วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 17:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2009, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


dhama เขียน:
เมื่อก่อนชอบเพลงนี้มาก เพราะรักมากยอมเป็นทุกอย่าง แต่เมื่อปฎิบัติธรรมกลับมาฟังเพลงนี้นึกถึงความหลงที่ผมมีต่อผู้หญิงคนนั้น เข้าใจถึงโซ่ตรวนของความรักที่รั้งเราไม่ให้หลุดออกจากอวิชาทีเดียว



อวิชชาคืออะไรขอรับ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2009, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับผมแล้วคือความโง่ สำหรับท่านอื่นไม่รู้ครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2009, 22:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลงโง่อยู่ตั้งนานมันบังตานึกว่าสวยที่ไหนได้ อสุภะดีๆนี่เอง หลุดกันคราวนี้แหละ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2009, 06:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


dhama เขียน:
สำหรับผมแล้วคือความโง่ สำหรับท่านอื่นไม่รู้ครับ



หมายถึงแต่งงานนี่หรอขอรับว่า โง่ :b16:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2009, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ที่ว่าโง่ หมายถึงแต่งงานนี่หรอขอรับ

ผมจะตอบคำถามคุณก่อน ผมว่าคุณเข้าใจคำตอบของผมดีว่า โง่ คืออะไร แต่ถ้าคุณจะถามผมเพื่อทดสอบคำตอบผม หรือเหตุผลประการใด ผมก็คงต้องตอบตรงๆ ว่าใช่(ความเห็นส่วนตัว) ผมไม่อยากคุมเครือ การคุมเครือเป็นการสร้างปัญหาได้มากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องธรรมะต้องกล้าต้องตรง ผมฟังมาทุกอาจารย์ ผมบอกตรงๆผมไม่เคยเชื่อทั้งหมดของแต่ละท่านที่แสดงธรรม แต่ผมเคารพในความตั้งใจ ความเอาใจใส่ ความดีที่เสียสละ ผมมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อผมถูกสอนมาอย่างนั้น

และชีวิตนี้เป็นของผม ผมต้องเดินโดยความไม่ประมาท อันไหนมีเหตุผล ทำให้ผมมาปฏิบัติแล้วเกิดผลได้จริงผมถึงเชื่อ และสิ่งที่ผมเชื่อในพระสัจธรรมของพระพุทธองค์(ขอย้ำของพระพุทธองค์)นั้นเพราะทำให้ผมเกิดประโยชน์แก่ตัวเอง

และผมเองไม่ได้มีใครศรัทรา ที่จะเชื่อในการบอกเล่าของผม นั้นมันไม่สำคัญหรอก เพราะผมไม่ต้องการในสิ่งนั้น เพียงมันเป็นความดีที่ผมจะต้องทำ เพื่อตัวผมเอง เพื่อความหลุดพ้นของผมเอง แต่ถ้าใครเปิดใจที่จะเรียนรู้ ในสิ่งที่ผมนำเสนอ ความรู้ สถานที่ และอะไรต่างๆนั้น มันไม่ใช่ความรู้ของผม มันเป็นความรู้ของพระพุทธองค์ ที่ถูกกลั่นกรองจากผู้รู้หลายอาจารย์มาสู่กระผม แล้วถ่ายทอดสิ่งที่ผมได้รับสู่ผู้คน

เป็นการแชร์ประสบการณ์ ไม่ใช่ว่าจะถูกหรือจะผิด และหลายครั้งการนำเสนอประสบการณ์ มีการโต้แย้งผมอาจจะมีความรู้สึกพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้างผมรู้แก่จิตดี แต่มันคำหลายล้านคำที่จะนำมาโต้ตอบเพื่อให้เกิดความเจ็บช้ำ ผมไม่เลือกทำ แต่คำสอนนั้นแหละยังเป็นที่ทำให้เจ็บได้ หากนำมาสวนในขณะเหตุเกิด ผมถึงบอกตลอดว่า เลือกแปลเอานะสิ่งดีก็มีสิ่งไม่ดีก็มี แต่ถ้าสิ่งที่ผมแสดงลงไปทำให้ท่านใดรู้สึกไม่ดี ก็ต้องขออโหสิกรรมต่อกันด้วย เราเป็นเพื่อนร่วมทางกันในทุกอย่าง

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2009, 00:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:02
โพสต์: 157

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชักสนใจแนวปฏิบัติของ คุณdhama
ลิงค์หลังข้อความคุณก็เข้าไปดูแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนในแนวทาง
ช่วยให้รายละเอียดในการปฏิบัติอีกหน่อยว่าเป็นอย่างไร แนวไหน
นำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้อย่างไร กับอีกมากมายคำถาม
ถ้าคุณยินดีจะตอบ

.....................................................
มาตามหา เพื่อนร่วมทาง

ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด > > ต้องทำให้ได้ คือแก้ไขตนเอง > > ฝึกหยุด-ไม่หยุดฝึก >
ไม่มีเวลาสำหรับความชั่วบาปอีกแล้ว. ." ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ "
เราจะฝึกฝนตนเพื่อไปถึงจุดนั้นให้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2009, 03:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเราเห็นแฟนเป็นอสุภะ ถามว่าเราเห็นตัวเราเป็นอสุภะด้วยหรือเปล่า

ถ้าแฟนเป็นอสุภะ แล้วเราก็มีดำริว่าจะเลิกร้างห่างไกลไป
แล้วถามว่าตัวเราล่ะ ถ้าเป็นอสุภะ เราจะหนีตัวเรายังไง

ถ้าแฟนเป็นอสุภะ เราก็ต้องเห็นเช่นเดียวกันว่าเราก็เป็นอสุภะ อย่างไม่ต้องสงสัย


ต่อมาถามว่า ถ้าเราเห็นว่าผู้คนต่างๆเป็นอสุภะ แล้วเราเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยอะไร
ถ้าเห็นด้วยความคิด เราแค่คิดตกว่าผู้คนเป็นอสุภะ เป็นธาตุ 4 ขันะธ์ 5 มารวมกัน
ถ้าเห้นด้วยความคิดแบบนี้ ก้นับว่าใช้อะไรไม่ได้

ถ้าเห็นด้วยปัญญา เห็นเพราะจิตตั้งมั่นรู้กายตามความจริงแห่งจักรวาล จนยอมรับความจริงในที่สุด
อันนี้มันจะไม่เกิดความรังเกียจ ว่ารังเกียจแฟน รังเกียจอสุภะ

ถ้าเห็นด้วยปัญญาจริงๆ เบื้องต้นจะเกิดความเมตตา เบื้องสุดจะต้องเป็นอุเบกขา ไม่พ้นไปจากนี้
ชั่วก็ไม่เอา แม้แต่ดีก็ไม่เอา มันเหมือนว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีความเป็นเรา
จึงไม่มีความรู้สึกใดๆต่อสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าเลือกรังเกียจเพราะเป็นของต่ำของสกปรก
หรือเลือกชอบพอเพราะเป้นของสูงของดี

ขอแสดงความห่วงใยนิดนึงว่า
ผมเกรงว่าคุณ dhamma จะกลายเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มักพบบ่อยเวลาเข้ามาปฏิบัติธรรม
เมื่อเข้ามาปฏิบัติธรรมแล้ว รู้สึกว่าเรารังเกียจสิ่งต่างๆไปหมด เห็นว่าผู้คนรอบข้างน่ารังเกียจ โง่
ไม่เห็นสัจจธรรม มัวแต่ทำสิ่งไร้สาระอยู่ อะไรทำนองนั้น

ผลที่จะเกิดต่อมาคือเราอยู่กับโลกลำบาก เริ่มมีปากเสียงกับคนในครอบครัว
เริ่มคบคนยาก เริ่มมีปัญญาในความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน
ถ้าปฏิบัติถูกทาง สิ่งเหล่านี้จะต้องน้อยลง
ในทางตรงกันข้าม มันต้องยิ่งอยู่กับคนได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

ถ้าปฏิบัติผิด ก้จะถึงกับเลิกร้างกันไปเยอะแยะ
เพราะว่า"เธอดีไมเท่าทันฉันเลย เธอฉลาดไม่ทันฉัน ฉันเห็นค่าของของสูง ฉันมีธรรมะ
แต่เธอมัวไร้สาระอยู่ เธอชอบมารบกวนธรรมะปฏิบัติของฉัน เธอเป็นภาระของฉัน เราอยู่กันไม่ได้แล้ว"


เห็นแฟนเป็นอสุภะ เป็นการรู้เห็นในสิ่งนอก เป็นจิตที่ส่งออกนอก
ความจริงหรือความรู้อันใดที่ไปรู้เห็นจากภายนอกนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เพราะมันไม่มีปลต่อการถอดถอนกิเลส ได้แค่สะกิดๆกิเลสเท่านั้น
ต้องภายในเรานี่ กายใจของเรานี่
ถ้าเห็นวาตัวเรานี่แหละอสุภะ ถึงจะเรียกว่าได้ประโยชน์ตรงเป้า

การเห็นอสุภะใดๆก้ตาม แม้แต่เป็นนิมิตที่จิตสร้าง
รวมความแล้วก็เป็นเพียงแค่การดัดแปลงความจริงเพื่อประโยชน์ในการทำใจให้สงบระงับเท่านั้น
ให้ผลแค่สมาธิ แต่ไม่มีผลเป็นปัญญา
ใครจะกำกับภาพยนตร์ไปอย่างไรก็ไม่เกิดปัญญา เพราะภาพยนตร์ก็คือเรื่องแต่ง
ผู้บงการคือจิต ผู้คิดว่าการบงการเหล่านี้สามารถถอดถอนกิเลสได้ก้นับว่าสอนผิด
เพราะเป็นพวกมีทิฐิว่าจิตนี้บังคับได้ ตกแต่งสั่งสอนได้


แต่ถ้าสอนให้เจริญอสุภะกรรมฐานเพื่อปรับปรุงสมดุลย์จิตใจให้มันมีความพอเหมาะ
พอที่จะช่วยให้ใจมันมีความแน่วแน่ต่อการเป็นสมาธิ อันนี้นับว่าใช้ได้
เช่นให้หัดคิด หัดสร้างความคิด ว่ากายนี้เป้นอสุภะเน่าเหม็น
นับว่าเป็นแค่การทำสมถะกรรมฐาน ผลผลิตคือความสงบ
แต่ไม่ถอดถอนกิเลสอะไรได้เลย


หลักอันหนึ่งที่ผมคิดว่าใช้ได้ตลอดเวลา
คือถามตัวเราว่าสิ่งที่เราทำนี้เืดือดร้อนใครไหม เดือดร้อนตัวเราไหม
ถ้าไม่มีทั้งสองอย่าง ก็ทำได้ ปลอดภัย

อีกอย่างคือการจะไปเทียบตัวเองกับพระพุทธเจ้านั้น ต้องระมัดระวัง
อย่าลืมว่าบารมีมันผิดกันอย่างสุดๆ ท่านบำเพ็ญของท่านมาเป้นพระพทุธเจ้า
เงื่อนไขที่ท่านจากลูกจากเมียไปบวช มันคนละเงื่อนไขกับคนอย่างเราที่จะหนีไปบวช

ถ้าแฟนเราเขาไม่ยอม ก็เป็นบ่วงที่คุณต้องยอมรับต่อไป
เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะเรานั่นแหละไปสร้างบ่วง เรามีกรรมเป็นทายาท เราทำของเราเอง เราไปอยากได้เขาเอง
เราไปเพียรผูกสมัครบ่วงอันนี้เอาไว้เอง เป็นความจริงที่เรานั่นแหละเป็นคนสร้างเอาไว้
จะปัดว่าต่อไปนี้ฉันไม่รับผิดชอบผลของการกระทำอีกแล้วไม่ได้

คนปฏิบัติธรรมจริงๆ ต้องไม่ปฏิเสธผลของกรรม ไม่ปฏิเสธหน้าที่ ไม่ปฏิเสธความจริง
แต่ควรต้องทำตัวให้เป้นอากาศ ให้อยู่กับอะไรก็ได้
ไม่ใช่พยายามทำทุกอย่างให้เป็นอากาศ เพื่อจะมีที่ให้ตัวเราเข้าไปอยู่

ความคิดเห็นนะครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2009, 06:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ถ้าเราเห็นแฟนเป็นอสุภะ ถามว่าเราเห็นตัวเราเป้นอสุภะด้วยหรือเปล่า



เห็นด้วยกับ น้องชาติสยาม

การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การปรุ่งแต่งครับ

แต่ให้ใช้ปัญญาคิดค้นหาความจริง หรือสภาวะ

ปัจจุบันที่ยังนั่งสนทนากันหน้าจอ ไม่ใช่อสุภะ เป็นสังขาร

แต่อนาคตใช่ และไม่ใช่เป็นแค่อสุภะ

แต่เป็นธาตุ อย่างที่น้องชาตสยามยกตัวอย่าง

แยกธาตุให้เล็กลงไปอีกก็เป็นแค่อนุภาค

ถ้าสามารถแยกได้อีก

นักวิทยาศาสตร์สมมุติฐานว่าจะเหลือแต่พลังงาน

ผมว่าเราอย่าแล่นไปไกลเกินไปครับ

รู้ปัจจุบัน ตามอารมณ์ปัจจุบันให้ถ่องแท้เสียก่อนดีกว่า


จะปรุ่งความไม่ชอบรังเกียจขึ้นมาเพื่อหักล้างความรักชอบเสน่หาคงไม่ถูก

ไม่ใช่สูตรทางเคมีที่

กรดบวกด่างได้เกลือกับน้ำ


ตัญหาแก้ไม่ได้ด้วยวิภาวะตัญหา

แต่ต้องแก้ด้วยปัญญา


การปฏิบัติธรรมต้องกล้าเผชิญความจริง

อย่าหลอกตัวเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2009, 07:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wic เขียน:
ชักสนใจแนวปฏิบัติของ คุณdhama
ลิงค์หลังข้อความคุณก็เข้าไปดูแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนในแนวทาง
ช่วยให้รายละเอียดในการปฏิบัติอีกหน่อยว่าเป็นอย่างไร แนวไหน
นำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้อย่างไร กับอีกมากมายคำถาม
ถ้าคุณยินดีจะตอบ


คำสอนที่ผมได้รับมาก็เป็นเรื่องศิล สมาธิ ปัญญา เหมือนกับอาจารย์หลายๆท่านนี่แหละ ผมเคยบอกคุณwic แล้วว่า ผมฟังทุกที่ที่แสดงธรรม แต่ผมจะเชื่อในบางประเด็นที่ผมเชื่อได้ ส่วนประเด็นที่ยังไม่เชื่อก็วางไว้ก่อนได้ ธรรมะมีอะไรให้ศึกษาอีกเยอะ ประเด็นการไม่เชื่อไม่ได้หมายความว่าลบหลู่นะ แต่สิ่งที่ผมเรียนรู้และแนวทางการปฏิบัติสมาธิที่นี่จะแตกต่างที่อื่นเล็กน้อย ในการดำเนินจิตคืออยู่กับความจริงไม่มีสิ่งสมมุติ ผมไม่บอกวิธีปฏิบัตินะครับ ส่วนคุณ wic จะถามอะไร ยินดีตอบครับถ้าตอบได้

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2009, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:

หลักอันหนึ่งที่ผมคิดว่าใช้ได้ตลอดเวลา
คือถามตัวเราว่าสิ่งที่เราทำนี้เืดือดร้อนใครไหม เดือดร้อนตัวเราไหม
ถ้าไม่มีทั้งสองอย่าง ก็ทำได้ ปลอดภัย

ถ้าแฟนเราเขาไม่ยอม ก็เป็นบ่วงที่คุณต้องยอมรับต่อไป
เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะเรานั่นแหละไปสร้างบ่วง เรามีกรรมเป็นทายาท เราทำของเราเอง เราไปอยากได้เขาเอง
เราไปเพียรผูกสมัครบ่วงอันนี้เอาไว้เอง เป็นความจริงที่เรานั่นแหละเป็นคนสร้างเอาไว้
จะปัดว่าต่อไปนี้ฉันไม่รับผิดชอบผลของการกระทำอีกแล้วไม่ได้


:b8:




นี่แหละค่ะคุณdhamma ที่เคยพูดกับคุณไว้ แล้วให้คุณมาตั้งกระทู้

viewtopic.php?f=11&t=24030&start=15

viewtopic.php?f=1&t=24451



รอให้ผู้ชายมาพูดก่อน เดี๋ยวจะว่าผู้หญิงคิดมาก ได้คุณชาติสยามพอดีเลยค่ะ

เพราะสิ่งที่คุณ dhama กำลังทำอยู่นี้ ถ้ายังอยู่เป็นครอบครัวแล้วแฟนรับรู้เรื่องนี้

พร้อมกับยินยอมด้วย ผลย่อมไม่ส่งไปอนาคต

แต่ถ้าถึงขนาด จะไปบวช แล้วทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง แล้วในใจลึกๆของภรรยาล่ะ

เขาเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าลึกๆเขาไม่เห็นด้วยล่ะ ใครจะไปพูดความจริง

เท่ากับคุณกำลังสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น เหตุใหญ่เสียด้วย

คุณลองนึกภาพดู คุณทิ้งภรรยาและครอบครัว เพื่อไปบวช
เกิดภรรยาคุณอยู่คนเดียวไม่ได้ เธอมีแฟนใหม่ แล้วเกิดแฟนใหม่ทิ้งเธอไปอีก แล้วกี่คนล่ะ
คุณลองนึกถึงระยะยาวของแต่ละภพดูสิ สลับเพศกันไปมา แล้วคุณก็ทิ้งเขาไปตลอด
สุดท้ายดีไม่ดี ภรรยาคุณในชาติต่อๆไปอาจกลายเป็นพวกผิดเพศไปก็ได้
นี่บ่วงไม่รู้ตั้งกี่บ่วงที่ก่อให้เกิดขึ้นกับคนๆเดียว คือ คู่ชีวิตของคุณ สงสารคนที่อยู่ข้างหลังบ้างไหม
คุณไม่จำเป็นต้องไปบวชนี่ ถือไปสิ อพรัมจริยา แล้วยังคงอยู่กับครอบครัวเหมือนเดิม

จะเล่าให้ฟัง คนนี้เป็นผู้หญิงนะ ปฏิบัติเหมือนคนทั่วๆไปนี่แหละ มีครอบครัวแล้ว
แล้วเธอก็ไม่เหมือนคุณ ไม่มาเห็นสามีเป็นอสุภะ เพียงแต่เธอไม่มีความต้องการตรงนั้น
แต่เธอพยายามใช้วิธีละมุนละม่อมกับสามี แยกกันนอน
บางทีสามีเธอก็หงุดหงิด เธอก็ใช้วิธีโดยปล่อยให้เขาไปคลายเครียดกับเพื่อนๆได้
ซึ่งไปสังสรรค์อะไรกันประมาณนี้ แต่พอถึงเวลาจะกลับมารับเธอที่ร้านแล้วกลับบ้านพร้อมกัน
คือส่วนมากไม่เกิน 2 ทุ่ม และไม่ทุกวัน เธอเป็นหลักของครอบครัว
ทุกวันนี้เวลาเธอมองเงิน มองรายได้ที่มีเข้ามา เธอมองว่ามันเป็นแค่เศษกระดาษ
แต่เพราะหน้าที่มีอยู่ เธอไปไม่ได้ เธอมีลูกสองคน
เราได้คุยกันตลอดเวลา ต่อมาเธอเข้าใจมากขึ้น เธอรู้ว่าการที่ทอดทิ้งคนในครอบครัวไว้ข้างหลังนั้น
ไม่ถูกต้อง ทุกวันนี้เธอยังอยู่กับครอบครัว ใช้ชีวิตเป็นปกติ เพียงแต่แยกกันนอนกับสามีเท่านั้นเอง

อย่าทำแบบนั้นกับครอบครัวของคุณเลย อย่าทอดทิ้งกันไปแบบนั้น
เพราะคุณกำลังสร้างภพชาติที่ทรมาณให้เกิดขึ้นสำหรับคนๆหนึ่ง คือ ภรรยาของคุณ
เมื่อวันใด วันหนึ่ง คือ ชาติใด ชาติหนึ่ง เมื่อคุณได้กลับมาเจอคู่ของคุณอีก
แล้วคุณระลึกถึงเรื่องราวตรงนี้ได้ มาเห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา
คนที่จะรู้สึกผิด รู้สึกทรมาณใจ และ เสียใจมากๆก็คือคุณ เพราะคุณได้ทำให้เขา
ได้กลายเป็นเช่นนี้ไป ....

การปฏิบัติ ที่ถูกต้อง คือ ลด ละ เลิก เฝ้าถางถางกิเลสในตัว ไม่ใช่การทอดทิ้งคนใดคนหนึ่งไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2009, 07:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ถ้าเราเห็นแฟนเป็นอสุภะ ถามว่าเราเห็นตัวเราเป็นอสุภะด้วยหรือเปล่า

ถ้าแฟนเป็นอสุภะ แล้วเราก็มีดำริว่าจะเลิกร้างห่างไกลไป
แล้วถามว่าตัวเราล่ะ ถ้าเป็นอสุภะ เราจะหนีตัวเรายังไง

ถ้าแฟนเป็นอสุภะ เราก็ต้องเห็นเช่นเดียวกันว่าเราก็เป็นอสุภะ อย่างไม่ต้องสงสัย


ต่อมาถามว่า ถ้าเราเห็นว่าผู้คนต่างๆเป็นอสุภะ แล้วเราเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยอะไร
ถ้าเห็นด้วยความคิด เราแค่คิดตกว่าผู้คนเป็นอสุภะ เป็นธาตุ 4 ขันะธ์ 5 มารวมกัน
ถ้าเห้นด้วยความคิดแบบนี้ ก้นับว่าใช้อะไรไม่ได้

ถ้าเห็นด้วยปัญญา เห็นเพราะจิตตั้งมั่นรู้กายตามความจริงแห่งจักรวาล จนยอมรับความจริงในที่สุด
อันนี้มันจะไม่เกิดความรังเกียจ ว่ารังเกียจแฟน รังเกียจอสุภะ

ถ้าเห็นด้วยปัญญาจริงๆ เบื้องต้นจะเกิดความเมตตา เบื้องสุดจะต้องเป็นอุเบกขา ไม่พ้นไปจากนี้
ชั่วก็ไม่เอา แม้แต่ดีก็ไม่เอา มันเหมือนว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีความเป็นเรา
จึงไม่มีความรู้สึกใดๆต่อสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าเลือกรังเกียจเพราะเป็นของต่ำของสกปรก
หรือเลือกชอบพอเพราะเป้นของสูงของดี

ขอแสดงความห่วงใยนิดนึงว่า
ผมเกรงว่าคุณ dhamma จะกลายเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มักพบบ่อยเวลาเข้ามาปฏิบัติธรรม
เมื่อเข้ามาปฏิบัติธรรมแล้ว รู้สึกว่าเรารังเกียจสิ่งต่างๆไปหมด เห็นว่าผู้คนรอบข้างน่ารังเกียจ โง่
ไม่เห็นสัจจธรรม มัวแต่ทำสิ่งไร้สาระอยู่ อะไรทำนองนั้น

ผลที่จะเกิดต่อมาคือเราอยู่กับโลกลำบาก เริ่มมีปากเสียงกับคนในครอบครัว
เริ่มคบคนยาก เริ่มมีปัญญาในความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน
ถ้าปฏิบัติถูกทาง สิ่งเหล่านี้จะต้องน้อยลง
ในทางตรงกันข้าม มันต้องยิ่งอยู่กับคนได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

ถ้าปฏิบัติผิด ก้จะถึงกับเลิกร้างกันไปเยอะแยะ
เพราะว่า"เธอดีไมเท่าทันฉันเลย เธอฉลาดไม่ทันฉัน ฉันเห็นค่าของของสูง ฉันมีธรรมะ
แต่เธอมัวไร้สาระอยู่ เธอชอบมารบกวนธรรมะปฏิบัติของฉัน เธอเป็นภาระของฉัน เราอยู่กันไม่ได้แล้ว"


เห็นแฟนเป็นอสุภะ เป็นการรู้เห็นในสิ่งนอก เป็นจิตที่ส่งออกนอก
ความจริงหรือความรู้อันใดที่ไปรู้เห็นจากภายนอกนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เพราะมันไม่มีปลต่อการถอดถอนกิเลส ได้แค่สะกิดๆกิเลสเท่านั้น
ต้องภายในเรานี่ กายใจของเรานี่
ถ้าเห็นวาตัวเรานี่แหละอสุภะ ถึงจะเรียกว่าได้ประโยชน์ตรงเป้า

การเห็นอสุภะใดๆก้ตาม แม้แต่เป็นนิมิตที่จิตสร้าง
รวมความแล้วก็เป็นเพียงแค่การดัดแปลงความจริงเพื่อประโยชน์ในการทำใจให้สงบระงับเท่านั้น
ให้ผลแค่สมาธิ แต่ไม่มีผลเป็นปัญญา
ใครจะกำกับภาพยนตร์ไปอย่างไรก็ไม่เกิดปัญญา เพราะภาพยนตร์ก็คือเรื่องแต่ง
ผู้บงการคือจิต ผู้คิดว่าการบงการเหล่านี้สามารถถอดถอนกิเลสได้ก้นับว่าสอนผิด
เพราะเป็นพวกมีทิฐิว่าจิตนี้บังคับได้ ตกแต่งสั่งสอนได้


แต่ถ้าสอนให้เจริญอสุภะกรรมฐานเพื่อปรับปรุงสมดุลย์จิตใจให้มันมีความพอเหมาะ
พอที่จะช่วยให้ใจมันมีความแน่วแน่ต่อการเป็นสมาธิ อันนี้นับว่าใช้ได้
เช่นให้หัดคิด หัดสร้างความคิด ว่ากายนี้เป้นอสุภะเน่าเหม็น
นับว่าเป็นแค่การทำสมถะกรรมฐาน ผลผลิตคือความสงบ
แต่ไม่ถอดถอนกิเลสอะไรได้เลย


หลักอันหนึ่งที่ผมคิดว่าใช้ได้ตลอดเวลา
คือถามตัวเราว่าสิ่งที่เราทำนี้เืดือดร้อนใครไหม เดือดร้อนตัวเราไหม
ถ้าไม่มีทั้งสองอย่าง ก็ทำได้ ปลอดภัย

อีกอย่างคือการจะไปเทียบตัวเองกับพระพุทธเจ้านั้น ต้องระมัดระวัง
อย่าลืมว่าบารมีมันผิดกันอย่างสุดๆ ท่านบำเพ็ญของท่านมาเป้นพระพทุธเจ้า
เงื่อนไขที่ท่านจากลูกจากเมียไปบวช มันคนละเงื่อนไขกับคนอย่างเราที่จะหนีไปบวช

ถ้าแฟนเราเขาไม่ยอม ก็เป็นบ่วงที่คุณต้องยอมรับต่อไป
เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะเรานั่นแหละไปสร้างบ่วง เรามีกรรมเป็นทายาท เราทำของเราเอง เราไปอยากได้เขาเอง
เราไปเพียรผูกสมัครบ่วงอันนี้เอาไว้เอง เป็นความจริงที่เรานั่นแหละเป็นคนสร้างเอาไว้
จะปัดว่าต่อไปนี้ฉันไม่รับผิดชอบผลของการกระทำอีกแล้วไม่ได้

คนปฏิบัติธรรมจริงๆ ต้องไม่ปฏิเสธผลของกรรม ไม่ปฏิเสธหน้าที่ ไม่ปฏิเสธความจริง
แต่ควรต้องทำตัวให้เป้นอากาศ ให้อยู่กับอะไรก็ได้
ไม่ใช่พยายามทำทุกอย่างให้เป็นอากาศ เพื่อจะมีที่ให้ตัวเราเข้าไปอยู่

ความคิดเห็นนะครับ
:b8:


ผมได้อ่านข้อความคุณ ชาติสยาม ในการแนะนำสมาชิกแต่ละท่านผมเห็นความตั้งใจจริงและความหวังดี
และบางครั้งคุณแนะนำแรงๆ คุณก็กล้าที่จะออกมาบอกว่าตัวเองเป็นโจรตัวพ่อ อันนี้แสดงว่าคุณเป็นตรงเป็นสิ่งที่ทำได้อยากน่านับถือ และผมก็ต้องขอบคุณอีกครั้งที่แสดงความเห็นและความห่วงใย และผมยังชื่นชมคุณและหลายๆท่านในใจเสมอที่ทำหน้าที่ต่อสาธารณะมาอย่างยาวนาน จริงอย่างที่คุณว่าธรรมะต้องละเอียด อันนี้คุณตรงประเด็นแสดงไว้ดีมากครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2009, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ชาติสยาม เขียน:

หลักอันหนึ่งที่ผมคิดว่าใช้ได้ตลอดเวลา
คือถามตัวเราว่าสิ่งที่เราทำนี้เืดือดร้อนใครไหม เดือดร้อนตัวเราไหม
ถ้าไม่มีทั้งสองอย่าง ก็ทำได้ ปลอดภัย

ถ้าแฟนเราเขาไม่ยอม ก็เป็นบ่วงที่คุณต้องยอมรับต่อไป
เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะเรานั่นแหละไปสร้างบ่วง เรามีกรรมเป็นทายาท เราทำของเราเอง เราไปอยากได้เขาเอง
เราไปเพียรผูกสมัครบ่วงอันนี้เอาไว้เอง เป็นความจริงที่เรานั่นแหละเป็นคนสร้างเอาไว้
จะปัดว่าต่อไปนี้ฉันไม่รับผิดชอบผลของการกระทำอีกแล้วไม่ได้


:b8:




นี่แหละค่ะคุณdhamma ที่เคยพูดกับคุณไว้ แล้วให้คุณมาตั้งกระทู้

viewtopic.php?f=11&t=24030&start=15

viewtopic.php?f=1&t=24451



รอให้ผู้ชายมาพูดก่อน เดี๋ยวจะว่าผู้หญิงคิดมาก ได้คุณชาติสยามพอดีเลยค่ะ

เพราะสิ่งที่คุณ dhama กำลังทำอยู่นี้ ถ้ายังอยู่เป็นครอบครัวแล้วแฟนรับรู้เรื่องนี้

พร้อมกับยินยอมด้วย ผลย่อมไม่ส่งไปอนาคต

แต่ถ้าถึงขนาด จะไปบวช แล้วทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง แล้วในใจลึกๆของภรรยาล่ะ

เขาเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าลึกๆเขาไม่เห็นด้วยล่ะ ใครจะไปพูดความจริง

เท่ากับคุณกำลังสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น เหตุใหญ่เสียด้วย

คุณลองนึกภาพดู คุณทิ้งภรรยาและครอบครัว เพื่อไปบวช
เกิดภรรยาคุณอยู่คนเดียวไม่ได้ เธอมีแฟนใหม่ แล้วเกิดแฟนใหม่ทิ้งเธอไปอีก แล้วกี่คนล่ะ
คุณลองนึกถึงระยะยาวของแต่ละภพดูสิ สลับเพศกันไปมา แล้วคุณก็ทิ้งเขาไปตลอด
สุดท้ายดีไม่ดี ภรรยาคุณในชาติต่อๆไปอาจกลายเป็นพวกผิดเพศไปก็ได้
นี่บ่วงไม่รู้ตั้งกี่บ่วงที่ก่อให้เกิดขึ้นกับคนๆเดียว คือ คู่ชีวิตของคุณ สงสารคนที่อยู่ข้างหลังบ้างไหม
คุณไม่จำเป็นต้องไปบวชนี่ ถือไปสิ อพรัมจริยา แล้วยังคงอยู่กับครอบครัวเหมือนเดิม

จะเล่าให้ฟัง คนนี้เป็นผู้หญิงนะ ปฏิบัติเหมือนคนทั่วๆไปนี่แหละ มีครอบครัวแล้ว
แล้วเธอก็ไม่เหมือนคุณ ไม่มาเห็นสามีเป็นอสุภะ เพียงแต่เธอไม่มีความต้องการตรงนั้น
แต่เธอพยายามใช้วิธีละมุนละม่อมกับสามี แยกกันนอน
บางทีสามีเธอก็หงุดหงิด เธอก็ใช้วิธีโดยปล่อยให้เขาไปคลายเครียดกับเพื่อนๆได้
ซึ่งไปสังสรรค์อะไรกันประมาณนี้ แต่พอถึงเวลาจะกลับมารับเธอที่ร้านแล้วกลับบ้านพร้อมกัน
คือส่วนมากไม่เกิน 2 ทุ่ม และไม่ทุกวัน เธอเป็นหลักของครอบครัว
ทุกวันนี้เวลาเธอมองเงิน มองรายได้ที่มีเข้ามา เธอมองว่ามันเป็นแค่เศษกระดาษ
แต่เพราะหน้าที่มีอยู่ เธอไปไม่ได้ เธอมีลูกสองคน
เราได้คุยกันตลอดเวลา ต่อมาเธอเข้าใจมากขึ้น เธอรู้ว่าการที่ทอดทิ้งคนในครอบครัวไว้ข้างหลังนั้น
ไม่ถูกต้อง ทุกวันนี้เธอยังอยู่กับครอบครัว ใช้ชีวิตเป็นปกติ เพียงแต่แยกกันนอนกับสามีเท่านั้นเอง

อย่าทำแบบนั้นกับครอบครัวของคุณเลย อย่าทอดทิ้งกันไปแบบนั้น
เพราะคุณกำลังสร้างภพชาติที่ทรมาณให้เกิดขึ้นสำหรับคนๆหนึ่ง คือ ภรรยาของคุณ
เมื่อวันใด วันหนึ่ง คือ ชาติใด ชาติหนึ่ง เมื่อคุณได้กลับมาเจอคู่ของคุณอีก
แล้วคุณระลึกถึงเรื่องราวตรงนี้ได้ มาเห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา
คนที่จะรู้สึกผิด รู้สึกทรมาณใจ และ เสียใจมากๆก็คือคุณ เพราะคุณได้ทำให้เขา
ได้กลายเป็นเช่นนี้ไป ....

การปฏิบัติ ที่ถูกต้อง คือ ลด ละ เลิก เฝ้าถางถางกิเลสในตัว ไม่ใช่การทอดทิ้งคนใดคนหนึ่งไป


คุณแนะนำได้ดีครับ แต่ตรงการที่เราไม่เข้าในการนำเสนอต่างหากมันอาจจะเป็นที่ผมนำเสนอไม่ชัดเจนทำให้เข้าใจกันไปผิดๆ แต่ก็เถอะเป็นการดีที่มีการยกประเด็นขึ้นมาศึกษา ผมใช่ชีวิตกลมเกลียวในครอบครัวมาก ผมโชคดีที่ภรรยาผมเข้าใจผม และผมก็โชดีอีกนั้นแหละที่ภรรยาผมนำพาผมให้พบธรรมะ

แต่ผมมีโอกาสได้ศึกษามากภรรยาผม ซึ่งเธอมีภาระกิจมากในเรื่องการงาน ด้วยความที่เราเห็นธรรมะเป็นของวิเศษสุดในชีวิตมนุษย์ที่เราจะไคว่คว้าไว้ได้ เราจะเชื่อใครได้ว่าธรรมะมันวิเศษอย่างที่ทุกคนพูด ผมจึงอาสาที่จะเสียสละความสุขส่วนตัวท่มเทปฏิบัติธรรมะอย่างจริงจัง เพื่อตัวผมเอง และก็เพื่อครอบครัวที่ผมรัก จนผมบอกครอบครัวผมว่าจงมั่นใจในธรรมะ ธรรมะเป็นของจริง สิ่งอื่นก็เพลาๆลงเถอะทำตามเหตุปัจจัย ทำตามสมควรพออยู่พอกิน อย่าละโลภมาก อันไหนละก็ควรละ อันไหนเลิกได้ก็ควรเลิก เลิกยังไม่ได้ก็พยายามเลิกให้ได้

ผมเป็นผู้นำธรรมะในครอบครัวอย่างไร ก็คือเปลี่ยนแปลงตัวให้เขาเห็นให้ชัดเจนอไม่ต้องสอนอะไรมาก การที่เราไม่สามรถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แล้วเอาธรรมะไปบอกเขา เท่ากับเราตั้งใจยื่นน้ำหวาน มันอาจจะกลายเป็นยาพิษสำหรับเขาก็ได้ ส่วนเรื่องที่ผมกล่าวเรื่อง "อย่างว่านั้น"ไม่มีอะไรมาก ใครมีความพร้อม ก็สมาทานทำได้ประโยชน์สูงสุด เป็นประเด็นให้คุยให้เลือกปฎิบัติมิได้อวดตนว่าเก่งกว่าผู้อื่น แต่ก็ต้องขออภัยที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิด ธรรมคุ้มครองครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 44 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร