วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 14:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 07:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง

ตลอด ๔๕ พรรษา และมีการนำสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ภาษาดั่งเดิม

เป็นภาษาบาลี การศึกษาในยุคปัจจุบันควรจะเป็นไปตามลำดับ จึงจะช่วย

ทำให้เข้าใจขึ้น คือ ทุกสิ่งที่ได้ฟังควรเริ่มต้นตั้งแต่คำว่า คืออะไร เช่น คำว่า

ธัมมะ นาม จิต เจตสิก รูป สติ สมาธิ เป็นต้น เมื่อเข้าใจเป็นไปตามลำดับ

แล้ว เวลาฟังพระธรรมที่ละเอียดขึ้นจะได้ไม่งงกับคำหรือศัพท์บางศัพท์ที่ฟังอยู่

สำหรับคนที่มีปัญญามากในสมัยครั้งพุทธกาล ท่านไม่ต้องมีระบบหรือขั้นตอน

อะไรเลย แต่ในยุคนี้ต่างกัน ต้องใช้เวลาค่อยๆเป็นไปตามลำดับ

มีวิธีการที่จะศึกษาพระธรรม

ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อศึกษามาสักระยะแล้วก็พบว่า การศึกษาพระธรรมนั้น

เป็นเรื่องของความเข้าใจโดยตลอด ไม่ว่าจะกำลังอ่านหรือฟังธรรมในเรื่องใด ขอให้

เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังศึกษานั้นจริงๆ โดยไม่ต้องห่วงหรือกังวลกับเรื่อง

ที่เคยศึกษามาแล้ว หรือจะศึกษาต่อๆไป เพราะพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมอย่าง

ละเอียดและมากมาย ยากที่จะมีผู้ใดศึกษาตามและจดจำไว้ได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ดี พระธรรมที่ทรงแสดงไว้มากมายนั้น ก็เพื่อให้ผู้ศึกษารู้จริงในสิ่งที่กำลัง

ปรากฎในขณะนี้ (ไม่ใช่ขณะอื่น) ซึ่งความรู้จริงนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย หากไม่เริ่ม

ด้วยความเข้าใจจริงๆในสิ่งที่กำลังอ่านหรือกำลังฟังอยู่ในขณะนี้

การศึกษาธรรมต้องเป็นไปตามลำดับ ไม่ว่าใครบุคคลใด สมัยไหนเริ่มจากปัญญาขั้น

การฟัง ขั้นพิจารณา ขั้นภาวนา(สติปัฏฐาน) ต้องเป็นไปตามลำดับเสมอ

การศึกษาธรรมชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ศึกษาธรรม ดังนั้นต้องเริ่มจากคำว่าธรรม ธรรมคือ

อะไร ฟังให้เข้าใจกับคำนี้จริงๆว่าธรรมคืออะไร แต่ไม่ใช่มาจากการท่องแต่มาจากความ

เข้าใจจริงๆ จึงจะเป็นปัจจัยให้ปัญญาขั้นอื่นๆเจริญขึ้น เมื่อเข้าใจขั้นการฟัง ปัญญา

เจริญขึ้น ธรรมนั่นเองทำหน้าที่ รู้ตามความเป็นจริง คือระลึกลักษณะของสภาพธรรม

ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่เป็นการศึกษาธรรม คือศึกษรู้ตัวธรรมจริงๆ โดยอาศัยการฟังให้

เข้าใจในเรื่องของสภาพธรรม เป็นปัจจัยให้สติและปัญญาเกิดศึกษาตัวธรรมที่มีจริงใน

ขณะนี้ ขอย้ำว่า การศึกษาธรรมไม่ใช่พยายามให้รู้ชื่อมากๆ อะไรไม่รู้จะต้องรู้ ไม่ควร

ลืมจุดประสงค์ของการศึกษาธรรม ที่ถูกต้องคือเพื่อรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เมื่อรู้แล้ว

ปัญญาทำหน้าที่ละกิเลสเอง หากมีความเข้าใจที่ถูฏต้องแล้วไม่ว่าศึกษาในส่วนใด

ของพระไตรปิฎก ก็เพื่อเข้าใจความจริงที่มีในขณะนี้และขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน

ทุกอย่างต้องเป็นไปตามลำดับ จากเบื้องต้นถึงสูงสุด



คำว่า วิญญาณ ตามนัยของปฏิจจสมุปบาท หมายถึง โลกียวิบาก ๓๒

ไม่รวมวิญญาณอื่น (กุศลจิต อกุศลจิต กิริยาจิต โลกกุตรวิบาก)

คำว่า นามรูป ที่เกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นาม หมายถึง เจตสิกที่เกิดร่วมกับ

โลกียวิบาก รูป หมายถึง กัมมชรูป คือรูปที่เกิดจากกรรมเท่านั้น

สรุปคือ วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทต่างจากวิญญาณขันธ์ เพราะวิญญาณขันธ์ท่าน

หมายรวมจิตทุกประเภท และรูปก็เช่นกัน รูปขันธ์คือรูปทั้งหมด แต่ในปฏิจจสมุปบาท

หมายเอา กัมมชรูปเท่านั้น

:b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การจะเข้าถึงธรรมะของพระพุทธองค์ไม่ยากค่ะ ไม่ต้องไปรู้บาลีก็เข้าใจได้

ถือศีล ทำสมาธิ ค่ะ แล้วรอปัญญาธรรมเกิด พอได้ปัญญาก็เข้าใจเอง แต่ถ้าใครอยากเรียนรู้บาลีก็แล้วแต่ความสมัครใจค่ะ จุฬาภินันท์ไม่เรียนเพราะยาก แต่จุฬาภินันท์เข้าใจธรรมที่ลึกซึ้งของพระพุทธองค์ชัวร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2009, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue สวัสดีครับคุณรสมน
แทนที่จะกล่าวว่า "พระธรรมของพระพุทธเจ้า" ซึ่งฟังดูแล้วคล้ายกับว่ามี "อัตตา" มีความเป็นเจ้าของอยู่ ซึ่งมิใช่วิสัยของพระพุทธเจ้า
เราควรกล่าวว่า "พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาสั่งสอน" น่าจะดูดีนะครับเพราะไม่ประกอบด้วย "อัตตา" ควรมิควรแล้วแต่จะพิจารณา ด้วยเหตุและผล ตามธรรมนะครับ สาธุ

สำหรับคุณchulapinan ที่กล่าวว่า
"ถือศีล ทำสมาธิ ค่ะ แล้วรอปัญญาธรรมเกิด พอได้ปัญญาก็เข้าใจเอง"

" ถือศีล ทำสมาธิ ค่ะแล้วรอปัญญาธรรมเกิด"

คำนี้น่าคิดพิจารณาให้ดีนะครับ ปัญญาธรรมจะเกิดได้นั้น ถ้าไม่รู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ปัญญาธรรมก็อาจไม่เกิด เกิดยาก หรือเกิดแล้วไม่ถูกต้องก็ได้นะครับ ตัวอย่างเช่นท่านกาลเทวินทร์ดาบส อาฬารดาบส อุทกดาบส ที่ไปติดกัปป์ อยู่ในพรหมโลก ชวดเชยและหมดโอกาสที่จะได้บรรลุธรรม เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ในสมัยของพระสมณะโคดมพุทธเจ้า

ดังนั้น รู้ถูกต้อง ตามข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จะรู้ถูกต้องได้อย่างไร ก็ต้องไปเสาะแสวง ค้นหา กัลยาณมิตร คือผู้รู้จริง รู้ถูกต้อง ทำได้จริง ให้พบแล้วศึกษาทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติจากท่านมาให้ถ่องแท้ แล้วจึงค่อยลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงจะได้ผลดี

อุปมาดังคนที่จะเดินทางไกลไปสู่สถานที่ที่ยังไม่เคยไปถึงมาก่อนในชีวิต ก็พึงควรต้องไปศึกษาแผนที่การเดินทาง ถามทาง จากคนที่เขาเคยไปถึงสถานที่นั้นมาแล้วอย่างคล่องแคล่วและชำนาญ เราย่อมจะได้คำตอบที่ดี ความรู้ทางที่ถูกต้อง อันจะช่วยให้เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางด้วยตัวเองแล้วจะได้ไม่หลงทาง นะครับ

สาธุ ขอให้คุณและทุกคนได้พบกัลยาณมิตร ได้รู้ธรรมถูกต้อง ปฏิบัติได้ถูกต้อง เกิดดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงธรรม เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ทัน ในปัจจุบันชาตินี้ เทอญ Onion_L

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2009, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำสมาธิไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปแบบค่ะ "สมาธิ คือ ตั้งมั่นจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำ ณ ขณะนั้น" แต่รูปแบบที่มีหลายๆอย่างก็เพราะเป็นอุบายค่ะ อุบายให้แต่ละคนปฏิบัติต่างๆกัน เพราะแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน ชอบต่างกัน และสุดท้าย สิ่งที่ได้ก็คือ สมาธิ ค่ะ

เมื่อสมาธิเกิด ปัญญามาเอง แล้วแต่กรรมว่าช้าหรือเร็ว แต่จะเร็วขึ้นถ้าไม่หวังอะไรจากการทำสมาธิค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร