ให้คุณลองสังเกตุดูเอาเองเลย
ว่าเทศน์ของท่านทั้งสองที่พูดถึงหลวงพ่อปราโมทย์
ว่าท่านเข้าใจคำว่าดูจิตอย่างไร

ท่านทั้งสองเข้าใจว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนให้ดูจิต
ที่เป็นจิตธาตุรู้ (รูป เจตสิก จิต นิิพาน) ใช่หรือไม่

จึงเป้นที่มาของประเด้นคัดค้าน ทำนองว่า
- ที่ว่าดูจิต...เอาอะไรไปดู
- จิตไม่เห็นง่ายๆหรอก
- นี่มันเป้นการตามเงาของจิต ไม่ใช่ดุที่จิต





สรุปว่า
ญาติโยมนี่แหละ ตัวการปัญหา
ที่เอาความเข้าใจผิดๆไปสอบถามท่าน

อย่างที่เคยบอก... คำว่า จิต ใช้กันในหลายกรณี จิตจะมีความหมายอย่างไร ก็ต้องดูที่บริบทว่า เขาพูดถึงเรื่องอะไร...

ถ้าพูดในระดับใหญ่ เช่น กายและจิต จิตก็คือทุกอย่างที่ไม่ใช่กาย ความคิด ความรู้สึกอะไรต่างๆ ก็เรียกว่า จิต
ถ้าพูดในเรื่องของขันธุ์ จิตในวิญญาณขันธุ์ ก็คือ รูปปรมัตถ์
ว่ากันในระดับอภิธรรม จิตก็คือจิต ไม่นับรวมสิ่งใด

การดูจิตที่ว่าๆ กันนั้น ก็คือ จิตในแง่ของกายและจิต เราเข้าใจว่า ถ้าจะพูดในละเอียดขึ้นก็คือ การดูสัญญาขันธุ์และเวทนาขันธุ์ ถ้าดูเก่งๆ ก็อาจเป็นการดูสังขารขันธุ์ (เจตสิก ใช่ป่ะ)

คิดมากกันจริง พวกปราชญ์ทั้งหลาย...

คนส่วนมากจะคิดอย่างนี้ ผมก็เคยคิดอย่างนี้ ทุกๆคนที่เคยดูจิตแบบสวนมาแล้วมารู้ความจริง
ทั้งเรื่องทางโลกและเรื่องทางธรรมก็เคยคิดแบบนี้ คิดว่าท่านต่างๆที่ออกมาเตือนเข้าใจผิด

แต่เมื่อเดินทางไปกราบท่านนั้นๆแล้วจะรู้ว่า ท่านไม่ได่้เข้าใจผิดเลย มีทั้งหนังสือทั้งcd ลองไปหาท่านต่างดูเอง
จะมั่วมานั่งเดากันทำไม

เพราะเราไปมาแล้ว

แวะมาเป็นคนกลางในการเปิดโต๊ะเจรจาครั้งนี้ครับ...หวังว่าจะหาข้อสรุปได้โดยปราศจากความรุนแรงนะครับ

เคยได้ยิน ลพ สงบ ท่านว่า

ไม่ยาก ผมจะพยาถอดมาทีละประเด็น ใจเย็นๆ
ขอเวลานิดนึง

ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็ดูเป็นปัญหาสำหรับหลายๆคนจริงๆ
ในส่วนตัวของผมนะ การที่พระท่านเทศน์ให้ฟัง มันก็เหมือนกับการแปลนวนิยายภาษาอังกฤษ 1 เรื่อง
ก็มีคนเอามาแปลแต่สำหรับพระท่าน ท่านก็เอาธรรมะนี่แหละมาแปล ซึ่งท่านที่แปลให้เราท่านทั้งหลายให้เข้าใจและเป็นแบบแผนสืบเนื่องกันมาก็คือ พระพุทธเจ้าเอง ทีนี้เมื่อแปลหนังสือมาเราก็เอามาอ่านปรากฏว่าอ่านออกบ้างไม่ออกบ้างนี่ก็เรียกว่าผิดได้อีก ก็คือ ผิดตรงคนแปลก็ได้หรือผิดตรงคนอ่านนี่ก็ได้
ดังนั้นวิถีทางเพียงแค่การฟัง ฟัง และฟังนั้นมันเป็นไปได้ยากที่จะทำให้เข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพานดังนั้นแล้ว เราพึงใช้การปฏิบัติเข้ามาช่วย คือปฏิบัติไป เรียนไป แบบนี้ถึงเรียกว่า เป็นคนที่เข้าถึงนิพพานได้เป็นและเร็ว พระพุทธองค์ก็เคยตรัสไว้ว่าอย่าเพิ่งเชื่อในคำสั่งสอนของท่านให้เราเห็นเองแล้วจึงถึงค่อยเชื่อ
ดังนั้นการที่ว่าพระท่านไหนจะผิด จะถูกมันก็สุดแล้วแต่ท่าน ธรรมนี้ไม่เคยแยกจาก 1 เป็น 2 ธรรมะนี้มีอย่างเดียว แต่มันขึ้นอยุ่กับคนแปลจะแปลอย่างไร ดังนั้นแล้วเราไม่ควรสำคัญเฉพาะการฟังธรรม
ถือเอาคำแปลมาเป็นแม่แบบ แต่เราควรจะเอาการปฏิบัตินี่แหละมาเป็นฐานสำหรับนิพพานเพราะปัญญาที่ได้จากการปฏิบัตินี้เป็นวิมุตติปัญญา คือ ปัญญาที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น
กระผมก็ขอฝากไว้แค่นี้ครับ ผิดพลาดประการใดกระผมต้องขออโหสิกรรมด้วยครับ ขอบคุณครับ

30671.หลวงพ่อทั้งสองเข้าใจผิด ว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนให้ดุจิตตรงๆ


เข้าใจผิด เข้าใจถูก เป็นจิตชนิดไหนกันนะ

ดีเลยครับ
ผมเรียกร้องเสมอว่าขอให้เอาที่ถอดเทปมาดูดีกว่าฟังผ่านคนสรุป

แต่คุณศรเจ้าของจดหมาย3 ฉบับ
บอกทำนองว่า หลวงพ่อไม่ประสงค์ให้ถอดเทป
เพื่อเป็นความประสงค์ของหลวงพ่อมนตรี ก็ควรเคารพตามนั้น

แต่ส่วนผม อยากจะขอไฟล์เสียงมาฟังเองส่วนตัวได้ไหมครับ

อ้าว แล้วที่คุณถอดเทป แล้วจะเอามาโพสต์ มันยังไงล่ะครับ
ผมงง ก็ในเมื่อถอดเทป กับฟังเทป ก็มีค่าเท่ากัน

ถอดเทปคือเอาทุกคำพูด มาแปลงเป้นหนังสือ
ตรงไหนท่านหยุด ก้ต้องวรรค แกะตามผู้พูดอย่างเข้มงวด
ไม่ใช่การสรุปจากเทป

นั่นหมายความว่า ขอไฟล์เสียง หรือขอไฟล์ถอดเทป ก็มีค่าเท่ากัน
ให้อันหนึ่ง ก็เหมือให้อีกอันหนึ่งอยู่ดีนะครับ

คืออย่างนี้นะครับ

หลวงพ่อมนตรีท่านห้ามแจกไฟล์ห้ามเผยแพร่ถอดความชนิดคำต่อครับ แต่ท่านอนุญาตให้สรุปความได้ครับ

ขั้นตอนของผมคือ ผมจะถอดอย่างละเอียดแล้วส่งไปให้คุณไกรศรซึ่งเป็นศิษย์ไกล้ชิดที่ท่านกล่าวในวันนั้นว่าไว้ใจที่สุดคนหนึ่งและภาวนาตามแนวทางของท่านมาเกือบ 10 ปีแล้ว เป็นผู้สรุปความโดยไม่ให้เสียใจความที่ท่านกล่าวไว้ และถ้าจุดไหนคุณไกรศรไม่แน่ใจก็จะกราบเรียนถึงท่านโดยตรงครับ แล้วส่งกลับมาให้ผมเมื่อตรวจทานแล้วครับ เพราะฉะนั้นเรื่องคลาดเคลื่อนไม่ต้องเป็นกังวลครับ

ผมอธิบายละเอียดขนาดนี้แล้วหวังว่าคงเข้าใจและหมดข้อสงสัยนะครับ

ผมไม่เข้าใจ

เรื่องสรุปความจากเทปนั้น เขาเผยแพร่กันมานานแล้ว
จนคนสงสัยจำนวนมาก หลวงพ่อมนตรีก็กรุณาเปิดวัดให้สอบถาม

หลวงพ่อก็ยินยันตามการสรุปของคุณไกรศร

แล้วทำไมคุณต้องถอดเทปอีก แล้วต้องสรุปกันใหม่อีก