ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ใครมีความรู้ช่วยตอบด้วยครับ สังฆาทิเสส http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=25449 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | man1 [ 05 ก.ย. 2009, 17:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | ใครมีความรู้ช่วยตอบด้วยครับ สังฆาทิเสส |
เคยทำสังฆาทิเสสตอนบวช สึกแล้วผิดไหมครับ แล้วถ้าบวชอีกจะผิดไหมครับ ผมปิดบังแล้วสึกอยากบวชใหม่ต้องทำอย่างไรบ้างครับ |
เจ้าของ: | Supareak Mulpong [ 05 ก.ย. 2009, 18:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครมีความรู้ช่วยตอบด้วยครับสังฆาทิเสส |
สึกอุปสมบทใหม่ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... 655&Z=7210 ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ปิดบังไว้แล้วสึก เธออุปสมบทใหม่ ไม่ปิดบังอาบัติเหล่านั้นพึงให้ปริวาสในกองอาบัติตามที่ปิดบังไว้ครั้งก่อน แล้วให้มานัตแก่ภิกษุนั้น ให้ไปแสดงความผิดต่อคณะสงฆ์ ๔ รูป กล่าวคำขอโทษ http://www.dhammajak.net/suadmon1/190.html อยู่กรรมหรือโดนกักบริเวณ กล่าวคำขอโทษต่อหน้าคณะสงฆ์ จำนวนวันแล้วแต่ความผิด |
เจ้าของ: | -dd- [ 05 ก.ย. 2009, 18:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครมีความรู้ช่วยตอบด้วยครับสังฆาทิเสส |
ก็มีสองทางครับ 1. (หากมีโอกาส หรือตั้งใจ ด้วยหวังใจอย่างยิ่งที่อยากจะทำตัวเองให้บริสุทธิ์) กลับไปบวชใหม่ ๑ อยู่ปริวาส (อยู่กรรม), ๒ ประพฤติมานัต (มานัต แปลว่า นับ) คือ๑. ต้องสวดแจ้ง(ประจาน)แก่พระสงฆ์ในวัดทุกวัน (จนครบวันตามที่ปกปิดไว้) เป็นการประจานตัวเอง และในวันนั้น ๆ หากมีภิกษุรูปใด รูปหนึ่งที่เข้ามาในวัดที่เราอยู่ปริวาส เราต้องรีบไปบอก (เป็นการสวดคำบาลี), ๓ ออกกรรม (วุฏฐานวิธี), ๔ สวดอัพภาน 2. สิ่งที่ผ่านมาแล้ว ก็ถือว่าก้มหน้ารับกรรม(ในอดีต), ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด โดยตั้งใจรักษาศีล ๕ ด้วยเจตนาอันมุ่งมั่น ประพฤติปฏิบัติธรรม แม้จะมีอุปสรรคใด ๆ ก็ไม่ท้อถอยไม่ท้อแท้ ถึงพระรัตนตรัย มุ่งทำจิตให้เป็นสมาธิ แผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งปวง (พยายามสร้างกรรมดี ยิ่ง ๆ ขึ้น) คนเราก็มีทั้งดี ทั้งไม่ดี เมื่อรู้ว่าสิ่งใดไม่ดีก็ให้ละ สิ่งใดดี ก็หมั่นเจริญให้มีในตน ถือได้ดังนี้ ชีวิตก็ยิ้มได้ แม้ตายก็ไม่กลัว ให้นึกน้อมแต่สิ่งดี ๆ (ผลจะเป็นอย่างไร อย่าไปคำนึงถึง) ก็แนะได้เท่านี้แหละครับ ขอให้บำเพ็ญตนถูกต้องแบบพุทธมามกะโดยแท้ จะไม่หวั่นต่อสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ (ถึงจะมีกรรมใด ๆ มาให้ชดใช้ ก็ผึ่งผายรับกรรมนั้นไม่กลัวเอง เพราะไม่มีใครหลีกเลี่ยงกรรมไปได้) ที่มา http://larndham.net/index.php?showtopic=11598&st=0 |
เจ้าของ: | man1 [ 05 ก.ย. 2009, 19:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครมีความรู้ช่วยตอบด้วยครับสังฆาทิเสส |
ถ้าไม่แก้มีโทษอย่างไรบ้างปิดกั้นนิพพานไหม |
เจ้าของ: | moddam [ 06 ก.ย. 2009, 17:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครมีความรู้ช่วยตอบด้วยครับสังฆาทิเสส |
ฟันธง ครับ ผิดครับ 100 % ถ้าบวชอีกก็ยังคงเป็นสังฆาฑิเสสอยู่ครับ คุณห้าม มรรคผลอยู่ตอนนี้แน่นอน ถ้าไม่แก้ ต้องบวชแล้วไป เข้า ปริวาสกรรม ตามจำนวนวันที่ปกปิดไว้ครับ ปิดไว้ ปีหนึ่ง ก็อยู่ใช้กรรมปีหนึ่ง แล้วมาอยู่มานัต อีก 6 ราตรี แล้ว ออกอัพพาน ถึงจะแก้ได้ครับ แต่ ไม่ต้องตกใจ เพราะถ้าจำไม่ได้ว่า ทำไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่เท่าไร หรือจำนวนกี่วัน ก็ใช้กรรมแบบรวมครับ ตอนนี้ ก็ ทำอะไรลำบากหน่อย เพราะติดตัวอยู่โดยที่ไม่รู้ตัว เมื่อรู้แล้วควรทำคืนเสียครับ มีโอกาสก็รีบซะ เพราะ นรกกำลังรออยู่ ผมเคยเห็นพระองค์หนึ่งท่านไปอยู่ปริวาส แล้วท่านตาย ตอนอยู่ มานัต 6 ราตรี ใครก็ช่วยไม่ได้ คงต้องตกอบายภูมิอย่างแน่นอน เป็นเรื่องน่าหวาดเสียวอย่างยิ่งครับ อันนี้ประสบการณ์จริงจากที่เคยประสบมาครับผม และขออภัยที่ต้องบอกแบบ ขวานผ่าซาก เพราะไม่อยากให้ท่านติดเลย มัีนลำบากจริงๆ ครับ ลืมบอกไปครับ ถ้าแก้แล้วก็ มรรคผลไม่เสียครับ คือทำคืน สิกขาบท ขอให้ผ่านอุปสรรคนี้ไปได้นะครับ |
เจ้าของ: | สุคโต [ 07 ก.ย. 2009, 13:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครมีความรู้ช่วยตอบด้วยครับสังฆาทิเสส |
ทำไปแล้ว....เป็นอดีตไปแล้ว แก้ไม่ได้แล้ว(ทำใจยอมรับผลไว้ได้เลยครับ) ปัจจุบัน....เสวยทุกข์อยู่(ถือเป็นผลจากการกรรมนั้นเช่นกันครับ) ระลึกได้ก็ดีแล้วครับ เรื่องต้องการจะบวชก็ขอให้คิดให้ดีนะครับ จะบวชด้วยเจตนาอะไร ที่ถามว่าปิดกั้นนิพพานรึป่าว...ก็ตอบได้เลยครับว่า หากยังวางเรื่องนี้ไม่ได้ ก็ปิดกั้นนิพพานแน่นอนครับ |
เจ้าของ: | วิสุทโธ [ 12 ก.ย. 2009, 22:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครมีความรู้ช่วยตอบด้วยครับสังฆาทิเสส |
ในฐานะที่เคยบวชมาหลายพรรษา... ปริวาส การอยู่ชดใช้เรียกสามัญว่าอยู่กรรม, เป็นชื่อวุฏฐานวิธี (ระเบียบปฏิบัติสำหรับออกจากครุกาบัติ)อย่างหนึ่ง ปริวาส มี ๓ อย่าง คือ ปฏิจฉันนปริวาสสโมธานปริวาส และ สุทธันตปริวาส ; ซึ่งภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ จะต้องประพฤติเป็นการลงโทษตนเองชดใช้ให้ครบเท่าจำนวนวันที่ปิดอาบัติก่อนที่จะประพฤติมานัตอันเป็นขั้นตอนปกติของการออกจากอาบัติต่อไป, ภิกษุประสงค์จะออกจากอาบัตินั้น พึงห่มผ้าเฉวียงบ่าเข้าไปหาสงฆ์จตุรวรรค (๔ รูป ) แล้วเปล่งวาจาขอประมานัตต์ ๖ ราตรี มานัตต์ คือ ระเบียบวิธีปฏิบัติเพื่อจะให้ตนหมดจดจาก อาบัติสงฆาทิเสสที่ได้ต้องไปแล้ว การบอกต่อสงฆ์เพื่อขอมานัตต์ ซึ่งมานัตต์นี้มีกำหนดตามพระวินัยไว้ ๖ ราตรีเท่านั้น เมื่อครบก็ขออัพภาน ๖ ราตรีนี้ต้องเป็น ๖ ราตรีที่สมบูรณ์ ถ้าทำผิดกฏที่ต้องทำให้ละเมิดราตรีใด ราตรีหนึ่ง ก็ต้องอยู่ให้ชดใช้ให้ครบราตรีที่กำหนดไว้ คือ ๖ ราตรี ในระหว่างประพฤติมานัตต์จะถูกจำกัดสิทธิ หลายประการ เช่น จะออกจากอาวาส นั้นไปค้างคืนที่อื่นไม่ได้ จะร่วมฉันกันภิกษุผู้ไม่ต้องอาบัติไม่ได้ จะร่วมสังฆกรรมบางอย่าง กับสงฆ์ปกติไม่ได้ แม้บวชแล้วหลายพรรษาก็ต้องนั่งท้ายแถวภิกษุปกติที่แม้บวชในวันนั้น และต้องกล่าวคำรายงานตัว ต่อสงฆ์ทุกวัน หรือนัยหนึ่งก็คือ กล่าวประจานตัวนั่นเอง (ภาษาวินัยเรียกว่า สมาทานมานัตต์ และบอกมานัตต์)ต่อสงฆ์ทุกวัน หากมีภิกษุที่อยู่วัดอื่น มาธุระยังวัดทีตนกำลังประพฤติมานัตต์อยู่นั้น ก็ต้องมารายงานตัว (ประจานตัว) ว่าตนได้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสและกำลังประพฤติมานัตต์อยู่ จะยินดีให้ภิกษุทีแม้มีพรรษาน้อยกว่าทำสามีจิกรรม(กราบไหว้และ ลุกต้อนรับเป็นต้น) ไม่ได้ ฯลฯ ซึ่งวัตรต่าง ๆ เป็นต้นเหล่านี้จะต้องประพฤติให้เคร่งครัด หลังจากเปล่งวาจาขอประพฤติมานัตต์แล้ว (เนื้อความของคำขอมานัตต์ เป็นภาษาบาลี ระบุถึงข้ออาบัติสังฆาทิเสสที่ต้นได้ล่วงละเมิดเข้า ) การประพฤติมานัตต์ ๖ ราตรี นี้รียกว่า อัปปฏิจฉันนมานัตต์ เพราะ ภิกษุผู้ต้องอาบัติไม่ได้ปกปิดไว้ แต่หลังจากที่ต้องแล้ว รีบยอมรับผิด จึงเป็นเพียงแต่ขอมานัตต์ จากสงฆ์แล้วประพฤติมานัตต์ ๖ ราตรีเท่านั้น ๑.๒ เมื่อประพฤติมานัตต์ครบ ๖ ราตรีแล้ว ก็จะมาถึงขั้นตอนที่เรียกว่า อัพภาน อัพภานเป็นขั้นตอนของ การยอมรับภิกษุผู้ที่ได้ประพฤติมานัตต์มาครบ ๖ ราตรีแล้วเข้ามาเป็นภิกษุที่ไม่มีอาบัติติดตัวเหมือนแต่ก่อน ตามรูปศัพท์ อัพภาน แปลว่า การเรียกเข้าหมู่ หรือ การยอมรับกลับเข้าพวก นั่นเอง โดยมีภิกษุสงฆ์วีสติวรรค (๒๐ รูป) ร่วมเป็นสักขีพยาน โดยก่อนอื่นภิกษุผู้ประพฤติมานัตต์ครบ ๖ ราตรีแล้วนั้น ต้องเข้าไปหาสงฆ์ประณมมือเปล่งวาจากล่าวคำขออัพภานเป็นภาษาบาลีโดยมีเนื้อหาระบุถึงการล่วงละเมิดอาบัติสังฆาทิเสส ของตนพร้อมบอกว่าได้อยู่ปริวาส(สำหรับภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้เลยวันคืนที่ตนต้อง) และประพฤติมานัตต์ครบ ๖ ราตรีแล้ว ขอให้สงฆ์รับเข้าหมู่ด้วย ต่อแต่นั้นภิกษุรูปหนึ่งในสงฆ์ ก็จะสวดประกาศ (ภาษาทางวินัย เรียกว่า กรรมวาจาให้อัพภาน) รับภิกษุรูปนั้นกลับเข้าหมู่เป็นภิกษุปกติผู้ไม่มีอาบัติสังฆาทิเสสติดตัวแล้ว ในกรณีที่ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายข้อ ปกปิดแต่ละข้อไว้ไม่เท่ากันนานบ้าง น้อยบ้าง หรือจำ จำนวนอาบัติ และหรือ เวลาที่ปกปิดไว้ไม่ได้บ้าง เป็นต้น ควรจะเข้าปริวาสแบบสุทธันตปริวาส สิ่งสำคัญคือ การเข้าปริวาสต้องเข้าแบบสังวาสเดียวกัน คือ ถ้าบวชธรรมยุติต้องเข้าปริวาสในสังกัดวัดธรรมยุติ ถ้าบวชมหานิกายต้องเข้าปริวาสในสังกัดวัดมหานิกาย ถ้าต่างสังวาสกัน ปริวาสเป็นโฆฆะ พระพุทธได้ตรัสไว้ว่า “ สาปัตติกัสสะ ภิกขะเว นิรยัง วทามิ ติรัจฉานโยนิง วา “ แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีอาบัติ (ติดตัว) จำต้องไปนรกบ้าง กำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง . นอกจากนี้แล้ว ท่านทั้งหลายคงจะเคยได้ยินคำว่า ปฏิบัติธรรมไม่ขึ้นกันมาบ้าง ครุกาบัติ หรือ อาบัติหนัก เป็นโทษข้อหนึ่งสำหรับภิกษุผู้ล่วงละเมิดเข้าแล้ว ซึ่งจะเป็นอุปสรรคทำให้มิอาจจะบรรลุมรรคผลได้ มีอุปสรรคอยู่ ๔ ประการที่ขัดขวางการบรรลุมรรคผลนิพพานของผู้ที่แม้มีบารมีพอที่จะบรรลุธรรมแล้ว นั่นก็คือ ๑. อนันตริยกรรม ๕ ประการ ๒. อริยุปวาท (ด่าว่า ให้ร้าย พระอริยะเจ้า) ๓. ต้องครุกาบัติ (คือมีอาบัติหนักติดตัว) สำหรับผู้เป็นภิกษุ นั่นก็คือ แม้ผู้นั้นหากจะมีบารมีพอจะบรรลุมรรคผลได้ในปัจจุบันชาตินี้ หากไปล่วงละเมิดกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ ข้อข้างต้นแล้ว ก็เป็นอันหมดสิทธิ แถมท้ายด้วยการได้ไปอบายภูมิเป็นของกำนัลอีก และประการที่ ๔ สุดท้าย หากผู้นั้นแม้จวนเจียนจะบรรลุมรรคผลนิพพานอยู่รอมร่อแล้ว(เจริญสติปัฏฐานจนวิปัสสนาญาณคือสังขารุเบกขาญาณเกิดแล้ว) ทว่าผู้นั้นได้ปรารถนาพุทธภูมิ ผู้นั้นก็ไม่อาจจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้เช่นกัน เพราะท่านได้ตั้งสัจจะที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อ่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เพราะถ้าบรรลุมรรคผลเสียก่อนแล้วหากเป็นพระอรหันต์ก็จะต้องปรินิพพานในปัจจุบันชาติ หากเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ ก็จะต้องเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ ซึ่งสำหรับผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นท่านจำเป็นต้องบำเพ็ญบารมีอีกต่อไป เพราะฉะนั้น การที่ภิกษุหากต้องอาบัติข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ไม่แก้ไขให้ถูกต้องตามระเบียบวุฏฐานวิธี(การออกจากอาบัติ) อาบัติที่ติดตัวอยู่นั้นก็จะเป็นโทษอย่างมากต่อตัวภิกษุรูปนั้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต |
เจ้าของ: | moddam [ 13 ก.ย. 2009, 07:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครมีความรู้ช่วยตอบด้วยครับสังฆาทิเสส |
ขอบคุณ คุณ วิสุทโธ ที่นำความรู้มาให้อย่างละเอียดเลยครับ |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 15 ก.ย. 2009, 18:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครมีความรู้ช่วยตอบด้วยครับสังฆาทิเสส |
ขอให้ศึกษาแนวทางจากกระทู้ข้างล่างนี้นะคะ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ชัดเจน แจ่มแจ้ง ในเรื่อง สังฆาทิเสส จาก...วินัยสงฆ์-อาบัติ-ปาราชิก-สังฆาทิเสส http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=22785 -------> (ปรับปรุงคำตอบใหม่ เมื่อวันที่ ๓/๑๐/๒๕๕๗) อ้างอิงความเห็น...นายฏีกาน้อย, ท่าน denchai จากกระทู้ข้างล่างนี้ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=42469 อ้างคำพูด: สึกอุปสมบทใหม่ [๕๐๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ไม่ได้ปิดบังไว้แล้วสึก เธออุปสมบทใหม่ ไม่ปิดบังอาบัติเหล่านั้น พึงให้มานัตแก่ภิกษุนั้น ฯ [๕๐๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ไม่ได้ปิดบังไว้แล้วสึก เธออุปสมบทใหม่ ปิดบังอาบัติเหล่านั้น พึงให้ปริวาสในกองอาบัติตามที่ปิดบังไว้ครั้งหลัง แล้วให้มานัตแก่ภิกษุนั้น ฯ [๕๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ปิดบังไว้แล้วสึก เธออุปสมบทใหม่ ไม่ปิดบังอาบัติเหล่านั้น พึงให้ปริวาสในกองอาบัติตามที่ปิดบังไว้ครั้งก่อน แล้วให้มานัตแก่ภิกษุนั้น ฯ [๕๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ปิดบังไว้แล้วสึก เธออุปสมบทใหม่ ปิดบังอาบัติเหล่านั้น พึงให้ปริวาสในกองอาบัติตามที่ปิดบังไว้ครั้งก่อนและหลัง แล้วให้มานัตแก่ภิกษุนั้น ฯ ------------------------------------------------------ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๖ จุลวรรค ภาค ๑ มานัตหนึ่งร้อย สึกอุปสมบทใหม่ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka1/v ... 655&Z=7210 กล่าวโดยสรุปได้ว่า... การต้องอาบัติ “สังฆาทิเสส” ถ้าลาสิกขา (สึก) ไปเป็นคฤหัสถ์แล้วก็ไม่ต้องกังวลใจ เพราะอาบัติมีได้เฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น ลาสิกขาไปเป็นคฤหัสถ์แล้วหามีอาบัติติดตัวไม่ อีกทั้งไม่มีผลปิดกั้นสวรรค์หรือมรรคผลนิพพานแต่อย่างใด สามารถสร้างบุญกุศลตามฐานะของตนก็บรรลุคุณธรรมชั้นสูงได้ แต่หากกลับมาบวชใหม่ หวนคืนสู่เพศบรรพชิตอีกครั้ง ก็จำเป็นที่จะต้องกระทำคืนหรือแก้ไขให้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ กล่าวคือ ต้องแก้ด้วยการขอมานัตอยู่ประพฤติวัตร หรือการอยู่กรรม (อยู่ปริวาสกรรม) อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ กรณี (ตามพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๖ จุลวรรค ภาค ๑ มานัตหนึ่งร้อย สึกอุปสมบทใหม่ ข้อ ๕๐๘-๕๑๑) เท่านั้น จึงจะพ้นจากอาบัติสังฆาทิเสสได้ การอยู่ปริวาสกรรม มีความสำคัญแก่พระภิกษุที่ท่านต้องอาบัติหนัก คือ อาบัติสังฆาทิเสส เมื่อพระท่านต้องอาบัติเข้าแล้ว จะแก้ด้วยการปลงอาบัติไม่ได้ แต่ต้องแก้ด้วยการอยู่กรรม (อยู่ปริวาสกรรม) เท่านั้น ภิกษุที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ ถ้าปกปิดไว้จำนวนกี่วัน ก็ต้องอยู่ปริวาสกรรมตามจำนวนวันที่ปกปิดไว้ และต้องอาศัยสงฆ์จึงจะพ้นจากอาบัติหนักได้ เช่น เมื่อต้องอาบัติแล้วไม่ยอมบอกกับเพื่อนพระภิกษุ เวลาผ่านไป ๑ เดือนจึงเล่าให้เพื่อนพระฟังว่าตนต้องอาบัติ ผู้ต้องอาบัติต้องกระทำตามวินัยกรรม โดยขอการอยู่ปริวาสจากคณะสงฆ์ หลังจากนั้นก็อยู่ปริวาสประพฤติวัตร ๑ เดือน เมื่อครบแล้ว ต้องขอมานัตอยู่ประพฤติวัตรอีก ๖ วัน ๖ คืน แล้ว ขออัพพาน (การประกาศยุติโทษ) จากสงฆ์ จึงจะพ้นจากอาบัติหนักได้ หรืออาจจะเข้า สุทธันตปริวาส อยู่ปริวาสกรรมเพียง ๓ วัน ๓ คืน เมื่อครบแล้ว ต้องขอมานัตอยู่ประพฤติวัตรอีก ๖ วัน ๖ คืน แล้วขออัพพาน (การประกาศยุติโทษ) จากสงฆ์ จึงจะพ้นจากอาบัติหนักได้ การจะมีโอกาสได้บวชในบวรพระพุทธศาสนา ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้โดยง่าย ดังนั้น เมื่อได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ควรตั้งจิตตั้งใจ ตั้งสติให้ดี ขอให้การบวช (แม้จะบวชชั่วคราวก็ตาม) เป็นการบวชเรียน บวชเพื่อรักษาพระศาสนา บวชเพื่อสืบต่ออายุพระศาสนา บวชเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และบวชเพื่อปฏิบัติธรรม เจริญจิตตภาวนา ศึกษาเพิ่มเติมจาก คัมภีร์จุลวรรค ภาค ๑ http://watparsi.com/pdf/Jullawatbook_part1.pdf |
เจ้าของ: | man1 [ 20 ก.ย. 2009, 15:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ใครมีความรู้ช่วยตอบด้วยครับสังฆาทิเสส |
ขอบคุณมากที่ให้ความรู้ครับ ตอนนี้เร่งความเพียรสร้างความดีก่อนขอบคุณอีกทีครับ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |