วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 14:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2009, 14:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 08:58
โพสต์: 32

ที่อยู่: ออสเตรเลีย

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนกัลยาณมิตรที่เคารพ
ขณะนี้เพื่อนในกลุ่มผิดใจกัน...มีการใช้วาทะโจมตีกันตลอดเวลา...
อยากทราบว่า จะมีหลักธรรมใดช่วยเยียวยาให้เพื่อนๆของข้าพเจ้ากลับมาคืนดีกันได้บ้าง
ขอบพระคุณอย่างสูง ด้วยความเคารพ ^_^

.....................................................
พูดดี คิดดี ทำดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2009, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมายของคำว่าเพื่อน

ความหมายของคำว่าเพื่อน
เพื่อนคือ...ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ยิ่งกว่าแฟนก้อว่าได้
ไม่ตามใจมัน ก็ไม่ด่า
แต่ถ้ามันไม่ตามใจเราก็ด่าได้
โดยที่มัน และเราไม่โกรธกัน

เพื่อนเมื่อโกรธกันสามารถกลับมาคืนดีกันได้โดยไม่ต้องเก็บความสงสัยว่า
เรื่องที่โกรธกันคืออะไร ผ่านแล้วก็ผ่านไป

เพื่อนคือที่พึ่งยามเป็นทุกข์
เพื่อนคือที่ปรึกษา ตั้งแต่เรียน ทำงาน
จนจะแต่งงานก็ยังต้องปรึกษามัน

เพื่อนคอยสับรางเวลารถไฟจะชน
เพื่อนคอยโกหกพ่อแม่เวลาไปเที่ยวแต่บอกว่าไปทำงาน
เพื่อนคอยบอกแฟนว่าเรากำลังอยู่กับมัน ทั้งที่จริงเราไม่ได้อยู่กับมันหรอก

และเพื่อนก็คือคนจ่ายค่าข้าวเวลาเราไม่มีเงิน

"เพื่อน" คือ ทุกอย่าง

บทส่งท้าย ถ้าเราสนุก ไปเที่ยวโดยไม่มีเพื่อน
แล้วเล่าให้มันฟัง
มันก็ไม่ว่าอะไร....แล้วถ้าเราเที่ยวแล้วเกิดปัญหา
เราตามตัวมันมา
มันเคยพูดไหมว่า "*ไม่สน*เที่ยวแล้วไม่ชวน* *แก้ไขเองแล้วกัน"
คำพูดอย่างนี่จะไม่มีจากปากเพื่อน

จะแต่ว่า " อยู่ตรงไหน เป็นอะไร"
แล้วก็ลงท้ายว่า *จะรีบไป....

มีเรื่องเล่าอยู่ว่า มีภรรยา 4 คน รักคนไหนดี???
ชายคนหนึ่งมีภรรยา 4คน


คนที่1 รักมากตามใจทุกอย่างอยู่กินด้วยกัน
คนที่2 รักรองลงมาหน่อยตามใจบ้าง
คนที่3 ไม่ค่อยรักเท่าไรนานๆก็ไปหาบ้าง
คนที่4 ไม่รักไม่สนใจไม่ค่อยไปหา


อยู่มาวันหนึ่งชายคนนี้เกิดทำความผิดอย่างร้ายแรงต้องรับโทษถึงกับประหารชีวิต
ชายคนนี้ก็ขออนุญาติไปลาภรรยาก่อนแล้วจะกลับมารับโทษที่ทำผิด เจ้าหน้าที่ก็ได้ให้ไป
ตามสิ่งที่ขอเป็นครั้งสุกท้ายของชีวิต
ชายคนนี้ก็ได้ไปหา

ภรรยาคนที่1 แล้วบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังว่าตัวเองจะต้องตายแล้วนะ
คำตอบที่ได้รับ (ตายก็ตายเราก็จบกัน) ชายคนนี้เสียใจอย่างมากที่ได้ยินคำตอบเช่นนี้
เพราะเขารักภรรยาคนนี้มาก

ก็ไปลาภรรยาคนที่2 แล้วก็บอกเรื่องราวว่าตัวเองจะต้องตายให้ฟัง
คำตอบที่ได้รับ(ตายไปฉันก็มีผัวใหม่) ชายคนนี้ก็เสียใจอย่างนักเมื่อได้ฟังคำตอบ

ภรรยาคนที่3 ชายคนนี้ก็เลยไปลาบอกเรื่องราวเช่นเดียวกันว่าตัวเองจะต้องตายแล้ว
คำตอบที่ได้รัย จากภรรยาคนที่3 (ไม่เป็นไรฉันจะไปส่งพี่เป็นครั้งสุดท้าย) ชายคนนี้ก็เริ่มดีใจขึ้นมาบ้าง
เริ่มคิดได้ว่าภรรยาคนที่3 เขาไม่ค่อยได้สนใจเท่าที่ควรเลย

ภรรยคนที่4 คนสุดท้ายที่ชายคนนี้ไปลา และก็เล่าเรื่องราวให้ฟังเหมือนกันว่าตัวเองจะต้องตายแล้ว
คำตอบที่ได้รับจากภรรยาคนที่ 4 คือ (ฉันจะตายตามพี่ไปด้วย) เมื่อชายคนนี้ได้ฟังคำตอบแล้วก็ยิ่งดีใจอย่างมาก และก็ได้สำนึกว่าตัวเองไม่เคยทำความดีกับภรรยาคนนี้เลยไม่สนใจปล่อยใหอยู่ตามลำบัง
สำนึกได้ก็สายไปเสียแล้วเพราะเขากำลังจะตายไม่มีโอกาสที่จะทำดีได้อีกแล้ว

คติธรรมแทนตัวภรรยาทั้ง 4คน คือ


ภรรยาคนที่1 คือ ร่างกายตัวเราเอง ตายไปเขาก็เผาไหม้ไม่เหลืออะไรเลย
ภรรยาคนที่ 2 คือ ทรัพย์สมบัติ ตายไปเอาไปไม่ได้เช่นกัน ก็กลายเป็นของคนอื่น
ภรรยาคนที่3 คือ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ที่ไปส่ง คือ จัดงานศพให้ ทำบุญอุทิศไปให้
ภรรยาคนที่4 คือ บุญและบาป ที่จะตามติดตัวเราไปตัวตลอด

เมื่อยังมีชีวิตอยู่ควรที่จะเลือกใช้ชีวิตให้ถูกและควรทำในสิ่งที่ดีงามรู้สำนึกบุญคุณยังไม่สายเกินไปหรอกนะ สะสมไว้เป็นเสบียงไว้ในชาติภพหน้า


ซึ่งคติธรรมแทนตัวภรรยาทั้ง4 คน สามารถนำมาใช้กับเรื่องเพื่อนๆ และพี่น้องในครอบครัวเราได้เสมอ

ที่มา เว็บไซต์ธรรมะไทย


แก้ไขล่าสุดโดย อินทรีย์5 เมื่อ 13 ต.ค. 2009, 15:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2009, 05:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อมีการผิดใจกัน ก็ต้องมีสาเหตุ ว่าอะไรหนอ ทำให้สามัคคีแตกแยก

ค้นพบสาเหตุแล้ว ก็ค่อยหาวิธีอีกครั้ง ว่าจะจัดการกับสาเหตุนั้นอย่างไร

เมื่อเหตุแห่งความผิดใจกันนั้นมันสิ้นไป ความรักใคร่สมัครสมานก็คงจะคืบคลาน
กลับมาหวานชื่นดังเดิมเป็นแน่แท้

แต่ ก่อนจะสรุปว่า พวกเธอทั้งหลายกำลังผิดใจกัน ด้วยเพราะเห็นกิริยาเธอโจมตีกัน
ด้วยคำพูด

ลองพิจารณาให้แยบคายก่อนอีกสักสามรอบเป็นอย่างน้อย ว่าจริงแล้วเธอกำลังผิดใจกัน
แน่แท้แล้วเหรอ


เพราะมันอาจจะเบากว่านั้น หรือไม่ได้เป็นอย่างเช่นกิริยาที่เขาแสดงออกก็ได้นะครับ

เพราะคนที่รักกันมากๆ บางครั้งก็ชอบที่จะ กลั่นแกล้ง ยั่วยวนคนที่ตนรักมากกว่าปกติ


หากเมื่อคุณพิจารณา และใช้สารพัดวิธีมาแก้ไขอาการของการผิดข้องหมองใจจนเหนื่อยอ่อนใจแล้ว
แต่เธอทั้งหลาย ก็ยังจะนิยมยินดีที่จะจิกกันเสมอเมื่อเจอหน้า

ผมเสนอว่าคุณ จงใช้อาการของการ ลงพรหมทัณฑ์ คือไม่ยอมส่งเสียงและอ้าปากพูด
ไม่ส่งสายตาอันหวานซึ้ง ไม่ยิ้มให้ และจงพยายามไม่มองหน้า แต่แอบมองได้
ตามโอกาสที่เหมาะสม

เอ้อ.........แล้วถ้าพวกเธอไม่ยอมเปลี่ยนแปลงจริงๆ แล้วดันจิกกันทั้งกลุ่มครบถ้วนทุกตัวคน
เว้นคุณคนเดียว

หากคุณต้องลงพรหมทัณฑ์แก่ทุกคนเช่นนั้น คุณไม่ต้องเหงาหงอยอยู่คนเดียวรึหวา

:b6: :b6: :b6:


แก้ไขล่าสุดโดย บัวศกล เมื่อ 14 ต.ค. 2009, 07:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2009, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนกลางต้อง ฉลาดพูดนิดนึง

คุยกับเพื่อนทั้งสอง พร้อมกัน หรือ ทีละคน ก็ได้ เปิดใจพูดถึงสาเหตุ

ค่อยพูดให้เพื่อนละบายความในใจออกมาให้หมด แล้วเราจะรู้ถึงสาเหตุ ของเรื่อง

เมื่อรู้ถึงสาเหตุ แล้ว การแก้ปัญหาก็ง่ายขึ้นตามลำดับ พูดจี้ ให้เพื่อนทั้งสองเข้าใจถึง

ความสูญเสีย ที่ร้ายแรงที่่สุด แล้วค่อย ๆปลอบใจเพื่อน ต้องใช้ถ่อยคำที่นุ่นนวลขึ้นกว่าตอนแรก

ดูปฏิกิริยาของเพื่อน ว่าเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่คนเป็นกลางต้องอดทนนะคร้าบ

ต้องใช้ขันติมาก ต้องไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ชึ้โทษแล คุณให้มาก ๆ เพื่อนก็จะกลับมาเข้าใจกันเอง เป็นเรื่องธรรมชาติที่มีการทะเลาะกัน แล้วเดี๋ยวก็ดีกัน :b41: :b42: :b43: :b44:

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2009, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมธิดา เขียน:
เรียนกัลยาณมิตรที่เคารพ
ขณะนี้เพื่อนในกลุ่มผิดใจกัน...มีการใช้วาทะโจมตีกันตลอดเวลา...
อยากทราบว่า จะมีหลักธรรมใดช่วยเยียวยาให้เพื่อนๆของข้าพเจ้ากลับมาคืนดีกันได้บ้าง
ขอบพระคุณอย่างสูง ด้วยความเคารพ ^_^


ต้องขจัด ความมีมานะ ถือตัว ฯ
ต้องมีความรักใคร่ ปรารถนาให้ได้ดีพบสุข ต่อกันและกัน คือ "เมตตา"
ต้องมีความสงสาร ปรารถนาให้พ้นจากทุกข์ ซึ่งกันและกัน คือ "กรุณา"
ต้องมีความพลอยยินดี เมื่อเห็นความได้ดี ในกันและกัน คือ "มุทิตา"
ต้องมีความบางเฉย เมื่อได้เห็นความไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ ในกันและกัน คือ "อุเบกขา"

อ่านและทำความเข้าใจเพียงแค่ ไม่เกิน ๕ นาที รับรองทุกคนต้องดีกันได้ขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2009, 12:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนอื่นให้ท่านผู้ถามพิจารณาอย่างนี้ว่า ....ใครในโลกนี้จะมีสิทธิ์สอนใครได้กันเล่า?..... ท่านต้องได้คำตอบอยู่แล้วว่าไม่มีเลย.....
การแนะนำจากคนอื่น ๆ นั้น...แม้แต่จากครูบาอาจารย์ หรือคนที่เป็นพ่อเป็นแม่...พวกเขาเหล่านั้นก็เพียงแต่ฝากเสียงให้เป็นปัจจัย ให้บุคคลที่ได้รับการแนะนำนั้นเกิดสติ ระลึกได้ถึงอะไรควรอะไรไม่ควร....เท่านั้น.....พึงทราบว่าผู้"ให้เสียง" นั้นไม่ได้สามารถทำการสอน แต่บุคคลผู้ที่ได้ยินนั้นต้องมีสติ มีปัญญาเกิดขึ้นจากเสียงนั้น....มาสอนตัวเองให้เป็น

จึงเห็นคนมากมายในโลกนี้แม้กำลังได้ยินเสียงทั้งหลาย ที่พร่ำสอน แนะว่าอะไรควรอะไรไม่ควรอยู่อย่างนั้น.... แต่ทว่าใจเขากลับไม่น้อมมาที่จะฟัง ไม่น้อมมาเพื่อที่จะพิจารณา..... ก็เสียงนั้นเข้าหูซ้ายแล้วก็ไหลออกทางหูขวาของเขาเสียในคราวเดียวกันนั่น แหละ
ในกรณีของเพื่อนท่านผู้ถาม เมื่อพิจารณาจากอัธยาศัยแล้วเขาแล้ว...... หากเขาเป็นผู้มากด้วยความเห็นผิดของเขาเอง.... เขาย่อมเห็นประโยชน์ก็สักแต่เพียงว่าตนเองสามารถได้ทำอะไรตามที่ชอบใจเท่า นั้น ....เขาไม่สนใจว่าเรื่องเหล่านั้นจะชอบธรรมหรือไม่... เป็นประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์...เขาไม่ได้พิจารณาอย่างนี้....เรื่องอย่างนี้.....อำนาจแห่งความพอใจนั้น ใครอื่นที่ไหนจะห้ามได้เล่า?... เพราะขณะที่กำลังกระทำอยู่ เขาย่อมเกิดความพอใจ ความมั่นใจในตนเองว่าเขานั้น "มีดี" มากกว่าคนอื่น...เขามีความสามารถ"ทำได้ยิ่ง" กว่าคนอื่น ก็คนที่มีความคิดเห็นอย่างนี้ เขาจะฟังใครที่ไหนกัน?

ท่านผู้ถามเองเป็นผู้มีจิตใจดี คิดเป็นห่วงเพื่อน....ท่านคงจะทำการตักเตือนได้ในฐานะเพื่อนเท่านั้น แต่อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะฟังท่าน หรือแม้แต่อาจจะมีคำกล่าวใด ๆ ที่ล่วงเกินจาบจ้วงเอาแก่ท่านได้... เพราะเขาอาจจะคิดอย่างนี้ว่า....นี่เป็นชีวิตของเขา เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา คนอื่นจะมาเดือดร้อนทำไมกัน?
หากพบกับผลอย่างนี้ ถ้าท่านผู้ถามไม่เตรียมใจไว้ก่อน...ความกรุณาของท่านนั้น ย่อมถูกโทสะเกิดขึ้นมาเบียดเบียนได้ ....การทำบุญของท่านย่อมปนไปกับบาป .....กรุณาแล้วก็เกิดความเสียใจ เพราะผู้รับไม่ยอมรับในความกรุณานั้นอีกทั้งยังดูแคลนผู้ให้เสียอีกด้วย

หากเห็นแก่ประโยชน์เพื่อนจริง ๆ แม้ตักเตือนแล้ว แนะนำแล้วเขาไม่ฟัง ไม่สนใจและดูแคลนต่อท่าน.... ท่านก็จะยอมรับ....หากวางใจอย่างนี้ได้ ก็สามารถแนะนำได้.....

หากเขาดูแล้วทอดทิ้งไปเสีย ก็จงอุเบกขาว่ากรรมนั้นเป็นของสัตว์ ...เพราะกิเลสที่หนาแน่นของเขาย่อมปิดบังเสียซึ่งดวงตา ดี ทำให้มองไม่เห็นในสิ่งที่ควรเห็น.... เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมนั่นแหละ

ท่านผู้ถามเมื่อเห็นความเป็นไปอย่างนี้ ก็พึงสลดใจในกิเลสทั้งหลายที่หาความปราณีต่อสัตว์ไม่ได้เลย.... แม้พวกเราทั้งหลายก็ยังอยู่ในความประมาทเป็นอันมาก เพียงแต่กิเลสยังไม่ได้ปัจจัยมากพอที่จะบีบคั้นให้พวกเราบางคนต้องถึงคราว ตั้งอยู่ในคุณความดีไม่ได้....เท่านั้นเอง

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2009, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ธรรมสวัสดียามบ่ายค่ะ คุณน้องธรรมธิดา cool

เราควรพิจารณาตนเองก่อนว่า
ตนเองเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างหมู่เพื่อนหรือไม่

หากพิจารณาโดยปราศจากอคติแล้วพบว่า
น่าจะมีเหตุมาจากผู้อื่น
ก็ลองปฏิบัติตามคำแนะนำของพื่อนสมาชิกทุกท่านที่แนะนำมา

:b43: :b43: :b43:

แต่ค่อนข้างเห็นด้วยกับความเห็นของ คุณ -dd- นะคะที่กล่าวว่า

-dd- เขียน:
ก่อนอื่นให้ท่านผู้ถามพิจารณาอย่างนี้ว่า ....ใครในโลกนี้จะมีสิทธิ์สอนใครได้กันเล่า?..... ท่านต้องได้คำตอบอยู่แล้วว่าไม่มีเลย.....
การแนะนำจากคนอื่น ๆ นั้น...แม้แต่จากครูบาอาจารย์ หรือคนที่เป็นพ่อเป็นแม่...พวกเขาเหล่านั้นก็เพียงแต่ฝากเสียงให้เป็นปัจจัย ให้บุคคลที่ได้รับการแนะนำนั้นเกิดสติ ระลึกได้ถึงอะไรควรอะไรไม่ควร....เท่านั้น.....พึงทราบว่าผู้"ให้เสียง" นั้นไม่ได้สามารถทำการสอน แต่บุคคลผู้ที่ได้ยินนั้นต้องมีสติ มีปัญญาเกิดขึ้นจากเสียงนั้น....มาสอนตัวเองให้เป็น

จึงเห็นคนมากมายในโลกนี้แม้กำลังได้ยินเสียงทั้งหลาย ที่พร่ำสอน แนะว่าอะไรควรอะไรไม่ควรอยู่อย่างนั้น.... แต่ทว่าใจเขากลับไม่น้อมมาที่จะฟัง ไม่น้อมมาเพื่อที่จะพิจารณา..... ก็เสียงนั้นเข้าหูซ้ายแล้วก็ไหลออกทางหูขวาของเขาเสียในคราวเดียวกันนั่น แหละ
ในกรณีของเพื่อนท่านผู้ถาม เมื่อพิจารณาจากอัธยาศัยแล้วเขาแล้ว...... หากเขาเป็นผู้มากด้วยความเห็นผิดของเขาเอง.... เขาย่อมเห็นประโยชน์ก็สักแต่เพียงว่าตนเองสามารถได้ทำอะไรตามที่ชอบใจเท่า นั้น ....เขาไม่สนใจว่าเรื่องเหล่านั้นจะชอบธรรมหรือไม่... เป็นประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์...เขาไม่ได้พิจารณาอย่างนี้....เรื่องอย่างนี้.....อำนาจแห่งความพอใจนั้น ใครอื่นที่ไหนจะห้ามได้เล่า?... เพราะขณะที่กำลังกระทำอยู่ เขาย่อมเกิดความพอใจ ความมั่นใจในตนเองว่าเขานั้น "มีดี" มากกว่าคนอื่น...เขามีความสามารถ"ทำได้ยิ่ง" กว่าคนอื่น ก็คนที่มีความคิดเห็นอย่างนี้ เขาจะฟังใครที่ไหนกัน?

ท่านผู้ถามเองเป็นผู้มีจิตใจดี คิดเป็นห่วงเพื่อน....ท่านคงจะทำการตักเตือนได้ในฐานะเพื่อนเท่านั้น แต่อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะฟังท่าน หรือแม้แต่อาจจะมีคำกล่าวใด ๆ ที่ล่วงเกินจาบจ้วงเอาแก่ท่านได้... เพราะเขาอาจจะคิดอย่างนี้ว่า....นี่เป็นชีวิตของเขา เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา คนอื่นจะมาเดือดร้อนทำไมกัน?
หากพบกับผลอย่างนี้ ถ้าท่านผู้ถามไม่เตรียมใจไว้ก่อน...ความกรุณาของท่านนั้น ย่อมถูกโทสะเกิดขึ้นมาเบียดเบียนได้ ....การทำบุญของท่านย่อมปนไปกับบาป .....กรุณาแล้วก็เกิดความเสียใจ เพราะผู้รับไม่ยอมรับในความกรุณานั้นอีกทั้งยังดูแคลนผู้ให้เสียอีกด้วย

หากเห็นแก่ประโยชน์เพื่อนจริง ๆ แม้ตักเตือนแล้ว แนะนำแล้วเขาไม่ฟัง ไม่สนใจและดูแคลนต่อท่าน.... ท่านก็จะยอมรับ....หากวางใจอย่างนี้ได้ ก็สามารถแนะนำได้.....

หากเขาดูแล้วทอดทิ้งไปเสีย ก็จงอุเบกขาว่ากรรมนั้นเป็นของสัตว์ ...เพราะกิเลสที่หนาแน่นของเขาย่อมปิดบังเสียซึ่งดวงตา ดี ทำให้มองไม่เห็นในสิ่งที่ควรเห็น.... เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมนั่นแหละ

ท่านผู้ถามเมื่อเห็นความเป็นไปอย่างนี้ ก็พึงสลดใจในกิเลสทั้งหลายที่หาความปราณีต่อสัตว์ไม่ได้เลย.... แม้พวกเราทั้งหลายก็ยังอยู่ในความประมาทเป็นอันมาก เพียงแต่กิเลสยังไม่ได้ปัจจัยมากพอที่จะบีบคั้นให้พวกเราบางคนต้องถึงคราว ตั้งอยู่ในคุณความดีไม่ได้....เท่านั้นเอง
ก่อนอื่นให้ท่านผู้ถามพิจารณาอย่างนี้ว่า ....ใครในโลกนี้จะมีสิทธิ์สอนใครได้กันเล่า?..... ท่านต้องได้คำตอบอยู่แล้วว่าไม่มีเลย.....
การแนะนำจากคนอื่น ๆ นั้น...แม้แต่จากครูบาอาจารย์ หรือคนที่เป็นพ่อเป็นแม่...พวกเขาเหล่านั้นก็เพียงแต่ฝากเสียงให้เป็นปัจจัย ให้บุคคลที่ได้รับการแนะนำนั้นเกิดสติ ระลึกได้ถึงอะไรควรอะไรไม่ควร....เท่านั้น.....พึงทราบว่าผู้"ให้เสียง" นั้นไม่ได้สามารถทำการสอน แต่บุคคลผู้ที่ได้ยินนั้นต้องมีสติ มีปัญญาเกิดขึ้นจากเสียงนั้น....มาสอนตัวเองให้เป็น

จึงเห็นคนมากมายในโลกนี้แม้กำลังได้ยินเสียงทั้งหลาย ที่พร่ำสอน แนะว่าอะไรควรอะไรไม่ควรอยู่อย่างนั้น.... แต่ทว่าใจเขากลับไม่น้อมมาที่จะฟัง ไม่น้อมมาเพื่อที่จะพิจารณา..... ก็เสียงนั้นเข้าหูซ้ายแล้วก็ไหลออกทางหูขวาของเขาเสียในคราวเดียวกันนั่น แหละ
ในกรณีของเพื่อนท่านผู้ถาม เมื่อพิจารณาจากอัธยาศัยแล้วเขาแล้ว...... หากเขาเป็นผู้มากด้วยความเห็นผิดของเขาเอง.... เขาย่อมเห็นประโยชน์ก็สักแต่เพียงว่าตนเองสามารถได้ทำอะไรตามที่ชอบใจเท่า นั้น ....เขาไม่สนใจว่าเรื่องเหล่านั้นจะชอบธรรมหรือไม่... เป็นประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์...เขาไม่ได้พิจารณาอย่างนี้....เรื่องอย่างนี้.....อำนาจแห่งความพอใจนั้น ใครอื่นที่ไหนจะห้ามได้เล่า?... เพราะขณะที่กำลังกระทำอยู่ เขาย่อมเกิดความพอใจ ความมั่นใจในตนเองว่าเขานั้น "มีดี" มากกว่าคนอื่น...เขามีความสามารถ"ทำได้ยิ่ง" กว่าคนอื่น ก็คนที่มีความคิดเห็นอย่างนี้ เขาจะฟังใครที่ไหนกัน?

ท่านผู้ถามเองเป็นผู้มีจิตใจดี คิดเป็นห่วงเพื่อน....ท่านคงจะทำการตักเตือนได้ในฐานะเพื่อนเท่านั้น แต่อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะฟังท่าน หรือแม้แต่อาจจะมีคำกล่าวใด ๆ ที่ล่วงเกินจาบจ้วงเอาแก่ท่านได้... เพราะเขาอาจจะคิดอย่างนี้ว่า....นี่เป็นชีวิตของเขา เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา คนอื่นจะมาเดือดร้อนทำไมกัน?
หากพบกับผลอย่างนี้ ถ้าท่านผู้ถามไม่เตรียมใจไว้ก่อน...ความกรุณาของท่านนั้น ย่อมถูกโทสะเกิดขึ้นมาเบียดเบียนได้ ....การทำบุญของท่านย่อมปนไปกับบาป .....กรุณาแล้วก็เกิดความเสียใจ เพราะผู้รับไม่ยอมรับในความกรุณานั้นอีกทั้งยังดูแคลนผู้ให้เสียอีกด้วย

หากเห็นแก่ประโยชน์เพื่อนจริง ๆ แม้ตักเตือนแล้ว แนะนำแล้วเขาไม่ฟัง ไม่สนใจและดูแคลนต่อท่าน.... ท่านก็จะยอมรับ....หากวางใจอย่างนี้ได้ ก็สามารถแนะนำได้.....

หากเขาดูแล้วทอดทิ้งไปเสีย ก็จงอุเบกขาว่ากรรมนั้นเป็นของสัตว์ ...เพราะกิเลสที่หนาแน่นของเขาย่อมปิดบังเสียซึ่งดวงตา ดี ทำให้มองไม่เห็นในสิ่งที่ควรเห็น.... เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมนั่นแหละ

ท่านผู้ถามเมื่อเห็นความเป็นไปอย่างนี้ ก็พึงสลดใจในกิเลสทั้งหลายที่หาความปราณีต่อสัตว์ไม่ได้เลย.... แม้พวกเราทั้งหลายก็ยังอยู่ในความประมาทเป็นอันมาก เพียงแต่กิเลสยังไม่ได้ปัจจัยมากพอที่จะบีบคั้นให้พวกเราบางคนต้องถึงคราว ตั้งอยู่ในคุณความดีไม่ได้....เท่านั้นเอง


:b43: :b43: :b43:

ดังนั้นหากตักเตือน แนะนำกันแล้ว..ไม่ฟัง
ก็อาจต้องเปลี่ยนวิธีการบอก คือ ทำสิ่งดีดีให้ดูเป็นตัวอย่าง
เพราะ "การกระทำ...เสียงดังกว่า....คำพูด"


:b43: :b43: :b43:

อย่างไรก็ตามขออนุญาตแนะนำเพิ่มเติมว่า....

ในทางพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสหลักธรรมอันจะเป็นแนวทาง
ในการเสริมสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในสังคมเอาไว้ ๖ ประการด้วยกัน
ซึ่งอยู่ในหมวดธรรมที่เรียกว่า "สาราณียธรรม ๖ "

ซึ่งมีความหมายว่า
หลักธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึง
เป็นหลักธรรมที่จะเสริมสร้างความรู้สึกที่ดี
ให้เกิดขึ้นต่อกันและกันอยู่เสมอในยามที่ระลึกถึงกัน
ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความสามัคคี
มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้เกิดขึ้นด้วย


หากสังคมใดต้องการที่จะเสริมสร้างความสามัคคี
และความเป็นปึกแผ่นให้เกิดขึ้น
ก็ควรที่จะต้องนำเอาหลักธรรมธรรมทั้ง ๖ ประการ
ไปใช้อยู่ตลอดเวลา


:b43: :b43: :b43:

ลองติดตามจากกระทู้นี้เพิ่มเติมดูนะคะ :b4:

ส า ร า ณี ย า ธ ร ร ม ๖ : หลักแห่งความสามัคคี :b8:
viewtopic.php?f=7&t=21621


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 14 ต.ค. 2009, 13:52, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านควรช่วยตัวเองก่อนครับ...หากยังช่วยตัวเองไม่ได้แล้วจะไปช่วยเพื่อนได้อย่างไรเล่า :b10:
ทุกข์ใกล้ตัวต้องเห็นก่อนครับ
ไม่รู้เรา ก็ไม่มีทางรู้เขา รบเมื่อไหร่ก็แพ้
แต่หากรู้เรา รู้เขา ล่ะก็ ร้อยรบบ่พ่าย

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2009, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ต.ค. 2009, 13:24
โพสต์: 13

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยากนะคะถ้าสมมติว่าเพื่อนคุณรู้สึกไม่ดีกระทั่งเกลียดไปแล้ว ของแบบนี้ต้องใช้เวลาค่ะ เวลาจะทำให้เรื่องราวแย่ๆหายไป ดิฉันก็ประสบกับตัวเองมาก่อน โดนเพื่อนที่สนิทมากที่สุดหักหลังค่ะ ทำให้เกลียดเพื่อนคนนี้มากๆ ตอนนี้ดิฉันก็ออกจากกลุ่มแล้วและไม่คุยกับเพื่อนคนนี้ตลอดมาเลยค่ะ คือถ้าเพื่อนคนไหนไม่ดีเราก็คงต้องเลิกคบแหละค่ะ แต่ถ้าเพื่อนเขามาขอโทษเราก็คงต้องให้อภัย ตอนนี้เพื่อนดิฉันคนนี้ก็ได้รับผลกรรมที่ทำไว้แล้วค่ะ คือเพื่อนในกลุ่มไม่มีใครคุยด้วย เธอเลยต้องออกจากกลุ่มค่ะ และก็ทำให้มีเรื่องบาดหมางกับคนรักและเพื่อนด้วยค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 34 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร