วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 06:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สมิทธิสูตร ที่ ๔ ข้อ ๗๕


ท่านพระสมิทธิ ทูลถามพระผู้มีพระภาคฯ ว่า


"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

ที่เรียกว่า โลก โลก ดังนี้

ด้วยเหตุเพียงเท่าไร

จึงเป็นโลก หรือ บัญญัติ ว่า โลก."


พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า


"ดูกร สมิทธิ

จักขุ รูป จักขุวิญญาณ

ธรรม ที่จะพึง รู้แจ้งด้วยจักขุวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด

โลก หรือ การบัญญัติ ว่า โลก ก็มีอยู่ ณ ที่นั้น ฯลฯ"


.


การที่จะรู้แจ้ง โลก ได้นั้น

ก็เพราะ มี ตา....จึง เห็น สีสันวัณณะของโลก.

มี หู...จึง ได้ยินเสียงของโลก

มี ลิ้น........จึง ได้รู้รสของโลก

มี กาย...จึง ได้รู้เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว ของโลก.

(มี ใจ...จึงรู้ ธรรมารมณ์ และ เรื่องราวของโลก)



ถ้าไม่มีทาง (ทวาร) เหล่านี้เลย.!

"โลก"

จะปรากฏไหม.?


.


ขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส

ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย และ ไม่มีการคิดนึก

โลกไหน จะ ปรากฏ.?


.


โลกใด ๆ ย่อมไม่ปรากฏ.!


ฉะนั้น

สิ่งที่ยึดถือว่า เป็น โลกที่กำลังปรากฏ ขณะนี้.!

ก็เพราะ เห็น....เห็น อะไร.?


เห็น...โลก

คือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา นั้นเอง ที่เป็นโลก.


ได้ยิน...เสียง อะไร.?


เสียง คือ โลก อีกเช่นกัน.

เพราะถ้าไม่มีเสียงเลย...ก็ไม่มีการได้ยิน

และ โลกของเสียง ก็ไม่มีเลย.!


ฉะนั้น

"โลก"

ซึ่งประกอบด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ธรรมารมณ์) นั้น

ปรากฏได้.!

เพราะมี "ทาง"

คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ.


จึงไม่ต้องแสวงหา โลก จากที่อื่น

......เพราะไม่ว่าจะอยู่ ณ โลกไหน

โลก นั้น ๆ จะปรากฏได้..............

ก็เพราะมี ตา เป็นปัจจัยให้ เห็น

มี หู.............เป็นปัจจัยให้ ได้ยิน

มี จมูก......เป็นปัจจัยให้ ได้กลิ่น

มี ลิ้น..............เป็นปัจจัยให้ รู้รส

มี กาย เป็นปัจจัยให้รู้โผฏฐัพพะ

และ

มี ใจ

(เป็นปัจจัยให้รู้ ธรมารมณ์)

เป็นปัจจัยให้ คิดนึก เรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา

ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ.


.


พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า


"ดูกร สมิทธิ

จักขุ รูป จักขุวิญญาณ

ธรรม ที่พึงรู้แจ้งด้วยจักขุวิญญาณ ไม่มี ณ ที่ใด

โลก หรือ การบัญญัติ ว่า โลก ก็ไม่มี ณ ที่นั้น.

ฯลฯ

ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ

ธรรม ที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ ไม่มี ณ ที่ใด

โลก หรือ การบัญญัติ ว่า โลก ก็ไม่มี ณ ที่นั้น.
รูปธรรมทั้งหมดเป็นอารัมณปัจจัยแก่กุศลจิต แต่ไม่เป็นอารัมณาธิปติปัจจัย

แก่กุศลจิต เพราะรูปเป็นอารัมณาธิปติปัจจัยได้เฉพาะอกุศลเท่านั้น ส่วนนาม

ธรรม เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยทั้งกุศลจิตและอกุศลจิตได้ เพราะเหตุว่า

ขณะที่จิตมีรูปเป็นปัจจัยอย่างหนักแน่น มีอารมณ์เป็นใหญ่ยิ่งเป็นปัจจัย จิต

จะเป็นกุศลไม่ได้ ต้องเป็นอกุศลเท่านั้นครับ เพราะสภาวของกุศลธรรมต่างจาก

อกุศลธรรมที่ติดข้องต้องการอย่างยิ่งในอิฏฐารมณ์

วิถีจิตต้องเป็นขณะชวนวิถี ทั้งปัญจทวารและมโนทวาร เพราะมโนทวารรับอารมณ์

ต่อจากปัญจทวาร ส่วนนามธรรมเป็นอารัมณาธิปติปัจจัย แก่วิถีจิตทางมโนทวารเท่านั้น
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 259

[๓๕๙] อกุศลกรรมบถ ๑๐

๑. ปาณาติบาต ๒. อทินนาทาน

๓. กาเมสุมิจฉาจาร ๔. มุสาวาท

๕. ปิสุณาวาจา ๖. ผรุสาวาจา

๗. สัมผัปปลาปะ ๘. อภิชฌา

๙. พยาบาท ๑๐. มิจฉาทิฏฐิ.


[๓๖๐] กุศลกรรมบถ ๑๐

๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนาเครื่องเว้น จากการยังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป

๒. อทินนาทานา เวรมณี เจตนาเครื่องเว้น จากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้

๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เจตนาเครื่องเว้น จากการประพฤติผิดในกาม

๔. มุสาวาท เวรมณี เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดเท็จ

๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดส่อเสียด

๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดคำหยาบ

๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เจตนาเครื่องเว้น จากการพูดเพ้อเจ้อ

๘. อนภิชฌา ความไม่โลภอยากได้ของเขา

๙. อัพยาบาท ความไม่ปองร้ายเขา

๑๐. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ.



สังฆทาน หมายถึง ทานที่ถวายแก่สงฆ์ โดยมากหมายถึงการถวาย
อาหาร แต่การถวายไทยธรรมอย่างอื่น ก็เป็นการให้ทานแก่สงฆ์ได้

( สังฆทาน ) เช่น การถวายผ้า จีวร การถวายยารักษาโรค การถวายกุฎีวิหาร

เป็นต้น ฉะนั้น ไทยธรรมที่ควร ถวายแก่พระสงฆ์จึงมีหลายอย่าง และไม่จำ

เป็นต้องเป็นกระป๋องสีเหลือง หรือมี เครื่องใช้ที่ทางร้านค้ากำหนด อีกอย่าง

หนึ่ง การจะเป็นสังฆทาน ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ กระป๋องสีเหลือง แต่ขึ้นอยู่ที่

ความเข้าใจว่าสงฆ์คืออะไร สภาพจิตใจที่เคารพยำเกรงต่อสงฆ์ สภาพจิตที่ไม่

หวั่นไหวเมื่อผู้รับเป็นพระเถระหรือพระใหม่ มีศีลหรือทุศีลไม่เลือก หรือเจาะจง

ภิกษุรูปใดรูปใดรูปหนึ่ง เป็นต้น


พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ หน้าที่ 394

[๗๑๒] ดูก่อนอานนท์ ก็ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์มี ๗ อย่าง คือ ให้

ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์

ประการที่ ๑. ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว เป็น

ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว นี้เป็น

ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๒. ให้ทานในภิกษุสงฆ์ นี้เป็นทักษิณาที่

ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๓. ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้ว

ในสงฆ์ประการที่ ๔. เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวน

เท่านี้ ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้าแล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์

ประการที่ ๕. เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่

ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๖. เผดียงสงฆ์

ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน

เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๗.

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 407

แม้ทักขิณาที่ถวายสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข อันพระผู้มีพระภาค-

เจ้าตรัสว่า มีผลนับไม่ได้ ด้วยการนับคุณ ด้วยประการฉะนี้. แม้ทักขิณาที่

ให้ในสงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอ ตรัสว่ามีผลนับไม่ได้ ด้วยการนับคุณ

เหมือนกัน. ก็ทักขิณาที่ถึงสงฆ์ย่อมมีแก่บุคคลผู้อาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์

แต่ความยำเกรงในสงฆ์ ทำได้ยาก. ก็บุคคลได้เตรียมไทยธรรมด้วยคิดว่า

เราจักให้ทักขิณาถึงสงฆ์ ไปวิหารแล้วเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจง

ให้พระเถระรูปหนึ่งเจาะจงสงฆ์เถิด. ลำดับนั้น ได้สามเณรจากสงฆ์ย่อมถึง

ความเป็นประการอื่นว่า เราได้สามเณรแล้ว ดังนี้. ทักขิณาของบุคคลนั้น

ย่อมไม่ถึงสงฆ์. เมื่อได้พระมหาเถระแม้เกิดความโสมนัสว่า เราได้มหาเถระ

แล้ว ดังนี้ ทักขิณาก็ไม่ถึงสงฆ์เหมือนกัน. ส่วนบุคคลใดได้สามเณร ผู้อุป-

สมบทแล้ว ภิกษุหนุ่ม หรือเถระ ผู้พาลหรือ บัณฑิต รูปใดรูปหนึ่งจาก

สงฆ์แล้ว ไม่สงสัย ย่อมอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ว่า เราจะถวายสงฆ์.

ทักขิณาของบุคคลนั้นเป็นอัน ชื่อว่าถึงสงฆ์แล้ว.



ไม่มีใครหนีผลกรรมที่ทำไว้แล้วได้ เช่น เมื่อทำกุศลกรรมมาแล้ว ถึง

เวลาที่กุศลกรรมจะให้ผล แม้ไม่อยากได้ก็ต้องได้ ไม่อยากรวยก็ต้องรวย

อยู่ดีๆ ก็มีคนมาเชิญให้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้ไม่อยากเป็น เขาก็เชิญ

ให้เป็น สำหรับผลของอกุศลกรรมก็โดยนัยเดียวกัน กล่าวคือ แม้ไม่อยาก

ให้เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถจะยับยั้งได้ เช่น ได้ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงหนักเบา

ต่างๆ กันไป ตามควรแก่กรรม (อกุศลกรรม) ที่ได้กระทำไว้แล้ว เจ็บป่วยด้วย

โรคร้ายต่างๆ หรือลงทุนค้าขายก็ประสบปัญหาขาดทุน ล้มละลาย เป็นต้น

บางคนคิดว่าตนเองฉลาด จึงพยายามจะทำความดีลบล้างความชั่ว

เช่น ได้เงินมาหลายร้อยล้านด้วยการทุจริต คอรัปชั่น ก็นำเงินที่ได้แบ่งไปทำ

บุญกฐิน ผ้าป่า หรือ บริจาคช่วยเหลือคนยากจน ด้วยคิดว่าจะได้หักกลบลบ

หนี้กันไป แต่โดยสภาพความเป็นจริงแล้ว การให้ผลของกรรมมิได้ปะปนกัน

เลย กรรมชั่วที่ได้กระทำไปเรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องรับผลในส่วนของกรรมชั่ว

อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็ว ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า ส่วนกรรมดีที่ได้กระทำ

ก็รอโอกาสที่จะให้ผลต่อไป

แม้พระพุทธองค์ ก็ไม่สามารถจะพ้นจากกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วใน

อดีตชาติ ดังได้ทรงแสดงอกุศลกรรมในอดีตชาติ อันเป็นเหตุให้พระองค์

ประสบกับทุกขเวทนาต่างๆ ในพระชาตินี้ ตัวอย่างที่ขอยกมากล่าวในที่นี้คือ

การที่ต้องบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ พรรษา ทรงแสดงบุรพกรรมของพระ-

องค์ดังข้อความใน อรรถกถา พุทธวรรคที่ ๑ พุทธปาทาน ว่า “ก็ในกาลนั้น

เราได้เป็นพราหมณ์ชื่อโชติปาละ ได้กล่าวกับพระกัสสปสุคตเจ้าว่า การตรัสรู้

ของสมณโล้นจักมีมาแต่ไหน การตรัสรู้เป็นของยากยิ่ง เพราะวิบากกรรมอัน

นั้น เราจึงต้องทำทุกรกิริยามากมายอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาถึง ๖ ปี จึงบรรลุพระ-

โพธิญาณ…” ด้วยวิบากกรรมนั้น ทำให้พระองค์ปฏิบัติผิดอันเป็นเหตุให้

พระองค์ต้องทุกข์ทรมานพระวรกายอย่างยิ่ง กว่าจะทรงทราบว่าการบำเพ็ญ

ทุกรกิริยาเป็นข้อปฏิบัติที่ผิด และมิใช่หนทางที่จะบรรลุพระอนุตตรสัมมา-

สัมโพธิญาณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2009, 03:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออธิบายทีละยกนะคะ

อ้างคำพูด:
ท่านพระสมิทธิ ทูลถามพระผู้มีพระภาคฯ ว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า โลก / โลก ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร จึงเป็นโลก /หรือ บัญญัติ ว่า โลก."

พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า
"ดูกร สมิทธิ จักขุ รูป จักขุวิญญาณ ธรรม ที่จะพึง รู้แจ้งด้วยจักขุวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด /โลก หรือ การบัญญัติ ว่า โลก ก็มีอยู่ ณ ที่นั้น ฯลฯ"


หลักธรรมที่ได้รู้แจ้งแล้ว มีอยู่ที่ การบัญญัติว่า โลก ก็มีอยู่ ณ ที่นั้น <--- นี่คือคำอธิบายของคพตรัสตอบของพระพุทธองค์ค่ะ เมื่อดวงตาเห็นธรรม ย่อมรู้ความจริง รู้ไตรลักษณ์ รู้ว่าโลกนี้มีเกิด ก็มีดับ แต่การจะเกิดของโลกนั้น ขึ้นอยู่กับการบัญญัติที่ได้ถูกกำหนดมาแล้วน่ะค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2009, 03:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
การที่จะรู้แจ้ง โลก ได้นั้น ก็เพราะ มี ตา....จึง เห็น สีสันวัณณะของโลก. มี หู...จึง ได้ยินเสียงของโลก มี ลิ้น........จึง ได้รู้รสของโลก มี กาย...จึง ได้รู้เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว ของโลก. (มี ใจ...จึงรู้ ธรรมารมณ์ และ เรื่องราวของโลก)

ถ้าไม่มีทาง (ทวาร) เหล่านี้เลย.!
"โลก" จะปรากฏไหม.?

ขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย และ ไม่มีการคิดนึก โลกไหน จะ ปรากฏ.?

โลกใด ๆ ย่อมไม่ปรากฏ.!


ถ้าไม่มีประสาทสัมผัสใดๆ โลกก็ย่อมปรากฎ รับรู้ด้วยดวงตาแห่งธรรมค่ะ โลกที่เป็นโลกของเรา นั่นแหละค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม สัจธรรมกำหนดว่า สิ่งใดๆ ย่อมมีประสาทสัมผัสทั้งหก นั่นเป็นความจรองที่ปฏิเสธไม่ได้ (ตาบอด หูบอด ลิ้นขาด... ไม่เกี่ยว เพราะยังไงก็มีโลก)




อ้างคำพูด:
ฉะนั้น สิ่งที่ยึดถือว่า เป็น โลกที่กำลังปรากฏ ขณะนี้.! ก็เพราะ เห็น....เห็น อะไร.? เห็น...โลก คือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา นั้นเอง ที่เป็นโลก. ได้ยิน...เสียง อะไร.? เสียง คือ โลก อีกเช่นกัน. เพราะถ้าไม่มีเสียงเลย...ก็ไม่มีการได้ยิน และ โลกของเสียง ก็ไม่มีเลย.! ฉะนั้น "โลก" ซึ่งประกอบด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ธรรมารมณ์) นั้น ปรากฏได้.!

เพราะมี "ทาง" คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ. จึงไม่ต้องแสวงหา โลก จากที่อื่น ......เพราะไม่ว่าจะอยู่ ณ โลกไหน

โลก นั้น ๆ จะปรากฏได้.............. ก็เพราะมี ตา เป็นปัจจัยให้เห็น. มี หู.............เป็นปัจจัยให้ ได้ยิน. มี จมูก......เป็นปัจจัยให้ ได้กลิ่น. มี ลิ้น..............เป็นปัจจัยให้ รู้รส. มี กาย เป็นปัจจัยให้รู้โผฏฐัพพะ และ มีใจ (เป็นปัจจัยให้รู้ ธรมารมณ์) เป็นปัจจัยให้ คิดนึก เรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ.


ถ้ามีประสามสัมผัสทั้งหก การมีโลก ก็เห็น(รู้แจ้ง) ว่าด้วยการมีอยู่ของโลก เหตุผลการมีอยู่น่ะค่ะ

คำตรัสพระพุทธองค์ที่ตอบสมิทธิ ว่าด้วยเรื่อง การมีอยู่ของโลก ตีความได้ถึงเหตุผลของการมีโลก ซึ่งไม่ใช่ว่าด้วยประสาทสัมผัส เหตุผลของการมีโลก คือ ให้เป็นที่อยู่ของมนุษย์ค่ะ

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะมีประสาทสัมผัสหรือไม่ โลกก็ยังคงมี เพราะมนุษย์ไม่มีทางหมดไป โลกใหม่ก็ยังมีมนุษย์ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2009, 03:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า
"ดูกร สมิทธิ จักขุ รูป จักขุวิญญาณธรรม ที่พึงรู้แจ้งด้วยจักขุวิญญาณ ไม่มี ณ ที่ใด
โลก หรือ การบัญญัติ ว่า โลก ก็ไม่มี ณ ที่นั้น ฯลฯ


ข้อนี้หมายถึง ไม่ว่าอะไรที่รู้แจ้งด้วยธรรม ดวงตาแห่งธรรม ณ ที่นั้น ไม่มีโลกค่ะ เพราะทุกสิ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่กิเลสสมมติขึ้นทั้ง มีที่แน่นอน แน่แท้ ประเสริฐสุด ก็คือ ธรรม และ พระนิพพาน

ที่พระนิพพาน (อยู่ทุกแห่งทุกที่) ในโลกศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่มีโลก และ ไม่มีการบัญัติโลกค่ะ


อ้างคำพูด:
ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณธรรม ที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ ไม่มี ณ ที่ใด
โลก หรือ การบัญญัติ ว่า โลก ก็ไม่มี ณ ที่นั้น.


เหมือนดวงตาธรรมนั่นแหละค่ะ เมื่อรู้แจ้ง จิตที่รู้แจ้ง ณ ที่นั้น ไม่มีโลก ไม่มีการบัญญัติแห่งโลกค่ะ



อ้างคำพูด:
รูปธรรมทั้งหมดเป็นอารัมณปัจจัยแก่กุศลจิต แต่ไม่เป็นอารัมณาธิปติปัจจัยแก่กุศลจิต เพราะรูปเป็นอารัมณาธิปติปัจจัยได้เฉพาะอกุศลเท่านั้น

ส่วนนามธรรม เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยทั้งกุศลจิตและอกุศลจิตได้ เพราะเหตุว่าขณะที่จิตมีรูปเป็นปัจจัยอย่างหนักแน่น มีอารมณ์เป็นใหญ่ยิ่งเป็นปัจจัย จิตจะเป็นกุศลไม่ได้ ต้องเป็นอกุศลเท่านั้นครับ เพราะสภาวของกุศลธรรมต่างจากอกุศลธรรมที่ติดข้องต้องการอย่างยิ่งในอิฏฐารมณ์


สภาวะของกุศลธรรม และ อกุศลกรรม ไม่แตกต่างค่ะ 'สภาวะ' นะคะ ต้องแยกออกจากตัวจิต สภาวะก็คือสภาวะ เป็นนามธรรม มีอยู่ อยู่แบบเดิมของสภาวะนั้น แต่จิตต่างหากที่แตกต่าง จิตที่เป็นกุศล และจิตที่ไม่เป็นกุศล ต่างกันที่สภาวะที่เกาะติดจิตอยู่ ซึ่งนั่นก็จะนำมาซึ่งการกระทำที่ต่างกัน ผลก็ต่างกันค่ะ


อ้างคำพูด:
วิถีจิตต้องเป็นขณะชวนวิถี ทั้งปัญจทวารและมโนทวาร เพราะมโนทวารรับอารมณ์ต่อจากปัญจทวาร ส่วนนามธรรมเป็นอารัมณาธิปติปัจจัย แก่วิถีจิตทางมโนทวารเท่านั้น
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 259


ข้อนี้ถูกต้องเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2009, 04:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ไม่มีใครหนีผลกรรมที่ทำไว้แล้วได้ เช่น เมื่อทำกุศลกรรมมาแล้ว ถึง

เวลาที่กุศลกรรมจะให้ผล แม้ไม่อยากได้ก็ต้องได้ ไม่อยากรวยก็ต้องรวย

อยู่ดีๆ ก็มีคนมาเชิญให้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้ไม่อยากเป็น เขาก็เชิญ

ให้เป็น สำหรับผลของอกุศลกรรมก็โดยนัยเดียวกัน กล่าวคือ แม้ไม่อยาก

ให้เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถจะยับยั้งได้ เช่น ได้ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงหนักเบา

ต่างๆ กันไป ตามควรแก่กรรม (อกุศลกรรม) ที่ได้กระทำไว้แล้ว เจ็บป่วยด้วย

โรคร้ายต่างๆ หรือลงทุนค้าขายก็ประสบปัญหาขาดทุน ล้มละลาย เป็นต้น

บางคนคิดว่าตนเองฉลาด จึงพยายามจะทำความดีลบล้างความชั่ว

เช่น ได้เงินมาหลายร้อยล้านด้วยการทุจริต คอรัปชั่น ก็นำเงินที่ได้แบ่งไปทำ

บุญกฐิน ผ้าป่า หรือ บริจาคช่วยเหลือคนยากจน ด้วยคิดว่าจะได้หักกลบลบ

หนี้กันไป แต่โดยสภาพความเป็นจริงแล้ว การให้ผลของกรรมมิได้ปะปนกัน

เลย กรรมชั่วที่ได้กระทำไปเรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องรับผลในส่วนของกรรมชั่ว

อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็ว ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า ส่วนกรรมดีที่ได้กระทำ

ก็รอโอกาสที่จะให้ผลต่อไป


ถูกเลยค่ะ


อ้างคำพูด:
แม้พระพุทธองค์ ก็ไม่สามารถจะพ้นจากกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีตชาติ ดังได้ทรงแสดงอกุศลกรรมในอดีตชาติ อันเป็นเหตุให้พระองค์ประสบกับทุกขเวทนาต่างๆ ในพระชาตินี้ ตัวอย่างที่ขอยกมากล่าวในที่นี้คือการที่ต้องบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ พรรษา ทรงแสดงบุรพกรรมของพระองค์ดังข้อความใน อรรถกถา พุทธวรรคที่ ๑ พุทธปาทาน ว่า “ก็ในกาลนั้นเราได้เป็นพราหมณ์ชื่อโชติปาละ ได้กล่าวกับพระกัสสปสุคตเจ้าว่า การตรัสรู้ของสมณโล้นจักมีมาแต่ไหน การตรัสรู้เป็นของยากยิ่ง เพราะวิบากกรรมอันนั้น เราจึงต้องทำทุกรกิริยามากมายอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาถึง ๖ ปี จึงบรรลุพระโพธิญาณ…” ด้วยวิบากกรรมนั้น ทำให้พระองค์ปฏิบัติผิดอันเป็นเหตุให้พระองค์ต้องทุกข์ทรมานพระวรกายอย่างยิ่ง กว่าจะทรงทราบว่าการบำเพ็ญทุกรกิริยาเป็นข้อปฏิบัติที่ผิด และมิใช่หนทางที่จะบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ


การบำเพ็ญทุกรกิริยาของพระพุทธองค์ ไม่ได้เป็นผลมาจากอกุศลกรรมค่ะ แต่เป็นเหตุที่จะทำให้พระองค์ทรงเข้าถึงหลักความจริงที่ว่า ต้องกายดีใจเบิกบาน จึงจะสามารถตรัสรู้ได้ค่ะ

ทุกรกิริยาไม่ใช่วิบากกรรมค่ะ พระพุทธองค์จะไม่ทรมานค่ะ แต่จุฬาภินันท์ไม่รู้ว่าทรงรู้สึกเช่นไร รู้แต่ว่าดีใจมากที่ทรงไม่ทุกข์ทรมาน

พระพุทธองค์ไม่มีวิบากกรรม ไม่มีกรรมใดๆ พระองค์ลงมาจุติ เพื่อโปรดชาวโลก เพราะทรงเมตตาค่ะ สัจธรรมยุติธรรมเสมอ ในเมื่อพระองค์ลงมาด้วยกุศลจิต พระองค์ย่ิอมไม่พบผลของอกุศลกรรมค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 96 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron