วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 14:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่าคนที่จะฉุกคิดแบบคุณได้น่ะ มีน้อย
และไม่ค่อยมีใครทำแบบนี้ คนอาจจะมองว่าแปลก
แต่ผมถือว่าเป็นบุญของคุณที่มีความคิดในเรื่องเหล่านี้


ผมอยากจะแนะนำให้คุณศึกษาและฟังเทศน์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
ท่านมีทุกคำตอบที่คุณถาม
เพียงแต่ว่าต้องอดทนฟัง อย่ารีบเอาคำตอบ

ผมมองว่าคำถามคุณเหมือนภาพ jigzaw ที่ใหญ่มาก
ต้องค่อยๆเก็บเกี่ยวทีละนิด
บางทีความรู้มันก็ไม่เชื่อมโยงกันหรอก เหมือนต่อจิ๊กซอตอนขึ้นโครงน่ะ
ยังมองไม่ออกหรอกว่าอะไรเป้นอะไร

แต่ขอให้ตั้งใจไปเรื่อยๆ ไม่รีบแต่ไม่ทิ้ง
แล้วเดี๋ยวความรู้คุณจะประติดประต่อเองในที่สุด
ผมใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะรู้ว่าเกิดมาทำไม ทำไมต้องเกิด
เกิดมาแล้วอยู่เพื่ออะไร อยู่ไปทำไม จุดหมายปลายทางอยู่ตรงไหน
ทั้งหมดนี้ศาสนาพุทธให้คำตอบคุณได้

มีอะไรโพสต์ถามได้ครับ
ที่นี่มีกัลยาณมิตร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2009, 13:40
โพสต์: 26

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโอกาสพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกท่าน
ผมขอแนะให้อ่านหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งชื่อ "หนี้ศักดิ์สิทธิ์" ของท่านพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก อาจทำให้คุณได้มองเห็นอะไรในตัวคุณได้มากขึ้นครับ

.....................................................
นโม เม สพฺพอริยสํฆานํ
ขอผูกขาดจองขาดในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปทุกภพทุกชาติ
จนกว่าจะสิ้นภพสิ้นชาติ
ขอนอบน้อมนมัสการธรรม องค์หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ด้วยเศียรเกล้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิต คือ ความเป็นเองของมันอยู่เองแล้ว ที่มีพื้นฐานเดียวกันทั้งหมดเช่นเดียวกันกับสรรพสิ่ง สรรพธรรมโลกธาตุนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่รู้เห็น สัมผัสได้ ไม่ได้ คือ ทุกข์ขัง อนิจจัง อนัตตา
เราอยู่เพื่ออะไร ถ้าพูดไปอย่างนั้นนี้ก็จะมีความเห็นที่แตกต่างกันไป ร้อยคนก็ร้อยเรื่อง นานาจิตตังแล้วแต่ว่าใครจะงมในสิ่งใด หลงสิ่งไหนมาก ก็จะมาบอกว่าอยู่เพื่อสิ่งนั้น แต่หารู้ไม่ว่าสรรพสิ่ง หรือสิ่งนั้น มันก็แค่ปรากฏการณ์ ของภาวะธรรมชั่วคู่ชั่วคราว เรียกเสื่อมสลายในตัวมันเอง ไม่ได้อยู่เพื่อใครหรืออะไรนั้นเอง นอกจากเหล่าผู้ประเสริฐตั้งแต่อริยบุคคลขึ้นไป องค์พุทธะและพระโพธิสัตว์ การที่จะอยู่เพื่ออะไรของท่านทั้งหลายก็จะเป็นไปตามปณิธานแต่ละองค์แล้ว มีคำหนึ่งที่ว่า"แม่น้ำสาย น้อยใหญ่ย่อมไหลลงสู่ มหาสมุทร ฉันใด ความเป็นที่สุดของสรรพสัตว์ นั้นคือพระนิพพานฉันนั้น" จะว่าไปแล้วสิ่งที่ว่าเราอยู่เพื่อะไร ก็คือการมาทบทวน ความเป็นจริง สิ่งที่มีอยู่เอง การมาทำความเข้าใจ เข้าถึงความเป็นจริง ที่เรียกว่าสัจธรรม ที่จบเป็น ไม่ใช่แค่เวียนตาย เวียนเกิด ที่มีแต่ตามเวรตามกรรม ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ขอเชิญศึกษาธรรมบรรลุฉลับพลัน จบโลก จบธรรม จบกรรม การปฏิบัติ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จ.เลย ที่บอร์ดสนทนาทั่วไปขอรับ หรือ http://www.rombodhidharma.com/

ขอให้ท่านมีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
1.ชีวิตคืออะไร


คือการประชุมของเหตุ และ ผล ที่เลื่อนไหลไปไม่เคยหยุด
ชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือด้วยอำนาจบันดาลของพระเจ้าที่ไหนแต่เกิดจากเหตุปัจจัยมากมายประชุมกันเป็นไป เหมือนทุกสิ่งที่ต้องเกิดด้วยเหตุปัจจัยทั้งนั้น ไม่มีอะไรเกิดได้เอง หรือด้วยอำนาจเสกเป่า....
การทำเหตุที่เป็นบุญย่อมยังผลคือสุขมาให้ และเมื่อทำเหตุบาปไว้ผลคือทุกข์ที่ตามมา นี่คือกฏปรมัตถ์สัจจะที่เป็นจริงในธรรมชาติ ไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่กฏนี้ก็เป็นไปอยู่ ไม่ขึ้นกับความเชื่อของใครๆ..

อ้างคำพูด:
2.จริงๆ แล้วคนเรานั้นอยู่ไปเพื่ออะไร


เพื่อแก้ทุกข์ทั้งที่เป็นทุกข์ในปัจจุบัน ทุกข์ในโลกหน้าและการดับทุกข์ทั้งหมดจนไม่เหลืออีกเลยเป็นที่สุดครับ....วิธีการเพื่อการกำจัดทุกข์ขั้นสูงสุดมีเฉพาะในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์เท่านั้นครับ

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 14 ม.ค. 2010, 19:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามของผู้ใช้ชื่อว่า THAWIN ถามว่า
1.ชีวิตคืออะไร
2.จริงๆ แล้วคนเรานั้นอยู่ไปเพื่ออะไร

แล้วก็สาธยาย ว่าแต่ละบุคคล ก็ตอบกันไปตามความรู้ความเข้าใจของแต่ละบุคคล
แต่มีบุคคลหนึ่ง ที่คุณเขียนมั่ว แสดงว่าคุณเอามาเขียนอ้างว่าเป็นคำตอบของพระสงฆ์ แถมยังเขียนว่า เป็นคำตอบที่แน่นอนของพระสงฆ์ ว่า "6.ถามพระ แน่นอน พระอาจารย์หลายๆท่านตอบว่า ชีวิตคือความไม่เที่ยง วัฏสงสารนั้นเป็นไปตามบุญตามกรรม เป็นธรรมดาของโลก หาความแน่นอนไม่ได้ อย่าไปยึดติดกับสรรพสิ่งใดๆ เพราะทุกสิ่งล้วนอนิจจัง ความจริงก็คือการไม่มีความจริงใดๆ หรือหมายความว่าทุกสิ่งในโลกล้วนไม่ใช่ความจริงเป็นเพียงสิ่งมายา เมื่อสังขารนั้นดับสลายไปก็ไม่รู้ว่าเราจะไปยังที่แห่งใด"
ผิดนะขอรับ ไม่มีพระสงฆ์องค์ไหนตอบอย่างที่คุณเขียนมาดอกขอรับ
เพราะสิ่งที่คุณถามมาย่อมต้องมีบรรทัดฐาน คือต้องเป็นไปตามหลักความจริงว่า
ชีวิต คือ อะไร คุณไปเปิดพจนานุกรมดูนะว่า ชีวิต คืออะไร นั่นแหละ คือ ความหมายของคำว่า ชีวิต
เมื่อคุณรู้แล้วว่า ชีวิตคือ อะไร
คุณก็จะรู้ว่า จริงๆ แล้วคนเรานั้น อยู่เพื่ออะไร
ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะ เป็นไปตามหลักธรรมชาติ คุณลองเหลียวมอง ดูรอบตัวคุณซิว่า มีสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นนอกจากตัวคุณหรือไม่ แล้วคุณ ลองพิจารณาดูซิว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านั้น อยู่เพื่ออะไร คุณก็จะได้รับคำตอบ
สำหรับ ในทางศาสนาก็เช่นกัน คำตอบมีอยู่แล้ว ว่า คุณอยู่เพื่ออะไร ตอนที่ข้าพเจ้ายังไม่อธิบาย ให้คุณพิจารณา ด้วยตัวเอง
เพราะไม่มีใครคิดอย่างคุณดอกขอรับ คิดอย่างคุณมันเข้าข่าย โรคจิตประสาท คิดไปทำไม อยากรู้ไปทำไม อิ อิ อิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:02
โพสต์: 157

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามนี้เคยมีถาม ตอบกันมา หลายครั้งหลายหน และคิดว่าคงจะมีถามกันตลอดไป
ขอนำข้อความจากหนังสือสัมมาสิกขา(พิมพ์เมื่อ 2531)มาอ่านละกัน
.......................................................
เนื่องจากเกิด เป็นคนขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม? เกิดมาศึกษาเอาอะไร? หน้าที่สำคัญที่มีค่ายิ่งสุดคืออะไร? ไม่รู้ว่าชีวิตควรอุตสาหะพากเพียรสู้ทนเพื่ออะไร?

อะไรคือจุดยอดที่คนเกิดมาแล้วควรจะได้?

คำ ตอบจริงๆของคำถามที่ว่า “คนเกิดมาทำไม? นั้น คือ.... คนเกิดมาทำงาน พร้อมกับสร้าง “ความประเสริฐความดี” ให้สูงสุด ให้ได้จุดยอดที่สุดที่คนเกิดมาแล้วควรจะได้ คือ.....

. “ความดีความประเสริฐ”


แล้วทำไมคนจึงไม่ตั้งหน้าตั้งตาอุตสาหะทำเอา “ความดีความประเสริฐ” นั้นๆกันละ??
คนไม่ตั้งหน้าตั้งตาทำเอา เพราะหลงผิดใน “ความดีความประเสริฐ” อยู่(โมหะ)
เพราะเข้าใจยังไม่ได้ หรือเพราะ “รู้ไม่จริง-รู้อย่างไม่ยืนยันมั่นแท้” (อวิชชา)
ว่า... “ความดีความประเสริฐ” ของคนคืออะไร?
. ถ้างั้น “ความดีความประเสริฐ” ของคน คืออะไรกันแท้ที่สุด?

คือ แชมป์ในเกมส์อบายมุขอย่างไดอย่างหนึ่ง หรือต้องเป็นแชมป์ทุกอย่างหรือ?
คือ ความมีเงินทองทรัพย์ศฤงคารมหาศาลที่สุดกว่าใครๆหรือ?
คือ ความมียศศักดิ์ล้นฟ้ามหาสถานหรือ?
คือ ความมีอำนาจสามารถชี้นิ้ว หรือประกาศิตจนคนกลังเกรงได้ทั้งโลกหรือ?
คือ ความสรรเสริญเยินยอ จนปราศจากคำตำหนิติติงจากคนได้อย่างเด็ดขาดหรือ?
คือ การได้เสพโลกียสุขทุกชนิด เช่นเสพสมสุขจากทวาร ๕ และเสพสมสุขทางจิต ทวารทางภวังค์ ไม่ขาดตกบกพร่องเลย ตามที่อยากที่ต้องการตลอดชีวิตหรือ?
คือ ความเก่งในฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์เสกเป่าเนรมิต เหาะเหิน เดินน้ำได้อย่างวิเศษ เป็นต้น จนแปลกประหลาดมหัศจรรย์ น่าทึ่ง น่าฉงนของคนทั่วไปหรือ?
คือ สภาพมีความฉลาดเยี่ยมยอด สามารถรอบรู้ถ้วนทั่วในสรรพศาสตร์ สรรพวิชาการ สรรพสิ่งลึกลับในมหาจักรภพครบมหาจักรวาลนี้กระนั้นหรือ?


คำตอบที่ถูกต้องที่สุด คือ.....
เปล่าเลย หาใช่สิ่งที่กล่าวแล้วนั้นๆใดๆไม่เลย ! !
คนเลิกเด็ดขาด ไม่แตะต้องอบายมุขเด็ดขาด จนจิตหลุดพ้นอบายมุขได้จริงแท้ นั่นต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ”

คนผู้นำตนเข้ามาพิสูจน์เด่นชัดให้ได้แท้ด้วยตนเองว่า ไม่เป็นทาสเงินทรัพย์ศฤงคารเลยนั่นต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ”

คนผู้ไม่เป็นทาสยศศักดิ์ ไม่เห่อเหิม ไม่หลงใหล ไม่ลบหลู่ หรือไม่ติดดียึดดีในยศศักดิ์นั่นต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ”

คน ผู้ไม่หลงอำนาจ ไม่ข่มใครด้วยอำนาจ แม้จะมีอำนาจโดยสัจจะธรรมคุณงามความดีที่แท้ ก็ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่ช่างชี้ใช้ แต่กลับเป็นผู้มีเมตตาเกื้อกูล จนคนอื่นยินดีจะรับใช้เกรงใจ นอบน้อมเองด้วยยินดีนั่นต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ”

คน ผู้ไม่หลงในสรรเสริญเลย แม้จะมีคำตำหนิก็ยินดีรับฟังรับพิจารณาอย่างตั้งใจจริง ไม่อคติเข้าข้างตน รู้อนุโลมปฏิโลม นั่นต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ”

คนผู้ ลดละล้าง จนไม่มีโลกียสุขเลย ไม่หลงเสพสมสุขสมจากทวารทั้ง ๕ ไม่หลงเสพสมสุขสมทางจิตทวารหรือในภวังค์ เป็นผู้ใจพอในความสงบจากรสโลกียสุขทั้งปวงได้จริง(วูปสมสุข) ไม่อยากไม่ต้องการเสพโลกียสุขใดๆอีกเลย ทั้งในกามภพ ทั้งในภวังค์ (รูปภพ-อรูปภพ) นั่นต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ” ที่ยิ่งสูงยิ่งยอด

คนผู้ไม่หลงทึ่ง ไม่เห็นมหัศจรรย์ แปลกประหลาดในความเก่ง ฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์เสกเป่าเนรมิต เหาะเหิน เดินน้ำ ฯลฯ เป็นต้นและ ไม่ยินดีไม่สนใจจะส่งเสริมจะศึกษาในเดรฉานวิชาเหล่านี้ แถมแม้ตนเองจะเกิดจะได้จะเป็นจะมีความเก่งเหล่านี้ เพราะมันเป็นบารมีของตน ก็ไม่หลงยินดีไม่หลงแสดง จะเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยซ้ำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามภิกษุไ ม่ให้แสดงสิ่งเหล่านี้นั้นเป็นความถูกต้อง เป็นความเจริญ เป็นความเป็นอยู่ผาสุกของคนของสังคมอย่างแท้จริง คนผู้เป็นเช่นที่กล่าวมานี้ต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ”

คน ผู้ไม่หลงใหลในสรรพความรู้ สรรพศาสตร์ สรรพวิชาการ สรรพสิ่งลึกลับในมหาจักรภพครบมหาจักรวาลใดๆแต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ ไม่ได้ด้อยความรู้เหล่านั้น ไม่ได้ไร้ความสามารถฝีมือในสรรพศาสตร์ต่างๆเหล่านั้น ทว่ากลับรู้แจ้งในความจริงที่พอเหมาะพอควร สร้างสรรค์ขยันพากเพียรเสียสละให้แก่สังคมมนุษยชาติอยู่จริงๆ

ที่ สำคัญคือ รู้แจ้งสภาพที่เฉลียวฉลาดแต่ทว่าเอาเปรียบ(เฉโก) รู้แจ้งสภาพไม่หมดความเห็นแก่ตัว ที่มีอยู่ละเอียดสุขุมนักในตน (เฉโก) ว่าแตกต่างกับ ความเฉลียวฉลาดแต่ซื่อสัตย์เสียสละที่แท้ (ปัญญา) จนไม่เหลือเศษความเห็นแก่ตัว ซึ่งต้องมีแต่ความเมตตา ขวนขวายช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์แท้ (ปัญญา)

แล้วผู้ นั้นก็พากเพียรประพฤติอบรมตน จนได้เป็นคนเฉลียวฉลาดซื่อสัตย์เสียสละที่จริง หมดความเห็นแก่ตัวจริงจนได้ อย่างสะอาดหมดจดมั่นคงเที่ยงแท้ (นิยม, นิยต)มีสภาพนั้นเป็นความถาวรประจำตนอยู่ตราบชีวิตจะหาไม่

นั่นต่างหาก คือ คนผู้มี “ความดีความประเสริฐ” ที่สูงยิ่ง-ยิ่งสูง

.....................................................
มาตามหา เพื่อนร่วมทาง

ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด > > ต้องทำให้ได้ คือแก้ไขตนเอง > > ฝึกหยุด-ไม่หยุดฝึก >
ไม่มีเวลาสำหรับความชั่วบาปอีกแล้ว. ." ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ "
เราจะฝึกฝนตนเพื่อไปถึงจุดนั้นให้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 23:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
1.ชีวิตคืออะไร
2.จริงๆ แล้วคนเรานั้นอยู่ไปเพื่ออะไร


ปุถุชน..นะ..
ชีวิตคืออะไร?..
ตอนคุณป่วย..คุณกินยามั้ย?..แล้วทำไมคุณต้องกินยา?..ที่คุณต้องกินยานี้แหละ..ชีวิตของปุถุชนคือสิ่งนั้น

คนเรานั้นอยู่ไปเพื่ออะไร?..
ทุกวัน..คุณกินข้าวมั้ย?..แล้วทำไมคุณต้องกินข้าว?..ที่คุณต้องกินข้าวทุกวันนี้แหละ..ปุถุชนอยู่เพื่อสิ่งนั้น

ส่วน..เงินทอง..ยศฐาบรรดาศักดิ์..คำเชิดชูยกย่องสรรเสริญ..ล้วนอยากได้มาเพื่อสิ่งท้ายสุดคือ..ชีวิต

สำหรับ..อริยะชนเป็นคนจริง..ชีวิตคืออะไร..อยู่เพื่ออะไร..ล้วนเป็นความรู้สึกที่ต่างจากปุถุชน..อย่างสิ้นเชิง..ครับ

แนะนำคนจริง..ครับ..หลวงตามหาบัว..หลวงปู่ชา..หลวงปู่สุวัจน์..หลวงพ่อฤาษีลิงดำ..หลวงพ่อสด..เป็นต้น..ลองหาอ่าน..หรือ..ฟัง..ธรรมจากท่าน ๆ ดูนะครับ

ส่วนคนที่ยังไม่จริง...แนะนำว่า..อย่าไปฟัง..ครับ..ปวดหัวไปเปล่า ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 23:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในความเห็นของจุฬาภินันท์

ชีวต คืด จิตที่เข้ามาในร่างของอะไรก็แล้วแต่ เพราะจิตเป็นชีวิต

แต่ถ้าเป็นในเชิงสังคม ชีวิต คือการเกิดมาเพื่อกระทำค่ะ กระทำแบบไหน อย่างไ อันนี้แล้วแต่กรรมและทัศนคติที่เกิดจากการเรียนรู้ค่ะ

ทางธรรม คนเราอยู่เพื่อใช้กรรมค่ะ ทำความดีเพื่อสร้างบุญ ละความชั่ว ฯลฯ สรุปว่า ดำเนินตามมรรคแปดน่ะค่ะ

ในทางโลก - มรรคแปด ตีความดีๆ รวบรวมทั้งหมดของการใช้ชีวิตที่ดีไว้หมดแล้วค่ะ
๑. รู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักเหตุ รู้จักผล
๒. คิดให้ดีจากการรู้จัก ข้อ ๑ ค่ะ
๓. พูดจาให้ดีจากการรู้จัก ข้อ ๑ ค่ะ
๔. ทำสิ่งที่ดีจากการรู้จักข้อ ๑ ค่ะ
๕. หาเลี้ยงชีพให้ดีตามทางที่่สุจริต และใช้อิทธิบาท ๔ เป็นหลักค่ะ
๖. มีความเพียรในการทำทุกอย่างตั้งแต่ข้อ ๑ ถึง ๕ ค่ะ
๗. มีสติในทุกๆการกระทำ โอวาทปาติโมก์ มีสติ ทำดี ละชั่ว ทำใจให้เบิกบาน ในทางโลก หมายถึง ความมีทัศนคติที่ดีค่ะ มีกำลังใจที่เข้มแข็งค่ะ
๘. สร้างให้ตนกลายเป็นคนดีเพราะการกระทำตาม ๑ ถึง ๗ ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:54
โพสต์: 163

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ อยู่เพื่อทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2010, 12:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 20:58
โพสต์: 4

แนวปฏิบัติ: อานาปา
งานอดิเรก: ฟังเพลง
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


"ความอยากรู้ที่จะค้นหา ความลี้ลับของชีวิต เมื่อคำถามที่ง่ายที่สุด ...ไม่สามารถ.ตอบได้.."
ทำไมเรามาอยู่ที่นี้ วิญญาณคือ อะไร ทำไมเราต้องฝัน
บางทีอาจจะดีกว่าถ้าเราไม่สนใจ ไม่ต้องค้นหา ไม่ต้องขวนขวาย
ไม่มีเหตุผลว่าทำไมเรามาอยู่ที่นี้
บทที่ 1 จุดกำหนิด "
เอามาจากหนังที่ชอบ 55. เอามาบางส่วน
ผมก็กำลังหาคำตอบอยู่เหมื่อนกัน..
......................................................................................................
ขอแสดงความคิดส่วนตัวของ กระผมนะครับ ณ ตอนนี้..

ชีวิตคืออะไร .. ชีวิตเกิดมา มันยังไม่ตาย ก็ต้องดิ้นกับมันไปครับ ตามแบบธรรมชาติ ธรรมดาของมัน..ณ เวลาช่วงนั้นๆ ชีวิตมันเป็นธรรมชาติ เป็นปกติของมัน อยู่แล้ว มันคือความแน่นอนบนความไม่แน่นอน มันเกิดมาต้องตายแน่ๆ ไม่ต้องกลัวตายครับ .มัน ตายแน่นอน
เราแค่รักษาชีวิต และใช้มันทำสิ่งมีค่า ทำสิ่งทีมีประโยชน์มากที่สุด นั้นคือ.....
คนเราอยู่ไปเพื่อ อะไร.. ปกติ เพื่อความสุข หนีจากความทุกข์.. มากกว่าปกติเพื่อพัฒนา สติปัญญาให้สูงสุดกับ พัฒนาจิตให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจด ครับ..ในที่สุดก็ต้องเข้าสู่ดินแดนพิเศษ คือ.....ครับ.

แน่นอนครับมันมากกว่านี้ ขอแสดงคห.แค่นี้ ล่ะกันครับ ขอบคุณครับ.


แก้ไขล่าสุดโดย etordinary00 เมื่อ 19 ม.ค. 2010, 12:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2010, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 20:21
โพสต์: 52

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: ขอแนะนำให้นั่งกรรมฐานค่ะ
เพราะกรรมฐานจะทำให้เรารู้คำตอบของเราเอง
เราไม่ต้องตามหาคำตอบจากใคร
แต่ก่อนก็คิดว่า กรรมฐานเป็นเรื่องไกลตัว
คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ไป เพราะสถานที่ปฏิบัติใกลบ้าน
แต่วันหนึ่งก็ได้มีโอกาสไป ซึ่งรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก
พอได้ปฏิบัติแล้ว ก็รู้ว่าทุกคนทำได้ค่ะ :b48:

.....................................................
ธรรมะคือความจริงของชีวิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2010, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
คำถามของคุณTHAWIN
1.ชีวิตคืออะไร
2.จริงๆ แล้วคนเรานั้นอยู่ไปเพื่ออะไร

...ชีวิตก็คือความเกิดของตัวเราเพื่อมาเรียนรู้สภาวะต่างๆทั้งทางโลกและทางธรรม...
...การแสวงหาทางโลกเพื่อรักษาร่างกายให้ดำรงชีพอยู่และเอาตัวรอดในสังคมได้...
...มีอาชีพการงานเพื่อหาเลี้ยงร่างกายไม่ให้ลำบาก...ดูแลรักษาให้ปลอดภัยจากอันตราย...

...ส่วนการแสวงหาทางธรรมก็เพื่อรักษาจิตใจของเราไม่ให้เกิดความยุ่งยากลำบากเดือดร้อน...
...ดูแลรักษาจิตใจให้ทุกข์น้อยที่สุด...ลดการสร้างอกุศลกรรมจากกิเลสที่มีในจิตใจของเราเอง...
...มนุษย์ทุกคนป่วยทางใจคือมีความทุกข์ทางจิตใจทั้งสิ้น...แต่ทำไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย...

...แม้ในครั้งพุทธกาลหมอชีวก...เชี่ยวชาญรักษาโรคทางกาย...ขนาดรักษาโรคให้พระพุทธเจ้าได้...
...แต่ก็ยังได้รับการรักษาโรคทางใจจากพระพุทธเจ้า...ดังนั้นศาสนาพุทธจึงรักษาทุกข์จากกิเลสในใจ...
...ศาสนาพุทธเน้นให้เชื่อตามเหตุและผลของการกระทำของตนเอง...ไม่ใช่อแบบไม่มีเหตุผล...

...แก่นแท้ของศาสนาพุทธจึงมุ่งเน้นการดำรงชีพด้วยทางสายกลางคือไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น...
...หลักโอวาทปาติโมกข์...มีแค่ 3 อย่างคือ...ละชั่ว...ทำดี...ทำจิตใจให้ผ่องใส...จิตคือความคิด...
...ต้องฝึกจิตให้ควบคุมความคิดในทางที่เป็นกุศล...การคิดในทางอกุศลจะทำให้เกิดทุกข์ทางใจ...

...ภาวะที่ไม่คิดในทางอกุศล...มีอยู่ในจิตใจของพระอริยบุคคล...คือท่านไม่มีทุกข์เดือดร้อนทางใจ...
...ถึงแม้ร่างกายของท่านจะเดือดร้อน...แต่จิตใจท่านไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน...เพราะจิตใจท่านผ่องใส...
...ทางโลกเป็นไปเพื่อบำบัดความทุกข์ทางกาย...ทางธรรมเป็นไปเพื่อบำบัดความทุกข์ทางจิตใจ...

...บุคคลที่ต้องการดำรงชีพให้มีความสุข...จึงจำเป็นต้องหาทางดับทุกข์ทางใจด้วยการปฏิบัติธรรม...
...ให้ยึดแนวทางอริยสัจ4...อริยมรรค8...ใช้ปัญญาพิจารณาดับทุกข์ที่เกิดจากกิเลสในจิตใจตนเอง...
...โลภในทางธรรมคืออยากได้อยากมีอยากเป็นมากๆและไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็นมากๆ...

...ดังนั้นชีวิตจึงเกิดการดิ้นรนเพื่อการแสวงหาให้ได้มาด้วยการเบียดเบียนตนเองและเบียดเบียนผู้อื่น...
...คนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมมาหลายแห่ง...แต่ยังไม่สามารถดับทุกข์ในใจได้...ก็ขึ้นชื่อว่ายังไม่ถึงธรรม...
...การแก้ทุกข์ที่ใจทำได้ที่ควบคุมความคิด...ที่เป็นปัจจุบันธรรมไม่ให้ใจคิดอกุศลคือทำใจให้ผ่องใส...

...แนวทางมรรคคือเจริญกรรมฐาน 2 องค์ประกอบ...คือการเจริญสมาธิหรือฌาน(สมถกรรมฐาน)...
...เพื่อกำจัดความฟุ้งซ่านในจิตใจ...และการเจริญสติ(วิปัสสนากรรมฐาน)เพื่อให้เกิดปัญญาดับทุกข์...
...ที่เกิดจากจิตที่คิดในทางอกุศล...การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องก็คือการหยุดความคิดที่เป็นอกุศลนั่นเอง...

...สิ่งที่ข้าพเจ้าเสนอความคิดไปทุกคนต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง...ด้วยการปฏิบัติธรรม...ต้องลองทำ...
...ถ้าทำให้ความคิดแต่ในทางกุศล...แล้วละชั่ว...ทำดี...จิตก็จะดี...นำมาซึ่งการมีจิตใจผ่องใส...
...พระอรหันต์คือผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนมีความคิดที่มีแต่ใจเป็นกุศล...คิดดี...พูดดี...ทำดี...จิตผ่องใส...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 01:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 29

สิ่งที่ชื่นชอบ: ท่าน ว.วชิรเมธี
ชื่อเล่น: หมวย
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue ชีวิตคือวันนี้ ที่เราต้องลงมือทำความดี เพื่อจะได้รู้ว่า ชีวิตคืออะไรและคนเราอยู่ไปเพื่ออะไร การที่เราไม่รู้ ก็ไม่แปลก เราสามารถลองปฎิบัติเพื่อให้ได้รู้ ขอให้ลงมือทำค่ะ tongue


100คนคิด
10คนทำ
1คนสำเร็จ


อยากรู้คำตอบก็ต้องลองทำเพื่อให้ได้คำตอบ

.....................................................
ขอบุญจากธรรมทานนี้จงถึงแก่นายเวรและผู้ปกปักรักษาดูแลช่วยเหลือข้าพเจ้าและครอบครัว ที่มาถึงตัวทุกภพภูมิ ขอบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน หากไม่ถึงเพียงใดให้ขอให้คำว่าไม่มี ไม่รู้ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้ปรากฏแก่ข้าพเจ้า ขอให้เกิดในภพภูมิ เขต ประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอย่างมั่นคง และได้ศึกษาพระธรรมได้อย่างเข้าใจถ่องแท้ ลึกซึ้ง ตลอดจนกว่าจะเข้าพระนิพพานด้วยเทอญ.

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ต้องลงมือทำ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 02:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ในนี้มีคำตอบค่ะ :b4:
ขอให้ค้นพบคำตอบ และคุณค่าของชีวิตในเร็ววัน...นะคะ :b12:


:b8: ชีวิตนี้...สำคัญนัก :
พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

http://www.dhammasukho.net/description2 ... ortant.pdf


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 21 ม.ค. 2010, 02:24, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยอดแห่งความสุข โดยท่านพุทธทาสภิกขุ

ก่อนนี้เคยมีลมหายใจอยู่ด้วยความอยากในสิ่งที่ตนชอบ
เดี๋ยวนี้มีลมหายใจอยู่ด้วยความเป็นอิสระ ไม่มีสิ่งที่ตนอยาก
สิ่งที่ตนเคยอยากกลับกลายเป็นสิ่งที่จะได้มาหรือไม่ได้ก็เท่ากัน
เป็นหรือตายเท่ากัน ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรตาย
มีแต่สิ่งที่หมุนกลิ้งไปตามเรื่องของมันด้วยกันทั้งนั้น
ก่อนนี้เคยเสพ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
เพราะความกำหนัดรัก เดี๋ยวนี้เสพแต่บางสิ่งบางอย่าง
เพียงเพื่อให้ร่างกายตั้งอยู่ได้ หรือตามธรรมชาติของชีวิต
ก่อนนี้มีชีวิตอยู่ เพื่อดูดดื่มสิ่งที่ตนอยาก เดี๋ยวนี้อยู่ไปพลาง
ดูดดื่มรสแห่งสันติสุขอันเยือกเย็นไปพลาง จนกว่าจะถึงกาลอวสานของวัตถุธาตุ
ที่ประชุมมั่วสุมกันขึ้นเป็นร่างกายนี้เท่านั้น

"อัตตา" อ่อนกำลังลงไปเท่าใด ฏแปลว่า ฉลาดขึ้นเท่านั้น ความเห็นแก่ตนถ่ายเดียว ก็น้อยลงไปเท่านั้น ความหลงใหลมัวเมาก็เบาบางลงไปเท่านั้น ซึ่งกล่าวในที่สุดก็คือ ความทุกข์จะเบาบางลงเท่านั้นนั่นเอง เมื่อใด "อัตตา" หมดไป "อนัตตา" ก็เกิดขึ้นแทน ซึ่งแปลว่า วิชชา หรือแสงสว่างเกิดขึ้นถึงที่สุด ก็หมดทุกข์โดยประการทั้งปวง เนื่องจากเป็นผู้เห็นคำตอบอย่างแจ่มแจ้งของปัญหาชีวิต ทุกข้อทุกกระทง

คนเราคืออะไร?......
เกิดมาทำไม?.......
ชีวิตคืออะไร?......
จะครองชีวิต หรือทำในใจต่อโลกนี้อย่างไร? ...........
เพราะความเห็นแจ้งชัดด้วยปัญญา
แล้วการครองชีวิตที่เคยรู้สึกว่าเป็นของหนักมืดมน ก็กลายเป็นเบาสบาย

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ
สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ.............. tongue


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 147 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร