รับมาก็ส่งไป และอยากให้ช่วยส่งต่อ ๆ ไปอีก เพื่อให้คนไทยเลิกโง่ได้แล้ว

คนไทยอ่านแล้ว.... อย่าเจ็บใจนะ

นายคัตซุมิ ซาโต้ ถือได้ว่าเป็นชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นที่โชคดีผู้หนึ่ง ที่หลังจากได้มาพบลูกชายที่เมืองไทยแล้วเมื่อเดินทางกลับถึงญี่ปุ่น ได้มีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และวารสารมาขอสัมภาษณ์ เกี่ยวกับเรื่องที่เดินทางมาประเทศไทย หลังจากที่ปฏิเสธการเดินทางมาก่อนหน้านี้

นี่คือบทสัมภาษณ์ที่นายคัตซุมิ ซาโต้ ที่ปัจจุบัน ยังไม่ได้มีงานอะไรที่มีรายได้เป็นหลักแหล่งแน่นอน หรือมากมาย แต่โชคดีที่มีลูกในเมืองไทย....

" ตอนแรกผมไม่ได้คิดมาเมืองไทยเพราะผมเองไม่ได้มีรายได้อะไรมากมาย และที่สำคัญ ผมเข้าใจผิดคิดว่าที่เมืองไทยคงใช้กฎหมายเหมือนที่ญี่ปุ่นที่ชายคนใด ทำให้หญิงสาวท้องจนคลอดลูกแล้วหนีไป เมื่อพบตัวชายผู้นั้น ชายผู้นั้นต้องรับผิดชอบทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และความเสียหายที่ทางหญิงสาวสามารถเรียกร้องพร้อมทั้งอาจต้องผิดกฎหมายด้วย

แต่ปรากฏว่า จากการ ติดตามแกมบังคับให้ผมต้อง เดินทางไปประเทศไทย ทำให้ผมเพิ่งทราบว่า ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดไปเอง เพราะก้าวแรกที่ผมถึงประเทศไทย คนไทยให้การต้อนรับผมราวกับคนสำคัญของประเทศคนหนึ่ง ทั้งหนังสือพิมพ์ ทีวี และสื่อต่าง ๆ พากันมาทำข่าว ผมได้พักโรงแรม 5 ดาวอย่างหรู อาหารการกินอย่างดี มีคนต้อนรับตลอดหลายวันที่ผ่านมา และที่สำคัญ ยังได้เงินที่มีคนนำมามอบให้อีกด้วย (ทั้ง ๆ ที่ทิ้งลูกเมียไปอย่างไม่รับผิดชอบ และไม่ได้ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศไทยอะไรเลยตลอดมาการพบลูกในครั้งนี้) ดังนั้น ผมจึงคิดว่าจะเดินทางไปประเทศไทยอีกในระยะอันใกล้นี้ และถ้าเป็นไปได้ ก็อาจหาทางเอาลูกชายมาด้วย เผื่อว่าคนไทย หรือทางรัฐ ฯ จะได้ให้เงินสนับสนุนผมและลูกต่อไป”

เป็นไงครับ .... กับญี่ปุ่นไร้ความรับผิดชอบ ไม่มีคุณประโยชน์อะไรกับประเทศไทยเราเลย แถมตอนแรกไม่คิดมาเพราะอาจมีภาระ แต่พอมาแล้ว ได้กินดี อยู่ฟรี แถมมีเงินติดมือ เป็นใคร(ที่ขี้เกียจและไร้ความรับผิดชอบ) ก็คงชอบแน่นอน

เป็นไงครับ .... คนไทย ที่บ้าเห่อ บ้ากระแส ไร้ความคิด สุดท้ายก็โดนชายญี่ปุ่นที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรต่อประเทศไทยเราเลย ตบหน้าฉาดใหญ่ เพียงอาศัย ความอยากรู้จักพ่อ ของเด็กคนหนึ่งเท่านั้น .
เท่านั้นจริง ๆ

เราว่า พอกันเลย
ทั้งคนสรุปและคนเป็นข่าว
หลงกลกิเลสทั้งนั้นแหละ

ลูกได้พบพ่อก็ดีแล้วล่ะ

เด็กก็น่ารักดี พ่อเค้าเลี้ยงดีก็ดีไปนะ

คุณเจ้านางติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นไหมครับ ช่วงที่เด็กถามหาพ่อในวัดแห่งหนึ่งใน จ.พิจิตร

หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวติดต่อกันเป็นสัปดาห์ๆ ม้าง

คนไทยไม่โง่แล้วครับ ตาสว่างเยอะแล้ว

นี่ แบบนี้ถึงจะเรียกว่า ดีจริง

เขาเรียก มุทิตาจิต


คนเขียนตบท้ายบทความน่ะ มันมากด้วยริษยาพยาบาท

เผื่อว่าความดีและความจริงใจที่คนไทยมีให้ อาจจะทำให้นายคัตซุมิ ซาโต้คิดได้ และปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ตนทำผิดพลาดมาให้อดีต แล้วทำปัจจุบันให้ดีขึ้น

และเรื่องบางเรื่อง เราอาจจะต้องให้ สำหรับคนที่ไม่รู้จักคำว่า "ให้" แต่เราต้องเลือกที่จะ "ให้" ด้วยนะค่ะ

และยังมีอีกหลายๆ คน และทำประโยชน์ให้สังคม ที่ทุกคนต้องให้โอกาส......มากกว่านี้.......

ทราบข่าวบ้างค่ะคุณกรัชกาย แต่ไม่ได้ติดตาม

ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกัยแสดงความเห็นนะคะ เราเองได้รับเมล์ที่เพื่อนส่งมาค่ะ
อ่านแล้วก็มีหลายความเห็นในเรื่องนี้ก็เลยลองชวนเพื่อนๆในลานธรรมช่วยแสดงความเห็นน่ะค่ะ

ส่วนความเห็นของเราดีใจที่เด็กได้พบพ่อ เพราะการที่คนรักกันคิดถึงกันได้มีโอกาสพบกัน
เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆใช่ไหมคะ

ก่อนหน้านั้น เรื่องราวความเป็นมาของเขาจะเป็นอย่างไร เราไม่สนใจหรอกค่ะ เพราะเป็นเรื่องของเขา
ชีวิตเขาไม่เกี่ยวกับเราอยู่แล้ว เพียงแต่สื่อสมัยนี้ทำให้เราได้ทราบข้อมูลมากขึ้นเร็วขึ้น

เรื่องบทสัมภาษณ์ และเรื่องหลังจากนี้ไป ก็เป็นเรื่องของเขาอีกเช่นกันค่ะ
เขาจะพูดอย่างไรคิดเห็นอย่างไร เป็นสิทธิ์ของเขาค่ะ ชีวิตเขาไม่เกี่ยวกับเรา

เรื่องการดูแลที่มองว่าคนไทยเห่อนั้น ก็ต้องบอกว่าที่จริงแล้วพื้นฐานคนไทยมีจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
โอบอ้อมอารี จนบางครั้งเขาหาว่าเราโง่ และใช้ความมีน้ำใจของเรามาทำร้ายเรา
นี่หมายถึงโดยรวมนะคะ ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว เพราะแม้แต่คนไทยด้วยกันทุกวันนี้
ยังฉกฉวยความมีน้ำใจมาทำร้ายกัน มีให้เห็นมากค่ะ

ถ้ามองในทางธรรม ใครทำอย่างไรย่อมได้อย่างนั้น เราเป็นผู้ที่มีโอกาสได้เฝ้ามอง (เพราะทราบข่าว)
ก็มองไว้เป็นข้อคิดในทางธรรม สุดแท้แต่ว่าใครจะปฏิบัติอย่างไรค่ะ

ถามเรื่องแบบนี้ในเวบบอร์ดธรรมะ ความเห็นจะออกมาในรูปไหน ก็รู้ๆกันอยู่แล้วละครับ
แต่ถ้าให้ผมตอบตามความรู้สึกตัวเอง ถ้าจะมองปัญหาของเด็กต้องมอง แบบทางธรรม
แต่ถ้ามองปัญหาที่เกี่ยวกับพ่อเด็ก ต้องมองในทางโลกครับ อย่าเอามาปะปนกันมิเช่นนั้น
ความดีความเลวจะแยกกันไม่ออก

ผมเคยเจอ เพื่อนบิดเบือนข่าวเกี่ยวกับบผม ในทางเสียหาย หากพูดกันต่อๆ เนี่ย ผมเสียคนแน่ๆ ข้อเท็จจริงก้คือข้อเรื่อเท็จผสมจริง เราไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง แล้วพูดกันต่อๆ ไป สูดท้าย เจ้าตัวก็เสียหายที่สุด