วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 19:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2009, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
ศิรัสพล : เขียน

อนุโมทนา และขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ Rosarin มากครับ

ได้อ่านประสบการณ์การปฏิบัติของคุณแล้ว ทำให้ได้รู้ว่ายังมีคนสภาวการดำเนินจิตที่เป็นสมาธิในลักษณะคล้ายๆ กันอยู่ครับ

คุณ Rosarin นี่ คงจะสำเร็จฌาน ๔ อย่างที่ตั้งใจไว้ในได้ไม่ช้าแน่ครับ เพราะมีครูอาจารย์คอยแนะนำ

ส่วนผมเองก็มีครูอาจารย์หลายท่าน ไปเรียนมาหลายที่ แต่เอาดีตามอาจารย์ยังไม่ได้เลยครับ ทุกวันนี้ก็ได้แต่ปฏิบัติตามแนวทาง-วิธีการที่ประยุกต์ขึ้นเอง จากสิ่งที่เรียนรู้จากพระไตรปิฏกและครูอาจารย์ต่างๆ มารวมกัน ซึ่งจะไปได้ก้าวหน้าแค่ไหนก็ยากจะรู้ (แต่ผมก็เลือกแล้วที่จะเดินทางนี้ คือ ปฏิบัติแบบไม่มีอาจารย์ใดๆ คอยให้คำแนะนำแบบจำเพาะเจาะจงโดยตรง)

สุดท้ายขอให้พยายามเข้านะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ

:b3:
...ขอบคุณที่ให้กำลังใจ...มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น...ได้ความรู้อันนั้นมามันอัศจรรย์ปลายปี 2549...
...ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติแบบไม่มีครูแต่โผล่พรวดรู้เองเหมือนกัน...ปี 2547เริ่มฟังเทศน์จากวิทยุเสียงธรรม...
...เพื่อประชาชนขององค์หลวงตามหาบัว...ท่านเทศน์สอนพระมีตั้งแต่ปี 2502...ฟังแล้วจิตมันสงบ...
...ก็ฟังมาเรื่อยๆ...ฟังจนติดเหมือนยาเสพติด...แล้วก็ได้ฟังท่านเทศน์สดๆทุกเช้า...กิเลสมันสะเทือน...
...ก็เริ่มไปกราบท่านที่วัด...นั่งอยู่ท้ายศาลา...ไม่ใคร่ได้เข้าไปใกล้ท่านหรอก...เทศน์ท่านโดนใจจังๆ

:b20:
...ฟังเทศน์มากๆในนั้นสอนนั่งสมาธิ...ก็หัดนั่งก็เฉพาะเวลาไปวัดเสาร์-อาทิตย์...ที่บ้านทำ5นาที...
...แต่ขยันฟังเทศน์ทุกวันเปิดจนสว่างทุกวัน...เวลานั่งสมาธิแล้วฟังเทศน์ไปด้วยรู้สึกว่านั่งได้นานขึ้น...
...ไม่เคยเข้าไปนั่งถามอะไรใกล้หลวงตาท่าน...แค่คิดท่านก็ตอบมาเลยนะ...คือไม่เคยคุยกับท่านเลย
...แปลกไหมล่ะเจ้าคะ...ข้าพเจ้าเข้าวัดบ้านตาดประจำมา5-6ปี ไม่เคยคุยกับหลวงตาแม้แต่ครั้งเดียว...
...ข้าพเจ้าไม่ถามหลวงตาเพราะไม่อยากออกทีวีดาวเทียม...เก็บไว้มา3ปีไม่เคยถามใครอีกเลย...

:b12:
...ก็เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาไปบวชชีพราหมณ์ที่วัด...เลยเรียนถามท่านเจ้าอาวาสวัดนั้น...เล่าให้ท่านฟัง
...ว่าข้าพเจ้านั่งสมาธิฟังเทศน์หลวงตามหาบัวสดๆที่ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาดแล้วมันเกิดอาการอย่างนี้
...ท่านเจ้าอาวาสก็เลยยืนยันให้ตามที่ข้าพเจ้าบอกนั่นแหละ...สมาธิหรือฌานมันเสื่อมได้ถ้าไม่ฝึกฝน...
...การได้รู้ของข้าพเจ้า...มันทำให้มีศรัทธามั่นคง...มีจิตใจตั้งมั่น...ยังรับมือกับกิเลสยังไม่ค่อยไหว...
...ข้าพเจ้าได้สมาธิมั่นคง...ปัจจุบันข้าพเจ้าเน้นทางวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้เกิดปัญญาฆ่ากิเลสอยู่...

:b13:
...ข้าพเจ้าได้หลักดำเนินชีวิตที่สุขและมีที่พึ่งอันประเสริฐ...พึ่งพระพุทธ...พระธรรม....พระสงฆ์...
...ยังไม่คิดไปถึงสำเร็จฌานสี่ การถอดจิตออกจากร่างได้หรือฌานสมาบัติอะไรทำนองนั้นหรอก...
...เพียงแต่เข้ามาให้ข้อมูลสนับสนุนท่านศิรัสพลว่าเชื่อได้ว่าไม่หลอกใคร...เพราะข้าพเจ้ามีพระสงฆ์...
...ที่ท่านปฏิบัติดี...ปฏิบัติชอบ...ขั้นพระอริยะ...ยืนยันในความรู้และงานทางธรรมของข้าพเจ้าแล้ว...
...เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ลงมือปฏิบัติทั้งหลายว่า...ใครปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าก็สามารถรู้ได้...

:b3: :b27: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2009, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
:b3:
...ขอบคุณที่ให้กำลังใจ...มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น...ได้ความรู้อันนั้นมามันอัศจรรย์ปลายปี 2549...
...ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติแบบไม่มีครูแต่โผล่พรวดรู้เองเหมือนกัน...ปี 2547เริ่มฟังเทศน์จากวิทยุเสียงธรรม...
...เพื่อประชาชนขององค์หลวงตามหาบัว...ท่านเทศน์สอนพระมีตั้งแต่ปี 2502...ฟังแล้วจิตมันสงบ...
...ก็ฟังมาเรื่อยๆ...ฟังจนติดเหมือนยาเสพติด...แล้วก็ได้ฟังท่านเทศน์สดๆทุกเช้า...กิเลสมันสะเทือน...
...ก็เริ่มไปกราบท่านที่วัด...นั่งอยู่ท้ายศาลา...ไม่ใคร่ได้เข้าไปใกล้ท่านหรอก...เทศน์ท่านโดนใจจังๆ

:b20:
...ฟังเทศน์มากๆในนั้นสอนนั่งสมาธิ...ก็หัดนั่งก็เฉพาะเวลาไปวัดเสาร์-อาทิตย์...ที่บ้านทำ5นาที...
...แต่ขยันฟังเทศน์ทุกวันเปิดจนสว่างทุกวัน...เวลานั่งสมาธิแล้วฟังเทศน์ไปด้วยรู้สึกว่านั่งได้นานขึ้น...
...ไม่เคยเข้าไปนั่งถามอะไรใกล้หลวงตาท่าน...แค่คิดท่านก็ตอบมาเลยนะ...คือไม่เคยคุยกับท่านเลย
...แปลกไหมล่ะเจ้าคะ...ข้าพเจ้าเข้าวัดบ้านตาดประจำมา5-6ปี ไม่เคยคุยกับหลวงตาแม้แต่ครั้งเดียว...
...ข้าพเจ้าไม่ถามหลวงตาเพราะไม่อยากออกทีวีดาวเทียม...เก็บไว้มา3ปีไม่เคยถามใครอีกเลย...

:b12:
...ก็เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาไปบวชชีพราหมณ์ที่วัด...เลยเรียนถามท่านเจ้าอาวาสวัดนั้น...เล่าให้ท่านฟัง
...ว่าข้าพเจ้านั่งสมาธิฟังเทศน์หลวงตามหาบัวสดๆที่ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาดแล้วมันเกิดอาการอย่างนี้
...ท่านเจ้าอาวาสก็เลยยืนยันให้ตามที่ข้าพเจ้าบอกนั่นแหละ...สมาธิหรือฌานมันเสื่อมได้ถ้าไม่ฝึกฝน...
...การได้รู้ของข้าพเจ้า...มันทำให้มีศรัทธามั่นคง...มีจิตใจตั้งมั่น...ยังรับมือกับกิเลสยังไม่ค่อยไหว...
...ข้าพเจ้าได้สมาธิมั่นคง...ปัจจุบันข้าพเจ้าเน้นทางวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้เกิดปัญญาฆ่ากิเลสอยู่...

:b13:
...ข้าพเจ้าได้หลักดำเนินชีวิตที่สุขและมีที่พึ่งอันประเสริฐ...พึ่งพระพุทธ...พระธรรม....พระสงฆ์...
...ยังไม่คิดไปถึงสำเร็จฌานสี่ การถอดจิตออกจากร่างได้หรือฌานสมาบัติอะไรทำนองนั้นหรอก...
...เพียงแต่เข้ามาให้ข้อมูลสนับสนุนท่านศิรัสพลว่าเชื่อได้ว่าไม่หลอกใคร...เพราะข้าพเจ้ามีพระสงฆ์...
...ที่ท่านปฏิบัติดี...ปฏิบัติชอบ...ขั้นพระอริยะ...ยืนยันในความรู้และงานทางธรรมของข้าพเจ้าแล้ว...
...เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ลงมือปฏิบัติทั้งหลายว่า...ใครปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าก็สามารถรู้ได้...

:b3: :b27: :b4:


ขอบคุณที่ร่วมแสดงความคิดเห็น และขอบคุณที่ร่วมยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเป็นได้จริง ใครปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าก็สามารถรู้ได้ ซึ่งเรื่องต่างๆ ที่ผมนำมาเล่า ทวนอีกครั้งก็คือไม่ได้โกหก เพราะผมก็ไม่อยากผิดศีลเหมือนกันครับ

พูดถึงหลวงตามหาบัว ผมไม่เคยได้ไปกราบท่านเลยสักครั้ง ไม่เคยเห็นท่านตัวจริงเลยครับ อยากพบท่านดูสักครั้งแล้วสนทนากันแบบใกล้ชิด ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือเปล่า (แค่คิดน่ะครับ) เพราะลูกศิษย์ลูกหาเยอะมาก เข้าไปใกล้ก็คงจะยาก

แต่สายพระป่าลูกศิษย์หลวงปู่มั่นที่เคยใกล้ชิดปรึกษาธรรมกับท่านก็พอมี คือ หลวงพ่อวิริยังค์, หลวงปู่เหรียญน่ะครับ ซึ่งหลวงปู่เหรียญเคยสนทนาธรรมกับท่านนิดหน่อย ตอนท่านมาบรรยายธรรมที่ท้องสนามหลวง นึกถึงทีไรก็ปีติ ไม่คิดและไม่น่าเชื่อว่าจะได้คุย เพราะลูกศิษย์ท่านก็เยอะ น่าเสียดายครับ ท่านมรณภาพไปแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2009, 15:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b8:
http://www.luangta.com
:b1:
...เข้าเว็บไซต์สิเจ้าคะ...7-9โมงเช้ารับพรก่อนและหลังฉันภัตตาหารเช้าทุกวันทางทีวีดาวเทียม/วิทยุ...
...ถ้าไม่เขินว่าจะได้ออกทีวีดาวเทียม...และกระจายเสียงสดๆถ่ายทอดวิทยุ 118 สถานี...คุยออกไมค์
...พบหลวงตาได้ทุกเช้าที่วัดป่าบ้านตาด...ลูกศิษย์ที่อยู่ในอุดรก็ทำแบบนี้เจ้าค่ะ...เวลาอื่นไม่นิยม...
...เพราะหลังฉันเสร็จ...ท่านไม่ค่อยว่าง...เพราะต้องออกพื้นที่นำของที่เขามาทำบุญไปโปรดที่อื่นต่อ

...ถ้าจะคุยแบบส่วนตั๊วส่วนตัว...ต้องเป็นแบบภายใน...ก็ลองมาค้างคืนที่วัดน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ...
...อธิษฐานขอหลวงตาท่านดูสิเจ้าคะ...ท่านตรวจวาระจิตอยู่ทุกวัน...มีอะไรไปสัมผัสท่านก็จะเทศน์
...ตอบให้...ก็มีนะที่ต่างประเทศ...เค้าปฏิบัติไม่มีอาจารย์แล้วติดขัด...เพื่อนแนะให้เข้าเว็บหลวงตา...

:b16: :b16: :b16: :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2009, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็มีประสบการณ์ครับ

ตอนนั้นท่องพุทธโธจนจิตสงบ
ความรู้สึกกายหายไป
ความรู้สึกถึงลมหายใจก้หายไป
สงบนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่มีความตรึกนึกอะไรเลย
ไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคตอะไรเลย
นานถึง 9 ชั่วโมง

พอเริ่มรู้สึกตัวได้ก็
ได้เวลาตื่นไปทำงานพอดีครับ
หลับน่ะครับหลับ 9 ชั่วโมงครับ
หลับแล้วเอามาฝอยให้มันเวอร์
กวนคนเล่นเฉยๆครับ

:b13: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 27 พ.ย. 2009, 16:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b8:
:b6: ...Oh!...I...see...you...
:b32:

:b12:
:b4:...ท่านชาติขยันขึ้นอีกนิดเดียวเองนะเจ้าคะ...

:b6:
:b8: ...หลวงตามหาบัวท่านชอบพูดกับลูกศิษย์ว่า...
...พวกนี้น่ะมันไปนิพพานที่ไหนเหรอ...
...มันนิพพานลงเสื่อลงหมอน...
...เสื่อแตก...หมอนแตก...

:b9: :b32: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 12:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 07:32
โพสต์: 95

แนวปฏิบัติ: หลักวิถีธรรมชาติ - อานาปานสติ,บริกรรมภาวนา
ชื่อเล่น: นุ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็พึ่งหันกลับมาเริ่มปฎิบัติธรรมช่วงต้นปี52ที่ผ่านมานี่ครับ
เมื่อ10กว่าปีที่แล้วเคยปฎิบัติอยู่ช่วงนึง 4-6เดือน แล้วก็หยุดไปครับ
ตามความรู้สึกวัยรุ่นดันไปติดเรื่องทางโลกมากเกินไป หลงไปกับเรื่องอื่นๆนานเลย

เมื่อช่วงต้นปี52ที่ผ่านมา ผมเลยกลับมาคิดได้ ว่าหนทางที่เราต้องการที่เราชอบ ก็คือ
การปฎิบัติธรรมไม่ใช่เหรอ ผมเลยเริ่มจาก ยึดศีล5-กุศลกรรมบภ10 เป็น
ข้อพื้นฐานก่อน หลังจากนั้นก็เริ่มปฎิบัติสมาธิภาวนา
แรกๆผมก็เริ่มจาก การภาวนาพุทโธ ครับ ผมรู้สึกว่าจิตผมไปติดอยุ่
ที่สมาธิขั้นอุปจารสมาธิ เสมอ ไม่ก้าวหน้าไปกว่านั้น ติดอยู่ที่ปีตี-สุข
ผมรู้สึกว่า ความเพียรน้อยเกินไป แต่ก็ไม่ท้อแท้(ถึงแม้ว่าจะมีบ้าง)
เมื่อออกจากสมาธิผมก็นึกถึงเเต่คำบริกรรมภาวนาพุทโธ พยายามนึกตลอดเวลา ตามที่ผมได้เรียนรู้จาก หลวงปู่(พ่อ)พุธ ฐานิโยครับ

จนเมื่อช่วง2-3เดือน ที่ผ่านมา ผมมีเวลามากขึ้น นั่งที่ทำงาน 1 ชม.
และนั่งที่บ้านได้แล้ว(ลูกชายไม่ค่อยกวนแล้ว พอรู้เรื่องบ้างแล้ว)
แล้วผมรู้สึกว่า เวลานั่งหรือทำงาน เดิน หรือทำอะไรก็แล้วแต่ จะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม จิตผมเริ่มจะไปอยู่ที่ ลมหายใจ ผมเลยใช้การกำหนดรู้ที่ ลมหายใจเข้า-ออก แล้วก็ฝึกเข้าสมาธิตาม ลำดับขององค์ฌาณ ก็เริ่มรู้ว่า ตัวเองพอจะเริ่มเดินตามลำดับขององค์ฌาณได้บ้างแล้ว จิตมาหยุดที่ความสงบเป็นหนึ่ง ลมหายใจยังอยุ่ กายยังปรากฏอยู่
แต่ไม่ได้สนใจต่อเสียงรอบข้างแล้ว มีเสียงใดที่ผ่านเข้ามา จิตก็รู้ที่ลมหายใจอย่างเดียว กว่าจะมาที่จุดนี้ได้เป็นปีเลยครับ ก็ตั้งใจและจะหมั่นเพียรพยายามทุกวันครับ

...นี่คือประสบการณ์การปฎิบัติของผมเอง
ขอเล่าสู่ให้ ท่านศิรัสพล และ ก็แบ่งปันให้ท่านสมาชิก ฟังบ้างนะครับ

ทุกวันนี้ก็ฟังการปฎิบัติธรรมจาก mp3 - ไฟล์วีดีโอ ของหลวง(พ่อ)พุธ ฐานิโย(10กว่าปีที่แล้ว ฟังจากเทป) ผมยึดถือท่านเป็นอาจารย์สอนการปฏิบัติสมาธิภาวนา ถึงแม้ว่าปี40-42 ผมเรียนอยู่ที่โคราช เคยไปวัดที่ท่านอยุ่เพื่ออยากพบสักครั้ง แต่ก็ไม่เจอ
แล้วก็ซื้อเทปการปฎิบัติมาไว้ฟัง(30กว่าม้วน)แต่ผมก็ยึอถือท่านเป็นครู-อาจารย์สอนกรรมฐานของผม(ครูใหญ่ของผมคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ฟังจนซึ่งอยู่ในจิตในใจของผม

.....................................................
จงทำศีลให้เป็น อธิศีล
ทำจิตให้เเป็น อธิจิต
ทำปัญญาให้เป็น อธิปัญญา


พื้นฐานคุณธรรมความเป็นมนุษย์คือ ศีล๕ กุศลกรรมบถ๑๐ หิริโอตัปปะ และความกตัญญู กตเวทิตา

จุดสูงสุดของการรู้ธรรม เห็นธรรม ก็คือ
...สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 12:01
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีทุกท่านนะขอรับ :b8:

สติคือตัวรู้ทันสภาวะตามความเป็นจริง
สมาธิคือตัวที่ทำให้น้ำใส จนสามารถเห็นความจริงของกายใจชัด
ปัญญาเป็นตัวยอมรับความจริง

.....................................................
คุยเรื่องฌานดีครับ
ผมนะ!ชอบเรื่องเหล่านี้นะ ชอบโดยสันดานเลย

พอเราเคยทำสมถะมา(ทำน้ำให้ใสนิ่ง)
การทำสมถะก็เพื่อทำให้น้ำใสนิ่ง
พอน้ำใสนิ่งเราก็เห็นตัวปลาชัด
และถ้าน้ำยิ่งใสขึ้นก็สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ก้นสระได้ชัดขึ้น(เห็นความจริงของกาย-ใจชัดขึ้น)

เอ้...ผมพล่ามซะยาวเลย :b12: :b12: :b12:

หากเราทำสมถะได้ สมถะที่เราทำนี่แหละ จะเป็นบาทฐาน ให้เราก้าวไปอย่างสบาย
เพียงแต่...เราต้องปรับมุมมองนิดเดียว

คือจากที่เราชอบอยู่กับน้ำที่ใสนิ่ง(สบ้ายยย...)
เราก็เอาความใสนิ่งของน้ำนี่แหละ มาใช้ให้เกิดประโยชน์
เอามาส่องดูความจริงของกายของใจ เมื่อเราเห็นความจริงของกาย-ใจได้บ่อย
เราก็จะรู้ความจริง และก็จะยอมรับความจริงได้ในที่สุด
ก็จะสามารถถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในกายในใจลงได้

"ไม่มีใครสามารถ ทำจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้
จิตเขาบรรลุมรรคผลนิพพานเอง
เราเพียงเจริญสติเป็นเหตุเอื้อ
รู้ลงที่กายที่ใจ รู้จนจิตเขาพอ
เมื่อจิตเขารู้พอแล้ว จิตเขาก็จะแจ้งนิพพานเอง"



อนุโมทนากับทุกท่านที่สนใจในธรรม :b8: :b8: :b8:

.....................................................
รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย วันชัย(อยุธยา) เมื่อ 30 พ.ย. 2009, 13:39, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ภาวิตา-พหุลีกตา เขียน:
ผมก็พึ่งหันกลับมาเริ่มปฎิบัติธรรมช่วงต้นปี52ที่ผ่านมานี่ครับ
เมื่อ10กว่าปีที่แล้วเคยปฎิบัติอยู่ช่วงนึง 4-6เดือน แล้วก็หยุดไปครับ
ตามความรู้สึกวัยรุ่นดันไปติดเรื่องทางโลกมากเกินไป หลงไปกับเรื่องอื่นๆนานเลย

เมื่อช่วงต้นปี52ที่ผ่านมา ผมเลยกลับมาคิดได้ ว่าหนทางที่เราต้องการที่เราชอบ ก็คือ
การปฎิบัติธรรมไม่ใช่เหรอ ผมเลยเริ่มจาก ยึดศีล5-กุศลกรรมบภ10 เป็น
ข้อพื้นฐานก่อน หลังจากนั้นก็เริ่มปฎิบัติสมาธิภาวนา
แรกๆผมก็เริ่มจาก การภาวนาพุทโธ ครับ ผมรู้สึกว่าจิตผมไปติดอยุ่
ที่สมาธิขั้นอุปจารสมาธิ เสมอ ไม่ก้าวหน้าไปกว่านั้น ติดอยู่ที่ปีตี-สุข
ผมรู้สึกว่า ความเพียรน้อยเกินไป แต่ก็ไม่ท้อแท้(ถึงแม้ว่าจะมีบ้าง)
เมื่อออกจากสมาธิผมก็นึกถึงเเต่คำบริกรรมภาวนาพุทโธ พยายามนึกตลอดเวลา ตามที่ผมได้เรียนรู้จาก หลวงปู่(พ่อ)พุธ ฐานิโยครับ

จนเมื่อช่วง2-3เดือน ที่ผ่านมา ผมมีเวลามากขึ้น นั่งที่ทำงาน 1 ชม.
และนั่งที่บ้านได้แล้ว(ลูกชายไม่ค่อยกวนแล้ว พอรู้เรื่องบ้างแล้ว)
แล้วผมรู้สึกว่า เวลานั่งหรือทำงาน เดิน หรือทำอะไรก็แล้วแต่ จะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม จิตผมเริ่มจะไปอยู่ที่ ลมหายใจ ผมเลยใช้การกำหนดรู้ที่ ลมหายใจเข้า-ออก แล้วก็ฝึกเข้าสมาธิตาม ลำดับขององค์ฌาณ ก็เริ่มรู้ว่า ตัวเองพอจะเริ่มเดินตามลำดับขององค์ฌาณได้บ้างแล้ว จิตมาหยุดที่ความสงบเป็นหนึ่ง ลมหายใจยังอยุ่ กายยังปรากฏอยู่
แต่ไม่ได้สนใจต่อเสียงรอบข้างแล้ว มีเสียงใดที่ผ่านเข้ามา จิตก็รู้ที่ลมหายใจอย่างเดียว กว่าจะมาที่จุดนี้ได้เป็นปีเลยครับ ก็ตั้งใจและจะหมั่นเพียรพยายามทุกวันครับ

...นี่คือประสบการณ์การปฎิบัติของผมเอง
ขอเล่าสู่ให้ ท่านศิรัสพล และ ก็แบ่งปันให้ท่านสมาชิก ฟังบ้างนะครับ

ทุกวันนี้ก็ฟังการปฎิบัติธรรมจาก mp3 - ไฟล์วีดีโอ ของหลวง(พ่อ)พุธ ฐานิโย(10กว่าปีที่แล้ว ฟังจากเทป) ผมยึดถือท่านเป็นอาจารย์สอนการปฏิบัติสมาธิภาวนา ถึงแม้ว่าปี40-42 ผมเรียนอยู่ที่โคราช เคยไปวัดที่ท่านอยุ่เพื่ออยากพบสักครั้ง แต่ก็ไม่เจอ
แล้วก็ซื้อเทปการปฎิบัติมาไว้ฟัง(30กว่าม้วน)แต่ผมก็ยึอถือท่านเป็นครู-อาจารย์สอนกรรมฐานของผม(ครูใหญ่ของผมคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ฟังจนซึ่งอยู่ในจิตในใจของผม



ขอบคุณ คุณ ภาวิตา-พหุลีกตา มากครับ อนุโมทนาด้วยครับ มีประสบการณ์อะไรมาร่วมเล่าแบ่งปันกันอีกนะครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


วันชัย(อยุธยา) เขียน:
สวัสดีทุกท่านนะขอรับ :b8:

สติคือตัวรู้ทันสภาวะตามความเป็นจริง
สมาธิคือตัวที่ทำให้น้ำใส จนสามารถเห็นความจริงของกายใจชัด
ปัญญาเป็นตัวยอมรับความจริง

.....................................................
คุยเรื่องฌานดีครับ
ผมนะ!ชอบเรื่องเหล่านี้นะ ชอบโดยสันดานเลย

พอเราเคยทำสมถะมา(ทำน้ำให้ใสนิ่ง)
การทำสมถะก็เพื่อทำให้น้ำใสนิ่ง
พอน้ำใสนิ่งเราก็เห็นตัวปลาชัด
และถ้าน้ำยิ่งใสขึ้นก็สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ก้นสระได้ชัดขึ้น(เห็นความจริงของกาย-ใจชัดขึ้น)

เอ้...ผมพล่ามซะยาวเลย :b12: :b12: :b12:

หากเราทำสมถะได้ สมถะที่เราทำนี่แหละ จะเป็นบาทฐาน ให้เราก้าวไปอย่างสบาย
เพียงแต่...เราต้องปรับมุมมองนิดเดียว

คือจากที่เราชอบอยู่กับน้ำที่ใสนิ่ง(สบ้ายยย...)
เราก็เอาความใสนิ่งของน้ำนี่แหละ มาใช้ให้เกิดประโยชน์
เอามาส่องดูความจริงของกายของใจ เมื่อเราเห็นความจริงของกาย-ใจได้บ่อย
เราก็จะรู้ความจริง และก็จะยอมรับความจริงได้ในที่สุด
ก็จะสามารถถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในกายในใจลงได้

"ไม่มีใครสามารถ ทำจิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้
จิตเขาบรรลุมรรคผลนิพพานเอง
เราเพียงเจริญสติเป็นเหตุเอื้อ
รู้ลงที่กายที่ใจ รู้จนจิตเขาพอ
เมื่อจิตเขารู้พอแล้ว จิตเขาก็จะแจ้งนิพพานเอง"



อนุโมทนากับทุกท่านที่สนใจในธรรม :b8: :b8: :b8:



ขอบคุณ คุณ วันชัย(อยุธยา) มากครับ ที่ร่วมแสดงความคิดเห็นและให้ข้อคิดหลักธรรมที่มีประโยชน์ครับ โดยเฉพาะคำนี้ครับ "ชอบโดยสันดาน" มันตรงและโดนใจครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันชัย(อยุธยา) เขียน:
...


งั๊นคุณก็คงต้องนำทีมคุยล่ะ...เพราะดูคุณจะคล่องในเรื่องนี้....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


[quote=ศิรัสพล]คุณอินทรีย์ 5 ก็เรียนเหมือนกันหรือเปล่าครับ[/quote]

ผมยังไม่ได้เข้าหลักสูตรเรียนหรอกครับ เคยฟังในหลักสูตรชินนสาสมาธิ (การชนะใจตนเอง) ที่เปิดสอนวันอาทิตย์-เป็นหลักสูตรการฝึกสมาธิในระดับเบื้องต้น ใช้บริกรรมพุทโธไว้ที่ใจให้อยู่กับอริยาบถ4 ในชีวิตประจำวันให้ได้ โดยส่วนตัวผมก็ยังชอบสายยุบหนอพองหนอ กับพุทโธแบบตามลมโดยกำหนดจิตไว้ 3 ฐาน[เรื่องตำแหน่งจิต3 ฐานคุณสีบุญมาเคยอธิบายไว้อย่างดีในกท.ลานธรรมจักรเก่า(รู้สึกว่าจิตจะตั้งมั่นได้ดีกว่า)] มากกว่า ทั้งๆที่เป็นหลักการเดียวกัน ถึงอย่างไรก้จะเวลาไปเรียนให้ได้แล้วกันครับ....

แต่ว่าก้ยังติดอยู่ว่าหลักสูตรที่อบรมเป็นรุ่นครูสมาธินี้ต้องมีเวลา จ-ศ หรือไม่ก้ต้องมีเวลาว่าง ส -อา
จะทำให้ไม่ค่อยมีเวลาไปอบรมได้สักเท่าไรตามที่ระบุ ในระเบียบปฏิบัติที่ผมอ่านเขากำหนดให้เข้าเรียนไม่น้อยกว่า200 ชม. ถึงจะมีสิทธิได้รับการทดสอบแล้วไปธุดงค์พร้อมวัดที่ดอย รุ่นปัจจุบันที่จะอบรมกันเป็นรุ่นที่26 ซึ่งผมว่าก้คงวิธีการเหมือนเดิมเหมือนอย่างที่ K. ศิรัสพล เคยฝึกมา เพียงแต่ว่า
คนที่รับการฝึกน่าเยอะกว่าเดิม และมีพี่เลี้ยงมาช่วยเยอะขึ้น..... tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 17:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับ สาธุคุณอินทรีย์ 5

เรื่องพุทโธกำหนดจิตไว้ ๓ ฐานนี้ หากคาดการไม่ผิดจะเป็นการกำหนดรู้หรือทำความรู้สึกถึงลมหายใจตลอดสายเริ่มตั้งแต่เบื้องต้น คือ ปลายจมูก มาท่ามกลางได้แก่หัวใจหรือกลางหน้าอก แล้วมาที่สุดหรือเบื้องปลายที่สะดือใช่หรือเปล่าครับ

ตรงนี้จะว่าไปแล้ว เขาว่ายากกว่าแบบจุดเดียว เขานี้หากจำไม่ผิดจะหมายถึง พระอรรถกถาจารย์ คือ พระพุทธโฆษาจารย์ที่อธิบายไว้ในเรื่องการเจริญอาปานสติ ว่าผู้ที่สามารถรู้ลมตลอดทั้งสาย หรือจะหมายถึง ๓ ฐานนั้นหาได้ยาก แต่พระพุทธเจ้าทรงทำได้ คนทั่วไปจะรู้สึกได้ที่จุดกระทบคือปลายจมูกหรือริมฝีปากบน หรือจุดหนึ่งจุดใดได้เพียงจุดเดียว ซึ่งตรงนี้หากคุณรู้ลมได้ตลอดทั้ง ๓ จุดได้ตลอดสายก็ถือว่าคุณมีวาสนาเหมาะกับการกำหนดแบบนี้แล้วล่ะครับ :b8:

ส่วนเรื่องการเรียนหลักสูตรครูสมาธิ ก็เป็นอย่างที่คุณอินทรีย์5 เกริ่นมานั่นแหละครับ ต้องเรียนให้ครบ จะเรียนทุกวันจ.-ศ.ตอนเย็นก็ได้ หรือจะเรียนเสาร์-อาทิตย์ หรือทั้งจ-ศ.และเสาร์-อาทิตย์เลยก็ได้ ทุกวันนี้คนเรียนผมว่าน่าจะเยอะกว่าเก่า และพี่เลี้ยงก็เยอะกว่าเก่าจริงๆ นั่นแหละครับ

ขอบคุณที่ร่วมแสดงความคิดเห็นครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 12:01
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใครกำลังออนบ้างครับ...

เข้าไปคุยกันในห้องสนทนาได้นะครับ

นัดเวลากันว่า จะคุยกันเวลาไหนดี

น่าจะได้รับประโยชน์มากนะครับ...

(ที่ใช้คำว่าโดยสันดาน คือชอบแบบฝังอยู่ในจิตโดยเป็นสันดานเลย)
เปรียบนะว่าท่านชอบเล่นบอล ท่านก็อยากดู อยากอ่าน อยากคุยหรืออยากฟังอะไรที่เกี่ยวกับบอล
เพราะถ้าได้อ่าน ได้ดู ได้ฟัง ท่านก็จะมีความสุขที่ได้อ่านได้ดูได้ฟัง
ก็เหมือนกันครับ ผมชอบเล่นกีฬาชนิดนี้(ฌาน) ผมก็อยากได้ยิน ได้คุย ได้อ่าน ได้ฟัง อะไรที่เกี่ยวกับฌาน
เพราะผมได้อ่านได้ฟังแล้วผมมีความสุข ผมจึงอยากอ่านอยากฟัง เหมือนเช่นท่านนั่นแหละครับ
อุปมาเหมือน ท่านบางกลุ่มชอบเล่นบอล แต่ผมชอบเล่นตระกร้อนั่นแหละครับ
ใครชอบอะไร เขาก็ขยันเล่นในสิ่งนั้น เพื่อให้เล่นเป็นและเล่นได้ เมื่อขยันเล่นบ่อยๆ ก็ชำนาญไปเอง
คนเรานะครับของเล่นแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน แล้วแต่ความชอบ ของแต่ละคน
แม้..แต่ผู้ที่เล่นฌาน บางคนชอบเล่นในรูปฌาน บางคนชอบเล่นในอรูปฌาน

ของเล่นของแต่ละคนชอบไม่เหมือนกันน่ะครับ

สาธุครับ...

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้เอา

แต่ท่านสอนให้สร้าง ให้มีขึ้นในชีวิต

สร้างกุศลธรรมทั้งปวงให้มี สร้างศีลให้มี สมาธิให้มี ปัญญาให้มี
ญาณทัสสนะก็ให้มี มรรคยิ่งต้องสร้างให้มีจนเต็มเปี่ยม

เมื่อสร้างให้มีจนเต็มเปี่ยมแล้ว การปล่อยวางก็จะเป็นเอง
ถึงท่านไม่ต้องบอกให้ปล่อยไม่ต้องบอกให้วาง จิตมันก็วางเอง
หลุดพ้นออกมาเองจากสิ่งที่มันเคยผูกพันธ์

กุศลธรรมที่หมั่นอบรมสร้างให้มีขึ้นจนเต็มเปียมจะพาทิศทางของจิต
ให้ละเอียดขึ้น และความละเอียดขึ้นในทุกลำดับของจิต
ก็ทำให้จิต ก้าวข้ามกุศลธรรมชั้นหยาบ ทั้งปวงไปได้ด้วยในที

กุศลธรรมสูงขึ้น ก็ต้องเริ่มสร้างจากเรื่องหยาบๆ เพื่อใช้เรื่องหยาบมายกจิต
จนเมื่อจิตมีภูมิของกุศลธรรมที่สูงขึ้นแล้ว จิตก็เปลี่ยนมาสร้างกุศลส่วนอื่่น
ที่มันประณีตขึ้น และสร้างไปเรื่อยๆ จนเต็ม ทุกส่วนของบารมี ทุกส่วนของคุณธรรม

กุศลธรรมเป็นเหมือนน้ำสะอาด ทุกครั้งที่สร้างให้มี หรือเติมเต็มให้มี
น้ำสะอาดก็จะเข้าไปเจือจางสิ่งสกปรก ถ้าเติมน้ำสะอาดเข้าไปได้มากเท่าไร
จิตที่เปรียบเหมือนน้ำในแก้ว ก็จะค่อยๆเปลี่ยนสี และใสสะอาดขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเติมกุศลธรรมเข้าไปจนเต็มสมบูรณ์ น้ำก็ใสสะอาดสมบูรณ์ อยู่ในทีของมัน

พระพุทธเจ้าท่านจึงไม่ได้สอนให้เอา

แต่ท่านสอนให้สร้างให้มี และเริ่มสร้างให้มีตั้งแต่กุศลหยาบๆคือเรื่องทาน
ไปจนถึงการสร้าง มรรค ผล นิพพาน ให้มีขึ้นเป็นขึ้น

เมื่อสร้างให้มีจนเต็มเปี่ยมแล้ว มหากุศลที่สมบูรณ์ ก็จะเป็นพลัง
ที่มีทิศทางนำวิถีจิตให้ไหลไปสู่การปล่อยวางทุกสิ่งทุกประการ โดยไม่มีเหลือ
ของมันเองเป็นอัตโนมัติ และเป็นธรรมชาติ

และการปล่อยวางของจิตก็ไม่ได้มาเริ่มปล่อยกันตอนท้ายสุดของการปฏิบัติ

แต่จิต มีการปล่อยวางมาทุกระยะของการปฏิบัติ และปล่อยหลายครั้งหลายหน

ให้ทานมากถึงจุดหนึ่งก็อิ่มเรื่องทาน หันไปสนใจกุศลที่สูงขึ้น
หันมารักษาศีลถึงจุดหนึ่งก็เริ่มเข้าใจ และอิ่มตัว สามารถทรงอยู่กับศีลได้
อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องเจตนาเพื่อรักษา ต่อมาก็อิ่มต่อความสนใจเรื่องศีล
หันไปมุ่งมั่นกับสมาธิ และจิตก็เรียนรู้ และสร้างให้มี พอมีแล้ว ถึงจุดมันก็ละของ
มันเอง สร้างไปเรื่อยพร้อมกับละไปเรื่อย จนถึงการละแม้แต่พระนิพพาน
ก็สิ้นสุดการสร้างและสิ้นสุดการละ


ผมเข้าใจของผมอย่างนี้ ท่านบัณฑิต จะชี้แนะอย่างไร

:b6: :b6: :b6: :b6: :b6: :b6: :b6:


ออนอยู่ เอามาฝากคุณ วันชัย...จ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 18:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 12:01
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
งั๊นคุณก็คงต้องนำทีมคุยล่ะ...เพราะดูคุณจะคล่องในเรื่องนี้....


ต้องถามคุณเอรากอนครับ smiley smiley

รอฟังอยู่เหมือนกันครับ.. :b12: :b12: :b12:

.....................................................
รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย วันชัย(อยุธยา) เมื่อ 30 พ.ย. 2009, 18:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 43 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร