วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 02:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับ ขออนุญาติครับ

สรุปลงท้าย ความเห็นผิดว่าเป็น อัตตา ตัวกู ของกู เป็นต้นเหตุที่แท้จริงของทุกข์ทั้งปวง เป็นสมุทัย

ดังนั้นความเห็นถูกต้องว่าเป็น อนัตตา จึงเป็นการแก้สมุทัยโดยตรง

ขอคำอธิบายด้วยครับ อนัตตา จึงเป็นการแก้สมุทัยโดยตรง
ขอบคุณครับ

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2010, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




IMG0232A.jpg
IMG0232A.jpg [ 60.45 KiB | เปิดดู 3754 ครั้ง ]
tongue
อ้างคำพูด:
คุณผงธุลีดิน เขียน
ครับ ขออนุญาติครับ

สรุปลงท้าย ความเห็นผิดว่าเป็น อัตตา ตัวกู ของกู เป็นต้นเหตุที่แท้จริงของทุกข์ทั้งปวง เป็นสมุทัย

ดังนั้นความเห็นถูกต้องว่าเป็น อนัตตา จึงเป็นการแก้สมุทัยโดยตรง

ขอคำอธิบายด้วยครับ อนัตตา จึงเป็นการแก้สมุทัยโดยตรง
ขอบคุณครับ


อนัตตาธรรม เขียน

สาธุ อนุโมทนากับคุณผงธุลีดิน

ในอริยสัจ 4 พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สมุทัย คือ ตัณหา

ในอนัตตลักขณะสูตร พระพุทธองค์ ทรงกล่าวถึงเรื่อง อัตตา และ อนัตตา


ในประสบการณ์จริงของครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติจริง ได้พบว่า อัน ตัณหา ความอยาก นั้นมาจากไหน

ถ้าสาวหาเหตุผลมาตามวงปฏิจสมุปบาท จะพบว่า เวทนา ปัจัยยา ตัณหา เวทนาเป็นเหตุให้เกิด ตัณหา
แล้วเวทนามาจากไหนล่ะ ก็สาวค้นขึ้นไปตามลำดับจนถึงต้นเง่า คือ อวิชชา ความมืดบอดไม่รู้

อัตตา อุปาทาน ความเห็นผิดตัวนี้ อยู่ตรง อวิชชานี่เอง

อวิชชา = ไม่รู้ เพราะไม่รู้ จึงเห็นผิด (มิจฉาทิฐิ) เพราะเห็นผิด จึงเห็นเป็น อัตตา ตัวตน เห็นเป็น นิจจัง เห็นเป็น สุขัง

เมื่อสัมมาทิฐิ ความเห็นถูกต้องเกิดขึ้นเต็มสมบูรณ์ ก็จะเห็นอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นและสรุปไว้ว่า
"สัพเพธัมมา อนัตตา" ธรรมทั้งหมดทัั้งปวงเป็น อนัตตา อัตตาความเห็นผิดก็ถูกแทนที่ หรือ ดับไป ตายไป หรือ หลบไป ทันที


ทำให้ง่ายและสั้นเข้า เวลามีความอยาก (ตัณหา)เกิดขึ้นมาในจิต ให้ตั้งคำถาม(สังกัปปะ)ขึ้นมาว่า

"ใครอยาก?"

คำตอบที่ง่ายและตรงๆก็คือ ฉันอยาก เราอยาก หรือ กูอยาก หรือ อัตตานั่นแหละอยาก

ถ้าปัญญาเอาชนะอัตตาได้ ไม่มีความเป็น กู อยู่ในจิต แล้ว ใครจะมาเป็นผู้อยาก ลองสังเกต พิจารณา ค้นคว้า พิสูจน์ดู จากความจริงทีเกิดขึ้นในจิตของตนเองแทบทุกการกระทบสัมผัส นะครับ เอวัง
:b27: :b27: :b27: :b8: :b8: :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 06:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




100_4292_resize.JPG
100_4292_resize.JPG [ 56.24 KiB | เปิดดู 3741 ครั้ง ]
tongue
ธรรมคุณข้อที่ 4 เอหิปัสสิโก

สำนวนนิยมแปลว่า "เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด"

ความหมาย ธรรมมะ ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้น เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด


ข้อวิจารณ์ คำแปลอย่างนี้เหมาะกับบุคคลผู้เคยเห็นธรรมมาแล้วอย่างเช่นจุลลโสดาบัน หรือโสดาบันบุคคลซึ่งจะสามารถชวนผู้อื่นมาดูธรรมได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

แต่คำแปลและความหมายของการแปลสำนวนใหม่แปลว่า

เอหิปัสสิโก = ธรรมมะ ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ดีแล้วนั้น เป็นสิ่งที่เรียกร้องให้เราเข้าไปดูอยู่เสมอ

ความหมาย ตัวธรรมมะ ที่เราอยากจะเห็นอยากจะรู้จัก อยากจะเข้าถึงนั้น เขามีอยู่ แสดงอยู่ในรูป นาม กาย ใจ ของเราทุกคน เขาจะมีธรรมชาติสำคัญคือ เรียกจิตผู้รู้ เรียกสติ ปัญญาของเราไปดู อยู่ตลอดเวลา ทุกท่านสามารถพิสูจน์ได้ทันที โดยให้ทดลองนั่งหรือยืนเฉยๆ ทำใจให้เฉยให้ได้สัก 1 นาที

ทุกท่านจะได้พบว่าสำหรับผู้ใหม่ แม้เพียงไม่ถึงครึ่งนาที ท่านก็จะเฉยอยู่ไม่ได้ ท่านจะถูก ผัสสะของทวารทั้ง 6 อย่างใดอย่างหนึ่ง มาดึงจิตของท่านให้ไปดู ไปรู้ ไปสนใจ

สิ่งที่มาดึงจิตท่านไปดู ไปรู้ ไปสนใจนั้นเรียกว่าธรรม ซึ่งจะกลายเป็นอารมณ์ อันไหนชัดที่สุด เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ณ ปัจจุบันขณะนั้น เรียกว่า "ปัจจุบันอารมณ์" ๆ นี่แหละคือ ธรรมมะ หรือสิ่งที่มาเรียกจิตเราไปดู ถ้าเรา ดู และสังเกต พิจารณาให้ดี เราจะได้พบความจริงว่า

ปัจจุบันอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาเรียกจิตเราไปดูนั้น เขาจะแสดงความเป็น ทุกขัง = ทนอยู่ไม่ได้ อนิจจัง = เปลี่ยนแปลงไป ไม่เที่ยง อนัตตา = บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีแก่นสาร ตัวตนเหลืออยู่ให้ยึดถือไว้เป้นหลักฐาน นอกจากความทรงจำ (สัญญา) หรือ อุปาทาน ความผูกยึดไว้

ดังนั้นถ้าผู้ใดเข้าใจคำว่าเอหิปัสสิโก หรือพบกับเอหิปัสสิโกธรรม คือธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า แล้วมี สติ ปัญญา รู้ทัน เฝ้าดู เฝ้าสังเกต พิจารณา นั่นคือการปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาโดยธรรมชาติ ทันที

ในทางกลับกัน หากผู้ใด ไม่เอาเอหิปัสสิโกธรรม เป็นองค์ธรรมเพื่อ ดู รู้ และสังเกต พิจารณา แต่ไปคิดกำหนด บงการ สั่งการ ว่าจะดูสิ่งนั้น สิ่งนี้ บริกรรมคำนั้น สวดท่องบ่นคาถานี้ อย่างนี้ มีการใส่เจตนา บัญญัติ กำหนดขึ้นมาอย่างนี้ งานเช่นนี้จะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า "สมถะภาวนา หรือสมถะกรรมฐาน" ทันที

ว่าโดยสรุป สิ่งใดที่เกิดขึ้นเอง เป็นเองโดยธรรมชาติ เฉพาะหน้า ณ ปัจจุบันขณะ เรียกว่า "เอหิปัสสิโกธรรม ใครสนใจเอาสติปัญญาเฝ้าดู เฝ้าสังเกตพิจารณา เรียกว่า "เจริญวิปัสสนาภาวนา"

สิ่งใดที่ถูกกำหนดขึ้น บัญญัติขึ้น มีเจตนากำหนดขึ้น ถ้าเอาสติปัญญาไปจดจ่อ จับยึดไว้ จะเรียกว่า
"สมถะภาวนา"

ความเข้าใจคำแปลของ "เอหิปัสสิโก อย่างถูกต้องตามธรรม จึงเป็นเครื่องชี้วัด ความเป็น สมถะ หรือวิปัสสนา ได้ทันที

smiley :b8: :b8: :b8: :b27: :b27: :b27: :b12: :b12: :b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2010, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 15:23
โพสต์: 12

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนศีลให้ได๋ศีลเรียนธรรมให้ได๋ธรรมอย่าเอากรรมใส่โตโมโหนี้สิพาโตตกต่ำ ให้เจ่าคิดจังคอยสาแล้วดอกจังจา แน่จังยิ่งเด้อจริงจังว่า ส่องเห็นตับ เห็นไต่ เห็นใส่ เห็นพุง แล้วจึงไขจึงบ่เสียวันิยตัว หน่อพุทธโธทองเพินสอนไว้ เอาให้รู้ในหีดของมนุษย์ เอาให้สุดคลองธรรมยอดครูสอนไว้
เหตุพระสงฆ์องค์ฆะเจ้าให้เรียนไว้ดอกใส่ใจ ไล่มาตีตั่งแต่ ร.ศ. พ.ศ. บ่ทันตั้ง องค์พุทธโธบ่ทันแต่ง เพินตกแต่งแบ่งไว้เป็นศีลแก้วดอกหน่วยสาม งามด้วยจิตด้วยใจ พระสูทพระวินัย หรือว่าสัมมานะสูตรพูดได๋ตามกกยกให้ได๋ตามเค้า เว้าให้ได๋ตามสอบ ประสิทธิ์พระพร บวอนวิเศษ สูงเกษแก้ว แปดหมื่นสี่พันธรรมขันธุ์

.....................................................
ลีลาสติให้ตั่งมั่น ขันติให้ตั่งเที่ยง ขะแล้วขะพักผ่อนย่อนที่ใจ อันวินัยของสงฆ์พระองค์เจ่า
ให้นำกุมทางทุกคนอันนี้ เพินว่าถือไม้เท้าบุลังเฮาจังได๋อ่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2010, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุเด้อคุณพ่อคุณแม่ เขียน:
เรียนศีลให้ได๋ศีลเรียนธรรมให้ได๋ธรรมอย่าเอากรรมใส่โตโมโหนี้สิพาโตตกต่ำ ให้เจ่าคิดจังคอยสาแล้วดอกจังจา แน่จังยิ่งเด้อจริงจังว่า ส่องเห็นตับ เห็นไต่ เห็นใส่ เห็นพุง แล้วจึงไขจึงบ่เสียวันิยตัว หน่อพุทธโธทองเพินสอนไว้ เอาให้รู้ในหีดของมนุษย์ เอาให้สุดคลองธรรมยอดครูสอนไว้
เหตุพระสงฆ์องค์ฆะเจ้าให้เรียนไว้ดอกใส่ใจ ไล่มาตีตั่งแต่ ร.ศ. พ.ศ. บ่ทันตั้ง องค์พุทธโธบ่ทันแต่ง เพินตกแต่งแบ่งไว้เป็นศีลแก้วดอกหน่วยสาม งามด้วยจิตด้วยใจ พระสูทพระวินัย หรือว่าสัมมานะสูตรพูดได๋ตามกกยกให้ได๋ตามเค้า เว้าให้ได๋ตามสอบ ประสิทธิ์พระพร บวอนวิเศษ สูงเกษแก้ว แปดหมื่นสี่พันธรรมขันธุ์


:b12: อิ อิ จริง ๆ ข้าน้อยชอบ อ่านบทความของท่านมากเลย
อิ อิ อ่านแล้ว สะดุด ไปทุกท่อน :b5: เพราะเป็นภาษาไทยแบบเสียงในฟิล์ม
และบางคำข้าน้อย ต้องยอมรับว่า แปลไม่ออก :b15:
แต่ชอบค่ะ เพราะภาษาที่แปลก ทำให้การอ่าน ช้าลง
บางวรรค ข้าน้อยต้องอ่านทวนอยู่หลายรอบ :b17:

แต่บางคำ อย่างเช่น คิดจังคอยสา แล้ว ดอกจังจา
เอาให้รู้ในหีด ศีลแก้วดอกหน่วยสาม พูดได๋ตามกกยกให้ได๋ตามเค้า

อิ อิ แปลไม่ออกเจ้าค่ะ :b2: :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2010, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




idol17_800x600.jpg
idol17_800x600.jpg [ 86.43 KiB | เปิดดู 3712 ครั้ง ]
tongue
อนุโมทนาส่าธุกับคุณ สาธุเด้อคุณพ่อคุณแม่ และ คุณเอรากอน ที่นำข้อธรรม วิจารณ์ข้อธรรมในภาษาท้องถิ่นที่มีความหมายลึกซึ้งมาเล่าสู่กันฟัง พากันตีความให้แตก จับประเด็นกันให้ได้ นำไปปฏิบัติกาย ใจ มุ่งหน้าสู่ประตูนิพพานกันทุกท่าน ทุกคน นะครับ
:b1: :b1: :b1: :b12: :b12: :b12: :b16: :b16: :b16: :b8: :b8: :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2010, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อกาลิโก....กระผมพิจารณาได้ว่า เหนือกาลเวลา หรือ กาลเวลาไม่มีผลอะไรต่อธรรมของพระพุทธเจ้า
กล่าวคือ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ ไม่มีเสื่อม ไม่เป็นอนิจจัง

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2010, 03:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
อกาลิโก....กระผมพิจารณาได้ว่า เหนือกาลเวลา หรือ กาลเวลาไม่มีผลอะไรต่อธรรมของพระพุทธเจ้า
กล่าวคือ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ ไม่มีเสื่อม ไม่เป็นอนิจจัง


:b1: :b1: :b1:

กาลเวลา ไม่อาจ ทำให้ เปลี่ยนแปลงไป
เวลา ไม่ใช่ปัจจัย ที่ทำให้ เปลี่ยนแปลงไป

รูปแบบประโยค ประธาน + กิริยา + กรรม
พระธรรมสามารถตีความได้หลายระดับ
ในระดับเบื้องต้น คือ ตีความตามโครงสร้างประโยค และความหมายของศัพท์(บัญญัติ)

แต่วันหนึ่ง เอกอนกลับตีความ เป็นคำ
คือ ทัศนะเวลาในรูปของความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง ณ ขณะ ณ ขณะ ในลักษณะอิทัปปัจจยตา

และสภาวะ อกาลิโก ก็ :b1: :b1: ปรากฎอยู่ใน มโนทวาร :b1:

:b30: :b30: :b30: :b30:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 22 เม.ย. 2010, 03:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2010, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับสำหรับ คำตอบ ในข้อที่ถามว่า ขอคำอธิบายด้วยครับ อนัตตา จึงเป็นการแก้สมุทัยโดยตรง
ตอบได้ดีทีเดียว ครับ แล้วก้อเป็นอย่างที่ท่านว่ามา
ขอแสดงความเห็นนิดนึง ครับ :b16:

ต้องระวังนิดครับ อย่าเอา อนัตตา เป็นตัวตั้ง หรือ เป็นฐาน ในการละ แก้ สมุทัย
เกรงว่าผู้ปฎิบัติ จะหลง เข้าไปอยู่ในความว่าง ครับ

อนัตตา ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นได้ เพียงแต่มันมีอยู่กับ สภาวะธรรมทั้งหลาย เป็นปกติ
หรือ เป็นความจริงของ ธรรมทั้งปวง

ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วย กับที่ท่านว่า อนัตตา เป็นการแก้สมุทัย โดยตรง
ด้วยว่า การเห็น รู้ อนัตตา ต้องอาศัยธรรม สภาวะธรรม หรือแม้แต่ สมุทัย เอง ในการจะรู้
เพื่อเห็นถึงความจริง
การละ แก้ สมุทัย ยังตัดไม่ได้ด้วย อนัตตา ซึ่งยังเป็นปัญญา จากการพิจารณา สภาวะธรรมทั้งหลาย
เพื่อให้เห็นซึ่งความจริงของธรรมเท่านั้น

การละ แก้ สมุทัย ด้วยการรู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง ถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว สติ สัมปชัญญะ จะเป็นตัวตัดทำลาย ด้วยตัวมันเอง

สมุทัย เหตุแห่งการเกิดทุกข์ ตัณหา อุปาทาน กิเลส ซึ่งมันมีเองอยู่เป็นปกติ อยู่แล้ว
แต่ จิตนี้ไปเกาะเกี่ยว ยึดถึอ เอาไว้ เป็นที่อยู่ เป็นอีกรูปจิต หนึ่ง
จิตมีราคะ ให้รู้ว่า จิตมีราคะ เมื่อรู้ทัน จิตจะเพิกถอน ไม่มีการคิด นึกปรุงแต่งต่อ ให้เกิดพฤติกรรม
การกระทำ สืบเนื่อง
การรู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง เป็นอัน ละ สมุทัย


ครับ เป็นเพียงการแสดงความเห็นนะครับ ไม่ว่ากันน๊า :b20:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2010, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




4  2.jpg
4 2.jpg [ 103.56 KiB | เปิดดู 3641 ครั้ง ]
tongue
อ้างคำพูด:
ผงธุลีดิน เขียน
ต้องระวังนิดครับ อย่าเอา อนัตตา เป็นตัวตั้ง หรือ เป็นฐาน ในการละ แก้ สมุทัย
เกรงว่าผู้ปฎิบัติ จะหลง เข้าไปอยู่ในความว่าง ครับ


อนัตตา ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นได้ เพียงแต่มันมีอยู่กับ สภาวะธรรมทั้งหลาย เป็นปกติ
หรือ เป็นความจริงของ ธรรมทั้งปวง

ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วย กับที่ท่านว่า อนัตตา เป็นการแก้สมุทัย โดยตรง
ด้วยว่า การเห็น รู้ อนัตตา ต้องอาศัยธรรม สภาวะธรรม หรือแม้แต่ สมุทัย เอง ในการจะรู้
เพื่อเห็นถึงความจริง
การละ แก้ สมุทัย ยังตัดไม่ได้ด้วย อนัตตา ซึ่งยังเป็นปัญญา จากการพิจารณา สภาวะธรรมทั้งหลาย
เพื่อให้เห็นซึ่งความจริงของธรรมเท่านั้น


การ ละ แก้ สมุทัย ด้วยการรู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง ถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว สติ สัมปชัญญะ จะเป็นตัวตัดทำลาย ด้วยตัวมันเอง

สมุทัย เหตุแห่งการเกิดทุกข์ ตัณหา อุปาทาน กิเลส ซึ่งมันมีเองอยู่เป็นปกติ อยู่แล้ว
แต่ จิตนี้ไปเกาะเกี่ยว ยึดถึอ เอาไว้ เป็นที่อยู่ เป็นอีกรูปจิต หนึ่ง
จิตมีราคะ ให้รู้ว่า จิตมีราคะ เมื่อรู้ทัน จิตจะเพิกถอน ไม่มีการคิด นึกปรุงแต่งต่อ ให้เกิดพฤติกรรม
การกระทำ สืบเนื่อง
การรู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง เป็นอัน ละ สมุทัย

อนัตตาธรรม เขียน

อนุโมทนาในความแตกฉานในธรรมของคุณผงธุลีดินครับ

อนัตตา เป็นคู่ปรับของ อัตตา

เมื่อจิตรู้และยอมรับ อนัตตา แล้ว อนัตตาจะกลายเป็นเหมือนสะพานที่ทอดข้ามร่องน้ำ ให้จิตผู้รู้ได้เดินทางเข้าสู่พระนิพพาน


ผู้ที่แก้สมุทัยตัวจริงคือ อริยมรรคทั้ง 4

โสดาปัตติมรรค ทำลาย อัตตทิฐิ หรือ สักกายะทิฐิ ซึ่งเปรียบเหมือน กู ตัวพี่

สกิทาคามีมรรค ทำลายมานะทิฐิ อันเปรียบเหมือน กู ตัวน้อง แต่ไม่ตายทันที เปรียบไปเหมือน ตัดขาทั้งสองข้างของกูตัวน้อง คือ มานะทิฐิ

อนาคามีมรรค ทำลายมานะทิฐิ ให้เบาบางลงไปอีก เปรียบเหมือนการตัด มือและแขนทั้งสองข้างของ กู ตัวน้อง

อรหัตมรรค นี่คือดาบสุดท้าย จะตัดทำลาย มานะทิฐิ และสังโยชน์ที่เหลืออยู่อีก 4 อย่าง ดับขาด หมดสิ้น
เปรียบเหมือนการตัดคอ ของกู ตัวน้อง

ถึงตรงนี้ก็เป็นอันว่าเสร็จกิจอันพึงกระทำ หรือเสร็จงาน สิ้นสุดการเดินทางอันยาวนาน กลับถึงบ้านที่แท้จริง ได้พักผ่อนกันอย่างแท้จริงเสียที

หวังว่าคุณผงธุลีดินและทุกๆท่านคงจับประเด็น เฟ้นเอาแก่นและหัวกะทิได้นะครับ สาธุ
:b16: :b16: :b1: :b1: :b12: :b12: :b27: :b27: :b27: :b8: :b8: :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2010, 14:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอคุณครับ พี่ อนัตตาธรรม :b20:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2010, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




G1 หินลับมีดปัญญา 85kb.jpg
G1 หินลับมีดปัญญา 85kb.jpg [ 85.1 KiB | เปิดดู 3628 ครั้ง ]
tongue
ธรรมคุณข้อที่ 5 โอปนยิโก สำนวนนิยม แปล เป็นสิ่งที่ควรน้อมมาใส่ตัว
(ธรรมมะ ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนั้น เป็นสิ่งที่ควรน้อมมาใส่ตัว)

สำนวนแปลใหม่

โอปนยิโก ความเห็นธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ควรน้อมให้เกิดในตัวยิ่งๆขึ้นไป (เมื่อน้อมให้เกิดในตัวจนได้ที่สมควรแล้ว จะส่งให้ถึง มรรค ผล นิพพาน)

อธิบาย ความเห็นธรรม คือเห็น อนัตตา หรือ สันทิฐิโก นั้นเป็นสิ่งที่ควรน้อมให้เกิดในตัวยิ่งๆขึ้นไป
ใครก็ตามที่พอกพูนความเห็นอนัตตา ยอมรับอนัตตา ให้มากขึ้นๆทุกวัน เวลา นาที วินาที ในที่สุด อนัตตานั้นแหละจะเป็นชนวนให้ อนุโลมญาณ มรรคญาณ ผลญาณเกิดขึ้นโดยธรรม

อุปมาการ โอปนยิโกนั้น เปรียบเหมือนการเติมน้ำใสๆ (ความเห็นและยอมรับ อนัตตา) ลงไปในโอ่งใจที่มีน้ำมันเครื่องเก่าดำๆ (ความเห็นผิด เป็นอัตตา ตัวกู ของกู)ลอยปะปนอยู่ เมื่อเติมน้ำใสลงไปมากเข้า ๆ ในที่สุดน้ำใสก็จะเต็มโอ่ง ดันเอาน้ำมันเครื่องดำๆ ลอยขึ้นไปอยู่ที่ผิวหน้าของน้ำในโอ่ง

เมื่อน้ำเต็มโอ่งพอดีนั้นเปรียบได้กับ อนุโลมญาณ

เมื่อเติมน้ำใสๆลงไปอีกขันเดียว น้ำก็จะต้องล้นโองออกมา 1 ขันเช่นกัน

การล้นโอ่งของน้ำครั้งแรกย่อมจะผลักดันเอาน้ำมันเครื่องดำๆ ที่อยู่บนผิวโอ่งจำนวนมากไหลตกลงมาจากโอ่งเปรียบเทียบได้ว่า มรรคที่ 1 เกิด สักกายทิฐิ ถูกขับออกไปจากโอ่งใจ ไม่กลับคืนมาอีก

หากผู้เจริญโอปนยิโกยังไม่ละความเพียร เจริญสันทิฐิโกต่อไปอีก ได้น้ำใสอนัตตาขันที่ 2 เทลงไปในโอ่งที่น้ำเต็ม น้ำจะล้นโอ่งครั้งที่ 2 ฝ้าน้ำมันเครื่องดำๆ ที่ยังคงค้างอยู่ จะถูกขับตกลงมาอีก 1 ขัน เทียบได้กับ สกิทาคามีมรรค
smiley
เจริญความเพียรโอปนยิโกต่อไปอีก น้ำจะล้นโอ่งอีก 2 ครั้ง ฝ้าน้ำมันเครื่องดำๆ อันเปรียบเหมือน อัตตา มานะ ทิฐิ และสังโยชน์ทั้ง 10 นั้น ก็จะถูกขับออกมาจนหมดสิ้น ด้วยอำนาจแห่งโอปนยิโกธรรม ดังนี้

:b8: :b8: :b8: :b12: :b12: :b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2010, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




4.jpg
4.jpg [ 103.56 KiB | เปิดดู 3623 ครั้ง ]
tongue
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ แปลตามสำนวนนิยม เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน

ธรรมคุณข้อที่ 6 นี้ สำนวนใหม่ก็แปลว่า เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน

พราะ สัจจธรรม อนัตตาธรรม ความจริงต่างๆของธรรมชาตินั้น ต้องสัมผัสรู้ที่ใจของเจ้าของ ไม่สามารถอธิบายสัจจธรรมทั้งหลายด้วยคำพูดได้
:b27: :b27: :b27: :b12: :b12: :b8: :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




buddha2.gif
buddha2.gif [ 140.37 KiB | เปิดดู 3609 ครั้ง ]
tongue
เนื่องในโอกาสแห่งวิสาขะปุณมีกาล อันเป็นวารและโอกาสแห่งการบรรลุธรรม
ขอบรรดาเหล่าชาวพุทธทั้งปวงได้ตั้งใจกระทำปฏิบัติบูชาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จนเกิดดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงธรรม เข้าถึงมรรค ผล นิพพาน เนื่องในโอกาสอันวิเศษ (26 - 29 พค.53)นี้
ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เทอญ

smiley :b8: :b8: :b8: :b8:
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 61 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร