วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 04:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 07:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากประสบการณ์ที่เจริญญาณ นะครับ เล่าให้ฟังนิด

ผมใช้ เดินจรกรมก่อน แล้วก็ค่อย ๆ ศึกษาธรรมมะ เพิ่มเติมไปเรื่อย

แต่งจะเร่งด้านสมาธิมาในช่วงแรก ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจครับ พระอาจารย์ท่านสอนมาอย่างนั้น

ทำสมาธิได้ประมาณ 5 เดือน ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงด้านสมาธิ บ้าง จึงหันมาพิจารณา นามรูป

ซึ่งก็ไม่เข้าใจอีกว่า จะพิจารณาไปทำไม แต่ก็ ทำตามคำสั่งไม่ กล้า นอกลู่นอกทาง

จนมาเห็นอาการต่าง ๆ ตามธรรมชาติ ก็เริ่ม เข้าใจว่า ที่เราทำมาไม่เสียเปล่า

เพียงแต่ สมาธิผม ไม่เพียงพอกับการเห็นต่อไป เลยต้องย้อนกลับมาทำสมาธิเพิ่มขึ้นอีก

และกลับไปพิจารณา ซ้ำอย่าง เก่า คือเริ่มต้นใหม่อีก

ก็ทำกลับไปกลับมาอยู่อยู่อย่างนี้ แหละครับ เห็นหรือไม่เห็นอะไร หรือมันจะเป็นญาณไหนไม่สน

รู้แล้วละลูกเดียว ถ้าไม่ละก็ติด ที่เรียกว่า อุปกิเลส 16

ฉะนั้นเห็นแล้ว รู้จักแล้ว ละ นี่แหละของจริงครับ

แฮะๆ ประสบการณ์ปฏิบัติครับ คงจะไม่ว่ากันนะ่ครับ นำมาเล่าให้ฟัง

cool

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
เพราะในสภาพธรรมที่เป็นจริง
ลำดับแห่งญาณทั้งหลายแหล่ ล้วนติดเนื่อง ต่อเนื่อง เป็นเหตุผลส่งต่อกันจนสิ้นสุดกระบวนการ
ไม่ใช่สิ่งที่จะมาสร้างทีละอย่างทีละสิ่ง

ผมเข้าใจส่วนตัวอย่างนี้

:b41: :b41: :b41:


ผมก็น่าจะเข้าใจส่วนตัวประมาณนี้ล่ะ...มั๊ง...? คือจริง ๆ ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลย...
ได้แต่ใช้ชีวิตให้เป็นปกติไปเรื่อย ๆ ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลย...
ต้องใช้คำว่า ใช้ชีวิตให้เป็นปกติ อะไรที่ทำให้ชีวิตไม่เป็นปกติก็พิจารณาไปเรื่อยเปื่อย
ก็คือ ทำไปตามมีตามเกิด... ออกจะหย่อนยานนน...
พอมาอ่านเจอ... (อธิบายแบบย่อ)
อ้าว...เอ้ย...! นี่เราผ่านมาหมดแล้วนี่ :b32: :b32: :b32: บรึ๋ย....
อันนี้...โจ๊กครับ โจ๊ก... :b13: :b13:

ซึ่งรายละเอียดที่คุณ moddam เอามาฝากนี่... เป็นประโยชน์มากครับ...
ละเอียดดีครับ... หรือจะมีใครมีละเอียดกว่านี้อีกครับ....

อ้างคำพูด:
รู้แล้วละลูกเดียว ถ้าไม่ละก็ติด ที่เรียกว่า อุปกิเลส 16

ฉะนั้นเห็นแล้ว รู้จักแล้ว ละ นี่แหละของจริงครับ


คุณทำให้ผมมีคำถามต่อเลย... อุปกิเลส 16 ครับ... อิ อิ...

:b55: :b55: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย yahoo เมื่อ 31 ส.ค. 2009, 10:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเจริญญาณหรือไม่ก็ตาม

อุปกิเลส นั้นเกิดขึ้น เป็นปกติของมันอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่เห็น หรือไม่ได้กำหนด ดูตาม หรือไม่รู้จัก

ต่อเมื่อมาปฏิบัติ ก็จะยิ่งทำให้กิเลส แสดงตัวเองออกมา

ถ้าเจริญญาณ ท่านก็ว่า เรียก อุปกิเลส 10

ลองหาอ่านเอานะครับ แถวนี้คงมี

สุ จิ ปุ ลิ cool

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 12:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:02
โพสต์: 157

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ คุณmoddam ทีเอามาลงไว อ่านคร่าวๆน่าจะดี

ขอเก็บเอาไปศึกษาก่อนนะครับ ผมมันคิดช้า ต้องเอาไปเคี้ยวเอึ่องนานๆจึงจะเข้าใจ

.....................................................
มาตามหา เพื่อนร่วมทาง

ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด > > ต้องทำให้ได้ คือแก้ไขตนเอง > > ฝึกหยุด-ไม่หยุดฝึก >
ไม่มีเวลาสำหรับความชั่วบาปอีกแล้ว. ." ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ "
เราจะฝึกฝนตนเพื่อไปถึงจุดนั้นให้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:12
โพสต์: 37

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b23: :b23: :b23:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2009, 03:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 02:56
โพสต์: 290

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue แอบเข้ามาอ่านง่ะ...ได้ความรู้ออกไปเพียบ :b23:

s004 ...นู๋เอจ้า...

.....................................................
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระธรรม
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระสงฆ์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในพระมารดาพระบิดา
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในครูอุปัชฌาย์อาจารย์
ข้าพเจ้าเคารพพระธรรม ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง...สาธุ สาธุ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2009, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:12
โพสต์: 37

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
รู้แล้วละลูกเดียว ถ้าไม่ละก็ติด ที่เรียกว่า อุปกิเลส 16

ฉะนั้นเห็นแล้ว รู้จักแล้ว ละ นี่แหละของจริงครับ


ละ ทำยังไง คำสั้นๆแต่มันยากมากเลย
ใครก็ได้บอกหน่อยได้ป่าวว่า ละ ต้องทำยังไง :b20: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2009, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สุคโต เขียน:
ละ ทำยังไง คำสั้นๆแต่มันยากมากเลย
ใครก็ได้บอกหน่อยได้ป่าวว่า ละ ต้องทำยังไง :b20: :b20:



พระท่านว่า ให้"เห็นมันบ่อยๆ"

จริงๆ ถ้าพูดกันอย่างละเอียด เราละกิเลสโดยตรงไม่ได้นะ
ในอริยสัจ หน้าที่ต่อทุกขืคือรู้ ไม่ใช่ละทุกข์
แต่สมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์นั่นแหละ ที่เรามีหน้าที่ต้อง"ละ"

ถ้าละเหตุของมัน ผลก็จะดับไปเอง

เหมือนกองไฟ เราดับไฟตรงๆไม่ได้
ที่เราดับได้เพราะเราดับองค์ประกอบที่จะเป็นไฟ เช่นตัดอากาศออกไป
เอาฟืนออกไป ไฟจึงดับ

เพราะฉะนั้น ถ้าพูดกันแบบละเอียด เราไม่ละอุปกิเลส ละไม่ได้
แต่ละเหตุของอุปกิเลสได้ ก้คืออวิชชา

อวิชชาคือไม่รู้เท่าทันความเป็นจริงตามธรรมชาติของสรรพสิ่ง
ถ้ารู้เห้นถึงแก่นแท้ความเป้นจริง เราก้จะทราบว่าอุปกิเลสมันมีส่วนประกอบอะไร
ส่วนประกอบของมันแยกออกไปแล้วเป้นอะไร แยกลงไปเรื่อยๆ
หรือที่เรียกว่าสามารถเห็นปฏิจสมุปบาทตลอดสาย

เมื่อรู้แจ้งในในปฏิจสมุปบาทแล้วว่าอุปกิเลสมันมาจากไหน
ก่อร่างสร้างตัวออกลูกออกหลานอะไรยังไง
ก็เท่ากับการรู้ทุกข์ว่ามาจากไหน

พอรู้แล้ว ไม่ถูกอำพรางแล้ว ก้เรียกว่าหมดอวิชชา ความไม่รู้มันหมดไป
คือรู้เท่าทันแล้ว ไม่ตกเป้นทาสแล้ว
ก็จะเข้าใจการวางตัววางใจวางหน้าที่ให้ตัวให้ใจว่าจะทำยังไงถึงสบาย ไม่ดือดร้อน

เหมือนรู้ว่านำร้อนมันร้อน โดนแล้วเจ็บ
เราจะรู้เองว่าจะทำยังไงเมื่อต้องเกี่ยวข้องกับน้ำร้อน

โอเคปะคับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 01:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




R2209-11.jpg
R2209-11.jpg [ 23.04 KiB | เปิดดู 2512 ครั้ง ]
ญานที่ ๓๑ : วิหารสมาปัตตัฏฐญาณ

ปัญญาในความต่างแห่งวิหารสมาบัติ เป็นวิหารสมาปัตตัฏฐญาณ



ปัญญาในความต่างแห่งวิหารสมาบัติ เป็นวิหารสมาปัตตัฏฐญาณอย่างไร


พระโยคาวจร.....

.....พิจารณาเห็น “สังขารนิมิต” โดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีสังขารนิมิต ถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มีสังขารนิมิตแล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อนิมิตตวิหารสมาบัติ

.....พิจารณาเห็นตัณหาอันเป็นที่ตั้งโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีตัณหาเป็นที่ตั้ง ถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มีตัณหาเป็นที่ตั้ง แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อัปปณิหิตวิหารสมาบัติ

.....พิจารณาเห็นความถือมั่นว่าตนโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันว่างจากตน ถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ว่างจากตน แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า สุญญตวิหารสมาบัติ



พระโยคาวจร.....


.....พิจารณาเห็น “รูปนิมิต” โดยความเป็นภัย
...........มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีนิมิต ถูกต้องแล้ว
...........ย่อมเห็นความเสื่อมไป
...........เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว
...........คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับไม่มีนิมิตแล้ว
ย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อนิมิตตวิหารสมาบัติ


.....พิจารณาเห็น “ตัณหาอันเป็นที่ตั้งแห่งรูป” โดยความเป็นภัย
...........มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีที่ตั้ง ถูกต้องแล้ว
...........ย่อมเห็นความเสื่อมไป
...........เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว
...........คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับไม่มีที่ตั้งแล้ว
ย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อัปปณิหิตวิหารสมาบัติ


.....พิจารณาเห็น “ความถือมั่นว่ารูป” โดยความเป็นภัย
...........มีจิตน้อมไปในนิพพานอันว่างเปล่า ถูกต้องแล้ว
...........ย่อมเห็นความเสื่อมไป
...........เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว
...........คำนึงถึงนิพพาน อันเป็นที่ดับว่างเปล่าแล้ว
ย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า สุญญตวิหารสมาบัติ


พระโยคาวจร.....

พิจารณาเห็น “ชราและมรณนิมิต”
...........โดยความเป็นภัย
...........มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีนิมิต ถูกต้องแล้ว
...........ย่อมเห็นความเสื่อมไป
...........เพิกเฉยความเป็นไป
...........คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับไม่มีนิมิต
ย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อนิมิตตวิหารสมาบัติ


พระโยคาวจร.....

.....พิจารณาเห็น “ตัณหาอันเป็นที่ตั้งแห่งชราและมรณะ”
...........โดยความเป็นภัย
...........มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีที่ตั้ง ถูกต้องแล้ว
...........ย่อมเห็นความเสื่อมไป
...........เพิกเฉยความเป็นไป
...........คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับไม่มีที่ตั้ง
ย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อัปปณิหิตวิหารสมาบัติ


พระโยคาวจร.....

.....พิจารณาเห็น “ความยึดมั่นชราและมรณะ”
...........โดยความเป็นภัย
...........มีจิตน้อมไปในนิพพานอันอันว่างเปล่า ถูกต้องแล้ว
...........ย่อมเห็นความเสื่อมไป
...........เพิกเฉยความเป็นไป
...........คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับว่างเปล่า
ย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า สุญญตวิหารสมาบัติ


ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น

ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด

เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในความต่างแห่งวิหารสมาบัติ เป็นวิหารสมาปัตตัฏฐญาณ


เจริญในธรรมครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 07:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุคโต เขียน:
อ้างคำพูด:
รู้แล้วละลูกเดียว ถ้าไม่ละก็ติด ที่เรียกว่า อุปกิเลส 16

ฉะนั้นเห็นแล้ว รู้จักแล้ว ละ นี่แหละของจริงครับ


ละ ทำยังไง คำสั้นๆแต่มันยากมากเลย
ใครก็ได้บอกหน่อยได้ป่าวว่า ละ ต้องทำยังไง :b20: :b20:



การละ คือการเห็น สิ่ง ต่าง ๆ ว่า แปรปรวน เปลี่ยนแปลง ไม่ยั่งยืน

หรือเีรียกว่า เป็นการ เจริญ สมสนญาณ ก็ได้ แต่อย่าไปจำมาก คับ

เอาวิธีไปปฏิบัติ ทำ จะดีกว่า การเอาใจไปเห็น สำคัญกว่า ครับ

เคยได้ยินพระอาจารย์ท่านพูดว่า การเห็นการ เกิดดับครั้งเดียว ดีกว่า การเกิดมาตั้ง 100 ปี หรือทำสมาธิแล้วได้ ฌาน สมาบัติ เสียอีก

อันนี้ก็ยังเข้าใจได้ไม่หมด เพราะยังทำไม่ถึงน่ะครับ ได้แต่ฟังมาเก็บไว้เป็นความรู้

เผื่อว่า ถ้าทำถึงแล้วยังได้ อ๋อ :b11:

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:12
โพสต์: 37

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วคุณ yoohoo ไม่แสดงอะไรซะหน่อยเหรอ ในฐานะ เจ้าบ้านน่ะ :b32: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:12
โพสต์: 37

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
โอเคปะคับ

โอ คับ smiley smiley smiley


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 66 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron