนึ่ง และออกอุบายให้เณรที่ไปด้วยกันปักกลดอยู่อีกที่หนึ่ง ในบริเวรที่เณรรูปนั้นปักกลด หลวงปู่ท่านทราบดีว่าที่ตรงนั้นมีเสือชุกชุมมาก
คืนนั้นท่านก็นั่งภาวนาอยู่จนกระทั่งรุ่งเช้า ก็ไม่เห็นเณรรูปนั้นออกมาจากกลด จึงเดินเข้าไปดู บริเวรรอบๆกลดของเณรรูปนั้นเต็มไปด้วยรอยเท้าของเสือ หลวงปู่ท่านจึงเปิดกลดดู เห็นเณรนั่งสมาธิอยู่ หลังจากที่เณรรูปนั้นออกจากสมาธิเห็นกลดที่เปิดอยู่ก็ตกใจร้องโวยวายขึ้นว่า

"เสือ..เสือ..."

เณรรูปนั้นเล่าให้หลวงปู่ฟังว่า ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน กลัวมากมีเสือมาเดินอยู่รอบๆกลด ไม่รู้จะทำยังไง เลยต้องนั่งภาวนาอยู่อย่างนั้นทั้งคืน หลวงปู่ได้ยินก็หัวเราะในความกลัวของเณรรูปนั้น นี่เป็นอุบายในการสอนศิษย์อย่างหนึ่งของหลวงปู่ "โดยการใช้เสือเป็นครูให้สติ"


สีผึ้ง

มีลูกศิษย์มากราบทำบุญในช่วงเข้าพรรษา เมื่อไปถึงที่วัดปรากฏว่าหลวงปู่ท่านจำวัดอยู่ จึงได้เข้ากราบนมัสการกันอย่างเงียบๆเกรงว่าท่านจะตื่น หลังจากกราบนมัสการท่านเสร็จแล้วก็ต่างทยอยกันค่อยๆกลับออกมา ในระหว่างที่กำลังจะกลับออกมานั้นหลวงปู่ท่านก็ตื่นขึ้นและถามว่า

หลวงปู่ "มาหยังกัน?" (มาทำไมกัน?)
ลูกศิษย์ "มากราบทำบุญกับหลวงปู่เจ้าค่ะ"
หลวงปู่ "มากันแต่ทางใด๋?" (มากันจากที่ไหน?)
ลูกศิษย์ "มาจากขอนแก่นค่ะ"
เมื่อสนทนาได้สักครู่ก็กราบลาท่านกลับ หลวงปู่ท่านก็หยิบสีผึ้งออกมาแจกกันคนละตลับ มีผู้ถามว่า
"ใช้ยังไงค่ะ? หลวงปู่"
หลวงปู่ท่านก็พูดตอบกลับว่า

"ฮ่วย...ก็เอาไว้สีกันปากแตกตั้ว" (อ้าว...ก็เอาไว้ทากันปากแตกสิ)

ต่างคนต่างหัวเราะในคำตอบของท่าน นี่เป็นอีกตัวอย่างเกี่ยวกับอารมณ์ขันของหลวงปู่ซึ่งมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ถือเป็นบุคลิกอย่างหนึ่งของท่านเลยก็ว่าได้


กำราบความอยาก

มีผู้นำพระไปถวายให้หลวงปู่แจก เมื่อท่านได้รับแล้วก็แจกให้แก่ลูกศิษย์ที่อยู่บริเวรนั้นทันที ทุกคนต่างได้รับจากมือหลวงปู่ ยกเว้นพระลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ปรนนิบัติหลวงปู่ พระลูกศิษย์ท่านนั้นนึกอยากได้กับเขาเหมือนกัน แต่ไม่กล้าเอ่ยปากขอท่านเพราะหากท่านปฏิเสธกลับมาก็ไม่รู้จะตอบท่านยังไงและ คงนึกอายท่านอยู่ จึงได้แต่มองดูท่านแจกลูกศิษย์คนอื่นจนครบ แล้วหลวงปู่ก็ผูกปิดปากถุงเก็บไว้พร้อมกับพูดกับพระลูกศิษย์ท่านนั้นว่า

"อยากได้แม่นบ่ล่ะโต เฮาบ่ให้จีตหีตนี่แหละ เป็นหยังบ่?"
(อยากได้ใช่ไหมล่ะเธอ เราไม่ให้ซะอย่างนี่แหละ มีอะไรมั๊ย?)

แล้วท่านก็เอนหลังนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลวงปู่ปล่อยหมัดเด็ดใส่ลูกศิษย์อย่างจังโดยไม่ให้ตั้งตัว เล่นเอาความอยากแตกกระเจิงถอยไปอย่างไม่เป็นท่า เหมือนกับจะบอกว่า "ตีเหล็กน่ะ เขาต้องตีกันตอนร้อนๆมันถึงจะเห็นรูปเห็นร่างดี ความอยากก็เหมือนกันต้องหักกันแบบนี้แหละมันถึงจะรู้ตัวและได้สติ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ญาณหยั่งรู้ของหลวงปู่มั่น

เมื่อครั้งที่หลวงปู่ท่านร่วมจำพรรษากับ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ณ เสนาสนะ วัดป่าบ้านหนองผือ(นาใน) ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร หลวงปู่ท่านเล่าว่า ในสมัยนั้นทั้งพระและเณรต่างก็มุ่งมั่นในการปฏิบัติภาวนากันอย่างจริงจัง ด้วยว่าเกรงในญาณหยั่งรู้ของท่านพระอาจารย์ใหญ่ หากย่อหย่อนก็จะโดนท่านพระอาจารย์ใหญ่ดุเอา ครั้งหนึ่งท่านพระอาจารย์ใหญ่ให้หลวงปู่ไปพักอยู่ใกล้ๆกับท่าน ซึ่งหลวงปู่เองก็นึกหวั่นๆอยู่บ้างเหมือนกัน ท่านจึงแอบเอาน้ำใส่ขันเข้าไปไว้ในกุฏิด้วย หากเผลอสติหรือหลับไปเมื่อรู้สึกตัวจะได้เอาน้ำมาล้างหน้าและนั่งภาวนาต่อ ไม่ให้เสียเวลา
รุ่งเช้าเมื่อท่านอาจารย์ใหญ่เจอหลวงปู่ ก็พูดเป็นเชิงเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนที่ให้หลวงปู่มาอยู่ใกล้ๆกับท่านว่า

"เมื่อคืนนี้ไม่รู้ว่าหมาที่ไหน มาเลียน้ำแจ๊ะๆอยู่ข้างกุฏิหนอ..."

คำพูดของท่านพระอาจารย์มั่น ทำเอาหลวงปู่ยิ่งเคารพเลื่อมใสศรัทธาในท่านพระอาจารย์ใหญ่อย่างมาก


ปรารภถึงหลวงตามหาบัว

ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน และ หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร ท่านทั้งสองต่างมีความสนิทสนมกันมากตั้งแต่เป็นเด็กจวบจนได้เข้ามาบวชใต้ร่ม เงาแห่งผ้ากาสาวพัตร์ ทั้งยังเป็นญาติสนิทกันทางฝ่ายมารดา โดยที่ท่านพระอาจารย์มหาบัว มีอายุมากกว่าหลวงปู่ ๑ ปี ครั้งหนึ่งท่านเคยปรารภ ถึงท่านพระอาจารย์มหาบัว ในสมัยที่ร่วมจำพรรษากับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ(นาใน) ให้ลูกศิษย์ฟังอย่างอารมณ์ดีว่า

"...หลวงตาบัวเพิ่นมักเลี้ยงหมา แต่กี้นี่อยู่บ้านหนองผือนำหลวงปู่มั่น ยามมีหมาชาวบ้านหลงมา เฮากับเพิ่นก็พากันแลนลัดไว้ เฮาลัดทางหนึ่ง เพิ่นลัดทางหนึ่ง..."
(...หลวงตาบัวท่านชอบเลี้ยงหมา แต่ก่อนนี้อยู่บ้านหนองผือกับหลวงปู่มั่น เวลามีหมาชาวบ้านหลงมา เรากับท่านก็พากันวิ่งดักไว้ เราดักทางหนึ่ง ท่านดักทางหนึ่ง...)

และในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ภายหลังที่ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านละสังขาร หลวงปู่ก็ได้ร่วมจำพรรษากับท่านพระอาจารย์มหาบัว ที่ป่าช้าแห่งหนึ่งในเขตอำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร (ในปัจจุบัน)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 73 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron