วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 00:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 14:50
โพสต์: 69

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยได้ยินคำกล่าวว่า

"กราบไว้พระพุทธ อย่าสะดุดที่พระทองคำ
กราบไหว้พระธรรม อย่าสะดุดเอาคัมภีร์ใบลาน
กราบไหว้พระสงฆ์ อย่าสะดุดเอาลูกชาวบ้าน"
(อาจจะไม่ตรงตามต้นฉบับ แต่ก็ประมาณนี้)

ความหมายคืออะไรครับ ? สงสัยมานานแล้ว รบกวนมิตรธรรมทุกท่านช่วยเฉลยหน่อย ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบพระพุทธ ระวังสะดุดทองคำ...

กราบพระพุทธระวังจะสะดุดทองคำ หมายความว่า ระวังจะหลงติดอยู่แค่ทองเหลือง ทองคำ ที่ห่อหุ้มองค์พระอยู่นั้นแทน..

กราบที่เห็นองค์พระสวยงาม กราบเพราะยึดถือในความศักดิ์สิทธ์ หาได้เข้าไปถึงเนื้อในของพระไม่..เนื้อในของพระก็คือ...ความสะอาด อันได้แก่ ศีล ความสงบ อันได้แก่ สมาธิ ความสว่างได้แก่ ปัญญา..

เวลากราบพระ ให้น้อมเอาพระคุณทั้งสามของพระพุทธองค์มาใส่เอาไว้ในใจ นั่นก็คือ..


พระปัญญาคุณ เราจะต้องอยู่ด้วยสติปัญญา เรียนรู้ เข้าใจ สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงของมัน ไม่ไปลุ่มหลงติดอยู่ในความสมมติของมัน..

พระวิสุทธิคุณ เราจะต้องทำใจของเราให้ผ่องใส ไม่ขุ่นมัวด้วยความรู้สึกฝ่ายต่ำ

พระมหากรุณาคุณ จะต้องประกอบเมตตาธรรมเอาไว้ในใจของเราเสมอ สงสารเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ในฐานะเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันกับเรา จะไม่ไปเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ เข่นฆ่ารังแกเขา..

อย่างนี้จึงจะชื่อว่า กราบพระได้ถูกพระ..

คน ที่ไปกราบพระเพื่ออ้อนวอนขอให้พระช่วยเหลือนั้น เป็นการกราบที่ผิดหลัก พระท่านช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้หรอก แต่เราต้องทำเอง ที่พระจะช่วยเราได้ก็แค่เตือนสติให้แก่เราเท่านั้น ส่วนจะสำเร็จหรือไม่มันขึ้นอยู่กับตัวเราที่จะต้องทำเอาเอง

นี่ ถ้าหลวงพ่อในโบสถ์พูดได้ ป่านนี้ท่านคงพูดไปนานแล้วว่า ลูกเอ๊ย หัดช่วยตัวเองบ้างเถอะนะ หลวงพ่อเหนื่อยแล้ว เพราะคนนั้นก็มาขอให้หลวงพ่อช่วย คนนี้ก็มาขอให้หลวงพ่อช่วย จนหลวงพ่อไม่มีเวลาได้พักผ่อน พวกเจ้าหัดช่วยตัวเองเสียบ้าง..

ท่าน หลวงพ่อเคยเล่าว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเดินทางไปเทศน์ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดภาคกลาง ก่อนถึงเวลาเทศน์ท่านจึงได้ไปกราบพระในอุโบสถ เสร็จแล้วก็ถือโอกาสนั่งพักผ่อน สงบจิตอยู่ในโบสถ์นั้น

ครู่หนึ่งมีสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง อายุน่าจะเกินสี่สิบแล้วทั้งคู่ เข้ามากราบพระแล้วอ้อนวอนของลูกจากพระ..

"ถ้าได้ลูกชาย จะให้เขาบวชถวายแก้บนหลวงพ่อ ถ้าได้ลูกสาวจะให้พ่อเขามาบวชแก้บนแทน" ผู้เป็นภรรยาเริ่มบนบาน

"หื้อ! มัน ไม่ถูกนะเธอ ถ้าจะให้ลูกบวชแก้บนหลวงพ่อ มันก็ต้องให้เขาบวชทั้งลูกสาวลูกชายซี เป็นผู้หญิงก็บวชชีได้นี่นา คุณจะให้ผมบวชแทนลูกได้ไงกันเล่า" ผู้เป็นสามีเริ่มทักท้วง

"เอ๊ะ คุณนี่ เสียสละแค่นี้เพื่อลูกไม่ได้ บวชชีมันได้บุญมากเหมือนบวชพระที่ไหนกันเล่า เรื่องมากจัง" ผู้เป็นภรรยาตะคอกใส่

ต่อจากนั้นก็เป็นบทถกเถียงกันต่ออย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบ..

จน ภรรยาบอกว่าอย่าไปเซ้าซี้ท่านมากเดี๋ยวท่านรำคาญ ไม่ประทานลูกให้พอดีกัน โดนภรรยาขู่เข้าเช่นนี้ ฝ่ายสามีก็เลยหงอ เป็นการยอมรับคำติดสินบนพระโดยดุษณี ว่าถ้าได้ลูกสาวแล้วพ่อจะบวชแก้บนแทน..

ท่านหลวงพ่อได้ยินแล้วก็ขำอยู่ในใจ ก็คงเพราะมัวแต่เสียเวลาทะเลาะกันอยู่อย่างนี้หรือเปล่า ถึงยังไม่มีลูกกับเขาสักที..

ในคัมภีร์พระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า คนที่แต่งงานแล้วจะมีบุตรได้นั้นขึ้นอยู่กับสามองค์ประกอบดังนี้คือ..

๑. มารดา บิดา ร่วมหลับนอนกัน (มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตาโหนฺติ)
๒. มารดามีประจำเดือน (มาตา จ อุตุนี โหติ)
๓. มีวิญญาณมาปฎิสนธิ (คนฺธพฺโพ จ อุปฎฐิโต โหติ) คำแปลนี้ผู้เขียนตีความเอง ของเดิมท่านแปลไว้ว่ามีสัตว์ในครรภ์มาเกิด)

ถ้า ขาดข้อใดข้อหนึ่งไป คู่สามีภรรยานั้นก็ไม่สามารถจะมีบุตรได้ แล้วคนที่ไปอ้อนวอนขอลูกจากพระนั้น ยังไม่รู้ว่าจะให้พระท่านช่วยโดยวิธีไหน ยังสงสัย?

ย่อความจากหนังสือ ธรรมะอ่านสบาย หลากหลายแง่คิดจากหลวงพ่อปัญญา
ขออนุญาตเผยแพร่เป็นธรรมทาน..

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบไหว้พระธรรม อย่าสะดุดเอาคัมภีร์ใบลาน

ความคิดเห็นของผมเองนะครับ คือ อย่าเป็นเหมือน ท่าน โปฐิละ หรือท่านใบลานเปล่า ที่หลงแบก
คัมภีร์เสียตั้งนาน แต่ไม่ได้ ลงมือปฏิบัติเอง จึงยังจิตไม่เห็นธรรมแท้ ๆ

แต่ต่อมาท่านยอมวาง คัมภีร์ มาลดทิฏฐิมานะของตัวเอง โดยให้ สามเณร สอน จึงได้บรรลุพระอรหัต


กราบไหว้พระสงฆ์ อย่าสะดุดเอาลูกชาวบ้าน

อย่่าดูว่าพระสงฆ์ นั้นคือใคร แต่ดูที่ ปฏิปทา การประพฤติปฏิบัติของท่านดีกว่า และเอาท่านเป็นแบบอย่างแล้วเราก็เดินตามท่าน เหมือนอย่างที่ท่านเดินตาม รอย พระศาสดา

ใครมีความคิดเห็นดีๆ ก็ มาเล่าให้ฟังบ้างครับ

ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ :b39:

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2009, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:
cool

สวัสดีครับ ขอเข้ามาร่วมตอบกระทู้ด้วย :b6:

ในความคิดของผม คำพูดที่ยกมานั้น ก็เพื่อเตือนสติให้รู้จักแสวงหาความหมายที่แท้จริงของพระรัตนตรัย ไม่ใช่ติดอยู่ตรงที่เปลือกกระพี้ ไม่เข้าไปสู่แก่นแท้ของธรรมอันเป็นสรณะที่พึ่งอันสูงสุด

กราบพระพุทธ ต้องน้อมจิตน้อมใจให้เห็นถึงพระพุทธคุณ ว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่ฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ดังนี้... ไม่ใช่กราบพระพุทธ แต่ไปสะดุด อยู่กับสมมติ ว่าองค์พระมีมูลค่าอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นการบูชาที่ติดเพียงกรอบ หรือเปลือกนอก ไม่เห็นพุทธะที่แท้...(อันที่จริงก็คือ ดิน ทราย ปูน ก้อนโลหะ ทั้งนั้น)

กราบพระธรรม ต้องน้อมจิตให้เห็นถึงพระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาสู่ตัว และผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตนดังนี้... ไม่ใช่กราบพระธรรมแต่ไม่ได้น้อมนำเอาพระธรรมนำไปปฏิบัติ พระธรรมก็เป็นเพียงคัมภีร์ใบลาน หรือเป็นพระไตรปิฏกสมมติ เป็นเพียงวัตถุ ซึ่งไม่มีสาระอะไร ก็เป็นเพียงเปลือกกระพี้นั่นเอง...

กราบพระสงฆ์ ต้องน้อมจิตให้เห็นถึงพระสังฆคุณ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมอันเป็นเครื่องออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควร โดยเฉพาะพระอริยสงฆ์ อันได้แก่คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ หรือบุรุษ ๘ บุรุษ ซึ่งควรแก่การสักการะบูชา เป็นเนื้อนาบุญของโลก... ไม่ใช่กราบสมมติสงฆ์ ที่แค่โกนหัว นุ่งห่มผ้าเหลือง ซึ่งก็เป็นเพียงบุคคลธรรมดา ลูกชาวบ้านดีดีนี่เอง ท่านพุทธทาสท่านหมายถึง สงฆ์เทียมที่อาศัยผ้าเหลือง มาแอบแฝง เป็นมารศาสนา ซึ่งในสังคมพุทธขณะนี้มีมากขึ้นทุกที

ท้ายนี้ขอยกบทธรรมของท่านพ่อลี ธัมมธโร เพื่อประกอบการพิจารณาครับ

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

อธิบายพระไตรสรณคมณ์

พระรัตนตรัยนี้เป็นที่พึ่งอันศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้ถือมั่นเชื่อมั่น และกระทำให้เกิดขึ้นพร้อมทั้งกาย วาจา จิต คือให้เห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในจิตจริง ๆ เดี๋ยวนี้คนเราโดยส่วนมาก ถึงพระพุทธแต่เงา คือไหว้กันแต่รูปที่เปรียบ ถึงพระธรรมก็แต่นึกเห็นแต่ขั้นปริยัติ ไม่ค่อยปฏิบัติให้ถึงปฏิเวธ ถึงพระสงฆ์ก็เสมอเห็นโกนผม ห่มผ้าเหลืองเท่านั้น ถ้าถึงกันเสมอเท่านี้ ก็ไม่อาจจะปิดอบายได้ ฉะนั้นผู้นับถือจริง ๆ แล้วจงให้เข้าถึงจิตใจ จึงจะเป็นผู้เชื่อมั่นไม่งมงาย อีกนัยหนึ่ง แก้ว ๓ ประการนี้ ถ้าใครเชื่อมั่นด้วยดีแล้ว จักกันภัยที่ตนหวาดเสียวได้จริง ๆ ในปัจจุบันนี้คนเราโดยมาก ความรู้ ความเห็น เลยของดีไปเสีย เพราะยังตื่นข่าวกันไปต่าง ๆ ถ้าเอะอะลืมพระรัตนตรัยแล้ว ขนลุก ตาใส ใบหูชัน หวั่นไหวไปเหมือนกระต่ายตื่นตูม วิ่งไปกระโดดไปฉะนั้น พูดถึงข้างหน้า ถ้าใคร ๆ มีความเชื่อมั่นแล้วในจิตใจ บุคคลผู้นั้นเชื่อว่าได้ที่พึ่งอันประเสริฐ จักไม่ไปเกิดในอบายภูมิสี่เป็นเด็ดขาด สมกับบาทพระคาถา ที่มาในมาหาสมยสูตรว่า

“เยเกจิ พุทธัง สรณัง คตา เส น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมิ ปกาย มานุสัง เทหัง เทวกายัง ปริปูเรสฺสนฺตีติ”

แปลความว่า นรชนทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะที่พึ่ง(ภายในใจ) ชนทั้งหลายเหล่านั้นจักไม่ไปเกิดในอบายสี่ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉานเมื่อละกายของมนุษย์แล้ว จักได้ยังกายทิพย์ให้บริบูรณ์ดังนี้

ถ้าเราเชื่อมั่นแล้ว ไม่ควรไปเชื่อถือของศักดิ์สิทธิ์ที่สมมติกันขึ้นภายนอกโดยหาเหตุผลมิได้ เห็นคนอื่นเขาพาทำ ก็หลับตาทำไปโดยอาการต่าง ๆ แล้วอาจทำให้พระไตรสรณคมน์เสื่อมและเศร้าหมองไป ใจเราก็หมดหลักฐานที่พึ่งอาศัย แล้วก็จักเกิดความสงสัยฟุ้งซ่านไป นับถือนอกรีตนอกรอย พลอยลุ่มหลงไปต่าง ๆ ลักษณะของผู้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งแล้ว ย่อมมีกายอ่อนน้อม มีวาจาอ่อนโยน และย่อมปรารภถึงเสมอพร้อมทั้งน้ำใจ ประกอบด้วยปัญญา พิจารณารู้เห็นความจริงของตนว่า เราเกิดมานี้เพราะกรรม เราเป็นอยู่นี้เพราะกรรม เราตายไปนี้เพราะกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ดังนี้ใคร ๆ จะมาช่วยความเป็นความตายให้เราไม่ได้ เมื่อมีความเชื่อมั่น หมั่นระลึกศึกษา ภาวนาอยู่เป็นนิตย์แล้ว เท่ากับสาธยายมนต์ทิพย์อันประเสริฐ นับเป็นหลักทางใจในทางพุทธศาสนาส่วนหนึ่ง....

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


[quote]ในความคิดของผม คำพูดที่ยกมานั้น ก็เพื่อเตือนสติให้รู้จักแสวงหาความหมายที่แท้จริงของพระรัตนตรัย ไม่ใช่ติดอยู่ตรงที่เปลือกกระพี้ ไม่เข้าไปสู่แก่นแท้ของธรรมอันเป็นสรณะที่พึ่งอันสูงสุด [/quote]

===>เตือนสติ เพื่อให้เกิดสติ เมื่อมีสติอยู่กับตัว การเข้าถึงไตรรัตนะ ก็ง่ายขึ้น ไม่ใช่กราบไหว้ในสิ่งที่วัตถุหรือตัวตนบุคคล แต่กราบไหว้เพราะเป็นคุณธรรม เป็นตัวแทนแห่งคุณงามความดี และวิหารธรรม อะไรประมาณนี้ใช่หรือป่าวครับ
........"นะอยู่หัว สามตัวอย่าละ."


แก้ไขล่าสุดโดย อินทรีย์5 เมื่อ 29 ก.ย. 2009, 13:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุครับ

ดีทุกคำตอบ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 02:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญาเพียงดังแผ่นดินย่อมเกิด เพราะความประกอบโดยแท้
ความสิ้นไปแห่งปัญญาเพียงดังแผ่นดิน เพราะความไม่ประกอบ
บัณฑิตรู้ทางสองแพร่งแห่งความเจริญและความเสื่อมนี้แล้ว
พึงตั้งตนไว้โดยอาการที่ปัญญาเพียงดังแผ่นดิน จะเจริญขึ้นได้




แม้ถ้าบุคคลประดับแล้ว
พึงประพฤติสม่ำเสมอ
เป็นผู้สงบ ฝึกแล้ว เที่ยงธรรม
มีปกติประพฤติประเสริฐ
วางเสียซึ่งอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก,
บุคคลนั้น เป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นภิกษุ



เจริญในธรรมครับ.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร