วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 12:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.....ความจริงที่เปรียบการตายแล้วเกิด คล้ายกับหลับตาแม้ลืมตานั้นก็ยังช้าไป....
....ถ้าเป็นผู้ที่พร้อมจริงๆ จะไม่น่ากลัวเลย... จุติจิต เพราะว่าทันที ที่จุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตก็เกิดต่อทันที...เมื่อยังไม่หมดกิเลส ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ต้องเกิดอีกแน่นอน จะกลัวตายไหม..?
เพราะเมื่อ จุติจิตเกิดแล้วดับไป ปฏิสนธิจิตก็เกิดต่อทันที...จะเสียดายภพนี้ไหม..?ชาตินี้ไหม..?
ซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ที่ยังอยากจะอยู่ต่อไปอีกหรือไม่...ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อ ขันธ์ เกิดขึ้นปรากฏ ที่จะไม่ยินดี พอใจ ยึดมั่นในขันธ์นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้....

....ข้อความตอนหนึ่งใน...แด่ผู้มีทุกข์ โดย อาจรย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2010, 13:40
โพสต์: 38

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นมัสการพระคุณท่าน เรากำลังสื่อสารกันทางวิญญาณไม่เห็นรูปกายสังขาร ขอบคุณที่เกิดเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข ตัวกระผมเป็นเพียงคนเดินดินกินข้างแกงตดดังอุจจาระเหม็นเหมือนท่านหาใช่เทวดาในจินตนาการไม่ ยังคงเสพทุกข์สุขครบถ้วน มีการเสื่อมถอยของร่างกายเป็นธรรมดา เคยรู้รสชาติของความมีและความไม่มี สุขและทุกข์ ทุกครั้งที่ผ่านพบไม่เคยลืมแต่นำมาพิจารณา ไตร่ตรอง จดจำ เรียนรู้ เปรียบเทียบ ไม่เคยละทิ้งลืมเลือน เพราะทุกวันเวลาที่วิญญาณนี้ได้ใช้ร่างกายสังขารนี้ ที่พาเราดำเนินไปท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเวลาที่นับถอยหลังสำหรับชีวิตของเรา มันมีค่ามากเพราะเราไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร ตามอายุขัย หรือก่อนวัยอันควร อาจพรุ่งนี้หรืออีก30ปีข้างหน้า สภาวะวิญญาณก็คือสภาวะไร้ตัวตน แต่ได้มาอาศัยร่างกายที่มีอุปกรณ์ที่จะสามารถเสพสิ่งทั้ง5 วิญญาณที่อยู่ในร่างที่ตาบอดเขาจะไม่เห็นความสวยงามของยามอัสดง ร่างที่หูหนวกย่อมไม่สามารถได้ยินเสียงดนตรีอันไพเราะที่จะกล่อมวิญญาณให้แช่มชื่น ร่างที่มีลิ้นพิการ ย่อมไม่สามารถชื่นชมกับรสเปรี้ยวหวานมันเค็มของพริกมะนาว แต่วิญญาณที่ได้ร่างมาครบ32ทำไมยังพิไลรำพันแต่ความทุกข์ไม่อยากเกิดไม่อยากมี วิญญาณที่ได้ร่างกายขาดบกพร่องในรูป เวทนาสัญาสัญญาสังขารมันทุกข์หรือสุข ลองไปถามคนพิการดู เขาทุกข์น้อยหรือมากกว่าเรา เรื่องเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นเพียงสภาวะหนึ่งที่ขันธืทั้ง5จะได้ประสพจะได้เข้าไปท่องเที่ยวในส่วนนั้น ยกเว้นตายแต่ยังหนุ่มสาว จะได้ท่องเที่ยวในโลกของความชรา เสียโอกาสได้เที่ยวไม่ครบทุกสภาวะ ขอบอกวิญญาณที่จะได้รับโอกาสได้จุติลงมาในร่างกายมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นร่างที่สมบรูณ์ด้วยสติปัญญา เป็นร่างกายที่สามารถควบคุมสัตว์ทั้งโลก ไม่ว่าตัวเล็กใหญ่จับมากินจับมาใช้งาน และการสร้างโลก สัตว์ พืช สร้างอย่างมีแบบแผน ละเอียดอ่อน มีระบบเป็นขั้นตอน มีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ได้เกิดมาจากสัตว์เซลเดียวหรือมาจากลิงอย่างที่เรียนวิทยาศาตร์กันมา คำตอบที่นักวิทยาศาตร์หรือพุทธตอบไม่ได้ก็จะใช้คำว่า โดยความบังเอิญ,ธรรมชาติ, วิวัฒนาการ หรือในทางศาสนาฝั่งคริตสอิสลามก็จะบอกว่าเกิดจาก อาดามกับอีวา มนุษย์สองคนผสมพันธุ์กันแล้วมีลูกหลานเป็นคนทั้งโลก หรือถ้าเลยไปถึงยุคก่อนอียิปกรีกโรมันก็เชื่อว่าเทพเป็นผู้สร้างโลกมนุษย์สัตว์เหมือนฮินดูในอินเดีย ก็สุดแล้วแต่ใครจะเชื่อด้านไหน เป็นเรื่องที่ผู้คนค้นหาใครคือผู้สร้างจักรวาล สร้างโลก สร้างมนุษย์ สัตว์ เพื่อให้วิญญาณเร่ร่อนมีโอกาสได้ลงมาสัมผัสความสวยงาม รสชาด กลิ่นหอม สัมผัส สุขทุกข์อย่างที่จิตวิญญาณไม่เคยประสพมาก่อน เมื่อได้ประสพแล้วก็จงบอกต่อวิญญาณในร่างอื่นๆ อย่ามัวแต่เก็บเกี่ยวกอบโกยสุขอยู่คนเดียว แบ่งปันสุขให้ผู้อื่นด้วย และอย่าลืมขอบคุณทุกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทุกข์ก็ดีสุขก็ดีเป็นเพียงกิจกรรมที่ร่างกายจะได้สัมผัสแล้วก็ผ่านไป เมื่อหมดเวลาก็ต้องทิ้งทุกอย่างเหลือวิญญาณที่ต้องเร่ร่อนไปหาที่ลงใหม่ แล้วถ้าเกิดมาไม่เพียงไม่สำนึกขอบคุณผู้สร้างโลกและกำหนดควบคุมการลงมาจุติของวิญญาณ แถมยังต่อต้านไม่พอใจที่ได้เกิด ครั้งหน้าท่านอาจไม่มีคิวเกิดเป็นคน อาจเป็นหนอนหรือแมลงอายุสั้น หรือช้างม้าวัวควาย ส่วนคนที่รู้และเข้าใจรู้จักขอบคุณพอใจในสถานะของตน หมั่นสร้างความดี จิตขอบคุณพระผู้สร้าง คราวหน้าอาจไปเกิดในที่ดีกว่านี้ อาจจะเป็นโลกไหนสักแห่งที่อยู่อีกกาแลกซี่ก็ได้ อาจจะสุขมากกว่าทุกข์ เรื่องสุขทุกข์เป็นของคู่กัน ไม่มีสุขก็ไม่มีทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็คือวิญญาณเร่ร่อนเอาไหม วิญญาณคือพลังงานที่ต้องท่องเที่ยวไป ส่วนผู้สร้างคือใคร วิญญาณเจ้าของร่างนั้นต้องค้นหาเอง ไม่ใช่พระเจ้าของคริตสอิสลามหรือเทพในอียิปโรมันฮินดู แต่เป็นพระเจ้าของทุกวิญญาณ ไม่ใช่พระเจ้าของศาสนาใดๆ พระเจ้าของใคร แต่เป็นพระเจ้าสถิตในจิตวิญญาณและปัญญาของคุณเอง...หากมีใครบอกคุณว่า มาซิมาทางของเราเจ้าจะได้ไปสวรรค์ จงถามเขาไปว่า ท่านเคยไปมาแล้วหรือจึงมาชวนให้ไปตามท่าน เขาก็จะด่าคุณว่า มีอัตตามิจฉาทิฐิ ก็ช่างเขา เพราะเวลาคืนร่างก็ต่างคนต่างไปไม่มีใครไปส่งใครที่ไหนได้ ต่างไปตามเส้นทางของตน..
อย่าเป็นลาให้ใครมาหลอกขี่หลังโดยใช้นรกสวรรค์เป็นตัวล่อ
ความคิดนอกกรอบทำให้กาลิเลโอพบว่าโลกกลม แต่ถูกศาสนาจักรลงความเห็นว่าเป็นพ่อมด.ให้เอาไปเผาทั้งเป็น มนุษย์หลายสมัยต้องเอาชีวิตโง่ๆไปเป็นเหยื่อสังเวยให้คนในลัทธิศาสนา...
คนของศาสนาไหนที่สอนให้เป็นคนดีมีปัญญา ผู้สอนศาสนานั้นดี
คนศาสนาไหนที่สอนให้คนโง่งมงายกลายเป็นเหยื่อ ผู้สอนศาสนานั้นเลว..

แนบไฟล์:
bb11731a0a140e1a4132e885c570a421.jpg
bb11731a0a140e1a4132e885c570a421.jpg [ 54.84 KiB | เปิดดู 3002 ครั้ง ]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ภิกษุ แปลว่า ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 23:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าบรรพชาอุปสมบทเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2552 ณพัทสีมาวัดอรัญญิกาวาส อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เมื่อเวลา 09.50 น. เหตุดลบันดาลใจที่ให้บวชเพราะความทุกข์บีบคั้นจิตใจและเห็นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องที่น่ากลัวไม่น่ายินดีอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าได้ฉายาว่า ปะสันโน หลังจากบวชแล้ว ข้าพเจ้าได้ตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัดกับข้อวัตรปฏิบัติต่างๆตามรอยครูบาอาจารย์โดยหวังเพื่อจะพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง และมีความปรารถนาจะต้องรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้าภายในชาตินี้ให้ได้ แม้ตัวตายก็ขอยอมเอาร่างกายชีวิตจิตใจเป็นเดิมพันไม่เสียดายอาลัยอาวรณ์กับสิ่งใดๆทั้งสิ้น ข้อปฏิบัติคือฉันอาหารมื้อเดียวเป็นวัตร ทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็นเป็นวัตร เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเป็นวัตรบทบริกรรมภาวนาครั้งแรกข้าพเจ้าใช้คำภาวนาคือพุทโธ ตามรอยครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยพร่ำสอนมาแต่ใหนแต่ไรภาวนาเรื่อยไปทำให้จิตใจสงบบ้างไม่สงบบ้าง บางทีทำให้จิตใจฟุ้งซ่านจิตใจไปอยู่กับสิ่งภายนอกหมด บางครั้งก็ทำให้ข้าพเจ้าหงุดหงิดรำคราญใจกับตนเองคิดว่าทางนี้ไม่น่าเป็นผลเสียแล้ว น่าจะมีวิธีหรือทางอื่นที่จะทำให้จิตใจสงบเร็วกว่านี้และไวกว่านี้อย่างน้อยก็ตัดความฟุ้งซ่านภายในจิตใจก็ยังดี ข้าพเจ้าคิดไม่ออกไม่รู้จะหาทางออกให้กับตนเองอย่างไรดี จนกระทั่งมีวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รู้จักท่าน พระอาจารย์สุธีร์ คุณธีโร ท่านได้แนะนำให้ข้าพเจ้ารู้วิธีการปฏิบัติจิตภาวนาทางสายใหม่ก็คือมหาสติปัฏฐานสี่นั่นเองที่ให้ผลเร็วกว่าและตรงกว่า โดยท่านบอกว่าต้องปฏิบัติจิตด้วยความจริงใจมีความพียรทุกอิริยาบทใช้สติปัญญากำหนดรู้จิตให้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทใดจะยืน,เดิน,นั่ง,นอน,เหลียวซ้ายแลขวา,การขบการฉัน,การถ่ายหนัก,ถ่ายเบา,ก็ให้มีสติระลึกรู้อยู่กับผู้รู้ก็คือจิตนี่เอง การปฏิบัติทางจิตได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ท่านพระอาจารย์สุธีร์ท่านได้แนะนำให้รู้จักผู้รู้คือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับ สิ่งถูกรู้คือสิ่งที่เกิด-ดับ แต่ท่านพระอาจารย์สุธีร์ ให้มีสติรู้อยู่กับผู้รู้คือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับ ข้าพเจ้าเจริญสติรู้อยู่กับผู้รู้คือรู้ที่ไม่เกิดไม่ดับได้ประมาณสองอาทิตย์กว่าๆ คืนวันที่ข้าพเจ้าได้ความสว่างกระจ่างแจ้งประจักรแก่จิตใจก็มาถึงในคืนวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลาประมาณตีสองกว่าๆ มีความรู้สึกว่าตัวเองมีผู้รู้คอยเป็นภาระให้ต้องดูแลรักษาอยู่ตลอดเวลา รู้สึกอึดอัดรำคราญจิตใจ ทันใดนั้น ข้าพเจ้าไม่ลังเลใจที่จะตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายที่เด็ดเดี่ยวอาจหาญเข้าทำการประหัตประหารกับตัวกิเลสอันมีอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ความยึดมั่นถือมั่นในตน โดยมีตัวมหาสติมหาปัญญาเข้าคลี่คลายสถานะการณ์ทะลุทะลวงอย่างเด็ดเดี่ยวอาจหาญเจาะเข้าไปที่อายตนะ๖และขันธ์๕ ได้ความว่า เหตุทุกอย่างเกิดขึ้นที่จิตดับลงที่จิต เท่านั้นยังไม่พอตัวมหาสติ,มหาปัญญาไม่ไว้วางใจเข้าทะลุทะลวงสติปัฏฐาน๔ คือกาย,เวทนา,จิต,ธรรม, อย่างอาจหาญแกล้วกล้าไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้นจนคลี่คลายสถานการณ์ทุกอย่างจึงสงบ ฝ่ายกิเลสศิโรราบหั่นแหลกแตกกระจายหายซากไปจากจิตใจโดยสิ้นเชิงอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ได้สูญสลายหายสิ้นไปจากจิตใจไม่มีเหลือเรียกว่า กิเลสดับไปจากจิตใจแบบไม่มีเชื้อเหลือ เพราะกิเลสไม่สามารถทนทานต่อธรรมมาวุธคืออาวุธอันทันสมัยได้แก่มหาสติ,มหาปัญญา, ซึ่งเป็นอาวุธที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้กับนักรบผู้กล้าตายในสมรภูมิรบ เพื่อรบกับข้าศึกคือกิเลสและหมู่มาร กิเลสทั้งหลายเมื่อถูกทำลายด้วยตปะธรรมคือธรรมของพระพุทธเจ้า การงานทางด้านจิตภาวนาเพื่อที่ถอดถอนกิเลสประเภทต่างๆได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เสร็จภารกิจของนักรบผู้กล้าที่ได้ชื่อได้นามว่า สากยะบุตรพุทธชิโนรสอย่างแท้จริง ไม่มีการเสกสรรปั้นแต่งแต่อย่างใดแต่เป็นความจริงล้วนๆ ผู้ที่สนใจต้องการปฏิบัติจิตให้ถึงความพ้นทุกข์สามารถปฏิบัติกันได้ด้วยกันทุกคน ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะใดๆทั้งสิ้นเพราะกิเลสมีอยู่ที่จิตที่ใจด้วยกันทุกคนการปฏิบัติก็ปฏิบัติที่จิตที่ใจนั่นเอง ขอให้มีความตั้งใจจริงกับธรรมของพระพุทธเจ้า และจะเห็นพุทธะที่แท้จริงซึ่งพระองค์ทรงตรัสไว้ว่า โยธัมมัง ปัสสะติ โสมัง ปัสสะติ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ได้ความสรุปว่าเหตุทุกอย่างกิดขึ้นที่จิตดับลงที่จิต จิตไปยึดมั่นถือมั่นว่ากายเป็นเราเป็นของๆเรา ความเกิด,ความแก่,ความเจ็บ,ความตาย,เขาก็เป็นของเขามาแต่ไหนแต่ไร ทุกอย่างเข้าสู่สถานะการณ์ปรกติ กายก็สักแต่ว่ากาย,เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา,จิตก็สักแต่ว่าจิต,ธรรมก็สักแต่ว่าธรรม,ทุกอย่างเป็นอยู่แล้วตามปรกติไม่มีใครเป็นเจ้าของไม่ขัดไม่แย้งกัน ดังน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบอนไม่ซึมซาบเข้าหากันฉันนั้น ไม่มีเราไม่มีเขา สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มีในจิตในใจอีกต่อไป ทุกอย่างได้ประจักรแจ้งแก่จิตแก่ใจข้าพเจ้าตอนนี้เอง อวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ได้สูญสลายหายซากไปจากจิตใจโดยสิ้นเชิง จบแล้ว พอแล้ว เห็นความจริงชัดเจนแจ่มแจ้งกับจิตใจ พระพุทธเจ้าได้ปรากฏตรงนี้เองหมดความสงสัยเรื่องภพเรื่องชาติเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดโดยประการทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่างเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน รู้สักแต่ว่ารู้ รู้แจ้งสักแต่ว่ารู้แจ้ง ไม่มีได้ไม่มีเสีย ไม่มีที่มาและไม่มีที่ไป ได้ธรรมบทหนึ่งว่า สัพเพ สังขารา อะนิจจา สัพเพธัมมา อะนัตตา และได้รวมลงสู่ไตรลักษณ์คือ อะนิจจัง,ทุกขัง,อะนัตตา,และจิตก็ได้กลายมาเป็นจิตดวงใหม่ที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะไม่มีอุปปาทานนั่นเอง ข้าพเจ้าไม่อาจกลั้นปิติไว้ในจิตในใจได้ มันได้ทะลักไหลล้นเป็นสายธารน้ำตาให้กับความโง่เหง่าเต่าตุ่นของตนเองและสัตว์โลกทั้งหลายที่พากันหลงเวียนเกิดเวียนตายหาที่สิ้นสุดยุติลงไม่ได้เกินที่จะพรรณนาอธิบายอย่างไม่อายต่อหน้าฟ้าดิน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียวที่จิตที่ใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง บุญคุณพระคุณของพระพุทธเจ้าเกินสุดที่จะพรรณนาเกินสุดที่จะเอื้อนเอ่ย พระคุณของบิดามารดาหาที่สุดจะเปรียบเปรยและยากที่จะทดแทนพระคุณได้และยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดหรือตัวหนังสือได้ ทุกสิ่งทุกอย่างยืนยันด้วยจิตด้วยใจตนเองเป็น สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติจิตภาวนาจะพึงรู้เองเห็นเองอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ปัจจัตตัง รู้เฉพราะผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติจริงเท่านั้น ส่วนผู้ที่ปฏิบัติจิตแบบปลอมๆก็เจอแต่ของปลอมที่กิเลสมันเสกสรรให้บรรลุธรรมก็บรรลุธรรมแบบปลอมๆ นิพพานก็นิพพานแบบปลอมๆ พ้นทุกข์ก็พ้นทุกข์แบบปลอมๆ แล้วก็พากันอวดอ้างว่าเป็นนิพพานของจริงเหมือนพวกมืดบอดด้วยปัญญาญาณเห็นกิเลสเป็นธรรม เห็นธรรมเป็นกิเลส เห็นตะกั่วเป็นทองคำทั้งแท่ง ส่วนผู้ที่ท่านแจ่มแจ้งรู้พระนิพพานด้วยใจแล้ว ท่านได้แต่สงสารและเวทนาแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ มันต้องขึ้นอยู่กับสัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของแต่ละคนด้วย ขอขอบพระคุณท่านพระอาจารย์สุธีร์ คุณธีโร พระมหาบัณฑิตของข้าพเจ้าที่คอยชี้แนะแนวทางให้กับนักรบผู้กล้าตายในสมรภูมิรบกับข้าศึกคือกิเลสและหมู่มาร ได้ทำการประหัตประหารจอมกษัตริย์วัฏฏะจักร อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน ได้สำเร็จลงได้เกินสุดที่จะบรรยาย พระคุณบุญคุณของครูบาอาจารย์ศิษย์ขอนอบน้อมด้วยจิตด้วยใจไว้หนือเกล้าด้วยชีวิตจิตใจ ที่ยากที่จะพรรณนาจนหาที่สุดไม่ได้ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ลาก่อนและลาขาดภพชาติภพภูมิ อันเป็นสถานที่เกิด,แก่,เจ็บ,ตาย,ของสัตว์โลกผู้มืดบอดทั้งหลาย ขีณาชาติ ความเกิดได้สิ้นสุดยุติลงในปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมนี้นี่เอง อะกุปปา เม วิมุตติ ความหลุดพ้นนี้ไม่มีกำเริ่บอีกแล้วตลอดอนันตกาล อะกาลิโก พระทองดี ปะสันโน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2010, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๑ . วิมุตติ ความหลุดพ้น
อุทเทส
๑.วิราคา วิมุจฺจติ . เพราะสิ้นกำหนัด ย่อมหลุดพ้น,
อนัตตลักขณสูตร,
๒. กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ.
จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะเนื่องด้วยกาม จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะเนื่องด้วยภพ จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะเนื่องด้วยอวิชชา.
มหาวิภงฺค วินย,

๓. วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ, เมื่อหลุดพ้นแล้ว ญาณว่าหลุดพ้นแล้ว ย่อมมี.

อตฺถิ ภิกขเว อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ. ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว

อันปัจจัยไม่ทำแล้ว ไม่แต่งแล้ว มีอยู่(หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน )
ปาฏลิคามิวคฺค อุทาน. พระสุธีร์ คุณธีโร
พระนิพพานอยู่ที่ใจ พระนิพพานอยู่ที่ใจ เห็นไหมเล่า ? ไม่มีว่างไม่มีเปล่า อยู่ทั้งนั้น
จะมีอะไรเป็นเรา ที่ไหนกัน ? ทุกสิ่งนั้นดับไป เหลือใจเอย
ชีวิตนี้ น้อยๆและสั้นๆ อย่าพากันปล่อยใจ เลยท่านเอ๋ย
มีสติรู้อยู่ที่ใจ ให้คุ้นเคย ต้องได้เชยชม พระนิพพานอยู่ที่ใจ
เป็นการอยู่กับผู้รู้ ละกิเลส จะมีเพศชั้นวรรณะ กันที่ไหน ?
ทุกขณะที่รู้ อยู่กับใจ จงหมั่นใช้ปัญญา รู้ของจริง
รู้ของจริงทิ้งของเท็จ ได้เด็ดเดี่ยว ไม่เกาะเกี่ยวแม้ความว่าง สว่างยิ่ง
รู้อะไรก็ไม่สู้ รู้ใจจริง ยิ่งรู้ยิ่งหลุดพ้น ไม่ต้องเบิกบาน
ความร้อนร้นหม่นไหม้ ไกลใจหมด พระนิพพานปรากฏ ก็ไม่ยึดเป็นแก่นสาร
มีสติรู้ให้ได้ ทุกอาการ จะพบพระนิพพานจริงๆ ที่ใจเอย !
พระนิพพาน
พระนิพพาน พ้นจากความมีและไม่มีให้คนเห็น
พระนิพพาน พ้นจากความเป็นและไม่เป็นเช่นสังขาร
พระนิพพาน พ้นจากความหมายและไม่หมายให้วิจารณ์
พระนิพพาน ไม่เกิด-ไม่ดับ คือจิตหรือรู้ล้วนๆที่บริสุทธิ์เอย !
พระสุธีร์ คุณธีโร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2010, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2010, 13:40
โพสต์: 38

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหมือนนิยายสงคราม เข่นฆ่าดุเดือดได้นิพพานทันใจ ช้าก่อนท่านผู้เจริญ พระธรรมของพุทธเป็นแนวทางเรียบง่าย ลุ่มลึก นุ่มนวลไม่รุนแรงเหมือนสงคราม ไม่ต้องฆ่าฟันกิเลสให้ตาย กิเลสตายไม่เป็น หมดสิ้นไม่ได้ กิเลสเป็นธรรมชาติที่เขียนโปรแกรมไว้ในหัวมนุษย์ ถ้าจะตัดกิเลสต้องตัดหัวเราออก ธรรมชาติเราห้ามไม่ได้เพราะมันเป็นไปของมันเช่นนั้น มันมีมาก่อนพระพุทธเจ้าเกิด พระพุทธเจ้าจึงให้เราเดินสายกลาง เรียนรู้ความเป็นไปของขันธ์5 รู้จักมันอยู่กับมันแล้วควบคุมมันให้ได้ เหมือนการฝึกม้าพยศ ยังไม่ทันเรียนรู้นิสัยใจคอโดดขี่ทันที สุดท้ายก็ตกม้าตาย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้หลบทุกข์ไปนิพพาน แต่สอนให้อยู่กับทุกข์สอนการควบคุมอย่างไรให้อยู่กับมันอย่างมีความสุขต่างหาก นิพพานไม่ใช่โลกหลังความตาย เป็นนิพพานบนโลกของความเป็น นิพพานคือการอยู่บนลมหายใจเข้าออกเกิดดับอย่างรู้แจ้งแทงตลอด เท่าทันความเป็นไปของธรรมชาติของสังขารและโลกที่อาศัยอยู่ แต่ยังกินยังนอนยังถ่ายเหมือนคนทั่วไป ยังรู้ร้อนหนาว แต่ไม่ทุกข์ใจเพราะจิตมันรู้จักความเป็นไปธรรมชาติที่มีอยู่จริง นั้นคือนิพพานในความหมายของพระพุทธเจ้า แต่ไปตีความว่านิพานคือการที่ไม่ต้องรับรู้สิ่งใด นั้นมันนิพพานที่ตายแล้วไม่มีประโยชน์อันใด นิพพานไม่ใช่ตั๋วการันตีว่าจะไม่มาเกิดอีก คนละเรื่อง พระธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่บะหมี่สำเร็จรูป แต่เป็นพระธรรมที่ต้องเรียนรู้กันชั่วชีวิตที่ยังมีลมหายใจเข้าออก ไม่มีจบสิ้นจนกว่าลมหายใจออกครั้งสุดท้าย และเราต้องอยู่กับธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าเคารพไปจนลมหายใจออกสุดท้ายเช่นกัน...มาซิมาเรียนรู้ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ด้วยกัน แล้วเราจะรู้ว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นคน...
แนบไฟล์:
pregnant-woman-sculpture.jpg
pregnant-woman-sculpture.jpg [ 62.72 KiB | เปิดดู 2940 ครั้ง ]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2010, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีค่ะ คุณpoorboy

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "การเกิดเป็นทุกข์โดยแท้" ถ้าคุณใช้ปัญญาในทางธรรมพิจารณาดูที่ "ตนเอง" ให้ดีจะเห็นได้ว่า เป็นจริงดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ทุกประการ....

แต่ก็ขอแสดงความดีใจกับคุณ ที่คุณยังไม่ได้รับความทุกข์อันใหญ่หลวง ที่จะทำให้คุณ คิดว่าไม่อยากจะเกิดมาเป็นมนุษย์อีก...ตราบใดที่คุณยังพึงพอใจในสิ่งที่คุณมี..ในสิ่งที่คุณเป็นอยู่...คุณจะมองไม่เห็น
อริยสัจสี่..หรือดังคำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "เมื่อใดเห็นธรรม เมื่อนั้นท่านเห็นเรา"..

..แต่จะขอแนะนำว่า ถ้าคุณยังอยากจะเกิดมาอยู่ในภพภูมิของมนุษย์อีก...ให้รักษาศีล 5 จนกว่าจะสิ้น
อายุขัย...เมื่อวิญญาณปฏิสนธิในภพใหม่ ...มีโอกาส กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก..ดังคำที่ครูบาอาจารย์ได้กล่าวไว้...


ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัตธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2010, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2010, 13:40
โพสต์: 38

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา ธรรมทานทุกคำตอบ จะขอยกขึ้นนำไปศึกษาเพื่อหาทางเดินของชีวิตต่อไป

อะไรที่ไม่รู้ที่สงสัย จะต้องค้นหาให้รู้ เสพติดรสชาดให้ปรากฏ ให้รู้ให้สิ้นสงสัย

เรียนวิธีละทิ้ง สิ่งที่ได้เสพติดมานั้น ได้รู้มานั้น ที่ติดใจอยู่นั้น

ด้วยพระธรรมพระกรรมฐานวิชชาของพระพุทธเจ้า สู่จุดหมายของพุทธองค์ต่อไป.


แก้ไขล่าสุดโดย poorboy เมื่อ 09 ต.ค. 2010, 11:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2010, 22:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระธรรมทำให้เราอยู่ในโลกที่มีแต่ความทุกข์ ได้อย่างมีความสุข พระนิพานคือความสุขที่แท้จริง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร