วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 16:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องบารมี ๑๐ นะค่ะ ถ้าสังเกตุจะเห็นว่า พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา
จะเห็นแค่ เมตตาบารมี กับ อุเบกขาบารมีเท่านั้น

เรียนถามว่าทำไม กรุณากับมุทิตา จึงไม่จัดเข้าเป็นบารมีที่ต้องบำเพ็ญค่ะ
ขอบพระคุณล่วงหน้าคะ สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 16:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 08:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มึนตึ๊บ :b10: ยากจังคะ :b9: :b32:
รออ่านความเห็นท่านผู้รู้ดีกว่า :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2010, 16:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แก้วกัลยา เขียน:
เรื่องบารมี ๑๐ นะค่ะ ถ้าสังเกตุจะเห็นว่า พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา
จะเห็นแค่ เมตตาบารมี กับ อุเบกขาบารมีเท่านั้น

เรียนถามว่าทำไม กรุณากับมุทิตา จึงไม่จัดเข้าเป็นบารมีที่ต้องบำเพ็ญค่ะ
ขอบพระคุณล่วงหน้าคะ สาธุ :b8:


สวัสดี จขกท. คุณแก้วกัลยา
หัวข้อกระทู้นี้ เกี่ยวข้องด้วย หัวข้อ ธรรม 3 กลุ่ม คือ

1.พุทธการกธรรม
2.พรหมวิหารธรรม 4
3.อัปปมัญญา 4
เป็นการจัดกลุ่มธรรมที่มีอรรถ เป็นหมวดต่างกัน ด้วยจุดประสงค์ต่างกัน

พุทธการกธรรม เป็นธรรมที่พระโพธิสัตว์ก่อนจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะต้องทรงบำเพ็ญ เพื่อการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณพร้อมด้วยสัพพัญญุตญาณ 10x3 =30ประการ หรือที่ได้มีการบันทึกไว้ว่า บารมี 30 ทัศ. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พรหมวิหารธรรม หรืออัปปมัญญา4 ในภายหลัง คือ เมตตาบารมี ซึ่งเป็นบุพพนิมิตของพรหมวิหารธรรม และอัปปมัญญา 4. ก็เป็นอันว่ากรุณา และอุเบกขาในพรหมวิหาร 4 และอัปปมัญญา 4 ซึ่งมีมาในภายหลัง ก็เป็นอันครอบคลุมอยู่ในข้อ เมตตาบารมีแล้ว.

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 17 มิ.ย. 2010, 16:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 07:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ก็เป็นอันว่ากรุณา และอุเบกขาในพรหมวิหาร 4 และอัปปมัญญา 4 ซึ่งมีมาในภายหลัง ก็เป็นอันครอบคลุมอยู่ในข้อ เมตตาบารมีแล้ว.
เจริญธรรม

สาธุคะ ขอบคุณนะคะ :b4: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พรหมวิหาร ๔ มีดังนี้

เมตตา = ความรัก ความมีไมตรีจิต
กรุณา = ความสงสาร อยากช่วยให้พ้นทุกข์ ความไม่เบียดเบียน
มุทิตา = ความยินดี ความไม่ริษยา
อุเบกขา = ความวางเฉยอย่างผู้รู้ ผู้มีปัญญา

เมตตา เป็นเหตุ กรุณาเป็นผล เมื่อเกิดเมตตา กรุณาก็เกิดขึ้น มุทิตาก็เกิดต่อเนื่องกันมา
เมตตานั้นต้องทำให้เกิด ทำให้มีขึ้น กล่าวคือต้องบำเพ็ญจึงจะเกิดในตน
เมื่อเกิดเมตตา ความกรุณาและมุทิตาก็ตามมา

เหตุนั้นใน บารมี ๑๐ จึงมีแค่ เมตตาบารมีกับอุเบกขาบารมี
ด้วยประการฉะนี้แล.. :b8:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b16:
...โดยปกติมนุษย์มีเมตตาต่อมนุษย์และสัตว์...มักจะสงสาร เห็นใจ รักและไม่ฆ่ากัน...
...เมื่อนำสัตว์มาเลี้ยงดูก็กรุณาให้อาหาร ดูแลเอาใจใส่ และเยียวยาพาหาหมอเมื่อเจ็บป่วย...
...และมีความรู้สึกยินดีพอใจที่ได้เอ็นดูสัตว์ที่ตนเองเลี้ยงให้รอดชีวิตเจริญเติบโตขึ้นมาได้...
...และมักจะวางเฉยไม่ได้เมื่อสัตว์เลี้ยงของตนถูกรังแกหรือถูกรถชนตายหรือหมดอายุตายลง...
...เหล่านี้เป็นสภาพที่มนุษย์สามัญทั่วไปเจริญในทางโลกและไม่รู้สภาพธรรมที่เป็นธรรมชาติ...
:b20:
...ถ้ากล่าวตามสภาวะธรรมแล้ว...ธรรมอยู่ในธรรมชาติของทุกสิ่งมีเกิด-ดับเป็นธรรมดา...
...เมตตาพรหมวิหารเป็นคุณธรรมขั้นสูงเรียกว่าพรหมวิหารธรรม 4 ประการที่เจ้าของกระทู้ถาม...
...ปุถุชนทั่วไปยังไม่รู้สภาพธรรมตามจริงเพราะปกปิดด้วยอวิชชาและกิเลสครอบงำ...
...ในทางธรรม...การมีสติในการทำกุศลกรรมจำเป็นต้องใช้เมตตาและอุเบกขานำ...
...เพราะหากไม่มีเมตตากับอุเบกขา...กรุณากับมุทิตาก็เกิดไม่ได้...ยกตัวอย่างเช่น...
...แค่เราเห็นหน้าคนที่ไม่ชอบใจ...เราก็ไม่พอใจ...เวลาเผชิญหน้ากันจะหน้าบึ้งตึงเขม่นกันใช่ป่าว...
:b27:
...หรือเวลามีคนมาชี้หน้าแล้วก็ด่าๆๆๆๆเรา...จะทนฟังโดยไม่ตอบโต้อะไรเลย...ได้ไหมคะ...
...ถ้าเราไปยืนชี้หน้าด่าตอบหรือไม่ก็ตบตีกันแล้วก็คิดโกรธแค้นอาฆาตจองเวรและต่างไม่ยอมกัน...
...ทุกข์(อกุศล)เกิดทั้ง2ฝ่าย...หรือเราโกรธเกลียดเขาและทำอะไรไม่ได้จึงทุกข์เพราะไม่รู้สภาวะ...
...ถ้าทนไม่ได้ก็แสดงว่ายังคิดให้ถูกตามธรรมไม่ได้เลยว่าเป็นแค่การเห็นและการได้ยินเกิด-ดับ...
...ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวเขา เป็นแต่ความคิดของแต่ละคนที่ไม่พิจารณาให้รู้ธรรมชาติที่เป็นอนัตตา...
...ถ้าทนได้แล้วก็กำหนดว่าเห็นหนอๆ ยินหนอๆ เกิดขึ้นแล้วดับไป ให้เมตตาแล้วก็วางเฉยเสีย...
...ความสงบในจิตใจเราก็จะเกิดขึ้น...จึงจำเป็นต้องเข้าใจธรรมจนคลี่คลายความหลงเข้าใจผิด...
:b12:
...เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมาทุกข์เท่ากัน...มีทุกข์ในโลก...และไม่มีทุกข์ในโลก...
...ทุกข์เพราะโลภ โกรธ หลง หลงในการเกิด แก่ เจ็บ ตายว่าเป็นของจริงซึ่งคิดผิด...
...ทุกอย่างที่มีคือภาวะจิตติดข้องคิดเหมือนๆกันของภพภูมิมนุษย์คือเห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของ...
...มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่คิดถูกเป็นคนแรกและทรงแสดงธรรมนั้นให้ทุกคนได้รู้ตาม...
...ว่าทุกสิ่งมีเกิด-ดับเป็นธรรมดา ไม่มีตัวตน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น มีทุกขัง อนิจจัง อนัตตา...
...ลองคิดไตร่ตรองดูว่ามีใครบ้าง...ไม่เห็นสำคัญว่านี้เรา นี้ของเรา นี้คนและสัตว์ที่เรารัก...
...เวลาที่ข่าวในหนังสือพิมพ์มีคนตายทำไมเราไม่ร้องไห้เสียใจ...ทำไม่พ่อแม่ตายจึงร้องไห้...
:b2:
...เพราะเราคิดวนเวียนใส่ใจอยู่ในภาพและสิ่งที่เกี่ยวข้องใกล้กับตัวเอง...แต่ไม่สนใจสิ่งอื่นที่ไกลตัว...
...เราจะรู้ไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เกิดเป็นธรรมชาติชีวิตที่จุติในภพนี้ ถ้าเราไม่ศึกษาธรรมะให้เข้าใจตามจริง...
...จุติจากภพเก่ามาเกิดแล้วในภพภูมิมนุษย์มีโอกาสได้เรียนรู้พระสัทธรรม...เรามารับกรรมอันเก่า...
...และพยายามสร้างกรรมอันใหม่สืบต่อไป และจะไม่สามารถหยุดยั้งกรรมได้หากยังไม่พิจารณาธรรม...
...เพราะธรรมคือธรรมชาติของทุกๆสิ่งที่เป็นอนัตตา...ไม่มีตัวตน...มีเกิดขึ้นและดับไปตลอดเวลา...
:b16:
:b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 18 มิ.ย. 2010, 12:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 13:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...ลองพิจารณาสภาพธรรม...
:b4: :b4:
กายกับจิตแยกส่วน?
http://www.dhammahome.com/front/videocl ... =pl&id=121
รูป+นาม=ธรรม=กาย(สภาพเย็นร้อนอ่อนแข็งเป็นรูปธรรมไม่มีธาตุรู้)+จิต(ธาตุรู้เป็นนามธรรม)
http://www.dhammahome.com/front/videocl ... =pl&id=122
:b12:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b8:
...การสะสมบารมีเกิดด้วยปัญญา...
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=123
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b20:
...อธิษฐานบารมี...
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=124
:b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b17:
...สัจจบารมี...
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=138
:b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b16:
...อุเบกขาบารมี...
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=139
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b27:
...ปัญญาเกิดจากสะสมความเข้าใจของตน...
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=140
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b27:
...ทัศนะชาวต่างชาติต่อธรรมในพระพุทธศาสนา...
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=141

http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=142

http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=143

:b35: :b35:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 18 มิ.ย. 2010, 13:47, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Ronsarin เขียน:
ในทางธรรม...การมีสติในการทำกุศลกรรมจำเป็นต้องใช้เมตตาและอุเบกขานำ...
...เพราะหากไม่มีเมตตากับอุเบกขา...กรุณากับมุทิตาก็เกิดไม่ได้..

สาธุคะ คุณ Rosarin :b8: ขอโมทนา

วิริยะ เขียน:
เมตตานั้นต้องทำให้เกิด ทำให้มีขึ้น กล่าวคือต้องบำเพ็ญจึงจะเกิดในตน
เมื่อเกิดเมตตา ความกรุณาและมุทิตาก็ตามมา

ขอบคุณนะค่ะ สาธุ :b8:

วิริยะ เขียน:
อุเบกขา = ความวางเฉยอย่างผู้รู้ ผู้มีปัญญา

ขอความรู้หน่อยนะคะว่า ลักษณะของอุเบกขา อย่างผู้รู้ ผู้มีปัญญา คืออย่างไรค่ะ
สาธุคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แหะ..แหะ..ถามมาก็ตอบไป ผิดถูกเป็นอีกเรื่องนะขอรับ :b32:

อุเบกขา = ความวางเฉยอย่างผู้รู้ ผู้มีปัญญา

การวางเฉยเพราะความรู้ เพราะปัญญานี้ เป็นเรื่องของการฝึกจิต
เป็นอาการของจิตที่ประกอบด้วยปัญญา เพ่งพินิจพิจารณา ต้องอาศัยการปฏิบัติ
อันเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ" การทำใจโดยแยบคาย คิดให้เห็นเหตุผล
เห็นสัจจะธรรมความจริง เมื่อประสบการกับโลกธรรมแปด ทั้งที่เป็นส่วนดีและส่วนที่ไม่ดี

เมื่อใด ตนเองหรือผู้อื่นสัตว์อื่น ประสบกับโลกธรรมส่วนไม่ดี ให้คิดพิจารณาถึงกรรมว่า
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีกรรมเป็นของ ๆ ตน เป็นทายาทรับผลกรรม ต้องโทษกรรม
โทษผลของกรรม เหตุของกรรมกับผลของกรรมนั้นย่อมเหมาะสมกัน

กรรมไม่มีเอียง ไม่มีอคติกับใคร ใครทำกรรมไว้อย่างไร ก็ต้องรับผลของกรรมอย่างนั้น
คิดได้อย่างนี้ จึงเรียกว่า อุเบกขา การวางเฉยอย่างผู้รู้ ผู้มีปัญญา

อุเบกขานี้ ที่พึงอบรมให้มีขึ้นในจิต วิธีอบรม คือ ระมัดระวังใจมิให้ขึ้นลง
ด้วยความยินดียินร้าย ทั้งในคราวประสบโลกธรรมฝ่ายดีและไม่ดี ก็ต้องพยามระงับใจ
หัดคิดถึงกรรมและผลของกรรมรับผิดชอบเอาไปเสีย อย่างนี้เป็นต้น

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมเอ้ยการอ่าน เป็นความเห็นเฉพาะตัวครับ แต่ไม่สงวนสิทธิ..
สาธุที่ถาม.. :b8:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร